คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 3 หลานนอกคอก vs ท่านป้าผู้สูงศักดิ์
บทที่ 3
หลานนอกคอก vs ท่านป้าผู้สูงศักดิ์
“ทะ ท่านหญิงเพคะ”
จิตเดินตัวสั่นเข้ามาในวัง หม่อมเจ้ารำไพเห็นดังนั้นจึงเกิดความสงสัย
“ใครกดกริ่ง” ท่านหญิงสะบัดหางเสียง “ไม่รู้หรือไงว่าวันนี้วังปรัตถกรวงศ์ไม่ต้อนรับใครหน้าไหนทั้งนั้น”
หม่อมเจ้ารำไพกอดอกแสดงความเป็นใหญ่ในวังเต็มที่ ยิ่งรวมกับอาการหงุดหงิดก่อนหน้านี้แล้ว สถานการณ์ยิ่งดูทีท่าว่าจะเลวร้ายเข้าไปใหญ่
คนรับใช้เก่าแก่เหงื่อตก จิตค่อยๆ ขยับตัวออกจากตำแหน่งเดิม หม่อมเจ้ารำไพจึงสามารถมองเห็นบุคคลที่ยืนเด่นอยู่ตรงประตูได้อย่างชัดเจน หญิงสาวยิ้มตาหยี ขนาดของซี่ฟันหน้าที่ใหญ่กว่าปกติอวดโฉมแก่สายตาคนทั้งวัง ก่อนจะเอ่ยทักทายหญิงชราที่กำลังจ้องมองเธออยู่ไม่วางตา
“สวัสดีค่า ท่านป้า”
หม่อมเจ้ารำไพเบิกตาโตเมื่อได้ยินประโยคทักทายอันแสนคลาสสิคนั่น นังเด็กตัวดำหน้าตาบ้านนอกนี่มันเป็นใคร บังอาจมาเรียกนางว่าป้า!
การปรากฏตัวของกรณาราทำเอาทุกคนตกอกตกใจกันไปเป็นแถบๆ เว้นเสียแต่หม่อมราชวงศ์ปรเมธ เขาจ้องหน้าหญิงสาวอย่างพิจารณา หน้าตาแบบนี้ รูปร่างทะมัดทะแมงแบบนี้ เหมือนจะเคยเจอที่ไหนมาก่อน...
กรณาราเดินเก้งก้างมายังโซฟาตัวยาวที่หม่อมเจ้ารำไพนั่งอยู่ เธอยิ้มกวาดให้ทุกคนอีกครั้งก่อนจะมาสะดุดที่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้เดี่ยวข้างๆ ทนายทรงเกียรติ หล่อนย่นคิ้วเล็กน้อย
อีตานี่ทำไมหน้าตาคุ้นๆ ...
“นี่เธอเป็นใคร เข้ามาในวังของฉันได้ยังไง! “
กรณาราละสายตาจากชายหนุ่มไปยังเสียงแหลมที่ตะโกนถามราวกับว่าเธออยู่ห่างไกลคนละโยชน์ เธอก้าวเดินมาอีกสองก้าวเพื่อกระเเทกชะลอมไว้บนโต๊ะอย่างจงใจกวนประสาท
“อ้าวๆๆ จำบ่ได้แม่นบ่ค่ะ แหม บ่พอกันแค่ยี่สิบกว่าปีเอง” เธอจีบปากจีบคอตอบ “เอ แต่สิว่าไป ท่านป้าก็บ่เคยคิดว่ามีหนูอยู่บนโลกใบนี้เสียด้วยซ้ำนี่หน่า” คนที่อ้างว่าเป็นหลานแกล้งตีหน้าเศร้าพลางทำเสียงสะอื้น
หม่อมเจ้ารำไพลุกขึ้นยืน ยกนิ้วชี้หน้าเด็กสาวรุ่นราวคราวหลาน ตัวสั่นสะเทิม นิ้วชี้ที่ชี้มานั้นสั่นเทา อาการหายใจเข้าออกอย่างแรง บ่งบอกได้ว่านางโมโหและตกใจสุดขีด
“แกเป็นใคร อย่าบอกนะว่าแก...”
“แม่นแล้วค่า อิฉันหม่อมราชวงศ์กรณารา ลูกสาวของพ่อกิตติ ตัวจริง เสียงจริง บ่ติงนัง เลยค่าท่านป้ารำไร”
“หา”
“รำไทย”
“แก...”
“ล้อเล่นเด้อค่า หลานจำได้ ท่านป้ารำไพใจยักษ์”
กรณาราหัวเราะเอิ้ก ตบพุงขำเสียเต็มประดา หม่อมเจ้ารำไพเต้นเร่าๆ นิ้วที่ชี้อยู่สั่นหนักยิ่งกว่าเดิม ตั้งแต่เกิดมาจนอายุปูนนี้ ไม่เคยมีใครหน้าไหนกล้าเล่นลิ้นกับนางเท่านังเด็กหน้าเขรอะนี่มาก่อน มันกล้ามาก!
“นังเด็กบ้า!! “
“ใจเย็นๆ ก่อนเพคะพี่หญิง”
หม่อมเจ้าแสงแขมองดูเหตุการณ์ทำท่าจะเลยเถิดจึงรีบเข้ามาห้ามทัพ
“เธอก็เหมือนกัน นั่งก่อน อย่าเพิ่งต่อล้อต่อเถียงอะไรกันตอนนี้เลย”
กรณารามองผู้หญิงบุคลิกหนุมหนิมเรียบร้อยที่เข้ามาแยกหม่อมเจ้ารำไพกับเธอ ถ้าเดาไม่ผิด นี่คงเป็นหม่อมเจ้าแสงแข พี่สาวต่างมารดาอีกคนของพ่อเธอ หญิงสาวยอมทำตามแต่โดยดีโดยการเดินไปนั่งเก้าอี้เดี่ยวตรงข้ามกับปรเมธซึ่งจนถึงเวลานี้เขาก็ยังคงมองเธอไม่ละสายตา
“เอาล่ะครับ ผมจะขอแนะนำให้รู้จักอีกครั้ง” ทรงเกียรติผายมือไปทางหญิงสาวผู้มาใหม่ “นี่คือหม่อมราชวงศ์กรณารา ปรัตถกรวงศ์ บุตรสาวเพียงคนเดียวของหม่อมเจ้ากิตติกับคุณดาราครับ”
กรณาราประนมมือสองข้างขึ้นมาพร้อมกับก้มตัวลงจนหน้าผากแทบจะชิดกับหน้าตัก มนีจันท์หัวเราะน้อยๆ กับท่าทางนั้นผิดกับหม่อมเจ้ารำไพที่สะบัดหน้าหนีไม่รับไหว้
“ยินดีที่ได้รู้จักค่า”
“ส่วนนี่” ทรงเกียรติหันไปแนะนำแต่ละคนให้กรณาราบ้าง “ท่านหญิงรำไพบุตรสาวคนโตของพระองค์เจ้าอดิศวร และท่านที่นั่งอยู่ข้างกันคือท่านหญิงแสงแขบุตรสาวคนรองครับ”
กรณาราหันไปยิ้มให้หม่อมเจ้าแสงแข เธอรู้สึกถูกชะตากับผู้หญิงคนนี้ยิ่งนัก
“แล้วก็คุณมนีจันท์ บุตรบุญธรรมของท่านหญิงรำไพครับ” มนีจันท์ยกมือขึ้นไหว้ด้วยเห็นว่าอายุอานามน่าจะมากกว่าตัวเอง
“คนสุดท้าย” กรณาราหันไปมองชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทั้งสองสบตากันสักพักก่อนที่ม่านตาของหญิงสาวจะขยายกว้างเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นใคร
อีตาหน้าขาวขี้ตู่!
“เฮ้ย”
หล่อนอุทานออกมาทำเอาทุกคนที่นั่งอยู่สงสัย โดยเฉพาะปรเมธ เขาขมวดคิ้วเพราะคุ้นหน้าหญิงสาวตรงหน้าเหลือเกิน แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณหญิง” ทรงเกียรติเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของหม่อมราชวงศ์กรณารา
“บ่ค่ะ” หญิงสาวแสร้งเอามือจับผมพลางหยิบผมที่หลุดลุ่ยมาบังแก้ม เพื่อปกปิดใบหน้าบางส่วน ก่อนจะยิ้มหวานส่งไปให้ทรงเกียรติ “ต่อเลยค่ะ”
“ออ งั้นผมขอแนะนำต่อเลยนะครับ” ทนายประจำตระกูลเริ่มพูดต่อ “ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงนี้คือหม่อมราชวงศ์ปรเมธ บุตรเลี้ยงของท่านหญิงแสงแขครับ ถ้าคุณหญิงไม่สบายปรึกษาคุณชายได้เลยนะครับ คุณชายน่ะเป็นหมอที่เก่งมากเลย”
กรณาราชะงักค้าง อีตานี่เป็นหมอ! ตายแล้วๆๆ สีผิวที่เธอทามาวันนี้ก็ทามาแบบรีบๆ ซะด้วย ไหนจะฟันปลอมอีก ไม่น่าล่ะ หมอนี่ถึงมองเธอแปลกๆ ตั้งแต่เข้ามาในตัววัง
หญิงสาวหุบยิ้ม เก็บฟันปลอมที่เธออุตส่าห์ใส่มายั่วโมโหหม่อมเจ้ารำไพ หวังว่าตาคุณชายคงยังไม่ทันสังเกตหรอกนะ
“เอาล่ะ เมื่อทุกท่านมากันคบแล้ว ผมจะขอเปิดพินัยกรรมเลยนะครับ”
ทรงเกียรติหยิบซองกระดาษสีน้ำตาลขึ้นมาจากกระเป๋าหนังสีดำ คลายเส้นเชือกที่พันไว้ ดึงกระดาษสีขาวขนาดเอสี่ภายในซองออกมา ท่านหญิงรำไพลุ้นแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้ ทนายประจำตระกูลจ้องกระดาษแผ่นนั้นสักพัก สีหน้าฉายแววสับสนงุนงง
“นี่มันอะไรกัน” เขาเอ่ยกับตัวเองเบาๆ “หรือว่า...ไม่น่าล่ะ เสด็จท่านถึงได้ทำไว้สองฉบับ”
“มีอะไร ทรงเกียรติ ในนั้นเขียนว่าอะไรบ้าง” ท่านหญิงรำไพถามด้วยความตื่นเต้น
กรณารามองหน้าทนายทรงเกียรติพลางชะโงกหัว พยายามมองกระดาษแผ่นแสง ในนั้นเขียนว่าอะไร ทำไมคุณทนายถึงทำหน้าเหมือนคนเพิ่งได้รับคำเฉลยอะไรบางอย่างด้วย
“ไม่กระหม่อม” ทรงเกียรติบอก “เสด็จท่านมิได้ทรงเขียนพินัยกรรมไว้ในกระดาษแผ่นนี้”
“ว่าไงนะ” พี่ใหญ่แห่งวังปรัตถกรวงศ์แผดเสียงอีกรอบ “เด็จพ่อทรงเล่นอะไร ฉันไม่ตลกด้วยแล้วนะ”
นี่มันหมายความว่ายังไง พระองค์เจ้าอดิศวรเชิญเธอมาเล่นตลกงั้นเหรอ กิ่งกล้าคิดในใจ ขมวดคิ้วไม่เข้าใจในเหตุการณ์
“คุณทนายคะ เด็จพ่อทรงเขียนอะไรไว้ในนั้นบ้างไหมคะ”
หม่อมเจ้าแสงแขที่ดูจะมีสติมากที่สุดเอ่ยถาม ทรงเกียรติพยักหน้ารับ กระหม่อมรำไพเห็นดังนั้นจึงร้องถามเสียงดัง
“เด็จพ่อทรงเขียนไว้ว่าอย่างไร รีบอ่านมาเดี๋ยวนี้”
ทรงเกียรติกวาดสายตามองทุกคน ก่อนจะก้มหน้าอ่านตัวอักษรที่สลักไว้บนกระดาษสีขาวตัวปัญหา
“เมื่อทุกคนได้อ่านจดหมายฉบับนี้ แสดงว่าฉันได้ลาลับจากโลกนี้ไปแล้ว ฉันรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับสิ่งที่กระทำลงไปโดยไม่ยั้งคิด โดยเฉพาะเรื่องกิตติ ดังนั้นฉันจึงอยากให้ทายาทของฉันทุกคนมารวมกันในวันนี้ เพื่อรับรู้อย่างพร้อมเพรียงกันว่า นับจากนี้ไปเป็นเวลาหกเดือน ทายาททุกคนจะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันภายในวังปรัตถกรวงศ์แห่งนี้ เพื่อความรักใคร่กลมเกลียวสามัคคี เมื่อครบกำหนดหกเดือนจึงจะสามารถเปิดพินัยกรรมฉบับจริงได้ หากใครหรือผู้ใดมิทำตามแม้แต่คนเดียว มรดกทั้งหมดจะถูกโอนไปยังสถานุเคราะห์ต่างๆ เป็นจำนวนเท่าๆ กัน
...พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอดิศวร ปรัตถกรวงศ์”
อยู่ร่วมกัน!
หญิงสาวที่ตั้งใจมาตั้งรกรากที่วังแห่งนี้ตั้งแต่ต้นยิ้มออกมาอย่างยินดี โชคเข้าข้างเธอจริงๆ ไม่ต้องทำอะไรมากมายก็ได้เข้ามาอยู่แบบชิลๆ
แต่ดูเหมือนหม่อมเจ้ารำไพจะช็อกค้างไปแล้ว หกเดือน...นางต้องใช้ชีวิตอยู่กับนังเด็กบ้านนอกนี่หกเดือน! หญิงชราพิงหลังกับพนักพิง ยกมือขวาขึ้นทาบอก มนีจันท์ที่นั่งอยู่ข้างๆ รีบใช้มือซ้ายของตัวเองพัดไปมาตรงหน้าท่านหญิง
“ไม่จริงใช่ไหม ใครก็ได้ช่วยบอกทีว่าฉันแค่ฝันไป”
“โอ๊ย ฝันเฝินอิหยังกันคะท่านป้า” หญิงสาวรีบพูดเมื่อสบโอกาส “เรื่องจริงเนี่ยล่ะค่ะ แหมๆๆ เบิ่งนั่น ดีใจหลายจนลมจับเลยแม่นบ่คะ”
หลานสาวคนใหม่หัวเราะคิกคัก เสมือนเติมเชื้อเพลิงไฟในอกหญิงชราให้มากขึ้นไปอีก นางผุดลุกขึ้นยืนโดยมีมนีจันท์ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะเดินกระแทกเท้ากลับไปยังห้องของตัวเอง แต่ก่อนไปก็ไม่วายหันมาตีหน้ายักษ์ใส่หลานสาวนอกคอก เอ่ยประโยคข่มขู่
“อยากอยู่ก็อยู่ไป แต่อย่าหวังว่าจะมีความสุข ฉันจะไม่ยอมให้เด็กขี้ครอกอย่างแกเข้ามาเชิดหน้าชูคอในวังของฉันเป็นอันขาด จำไว้!! “
กรณาราฟังเสียงตะคอกระดับเดซิเบลเกินกว่ามาตรฐานนั้นแล้วก็ได้แต่เอามือแคะหู อยู่ก็ไม่ไกล ทำไมชอบตะโกนคุยกันนักนะ ปูนร้าวไปหมดแล้วมั้ง
หม่อมเจ้าแสงแขที่ดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ เห็นว่าผู้เป็นพี่สาวเดินออกไปแล้วจึงหันมาพูดคุยกับกรณารา
“อย่าไปใส่ใจเลย พี่หญิงก็เป็นแบบนี้แหละ” นางยิ้มอย่างใจดี “ว่าแต่เธอมาจากไหนกัน เห็นพูดอีสานด้วย”
หญิงสาวยิ้มตอบคนที่ได้ชื่อว่าเป็นท่านป้ารองด้วยความจริงใจ ถ้าท่านหญิงรำไพได้สักครึ่งหนึ่งของท่านหญิงแสงแขล่ะก็ เธอจะไม่กวนใจนางเลย
“ข้อยเป็นคนโคราชจ้า”
“อืม ก็ไม่ไกลจากกรุงเทพเท่าไรนี่ ฉันเคยไปเที่ยวที่นั่นบ่อยๆ สวยมากเลย”
ทั้งสองคุยกันอีกสักพัก ทนายทรงเกียรติขอตัวกลับเพราะเห็นว่าหมดธุระ ส่วนปรเมธก็ทำท่าจะกลับขึ้นห้องแล้วเหมือนกันแต่ติดที่ท่านหญิงแสงแขเรียกเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวสิปัธ”
“ครับแม่”
นางหันกลับมายิ้มให้กรณาราอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองปรเมธ
“พาคุณหญิงไปดูห้องหน่อยสิ เอาเป็นห้องทางฝั่งขวาติดกับห้องแม่ก็ได้”
ปรเมธมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างประเมิน ถ้าหล่อนพักห้องติดกับแม่เลี้ยงของเขา ผู้หญิงคนนี้จะสร้างความวุ่นวายเดือดร้อนให้แม่ของเขาหรือเปล่า
“แต่ห้องนั้นเป็นห้องเก่าของหม่อมดวงพร ปิดตายมานานแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีฝุ่นหรือข้าวของอะไรของหม่อมที่ยังคงหลงเหลืออยู่หรือเปล่านะครับ”
ห้องนั้นเคยเป็นห้องของหม่อมดวงพร ภรรยาคนที่สองของพระองค์เจ้าอดิศวร แม่ของหม่อมเจ้าแสงแข ซึ่งเคยเป็นนางกำนัลในครัวมาก่อนที่จะพบรักกับเสด็จ
“ถ้าอย่างนั้น” หม่อมเจ้าแสงแขหันไปสั่งจิต “ฝากแม่จิตด้วยนะ พาบ่าวไปสักสองสามคน ไปจัดห้องนั้นให้หน่อย”
“เพคะท่านหญิง” จิตรับคำก่อนจะขอตัวออกไป
กรณารามองกิริยาของคนในวังได้แต่ห่อปากเป็นวงกลม ช่างเหมือนละครสมัยก่อนจริงๆ ผู้ดีแท้ๆ เลยนะเนี่ย
“คุณหญิง...”
“กิ่งกล้าจ้า บ่ต้องเติมคุณยงคุณหญิงนำหน้าดอกค่า มันบ่ชินหู”
“จ้ะๆ กิ่งกล้าก็กิ่งกล้า ไปเดินเล่นในสวนรอก็ได้นะ กว่าแม่บ้านจะจัดเตรียมห้องเสร็จก็คงอีกสักพัก ไว้จัดเสร็จแล้วฉันจะให้ตาปัธไปตามมาดูห้องจ้ะ”
“ขอบคุณหลายค่าท่านหญิง”
กรณารายิ้มตาหยีจนฟันปลอมที่ใส่มาแทบหลุด หญิงสาวตัวแสบหันไปยักคิ้วให้ปรเมธ ชายหนุ่มขมวดคิ้วทันที เพิ่งเจอกันครั้งแรกแท้ๆ แต่ทำไมเขารู้สึกหมั่นไส้แม่นี่ชอบกล
กรณาราหยิบชะลอมที่หอบหิ้วมาด้วยยื่นให้หญิงชราใจดี
“ข้อยขอฝากไว้ก่อนเด้อท่านหญิง อันนี้ของดีแดนอีสาน”
ว่าจบก็ขยิบตา ยกมือไหว้หนึ่งทีก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในสวนข้างวัง หม่อมเจ้าแสงแขมองชะลอมที่ภายในเป็นไหดินเผาสีน้ำตาลอย่างฉงน
“ของดีแดนอีสาน...อะไร”
นางส่งสายตาเป็นเชิงถามไปยังบุตรชาย ปรเมธส่ายหน้าไม่สามารถให้คำตอบได้ ท่านหญิงเห็นดังนั้นจึงตัดสินใจก้มลงไปดมก่อนจะอุทานออกมาเสียงดัง
“นี่มัน...ปลาร้า! “
“สะใจจริงๆ เลยแม่ หนูล่ะอยากให้แม่มาเห็นสีหน้าของท่านหญิงรำไพตอนเห็นหน้าหนูครั้งแรกจริงๆ หน้านี่ตลกมาก ช็อกค้างไปเลย”
กรณารายืนอยู่ตรงใต้ต้นดอกส้มระเบิดหัวเราะออกมา เมื่อสำรวจแล้วว่าไม่มีใครอยู่บริเวรนี้นอกเหนือจากเธอ ยิ่งนึกยิ่งขำ คิดไม่ผิดจริงๆ ที่แต่งตัวแบบนี้มาวังปรัตถกรวงศ์ ความประทับใจแรกพบคงตราตรึงในใจท่านหญิงป้าไปอีกนาน
“ไอ้ลูกคนนี้ ฉันบอกว่าอย่าหาเรื่องๆ มันฟังที่ไหน”
“แหมแม่ ก็มันอดไม่ได้นี่หน่า” หญิงสาวกลั้นขำ “เออนี่ หนูได้ฟังคำสั่งเสียของเสด็จท่านแล้วนะ”
ปลายสายทำหน้างงใส่โทรศัพท์ คำสั่งเสียอะไร ก็กิ่งกล้าเข้าไปรับฟังการอ่านพินัยกรรมไม่ใช่เหรอ
“หนูรู้ว่าแม่ตั้งคำถามอยู่ในใจละตอนนี้” กรณาราเอ่ยอย่างรู้ทัน
“อย่ามาทำเป็นรู้ดี” นางเอ็ดไปตามประสา “คำสั่งเสียอะไร เสด็จท่านทรงเขียนอะไรไว้ในพินัยกรรม”
กรณาราทำหน้าจริงจังขึ้น บอกไปแม่อาจจะตกใจ เพราะดาราไม่อยากให้กิ่งกล้าเข้ามาอยู่ในวังปรัตถกรวงศ์ วังที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่อยู่อาศัยของหม่อมเจ้ากิตตินานๆ คนที่นั่นใจร้ายเกินกว่ากรณาราจะรับมือ
“แม่ฟังหนูดีๆ นะ พินัยกรรมยังเปิดไม่ได้” หญิงสาวสูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งที ก่อนจะเล่ารายละเอียดให้ผู้เป็นแม่ฟัง “หนูจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ที่วังแห่งนี้เป็นเวลาหกเดือนตามเงื่อนไขของเสด็จ เพื่อเปิดพินัยกรรมฉบับจริง”
ดาราเงียบไป นี่พระองค์เจ้าอดิศวรคิดจะทำอะไร เรื่องนี้มันควรจะจบสิ้นลงพร้อมกับการเปิดพินัยกรรม แต่เสด็จทรงยืดระยะเวลาเพื่อสิ่งใด ถ้าจะเพื่อให้ทุกคนแค่สนิทสนมกันล่ะก็
นางไม่เชื่อเด็ดขาด...
เสด็จท่านไม่ใช่คนที่จะคิดอะไรง่ายๆ แบบนั้นแน่ เรื่องนี้ชักไม่ชอบมาพากลซะแล้วสิ
“กิ่ง ถ้ากิ่งไม่อยู่อะไรจะเกิดขึ้น”
“สมบัติทั้งหมดจะถูกถ่ายโอนไปยังสถานุเคราะห์ ทุกคนก็บ๋อแบ๋ ไม่ได้อะไรเลย” หญิงสาวยักไหล่ “แต่หนูไม่สนใจสมบัตินั่นหรอก ขอแค่ได้เอาคืนคนที่มันคิดร้ายต่อพ่อกับแม่ก็พอ”
ดาราถอนหายใจ กิ่งกล้าตอนนี้เอาช้างทั้งฝูงมาฉุดก็คงไม่สามารถทำให้ลูกสาวคนเดียวของนางหยุดได้ คงได้แต่ปล่อยไปตามเวรตามกรรม ตามที่พระพรหมท่านลิขิตมา
ระหว่างที่หญิงสาวกำลังสนทนากับมารดาอย่างออกรสออกชาติ มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกสั่งให้มาตามคุณหญิงคนใหม่เดิมมาได้ยินบทสนทนาพอดีจึงหยุดฟังอยู่ตรงพุ่มไม้ใกล้ๆ
“ฉันก็ไม่รู้จะห้ามแกยังไง เอาเป็นว่าระวังตัวด้วยแล้วกัน ท่านหญิงน่ะไม่ธรรมดานะ ดูพ่อแกเป็นตัวอย่าง”
“ไม่ต้องห่วง กิ่งกล้าคนนี้ไม่มีทางเสียทีท่านหญิงป้ามหาภัยนั่นแน่นอน แม่สบายใจได้”
“ให้มันจริงเถอะ แล้วอย่าสร้างเรื่องอะไรให้มาก เดี๋ยวเขาจะด่ามาถึงฉัน ทุกวันนี้ก็จามจนจมูกแทบจะพังอยู่แล้ว”
กรณาราหัวเราะน้อยๆ แม่เธอเป็นแบบนี้เสมอ เธอรู้ว่าในใจแม่ไม่อยากให้เธออยู่ แต่แม่ก็ไม่พูดสิ่งที่จะทำให้เธอไม่สบายใจออกมา
“จ้าๆ แล้วหนูจะติดต่อกลับไปเป็นระยะๆ นะ” ลูกสาวตัวแสบทำปากจู๋ส่งจูบให้ปลายสาย “คิดถึงนะแม่ บาย”
เธอกดวางสายยิ้มให้กับโทรศัพท์ก่อนจะหมุนตัวหันหลังกลับเพื่อจะเดินเล่นในสวนต่อ แต่พอเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงพุ่มไม้ก่อนหน้ากรณาราก็ถึงกับสะดุ้ง นั่นมันอีตาหน้าขาวนี่ มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ทำตัวผลุบๆ โผล่ๆ อย่างกับผี
กรณารายิ้มแบบไม่ยิงฟันส่งไปให้เพราะเกรงเขาจะจับผิดฟันปลอมของเธอได้ สองเท้ารีบจ้ำอ้าวโกยจากจุดเดิมทันที ปรเมธเห็นดังนั้นจึงเดินตาม กรณาราหันไปมองนึกในใจว่าถ้าหนีเขาก็คงตามไม่เลิกจึงหยุดเดินพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงยียวน
“ตามมาเฮ็ดหยังคะ สงสัยบ่เคยพอสาวงาม” หญิงสาวยิ้มอย่างภูมิใจ
ปรเมธนึกหมั่นไส้ ที่เขาเดินตามเธอมาเป็นเพราะประโยคสนทนาทางโทรศัพท์ที่เขาเพิ่งได้ยินเมื่อครู่ เธอพูดสำเนียงกลางได้ แถมยังชัดซะด้วย
“เลิกพูดอีสานสักที ฉันรู้ว่าเธอพูดสำเนียงกลางได้”
กิ่งกล้าทำตาโต อีตานี่มีญาณทิพย์หรือไง รู้ไปซะทุกเรื่อง หญิงสาวทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ยังคงแถต่อไปเรื่อยๆ
“เว่าอิหยัง ข้อยบ่ได้หลอกคุณซายแน้ ข้อยเว่าสำเนียงเมืองกรุงบ่ได้อีหลี”
เมื่อเห็นว่ากิ่งกล้ายังคงเล่นแง่ ปรเมธจึงคว้าแขนหญิงสาวให้เดินตามมาตรงมุมลับตาคนในสวน พร้อมเปิดฉากเจรจา
“เธอจะยอมรับดีๆ หรือจะให้ฉันใช้กำลัง”
“คุณซายสิเฮ็ดอิหยัง” หญิงสาวรีบยกมือขึ้นกอดอก “อย่าบอกนะว่าสิข่มขื่นข้อย”
“บ้าสิ” ปรเมธมองคนตรงหน้าอย่างเอือมระอา หล่อนกล้าดียังไง คิดว่าเขาจะทำมิดีมิร้ายหล่อนในสภาพแบบนี้
ชายหนุ่มหยิบสายยางขึ้นมา ที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากเล่นแรงๆ แบบนี้หรอก แต่เขามั่นใจว่าผู้หญิงคนนี้ต้องมีลับลมคมในอะไรบางอย่าง ที่อาจจะทำให้วังที่เคยสงบสุขของเขาต้องวุ่นวาย
“คุณซายหยิบสายยางขึ้นมาเฮ็ดหยัง” กิ่งกล้าเหงื่อตก นี่เขาคิดจะทำอะไร
ปรเมธยิ้มเย็น สาวเท้าเดินไปทางก๊อกน้ำ ก่อนจะบิดหัวก๊อก สายน้ำที่ไหลมาตามสายยางเป็นคำตอบได้ดีสำหรับหญิงสาว
“บังเอิญวันนี้ฉันมีอารมณ์อยากจะรดน้ำต้นไม้ขึ้นมาพอดี” เขาจับสายยางไว้ที่ระดับเอวเป็นเชิงขู่ “ถ้าเธอไม่ยอมยอมรับล่ะก็ บางทีฉันอาจจะอยากรดน้ำต้นไม้ต้นข้างๆ เธอก็ได้”
กิ่งกล้ายืนนิ่งครุ่นคิด นี่เขากล้าขู่เธองั้นเหรอ คนอย่างกิ่งกล้าต้องมาจนมุมให้คุณชายหน้าอ่อนเนี่ยนะ ไม่จริง มันต้องมีวิธีสิ ความจะมาแตกเอาวันแรกไม่ได้เด็ดขาด
“คุณซายยย ข้อยเว่าบ่อได้อีหลี” เธอพยายามอ้อนวอน ซึ่งปรเมธไม่คล้อยตามเลยสักนิด
“ฉันมีเวลาให้เธอสามวิ จะยอมรับหรือไม่ยอมรับ”
“ข้อย...”
“หนึ่ง” ชายหนุ่มเริ่มนับ
“คุณซายยย”
“สอง”
“ข้อยเว่ากลางบ่ได้”
“สาม”
ปรเมธยกสายยางขึ้นมาพร้อมฉีดไปยังหญิงสาวที่กระโดดหลบไปอยู่หลังต้นไม้ เมื่อเห็นว่าเขาเอาจริง กิ่งกล้าจึงยอมตัดแขนตัวเองเพื่อให้ตัวอยู่รอด เรื่องสำเนียงภาษาน่ะไม่เท่าไหร่ เรื่องสีผิวนี่สิเรื่องใหญ่ ถ้าโดนน้ำล่ะก็จบแน่ หญิงสาวตัดสินใจตะโกนบอกคนที่กำลังฉีดน้ำมาทางเธอ ครั้งนี้เธอแพ้ แต่ครั้งหน้าอย่าหวังเลย
“เออๆ ฉันยอมรับ ฉันพูดสำเนียงกลางได้ พอใจหรือยัง ถ้าพอใจแล้วก็เลิกฉีดน้ำสักที! “
ปรเมธลดสายยางลง กรณาราถอนหายใจอย่างโล่งอก ตวัดสายตาเคืองไปทางคนที่ฉีดน้ำใส่เธอ
“ฉันพูดกลางได้แล้วจะทำไม ไม่เห็นสำคัญตรงไหน”
ชายหนุ่มที่เพิ่งเดินกลับมาจากก๊อกน้ำมองหญิงสาวตัวปัญหาที่เพิ่งปรากฏตัวได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ทำให้ท่านหญิงรำไพสติแตกได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาจ้องเธอนิ่งก่อนจะค่อยๆ ขยับปากตอบ
“ใช่ มันจะไม่สำคัญเลยถ้าเธอไม่โกหกฉันว่าเธอพูดไม่ได้”
กรณาราหมดคำแก้ตัว เธอแพ้อีตาคุณชายนี่อีกแล้ว ไม่สิ เธอต้องสู้ ขึ้นชื่อว่ากิ่งกล้าแล้วมีหรือจะยอมง่ายๆ
“กะ...ก็ ฉันแค่ล้อเล่น”
“ล้อเล่นได้เนียนมากเลยนะ”
“นี่ อย่ามาหาเรื่องกันนะ”
“ฉันไม่ได้หาเรื่อง เธอเองต่างหากที่ดูไม่น่าไว้ใจ”
กรณารารีบดึงเสื้อแขนยาวที่พับไว้ถึงข้อศอกลงมาปิดสีผิวปลอม
“อะไร ฉันยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย คุณคิดดูดีๆ นะว่าใครหาเรื่องใครกันแน่ ท่านหญิงรำไพทั้งนั้น” หญิงสาวเบ้ปาก คุณชายนี่ก็ดีแต่เข้าข้างคนของตัวเอง
“ถ้าเธอไม่แหย่ ท่านป้าก็คงไม่โมโหขนาดนั้น”
ปรเมธโต้กลับ เท่าที่เขาเห็นท่านป้าเป็นคนหาเรื่องกรณาราก่อนจริงๆ แต่ถ้าผู้หญิงตรงหน้าไม่แหย่กลับ หม่อมเจ้ารำไพก็คงจะอารมณ์สงบมากกว่านี้
“โทษฉันว่างั้น”
“ก็มันจริงไหมล่ะ”
“เออ จริง ฉันจงใจยั่วโมโหท่านป้าของคุณ แล้วยังไง คุณจะทำไมเหรอคะ”
กรณาราเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงท้าทาย ปรเมธแทบอยากจะขย้ำคนตรงหน้าให้แหลกด้วยความหมั่นไส้สุดจะทน แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิด ในความเป็นจริงชายหนุ่มทำได้เพียงแค่มาบอกธุระของตนเท่านั้น
“ฉันไม่อยากเถียงกับเด็กอย่างเธอแล้ว ท่านแม่ให้มาตามเธอไปดูห้อง รีบตามมาแล้วกัน”
พูดจบปรเมธก็เดินหันหลังกลับไปทันทีด้วยไม่อยากทะเลาะกับเด็กไม่รู้จักโต กรณาราอารมณ์พุ่งปรี๊ด หมอนั่นแก่กว่าเธอเท่าไรกันเชียวมาว่าเธอเด็กอย่างมากก็แค่สองสามปีล่ะวะ
หญิงสาวแลบลิ้นตามหลังคนขี้เก๊ก ก่อนจะเดินตามเข้าไปในวัง
ความคิดเห็น