ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Forbidden library

    ลำดับตอนที่ #7 : The forbidden book No.7 l Tennouji Maria

    • อัปเดตล่าสุด 14 มิ.ย. 63






    THE FORBIDDEN BOOK NO.7

    [The Smiley Mist Guardian who is not willing to open her mind again]

     


     







     

    Even in the word ‘Belief’, there lies a lie’.

    แม้แต่ในคำว่าความเชื่อ...ก็ยังมีคำลวงซ่อนอยู่...



    Application

     


    “แหมๆๆๆ ไม่มีหลักฐานก็คือใส่ร้ายกันน้า...รังแกผู้หญิงแบบนี้หน้าไม่อายกันจัง...”

    "ความจริงเป็นยังไงสำคัญตรงไหน สำคัญว่าเขาเชื่อว่าอะไรคือความจริงต่างหากล่ะ"

    บท: บทที่ 6 ฮิบาริ เคียวยะ

    ชื่อ-นามสกุล: Tennouji Maria [เท็นโนจิ มาริอะ] [เรียงสกุล-ชื่อแบบญี่ปุ่น]

    ชื่อเล่น: Mari [มาริ]

    ความหมายของชื่อ: เท็นโนจิ – วิหารแห่งราชันสวรรค์ / มาริอะ – ความเฉลียวฉลาดอันแท้จริงและชัดเจน (แปลจากคันจินะคะ)

    สังกัด: โรส เลดี้ แฟมิลี่

    อายุ: 24

    วันเกิด: 5 พ.ย.

    สัญชาติ: ญี่ปุ่น

    เชื้อชาติ: ...ฝรั่งเศส มันมีสาเหตุนะคะ อ่านจากประวัติและหมายเหตุได้เลยค่ะ

    ลักษณะรูปร่าง:

    มาริอะเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามหมดจด เจ้าของรูปร่างโปร่งเพรียวได้สัดส่วนจนน่ามองไปเสียหมด แขนขาเรียวยาวแต่ไม่เก้งก้าง หน้าอกหน้าใจแม้จะไม่เด่นอะไรแต่ก็จัดว่ามีกำลังพองาม (คัพบี) ผิวขาวนวลแทบไร้รอยตำหนิ อาจมีแผลเป็นเล็กๆ หรือรอยแดดบ้างเล็กน้อย แต่นั่นก็แค่ทำให้เธอดูสมเป็นมนุษย์มากขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบแต่อย่างใด ดวงหน้าอ่อนเยาว์ใสกระจ่างชวนมองนั้นประกอบจากเครื่องหน้าทุกอย่างออกมาได้อย่างงดงามสมบูรณ์ ตั้งแต่ดวงตาสีฟ้าหม่นดุจท้องฟ้าในยามหิมะโปรย จมูกโด่งรั้น เชิดเล็กน้อย ริมฝีปากเป็นสีเชอร์รี่จางๆ อวบอิ่มดูน่าสัมผัส ผมสีทองราวกับแสงตะวันยามเช้าที่ยาวลงมาเลยบ่าเล็กน้อย หยักศกนิดๆ ตรงปลายตามธรรมชาติ ที่เจ้าตัวชอบปล่อยให้มันยาวสบายแบบไม่ทำอะไรกับมันนักนอกจากหวีจัดทรง ยามมันล้อมใบหน้าไว้ก็ยิ่งขับเน้นความกระจ่างใสของใบหน้าและยิ่งทำให้หน้าเธอดูเล็กลงเข้าไปอีก

    เรื่องการแต่งกาย ส่วนใหญ่มาริอะจะชอบแต่งตัวในชุดสบายๆ  เพราะให้เหตุผลว่ามันใส่แล้วเคลื่อนไหวคล่องดีแบบไม่กลัวโป๊แต่อย่างใด ไม่รู้ทำไมชอบใส่เดรสสีขาวเป็นพิเศษทั้งที่เจ้าตัวก็ไม่ได้โปรดปรานสีขาวขนาดนั้น มักแต่งตัวตามอารมณ์ตามใจตอนนั้นมากกว่า เลยไม่ค่อยมีรูปแบบตายตัว

    ลักษณะการพูดจา:

    มาริอะเป็นคนที่มีน้ำเสียงหวานใสไพเราะน่าฟังมากๆ เสียแต่เนื้อความที่พูดมักไม่ค่อยน่าฟังจนเสียของซะนี่ ปกติจะเป็นเสียงที่ไม่ดังเกินไปและไม่เบาเกินไป แต่ก็ขึ้นกับอารมณ์และสถานการณ์เช่นกัน และเป็นคนที่ยิ้มตลอดเวลาที่พูดแม้ว่าจะเป็นเรื่องฉิบหายขนาดไหนก็ตาม ที่สำคัญคือเป็นคนที่จับอารมณ์จากน้ำเสียงยากมากๆ เดาใจไม่ถูกว่าจริงๆ คิดอะไรอยู่น่ะสิ

    ปกติแล้วมาริอะมักจะแทนตัวเองว่า “ฉัน” แทนคนอื่นว่า “เธอ” “นาย” ไม่ก็เรียก “ชื่อจริง” โดยไม่ค่อยคำนึงถึงตำแหน่งหรือความอาวุโสใดๆ ถ้าเรียกคุณหรืออะไรหรูหราขอให้รู้ว่าประชดล้วนๆ มีคำลงท้ายค่ะคะบ้าง แต่ไม่ถี่ และมักจะใช้ตอนกวนประสาทเนี่ยสิ...

    01: เมื่อมีคนเดินเข้ามาหาแล้วพูดว่า...

    เฮ้ ยัยหัวทอง

    มาริอะที่กำลังจดจ่อกับหนังสือไม่ได้สนใจคำพูดของอีกฝ่ายนัก อย่างน้อยก็จนกระทั่งอีกฝ่ายกระชากหนังสือออกไปจากมือเขา นัยน์ตาสีอ่อนฉายประกายวูบหนึ่งก่อนจะกลับมาราบเรียบ ดวงหน้างดงามเงยขึ้นมามอง ก่อนจะยิ้มกว้าง

    “...พูดกับฉันอยู่เหรอคะ?”

    ก็เออสิวะ!!!

    งั้นคราวหน้าช่วยเรียกชื่อฉันให้ถูกด้วยนะ พอดีฉันไม่ได้ชื่อหัวทอง

    นี่แก๊!!!

    “เฮ้อ...พูดไม่รู้เรื่องรึไงกันน้า...”

    มาริอะยันกายลุกขึ้น เอื้อมคว้าหนังสือไปจากมืออีกฝ่าย ปัดมันด้วยท่าทีทะนุถนอม ก่อนจะเงยหน้ามองยิ้มๆ แต่ตาไม่ได้ยิ้มตาม แล้วแคะขี้หูเดินผ่านร่างของอีกฝ่ายไปอย่างไม่สนใจ

    เอาเป็นว่าเชิญไปตามหาคุณ แก กับคุณ หัวทองต่อตามสบายแล้วกัน ไปล่ะ ไม่ส่งนะ

     

    สถานการณ์ 02: เมื่อมีคนคาดคั้น...

    ไม่ต้องมาอมพะนำเลย บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าเธอรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับหมอนั่น มาริอะ

    เจ้าของชื่อเลิกคิ้ว มองอีกฝ่ายที่ทำท่าเหมือนตัวเองถือไพ่เหนือกว่าเสียเต็มประดาทั้งที่เป็นฝ่ายมาขอร้องแท้ๆ รอยยิ้มขบขันปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง

    แล้วทำไมถึงคิดว่าฉันรู้ล่ะ?”

    นั่น...อย่ามาเปลี่ยนเรื่องน่าเอาเป็นว่าฉันรู้ว่าเธอรู้แล้วกัน”

    เชื่อคำคนอื่นทั้งที่ไม่รู้ว่าจริงรึเปล่าเนี่ย...มาริอะหยุดแค่นั้น “...ไม่คิดเหรอคะว่ามันดูโง่มาก?”

    นี่แกหลอกด่าฉันเหรอ!?”

    ตรงไหนที่ว่าหลอกด่าล่ะ?”

    ก็...ก็...อีกฝ่ายชี้หน้า นิ้วสั่นระริก ไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาโต้ตอบคนตรงหน้าดี แกด่าฉันว่าโง่!!!

    “...ดูท่าว่านายจะเข้าใจอะไรผิด...มาริอะแสร้งถอนหายใจเบาๆ “ฉันแค่ถามว่ามันดูโง่หรือเปล่า ถ้านายคิดว่าโง่ นั่นก็แปลว่าคนที่ด่านายว่าโง่ก็ไม่ใช่ใคร...แต่เป็นตัวนายเองนั่นแหละครับ ตาคนโง่เอ้ย

    เฮ้ยแกด่าฉัน!!!

    มาริอะกะพริบตาเล็กน้อย “อ้าว หายโง่แล้วนี่นา ว้า ไม่สนุกเลย...”

     

    03: VS เจ้าของรางวัลตุ๊กตาทองคำสาขาสร้างภาพดีเด่น(?)

    ดวงตาสีอ่อนมองร่างของใครคนหนึ่งที่กำลังเดินยิ้มเข้ามาหา แต่แววตาไม่ยิ้ม ทำเอามาริอะลอบหัวเราะในใจ

    สุดท้ายก็แบบนี้...

    ฉันเชื่อว่าคุณจะไม่เอาเรื่องนั้นไปบอกใครใช่มั้ยคะ?” หล่อนยิ้มหวานหยด หากคั้นน้ำออกมาจากรอยยิ้มนั้นได้คงเลี่ยนบาดคอน่าดู แต่ต่อให้ฉันไม่มาพูด ฉันก็เชื่อว่าคุณคงฉลาดพอที่จะรู้นะคะว่าต้องทำยังไง สายหมอกจอมลวงหลอกอย่างคุณน่ะ ไม่มีใครเชื่อหรอก

    มาริอะเอียงคอเล็กน้อย ทำหน้างง เธอพูดเรื่องอะไรอยู่น่ะ ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย

    อย่าเล่นตัวไปหน่อยเลยค่ะ แล้วก็เลิกแกล้งโง่สักที! ก็เรื่องเมื่อคืนที่คุณเห็นฉันคุยต่อรองกับอีกแฟมิลี่...

    “...อ๋อ

    หายโง่แล้วหรือคะ? งั้นเรามาตกลงกัน—“

    “...ตกลงว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอจริงๆ สินะมาริอะยิ้ม และรอยยิ้มยิ่งกดลึกเมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่ายยิ่งซีดเผือดลงไปทุกที พอดีว่าตอนนั้นฉันรีบเลยไม่ทันมองชัดๆ ก็สงสัยอยู่ว่าเป็นใคร แหม...ขอบคุณนะคะอุตส่าห์ที่มาบอกฉัน คงเหนื่อยแย่เลย

    ที่จริงแล้วเธอเห็นชัดเต็มสองตาเลยล่ะ แต่ช่วยไม่ได้ ใครใช้หล่อนเสร่อมาหาเรื่องเธอแบบนี้ล่ะ?

    นะ..นี่แก!!!

    แหมๆๆ...พูดจารุนแรงจังเลยน้า... มาริอะหัวเราะคิกคัก ว่าแต่ที่พูดค้างไว้เมื่อกี้น่ะ...

    อีกฝ่ายคืนท่าทีสุขุมกลับมาอีกครั้ง หึ...อยากได้เท่าไหร่ก็ว่ามา...

    มาริอะฉีกยิ้ม และครั้งนี้มันลามไปถึงดวงตายามเธอเอ่ยประโยคถัดมา

    แทนที่จะถามฉัน ถามนู่นดีกว่ามั้ย ว่าจะเขาอยากได้ชดเชยเป็นอะไรดี

    และสีหน้ายามคู่กรณีหันไปเห็นบอสพร้อมผู้พิทักษ์และคิลเลอร์ครบชุดที่เป็นภาพมายาของเธอนั้นก็ทำเขาอารมณ์ดีไปอีกสามวันหลังจากนั้นเลยทีเดียว...

     

    04: And I still think of you

    ดอกไม้สีฟ้าใสเฉกเช่นเดียวกับสีท้องฟ้าถูกวางลงที่หน้าแผ่นหินเย็นเยียบ ตัวอักษรที่สลักไว้ย้ำชัดถึงความเป็นจริงที่ไม่เคยปรานีต่อผู้ใด

    เท็นโนจิ เอริกะ

    ไง...เอริกะ

    มาริอะพูด แตะที่แผ่นหินราวกับมันเป็นหัวของใครคนนั้นที่เธอเคยเล่น นิ้วเรียวไล่ไปตามตัวอักษรช้าๆ ราวกับจะตอกย้ำความจริงไว้ตรงกลางใจไม่ลืมเลือน

    ดูท่าจะสบายดีนะ เธอพูดเสียงแผ่วลงจนแทบกลืนไปกับสายลม เหม่อมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆครื้มคล้ายว่าฝนจะเทลงมาได้ทุกเมื่อ “...โกรธเหรอ...ที่มากวนตอนนอนน่ะ

    “...”

    หยาดฝนค่อยๆ โปรยปรายลงมาช้าๆ แต่มาริอะก็ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน คล้ายว่ากำลังรอคอยให้เจ้าของร่างใต้แผ่นหินนี้กลับมาหา นานนักกว่าเธอจะเอ่ยปากอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังเดินจากไปช้าๆ

    “...หลับให้สบายนะเอริกะ ไว้พี่จะมาหาใหม่นะ

     

    05: ความจริง ความลวง และความเชื่อ?

    “...ทำไมเธอถึงเชื่อว่าพระเจ้าไม่มีจริงล่ะ?”

    มาริอะเงยหน้ามองคนถาม น้อยครั้งเหลือเกินที่จะมีใครถามอะไรแบบนี้กับเธอ และนานเหลือเกินที่เขาไม่ได้ถามแบบนี้กับใครสักคนเช่นกัน

    แล้วทำไมถึงคิดว่าพระเจ้ามีจริงล่ะ?”

    ไม่ใช่เหรอ? ก็เขาสอนมา...

    เคยเห็นเหรอ? พระเจ้าที่ว่าน่ะ

    บ้า! ใครมันจะไปเคย...อีกอย่างด้วยพลังของเธอ ต่อให้เห็นก็ไม่แน่ว่าจะเป็นความจริงไม่ใช่หรือไง

    ก็นั่นน่ะสิ...ขนาดเห็นด้วยตายังเชื่อไม่ได้ แล้วสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา...จะเชื่อได้ยังไงล่ะว่ามีอยู่จริง?”

    มาริอะตอบเรียบๆ ก่อนจะก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไปโดยไม่สนใจสีหน้าตกตะลึงของอีกฝ่ายอีก

     

    หมายเหตุ: ไม่มีโหมดเสียสติเพราะชีนางจะหัวเราะอย่างเดียวแล้วใช้พลังโครมๆเลยค่ะ เลยไม่รู้จะเขียนอะไร เพราะเขียนไปคงมีแต่เสียงหัวเราะ โกรธและเสียใจก็คล้ายๆ ตอนปกติอีกต่างหาก...

     

     06: VS นายป่าเถื่อน(?)

    มาริอะรู้สึกสนุก แต่ก็เพลียหน่อยๆ กับคนตรงหน้า เฮ้อ ผู้ชายหนอผู้ชาย เอะอะก็จะใช้แต่กำลัง

    “ลงไม้ลงมือกับผู้หญิงบอบบางแบบนี้ไม่ดีเลยน้า”

    ว่าพลางหลบทอนฟาที่ฟาดเข้ามาได้หวุดหวิด สีหน้าหงุดหงิดทำให้เธออดแหย่ต่อไม่ได้ ทั้งๆที่บอสและคนอื่นตะโกนบอกให้หยุด เธอก็ไม่สน

    “ว่าแต่สารอาหารไม่ไหลไปสมองเหรอคะ ถึงได้ไม่พัฒนาจนใช้แต่กล้ามเนื้อเนี่ย”

    “ยัยสัตว์กินพืช!

    “เอ...ผักอร่อยออกนะ แล้วพูดก็พูดเถอะ นายไม่กินผักเลยเหรอ ไม่กินเลยระวังท้องผูกน้า”

    “แก...ตาย!!!

    “ว้าย กลัวจังเลย กลัวแล้วค่า คุณผู้พิทักษ์เมฆาคนเก่งโกรธแล้ว ทำไงดีน้า กลัวจังๆ”

    แต่สีหน้ายิ้มระรื่นนั่นดันบอกอีกอย่างน่ะสิ...

     

     


    อุปนิสัย:

     

    จงอย่าเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น เพราะสิ่งที่เห็นกับความเป็นจริงไม่ใช่อย่างเดียวกันเสมอไป

     


    ในสายตาของคนที่มองมาแล้ว วินาทีแรกที่เห็นมาริอะจะเห็นว่าเธอเป็นหญิงสาวที่หน้าตาเหมือนเด็กสาวแรกรุ่นเสียมากกว่า ท่าทางน่าเชื่อถือ มีรอยยิ้มประดับหน้าตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มน้อยๆ หรือรอยยิ้มสดใส ประหนึ่งว่าต่อให้โลกนี้แตกต่อหน้าก็คงทำเธอเลิกยิ้มไม่ได้ ทำตัวกวนประสาทไปเรื่อยเปื่อย เหมือนไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันกับเขาสักที

     

    หากคุณคิดแบบนี้ ขอให้ลบความคิดนั้นออกไปให้หมดแล้วมาอ่านเรื่องราวของเธอต่อจากนี้

    แล้วคุณจะไม่มีวันมองเธอเป็นเหมือนเดิมได้อีกเลย...

     

    การทำตัวเหมือนจะสดใสเป็นมิตรของมาริอะนั้น คงไม่ผิดอะไรหากจะบอกว่าส่วนหนึ่งเป็นการสร้างภาพ ในโลกที่ผู้คนตัดสินใจคนอื่นเพียงสายตา ภาพลักษณ์ที่ดีนั้นก็ไม่ต่างอะไรไปจากอาวุธหรือเกราะชั้นเลิศที่จะรักษาชีวิตตัวเองให้รอดปลอดภัยได้ ก็จะมีสักกี่คนกันเชียวที่เราได้สนิทสนมหรือทำความรู้จักกันจนเห็นเนื้อแท้ล่ะหืม?

    แต่ในกรณีของมาริอะจะบอกว่าเธอสร้างภาพก็ไม่ถูกไปเสียหมด ถูกที่เธอปรับนิสัยออกมาเป็นแบบนี้เพราะอะไรหลายๆ อย่าง จะบอกว่าสร้างภาพก็ได้ แต่เธอจะไม่สร้างภาพเป็นคนดีเด็ดขาด เพราะสิ่งที่เธอเกลียดที่สุดอย่างหนึ่งในโลกคือคนที่ชอบสร้างภาพเป็นคนดี แต่เธอก็ไม่ได้เป็นพวกขวางโลกแต่อย่างใด ดังนั้นมันก็เลยออกมาเป็นแบบนี้ไปเองตามธรรมชาติ แต่แม้คาร์แร็กเตอร์ภายนอกจะดูเป็นแบบนี้ก็ใช่ว่าจะเคี้ยวได้ง่ายๆนะบอกไว้ก่อน

     

    มาริอะมีนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์อยู่อย่างหนึ่งคือเป็นคนที่ชอบเฝ้ามองอยู่ห่างๆ มากกว่าจะไปส่วนร่วมอะไรกับใครโดยตรงหากไม่สนใจ (แน่นอนว่าถ้าสนใจก็คือไปก่อนใครเขาเลย และร้อยละแปดสิบของสิ่งที่เธอสนใจมักเป็นเรื่องไร้สาระและการแกล้งแหย่คนอื่น) ซึ่งก็ออกจะทำคนปวดหัวเพราะเรื่องที่ไม่น่าสนใจสำหรับเธอส่วนใหญ่ดันเป็นงานที่ควรจะทำเนี่ยสิ เวลานี้ทำตัวเหมือนเป็นผู้ชมในโรงละคร ดูคนอื่น(ที่โดนหลอกหรือโดนใช้ให้ไปทำแทน)แสดงกันไป ในขณะที่ตัวเองนั้นเฝ้ามองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ไม่มีใครอ่านออกว่าเธอคิดอะไรอยู่กันแน่ และแน่นอนว่าทักษะการสังเกตของเธอนั้นยอดเยี่ยมมาก สายตาเฉียบคมที่สุด โดยเฉพาะการจับโกหกและการดูนิสัยที่แท้จริงของคนเนี่ยของถนัดเธอเลย ก็เธอเป็นผู้ใช้มายาทั้งที จะไม่รู้จักมายาได้ยังไงล่ะจริงไหม? อีกทั้งการอยู่ท่ามกลางผู้คนที่แสดงละครหลอกลวงสายตาคนอื่นมาตั้งแต่เด็กทำให้ทักษะเธอยิ่งเพิ่มพูน บวกกับเซ้นส์ในตัวทำให้การตัดสินใจในเรื่องนี้ของเธอนั้นแทบไม่มีพลาดเลยก็ว่าได้ แต่แน่นอนว่ามันก็ต้องมีกันบ้างแหละน่า

     

    นอกจากจะช่างสังเกตอย่างร้ายกาจแล้ว มาริอะยังเป็นคนที่รู้จักจับจังหวะได้ดีที่สุดคนหนึ่งอีกด้วย เธอรู้ว่าควรจะทำอะไรเวลาไหนถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี รู้ว่าตอนไหนควรเงียบตอนไหนควรลงมือ และที่สำคัญคือรู้ว่าตอนไหนควรทำตัวฉลาด และตอนไหนควรแกล้งโง่ ซึ่งร้อยละแปดสิบของการแกล้งโง่นั้นมักเป็นการทำตัวเรื่อยๆเปื่อยๆสบายๆ กลมกลืนไปกับมนุษย์มนาปกติทั่วไป ดีไม่ดีคนธรรมดาบางคนยังเด่นกว่าด้วยซ้ำ ประหนึ่งว่าชีวิตฉันมันก็ลอยชายอยู่แค่นี้ไม่มีอะไรให้น่าสนใจหรอก ก็แหงล่ะเพราะเธอไม่ชอบทำตัวเด่นน่ะสิ แต่ไม่ได้ขี้อายนะขอบอก ความจริงเธอออกจะหน้าหนาด้วยซ้ำ แต่พอคล้อยหลังไปฮีก็จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบเมื่อสบโอกาส ให้อารมณ์ลาสบอสที่อยู่หลังม่านประมาณนั้น แล้วเธอยังเป็นคนประเภทที่ว่าทำฉันมางั้นผมแถมคืนให้สิบเท่าแล้วกัน โดยเฉพาะกับเรื่องร้ายๆเนี่ยตัวดีเลย แต่เรื่องดีๆทำแล้วดันให้คืนแบบเสมอตัวซะงั้น ซึ่งจริงๆเธอก็จำไว้นะ แต่จะตอบแทนแบบไม่เอิกเกริกเท่าไหร่ก็แค่นั้นเองด้วยการไม่ร้ายใส่ จบ(?)

     

    ถึงจะบอกว่ามาริอะเป็นพวกชอบมองเรื่องราวมากกว่าจะก่อเรื่องเองก็ตาม แต่ที่เธอก่อเรื่องเองก็มีไม่น้อยเหมือนกัน แต่มักจะเป็นเรื่องที่เธอเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับตัวเอง (แต่บางทีมันดันใหญ่ในสายตาคนอื่นเนี่ยสิ) ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่โดนลากเข้าไปเอี่ยวด้วยล่ะก็...เธอก็ยินดีจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บทละครฉากนั้นออกมาสมบูรณ์ที่สุด...ในแบบที่เธอสนุกอ่ะนะ ทำตัวเหมือนจะไม่ยุ่ง แต่ใจจริงๆแล้วก็ชอบเรื่องสนุกเอามาแก้เบื่อนั่นแหละ (เพราะงั้นถ้าไม่สนุกก็จะไม่ยุ่ง) ถึงได้เฝ้ามองเรื่องราวของคนอื่นอยู่เรื่อย แล้วไอ้คำว่าสนุกของมาริอะเนี่ยเกือบร้อยละร้อยมักลงเอยด้วยความฉิบหายของใครสักคนแถวนั้นเสมอด้วยเนี่ยสิ...

     

    คุณคงคิดว่ามาริอะมองโลกยังไงถึงได้พูดออกมาแบบนี้...อ๋อ...ก็มองตามความเป็นจริงนั่นแหละ เพียงแต่เจอคนตอแหลมาเยอะไปหน่อย ฟิลเตอร์ความดาร์กของเธอก็เลยเยอะ ออกจะมองโลกค่อนไปทางแง่ร้ายนิดๆ เป็นการระวังตัวเองไว้ก่อน ทำตัวเหมือนเข้าหาได้แต่ความจริงแล้วเปิดใจยาก จิตใจและความคิดค่อนข้างซับซ้อนทั้งๆที่ดูเหมือนเล่นๆ เรื่อยเปื่อยไร้สาระไม่ได้คิดอะไรเท่าไหร่ เป็นคนประเภทที่มีคติและหลักการใช้ชีวิตที่ฟังแล้วเด็กวัยเดียวกันอาจมองว่ายัยนี่มันผ่านชีวิตแบบไหนมาวะเนี่ยถึงได้คิดแบบนี้ และคติประจำใจของเธอก็สมกับเป็นผู้ใช้มายาเสียเหลือเกิน มันเป็นคำพูดที่เธอเคยได้ยินจากใครคนหนึ่งที่เปลี่ยนโลกทั้งใบของเธอ และทำให้เธอเป็นตัวเธออย่างทุกวันนี้  

         ‘ใครจะไปสนล่ะว่าความจริงเป็นยังไง แค่ทำให้คนอื่นเชื่อว่าสิ่งที่เห็นเป็นความจริงต่างหากที่สำคัญ                                                                                                     

    คือคำพูดที่ว่านั้น และมันช่างเหมาะสมกับเธอที่เป็นผู้ใช้มายาเสียเหลือเกิน เพราะต่อให้สิ่งที่เธอสร้างไม่ใช่ความจริง แต่ขอเพียงอีกฝ่ายเชื่อ...แค่นั้นมันก็มีอำนาจขึ้นมาทันที โดยเฉพาะกับมนุษย์ที่มักเชื่อในสิ่งที่ตาตนเองเห็นเนี่ย...ฮิฮิ

     

    มาริอะเป็นคนที่เหมือนจะไม่ได้รู้สึกรักชอบหรือเกลียดชังอะไรใครเป็นพิเศษ เมื่อดูจากท่าทางที่เล่นไปเรื่อยแล้ว แต่จริงๆ แล้วเจ้าตัวเป็นคนที่ถ้าเป็นของที่ชอบหรือเกลียดจริงจังแล้วจะสุดโต่งพอควร แต่เป็นการสุดโต่งแบบเงียบๆ เนียนๆ ไหลๆ ตามสไตล์ประมาณว่าถ้าไม่สังเกตจริงๆ หรือเจ้าตัวไม่พูดออกมาตรงๆ จะไม่รู้เลยว่าเธอรักหรือเกลียดอะไรกันแน่ แต่เชื่อเถอะ เธอก็มนุษย์คนหนึ่งนั่นแหละ เพียงแต่เลือกจะไม่ได้แสดงออกมาก็เท่านั้นเอง

     

    พูดมาขนาดนี้ก็แน่นอนว่ามาริอะไม่ใช่คนตรงไปตรงมาหรอก ตรงกันข้ามเลยต่างหาก คือเป็นคนที่สามารถพูดโกหกได้หน้าตายตาไม่กระพริบแบบมีออร่าน่าเชือถือ(ที่คนที่ไม่รู้จักมักจะตกหลุมพราง)ออกมา และว่ากันว่าคำโกหกที่น่าเชื่อถือมากที่สุดคือคำโกหกที่มีความจริงผสมผสานอยู่ในนั้น ดังนั้นทำใจเลยค่ะว่าสิ่งที่ออกจากปากของมาริอะมักจะไม่มีอะไรจริงร้อยเปอร์เซ็นต์และไม่มีอะไรโกหกร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นกัน มันก็ปนๆกันอยู่ในนั้นนั่นแหละ ไปหาเอาเองก็แล้วกันว่าอันไหนจริงไม่จริง แถมบางทีก็ชอบพูดคลุมเครือครึ่งๆกลางๆ ให้ไปคิดเอาเองต่อแบบผิดๆอีกต่างหาก แต่ปกติแล้วมาริอะจะชอบถามย้อนกลับ เนียนเปลี่ยนเรื่อง ไม่ก็มาเป็นสำนวนปรัชญาคำคมที่ฟังแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ หลายคนก็เลยนึกว่าเธอพูดด้วยไม่รู้เรื่อง กวนประสาทที่สุด ส่วนอีกพวกก็บอกว่ามันทำให้เธอดูลึกลับไปซะอย่างนั้น แต่จริงๆแล้วถ้าตีความสิ่งที่เธอพูดออกจะรู้เลยว่ายัยนี่มันร้ายค่ะ...

    จริงๆ อยากจะบอกว่าดีแล้วที่พูดอย่างนั้น เพราะถ้าเกิดถึงคราวที่มาริอะดันพูดตรงเมื่อไหร่ มันจะมาแบบสั้นกระชับ แต่เหมือนโดนไม้หน้าสามตีแสกหน้ากลางสี่แยกโดยไม่มีคำหยาบคายใดๆทั้งสิ้น แถมไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า นึกอยากจะมาเมื่อไหร่มันก็มา ทำเอาคนช็อกซีนีม่ากันมาเยอะแล้ว แล้วนี่ก็ไม่อยากพูดเลยว่ามาริอะน่ะชอบสีหน้าเหวอๆ ตอนช็อกแบบนั้นสุดๆเลยล่ะ...

     

    เห็นมาริอะเป็นคนที่พูดจาสุภาพ มีคำลงท้ายเป็นระยะก็จริง แต่จริงๆ ถ้าดูตามคำพูดแล้วคือปั่นประสาทคนมาก และเป็นคนที่ถนัดในการทำให้คนสติแตกด้วยคำพูดและท่าทางเพียงเล็กๆ น้อยๆ และบางครั้งคือเธอน่ะไม่รู้ตัวหรอกกว่าบางทีการทำแบบนั้นน่ะมันดูกวนตีนในสายตาคนอื่น (แต่ส่วนใหญ่จงใจเลยล่ะ) ไม่น่าแปลกใจว่าหากเกิดเรื่องชวนปวดประสาทในหมู่ผู้พิทักษ์ เกือบร้อยละเก้าสิบมักมีมาริอะเข้ามาเอี่ยวด้วย

     

    ถ้าถามว่ามีนิสัยที่คาดไม่ถึงไหม มีค่ะ...คือเรื่องที่หนึ่งในสิ่งที่มาริอะชอบคือการอ่านหนังสือ ผิดภาพพจน์มาก อ่านได้ทุกประเภทกระทั่งดิกชันนารีก็ยังอ่านได้ จะไม่อ่านก็พวกตำราทางศาสนานี่แหละด้วยความหลังอันไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่ (แต่ดันมีความรู้ทางศาสนาแน่นมากเพราะโดนสอนมาจนฝังหัว) ใครบังอาจมารบกวนเธอโดยไม่มีเหตุจำเป็นหรือทำหนังสือเธอยับ...ค่าเสียหายที่ต้องจ่ายน่ะแพงมากนะบอกเลย(?)เพราะมันแลกด้วยความซวยที่ถูกกำหนดมาแล้วยังไงล่ะ(?)

    คืออย่างนี้ ต่อให้มาริอะเป็นคนไม่คิดอะไร เล่นไปเรื่อย แต่กับบางเรื่องเธอจะโคตะระจุกจิก เช่น เรื่องหนังสือ ใครทำพังอาจจะเจออะไรแปลกๆได้ ส่วนเรื่องที่เธอยังไงก็ได้ก็คือยังไงก็ได้จริงๆ เช่นคำถามโลกแตกประจำวันของใครหลายคนอย่างมื้อนี้กินอะไร...ไม่ต้องมาถามเธอ เพราะแน่นอนว่าคำตอบที่ได้คือ...

    อะไรก็ได้ที่อร่อย

    (แต่ถ้าใครเอาอะไรก็ได้ของเธอมาใช้มากวนกลับ...ไม่ขอรับประกันว่าของที่คุณทานเข้าไปเมื่อกี้จะกลายเป็นขี้หมาเมื่อไหร่นะคะ...)

    มาริอะเป็นคนประเภทที่ว่าอยู่เหมือนไม่อยู่ แต่เวลาไม่อยู่กลับเหมือนอยู่ มีตำแหน่งเจ้าแม่กรมข่าวลับๆที่ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าตัวไปรู้มาจากไหน แต่เอาเป็นว่ามาริอะรู้แล้วกัน แน่นอนว่าเธอไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่งเรื่องส่วนตัวของเธอมากเกินลิมิตที่เธอวางไว้ แต่ต่อให้มีก็เชื่อเถอะว่าเธอไม่ได้ปล่อยให้ใครเข้ามาสนิทด้วยง่ายๆหรอก ปกติแล้วเธอเป็นคนเก็บความลับเก่งมากนะ แต่เชื่อเถอะว่าเรื่องมันจบไม่สวยแน่ถ้าคุณบังเอิญไปเป็นคู่กรณีกับเธอ ยิ่งถ้าไอ้เรื่องที่ว่านั่นคุณอยากให้มันเป็นความลับมากเท่าไหร่ เดี๋ยวโลกก็รู้เองแหละ แบบที่โลกไม่ลืมซะด้วย...

     

    แต่ไหนแต่ไรมาริอะก็ไม่ใช่พวกชอบใช้กำลังอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเธอร่างกายอ่อนแอนะ ก็แค่ไม่เห็นความจำเป็น (แต่ก็โดนฝึกมาจนได้) สมองมีก็ใช้ไปสิจะเปลืองแรงทำไม และต่อให้มีเรื่อง พลังมายาที่เธอมีก็เป็นทางออกที่ดีที่สุดให้กับเธอเสมออยู่แล้ว และต่อให้คับขันจริงๆ ก็จะชิลอยู่ดี เป็นพวกสายไม่ทุกข์ไม่ร้อนในทุกเรื่องเลยล่ะ แถมไม่กลัวตายอีกต่างหาก ดังนั้นไม่แปลกใจถ้าจะเห็นมาริอะไปทำอะไรบ้าระห่ำแบบไม่ค่อยกลัวตาย ก็เพราะเธอไม่กลัวไง

     

    มาริอะเป็นพวกที่ถูกนิยามได้ว่า แปลกแยกแบบกลมกลืน และกลมกลืนอย่างแปลกแยกคือถ้าไปถามคนทั่วไปจะบอกว่ามาริอะเป็นคนที่ดูแปลก แต่ความแปลกของเธอนั่นกลับไม่ได้โดดออกจากคนอื่นแต่อย่างใด เหมือนกับว่าความแปลกของเธอมันเข้ากับคนอื่นได้ และคนอื่นก็ดูจะยอมรับในความแปลกนี้ไปเองอย่างงงๆ แต่มันก็ยังเรียกว่าแปลกอยู่ดีนั่นแหละนะ...

     

    หลายคนมักจะสงสัยว่ามาริอะนี่เคยโกรธกับเธอบ้างหรือเปล่า ด้วยความที่ใจเย็นและดูสุขุมมากจนดูไม่กังวลกับอะไรเลยยกเว้นเรื่องหนังสือทำให้เกิดคำถามนี้ เศร้าเองก็เช่นกันเมื่อดูจากสีหน้าท่าทางที่หากไม่ยิ้มแบบคาดเดาไม่ออกแล้วก็จะเป็นสีหน้าโทนเฉยๆเรียบๆเหม่อๆมากกว่า ขอบอกเลยค่ะว่า..

    น้อยมากๆ

    แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิด...เธอไม่ได้ไม่โกรธเพราะควบคุมหรือจัดการอารมณ์ตัวเองได้ดี และความเศร้าก็เช่นกัน แล้วจะหาว่าเธอไร้หัวใจก็ไม่ค่อยจะถูกเท่าไหร่...และไม่ได้อบอุ่นหรือแม้แต่เย็นชาด้วย

    เพราะที่จริงแล้วเธอก็แค่ว่างเปล่ามันก็เท่านั้น...

    ไม่ได้จริงใจทั้งหมด แล้วก็ไม่ได้จริงจังกับอะไรเต็มร้อยทั้งนั้น และแทบไม่คาดหวังอะไรจากใครเลยด้วย พอไม่คาดหวัง ไม่จริงจังแล้วเธอจะไปโกรธกับเศร้าในเรื่องอะไรได้ล่ะ? เพราะเคยคาดหวังแล้วมันพัง เธอก็เลยไม่คาดหวังไง

    ไม่นับรวมเรื่องที่ว่าเธอเป็นพวกที่อยากเทอะไรแล้วก็จะเทเลย และถ้าเทอะไรไปแล้วจะไม่กลับมายุ่งด้วยอีกซ้ำเป็นครั้งที่สอง น้อยครั้งจริงๆที่จะกลับมายุ่งอีก แต่ถ้าเลือกจะรักษาอะไรไว้แล้วแน่ๆ ต่อให้ตัวเองต้องพังทลายกลายเป็นภาพลวงตาหรือเป็นปีศาจเพื่อสิ่งนั้น...เธอก็จะทำ...จนกว่าสิ่งนั้นมันจะแหลกสลายไปมันก็เท่านั้นเอง...เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งเธอเคยพังมาแล้ว และเธอมั่นใจว่าคงจะไม่มีครั้งต่อไปอีก...อย่างน้อยก็ในเร็วๆนี้

    แต่ถ้าเกิดมาริอะโกรธหรือเศร้าขึ้นมาจริงๆ ส่วนใหญ่คนก็ดูไม่ออกอยู่ดีเพราะก็ยิ้มเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือคนที่ทำให้โกรธจะซวย(?) แต่ถ้ามันเป็นเหตุการณ์ที่ถึงจุดพีคแล้ว...สิ่งที่เธอจะทำอย่างแรกคือหัวเราะ...หัวเราะแบบคนเสียสติประมาณว่าต่อให้คนทั้งโลกมองว่าเธอบ้าเธอก็ไม่แคร์ เธอสนสายตาคนอื่นซะที่ไหนล่ะ แต่ก็หัวเราะแค่พักหนึ่งก่อนจะกลับมายิ้มเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือพลังชีจะเกรี้ยวกราดขึ้น...แบบที่ทำตัวเองไข้ขึ้นจนสลบไปเลยก็ได้ แค่อีกฝ่ายลงไปทรมานชักดิ้นชักงอหรือตายห่านหมดเป็นพอ ว่าง่ายๆ คือจัดเต็มแบบเบรกไม่หยุดฉุดไม่อยู่เลยล่ะ ไม่มีมาใจยงใจเย็นอะไรทั้งนั้นแล้ว เรียกโหมดนี้ว่าโหมดเสียสติ...เพราะเธอเสียสติจริงๆ แต่ตั้งแต่เกิดมาเคยเป็นอยู่แค่ครั้งสองครั้งเอง...

    จะเห็นว่าตัวมาริอะนั้นไม่ได้ศรัทธาหรือเชื่อถืออะไรทั้งนั้น ใครมาบอกเธอว่าพระเจ้ามีจริงก็ไม่ต่างจากเดินมาบอกเธอว่าหมูบินได้นั่นแหละ สิ่งที่เธอเชื่อจากใจจริงนั้นมีอยู่ไม่กี่อย่างเท่านั้น หนึ่งคือพลังของเธอเอง เพราะถ้าแม้แต่ตัวเองยังไม่เชื่อ มันจะไปมีอำนาจอะไรได้ แต่ถึงจะเชื่อ เธอก็มีสติพอจะแยกออกว่าอันไหนคือความจริงและอันไหนคือสิ่งที่เธอสร้างขึ้นมานะ และสองคือเชื่อว่าความเชื่อนั้นมีพลังอำนาจอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่สิ่งที่เธอว่ากันว่ายิ่งใหย่อย่างพระเจ้ายังกำเนิดมาจากความเชื่อ...ทั้งที่ไม่มีใครเคยเห็นด้วยซ้ำ แต่ก็มีคนเชื่อเป็นล้าน แล้วมันจะไม่ยิ่งใหญ่ได้ยังไงกันล่ะ?

     

    ส่วนในแง่ของความสัมพันธ์...ต้องบอกว่ามาริอะไม่มีความพยายามที่จะผูกมิตรหรือสนิทสนมกับใครทั้งนั้น คือเธอไม่เข้าหาใครก่อนแน่ๆ ล่ะ แต่ถ้ามีใครเข้าหาอันนั้นก็ว่ากันอีกที แต่ประตูใจที่เปิดรับคนสนิทหรืออะไรทำนองนี้ก็เหมือนมายาเช่นกัน คือเหมือนจะมี แต่ความจริงแล้วไม่มี เป็นแค่กำแพงเปล่าๆ เข้าไปไม่ได้ ถ้าอยากเข้าก็คงต้องทุบทิ้งสถานเดียว เรื่องของคนรักเองก็ไม่ต่าง...

    กระทั่งแฟมิลี่เองเธอก็ยังไม่เรียกว่าเปิดใจให้เต็มร้อย ที่อยู่ก็เพราะว่าอยากอยู่แก้เบื่อและทางของแฟมิลี่มันไปด้วยกันกับเธอได้ก็เท่านั้น แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ปิดใจ แต่ถามว่าทุ่มเทสุดมั้ย...ก็ตอบตรงๆก็คือไม่ได้รักถวายหัวแบบคนอื่นหรอก แต่ปกป้องที่ๆ ตัวเองอยู่มันก็เรื่องปกติไม่ใช่หรือไง เอาเป็นว่าอย่างน้อยเธอก็นับตัวเองเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ก็นับว่าเป็นพัฒนาการที่ดีมากแล้วสำหรับเรื่องนี้

    เพราะสำหรับเธอแล้วนิยามของความรักคือภาพลวงตา...และอันที่จริงก็ทุกอย่างในโลกนี้มันก็เหมือนภาพมายาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?

    เพราะต่อให้เป็นสายสัมพันธ์ที่งดงามเพียงใด สุดท้ายแล้วมันจะแตกสลาย เหมือนกับบทละครที่สักวันก็จะถึงตอนจบอยู่ดี ถ้ามีแล้วตอนพรากจากมันเจ็บปวดขนาดนั้น งั้นสู้ไม่มีเลยยังจะดีซะกว่า...

     

    ประวัติตัวละคร:

     

    แม้นชีวิตเป็นเฉกเช่นบทละคร เราเองก็คงไม่ต่างอะไรไปจากนักแสดงที่โลดแล่นไปตามบทบาทในเวทีที่ชื่อว่าโลก

     

    สิ่งแรกที่ มาเรียจำได้ตั้งแต่ลืมตาดูโลกคือ เธอเป็นเด็กกำพร้า ในเมืองเล็กๆ ของประเทศฝรั่งเศส

    โบสถ์แถวนั้นรับเธอมาเลี้ยงร่วมกับเด็กอีกหลายๆ คน พวกเธอให้ที่น้ำให้ข้าว มีที่ให้ซุกหัวนอน ได้เรียนหนังสือพออ่านออกเขียนได้ไปตามประสา ชีวิตนั้นช่างแสนจะธรรมดาสำหรับเด็กน้อยคนหนึ่ง

    มาเรียไม่ได้มีอะไรไม่พอใจ แต่ก็ไม่อาจกล่าวได้เต็มที่ว่าเธอมีความสุขเช่นกัน

    โหยหาครอบครัวที่แท้จริง? อย่างน้อยก็เธอคนหนึ่งล่ะที่ไม่...

    ในเมื่อพ่อแม่หรือคนที่เอาเธอมาทิ้งไว้ที่นี่ไม่ต้องการเธอ แล้วเธอจะมีเยื่อใยอาลัยอาวรณ์ไปทำไมกันเล่า?

    บางทีมาเรียก็คิดว่าตัวเองช่างแปลกเหลือเกิน...

    ทั้งๆที่คนรอบตัวส่งรอยยิ้มให้ ทำดีด้วย และทำอะไรอื่นๆที่ไม่ได้เรียกว่าเลวร้ายกับเธอ หากไม่นับการถูกมองด้วยสายตาสงสารจากพวกผู้ใหญ่ หรือคำล้อเลียนปัญญาอ่อนจากเด็กไร้สมองบางพวก

    แล้วทำไมเธอถึงรู้สึกว่ามันช่างว่างเปล่าขนาดนี้กันนะ?

    ราวกับว่าตัวเธอไม่ใช่คนที่จะอยู่ในสถานที่แบบนี้ได้ ราวกับว่ามีสถานที่อื่นที่เหมาะสมกับคนอย่างเธอรอคอยอยู่

    ความสงบสุขงั้นหรือ...ที่จริงก็ไม่เลวหรอก แต่สำหรับเธอแล้วมันช่างน่าเบื่อสิ้นดี...

    จนกระทั่งวันหนึ่ง...มาเรียในวัยเจ็ดปีได้ไปเห็นอะไรบางอย่างด้วยความอยากรู้อยากเห็นไปตามประสาของเธอ

    และมันทำให้เธอค้นพบคำตอบว่าทำไมเธอถึงรู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวนั้นมันช่างกลวงเปล่าเหลือเกิน

    แล้วรายรับเดือนนี้เป็นยังไง

    เสียงของชายที่มาเรียคุ้นเคยเป็นอย่างดีดังขึ้น แม้เธอจะแอบหลบอยู่ตรงหัวมุมและไม่กล้ายื่นหน้าเข้าไปมองเพราะกลัวว่าจะมีใครหันมาเห็นก็ตาม แต่เธอก็ยังจำได้ดี...

    นั่นคือเสียงของฟาเธอร์หลุยส์...หัวหน้าบาทหลวงของโบสถ์ที่พวกเธออาศัยอยู่...

    เงินบริจาคเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีกค่ะฟาเธอร์ ทางเทศมนตรีเห็นว่าทางเราทำคุณประโยชน์กับชาวเมืองไว้มากก็เลยเพิ่มเงินบริจาคให้ค่ะ ชาวบ้านเองก็ด้วย

    อีกเสียงหนึ่งเป็นของซิสเตอร์ฟรานซิส...หนึ่งในผู้ดูแลของพวกเธอ โดยซิสเตอร์คนนี้นั้นไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะมีภาพลักษณ์ที่อ่อนโยนนุ่มนวล มีรอยยิ้มประดับหน้าตลอดเวลา แต่น้ำเสียงของเธอในยามนี้นั้น...กลับฟังดูแล้วเหมือนมารร้ายมากกว่าเสียจนเธอนึกภาพใบหน้าของทั้งสองออกได้อย่างไม่ยากเย็นเลย...

    แต่ที่มาเรียแปลกใจที่สุดในตอนนี้คงเป็นตัวเธอเองนี่แหละที่ไม่รู้สึกตกใจหรือประหลาดใจเลยสักนิด

    ทั้งที่ไม่เคยรับรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนเลย น่าแปลกไหมล่ะ?

    หรือว่าจิตใจของเธอมันด้านชาไปแล้วกันนะ?

    เสียงหัวเราะของบาทหลวงดึงสติเธอกลับมาอีกครั้ง หัวใจเต้นรัวขึ้นเล็กน้อยราวกับจะตอบคำถามเมื่อครู่ของตน

    ก็แน่ล่ะสิ เศรษฐกิจไม่ดีแบบนี้ทำอะไรได้ก็ต้องทำ เฮ้อ...ที่ทนเลี้ยงเด็กพวกนั้นมาไม่เสียเปล่าจริงๆ

    ทน?

    จริงด้วยค่ะ เด็กพวกนั้นน่ารำคาญจะตายไป ทำอะไรก็ไม่ได้แท้ๆ

    น่ารำคาญ?

    เอาน่ามารี...อย่างน้อยก็ช่วยสร้างภาพให้ทางโบสถ์เราไง...

    สร้างภาพ?

    คิกคิก...นั่นสิคะ แล้วชาวบ้านก็เชื่อกันซะด้วย...แถมเด็กพวกนั้นก็ยังมองเราเป็นเหมือนพระเจ้าอีกต่างหาก ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่การแสดงแท้ๆ

     

    การแสดง?

    อ้อ...การแสดงนี่เอง...

    แล้วที่ตอนนี้หัวใจเธอเหมือนจะร้าวเป็นเสี่ยงๆ ที่น้ำตาเธอมันไหลจนหยุดไม่ได้นี่...ก็การแสดงด้วยใช่ไหม?

    “...แน่อยู่แล้ว...ใครจะไปสนว่าความจริงเป็นยังไง แค่ทำให้คนอื่นเชื่อว่าสิ่งที่เห็นเป็นความจริงต่างหากที่สำคัญ

    คำพูดนั้นของฟาเธอร์ทำเอามาเรียหัวเราะออกมาอย่างไม่สนใจอะไรอีกแล้วราวกับคนเสียสติ สองขาพาร่างของเธอไปไหนแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ เมื่อได้สติอีกทีก็พบว่าตนเองมายืนอยู่ในโบสถ์ หน้ารูปปั้นเทวทูตหินอ่อน

    ยามเมื่อมองไปยังรูปปั้นสีอ่อนที่ส่องสว่างใต้แสงจันทร์ เสียงคำสอนที่เธอจดจำได้ตั้งแต่จำความก็ลอยขึ้นมา

    จงเชื่อในพระเอกานุภาพแห่งพระเป็นเจ้า...พระองค์ทรงเฝ้ามองเราอยู่เสมอ...

    เชื่อเหรอ?

    ...แปลว่ามันก็อาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้ใช่ไหม?

    เพราะถ้าพระเจ้ามีจริง...อย่างน้อยก็ควรจะรู้สิว่าคนไหนดีจริง คนไหนกำลังใช้นามท่านหากินอยู่น่ะ...

    ไม่งั้นท่านก็คงโง่น่าดูเลยล่ะ

     

    แอ๊ด...

    เสียงเปิดประตูโบสถ์ดังขึ้น และเมื่อมาเรียหันไปก็พบว่าเห็นสองร่างที่เป็นเจ้าของเสียงเมื่อครู่ยืนอยู่ที่ทางเข้า

    มาเรียรึ?”

    “............

    “...เมื่อกี้เธอได้ยินอะไรไปบ้าง

    เธอหัวเราะเบาๆ ถามย้อนกลับไปอย่างไม่คิดจะปิดบัง

    แล้วฟาเธอร์กับซิสเตอร์คิดว่าฉันควรจะได้ยินอะไรบ้างล่ะ...

    ถ้าฉลาดเธอควรจะเงียบไว้นะ เพราะสิ่งที่เธอพูดน่ะ...ไม่มีใครเธอเชื่อหรอก

    ถ้าอย่างนั้นเธอจะยังเชื่ออะไรในโลกนี้ได้อยู่อีกไหมนะ?

    แล้วความจริงในโลกนี้มันคืออะไรกันแน่?

    อา...จะดีแค่ไหนนะถ้ามีคนมีเห็นพวกเธอในตอนนี้...

    แค่สักคนก็ยังดี...

     

    ฮะ...เฮ้ย พะ...พวกนายมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันน่ะ!!!

    เสียงของทั้งสองดึงมาเรียออกมาจากห้วงความคิด แล้วเธอก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นกลุ่มคนจำนวนมากมองมาทางอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ เสียงซุบซิบดังพร้อมกับที่มีคนเริ่มขว้างปาข้าวของจนทั้งสองต้องหนีไป

    และที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือพอสองคนนั้นไปพ้นสายตาแล้ว กลุ่มคนเหล่านั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยมีใครอยู่ตรงนั้นมาก่อนทำเอาเธอกะพริบตามองอย่างไม่อยากจะเชื่อ...

    เมื่อกี้มัน...

    เธอมองกลับไปยังรูปปั้นเทวทูต วาดภาพในใจให้มันโบยบิน...

    และสิ่งที่เกิดขึ้นถัดมาคือรูปสลักนั้นขยับปีกโบยบินออกราวกับมีชีวิต แต่เมื่อเธอเลิกคิด ทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเก่า...

    ...ภาพลวงตา?

    เธอลองทดสอบกับอะไรหลายๆ อย่างหลังจากนั้น แล้วก็พบว่าตนเองมีความสามารถในการควบคุมภาพมายาให้คนอื่นและตัวเองเห็นในสิ่งที่ตนคิดและต้องการให้เห็นได้...

    ‘...ใครจะไปสนว่าความจริงเป็นยังไง แค่ทำให้คนอื่นเชื่อว่าสิ่งที่เธอเห็นเป็นความจริงต่างหากที่สำคัญ

    ดูเหมือนว่าฟาเธอร์จะพูดถูก...มายาก็เป็นความจริงได้หากคนเชื่อ และความจริงก็กลายเป็นเพียงแค่ลมปากได้หากไร้ใครเหลียวแล...

    นั่นสินะ...

    เพราะแม้แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างพระเจ้ายังถือกำเนิดขึ้นมาจากมายาที่เรียกว่าความเชื่อ...

    แล้วจะแน่ใจได้ยังไงล่ะว่าทุกสิ่งที่เห็นหรือสัมผัสอยู่นั้นน่ะ...เป็นของจริง?’

    แต่มาเรียกลับไม่ใช้พลังนี้ทำอะไรเอิกเกริกแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เธอปิดมันเป็นความลับอย่างเงียบเชียบ และหัดใช้มันอย่างแนบเนียนจนสามารถควบคุมพลังประหลาดนี้ได้ดั่งใจนึก และพอเธออายุครบกำหนดที่จะต้องออกจากโบสถ์ที่เป็นสถานรับเลี้ยงซึ่งก็คืออายุสิบสอง เธอก็จัดการของขวัญส่งอำลาชิ้นใหญ่ที่ไม่มีทางลืมได้ให้กับเหล่าผู้คนจอมปลอมที่หาผลประโยชน์จากพวกเธอมานานนับปี

     

    ฟะ...ไฟไหม้บ้านฟาเธอร์หลุยส์!!!

    เปลวไฟสีส้มอมแดงลุกโหมไปตามแรงลม คนในบ้านต่างวิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น ข้าวของมากมายมอดไหม้เสียหายไปในเปลวเพลิง...ที่เป็นเพียงมายา...

    ว่ากันว่าวิกฤตจะทำให้คนเผยธาตุแท้ได้ดีที่สุด และครั้งนี้ก็ไม่ต่าง เมื่อสองในกลุ่มคนที่วิ่งหนีตายออกมาจากบ้านคือฟาเธอร์หลุยส์และซิสเตอร์ฟรานซิสในสภาพเกือบเปลือยล่อนจ้อน มีแผลไฟลวกขนาดใหญ่ตามร่างกาย

    และแน่นอนว่านี่ไม่ใช่ความบังเอิญแต่อย่างใด...

     

    ตั้งแต่เกิดเรื่องในคืนนั้น แม้ทั้งสองจะไม่ได้มาหาเรื่องมาริอะตรงๆ แต่ก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อบีบให้เธอไปไกลที่สุด ซึ่งถ้าเธอเป็นเด็กธรรมดาก็คงไม่แคล้วได้ลาโลกนี้ไปสวัสดีพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว...

    แต่โทษที พอดีว่าเธอไม่ปกติน่ะ :)

    ภาพมายาที่เธอมีนั้นสามารถใช้ป้องกันตัวได้ดีเกินคาด ขอเพียงแค่ฝ่ายตรงข้ามเชื่อว่ามันเป็นความจริง เพียงเสี้ยววินาทีก็มีค่าพอที่จะเอาชีวิตได้อย่างง่ายดาย และมนุษย์เราส่วนใหญ่ก็มักจะเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นเสียด้วยสิ...ไม่งั้นจะมีสำนวนว่าสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นหรือ?

    เหล่าคนที่ฟาเธอร์ซิสเตอร์ส่งมาลับๆ เพื่อกำจัดเธอล้วนหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย สร้างความหวาดผวาให้แก่ทั้งสองเป็นอย่างมาก ยิ่งเธอนิ่งอีกฝ่ายก็ยิ่งร้อนรน

    ...และนั่นเองก็ที่ทำให้เธอรู้ถึงความสัมพันธ์ลับๆ ของสองคนนี้ ทั้งๆที่ฟาเธอร์หลุยส์ก็มีครอบครัวอยู่แล้วแท้ๆ

    แน่นอน...เรื่องสนุกขนาดนี้เล่นไวก็เสียของแย่ แต่จะให้แค่เอามาขู่เฉยๆ มันจะไปสนุกอะไร...

    แต่ไหนๆ เธอจะไปแล้วก็ขอสักหน่อย...

    ในเมื่ออยากให้มันเป็นความลับและสร้างภาพได้เก่งดีนัก เธอก็จะสงเคราะห์เปิดโปงให้รู้กันไปให้หมดทีเดียวเลยก็แล้วกัน

    แล้วหลังจากนั้นทั้งคู่เป็นไงน่ะเหรอ?

    ...อืม ก็แค่ภรรยาบาทหลวงโมโหหึงจนฆ่าทั้งคู่ตายก็คงเป็นจุดจบที่ฟังดูน้ำเน่าดีล่ะนะ

    แต่ยังไงมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธออยู่แล้วนี่นา...

     

    ต่อให้ต้องหลอกลวงเธอด้วยคำโกหกที่โลกทั้งใบ...ที่แม้แต่ตัวเธอเองก็รู้

    ขอเพียงเธอเชื่อ...ที่เหลือก็ไม่สำคัญ

     

    หลังจากออกจากโบสถ์แล้วมาเรียก็ถูกรับเลี้ยงโดยครอบครัวชาวญี่ปุ่นที่ทำงานที่สถานทูตฝรั่งเศส ที่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่กำลังจะย้ายกลับญี่ปุ่นพอดี ทำให้เธอคิดอยากจะมีเด็กมาเลี้ยงเพื่อช่วยดูแลลูกสาวของเธอ

    เธอได้รับชื่อใหม่ว่า “มาริอะ” จากชื่อ “มาเรีย” ออกเสียงแบบญี่ปุ่น

    “...พี่จะมาเป็นพี่สาวของหนูเหรอคะ?”

     ดวงตากลมโต เสียงใสก้องกังวานของเด็กหญิงที่ตัวสูงเพียงเอวถามเธอ และเมื่อเธอพยักหน้า เธอก็ยิ้มให้

    หนูชื่อเอริกะ จะเรียกว่าเอริก็ได้ค่ะ แล้วพี่ชื่ออะไรคะ

    “...มาริอะ

    “...งั้นหนูเรียกว่าพี่มาริแล้วกัน

    ตามสบาย...

    มาริอะยิ้ม และบอกตามตรงนะ...เธอไม่ได้คาดหวังอะไรนักหรอก...

    เชื่อเถอะ...เดี๋ยวเด็กก็เบื่อไปเอง...

    แต่เรื่องมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เมื่อเอริกะน้องสาวคนใหม่ติดเธอแจยิ่งกว่าหมากฝรั่งติดรองเท้า ไม่ว่าเธอจะอยู่ไหนทำอะไรเอริกะก็จะชอบโผล่มาหาเธอและลากเธอไปทำโน่นทำนี่ด้วยเสมอ ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นให้อ่านหนังสือยากๆให้ฟัง จนกระทั่งวันหนึ่งที่เธอกันมาเห็นตอนที่เธอใช้พลังพอดี...

    แสงสว่างราวดวงดาราลอยละล่องอยู่ในห้องที่ปิดไฟมืดสนิท มันก็แค่ความคิดเล่นๆ ที่ผุดขึ้นมาก่อนนอนเมื่อนึกถึงหนังสือดาราศาสตร์ที่อ่านค้างไว้ว่าถ้ามีดวงดาวมาอยู่ใกล้ๆ มันจะเป็นยังไงกันนะ...

    แล้วผลลัพธ์มันก็ออกมาเป็นงี้ไง..

    นี่...พี่เป็นคนทำมันเหรอ?”

    มาริอะยิ้ม และยังคงปล่อยให้มายาดวงดาวดำเนินต่อไปอย่างไม่มีท่าทีทุกข์ร้อน

    คิดว่ายังไงล่ะ....เอริกะ

    ดวงดาวค่อยๆมารวมกันกลายเป็นดวงจันทร์ขนาดย่อม ก่อนขยายใหญ่เป็นดาวเสาร์มีวงแหวน และสุดท้ายก็ถูกดูดกลืนไปในหลุมดำเล็กๆ

    ยอดไปเลยค่ะพี่มาริ!!!

    สารภาพว่ามาริอะแปลกใจนิดๆ เพราะคิดว่าเด็กนี่จะกรีดร้องและโวยวายว่าเธอเป็นตัวประหลาดเสียอีก แปดขวบก็ใช่ว่าจะไม่รู้ความเสียเมื่อไหร่ และเมื่อใช้ภาพลวงตาที่เป็นผีจนเอริกะร้องโวยวายไปรอบนึงแล้ว สิ่งที่เธอพูดต่อมาก็ทำให้เธอยิ่งแปลกใจ

    พี่มาริบ้า! อย่าเอาของน่ากลัวแบบนั้นออกมาสิ ขอแบบดาวสวยๆแบบตอนแรกอีกไม่ได้เหรอคะ

    เธอแปลกใจ...แปลกใจมากจนต้องถามกลับไป

    ไม่กลัวพี่เหรอ....เอริกะ

    เอริกะมองเธอราวกับเธอเพิ่งพูดอะไรที่โง่เง่าที่สุดในโลกออกมา

    ก็พี่เป็นพี่นี่น่า ต่อให้พี่บอกว่าเป็นเอเลี่ยนตอนนี้ เอริก็ไม่กลัวหรอก

    เด็กหนอเด็ก...ช่างใสซื่อเสียจริง...

    “...”

    สร้างดาวแบบเมื่อกี้ให้หน่อยสิคะพี่มาริ นะๆ

    “...สัญญาได้ไหม....ว่าจะไม่บอกใครเรื่องนี้

    เอ๋...ไม่ได้เลยเหรอ? คุณแม่ก็ไม่ได้เหรอ?”

    มาริส่ายหน้าช้าๆ เอริกะไม่กลัวพี่ แต่หลายคนเธอกลัวนะ......... หรือไม่อยากให้พี่อยู่ที่นี่แล้ว?”

    ไม่ๆๆๆเด็กน้อยพุ่งหลาวเข้ามากอดเธอจนแทบจุก พี่มาริต้องอยู่กับเอริไปนานๆ ไม่สิ! ต้องอยู่กับเอริตลอดไปเลย!!!

    ตลอดไปเหรอ...เด็กเอ้ย...คำนั้นมันมีจริงซะที่ไหนกันเล่า..

    แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น ปากก็ยิ้มแล้วพูดว่า งั้นก็สัญญาแล้วนะ

    อื้อ แค่เราสองคน เอริสัญญาเด็กหญิงยิ้มร่า ก่อนจะขมวดคิ้ว

    ว่าแต่เมื่อไหร่พี่จะเรียกเอริสักที เรียกเอริกะๆอยู่ได้ เอริอุตส่าห์ให้เรียกเอริแล้วนะ

    มาริอะยิ้ม ไม่ตอบ แต่สร้างดวงดาวขึ้นมาเต็มห้องจนเอริกะลืมเรื่องนี้ไปในที่สุด

    ผ่านไปห้าปี ทุกอย่างก็คล้ายว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสำหรับมาริอะ ความลับยังคงเป็นความลับ ซึ่งก็ทำเธอแปลกใจไม่น้อยที่เด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นก็รักษาสัญญาที่ให้กับเธอไว้ได้จริงจังขนาดนี้ ส่วนความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือเธอเหมือนจะกลายเป็นคนติดหนังสือไปแล้ว การมีช่วงเวลาประจำคืนวันศุกร์เสาร์ที่เอริกะมักจะมาหมกตัวอยู่ห้องเธอและมองเธอใช้ภาพมายาเล่นไปเรื่อยเปื่อยก็กลายเป็นเรื่องปกติ และเอริกะที่โตขึ้นเป็นเด็กสาว (แต่ก็ยังติดเธอแจไม่เปลี่ยน)

    นี่ พี่มาริไม่มีคนที่ชอบเหรอ

    อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงคงจะเป็นการที่เด็กนี่ชักจะรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ละมั้ง แต่ก็แปลกดีที่เธอไม่ได้ไม่ชอบอะไร เหมือนกับว่าเธอชินไปแล้วเสียมากกว่า

    แล้วทำไมถึงอยากรู้ล่ะ...เอริกะ

    เอริกะถอนหายใจ ก็บอกแล้วไงว่าให้เรียกเอริ

    เรียกเอริกะแล้วมันถนัดมากกว่า...ยังไงก็ชื่อน้องเหมือนกันนี่

    “...ก็ยังอยากให้เรียกเอริอยู่ดีเด็กสาวย่นหน้า แล้วก็ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย ตกลงพี่มาริมีคนที่ชอบรึเปล่า

    มาริอะปิดหนังสือในมือแล้วเงยขึ้นมามองหน้า “...แล้วเอริกะอยากให้พี่ตอบว่าอะไรล่ะ....

    ไม่ได้เกี่ยวกับอยากไม่อยากสักหน่อย!

    งั้นจะเกี่ยวกับอะไรละ.........?”

    “...เอาความจริงสิ!!!

    ความจริงเหรอ

    หืม...แล้วถ้าเกิดพี่ไม่ได้พูดเรื่องจริงล่ะ...ยังไงเอริกะก็อ่านใจพี่ไม่ออกอยู่แล้วนี่นา

    นี่...ถ้าพี่คิดจะโกหกพี่คงไม่พูดไอ้เมื่อกี้ออกมาหรอกน่า...แล้วเอริก็เชื่อพี่มาริด้วยเด็กสาวยิ้มน้อยๆ ย้ำคำหนักแน่น เอริเชื่อพี่เสมอนั่นแหละ

    แปลกดีที่คำพูดง่ายๆนั้นทำเอาเธอรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเติมเต็มเข้ามาในความว่างเปล่า วูบหนึ่งที่ส่วนลึกในจิตใจหยุดพร่ำกระซิบโหยหาราวกับว่าพบของที่เธอเฝ้าตามหามานานแสนนานแล้ว...

    แต่ก็แค่วูบหนึ่ง...ก่อนที่เสียงนั้นจะกลับมาร่ำร้องดังเดิม...

    รอยยิ้มกดลึกโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะรีบคลายเป็นรอยยิ้มสบายๆ อย่างเคย

    “...ถ้าหมายถึงชอบแบบแฟนหรือคนรัก...พี่ไม่มีหรอก....

    เอริกะนิ่งไปครู่หนึ่ง และเป็นครั้งแรกที่มาริอะเห็นน้องสาวบุญธรรมของตนทำสีหน้าเหมือนกับลังเลใจ

    “...งั้นตอนที่เอริกลับมาจากพักแรมคราวนี้ เอริมีเรื่องจะบอกพี่มารินะ

    “...บอกตอนนี้เลยก็ได้นี่...? พี่ว่างฟัง

    ไม่ๆๆๆๆเด็กสาวสั่นหน้าดิก อาการลังเลเหมือนครู่หายไปราวกับเป็นเพียงภาพลวงตา เอริมีเซอร์ไพร์สให้ แต่มันต้องรอเอริกลับมาก่อน เพราะงั้นอีกสามวัน...ห้ามหนีนอนก่อนนะ

    มาริอะหัวเราะ วันนี้วันอังคาร อีกสามวันก็ต้องเป็นวันศุกร์ แล้วทุกวันศุกร์เธอเคยหนีเธอนอนได้เสียเมื่อไหร่ ขนาดเคยสร้างภาพมายาให้ประตูกลายเป็นกำแพงเพื่อรอดูท่าทีซะหน่อยว่าจะทำหน้ายังไง ปรากฏว่าสิ่งที่เธอทำคือการเอาไขควงมางัดประตูห้องเธอหน้าตาเฉย บอกว่ารู้หรอกว่ามันเป็นภาพลวงตา

    ไม่รู้สิ...ถ้าหาทางเข้าห้องพี่ได้...พี่จะคิดดูอีกทีแล้วกันมาริอะว่าพลางพิงตัวอย่างเกียจคร้าน สายตาที่ทอดมองเด็กสาวฉายแววขบขัน แต่เอ...เป็นสาวเป็นนางย่องเข้าห้องคนอื่นแบบนี้นี่...

    จะบ้ารึไง! ไม่ได้ย่องเข้าไปทำเรื่องอะไรแบบนั้นสักหน่อย

    แล้วอะไรแบบนั้นของเอริกะคืออะไรล่ะ

    พี่มาริ!!!เอริกะพุ่งเข้ามาจับคอเสื้อเธอเขย่าๆ ในขณะที่เธอก็ยังยิ้มเหมือนเคยแม้ว่าจะเริ่มหน้ามืดเพราะหายใจลำบากแล้วก็เถอะ โชคดีที่เสียงโทรศัพท์มือถือของอีกฝ่ายดังช่วยชีวิตเธอได้หวุดหวิด เมื่อรับสายเสร็จเธอก็มองเธอด้วยสายตาฝากไว้ก่อนเถอะ

    งั้นเอริไปนะพี่

    “...อืม

    แล้วประตูก็ปิดลง...

    พอมานึกดูอีกที...นั่นคงเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นเอริกะมีชีวิตชีวาได้ขนาดนั้น...

     

    ห้าปีผ่านไปเร็วเท่าใด สามวันนั้นก็ไวยิ่งกว่า สุดท้ายวันศุกร์ก็มาถึงในที่สุด

    เธอมองนาฬิกา ก่อนจะก้มอ่านหนังสืออย่างไม่ใสใจ ปล่อยให้เวลาไหลผ่านไป เพราะทุกครั้งที่เอริกะกลับมาจะต้องมีเสียงนำมาก่อนตัวเสมอ ต่อให้เจ้าตัวบ่นว่าเหนื่อยแทบขาดใจขนาดไหนก็เถอะ

    แต่ทุกอย่างก็ยังคงเงียบ...

    เวลาผ่านไป เธอเริ่มมองนาฬิกาบ่อยขึ้นเรื่อยๆ สมาธิเริ่มไม่จดจอกับหนังสือในมืออย่างที่ไม่เคยจะเป็นมาก่อน

    ส่วนหนึ่งในใจกรีดร้องว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ แต่อีกหนึ่งกลับบอกว่าไม่เป็นไร...

    ไม่เป็นไร...เพราะเอริกะจะรักษาสัญญา...และเธอก็เชื่อในคำสัญญานั้น

    ใช่...เอริกะรักษาสัญญากับเธอเสมอ...

    และโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น

    “...เอ่อ...ญาติของเท็นโนจิซังใช่ไหมคะ

    ....ค่ะ

    “...เธอประสบอุบัติเหตุตอนนี้นอนอยู่ที่โรงพยาบาล...เธอบอกว่าอยากพบคุณ

    และทันทีที่สิ้นเสียงปลายสาย สองขาของเธอก็ก้าวออกไปในทันที

    ไม่กี่อึดใจ มาริอะก็มาถึงโรงพยาบาลในสภาพเหงื่อไหลโทรมกาย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็แจ้งความต้องการและตรงไปยังห้องที่เธอรอเธออยู่ และเมื่อเปิดประตู ภาพที่เธอเห็นก็ทำบางอย่างในตัวเธอหัวเราะออกมาราวกับจะเย้ยหยันความใสซื่ออันน้อยนิดของตนเองที่มีให้กับความเชื่อลมๆแล้งๆเหล่านั้น

    สายน้ำเกลือ เลือด อุปกรณ์มากมายระโยงระยาง เครื่องมือหน้าตาไม่คุ้นเคยกับตัวเลขนับสิบส่งเสียงเป็นระยะ และทั้งหมดที่ว่านี้มันเชื่อมโยงอยู่กับร่างหนึ่งที่นอนบนเตียงในสภาพที่มีผ้าพันแผลพันเต็มตัว

    เอริกะ

    ร่างนั้นขยับตัวคล้ายกับจะตอบรับคำ มาริอะก้าวเข้าไปยืนข้างเตียง มองใบหน้าที่บัดนี้เต็มใบด้วยผ้าพันแผล มีเพียงดวงตาและริมฝีปากเท่านั้นที่โผล่พ้นออกมา

    พี่...

    “...อืม พี่เอง

    เธอไม่ถามว่าเกิดอะไร และไม่ปลอบใจแม้แต่คำเดียว เพราะตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอเห็นสภาพของเธอ และแววตาของเธอที่สบกับเธอ บ่งบอกว่าเธอรู้ตัวดี และเธอก็รู้...

    เอริกะไม่มีทางรอดแล้ว...

    พี่...เอริขอโ—”

    เธอยื่นนิ้วไปแตะริมฝีปากของเธอ ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร ก่อนจะเดินไปลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงอย่างเงียบงัน

    “...มีเรื่องอยากบอกพี่ไม่ใช่เหรอ เอริกะ

    “...”

    “...พี่อยู่นี่แล้ว

    นัยน์ตาของอีกฝ่ายมีน้ำเอ่อรื้น ริมฝีปากขยับออกอย่างยากลำบากคล้ายว่าต้องเค้นเรี่ยวแรงทั้งหมดในร่างเพื่อเปล่งเสียงทุกคำออกมา

    “...ไม่...

    “...”

    “...เอริ...ไม่..ได้...อยากให้พี่...เห็นเอริ...ในสภาพแบบนี้เลย...

    “...”

    “...แต่...มันคง.....ช่วยไม่ได้แล้ว...

    เด็กสาวหลับตา สูดหายใจลึกคล้ายจะรวบรวมพลังเป็นครั้งสุดท้าย ริมฝีปากคลี่เป็นยิ้มที่เธอยังคงจดจำได้ติดตา

    เอริ...ชอบพี่นะ...

    “...”

    “...ชอบแบบที่ผู้หญิงคนนึงจะชอบใครสักคนน่ะ...

    “...”

    แต่...เอริในตอนนี้น่ะ...

    เธอพูดได้แค่นั้นก่อนจะเงียบลง ในขณะที่มาริอะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากห้องน้ำ...

    มันเป็นกระจกบานเล็กหนึ่งบาน...

    เอริกะในตอนนี้ทำไมเหรอ...?” มาริอะยิ้ม สีหน้าคล้ายไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไร

    เอริน่ะ...

    เสียงของเด็กสาวเงียบหายไปเมื่อมาริอะยกบานกระจกขึ้นมา มันสะท้อนความจริงอันแสนโหดร้ายตรงหน้าจนต้องเบือนหน้าหนี แต่เธอกลับปิดตาเธอไว้ กระซิบข้างหูราวกับกำลังร้องเพลงกล่อมเด็กเข้านอน

    “...ดูสิ...เอริกะก็ยังเหมือนเดิมไม่ใช่เหรอ?”

    มาริอะยิ้ม ค่อยๆยกมือที่บดบังดวงตาออก รีดเร้นพลังทุกหยดในร่างออกมาทั้งที่ร่างกายกรีดร้อง สร้างมายาที่ยิ่งใหญ่เป็นของขวัญแด่เธอเป็นครั้งสุดท้าย...

    เด็กสาวตัวเล็ก ผิวขาว ดวงหน้ารูปไข่ ดวงตาเป็นสีฟ้างดงาม ผมยาวสลวยสีน้ำตาลสดใส จมูกคิ้วคางรับกันเหมาะเจาะ ริมฝีปากสีอ่อนคล้ายกลีบดอกไม้...

    คือเธอ...คือเอริกะที่เธอจำได้เสมอมา...

    ...ภาพมายาอันแสนอ่อนโยน...

    คงเป็นสิ่งที่สุดท้ายที่เธอทำได้เพื่อเด็กคนนี้...

    ตอบแทนทุกคำสัญญาที่เธอเคยรักษา ตอบแทนความจริงใจที่เธอมอบให้เธอตลอดมา

    เอริกะ...เอริกะของพี่...

    เธอเคยบอกว่าเชื่อพี่เสมอใช่ไหม

    อีกสักครั้ง...ช่วยเชื่ออีกสักครั้งจะได้ไหม?

    ต่อให้พี่หลอกเธอด้วยคำโกหกที่โลกทั้งใบ...ที่แม้แต่ตัวเธอเองก็รู้ แต่ช่วยเชื่อพี่อีกสักครั้งได้ไหม?

    ดวงตาของเอริกะรื้นน้ำตาอีกครั้งยามจ้องมองกระจก ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอเห็นภาพแบบไหนกันแน่ ก่อนจะหันมา ริมฝีปากยังคงแย้มยิ้ม...

    พี่...อย่าร้อง...เลยนะ...

    หืม?

    เธอยกมือขึ้นแตะใบหน้า แปลกใจที่มีบางอย่างเปียกชื้นติดมากับปลายนิ้ว

    ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...

    พี่...น้ำเสียงของเธอเบาลงเรื่อยๆ ดวงตาสดใสค่อยๆปรือลงช้าๆ “...เอริ...ง่วงจัง...

    ขี้โกงนี่...ไหนว่าจะไม่ให้พี่หนีนอนไง...

    เอริกะยิ้มเศร้า มือพยายามยกขึ้นมาอย่างยากลำบาก ราวกับจะเอื้อมมาปาดน้ำตาของเธอ แต่น่าเสียดายที่มันหยุดอยู่แค่เพียงกลางทางก่อนจะตกลงข้างตัว ราวกับว่าเธอนั้นไม่เหลือเรื่ยวแรงที่จะทำสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว

    “...พี่มาริ...ขอบคุณนะคะ...

    ดวงตาสีน้ำตาลหลับลงช้าๆ ในขณะที่มาริอะจับเอามือเธอมาแนบไว้ข้างแก้มเบาๆ ฟังถ้อยคำที่ยิ่งแผ่วเบาลงไปทุกที

    เอริ...ดีใจ...ที่ได้เจอพี่นะ...

    มาริอะเอื้อมมือใบบดบังดวงตาคู่นั้นอีกครั้ง ก้มลงกระซิบข้างหูด้วยถ้อยคำที่ได้ยินเพียงแค่สองคนในโลก

    “...พี่ก็เหมือนกัน...เอริ

    และเมื่อเอามือออกจากดวงตาที่ปิดสนิท เสียงเแหลมยาวของเครื่องมือก็ดังขึ้น เธอปาดน้ำตาออกจากใบหน้า มองภาพลวงตาอันงดงามของเด็กสาว ก่อนจะคลายออกเป็นความจริงอันแสนโหดร้ายดังเดิม

    ลาก่อน...เอริกะของพี่...

    เธอเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน พร้อมกันจิตใจที่กลับมาโหยหาบางสิ่งอีกครั้ง...และมากมายยิ่งกว่าเดิม...

    จิตใจที่เด็กคนนั้นเคยเติมเต็มช่องว่างบางส่วนเอาไว้...บัดนี้ได้กลับมาว่างเปล่าอีกครั้งแล้ว...

     

    แม้ใครจะบอกว่ามันช่างไร้ค่า แต่เรื่องของเธอนั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด

     

    หลังจากเสร็จสิ้นงานศพของเอริกะ เธอก็ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิมราวกับไม่เคยมีเอริกะมาก่อน ทั้งที่ในใจลึกๆของเธอไม่เคยลืมเธอได้เลยแม้แต่วันเดียว พร้อมกับที่ยังรู้สึกโหยหาบางอย่างอยู่เหมือนเดิม...

    จนกระทั่งวันหนึ่งมีจดหมายประหลาดถูกส่งมาหาเธอ หน้าซองเป็นรูปกุหลาบงดงาม ชื่อจ่าหน้าถึงเธอถูกต้องไม่มีผิดเพี้ยน ชื่อผู้ส่งเขียนไว้ชัดเจนด้วยตัวหนังสือสีทอง

    โรส เลดี้ แฟมิลี่

    ตอนแรกมาริอะก็งงๆ แต่พอเปิดอ่านก็ต้องหรี่ตา...

    ...พวกเธอรู้เรื่องที่เธอมีพลังในการสร้างภาพลวงตา...

    ตอนแรกเธอก็ไม่ได้คิดอะไรนัก แต่พอสามวันให้หลังก็มีคนมาจ่อรอถึงหน้าบ้านเลยล่ะ....

    พร้อมกับความจริงที่เปิดเผยว่า แม่บุญธรรมของเธอเป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนามระดับสูงของโรส เลดี้ แฟมิลี่ สาขาญี่ปุ่น

    ความจริงเรื่องนี้ทำให้มาริอะอึ้งไปไม่น้อย แต่ในขณะเดียวกันก็ถึงเข้าใจถ่องแท้ว่าทำไมแม่บุญธรรมถึงได้ไม่เคยอยู่บ้านนานๆ และยืนกรานจะรับเธอมาเลี้ยงทั้งที่เหล่าฟาเธอร์ซิสเตอร์พากันเสนอเด็กคนอื่นแทน และทำไมถึงไม่ทักเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในบ้าน

    ...แม่เธอรู้อยู่แล้วนี่เอง...

    เท็นโนจิ ซากิ หรือแม่บุญธรรมของเธอสารภาพว่า ความจริงแล้วจะส่งเธอไปรับการฝึกที่แฟมิลี่ตั้งแต่สิบห้า แต่เอริกะดันติดเธอแจ และเมื่อเห็นอย่างนั้นเธอก็เลยไม่อยากให้ลูกสาวอยู่ตามลำพังจึงประวิงเวลามาเรื่อย

    แต่ตอนนี้เอริกะไม่อยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องรออีกต่อไปแล้ว

    ไม่ใช่ว่ามาริอะโดนไล่ เธอเองก็อยากไปเหมือนกัน ที่นี่มีแต่ภาพเอริกะเต็มไปหมดจนเธอรู้สึกว่างเปล่า

    ...อีกอย่าง...

    “ไว้แม่ว่างกลับมา เราไปเที่ยวกันนะพี่มาริ เอริจะบอกแม่ให้พาไปทุกประเทศเลย”

    “...นั่นสินะ”

    ในเมื่อเอริกะไปไม่ได้แล้ว แต่เธอยังอยู่ ถ้าไป...อย่างน้อยก็น่าจะได้ไปหลายที่อยู่นะ

    และเธอก็ถูกส่งตัวไปฝึกหลายๆ ที่ เพียงแต่ว่า...

    “นิสัยลูกเปลี่ยนไปนะ มาริ”

    “คิกคิก...เพิ่งรู้ว่าแม่ก็พูดล้อเล่นเป็นเหมือนกันนะคะเนี่ย”

    แต่ซากิก็พูดไม่ผิดหรอก เพราะนิสัยใหม่ในตอนนี้ของมาริอะน่ะ...เหมือนเอานิสัยของเอริกะมาปรับใส่ไม่มีผิด

    มีแค่ดีกรีการกวนประสาทเท่านั้นแหละที่มาริอะกินขาด

    ซากิคิดว่าเพราะต้องปรับตัวในสถานที่ใหม่ มาริอะก็เลยทำตัวให้เป็นมิตรมากขึ้น แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย

    ...เธอก็แค่อยากพาเอริกะไปทุกที่กับเธอด้วยก็เท่านั้น...

    เธอไม่อยากให้เอริกะ...น้องสาวผู้น่ารักของเธอ แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวของเธอหลับใหลอยู่ในเพียงความทรงจำ

    อีกอย่าง เธอก็ไม่ได้อยากให้ใครรู้ตัวจริงของเธอไปมากกว่านี้สักหน่อย

    และเมื่อตอนอายุยี่สิบเอ็ด มาริอะก็ได้กลายเป็นผู้พิทักษ์สายหมอกคนใหม่ของแฟมิลี่ด้วยพลังมายาอันไร้ข้อกังขา

    ...เสียก็แต่พอรับตำแหน่งนี้แล้วทำเอาผู้พิทักษ์ทุกคนพร้อมบอสรู้สึกเหมือนปวดไมเกรนวันละสิบรอบก็เท่านั้นแหละ

      

    ธาตุ: สายหมอก

    อาวุธ: กำไลข้อมือคู่ – เป็นกำไลมีกระพรวนสีทองอันจิ๋วติดไว้ เวลาสะบัดทีก็จะมีเสียง และเสียงกระพรวนนี่แหละที่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เห็นภาพมายา นอกจากนั้นยังมีกลไกที่ถ้ากดแล้วจะทำให้ดึงเส้นเอ็นที่คมกริบจนปาดคอคนได้เลย

    สัตว์กล่อง:

    - งูขาวธาตุหมอก (ซามาเอล) :: กรณีแคมพิโอ ฟอร์มาจะเป็นวงแหวนเทวดาบนหัวตามภาพ มีความสามารถในการเสริมพลังภาพลวงตาถึงขีดสุดและทำให้เธอลอยได้จริงๆ ด้วย (คล้ายๆ ของไวเปอร์เลยค่ะ)

    การใช้พลังธาตุต่างๆ:

    - Skyfall [สวรรค์ล่ม]

    เป็นภาพลวงตาที่ฉายถึงภาพทิวทัศน์ท้องฟ้า ราวกับยกสรวงสวรรค์ในคำกล่าวอ้างลงมา พื้นรวมถึงรอบข้างจะกลายเป็นเมฆหมอกสีขาว และอาศัยให้งูขาวของเธอลอบโจมตีโดยผสานกับภาพลวงตาที่สร้างขึ้นมา ประสานกับการใช้เส้นเอ็นจากกำไลที่เป็นอาวุธด้วย

    - Mirage me [มายาตัวตน]

    เป็นภาพลวงตาที่จะสร้างกระจกขึ้นมารอบๆ และจะสะท้อนภาพเป้าหมาย ก่อนที่ภาพสะท้อนในกระจกจะก้าวออกมาสู้กับตัวจริง เป็นท่าไม้ตายที่จะใช้กรณีเธอเอาจริงสุดๆ เท่านั้น และกินพลังมากจนใช้ได้แค่สิบนาทีมากสุด ซึ่งปกติใช้ไม่เคยถึง แต่ที่น่ากลัวคือภาพเงาสะท้อนที่ออกมาก็จะก็อปปี้ความสามารถและค่าพลังของตัวจริงเนี่ยสิ (ถ้าเชื่อน่ะนะ)

    สิ่งที่ชอบ: หนังสือ / การเฝ้ามองเรื่องสนุกของคนอื่น / การแกล้งคน / ไวน์ดีๆ / ที่สูง / เอริกะ

    สิ่งที่ไม่ชอบ: อากาศร้อนชื้น / อาหารรสชาติห่วยๆ / คนที่เอะอะก็จะใช้แต่กำลัง / เรื่องที่น่าเบื่อหรือไม่น่าสนใจ / การมีคนมาเรียกชื่อเล่นว่ามาริ (เพราะมันทำให้เธอคิดถึงเอริกะ แต่หน้าก็ยังยิ้มนะ แต่จะถามว่านี่เราสนิทกันขนาดเรียกชื่อเล่นแล้วหรา)

    สิ่งที่เกลียด:

    - ผู้คนที่แสดงละครว่าตัวเองเป็นคนดี [เพราะมันดูแล้วทุเรศจะตายเมื่อคุณรู้ความจริง และเธอดูออกไง ถ้ารู้ก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้ามาทำอะไรเธอแล้วล่ะก็...เจอดีแน่!]

    - ...อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับศาสนา โดยเฉพาะผู้คนกับคำสอน [เพราะประวัติไม่ค่อยดีเกี่ยวกับพวกนี้ ถ้าเลี่ยงได้จะไม่เข้าใกล้ ก็คิดดูขนาดหนังสือที่เขารักมากเขายังไม่อ่านเกี่ยวกับพวกนี้เลย]

    - คนที่ทำหนังสือของเธอพัง [เพราะหนังสือเป็นของสำคัญ เพราะงั้นใครทำเตรียมตัวซวยไปสามวันเจ็ดวันได้เลย(?)]

    - คำสัญญา [เพราะสุดท้ายแล้วทุกคนก็จะไม่ทำตามหรือลืมมันไป เพราะงั้นไม่ต้องสัญญาอะไรกับเธอหรอก ทำมันให้เห็นเลยสิ! ถ้ามีใครมาสัญญาเธอก็คงทำหน้าเฉยๆ แต่ในใจนี่ไม่คาดหวังอะไรหรอก]

    แพ้: ไม่มี

    อื่นๆ:

    - เพราะมาริอะเป็นคนฝรั่งเศส แต่โดนรับเลี้ยงมาที่ญี่ปุ่น ทำให้สัญชาติเธอเป็นญี่ปุ่นทั้งที่มีเชื้อชาติฝรั่งเศสค่ะ

    - ที่จริงแล้วกลัวการจากลา จึงไม่กล้าสร้างสายสัมพันธ์ให้ลึกซึ้ง เพราะกลัวจะเจ็บอีก

    - เป็นคนที่เสียงไพเราะมาก แต่เพราะกวนประสาทมันเลยเสียของ ทั้งที่ร้องเพลงก็เพราะแท้ๆ และหูดีมากๆ

    - โปรดปรานการแต่งชุดขาวเป็นพิเศษ มาริอะคิดว่าเธอเคยชินน่ะ

    - ชอบทำตัวตามสบาย แต่บางทีก็กลายเป็นมารยาททรามในสายตาบางคน เช่น แคะขี้หูขี้ตาหน้าตาเฉย คำว่ากุลสตรีคืออะไรไม่รู้จัก แต่ดันมีสกิลแม่บ้านแม่เรือนติดตัวหมดซะงั้น

    - จากข้อข้างบน และภาพลวงตาของมาริอะที่เป็นภาพสวรรค์ ทำให้เธอมีฉายาเล่นๆ ว่า “นางฟ้าจากนรก” (Hell angel)

    - มีทักษะด้านภาษาสูงมาก ชำนาญสามภาษาคือ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และอิตาลี ไม่นับภาษาอังกฤษระดับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องแคล่วด้วย

    - สามารถหาตัวมาริอะได้ในที่ร่มๆ และอากาศปลอดโปร่งเย็นสบาย ยิ่งเป็นที่สูงด้วยแล้วนี่ใช่เลย...

    - มาริอะทำอาหารเก่ง แล้วไอ้ที่เคยบอกว่ากินอะไรก็ได้น่ะเรื่องจริง เพราะมันขึ้นกับฝีมือคนทำต่างหาก

    - ถึงมาริอะจะชอบเฝ้ามองคนอื่นไปทั่วก็จริง แตก็จะเล็งคนที่เธอคิดว่าน่าจะมีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษไปด้วย แต่ก็ไม่ได้พัฒนาเลเวลจนเป็นสตอล์กเกอร์แต่อย่างใด สบายใจได้(?)

    - ทักษะทางกายภาพของมาริอะจัดว่าต่ำที่สุดในหมู่ผู้พิทักษ์ (แน่นอนว่าเก่งกว่าคนทั่วไปมากอยู่แล้ว) แต่ทักษะการหลบหลีกเธอนี่ที่หนึ่งเลย หนีเก่ง หลบเก่งนัก

    - ถ้าจะถามว่าตกลงมาริอะรู้สึกยังไงกับเอริกะ ขอตอบว่าสำหรับเธอแล้ว เอริกะคือตัวแทนของ ความเชื่อในความไร้เดียงสาที่แหลกสลายไปพร้อมกับชีวิตของเธอ มาริอะมองเธอเป็นคนสำคัญที่ไม่ใช่ในแบบคนรัก และเธอไม่รู้ว่ามันจะนิยามว่าอะไร...แต่ถ้าให้ใกล้ที่สุดจริงๆคงเป็นน้องสาวนั่นแหละ แต่ถามว่ารักมั้ย ก็รักนั่นแหละ...มากเสียด้วยสิ เป็นผู้หญิงที่เธอรักมากที่สุดในช่วงชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดของเธอด้วยซ้ำ และจริงๆ เธอรู้ตัวมาสักพักแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองเธอเป็นพี่สาว แต่เพราะอย่างนั้น เธอเลยเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ต่อไป (จิ้มเพื่อดูภาพเอริกะได้)

    - เท็นโนจิ ซากิ แม่บุญธรรมของเธอปัจจุบันก็ยังสังกัดแฟมิลี่ แต่ประจำอยู่ที่ญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ (จิ้มเพื่อดูภาพได้)

    - ภาพลวงตาอย่างเดียวที่มาริอะสร้างไม่ได้คือภาพลวงตาของเอริกะ เพราะความเป็นจริงมันย้ำเธอเสมอว่าต่อให้สร้างขึ้นมาได้ก็เป็นเพียงภาพลวงตาไร้ค่า ดังนั้นเธอจึงไม่สร้างและคงทำใจสร้างไม่ได้ด้วย

     

    T A L K

     

    JM: สวัสดีค่าาท่านผปค. เรามีนามแฝงว่า จัสมินนะคะ

    A: ยูกินะคนเดิม เพิ่มเติมคือมาส่งคนที่สองค่า

     

    JM: อะไรดลใจให้มาสมัครเรื่องนี้หรอคะ??

    A: เช่นเดิมค่ะ เราอยากสมัครเรื่อง KHR พอดี แล้วเรื่องนี้พล็อคก็น่าสนใจค่ะ

     

    JM: ถ้าไม่ติดจะโกรธมั้ยคะ?

    A: ไม่โกรธค่ะ การตัดสินใจของคนเขียนถือเป็นที่สิ้นสุดอยู่แล้ว แต่จะเจ็บใจตัวเองค่ะ

     

    JM: ถ้าไม่ได้บทบาทที่สมัครอยากได้บทอะไรคะ ตัวอย่างแบบนี้ เช่น ลูกน้องในหน่วย คนสนิท หรือตัวร้ายแบบนี้

    A: รับกลับค่ะ เช่นเดิม ถ้าไม่ติดบทที่ต้องการ เรารับกลับทุกคนค่ะ (ทั้งโชโกะ ทั้งคนนี้ และคนต่อๆ ไปถ้าส่งทัน)

     

    JM: ขอให้โชคดีนะคะะะะ

    A: ขอบคุณค่ะ รับมาริอะกับโชโกะไว้พิจารณาด้วยนะคะ

     

     

    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×