คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : The forbidden book No.7 l Tennouji Maria
THE FORBIDDEN BOOK NO.7
[The Smiley Mist Guardian who is not willing to open her mind again]
Even in the word ‘Belief’, there lies a ‘lie’.
แม้แต่ในคำว่าความเชื่อ...ก็ยังมีคำลวงซ่อนอยู่...
Application
“แหมๆๆๆ ไม่มีหลักฐานก็คือใส่ร้ายกันน้า...รังแกผู้หญิงแบบนี้หน้าไม่อายกันจัง...”
"ความจริงเป็นยังไงสำคัญตรงไหน
สำคัญว่าเขาเชื่อว่าอะไรคือความจริงต่างหากล่ะ"
บท: บทที่ 6 ฮิบาริ เคียวยะ
ชื่อ-นามสกุล: Tennouji
Maria [เท็นโนจิ มาริอะ] [เรียงสกุล-ชื่อแบบญี่ปุ่น]
ชื่อเล่น: Mari
[มาริ]
ความหมายของชื่อ:
เท็นโนจิ – วิหารแห่งราชันสวรรค์ / มาริอะ – ความเฉลียวฉลาดอันแท้จริงและชัดเจน
(แปลจากคันจินะคะ)
สังกัด: โรส เลดี้
แฟมิลี่
อายุ: 24
วันเกิด: 5
พ.ย.
สัญชาติ: ญี่ปุ่น
เชื้อชาติ: ...ฝรั่งเศส
มันมีสาเหตุนะคะ อ่านจากประวัติและหมายเหตุได้เลยค่ะ
ลักษณะรูปร่าง:
มาริอะเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามหมดจด
เจ้าของรูปร่างโปร่งเพรียวได้สัดส่วนจนน่ามองไปเสียหมด แขนขาเรียวยาวแต่ไม่เก้งก้าง
หน้าอกหน้าใจแม้จะไม่เด่นอะไรแต่ก็จัดว่ามีกำลังพองาม (คัพบี) ผิวขาวนวลแทบไร้รอยตำหนิ
อาจมีแผลเป็นเล็กๆ หรือรอยแดดบ้างเล็กน้อย แต่นั่นก็แค่ทำให้เธอดูสมเป็นมนุษย์มากขึ้นเท่านั้น
ไม่ใช่ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบแต่อย่างใด ดวงหน้าอ่อนเยาว์ใสกระจ่างชวนมองนั้นประกอบจากเครื่องหน้าทุกอย่างออกมาได้อย่างงดงามสมบูรณ์
ตั้งแต่ดวงตาสีฟ้าหม่นดุจท้องฟ้าในยามหิมะโปรย จมูกโด่งรั้น เชิดเล็กน้อย ริมฝีปากเป็นสีเชอร์รี่จางๆ
อวบอิ่มดูน่าสัมผัส ผมสีทองราวกับแสงตะวันยามเช้าที่ยาวลงมาเลยบ่าเล็กน้อย หยักศกนิดๆ
ตรงปลายตามธรรมชาติ ที่เจ้าตัวชอบปล่อยให้มันยาวสบายแบบไม่ทำอะไรกับมันนักนอกจากหวีจัดทรง
ยามมันล้อมใบหน้าไว้ก็ยิ่งขับเน้นความกระจ่างใสของใบหน้าและยิ่งทำให้หน้าเธอดูเล็กลงเข้าไปอีก
เรื่องการแต่งกาย ส่วนใหญ่มาริอะจะชอบแต่งตัวในชุดสบายๆ
เพราะให้เหตุผลว่ามันใส่แล้วเคลื่อนไหวคล่องดีแบบไม่กลัวโป๊แต่อย่างใด
ไม่รู้ทำไมชอบใส่เดรสสีขาวเป็นพิเศษทั้งที่เจ้าตัวก็ไม่ได้โปรดปรานสีขาวขนาดนั้น
มักแต่งตัวตามอารมณ์ตามใจตอนนั้นมากกว่า เลยไม่ค่อยมีรูปแบบตายตัว
ลักษณะการพูดจา:
มาริอะเป็นคนที่มีน้ำเสียงหวานใสไพเราะน่าฟังมากๆ
เสียแต่เนื้อความที่พูดมักไม่ค่อยน่าฟังจนเสียของซะนี่
ปกติจะเป็นเสียงที่ไม่ดังเกินไปและไม่เบาเกินไป
แต่ก็ขึ้นกับอารมณ์และสถานการณ์เช่นกัน
และเป็นคนที่ยิ้มตลอดเวลาที่พูดแม้ว่าจะเป็นเรื่องฉิบหายขนาดไหนก็ตาม
ที่สำคัญคือเป็นคนที่จับอารมณ์จากน้ำเสียงยากมากๆ เดาใจไม่ถูกว่าจริงๆ
คิดอะไรอยู่น่ะสิ
ปกติแล้วมาริอะมักจะแทนตัวเองว่า
“ฉัน” แทนคนอื่นว่า “เธอ” “นาย” ไม่ก็เรียก “ชื่อจริง”
โดยไม่ค่อยคำนึงถึงตำแหน่งหรือความอาวุโสใดๆ
ถ้าเรียกคุณหรืออะไรหรูหราขอให้รู้ว่าประชดล้วนๆ มีคำลงท้ายค่ะคะบ้าง แต่ไม่ถี่
และมักจะใช้ตอนกวนประสาทเนี่ยสิ...
01:
เมื่อมีคนเดินเข้ามาหาแล้วพูดว่า...
“เฮ้ ยัยหัวทอง”
มาริอะที่กำลังจดจ่อกับหนังสือไม่ได้สนใจคำพูดของอีกฝ่ายนัก
อย่างน้อยก็จนกระทั่งอีกฝ่ายกระชากหนังสือออกไปจากมือเขา
นัยน์ตาสีอ่อนฉายประกายวูบหนึ่งก่อนจะกลับมาราบเรียบ ดวงหน้างดงามเงยขึ้นมามอง ก่อนจะยิ้มกว้าง
“...พูดกับฉันอยู่เหรอคะ?”
“ก็เออสิวะ!!!”
“งั้นคราวหน้าช่วยเรียกชื่อฉันให้ถูกด้วยนะ
พอดีฉันไม่ได้ชื่อหัวทอง”
“นี่แก๊!!!”
“เฮ้อ...พูดไม่รู้เรื่องรึไงกันน้า...”
มาริอะยันกายลุกขึ้น
เอื้อมคว้าหนังสือไปจากมืออีกฝ่าย ปัดมันด้วยท่าทีทะนุถนอม ก่อนจะเงยหน้ามองยิ้มๆ
แต่ตาไม่ได้ยิ้มตาม แล้วแคะขี้หูเดินผ่านร่างของอีกฝ่ายไปอย่างไม่สนใจ
“เอาเป็นว่าเชิญไปตามหาคุณ
‘แก’ กับคุณ ‘หัวทอง’
ต่อตามสบายแล้วกัน ไปล่ะ ไม่ส่งนะ”
สถานการณ์ 02: เมื่อมีคนคาดคั้น...
“ไม่ต้องมาอมพะนำเลย
บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าเธอรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับหมอนั่น มาริอะ”
เจ้าของชื่อเลิกคิ้ว
มองอีกฝ่ายที่ทำท่าเหมือนตัวเองถือไพ่เหนือกว่าเสียเต็มประดาทั้งที่เป็นฝ่ายมาขอร้องแท้ๆ
รอยยิ้มขบขันปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง
“แล้วทำไมถึงคิดว่าฉันรู้ล่ะ?”
“นั่น...อย่ามาเปลี่ยนเรื่องน่า! เอาเป็นว่าฉันรู้ว่าเธอรู้แล้วกัน”
“เชื่อคำคนอื่นทั้งที่ไม่รู้ว่าจริงรึเปล่าเนี่ย...”
มาริอะหยุดแค่นั้น “...ไม่คิดเหรอคะว่ามันดูโง่มาก?”
“นี่แกหลอกด่าฉันเหรอ!?”
“ตรงไหนที่ว่าหลอกด่าล่ะ?”
“ก็...ก็...”
อีกฝ่ายชี้หน้า นิ้วสั่นระริก ไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาโต้ตอบคนตรงหน้าดี
“แกด่าฉันว่าโง่!!!”
“...ดูท่าว่านายจะเข้าใจอะไรผิด...” มาริอะแสร้งถอนหายใจเบาๆ
“ฉันแค่ถามว่ามันดูโง่หรือเปล่า ถ้านายคิดว่าโง่ นั่นก็แปลว่าคนที่ด่านายว่าโง่ก็ไม่ใช่ใคร...แต่เป็นตัวนายเองนั่นแหละครับ
ตาคนโง่เอ้ย”
“เฮ้ย! แกด่าฉัน!!!”
มาริอะกะพริบตาเล็กน้อย
“อ้าว หายโง่แล้วนี่นา ว้า ไม่สนุกเลย...”
03: VS
เจ้าของรางวัลตุ๊กตาทองคำสาขาสร้างภาพดีเด่น(?)
ดวงตาสีอ่อนมองร่างของใครคนหนึ่งที่กำลังเดินยิ้มเข้ามาหา
แต่แววตาไม่ยิ้ม ทำเอามาริอะลอบหัวเราะในใจ
สุดท้ายก็แบบนี้...
“ฉันเชื่อว่าคุณจะไม่เอาเรื่องนั้นไปบอกใครใช่มั้ยคะ?”
หล่อนยิ้มหวานหยด หากคั้นน้ำออกมาจากรอยยิ้มนั้นได้คงเลี่ยนบาดคอน่าดู
“แต่ต่อให้ฉันไม่มาพูด ฉันก็เชื่อว่าคุณคงฉลาดพอที่จะรู้นะคะว่าต้องทำยังไง
สายหมอกจอมลวงหลอกอย่างคุณน่ะ ไม่มีใครเชื่อหรอก”
มาริอะเอียงคอเล็กน้อย ทำหน้างง “เธอพูดเรื่องอะไรอยู่น่ะ ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”
“อย่าเล่นตัวไปหน่อยเลยค่ะ แล้วก็เลิกแกล้งโง่สักที! ก็เรื่องเมื่อคืนที่คุณเห็นฉันคุยต่อรองกับอีกแฟมิลี่...”
“...อ๋อ”
“หายโง่แล้วหรือคะ? งั้นเรามาตกลงกัน—“
“...ตกลงว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอจริงๆ
สินะ” มาริอะยิ้ม และรอยยิ้มยิ่งกดลึกเมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่ายยิ่งซีดเผือดลงไปทุกที
“พอดีว่าตอนนั้นฉันรีบเลยไม่ทันมองชัดๆ ก็สงสัยอยู่ว่าเป็นใคร
แหม...ขอบคุณนะคะอุตส่าห์ที่มาบอกฉัน คงเหนื่อยแย่เลย”
ที่จริงแล้วเธอเห็นชัดเต็มสองตาเลยล่ะ
แต่ช่วยไม่ได้ ใครใช้หล่อนเสร่อมาหาเรื่องเธอแบบนี้ล่ะ?
“นะ..นี่แก!!!”
“แหมๆๆ...พูดจารุนแรงจังเลยน้า...”
มาริอะหัวเราะคิกคัก “ว่าแต่ที่พูดค้างไว้เมื่อกี้น่ะ...”
อีกฝ่ายคืนท่าทีสุขุมกลับมาอีกครั้ง “หึ...อยากได้เท่าไหร่ก็ว่ามา...”
มาริอะฉีกยิ้ม และครั้งนี้มันลามไปถึงดวงตายามเธอเอ่ยประโยคถัดมา
“แทนที่จะถามฉัน ถามนู่นดีกว่ามั้ย
ว่าจะเขาอยากได้ชดเชยเป็นอะไรดี”
และสีหน้ายามคู่กรณีหันไปเห็นบอสพร้อมผู้พิทักษ์และคิลเลอร์ครบชุดที่เป็นภาพมายาของเธอนั้นก็ทำเขาอารมณ์ดีไปอีกสามวันหลังจากนั้นเลยทีเดียว...
04: And
I still think of you
ดอกไม้สีฟ้าใสเฉกเช่นเดียวกับสีท้องฟ้าถูกวางลงที่หน้าแผ่นหินเย็นเยียบ
ตัวอักษรที่สลักไว้ย้ำชัดถึงความเป็นจริงที่ไม่เคยปรานีต่อผู้ใด
‘เท็นโนจิ เอริกะ’
“ไง...เอริกะ”
มาริอะพูด แตะที่แผ่นหินราวกับมันเป็นหัวของใครคนนั้นที่เธอเคยเล่น
นิ้วเรียวไล่ไปตามตัวอักษรช้าๆ ราวกับจะตอกย้ำความจริงไว้ตรงกลางใจไม่ลืมเลือน
“ดูท่าจะสบายดีนะ”
เธอพูดเสียงแผ่วลงจนแทบกลืนไปกับสายลม เหม่อมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆครื้มคล้ายว่าฝนจะเทลงมาได้ทุกเมื่อ
“...โกรธเหรอ...ที่มากวนตอนนอนน่ะ”
“...”
หยาดฝนค่อยๆ โปรยปรายลงมาช้าๆ แต่มาริอะก็ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน
คล้ายว่ากำลังรอคอยให้เจ้าของร่างใต้แผ่นหินนี้กลับมาหา นานนักกว่าเธอจะเอ่ยปากอีกครั้ง
ก่อนจะหันหลังเดินจากไปช้าๆ
“...หลับให้สบายนะเอริกะ
ไว้พี่จะมาหาใหม่นะ”
05: ความจริง ความลวง และความเชื่อ?
“...ทำไมเธอถึงเชื่อว่าพระเจ้าไม่มีจริงล่ะ?”
มาริอะเงยหน้ามองคนถาม น้อยครั้งเหลือเกินที่จะมีใครถามอะไรแบบนี้กับเธอ
และนานเหลือเกินที่เขาไม่ได้ถามแบบนี้กับใครสักคนเช่นกัน
“แล้วทำไมถึงคิดว่าพระเจ้ามีจริงล่ะ?”
“ไม่ใช่เหรอ? ก็เขาสอนมา...”
“เคยเห็นเหรอ? พระเจ้าที่ว่าน่ะ”
“บ้า! ใครมันจะไปเคย...อีกอย่างด้วยพลังของเธอ ต่อให้เห็นก็ไม่แน่ว่าจะเป็นความจริงไม่ใช่หรือไง”
“ก็นั่นน่ะสิ...ขนาดเห็นด้วยตายังเชื่อไม่ได้
แล้วสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา...จะเชื่อได้ยังไงล่ะว่ามีอยู่จริง?”
มาริอะตอบเรียบๆ ก่อนจะก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไปโดยไม่สนใจสีหน้าตกตะลึงของอีกฝ่ายอีก
หมายเหตุ: ไม่มีโหมดเสียสติเพราะชีนางจะหัวเราะอย่างเดียวแล้วใช้พลังโครมๆเลยค่ะ
เลยไม่รู้จะเขียนอะไร เพราะเขียนไปคงมีแต่เสียงหัวเราะ โกรธและเสียใจก็คล้ายๆ ตอนปกติอีกต่างหาก...
06: VS นายป่าเถื่อน(?)
มาริอะรู้สึกสนุก แต่ก็เพลียหน่อยๆ กับคนตรงหน้า เฮ้อ
ผู้ชายหนอผู้ชาย เอะอะก็จะใช้แต่กำลัง
“ลงไม้ลงมือกับผู้หญิงบอบบางแบบนี้ไม่ดีเลยน้า”
ว่าพลางหลบทอนฟาที่ฟาดเข้ามาได้หวุดหวิด สีหน้าหงุดหงิดทำให้เธออดแหย่ต่อไม่ได้
ทั้งๆที่บอสและคนอื่นตะโกนบอกให้หยุด เธอก็ไม่สน
“ว่าแต่สารอาหารไม่ไหลไปสมองเหรอคะ
ถึงได้ไม่พัฒนาจนใช้แต่กล้ามเนื้อเนี่ย”
“ยัยสัตว์กินพืช!”
“เอ...ผักอร่อยออกนะ
แล้วพูดก็พูดเถอะ นายไม่กินผักเลยเหรอ ไม่กินเลยระวังท้องผูกน้า”
“แก...ตาย!!!”
“ว้าย กลัวจังเลย กลัวแล้วค่า
คุณผู้พิทักษ์เมฆาคนเก่งโกรธแล้ว ทำไงดีน้า กลัวจังๆ”
แต่สีหน้ายิ้มระรื่นนั่นดันบอกอีกอย่างน่ะสิ...
อุปนิสัย:
‘จงอย่าเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น เพราะสิ่งที่เห็นกับความเป็นจริงไม่ใช่อย่างเดียวกันเสมอไป’
ในสายตาของคนที่มองมาแล้ว วินาทีแรกที่เห็นมาริอะจะเห็นว่าเธอเป็นหญิงสาวที่หน้าตาเหมือนเด็กสาวแรกรุ่นเสียมากกว่า
ท่าทางน่าเชื่อถือ มีรอยยิ้มประดับหน้าตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มน้อยๆ
หรือรอยยิ้มสดใส ประหนึ่งว่าต่อให้โลกนี้แตกต่อหน้าก็คงทำเธอเลิกยิ้มไม่ได้ ทำตัวกวนประสาทไปเรื่อยเปื่อย
เหมือนไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันกับเขาสักที
หากคุณคิดแบบนี้ ขอให้ลบความคิดนั้นออกไปให้หมดแล้วมาอ่านเรื่องราวของเธอต่อจากนี้
แล้วคุณจะไม่มีวันมองเธอเป็นเหมือนเดิมได้อีกเลย...
การทำตัวเหมือนจะสดใสเป็นมิตรของมาริอะนั้น คงไม่ผิดอะไรหากจะบอกว่าส่วนหนึ่งเป็นการสร้างภาพ
ในโลกที่ผู้คนตัดสินใจคนอื่นเพียงสายตา ภาพลักษณ์ที่ดีนั้นก็ไม่ต่างอะไรไปจากอาวุธหรือเกราะชั้นเลิศที่จะรักษาชีวิตตัวเองให้รอดปลอดภัยได้
ก็จะมีสักกี่คนกันเชียวที่เราได้สนิทสนมหรือทำความรู้จักกันจนเห็นเนื้อแท้ล่ะหืม?
แต่ในกรณีของมาริอะจะบอกว่าเธอสร้างภาพก็ไม่ถูกไปเสียหมด
ถูกที่เธอปรับนิสัยออกมาเป็นแบบนี้เพราะอะไรหลายๆ อย่าง จะบอกว่าสร้างภาพก็ได้
แต่เธอจะไม่สร้างภาพเป็นคนดีเด็ดขาด เพราะสิ่งที่เธอเกลียดที่สุดอย่างหนึ่งในโลกคือคนที่ชอบสร้างภาพเป็นคนดี
แต่เธอก็ไม่ได้เป็นพวกขวางโลกแต่อย่างใด ดังนั้นมันก็เลยออกมาเป็นแบบนี้ไปเองตามธรรมชาติ
แต่แม้คาร์แร็กเตอร์ภายนอกจะดูเป็นแบบนี้ก็ใช่ว่าจะเคี้ยวได้ง่ายๆนะบอกไว้ก่อน
มาริอะมีนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์อยู่อย่างหนึ่งคือเป็นคนที่ชอบเฝ้ามองอยู่ห่างๆ
มากกว่าจะไปส่วนร่วมอะไรกับใครโดยตรงหากไม่สนใจ (แน่นอนว่าถ้าสนใจก็คือไปก่อนใครเขาเลย
และร้อยละแปดสิบของสิ่งที่เธอสนใจมักเป็นเรื่องไร้สาระและการแกล้งแหย่คนอื่น)
ซึ่งก็ออกจะทำคนปวดหัวเพราะเรื่องที่ไม่น่าสนใจสำหรับเธอส่วนใหญ่ดันเป็นงานที่ควรจะทำเนี่ยสิ
เวลานี้ทำตัวเหมือนเป็นผู้ชมในโรงละคร ดูคนอื่น(ที่โดนหลอกหรือโดนใช้ให้ไปทำแทน)แสดงกันไป
ในขณะที่ตัวเองนั้นเฝ้ามองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ไม่มีใครอ่านออกว่าเธอคิดอะไรอยู่กันแน่
และแน่นอนว่าทักษะการสังเกตของเธอนั้นยอดเยี่ยมมาก สายตาเฉียบคมที่สุด โดยเฉพาะการจับโกหกและการดูนิสัยที่แท้จริงของคนเนี่ยของถนัดเธอเลย
ก็เธอเป็นผู้ใช้มายาทั้งที จะไม่รู้จักมายาได้ยังไงล่ะจริงไหม?
อีกทั้งการอยู่ท่ามกลางผู้คนที่แสดงละครหลอกลวงสายตาคนอื่นมาตั้งแต่เด็กทำให้ทักษะเธอยิ่งเพิ่มพูน
บวกกับเซ้นส์ในตัวทำให้การตัดสินใจในเรื่องนี้ของเธอนั้นแทบไม่มีพลาดเลยก็ว่าได้ แต่แน่นอนว่ามันก็ต้องมีกันบ้างแหละน่า
นอกจากจะช่างสังเกตอย่างร้ายกาจแล้ว มาริอะยังเป็นคนที่รู้จักจับจังหวะได้ดีที่สุดคนหนึ่งอีกด้วย
เธอรู้ว่าควรจะทำอะไรเวลาไหนถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี รู้ว่าตอนไหนควรเงียบตอนไหนควรลงมือ
และที่สำคัญคือรู้ว่าตอนไหนควรทำตัวฉลาด และตอนไหนควรแกล้งโง่ ซึ่งร้อยละแปดสิบของการแกล้งโง่นั้นมักเป็นการทำตัวเรื่อยๆเปื่อยๆสบายๆ
กลมกลืนไปกับมนุษย์มนาปกติทั่วไป ดีไม่ดีคนธรรมดาบางคนยังเด่นกว่าด้วยซ้ำ ประหนึ่งว่าชีวิตฉันมันก็ลอยชายอยู่แค่นี้ไม่มีอะไรให้น่าสนใจหรอก
ก็แหงล่ะเพราะเธอไม่ชอบทำตัวเด่นน่ะสิ แต่ไม่ได้ขี้อายนะขอบอก ความจริงเธอออกจะหน้าหนาด้วยซ้ำ
แต่พอคล้อยหลังไปฮีก็จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบเมื่อสบโอกาส ให้อารมณ์ลาสบอสที่อยู่หลังม่านประมาณนั้น
แล้วเธอยังเป็นคนประเภทที่ว่าทำฉันมางั้นผมแถมคืนให้สิบเท่าแล้วกัน โดยเฉพาะกับเรื่องร้ายๆเนี่ยตัวดีเลย
แต่เรื่องดีๆทำแล้วดันให้คืนแบบเสมอตัวซะงั้น ซึ่งจริงๆเธอก็จำไว้นะ แต่จะตอบแทนแบบไม่เอิกเกริกเท่าไหร่ก็แค่นั้นเองด้วยการไม่ร้ายใส่
จบ(?)
ถึงจะบอกว่ามาริอะเป็นพวกชอบมองเรื่องราวมากกว่าจะก่อเรื่องเองก็ตาม
แต่ที่เธอก่อเรื่องเองก็มีไม่น้อยเหมือนกัน
แต่มักจะเป็นเรื่องที่เธอเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับตัวเอง (แต่บางทีมันดันใหญ่ในสายตาคนอื่นเนี่ยสิ)
ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่โดนลากเข้าไปเอี่ยวด้วยล่ะก็...เธอก็ยินดีจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บทละครฉากนั้นออกมาสมบูรณ์ที่สุด...ในแบบที่เธอสนุกอ่ะนะ
ทำตัวเหมือนจะไม่ยุ่ง แต่ใจจริงๆแล้วก็ชอบเรื่องสนุกเอามาแก้เบื่อนั่นแหละ (เพราะงั้นถ้าไม่สนุกก็จะไม่ยุ่ง)
ถึงได้เฝ้ามองเรื่องราวของคนอื่นอยู่เรื่อย แล้วไอ้คำว่าสนุกของมาริอะเนี่ยเกือบร้อยละร้อยมักลงเอยด้วยความฉิบหายของใครสักคนแถวนั้นเสมอด้วยเนี่ยสิ...
คุณคงคิดว่ามาริอะมองโลกยังไงถึงได้พูดออกมาแบบนี้...อ๋อ...ก็มองตามความเป็นจริงนั่นแหละ
เพียงแต่เจอคนตอแหลมาเยอะไปหน่อย ฟิลเตอร์ความดาร์กของเธอก็เลยเยอะ ออกจะมองโลกค่อนไปทางแง่ร้ายนิดๆ
เป็นการระวังตัวเองไว้ก่อน ทำตัวเหมือนเข้าหาได้แต่ความจริงแล้วเปิดใจยาก จิตใจและความคิดค่อนข้างซับซ้อนทั้งๆที่ดูเหมือนเล่นๆ
เรื่อยเปื่อยไร้สาระไม่ได้คิดอะไรเท่าไหร่ เป็นคนประเภทที่มีคติและหลักการใช้ชีวิตที่ฟังแล้วเด็กวัยเดียวกันอาจมองว่ายัยนี่มันผ่านชีวิตแบบไหนมาวะเนี่ยถึงได้คิดแบบนี้
และคติประจำใจของเธอก็สมกับเป็นผู้ใช้มายาเสียเหลือเกิน มันเป็นคำพูดที่เธอเคยได้ยินจากใครคนหนึ่งที่เปลี่ยนโลกทั้งใบของเธอ
และทำให้เธอเป็นตัวเธออย่างทุกวันนี้
‘ใครจะไปสนล่ะว่าความจริงเป็นยังไง
แค่ทำให้คนอื่นเชื่อว่าสิ่งที่เห็นเป็นความจริงต่างหากที่สำคัญ’
คือคำพูดที่ว่านั้น และมันช่างเหมาะสมกับเธอที่เป็นผู้ใช้มายาเสียเหลือเกิน
เพราะต่อให้สิ่งที่เธอสร้างไม่ใช่ความจริง แต่ขอเพียงอีกฝ่ายเชื่อ...แค่นั้นมันก็มีอำนาจขึ้นมาทันที
โดยเฉพาะกับมนุษย์ที่มักเชื่อในสิ่งที่ตาตนเองเห็นเนี่ย...ฮิฮิ
มาริอะเป็นคนที่เหมือนจะไม่ได้รู้สึกรักชอบหรือเกลียดชังอะไรใครเป็นพิเศษ
เมื่อดูจากท่าทางที่เล่นไปเรื่อยแล้ว แต่จริงๆ แล้วเจ้าตัวเป็นคนที่ถ้าเป็นของที่ชอบหรือเกลียดจริงจังแล้วจะสุดโต่งพอควร
แต่เป็นการสุดโต่งแบบเงียบๆ เนียนๆ ไหลๆ ตามสไตล์ประมาณว่าถ้าไม่สังเกตจริงๆ หรือเจ้าตัวไม่พูดออกมาตรงๆ
จะไม่รู้เลยว่าเธอรักหรือเกลียดอะไรกันแน่ แต่เชื่อเถอะ เธอก็มนุษย์คนหนึ่งนั่นแหละ
เพียงแต่เลือกจะไม่ได้แสดงออกมาก็เท่านั้นเอง
พูดมาขนาดนี้ก็แน่นอนว่ามาริอะไม่ใช่คนตรงไปตรงมาหรอก ตรงกันข้ามเลยต่างหาก
คือเป็นคนที่สามารถพูดโกหกได้หน้าตายตาไม่กระพริบแบบมีออร่าน่าเชือถือ(ที่คนที่ไม่รู้จักมักจะตกหลุมพราง)ออกมา
และว่ากันว่าคำโกหกที่น่าเชื่อถือมากที่สุดคือคำโกหกที่มีความจริงผสมผสานอยู่ในนั้น
ดังนั้นทำใจเลยค่ะว่าสิ่งที่ออกจากปากของมาริอะมักจะไม่มีอะไรจริงร้อยเปอร์เซ็นต์และไม่มีอะไรโกหกร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นกัน
มันก็ปนๆกันอยู่ในนั้นนั่นแหละ ไปหาเอาเองก็แล้วกันว่าอันไหนจริงไม่จริง แถมบางทีก็ชอบพูดคลุมเครือครึ่งๆกลางๆ
ให้ไปคิดเอาเองต่อแบบผิดๆอีกต่างหาก แต่ปกติแล้วมาริอะจะชอบถามย้อนกลับ เนียนเปลี่ยนเรื่อง
ไม่ก็มาเป็นสำนวนปรัชญาคำคมที่ฟังแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าต้องการจะสื่ออะไรกันแน่
หลายคนก็เลยนึกว่าเธอพูดด้วยไม่รู้เรื่อง กวนประสาทที่สุด ส่วนอีกพวกก็บอกว่ามันทำให้เธอดูลึกลับไปซะอย่างนั้น
แต่จริงๆแล้วถ้าตีความสิ่งที่เธอพูดออกจะรู้เลยว่ายัยนี่มันร้ายค่ะ...
จริงๆ อยากจะบอกว่าดีแล้วที่พูดอย่างนั้น เพราะถ้าเกิดถึงคราวที่มาริอะดันพูดตรงเมื่อไหร่
มันจะมาแบบสั้นกระชับ แต่เหมือนโดนไม้หน้าสามตีแสกหน้ากลางสี่แยกโดยไม่มีคำหยาบคายใดๆทั้งสิ้น
แถมไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า นึกอยากจะมาเมื่อไหร่มันก็มา ทำเอาคนช็อกซีนีม่ากันมาเยอะแล้ว
แล้วนี่ก็ไม่อยากพูดเลยว่ามาริอะน่ะชอบสีหน้าเหวอๆ ตอนช็อกแบบนั้นสุดๆเลยล่ะ...
เห็นมาริอะเป็นคนที่พูดจาสุภาพ มีคำลงท้ายเป็นระยะก็จริง แต่จริงๆ
ถ้าดูตามคำพูดแล้วคือปั่นประสาทคนมาก และเป็นคนที่ถนัดในการทำให้คนสติแตกด้วยคำพูดและท่าทางเพียงเล็กๆ
น้อยๆ และบางครั้งคือเธอน่ะไม่รู้ตัวหรอกกว่าบางทีการทำแบบนั้นน่ะมันดูกวนตีนในสายตาคนอื่น
(แต่ส่วนใหญ่จงใจเลยล่ะ) ไม่น่าแปลกใจว่าหากเกิดเรื่องชวนปวดประสาทในหมู่ผู้พิทักษ์
เกือบร้อยละเก้าสิบมักมีมาริอะเข้ามาเอี่ยวด้วย
ถ้าถามว่ามีนิสัยที่คาดไม่ถึงไหม มีค่ะ...คือเรื่องที่หนึ่งในสิ่งที่มาริอะชอบคือการอ่านหนังสือ
ผิดภาพพจน์มาก อ่านได้ทุกประเภทกระทั่งดิกชันนารีก็ยังอ่านได้ จะไม่อ่านก็พวกตำราทางศาสนานี่แหละด้วยความหลังอันไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่
(แต่ดันมีความรู้ทางศาสนาแน่นมากเพราะโดนสอนมาจนฝังหัว) ใครบังอาจมารบกวนเธอโดยไม่มีเหตุจำเป็นหรือทำหนังสือเธอยับ...ค่าเสียหายที่ต้องจ่ายน่ะแพงมากนะบอกเลย(?)เพราะมันแลกด้วยความซวยที่ถูกกำหนดมาแล้วยังไงล่ะ(?)
คืออย่างนี้ ต่อให้มาริอะเป็นคนไม่คิดอะไร เล่นไปเรื่อย แต่กับบางเรื่องเธอจะโคตะระจุกจิก
เช่น เรื่องหนังสือ ใครทำพังอาจจะเจออะไรแปลกๆได้ ส่วนเรื่องที่เธอยังไงก็ได้ก็คือยังไงก็ได้จริงๆ
เช่นคำถามโลกแตกประจำวันของใครหลายคนอย่างมื้อนี้กินอะไร...ไม่ต้องมาถามเธอ เพราะแน่นอนว่าคำตอบที่ได้คือ...
“อะไรก็ได้ที่อร่อย”
(แต่ถ้าใครเอาอะไรก็ได้ของเธอมาใช้มากวนกลับ...ไม่ขอรับประกันว่าของที่คุณทานเข้าไปเมื่อกี้จะกลายเป็นขี้หมาเมื่อไหร่นะคะ...)
มาริอะเป็นคนประเภทที่ว่าอยู่เหมือนไม่อยู่ แต่เวลาไม่อยู่กลับเหมือนอยู่
มีตำแหน่งเจ้าแม่กรมข่าวลับๆที่ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าตัวไปรู้มาจากไหน แต่เอาเป็นว่ามาริอะรู้แล้วกัน
แน่นอนว่าเธอไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่งเรื่องส่วนตัวของเธอมากเกินลิมิตที่เธอวางไว้ แต่ต่อให้มีก็เชื่อเถอะว่าเธอไม่ได้ปล่อยให้ใครเข้ามาสนิทด้วยง่ายๆหรอก
ปกติแล้วเธอเป็นคนเก็บความลับเก่งมากนะ แต่เชื่อเถอะว่าเรื่องมันจบไม่สวยแน่ถ้าคุณบังเอิญไปเป็นคู่กรณีกับเธอ
ยิ่งถ้าไอ้เรื่องที่ว่านั่นคุณอยากให้มันเป็นความลับมากเท่าไหร่ เดี๋ยวโลกก็รู้เองแหละ
แบบที่โลกไม่ลืมซะด้วย...
แต่ไหนแต่ไรมาริอะก็ไม่ใช่พวกชอบใช้กำลังอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเธอร่างกายอ่อนแอนะ
ก็แค่ไม่เห็นความจำเป็น (แต่ก็โดนฝึกมาจนได้) สมองมีก็ใช้ไปสิจะเปลืองแรงทำไม และต่อให้มีเรื่อง
พลังมายาที่เธอมีก็เป็นทางออกที่ดีที่สุดให้กับเธอเสมออยู่แล้ว
และต่อให้คับขันจริงๆ ก็จะชิลอยู่ดี เป็นพวกสายไม่ทุกข์ไม่ร้อนในทุกเรื่องเลยล่ะ
แถมไม่กลัวตายอีกต่างหาก
ดังนั้นไม่แปลกใจถ้าจะเห็นมาริอะไปทำอะไรบ้าระห่ำแบบไม่ค่อยกลัวตาย
ก็เพราะเธอไม่กลัวไง
มาริอะเป็นพวกที่ถูกนิยามได้ว่า ‘แปลกแยกแบบกลมกลืน
และกลมกลืนอย่างแปลกแยก’ คือถ้าไปถามคนทั่วไปจะบอกว่ามาริอะเป็นคนที่ดูแปลก
แต่ความแปลกของเธอนั่นกลับไม่ได้โดดออกจากคนอื่นแต่อย่างใด เหมือนกับว่าความแปลกของเธอมันเข้ากับคนอื่นได้
และคนอื่นก็ดูจะยอมรับในความแปลกนี้ไปเองอย่างงงๆ แต่มันก็ยังเรียกว่าแปลกอยู่ดีนั่นแหละนะ...
หลายคนมักจะสงสัยว่ามาริอะนี่เคยโกรธกับเธอบ้างหรือเปล่า ด้วยความที่ใจเย็นและดูสุขุมมากจนดูไม่กังวลกับอะไรเลยยกเว้นเรื่องหนังสือทำให้เกิดคำถามนี้
เศร้าเองก็เช่นกันเมื่อดูจากสีหน้าท่าทางที่หากไม่ยิ้มแบบคาดเดาไม่ออกแล้วก็จะเป็นสีหน้าโทนเฉยๆเรียบๆเหม่อๆมากกว่า
ขอบอกเลยค่ะว่า..
‘น้อยมากๆ’
แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิด...เธอไม่ได้ไม่โกรธเพราะควบคุมหรือจัดการอารมณ์ตัวเองได้ดี
และความเศร้าก็เช่นกัน แล้วจะหาว่าเธอไร้หัวใจก็ไม่ค่อยจะถูกเท่าไหร่...และไม่ได้อบอุ่นหรือแม้แต่เย็นชาด้วย
เพราะที่จริงแล้วเธอก็แค่ว่างเปล่ามันก็เท่านั้น...
ไม่ได้จริงใจทั้งหมด แล้วก็ไม่ได้จริงจังกับอะไรเต็มร้อยทั้งนั้น และแทบไม่คาดหวังอะไรจากใครเลยด้วย
พอไม่คาดหวัง ไม่จริงจังแล้วเธอจะไปโกรธกับเศร้าในเรื่องอะไรได้ล่ะ?
เพราะเคยคาดหวังแล้วมันพัง เธอก็เลยไม่คาดหวังไง
ไม่นับรวมเรื่องที่ว่าเธอเป็นพวกที่อยากเทอะไรแล้วก็จะเทเลย และถ้าเทอะไรไปแล้วจะไม่กลับมายุ่งด้วยอีกซ้ำเป็นครั้งที่สอง
น้อยครั้งจริงๆที่จะกลับมายุ่งอีก แต่ถ้าเลือกจะรักษาอะไรไว้แล้วแน่ๆ ต่อให้ตัวเองต้องพังทลายกลายเป็นภาพลวงตาหรือเป็นปีศาจเพื่อสิ่งนั้น...เธอก็จะทำ...จนกว่าสิ่งนั้นมันจะแหลกสลายไปมันก็เท่านั้นเอง...เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งเธอเคยพังมาแล้ว
และเธอมั่นใจว่าคงจะไม่มีครั้งต่อไปอีก...อย่างน้อยก็ในเร็วๆนี้
แต่ถ้าเกิดมาริอะโกรธหรือเศร้าขึ้นมาจริงๆ ส่วนใหญ่คนก็ดูไม่ออกอยู่ดีเพราะก็ยิ้มเหมือนเดิม
เพิ่มเติมคือคนที่ทำให้โกรธจะซวย(?) แต่ถ้ามันเป็นเหตุการณ์ที่ถึงจุดพีคแล้ว...สิ่งที่เธอจะทำอย่างแรกคือหัวเราะ...หัวเราะแบบคนเสียสติประมาณว่าต่อให้คนทั้งโลกมองว่าเธอบ้าเธอก็ไม่แคร์
เธอสนสายตาคนอื่นซะที่ไหนล่ะ แต่ก็หัวเราะแค่พักหนึ่งก่อนจะกลับมายิ้มเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือพลังชีจะเกรี้ยวกราดขึ้น...แบบที่ทำตัวเองไข้ขึ้นจนสลบไปเลยก็ได้
แค่อีกฝ่ายลงไปทรมานชักดิ้นชักงอหรือตายห่านหมดเป็นพอ ว่าง่ายๆ คือจัดเต็มแบบเบรกไม่หยุดฉุดไม่อยู่เลยล่ะ
ไม่มีมาใจยงใจเย็นอะไรทั้งนั้นแล้ว เรียกโหมดนี้ว่าโหมดเสียสติ...เพราะเธอเสียสติจริงๆ
แต่ตั้งแต่เกิดมาเคยเป็นอยู่แค่ครั้งสองครั้งเอง...
จะเห็นว่าตัวมาริอะนั้นไม่ได้ศรัทธาหรือเชื่อถืออะไรทั้งนั้น ใครมาบอกเธอว่าพระเจ้ามีจริงก็ไม่ต่างจากเดินมาบอกเธอว่าหมูบินได้นั่นแหละ
สิ่งที่เธอเชื่อจากใจจริงนั้นมีอยู่ไม่กี่อย่างเท่านั้น หนึ่งคือพลังของเธอเอง เพราะถ้าแม้แต่ตัวเองยังไม่เชื่อ
มันจะไปมีอำนาจอะไรได้ แต่ถึงจะเชื่อ เธอก็มีสติพอจะแยกออกว่าอันไหนคือความจริงและอันไหนคือสิ่งที่เธอสร้างขึ้นมานะ
และสองคือเชื่อว่าความเชื่อนั้นมีพลังอำนาจอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่สิ่งที่เธอว่ากันว่ายิ่งใหย่อย่างพระเจ้ายังกำเนิดมาจากความเชื่อ...ทั้งที่ไม่มีใครเคยเห็นด้วยซ้ำ
แต่ก็มีคนเชื่อเป็นล้าน แล้วมันจะไม่ยิ่งใหญ่ได้ยังไงกันล่ะ?
ส่วนในแง่ของความสัมพันธ์...ต้องบอกว่ามาริอะไม่มีความพยายามที่จะผูกมิตรหรือสนิทสนมกับใครทั้งนั้น
คือเธอไม่เข้าหาใครก่อนแน่ๆ ล่ะ แต่ถ้ามีใครเข้าหาอันนั้นก็ว่ากันอีกที แต่ประตูใจที่เปิดรับคนสนิทหรืออะไรทำนองนี้ก็เหมือนมายาเช่นกัน
คือเหมือนจะมี แต่ความจริงแล้วไม่มี เป็นแค่กำแพงเปล่าๆ เข้าไปไม่ได้ ถ้าอยากเข้าก็คงต้องทุบทิ้งสถานเดียว
เรื่องของคนรักเองก็ไม่ต่าง...
กระทั่งแฟมิลี่เองเธอก็ยังไม่เรียกว่าเปิดใจให้เต็มร้อย
ที่อยู่ก็เพราะว่าอยากอยู่แก้เบื่อและทางของแฟมิลี่มันไปด้วยกันกับเธอได้ก็เท่านั้น
แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ปิดใจ
แต่ถามว่าทุ่มเทสุดมั้ย...ก็ตอบตรงๆก็คือไม่ได้รักถวายหัวแบบคนอื่นหรอก
แต่ปกป้องที่ๆ ตัวเองอยู่มันก็เรื่องปกติไม่ใช่หรือไง
เอาเป็นว่าอย่างน้อยเธอก็นับตัวเองเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ก็นับว่าเป็นพัฒนาการที่ดีมากแล้วสำหรับเรื่องนี้
เพราะสำหรับเธอแล้วนิยามของความรักคือภาพลวงตา...และอันที่จริงก็ทุกอย่างในโลกนี้มันก็เหมือนภาพมายาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?
เพราะต่อให้เป็นสายสัมพันธ์ที่งดงามเพียงใด สุดท้ายแล้วมันจะแตกสลาย เหมือนกับบทละครที่สักวันก็จะถึงตอนจบอยู่ดี
ถ้ามีแล้วตอนพรากจากมันเจ็บปวดขนาดนั้น งั้นสู้ไม่มีเลยยังจะดีซะกว่า...
ประวัติตัวละคร:
‘แม้นชีวิตเป็นเฉกเช่นบทละคร เราเองก็คงไม่ต่างอะไรไปจากนักแสดงที่โลดแล่นไปตามบทบาทในเวทีที่ชื่อว่าโลก’
สิ่งแรกที่ ‘มาเรีย’ จำได้ตั้งแต่ลืมตาดูโลกคือ
เธอเป็นเด็กกำพร้า ในเมืองเล็กๆ ของประเทศฝรั่งเศส
โบสถ์แถวนั้นรับเธอมาเลี้ยงร่วมกับเด็กอีกหลายๆ คน พวกเธอให้ที่น้ำให้ข้าว
มีที่ให้ซุกหัวนอน ได้เรียนหนังสือพออ่านออกเขียนได้ไปตามประสา ชีวิตนั้นช่างแสนจะธรรมดาสำหรับเด็กน้อยคนหนึ่ง
มาเรียไม่ได้มีอะไรไม่พอใจ แต่ก็ไม่อาจกล่าวได้เต็มที่ว่าเธอมีความสุขเช่นกัน
โหยหาครอบครัวที่แท้จริง? อย่างน้อยก็เธอคนหนึ่งล่ะที่ไม่...
ในเมื่อพ่อแม่หรือคนที่เอาเธอมาทิ้งไว้ที่นี่ไม่ต้องการเธอ แล้วเธอจะมีเยื่อใยอาลัยอาวรณ์ไปทำไมกันเล่า?
บางทีมาเรียก็คิดว่าตัวเองช่างแปลกเหลือเกิน...
ทั้งๆที่คนรอบตัวส่งรอยยิ้มให้ ทำดีด้วย และทำอะไรอื่นๆที่ไม่ได้เรียกว่าเลวร้ายกับเธอ
หากไม่นับการถูกมองด้วยสายตาสงสารจากพวกผู้ใหญ่ หรือคำล้อเลียนปัญญาอ่อนจากเด็กไร้สมองบางพวก
แล้วทำไมเธอถึงรู้สึกว่ามันช่างว่างเปล่าขนาดนี้กันนะ?
ราวกับว่าตัวเธอไม่ใช่คนที่จะอยู่ในสถานที่แบบนี้ได้ ราวกับว่ามีสถานที่อื่นที่เหมาะสมกับคนอย่างเธอรอคอยอยู่
ความสงบสุขงั้นหรือ...ที่จริงก็ไม่เลวหรอก แต่สำหรับเธอแล้วมันช่างน่าเบื่อสิ้นดี...
จนกระทั่งวันหนึ่ง...มาเรียในวัยเจ็ดปีได้ไปเห็นอะไรบางอย่างด้วยความอยากรู้อยากเห็นไปตามประสาของเธอ
และมันทำให้เธอค้นพบคำตอบว่าทำไมเธอถึงรู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวนั้นมันช่างกลวงเปล่าเหลือเกิน
“แล้วรายรับเดือนนี้เป็นยังไง”
เสียงของชายที่มาเรียคุ้นเคยเป็นอย่างดีดังขึ้น แม้เธอจะแอบหลบอยู่ตรงหัวมุมและไม่กล้ายื่นหน้าเข้าไปมองเพราะกลัวว่าจะมีใครหันมาเห็นก็ตาม
แต่เธอก็ยังจำได้ดี...
นั่นคือเสียงของฟาเธอร์หลุยส์...หัวหน้าบาทหลวงของโบสถ์ที่พวกเธออาศัยอยู่...
“เงินบริจาคเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีกค่ะฟาเธอร์ ทางเทศมนตรีเห็นว่าทางเราทำคุณประโยชน์กับชาวเมืองไว้มากก็เลยเพิ่มเงินบริจาคให้ค่ะ
ชาวบ้านเองก็ด้วย”
อีกเสียงหนึ่งเป็นของซิสเตอร์ฟรานซิส...หนึ่งในผู้ดูแลของพวกเธอ โดยซิสเตอร์คนนี้นั้นไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะมีภาพลักษณ์ที่อ่อนโยนนุ่มนวล
มีรอยยิ้มประดับหน้าตลอดเวลา แต่น้ำเสียงของเธอในยามนี้นั้น...กลับฟังดูแล้วเหมือนมารร้ายมากกว่าเสียจนเธอนึกภาพใบหน้าของทั้งสองออกได้อย่างไม่ยากเย็นเลย...
แต่ที่มาเรียแปลกใจที่สุดในตอนนี้คงเป็นตัวเธอเองนี่แหละที่ไม่รู้สึกตกใจหรือประหลาดใจเลยสักนิด
ทั้งที่ไม่เคยรับรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนเลย น่าแปลกไหมล่ะ?
หรือว่าจิตใจของเธอมันด้านชาไปแล้วกันนะ?
เสียงหัวเราะของบาทหลวงดึงสติเธอกลับมาอีกครั้ง หัวใจเต้นรัวขึ้นเล็กน้อยราวกับจะตอบคำถามเมื่อครู่ของตน
“ก็แน่ล่ะสิ เศรษฐกิจไม่ดีแบบนี้ทำอะไรได้ก็ต้องทำ เฮ้อ...ที่ทนเลี้ยงเด็กพวกนั้นมาไม่เสียเปล่าจริงๆ”
ทน?
“จริงด้วยค่ะ เด็กพวกนั้นน่ารำคาญจะตายไป ทำอะไรก็ไม่ได้แท้ๆ”
น่ารำคาญ?
“เอาน่ามารี...อย่างน้อยก็ช่วยสร้างภาพให้ทางโบสถ์เราไง...”
สร้างภาพ?
“คิกคิก...นั่นสิคะ แล้วชาวบ้านก็เชื่อกันซะด้วย...แถมเด็กพวกนั้นก็ยังมองเราเป็นเหมือนพระเจ้าอีกต่างหาก
ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่การแสดงแท้ๆ”
การแสดง?
อ้อ...การแสดงนี่เอง...
แล้วที่ตอนนี้หัวใจเธอเหมือนจะร้าวเป็นเสี่ยงๆ ที่น้ำตาเธอมันไหลจนหยุดไม่ได้นี่...ก็การแสดงด้วยใช่ไหม?
“...แน่อยู่แล้ว...ใครจะไปสนว่าความจริงเป็นยังไง แค่ทำให้คนอื่นเชื่อว่าสิ่งที่เห็นเป็นความจริงต่างหากที่สำคัญ”
คำพูดนั้นของฟาเธอร์ทำเอามาเรียหัวเราะออกมาอย่างไม่สนใจอะไรอีกแล้วราวกับคนเสียสติ
สองขาพาร่างของเธอไปไหนแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ เมื่อได้สติอีกทีก็พบว่าตนเองมายืนอยู่ในโบสถ์
หน้ารูปปั้นเทวทูตหินอ่อน
ยามเมื่อมองไปยังรูปปั้นสีอ่อนที่ส่องสว่างใต้แสงจันทร์ เสียงคำสอนที่เธอจดจำได้ตั้งแต่จำความก็ลอยขึ้นมา
“จงเชื่อในพระเอกานุภาพแห่งพระเป็นเจ้า...พระองค์ทรงเฝ้ามองเราอยู่เสมอ...”
เชื่อเหรอ?
...แปลว่ามันก็อาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้ใช่ไหม?
เพราะถ้าพระเจ้ามีจริง...อย่างน้อยก็ควรจะรู้สิว่าคนไหนดีจริง คนไหนกำลังใช้นามท่านหากินอยู่น่ะ...
ไม่งั้นท่านก็คงโง่น่าดูเลยล่ะ
แอ๊ด...
เสียงเปิดประตูโบสถ์ดังขึ้น และเมื่อมาเรียหันไปก็พบว่าเห็นสองร่างที่เป็นเจ้าของเสียงเมื่อครู่ยืนอยู่ที่ทางเข้า
“มาเรียรึ?”
“............”
“...เมื่อกี้เธอได้ยินอะไรไปบ้าง”
เธอหัวเราะเบาๆ ถามย้อนกลับไปอย่างไม่คิดจะปิดบัง
“แล้วฟาเธอร์กับซิสเตอร์คิดว่าฉันควรจะได้ยินอะไรบ้างล่ะ...”
“ถ้าฉลาดเธอควรจะเงียบไว้นะ เพราะสิ่งที่เธอพูดน่ะ...ไม่มีใครเธอเชื่อหรอก”
ถ้าอย่างนั้นเธอจะยังเชื่ออะไรในโลกนี้ได้อยู่อีกไหมนะ?
แล้วความจริงในโลกนี้มันคืออะไรกันแน่?
อา...จะดีแค่ไหนนะถ้ามีคนมีเห็นพวกเธอในตอนนี้...
แค่สักคนก็ยังดี...
“ฮะ...เฮ้ย พะ...พวกนายมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันน่ะ!!!”
เสียงของทั้งสองดึงมาเรียออกมาจากห้วงความคิด แล้วเธอก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นกลุ่มคนจำนวนมากมองมาทางอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
เสียงซุบซิบดังพร้อมกับที่มีคนเริ่มขว้างปาข้าวของจนทั้งสองต้องหนีไป
และที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือพอสองคนนั้นไปพ้นสายตาแล้ว กลุ่มคนเหล่านั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยมีใครอยู่ตรงนั้นมาก่อนทำเอาเธอกะพริบตามองอย่างไม่อยากจะเชื่อ...
เมื่อกี้มัน...
เธอมองกลับไปยังรูปปั้นเทวทูต วาดภาพในใจให้มันโบยบิน...
และสิ่งที่เกิดขึ้นถัดมาคือรูปสลักนั้นขยับปีกโบยบินออกราวกับมีชีวิต
แต่เมื่อเธอเลิกคิด ทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเก่า...
...ภาพลวงตา?
เธอลองทดสอบกับอะไรหลายๆ อย่างหลังจากนั้น แล้วก็พบว่าตนเองมีความสามารถในการควบคุมภาพมายาให้คนอื่นและตัวเองเห็นในสิ่งที่ตนคิดและต้องการให้เห็นได้...
‘...ใครจะไปสนว่าความจริงเป็นยังไง แค่ทำให้คนอื่นเชื่อว่าสิ่งที่เธอเห็นเป็นความจริงต่างหากที่สำคัญ’
ดูเหมือนว่าฟาเธอร์จะพูดถูก...มายาก็เป็นความจริงได้หากคนเชื่อ และความจริงก็กลายเป็นเพียงแค่ลมปากได้หากไร้ใครเหลียวแล...
นั่นสินะ...
‘เพราะแม้แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างพระเจ้ายังถือกำเนิดขึ้นมาจากมายาที่เรียกว่าความเชื่อ...
แล้วจะแน่ใจได้ยังไงล่ะว่าทุกสิ่งที่เห็นหรือสัมผัสอยู่นั้นน่ะ...เป็นของจริง?’
แต่มาเรียกลับไม่ใช้พลังนี้ทำอะไรเอิกเกริกแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เธอปิดมันเป็นความลับอย่างเงียบเชียบ
และหัดใช้มันอย่างแนบเนียนจนสามารถควบคุมพลังประหลาดนี้ได้ดั่งใจนึก และพอเธออายุครบกำหนดที่จะต้องออกจากโบสถ์ที่เป็นสถานรับเลี้ยงซึ่งก็คืออายุสิบสอง
เธอก็จัดการของขวัญส่งอำลาชิ้นใหญ่ที่ไม่มีทางลืมได้ให้กับเหล่าผู้คนจอมปลอมที่หาผลประโยชน์จากพวกเธอมานานนับปี
“ฟะ...ไฟไหม้บ้านฟาเธอร์หลุยส์!!!”
เปลวไฟสีส้มอมแดงลุกโหมไปตามแรงลม คนในบ้านต่างวิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น
ข้าวของมากมายมอดไหม้เสียหายไปในเปลวเพลิง...ที่เป็นเพียงมายา...
ว่ากันว่าวิกฤตจะทำให้คนเผยธาตุแท้ได้ดีที่สุด และครั้งนี้ก็ไม่ต่าง เมื่อสองในกลุ่มคนที่วิ่งหนีตายออกมาจากบ้านคือฟาเธอร์หลุยส์และซิสเตอร์ฟรานซิสในสภาพเกือบเปลือยล่อนจ้อน
มีแผลไฟลวกขนาดใหญ่ตามร่างกาย
และแน่นอนว่านี่ไม่ใช่ความบังเอิญแต่อย่างใด...
ตั้งแต่เกิดเรื่องในคืนนั้น แม้ทั้งสองจะไม่ได้มาหาเรื่องมาริอะตรงๆ แต่ก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อบีบให้เธอไปไกลที่สุด
ซึ่งถ้าเธอเป็นเด็กธรรมดาก็คงไม่แคล้วได้ลาโลกนี้ไปสวัสดีพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว...
แต่โทษที พอดีว่าเธอไม่ปกติน่ะ :)
ภาพมายาที่เธอมีนั้นสามารถใช้ป้องกันตัวได้ดีเกินคาด ขอเพียงแค่ฝ่ายตรงข้ามเชื่อว่ามันเป็นความจริง
เพียงเสี้ยววินาทีก็มีค่าพอที่จะเอาชีวิตได้อย่างง่ายดาย และมนุษย์เราส่วนใหญ่ก็มักจะเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นเสียด้วยสิ...ไม่งั้นจะมีสำนวนว่าสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นหรือ?
เหล่าคนที่ฟาเธอร์ซิสเตอร์ส่งมาลับๆ เพื่อกำจัดเธอล้วนหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
สร้างความหวาดผวาให้แก่ทั้งสองเป็นอย่างมาก ยิ่งเธอนิ่งอีกฝ่ายก็ยิ่งร้อนรน
...และนั่นเองก็ที่ทำให้เธอรู้ถึงความสัมพันธ์ลับๆ ของสองคนนี้
ทั้งๆที่ฟาเธอร์หลุยส์ก็มีครอบครัวอยู่แล้วแท้ๆ
แน่นอน...เรื่องสนุกขนาดนี้เล่นไวก็เสียของแย่ แต่จะให้แค่เอามาขู่เฉยๆ
มันจะไปสนุกอะไร...
แต่ไหนๆ เธอจะไปแล้วก็ขอสักหน่อย...
ในเมื่ออยากให้มันเป็นความลับและสร้างภาพได้เก่งดีนัก เธอก็จะสงเคราะห์เปิดโปงให้รู้กันไปให้หมดทีเดียวเลยก็แล้วกัน
แล้วหลังจากนั้นทั้งคู่เป็นไงน่ะเหรอ?
...อืม ก็แค่ภรรยาบาทหลวงโมโหหึงจนฆ่าทั้งคู่ตายก็คงเป็นจุดจบที่ฟังดูน้ำเน่าดีล่ะนะ
แต่ยังไงมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธออยู่แล้วนี่นา...
‘ต่อให้ต้องหลอกลวงเธอด้วยคำโกหกที่โลกทั้งใบ...ที่แม้แต่ตัวเธอเองก็รู้
ขอเพียงเธอเชื่อ...ที่เหลือก็ไม่สำคัญ’
หลังจากออกจากโบสถ์แล้วมาเรียก็ถูกรับเลี้ยงโดยครอบครัวชาวญี่ปุ่นที่ทำงานที่สถานทูตฝรั่งเศส
ที่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่กำลังจะย้ายกลับญี่ปุ่นพอดี ทำให้เธอคิดอยากจะมีเด็กมาเลี้ยงเพื่อช่วยดูแลลูกสาวของเธอ
เธอได้รับชื่อใหม่ว่า “มาริอะ” จากชื่อ “มาเรีย” ออกเสียงแบบญี่ปุ่น
“...พี่จะมาเป็นพี่สาวของหนูเหรอคะ?”
ดวงตากลมโต เสียงใสก้องกังวานของเด็กหญิงที่ตัวสูงเพียงเอวถามเธอ
และเมื่อเธอพยักหน้า เธอก็ยิ้มให้
“หนูชื่อเอริกะ จะเรียกว่าเอริก็ได้ค่ะ แล้วพี่ชื่ออะไรคะ”
“...มาริอะ”
“...งั้นหนูเรียกว่าพี่มาริแล้วกัน”
“ตามสบาย...”
มาริอะยิ้ม และบอกตามตรงนะ...เธอไม่ได้คาดหวังอะไรนักหรอก...
เชื่อเถอะ...เดี๋ยวเด็กก็เบื่อไปเอง...
แต่เรื่องมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เมื่อเอริกะน้องสาวคนใหม่ติดเธอแจยิ่งกว่าหมากฝรั่งติดรองเท้า
ไม่ว่าเธอจะอยู่ไหนทำอะไรเอริกะก็จะชอบโผล่มาหาเธอและลากเธอไปทำโน่นทำนี่ด้วยเสมอ ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นให้อ่านหนังสือยากๆให้ฟัง
จนกระทั่งวันหนึ่งที่เธอกันมาเห็นตอนที่เธอใช้พลังพอดี...
แสงสว่างราวดวงดาราลอยละล่องอยู่ในห้องที่ปิดไฟมืดสนิท มันก็แค่ความคิดเล่นๆ
ที่ผุดขึ้นมาก่อนนอนเมื่อนึกถึงหนังสือดาราศาสตร์ที่อ่านค้างไว้ว่าถ้ามีดวงดาวมาอยู่ใกล้ๆ
มันจะเป็นยังไงกันนะ...
แล้วผลลัพธ์มันก็ออกมาเป็นงี้ไง..
“นี่...พี่เป็นคนทำมันเหรอ?”
มาริอะยิ้ม และยังคงปล่อยให้มายาดวงดาวดำเนินต่อไปอย่างไม่มีท่าทีทุกข์ร้อน
“คิดว่ายังไงล่ะ....เอริกะ”
ดวงดาวค่อยๆมารวมกันกลายเป็นดวงจันทร์ขนาดย่อม ก่อนขยายใหญ่เป็นดาวเสาร์มีวงแหวน
และสุดท้ายก็ถูกดูดกลืนไปในหลุมดำเล็กๆ
“ยอดไปเลยค่ะพี่มาริ!!!”
สารภาพว่ามาริอะแปลกใจนิดๆ เพราะคิดว่าเด็กนี่จะกรีดร้องและโวยวายว่าเธอเป็นตัวประหลาดเสียอีก
แปดขวบก็ใช่ว่าจะไม่รู้ความเสียเมื่อไหร่ และเมื่อใช้ภาพลวงตาที่เป็นผีจนเอริกะร้องโวยวายไปรอบนึงแล้ว
สิ่งที่เธอพูดต่อมาก็ทำให้เธอยิ่งแปลกใจ
“พี่มาริบ้า! อย่าเอาของน่ากลัวแบบนั้นออกมาสิ ขอแบบดาวสวยๆแบบตอนแรกอีกไม่ได้เหรอคะ”
เธอแปลกใจ...แปลกใจมากจนต้องถามกลับไป
“ไม่กลัวพี่เหรอ....เอริกะ”
เอริกะมองเธอราวกับเธอเพิ่งพูดอะไรที่โง่เง่าที่สุดในโลกออกมา
“ก็พี่เป็นพี่นี่น่า ต่อให้พี่บอกว่าเป็นเอเลี่ยนตอนนี้
เอริก็ไม่กลัวหรอก”
เด็กหนอเด็ก...ช่างใสซื่อเสียจริง...
“...”
“สร้างดาวแบบเมื่อกี้ให้หน่อยสิคะพี่มาริ นะๆ”
“...สัญญาได้ไหม....ว่าจะไม่บอกใครเรื่องนี้”
“เอ๋...ไม่ได้เลยเหรอ? คุณแม่ก็ไม่ได้เหรอ?”
มาริส่ายหน้าช้าๆ “เอริกะไม่กลัวพี่ แต่หลายคนเธอกลัวนะ.........
หรือไม่อยากให้พี่อยู่ที่นี่แล้ว?”
“ไม่ๆๆๆ” เด็กน้อยพุ่งหลาวเข้ามากอดเธอจนแทบจุก
“พี่มาริต้องอยู่กับเอริไปนานๆ ไม่สิ! ต้องอยู่กับเอริตลอดไปเลย!!!”
ตลอดไปเหรอ...เด็กเอ้ย...คำนั้นมันมีจริงซะที่ไหนกันเล่า..
แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น ปากก็ยิ้มแล้วพูดว่า “งั้นก็สัญญาแล้วนะ”
“อื้อ แค่เราสองคน เอริสัญญา” เด็กหญิงยิ้มร่า
ก่อนจะขมวดคิ้ว
“ว่าแต่เมื่อไหร่พี่จะเรียกเอริสักที เรียกเอริกะๆอยู่ได้
เอริอุตส่าห์ให้เรียกเอริแล้วนะ”
มาริอะยิ้ม ไม่ตอบ แต่สร้างดวงดาวขึ้นมาเต็มห้องจนเอริกะลืมเรื่องนี้ไปในที่สุด
ผ่านไปห้าปี ทุกอย่างก็คล้ายว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสำหรับมาริอะ ความลับยังคงเป็นความลับ
ซึ่งก็ทำเธอแปลกใจไม่น้อยที่เด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นก็รักษาสัญญาที่ให้กับเธอไว้ได้จริงจังขนาดนี้
ส่วนความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือเธอเหมือนจะกลายเป็นคนติดหนังสือไปแล้ว การมีช่วงเวลาประจำคืนวันศุกร์เสาร์ที่เอริกะมักจะมาหมกตัวอยู่ห้องเธอและมองเธอใช้ภาพมายาเล่นไปเรื่อยเปื่อยก็กลายเป็นเรื่องปกติ
และเอริกะที่โตขึ้นเป็นเด็กสาว (แต่ก็ยังติดเธอแจไม่เปลี่ยน)
“นี่ พี่มาริไม่มีคนที่ชอบเหรอ”
อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงคงจะเป็นการที่เด็กนี่ชักจะรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
ละมั้ง แต่ก็แปลกดีที่เธอไม่ได้ไม่ชอบอะไร เหมือนกับว่าเธอชินไปแล้วเสียมากกว่า
“แล้วทำไมถึงอยากรู้ล่ะ...เอริกะ”
เอริกะถอนหายใจ “ก็บอกแล้วไงว่าให้เรียกเอริ”
“เรียกเอริกะแล้วมันถนัดมากกว่า...ยังไงก็ชื่อน้องเหมือนกันนี่”
“...ก็ยังอยากให้เรียกเอริอยู่ดี” เด็กสาวย่นหน้า “แล้วก็ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย ตกลงพี่มาริมีคนที่ชอบรึเปล่า”
มาริอะปิดหนังสือในมือแล้วเงยขึ้นมามองหน้า “...แล้วเอริกะอยากให้พี่ตอบว่าอะไรล่ะ....”
“ไม่ได้เกี่ยวกับอยากไม่อยากสักหน่อย!”
“งั้นจะเกี่ยวกับอะไรละ.........?”
“...เอาความจริงสิ!!!”
ความจริงเหรอ
“หืม...แล้วถ้าเกิดพี่ไม่ได้พูดเรื่องจริงล่ะ...ยังไงเอริกะก็อ่านใจพี่ไม่ออกอยู่แล้วนี่นา”
“นี่...ถ้าพี่คิดจะโกหกพี่คงไม่พูดไอ้เมื่อกี้ออกมาหรอกน่า...แล้วเอริก็เชื่อพี่มาริด้วย”
เด็กสาวยิ้มน้อยๆ ย้ำคำหนักแน่น “เอริเชื่อพี่เสมอนั่นแหละ”
แปลกดีที่คำพูดง่ายๆนั้นทำเอาเธอรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเติมเต็มเข้ามาในความว่างเปล่า
วูบหนึ่งที่ส่วนลึกในจิตใจหยุดพร่ำกระซิบโหยหาราวกับว่าพบของที่เธอเฝ้าตามหามานานแสนนานแล้ว...
แต่ก็แค่วูบหนึ่ง...ก่อนที่เสียงนั้นจะกลับมาร่ำร้องดังเดิม...
รอยยิ้มกดลึกโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะรีบคลายเป็นรอยยิ้มสบายๆ อย่างเคย
“...ถ้าหมายถึงชอบแบบแฟนหรือคนรัก...พี่ไม่มีหรอก....”
เอริกะนิ่งไปครู่หนึ่ง และเป็นครั้งแรกที่มาริอะเห็นน้องสาวบุญธรรมของตนทำสีหน้าเหมือนกับลังเลใจ
“...งั้นตอนที่เอริกลับมาจากพักแรมคราวนี้ เอริมีเรื่องจะบอกพี่มารินะ”
“...บอกตอนนี้เลยก็ได้นี่...? พี่ว่างฟัง”
“ไม่ๆๆๆๆ” เด็กสาวสั่นหน้าดิก อาการลังเลเหมือนครู่หายไปราวกับเป็นเพียงภาพลวงตา
“เอริมีเซอร์ไพร์สให้ แต่มันต้องรอเอริกลับมาก่อน เพราะงั้นอีกสามวัน...ห้ามหนีนอนก่อนนะ”
มาริอะหัวเราะ วันนี้วันอังคาร อีกสามวันก็ต้องเป็นวันศุกร์ แล้วทุกวันศุกร์เธอเคยหนีเธอนอนได้เสียเมื่อไหร่
ขนาดเคยสร้างภาพมายาให้ประตูกลายเป็นกำแพงเพื่อรอดูท่าทีซะหน่อยว่าจะทำหน้ายังไง ปรากฏว่าสิ่งที่เธอทำคือการเอาไขควงมางัดประตูห้องเธอหน้าตาเฉย
บอกว่ารู้หรอกว่ามันเป็นภาพลวงตา
“ไม่รู้สิ...ถ้าหาทางเข้าห้องพี่ได้...พี่จะคิดดูอีกทีแล้วกัน”
มาริอะว่าพลางพิงตัวอย่างเกียจคร้าน สายตาที่ทอดมองเด็กสาวฉายแววขบขัน
“แต่เอ...เป็นสาวเป็นนางย่องเข้าห้องคนอื่นแบบนี้นี่...”
“จะบ้ารึไง! ไม่ได้ย่องเข้าไปทำเรื่องอะไรแบบนั้นสักหน่อย”
“แล้วอะไรแบบนั้นของเอริกะคืออะไรล่ะ”
“พี่มาริ!!!” เอริกะพุ่งเข้ามาจับคอเสื้อเธอเขย่าๆ
ในขณะที่เธอก็ยังยิ้มเหมือนเคยแม้ว่าจะเริ่มหน้ามืดเพราะหายใจลำบากแล้วก็เถอะ โชคดีที่เสียงโทรศัพท์มือถือของอีกฝ่ายดังช่วยชีวิตเธอได้หวุดหวิด
เมื่อรับสายเสร็จเธอก็มองเธอด้วยสายตาฝากไว้ก่อนเถอะ
“งั้นเอริไปนะพี่”
“...อืม”
แล้วประตูก็ปิดลง...
พอมานึกดูอีกที...นั่นคงเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นเอริกะมีชีวิตชีวาได้ขนาดนั้น...
ห้าปีผ่านไปเร็วเท่าใด สามวันนั้นก็ไวยิ่งกว่า สุดท้ายวันศุกร์ก็มาถึงในที่สุด
เธอมองนาฬิกา ก่อนจะก้มอ่านหนังสืออย่างไม่ใสใจ ปล่อยให้เวลาไหลผ่านไป
เพราะทุกครั้งที่เอริกะกลับมาจะต้องมีเสียงนำมาก่อนตัวเสมอ ต่อให้เจ้าตัวบ่นว่าเหนื่อยแทบขาดใจขนาดไหนก็เถอะ
แต่ทุกอย่างก็ยังคงเงียบ...
เวลาผ่านไป เธอเริ่มมองนาฬิกาบ่อยขึ้นเรื่อยๆ สมาธิเริ่มไม่จดจอกับหนังสือในมืออย่างที่ไม่เคยจะเป็นมาก่อน
ส่วนหนึ่งในใจกรีดร้องว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ แต่อีกหนึ่งกลับบอกว่าไม่เป็นไร...
ไม่เป็นไร...เพราะเอริกะจะรักษาสัญญา...และเธอก็เชื่อในคำสัญญานั้น
ใช่...เอริกะรักษาสัญญากับเธอเสมอ...
และโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น
“...เอ่อ...ญาติของเท็นโนจิซังใช่ไหมคะ”
“....ค่ะ”
“...เธอประสบอุบัติเหตุตอนนี้นอนอยู่ที่โรงพยาบาล...เธอบอกว่าอยากพบคุณ”
และทันทีที่สิ้นเสียงปลายสาย สองขาของเธอก็ก้าวออกไปในทันที
ไม่กี่อึดใจ มาริอะก็มาถึงโรงพยาบาลในสภาพเหงื่อไหลโทรมกาย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็แจ้งความต้องการและตรงไปยังห้องที่เธอรอเธออยู่
และเมื่อเปิดประตู ภาพที่เธอเห็นก็ทำบางอย่างในตัวเธอหัวเราะออกมาราวกับจะเย้ยหยันความใสซื่ออันน้อยนิดของตนเองที่มีให้กับความเชื่อลมๆแล้งๆเหล่านั้น
สายน้ำเกลือ เลือด อุปกรณ์มากมายระโยงระยาง เครื่องมือหน้าตาไม่คุ้นเคยกับตัวเลขนับสิบส่งเสียงเป็นระยะ
และทั้งหมดที่ว่านี้มันเชื่อมโยงอยู่กับร่างหนึ่งที่นอนบนเตียงในสภาพที่มีผ้าพันแผลพันเต็มตัว
“เอริกะ”
ร่างนั้นขยับตัวคล้ายกับจะตอบรับคำ มาริอะก้าวเข้าไปยืนข้างเตียง มองใบหน้าที่บัดนี้เต็มใบด้วยผ้าพันแผล
มีเพียงดวงตาและริมฝีปากเท่านั้นที่โผล่พ้นออกมา
“พี่...”
“...อืม พี่เอง”
เธอไม่ถามว่าเกิดอะไร และไม่ปลอบใจแม้แต่คำเดียว เพราะตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอเห็นสภาพของเธอ
และแววตาของเธอที่สบกับเธอ บ่งบอกว่าเธอรู้ตัวดี และเธอก็รู้...
เอริกะไม่มีทางรอดแล้ว...
“พี่...เอริขอโ—”
เธอยื่นนิ้วไปแตะริมฝีปากของเธอ ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร ก่อนจะเดินไปลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงอย่างเงียบงัน
“...มีเรื่องอยากบอกพี่ไม่ใช่เหรอ เอริกะ”
“...”
“...พี่อยู่นี่แล้ว”
นัยน์ตาของอีกฝ่ายมีน้ำเอ่อรื้น ริมฝีปากขยับออกอย่างยากลำบากคล้ายว่าต้องเค้นเรี่ยวแรงทั้งหมดในร่างเพื่อเปล่งเสียงทุกคำออกมา
“...ไม่...”
“...”
“...เอริ...ไม่..ได้...อยากให้พี่...เห็นเอริ...ในสภาพแบบนี้เลย...”
“...”
“...แต่...มันคง.....ช่วยไม่ได้แล้ว...”
เด็กสาวหลับตา สูดหายใจลึกคล้ายจะรวบรวมพลังเป็นครั้งสุดท้าย ริมฝีปากคลี่เป็นยิ้มที่เธอยังคงจดจำได้ติดตา
“เอริ...ชอบพี่นะ...”
“...”
“...ชอบแบบที่ผู้หญิงคนนึงจะชอบใครสักคนน่ะ...”
“...”
“แต่...เอริในตอนนี้น่ะ...”
เธอพูดได้แค่นั้นก่อนจะเงียบลง ในขณะที่มาริอะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากห้องน้ำ...
มันเป็นกระจกบานเล็กหนึ่งบาน...
“เอริกะในตอนนี้ทำไมเหรอ...?” มาริอะยิ้ม
สีหน้าคล้ายไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไร
“เอริน่ะ...”
เสียงของเด็กสาวเงียบหายไปเมื่อมาริอะยกบานกระจกขึ้นมา มันสะท้อนความจริงอันแสนโหดร้ายตรงหน้าจนต้องเบือนหน้าหนี
แต่เธอกลับปิดตาเธอไว้ กระซิบข้างหูราวกับกำลังร้องเพลงกล่อมเด็กเข้านอน
“...ดูสิ...เอริกะก็ยังเหมือนเดิมไม่ใช่เหรอ?”
มาริอะยิ้ม ค่อยๆยกมือที่บดบังดวงตาออก รีดเร้นพลังทุกหยดในร่างออกมาทั้งที่ร่างกายกรีดร้อง
สร้างมายาที่ยิ่งใหญ่เป็นของขวัญแด่เธอเป็นครั้งสุดท้าย...
เด็กสาวตัวเล็ก ผิวขาว ดวงหน้ารูปไข่ ดวงตาเป็นสีฟ้างดงาม ผมยาวสลวยสีน้ำตาลสดใส
จมูกคิ้วคางรับกันเหมาะเจาะ ริมฝีปากสีอ่อนคล้ายกลีบดอกไม้...
คือเธอ...คือเอริกะที่เธอจำได้เสมอมา...
...ภาพมายาอันแสนอ่อนโยน...
คงเป็นสิ่งที่สุดท้ายที่เธอทำได้เพื่อเด็กคนนี้...
ตอบแทนทุกคำสัญญาที่เธอเคยรักษา ตอบแทนความจริงใจที่เธอมอบให้เธอตลอดมา
เอริกะ...เอริกะของพี่...
เธอเคยบอกว่าเชื่อพี่เสมอใช่ไหม
อีกสักครั้ง...ช่วยเชื่ออีกสักครั้งจะได้ไหม?
ต่อให้พี่หลอกเธอด้วยคำโกหกที่โลกทั้งใบ...ที่แม้แต่ตัวเธอเองก็รู้ แต่ช่วยเชื่อพี่อีกสักครั้งได้ไหม?
ดวงตาของเอริกะรื้นน้ำตาอีกครั้งยามจ้องมองกระจก ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอเห็นภาพแบบไหนกันแน่
ก่อนจะหันมา ริมฝีปากยังคงแย้มยิ้ม...
“พี่...อย่าร้อง...เลยนะ...”
หืม?
เธอยกมือขึ้นแตะใบหน้า แปลกใจที่มีบางอย่างเปียกชื้นติดมากับปลายนิ้ว
ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...
“พี่...” น้ำเสียงของเธอเบาลงเรื่อยๆ
ดวงตาสดใสค่อยๆปรือลงช้าๆ “...เอริ...ง่วงจัง...”
“ขี้โกงนี่...ไหนว่าจะไม่ให้พี่หนีนอนไง...”
เอริกะยิ้มเศร้า มือพยายามยกขึ้นมาอย่างยากลำบาก ราวกับจะเอื้อมมาปาดน้ำตาของเธอ
แต่น่าเสียดายที่มันหยุดอยู่แค่เพียงกลางทางก่อนจะตกลงข้างตัว ราวกับว่าเธอนั้นไม่เหลือเรื่ยวแรงที่จะทำสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว
“...พี่มาริ...ขอบคุณนะคะ...”
ดวงตาสีน้ำตาลหลับลงช้าๆ ในขณะที่มาริอะจับเอามือเธอมาแนบไว้ข้างแก้มเบาๆ
ฟังถ้อยคำที่ยิ่งแผ่วเบาลงไปทุกที
“เอริ...ดีใจ...ที่ได้เจอพี่นะ...”
มาริอะเอื้อมมือใบบดบังดวงตาคู่นั้นอีกครั้ง ก้มลงกระซิบข้างหูด้วยถ้อยคำที่ได้ยินเพียงแค่สองคนในโลก
“...พี่ก็เหมือนกัน...เอริ”
และเมื่อเอามือออกจากดวงตาที่ปิดสนิท เสียงเแหลมยาวของเครื่องมือก็ดังขึ้น
เธอปาดน้ำตาออกจากใบหน้า มองภาพลวงตาอันงดงามของเด็กสาว ก่อนจะคลายออกเป็นความจริงอันแสนโหดร้ายดังเดิม
ลาก่อน...เอริกะของพี่...
เธอเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน พร้อมกันจิตใจที่กลับมาโหยหาบางสิ่งอีกครั้ง...และมากมายยิ่งกว่าเดิม...
จิตใจที่เด็กคนนั้นเคยเติมเต็มช่องว่างบางส่วนเอาไว้...บัดนี้ได้กลับมาว่างเปล่าอีกครั้งแล้ว...
‘แม้ใครจะบอกว่ามันช่างไร้ค่า
แต่เรื่องของเธอนั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด’
หลังจากเสร็จสิ้นงานศพของเอริกะ เธอก็ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิมราวกับไม่เคยมีเอริกะมาก่อน
ทั้งที่ในใจลึกๆของเธอไม่เคยลืมเธอได้เลยแม้แต่วันเดียว พร้อมกับที่ยังรู้สึกโหยหาบางอย่างอยู่เหมือนเดิม...
จนกระทั่งวันหนึ่งมีจดหมายประหลาดถูกส่งมาหาเธอ หน้าซองเป็นรูปกุหลาบงดงาม
ชื่อจ่าหน้าถึงเธอถูกต้องไม่มีผิดเพี้ยน
ชื่อผู้ส่งเขียนไว้ชัดเจนด้วยตัวหนังสือสีทอง
‘โรส เลดี้ แฟมิลี่’
ตอนแรกมาริอะก็งงๆ แต่พอเปิดอ่านก็ต้องหรี่ตา...
...พวกเธอรู้เรื่องที่เธอมีพลังในการสร้างภาพลวงตา...
ตอนแรกเธอก็ไม่ได้คิดอะไรนัก แต่พอสามวันให้หลังก็มีคนมาจ่อรอถึงหน้าบ้านเลยล่ะ....
พร้อมกับความจริงที่เปิดเผยว่า
แม่บุญธรรมของเธอเป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนามระดับสูงของโรส เลดี้ แฟมิลี่ สาขาญี่ปุ่น
ความจริงเรื่องนี้ทำให้มาริอะอึ้งไปไม่น้อย
แต่ในขณะเดียวกันก็ถึงเข้าใจถ่องแท้ว่าทำไมแม่บุญธรรมถึงได้ไม่เคยอยู่บ้านนานๆ
และยืนกรานจะรับเธอมาเลี้ยงทั้งที่เหล่าฟาเธอร์ซิสเตอร์พากันเสนอเด็กคนอื่นแทน
และทำไมถึงไม่ทักเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในบ้าน
...แม่เธอรู้อยู่แล้วนี่เอง...
‘เท็นโนจิ ซากิ’
หรือแม่บุญธรรมของเธอสารภาพว่า ความจริงแล้วจะส่งเธอไปรับการฝึกที่แฟมิลี่ตั้งแต่สิบห้า
แต่เอริกะดันติดเธอแจ
และเมื่อเห็นอย่างนั้นเธอก็เลยไม่อยากให้ลูกสาวอยู่ตามลำพังจึงประวิงเวลามาเรื่อย
แต่ตอนนี้เอริกะไม่อยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องรออีกต่อไปแล้ว
ไม่ใช่ว่ามาริอะโดนไล่ เธอเองก็อยากไปเหมือนกัน
ที่นี่มีแต่ภาพเอริกะเต็มไปหมดจนเธอรู้สึกว่างเปล่า
...อีกอย่าง...
“ไว้แม่ว่างกลับมา เราไปเที่ยวกันนะพี่มาริ
เอริจะบอกแม่ให้พาไปทุกประเทศเลย”
“...นั่นสินะ”
ในเมื่อเอริกะไปไม่ได้แล้ว แต่เธอยังอยู่
ถ้าไป...อย่างน้อยก็น่าจะได้ไปหลายที่อยู่นะ
และเธอก็ถูกส่งตัวไปฝึกหลายๆ ที่ เพียงแต่ว่า...
“นิสัยลูกเปลี่ยนไปนะ มาริ”
“คิกคิก...เพิ่งรู้ว่าแม่ก็พูดล้อเล่นเป็นเหมือนกันนะคะเนี่ย”
แต่ซากิก็พูดไม่ผิดหรอก เพราะนิสัยใหม่ในตอนนี้ของมาริอะน่ะ...เหมือนเอานิสัยของเอริกะมาปรับใส่ไม่มีผิด
มีแค่ดีกรีการกวนประสาทเท่านั้นแหละที่มาริอะกินขาด
ซากิคิดว่าเพราะต้องปรับตัวในสถานที่ใหม่
มาริอะก็เลยทำตัวให้เป็นมิตรมากขึ้น แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย
...เธอก็แค่อยากพาเอริกะไปทุกที่กับเธอด้วยก็เท่านั้น...
เธอไม่อยากให้เอริกะ...น้องสาวผู้น่ารักของเธอ
แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวของเธอหลับใหลอยู่ในเพียงความทรงจำ
อีกอย่าง เธอก็ไม่ได้อยากให้ใครรู้ตัวจริงของเธอไปมากกว่านี้สักหน่อย
และเมื่อตอนอายุยี่สิบเอ็ด
มาริอะก็ได้กลายเป็นผู้พิทักษ์สายหมอกคนใหม่ของแฟมิลี่ด้วยพลังมายาอันไร้ข้อกังขา
...เสียก็แต่พอรับตำแหน่งนี้แล้วทำเอาผู้พิทักษ์ทุกคนพร้อมบอสรู้สึกเหมือนปวดไมเกรนวันละสิบรอบก็เท่านั้นแหละ
ธาตุ: สายหมอก
อาวุธ: กำไลข้อมือคู่
– เป็นกำไลมีกระพรวนสีทองอันจิ๋วติดไว้ เวลาสะบัดทีก็จะมีเสียง
และเสียงกระพรวนนี่แหละที่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เห็นภาพมายา นอกจากนั้นยังมีกลไกที่ถ้ากดแล้วจะทำให้ดึงเส้นเอ็นที่คมกริบจนปาดคอคนได้เลย
สัตว์กล่อง:
- งูขาวธาตุหมอก (ซามาเอล) :: กรณีแคมพิโอ ฟอร์มาจะเป็นวงแหวนเทวดาบนหัวตามภาพ มีความสามารถในการเสริมพลังภาพลวงตาถึงขีดสุดและทำให้เธอลอยได้จริงๆ
ด้วย (คล้ายๆ ของไวเปอร์เลยค่ะ)
การใช้พลังธาตุต่างๆ:
- Skyfall
[สวรรค์ล่ม]
เป็นภาพลวงตาที่ฉายถึงภาพทิวทัศน์ท้องฟ้า
ราวกับยกสรวงสวรรค์ในคำกล่าวอ้างลงมา พื้นรวมถึงรอบข้างจะกลายเป็นเมฆหมอกสีขาว
และอาศัยให้งูขาวของเธอลอบโจมตีโดยผสานกับภาพลวงตาที่สร้างขึ้นมา
ประสานกับการใช้เส้นเอ็นจากกำไลที่เป็นอาวุธด้วย
- Mirage me [มายาตัวตน]
เป็นภาพลวงตาที่จะสร้างกระจกขึ้นมารอบๆ
และจะสะท้อนภาพเป้าหมาย ก่อนที่ภาพสะท้อนในกระจกจะก้าวออกมาสู้กับตัวจริง
เป็นท่าไม้ตายที่จะใช้กรณีเธอเอาจริงสุดๆ เท่านั้น
และกินพลังมากจนใช้ได้แค่สิบนาทีมากสุด ซึ่งปกติใช้ไม่เคยถึง
แต่ที่น่ากลัวคือภาพเงาสะท้อนที่ออกมาก็จะก็อปปี้ความสามารถและค่าพลังของตัวจริงเนี่ยสิ
(ถ้าเชื่อน่ะนะ)
สิ่งที่ชอบ:
หนังสือ / การเฝ้ามองเรื่องสนุกของคนอื่น / การแกล้งคน / ไวน์ดีๆ / ที่สูง /
เอริกะ
สิ่งที่ไม่ชอบ:
อากาศร้อนชื้น / อาหารรสชาติห่วยๆ / คนที่เอะอะก็จะใช้แต่กำลัง /
เรื่องที่น่าเบื่อหรือไม่น่าสนใจ / การมีคนมาเรียกชื่อเล่นว่ามาริ (เพราะมันทำให้เธอคิดถึงเอริกะ
แต่หน้าก็ยังยิ้มนะ แต่จะถามว่านี่เราสนิทกันขนาดเรียกชื่อเล่นแล้วหรา)
สิ่งที่เกลียด:
-
ผู้คนที่แสดงละครว่าตัวเองเป็นคนดี [เพราะมันดูแล้วทุเรศจะตายเมื่อคุณรู้ความจริง และเธอดูออกไง
ถ้ารู้ก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้ามาทำอะไรเธอแล้วล่ะก็...เจอดีแน่!]
-
...อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับศาสนา โดยเฉพาะผู้คนกับคำสอน [เพราะประวัติไม่ค่อยดีเกี่ยวกับพวกนี้
ถ้าเลี่ยงได้จะไม่เข้าใกล้ ก็คิดดูขนาดหนังสือที่เขารักมากเขายังไม่อ่านเกี่ยวกับพวกนี้เลย]
-
คนที่ทำหนังสือของเธอพัง [เพราะหนังสือเป็นของสำคัญ เพราะงั้นใครทำเตรียมตัวซวยไปสามวันเจ็ดวันได้เลย(?)]
- คำสัญญา [เพราะสุดท้ายแล้วทุกคนก็จะไม่ทำตามหรือลืมมันไป
เพราะงั้นไม่ต้องสัญญาอะไรกับเธอหรอก ทำมันให้เห็นเลยสิ! ถ้ามีใครมาสัญญาเธอก็คงทำหน้าเฉยๆ
แต่ในใจนี่ไม่คาดหวังอะไรหรอก]
แพ้: ไม่มี
อื่นๆ:
-
เพราะมาริอะเป็นคนฝรั่งเศส แต่โดนรับเลี้ยงมาที่ญี่ปุ่น
ทำให้สัญชาติเธอเป็นญี่ปุ่นทั้งที่มีเชื้อชาติฝรั่งเศสค่ะ
-
ที่จริงแล้วกลัวการจากลา จึงไม่กล้าสร้างสายสัมพันธ์ให้ลึกซึ้ง เพราะกลัวจะเจ็บอีก
-
เป็นคนที่เสียงไพเราะมาก แต่เพราะกวนประสาทมันเลยเสียของ
ทั้งที่ร้องเพลงก็เพราะแท้ๆ และหูดีมากๆ
-
โปรดปรานการแต่งชุดขาวเป็นพิเศษ มาริอะคิดว่าเธอเคยชินน่ะ
- ชอบทำตัวตามสบาย
แต่บางทีก็กลายเป็นมารยาททรามในสายตาบางคน เช่น แคะขี้หูขี้ตาหน้าตาเฉย
คำว่ากุลสตรีคืออะไรไม่รู้จัก แต่ดันมีสกิลแม่บ้านแม่เรือนติดตัวหมดซะงั้น
- จากข้อข้างบน
และภาพลวงตาของมาริอะที่เป็นภาพสวรรค์ ทำให้เธอมีฉายาเล่นๆ ว่า “นางฟ้าจากนรก” (Hell
angel)
- มีทักษะด้านภาษาสูงมาก
ชำนาญสามภาษาคือ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และอิตาลี
ไม่นับภาษาอังกฤษระดับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องแคล่วด้วย
- สามารถหาตัวมาริอะได้ในที่ร่มๆ
และอากาศปลอดโปร่งเย็นสบาย ยิ่งเป็นที่สูงด้วยแล้วนี่ใช่เลย...
- มาริอะทำอาหารเก่ง
แล้วไอ้ที่เคยบอกว่ากินอะไรก็ได้น่ะเรื่องจริง เพราะมันขึ้นกับฝีมือคนทำต่างหาก
- ถึงมาริอะจะชอบเฝ้ามองคนอื่นไปทั่วก็จริง
แตก็จะเล็งคนที่เธอคิดว่าน่าจะมีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษไปด้วย แต่ก็ไม่ได้พัฒนาเลเวลจนเป็นสตอล์กเกอร์แต่อย่างใด
สบายใจได้(?)
- ทักษะทางกายภาพของมาริอะจัดว่าต่ำที่สุดในหมู่ผู้พิทักษ์
(แน่นอนว่าเก่งกว่าคนทั่วไปมากอยู่แล้ว) แต่ทักษะการหลบหลีกเธอนี่ที่หนึ่งเลย
หนีเก่ง หลบเก่งนัก
- ถ้าจะถามว่าตกลงมาริอะรู้สึกยังไงกับเอริกะ
ขอตอบว่าสำหรับเธอแล้ว เอริกะคือตัวแทนของ ‘ความเชื่อในความไร้เดียงสา’
ที่แหลกสลายไปพร้อมกับชีวิตของเธอ มาริอะมองเธอเป็นคนสำคัญที่ไม่ใช่ในแบบคนรัก
และเธอไม่รู้ว่ามันจะนิยามว่าอะไร...แต่ถ้าให้ใกล้ที่สุดจริงๆคงเป็นน้องสาวนั่นแหละ
แต่ถามว่ารักมั้ย ก็รักนั่นแหละ...มากเสียด้วยสิ เป็นผู้หญิงที่เธอรักมากที่สุดในช่วงชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดของเธอด้วยซ้ำ
และจริงๆ เธอรู้ตัวมาสักพักแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองเธอเป็นพี่สาว แต่เพราะอย่างนั้น
เธอเลยเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ต่อไป (จิ้มเพื่อดูภาพเอริกะได้)
- เท็นโนจิ ซากิ แม่บุญธรรมของเธอปัจจุบันก็ยังสังกัดแฟมิลี่
แต่ประจำอยู่ที่ญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ (จิ้มเพื่อดูภาพได้)
- ภาพลวงตาอย่างเดียวที่มาริอะสร้างไม่ได้คือภาพลวงตาของเอริกะ
เพราะความเป็นจริงมันย้ำเธอเสมอว่าต่อให้สร้างขึ้นมาได้ก็เป็นเพียงภาพลวงตาไร้ค่า ดังนั้นเธอจึงไม่สร้างและคงทำใจสร้างไม่ได้ด้วย
T A L K
JM: สวัสดีค่าาท่านผปค. เรามีนามแฝงว่า จัสมินนะคะ
A: ยูกินะคนเดิม เพิ่มเติมคือมาส่งคนที่สองค่า
JM: อะไรดลใจให้มาสมัครเรื่องนี้หรอคะ??
A: เช่นเดิมค่ะ เราอยากสมัครเรื่อง KHR พอดี แล้วเรื่องนี้พล็อคก็น่าสนใจค่ะ
JM: ถ้าไม่ติดจะโกรธมั้ยคะ?
A: ไม่โกรธค่ะ การตัดสินใจของคนเขียนถือเป็นที่สิ้นสุดอยู่แล้ว
แต่จะเจ็บใจตัวเองค่ะ
JM: ถ้าไม่ได้บทบาทที่สมัครอยากได้บทอะไรคะ
ตัวอย่างแบบนี้ เช่น ลูกน้องในหน่วย คนสนิท หรือตัวร้ายแบบนี้
A: รับกลับค่ะ เช่นเดิม ถ้าไม่ติดบทที่ต้องการ
เรารับกลับทุกคนค่ะ (ทั้งโชโกะ ทั้งคนนี้ และคนต่อๆ ไปถ้าส่งทัน)
JM: ขอให้โชคดีนะคะะะะ
A: ขอบคุณค่ะ รับมาริอะกับโชโกะไว้พิจารณาด้วยนะคะ
ความคิดเห็น