ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Forbidden library

    ลำดับตอนที่ #6 : The forbidden book No.6 l Lance Skye Highlander

    • อัปเดตล่าสุด 8 พ.ค. 62


    S
    N
    A
    P
     

    [THE FORBIDDEN BOOK NO.6]

    หนังสือต้องห้ามเล่มที่หก

    เล่าขานเรื่องราวของเด็กหนุ่มผู้ปราดเปรียวไม่ยอมใคร ดั่งอัสนีฟันฝ่าทุกสิ่งที่อาจขวางหน้า

    ทิ้งอดีตอันเจ็บปวดไว้ เปลี่ยนแปลงตนเองใหม่ราวกับเป็นคนละคน

    พร้อมกับที่หัวใจตนปิดลงราวกับลั่นกลอน

     

    [THE BOY WHO CHANGES HIMSELF INTO THE NEW ONE, LEAVING THE BITTER PAST BEHIND]

     

     à¸œà¸¥à¸à¸²à¸£à¸„้นหารูปภาพสำหรับ broken mirror

     

     


    It’s been a long way from where we began.

    And of all things I’ve done…I’ll tell you all about it when I see you again

     






     (อนึ่งมีแต่รูปขาวดำ ขออภัยนะคะ ;;w;;)

          

         ชื่อ - นามสกุล: Lance S. Highlander / Lance Skye Highlander [แลนซ์ สกาย ไฮแลนเดอร์]

         อายุ: 17

         รูปร่างลักษณะ:   ตั้งแต่แรกเห็นหน้า ‘แลนซ์ สกาย ไฮแลนเดอร์’ นั้นดูจะเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีเอกลักษณ์เป็นที่จดจำที่สุดคนหนึ่งที่ใครก็ตามเคยพานพบมา ดวงหน้าเริ่มเป็นมุมคมชัดตามวัย นัยน์ตาสีฟ้ามหาสมุทรที่มีประกายยากจะเข้าใจ หากแต่ดวงตาข้างขวาของเขากลับถูกปิดด้วยผ้าพันแผล สร้างข่าวลือเกี่ยวกับมันมากมาย จนน่าเสียดายที่จะไม่มีโอกาสได้เห็นดวงตาดุดันอีกข้างเสียนี่ แต่ถึงกระนั้นเรื่องนี้กลับไม่ได้ทำให้เจ้าตัวดูน่าเกลียดแต่อย่างใด กลับจะเรียกว่าเป็นที่จดจำเสียมากกว่าด้วยซ้ำ แม้ว่าเครื่องหน้าอื่นเช่นจมูกโด่งรั้นและริมฝีปากจะน่ามอง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสิ่งที่สะกดสายตาผู้คนได้ทั้งหมดทั้งมวลนั้นคือดวงตาเหล่านั้นอยู่ดี คิ้วและแพขนตานั้นไม่ได้สวยงามโดดเด่นแต่ก็ไม่ได้ด้อยจนเป็นจุดด่างพร้อยใบหน้า กลับพอดีลงตัวและเสริมนัยน์ตานั้นให้ยิ่งเด่นชัด  นอกจากนั้นยังมีเรือนผมสีเงินมองแล้วกลายเมฆครื้มยามฝนพรำตัดสั้นซอย แต่ไม่ค่อยจัดทรงเท่าไหร่นักจนดูยุ่งเหยิงดูคล้ายรังนกอยู่เหมือนกัน

                แลนซ์เป็นคนที่มีรูปร่างค่อนไปทางโปร่งและปราดเปรียวมากกว่าจะมีกล้ามเนื้อจนล่ำ แต่ถึงจะเห็นว่าเขาผอมบาง แต่ก็เป็นการผอมที่มีแต่กล้ามเนื้อที่เกิดจากการออกกำลังกายหลากหลายรูปแบบ รอยแผลน้อยใหญ่ทั้งใหม่เก่าตามแขนขาเรียวยาวที่มักโผล่พ้นเสื้อผ้ามาให้เห็นเป็นครั้งคราวนั้นยืนยันความจริงในข้อนี้ได้เป็นอย่างดี แม้ว่าส่วนใหญ่มันจะถูกปกปิดด้วยเสื้อผ้าสบายๆ ในสไตล์ของตัวเองที่อาจทำให้ผู้คนกระพริบตาเมื่อรู้ว่าเขาเป็นถึงคุณชายตระกูลใหญ่ มักใส่เสื้อผ้าแนวเสื้อกางเกงแบบสวมสบายและคล่องตัว ทับด้วยเสื้อคลุมตัวยาวมีฮู้ด มากกว่าจะมาแต่งตัวเป็นทางการเช่นคุณหนูคุณชายบ้านอื่นเขา สวมถุงมือสีดำเสมอราวกับมันเป็นอวัยวะชิ้นที่สามสิบสามไปแล้วก็ไม่ปาน และสีสีนเช่นนี้เองยิ่งขับผิวสีขาวของเขาให้ยิ่งโดดเด่น แม้จะมีรอยแดดบ้างก็ตามที

     

    ...สรุปแล้วภาพลักษณ์โดยรวมของแลนซ์นั้นคือ...คุณชายที่ไม่ว่าใครก็มองไม่ออกว่าเป็นคุณชายนั่นเอง หากไม่นับแววตาและท่าทางไม่ยอมใครนั่นล่ะนะ...

    สูง 175 เซนติเมตร หนัก 66 กิโลกรัม

     

         ลักษณะนิสัย:

     

    ว่ากันว่าเวลาทำให้คนเราเปลี่ยนไป ไม่มีใครเป็นเช่นเดิมได้ตลอดกาล

    ตัวเราในวันนี้และตัวเราในวันวานเองก็คงเป็นเฉกเช่นเดียวกัน...

     

    ...นายน้อยผู้อ่อนต่อโลกในวันวาน สู่ความแข็งกร้าวไม่ยอมใครในปัจจุบัน

     

    หากใครที่รู้จักแลนซ์มาตั้งแต่เด็กนั้นจะจำเขาได้ในฐานะคุณชายน้อยแห่งตระกูลไฮแลนเดอร์ผู้แสนเรียบร้อย อยู่ในกฎระเบียบและแสนเชื่อฟังจนไม่ต่างอะไรจากหุ่นกระบอกที่พร้อมยอมทำตามผู้เชิดอย่างง่ายดาย แต่แลนซ์ในวันนี้นั้นช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเหลือเกิน

     

    แลนซ์ในปัจจุบันนั้นเป็นคนที่ไม่ยอมก้มหัวให้ใครง่ายๆ ด้วยศักดิ์ศรีสูงส่งเหมือนชนชั้นสูงที่พึงจะมี หากใครมาสั่งก็อย่าหวังเลยว่าเขาจะยอมทำตามง่ายๆ เขาโตพอที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรโดยไม่ต้องให้ใครมาจูงจมูกอีก และเกลียดการถูกสั่งเป็นอย่างยิ่ง ใครมาชี้นิ้วสั่งเขาอย่างดีคือเจอทำหูหวนลมใส่ อย่างร้ายคือเจอสวนอย่างเจ็บแสบที่สุด บอกแล้วไงว่าเขาจะไม่ยอมให้ใครมาข่มหรอก โดยเฉพาะจากพวกผู้ใหญ่ที่หัวสมองยังมาจากโลกล้านปีนั่นน่ะฝันไปเถอะ แถมโตมายังรักอิสระ เดินออกจากคำว่ากรอบและกฎเกณฑ์ได้อย่างสง่าผ่าเผยที่สุด ตราบเท่าที่เขาพอใจจะทำ กฎอะไรเขาไม่สนใจหรอก ขนาดเรื่องคอขาดบาดตายยังยักไหล่แล้วเดินไปลุยได้อย่างไม่สนใจ มีหรือจะแคร์กับแค่ตัวอักษรที่ถูกตราไว้ว่ากฎ?

     

    ...มารยาทผู้ดีงามสง่า วาจาอ่อนหวานนั้นคงเหลือเพียงภาพอดีตอันห่างไกล...

     

    แลนซ์ในอดีตนั้นมีกิริยามารยาทสมเป็นคุณชายที่ดีทุกกระเบียดนิ้ว สีหน้าสุขุมสงบนิ่งมีรอยยิ้มประดับไว้ไม่เลือนลาง ทำตัวเรียบร้อยเสียจนมีแต่คนชมไม่ขาดปาก จนไม่น่าเชื่อว่าปัจจุบันจะทำตัวได้...ไร้มารยาทขนาดนี้ แม้จะมีกลิ่นอายความสูงส่งสง่างามน่ามองในทุกการกระทำ แต่สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยคือคำว่ากาลเทศะนั้นเหมือนจะหายไปจากพจนานุกรมของแลนซ์คนปัจจุบันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อดูจากหน้าตาที่ไม่รับแขกที่เหมือนพร้อมจะมีเรื่องตลอดเวลาตราบเท่าที่เขาไม่ได้หลับหรือสนใจอย่างอื่นอยู่ ขนาดไม่ได้คิดอะไรแค่มองหน้ายังเหมือนหาเรื่องเลย ถ้าต้องมีเรื่องจริงคงไม่ต้องพูดถึง ดีกรีความกวนประสาทเข้าขั้น Lv. Max ชนิดที่ว่าทำสามารถทำคนที่ว่าใจเย็นแล้วรู้สึกคันมือคันเท้ายิบๆ เพราะมาทุกอย่างตั้งแต่สายตา คำพูดคำจา การวางตัวยันการกระทำเลยน่ะสิ และที่สำคัญคือแลนซ์ชกต่อยเก่งมาก สิบรุมหนึ่งยังชนะมาได้เลย พวกดีแต่ปากน่ะจะเหลือเหรอ? บอกเลยว่าถ้ามาหาเรื่องเขา เขาไม่ปล่อยไปง่ายๆหรอกนะ

     

    อีกอย่างที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดคงจะเป็นคำพูดคำจา จากแต่เดิมที่แค่คำว่าวะโว้ยแทบไม่หลุดออกมาก็กลายเป็นได้ยินจนชินปากชนิดที่ว่าจะซ่อมได้คงต้องไปตายแล้วเกิดใหม่เท่านั้น พูดจาทีหรือก็วอนเท้าเสียเหลือเกิน แถมยังไม่ค่อยจะให้เกียรติใคร พูดกับผู้หลักผู้ใหญ่กับเพื่อนก็ใช้คำพูดคล้ายกันไปหมด คำลงท้ายว่าครับถือเป็นแรร์ไอเทมที่นานๆจะหลุดออกมาที และจะหยาบขึ้นเรื่อยๆตามอารมณ์และความเหม็นขี้หน้าคู่สนทนา ยังดีไม่ถึงขั้นหลุดคำหยาบคาย คำว่ากาลเทศะก็อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าไม่มี การพูดเองก็เช่นกัน พูดแทรก พูดหยาม พูดแขวะ พูดกระแนะกระแหน พูดประชดประชัน พูดแทงใจดำ พูดกวนส้นเท้า และต่างๆนานาเขาทำมาหมดแล้ว ชูนิ้วกลางใส่ตอนพูดด้วยยังทำเลยจะเอาอะไรมาก ใครคิดจะไปคุยกับแลนซ์นี่บอกเลยว่าควรรีบเข้าประเด็นให้เร็วที่สุด เพราะเขาเป็นคนพูดตรงและไม่ชอบอะไรเวิ่นเว้อเอามากๆ ยกเว้นแต่กำลังจงใจทำสงครามประสาทอยู่ (แต่มันก็จบเร็วอยู่ดีถ้าเทียบกับสงครามประสาททั่วไป) การพูดจาของเขาตรงกับสำนวนว่ามะนาวไม่มีน้ำ ไม่มีการเกริ่น อารัมบท หรือเวลาอะไรให้เตรียมใจทั้งสิ้น ทุกอย่างเข้าเป้ากลางใจดังสายฟ้าฟาดที่ช็อตคนฟังตายคาที่ก่อนจะเดินออกมาเชิดๆ นั่นแหละแลนซ์

     

     

    ฉลาดแต่ในตำราจะมีค่าอะไรหากเอาตัวรอดในโลกแห่งความโหดร้ายนี้ไม่เป็น?

     

    แลนซ์ในอดีตนั้นเป็นถึงหัวกะทิของโรงเรียนชั้นนำในแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะหยิบจับหรือทำอะไรก็ล้วนแต่ทำได้ดีไปเสียหมด แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเขาหัวดีมาตั้งแต่เกิด แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่าส่วนใหญ่มากจากความพยายามเช่นกัน แต่แลนซ์ในปัจจุบันนั้นไม่ได้แสดงความเฉลียวฉลาดออกมาโดดเด่นเช่นวัยเยาว์ คล้ายว่าการเติบโตขึ้นทำให้เขาเรียนรู้ที่จะเก็บงำความสามารถ และเหมือนจะเอาสมองไปใช้กับอะไรอย่างอื่นมากกว่าในตำราเรียน แต่ความสามารถที่โดดเด่นของเขาในยามนี้คือการกีฬาทั้งหมด สมรรถภาพทางร่างกายสูงทุกด้าน ทักษะการต่อยตีเก่งมากจนถ้าไม่บอกว่านี่เป็นคนตระกูลไฮแลนเดอร์หลายคนคงนึกว่าลูกกองกำลังป้องกันตัวหรืออะไรทำนองนี้ ส่วนเรื่องเรียนทั่วไปก็แค่ค่อนไปทางดีเท่านั้น ดีหน่อยคือทางเวทมนตร์(ปฏิบัติ) ดนตรี และพวกกีฬา ที่เหลืออ่ะเหรอ? โอ้ย เฉลี่ยคาบเส้น จริงๆคือก็ไม่ได้เรียกว่าโง่ลงนะ แต่เขารู้แล้วล่ะว่าชีวิตนี้มีอะไรให้ทำมากกว่าการอ่านหนังสือเพื่อไปเรียนเยอะ

     

    แลนซ์ในปัจจุบันนั้นเป็นคนที่กร้านโลกผิดเด็กมาก ทำตัวเหมือนขวางโลกแต่ความจริงแล้วก็แค่ทำตามใจตัวเองเท่านั้น อยากทำอะไรก็ทำ ใครจะมองยังไงไม่ใช่อะไรก็ตามที่มาหนักกบาลเขานี่ คิดมากห่วงไปเรื่องนี่เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า จะว่าเห็นแก่ตัวก็เชิญ แต่ถ้าตัวเองเอายังเอาไม่รอดแล้วสะเออะไปช่วยชาวบ้านก็ไม่ต่างอะไรจากพากันไปล่มจมด้วยกันนั่นแหละ ถ้าตัวเองรอดแล้วจะทำยังไงก็ค่อยว่ากันอีกที แต่ปกติแล้ว...เขาก็ไม่ได้ช่วยนะ ก็ไม่มีใครขอ ไม่ใช่เรื่องของเขา ถ้าตัวเขาเองไม่ได้อยาก จะเปลืองแรงไปยุ่งทำไม?

     

    แลนซ์มักจะมองโลกด้วยสายตาประมาณว่าโลกมันก็เฮงซวยแบบนี้แหละ ใช่...เขามองโลกค่อนไปทางแง่ร้าย เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาด้วยล่ะนะ และเป็นคนที่ไม่ได้เรียกว่ามองคนออก แต่เป็นคนที่เซ้นส์แรงมากจนน่ากลัว แรงในแง่สัญชาตญาณเอาตัวรอดน่ะนะ คือรู้ว่าคนไหนไม่น่าไว้ใจ คนไหนมาดีมาร้ายนี่เซ้นส์ล้วนๆ ตามตรงคือเขาไม่ใช่คนช่างสังเกตอะไรขนาดนั้น สนใจแต่สิ่งที่ตัวเองสนใจ เรื่องของคนอื่นเป็นไงช่างแม่- แถมไม่ใช่พวกคิดมากหรือจุกจิกอะไรมากมายด้วย (ยกเว้นอยู่สองสามเรื่องที่ยอมลงให้ไม่ได้ ซึ่งจะอธิบายต่อไปในตอนอื่น) แต่ถ้าสนใจอะไรแล้วจะกัดไม่ปล่อยจนกว่าเขาจะเลิกสนนั่นแหละ ซึ่งปกติแล้วแลนซ์น่ะค่อนข้างขี้เบื่อก็เลยไม่ค่อยจะโฟกัสกับอะไรนานๆ เท่าไหร่ แต่ถ้าสนใจอะไรนานๆทีนี่น่ากลัวมาก เพราะถ้าดูดความสนใจของแลนซ์ในนานในระดับนึง เขาไม่ปล่อยไปง่ายๆแน่ คือเขาชอบความท้าทายและการเอาชนะพอควรตามประสาผู้ชาย แม้เจ้าตัวจะทำตัวขี้เบื่อก็เถอะ แต่ขอแค่เขาอยากทำเท่านั้นแหละ ข้ออ้างทุกอย่างจะปลิวหมด หัวใจสั่งมาเขาทำหมดนั่นแหละ บ้าแค่ไหนก็ทำทั้งนั้น...

     

    โลกนี้โหดร้าย...แต่สิ่งที่โหดร้ายกว่าโลกนี้คือใจคน เป็นความจริงที่น่าเศร้าที่สุดอย่างหนึ่งในโลกนี้ แลนซ์คนปัจจุบันมีสัญชาตญาณเฉียบแหลม แถมตอนนี้เขารู้จักการบอกปัดและปฏิเสธ มีจุดยืนของตัวเองและกล้าที่จะยืนต่อสู้กับคนทั้งโลกเพื่อสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ไม่ใช่หนุ่มน้อยขี้เกรงใจ ชอบคล้อยตามและแคร์สายตาชาวบ้านดั่งเช่นในวันวานอีกต่อไปแล้ว เกรงใจมีไว้เพื่อคนที่รู้สึกว่าเขาสมควรได้รับ ไม่ใช่ข้ออ้างในการเอาเปรียบหน้าด้านๆ ทำตัวทำหน้าเหมือนล่อตีนยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวันแถมหน้าหนายิ่งกว่าเกราะของมาร์เมอร์ก็จริง แต่เป็นคนที่อยู่เป็น อยู่แบบไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ทุกอย่างหมุนไปได้เรื่อยๆนั่นแหละ หากอีกฝ่ายเข้าหาเพราะผลประโยชน์ เขาก็ไม่ลังเลใจหากจะใช้ผลประโยชน์มันกลับเช่นกัน ทำมายังไงเขาก็ให้คืนไปแบบนั้น ไม่ใช่พ่อพระนะบอกเลย แต่ถ้าใครดันไปเข้าลิสต์ศัตรูเข้าขอบอกเลยว่าไม่เละแลนซ์ไม่เลิกหรอกนะ ไอ้พลังของเขามันก็สายลุยซะด้วยสิ...แล้วจะมัวรอพ่อมาตัดริบบิ้นรึไง ก็ไปแหกมันสิ!!! ก็...ขาลุยแบบนี้แหละ แต่ส่วนมากคือเขาไม่ได้ลงไม้ลงมือกับใครก่อนนะ แต่หน้ามันหาเรื่องก็เลยล่อมือล่อเท้ามาเยอะไปหน่อยก็แค่นั้นแหละ  

     

     

    ทำตัวเหมือนไฟฟ้า...อยู่กับที่ได้...แต่ไม่เคยอยู่นิ่งจริงๆซักที

     

                เป็นเรื่องตลกที่หลายคนสรุปพฤติกรรมของแลนซ์ว่าเหมือนสายฟ้าที่อยู่ใต้อำนาจของเขา เอาแน่เอานอนไม่ได้ เมฆตั้งเค้ามาแบบว่ามีลางมาก็จริง แต่นึกจะผ่ามาตอนไหนหรือตรงไหนก็ไม่รู้ เปรียบเทียบคือก็รู้นะว่ามันจะคิลแล้ว แต่จะคิลยังไงเมื่อไหร่เนี่ยสิเดาไม่ออกเลยสักนิด เพราะปกติหน้าหาเรื่องตลอดอยู่แล้วด้วยแหละ แต่ถึงจะไม่ได้อยู่ในสภาวะพร้อมบวกหรือไม่ตีต่อยกับใคร หากสังเกตดีๆ ตอนอยู่เฉยๆนี่คือจะเห็นว่าจะต้องมีส่วนใดส่วนหนึ่งของแลนซ์ที่ขยับตลอดเวลา เช่น เคาะนิ้ว ไม่ก็กระดิกเท้าจนคนมองรำคาญ อยู่เฉยๆ หล่อๆ สง่าๆแบบคุณชายไม่เป็น ทำตัวเป็นประจุไฟฟ้าที่ต้องมีแอ็คชั่นตลอดเวลาแม้จะโดนกักไว้ก็ตาม ยกเว้นตอนนอนที่แข็งตายเป็นท่อนไม้ไปเลย ที่สำคัญคือเวลาจะทำอะไรเป็นคนที่ทำเร็วมาก แต่ถึงจะทำเร็วก็ไม่ได้ชุ่ยๆหรือทำลวกๆนะ งานดีเอาเรื่องเลยล่ะ เพียงแต่เขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญเรื่องเวลาเอามากๆ แถมบริหารเวลาได้ดีผิดกับภาพลักษณ์ อะไรที่ไม่สำคัญวินาทีเดียวเขายังไม่อยากจะเจียดเวลาให้ แต่ถ้าสำคัญจริงจะให้เสียกับมันนานหน่อยก็ไม่ว่ากัน และชอบทำงานหลายๆอย่างพร้อมกันเพราะไม่ชอบเสียเวลาไปเปล่าๆปลี้ๆ เช่น ถ้าต้องทำอาหารกับงานบ้าน เขาก็จะเลือกอาหารที่ใช้เวลาทำนานๆ เช่นสตูว์ แล้วพอโยนทุกอย่างลงหม้อแล้วก็ไปทำงานบ้าน กลับมาสตูว์ร้อนๆก็ได้ที่พอดี

     

                แตถึงอย่างนั้นเวลาพักของแลนซ์...ห้ามไปบอกให้เขาทำอะไรเด็กขาดถ้าไม่เร่งด่วนจริง เพราะโหมดพักผ่อนของเขาคือถ้าไม่นั่งๆ นอนๆ กระดิกเท้าก็คือนอนตายไปเลย และเป็นคนที่เกลียดการถูกปลุกเอามากๆถ้าไม่ใช่เวลาที่ตัวเองตั้งปลุกเอาไว้อ่านะ...แบบคนมันก็ต้องการการพักผ่อนกันบ้าง... 

     

     

    หากจะเลือก...ขอตายโดยที่รู้ทุกอย่างแล้วจากไป ดีกว่าอยู่ได้ยืนยาวโดยไม่รับรู้สิ่งใดเลย

     

                มีคำกล่าวที่ว่า ‘ความไม่รู้นั้นเป็นสิ่งอันประเสริฐ’ ซึ่งเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดีสำหรับแลนซ์คนปัจจุบัน เป็นความจริงที่ว่ารู้มากไปแต่ไม่ใช่เรื่องจริงอาจส่งผลเสียได้เยอะ แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ต่อให้มันโหดร้ายแค่ไหนหรือมันจะทำให้เขาไปเสี่ยงตายยังไงเขาก็ยินดีที่จะรับฟัง ใครจะว่าบ้าก็ช่าง ยังไงซะชีวิตธรรมดามันก็น่าเบื่ออยู่แล้ว เพิ่มสีสันเข้าไปสักหน่อยจะเป็นอะไรไปล่ะ สุดท้ายทุกคนก็ต้องตายอยู่ดีจะช้าเร็วก็แค่นั้น คำพูดพรรค์นั้นน่ะมันก็แค่สำหรับพวกที่อยากอยู่อย่างสงบในฐานะคนโง่เท่านั้นแหละ ความไม่รู้เขาไม่ถือว่าผิด แต่ถ้ามีโอกาสจะรับรู้แล้วไม่ยอมรู้เนี่ย...คนละอย่างกันนะ และแน่นอนว่าเขาเกลียดคำปลอบประโลมสวยหรูหลอกลวงโลกที่สุด เกลียดที่สุดคือคำว่าไม่เป็นไรทั้งๆที่คนพูดตีลังกาดูยังไงก็ไม่ได้เรียกว่าไม่เป็นไรแน่ๆ จะโกหกก็ให้มันเนียนๆหน่อย เขาไม่ได้จับโกหกอะไรเก่งนะ แต่พูดแบบนี้เห็นเขามีเขางอกออกมาจากหัวเรอะ? แต่เอาเลย เอาที่แกสบายใจเลยยยยยยยยย!!! บอกว่าไม่เป็นไร งั้นไม่ยุ่งนะเฟ้ยยยยยยยยยย!

     

     

    ภาพพจน์ภายนอกไม่ได้บ่งบอกความสามารถภายใน...นิสัยบางอย่างก็เช่นกัน

     

                ‘คนเราดูแต่ภายนอกไม่ได้’ สำนวนนี้ใช้ได้กับทุกคนกระทั่งแลนซ์ แม้แลนซ์คนปัจจุบันจะดูหน้าวอนเท้า หยาบคายแบบไฮโซได้ขนาดไหน แต่สิ่งที่ทุกคนรู้แล้วคงเหวอคือเขาเป็นคนที่ทำงานบ้านได้ยอดเยี่ยมมากจนผู้หญิงบางคนสมควรอาย ตั้งแต่ทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูยันทำอาหารคาวหวานเขาทำได้หมด อร่อยด้วย แต่งด้วยเหมือนได้พ่อบ้านหน้ากวนตีนไปหนึ่งคนนั่นแหละ แต่อย่างน้อยก็ไม่อดตายนะ

     

                เรื่องที่น่าตกใจอีกอย่างคือแลนซ์เป็นคนที่ใจเย็นเกินคาด ถึงหน้าตาท่าทางและคำพูดจะพร้อมบวกก็เถอะ เขาไม่ใช่พวกเลือดร้อนที่จะโดนปั่นหัวหรือเป่าหูได้ง่ายๆหรอกนะ ยกเว้นเรื่องที่ว่าจะเป็นเรื่องที่แทงใจเขาจริงๆอันนั้นก็ช่วยไม่ได้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องบอกว่าก่อนว่าใจเย็นเกินคาดเนี่ย..หมายถึงไม่ได้วู่วาม แต่ก็จะหัวร้อนได้เรื่อยๆอยู่นะ แต่ไม่เอะอะบวกๆๆๆเพราะโดนสะกิดนิดเดียวก็เท่านั้นแหละ 

               

                อีกเรื่องนึงคือแลนซ์เป็นคนที่ชอบเล่นดนตรี เก่งในการจับจังหวะ แต่ดันร้องเพลงก็หลงคีย์มันทุกรอบแต่ก็ยังชอบฮัมเพลงต่อไปแบบไม่แคร์หูชาวโลกอยู่ดี

     

                และอีกเรื่องคือถ้าแลนซ์สนิทกับใครจริงๆ จะชอบทำตัวเหมือนเป็นผู้ปกครองโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว คือมันน่ะแอบขี้บ่นบ่นแบบหวังดีนะ(แต่ดีกรีปากหมายังคงเดิม) ว่าง่ายๆจะปากร้ายแต่ใจดีด้วยนั่นแหละ นานๆทีถึงจะบ่นทีด้วย แต่พอเริ่มบ่นทีนะ...เหมือนแม่บ่นลูกอ่ะ...แถมยังมีโหมดซึนเดเระที่จะออกมาเฉพาะกับคนสนิทเท่านั้นอีกด้วย คือเป็นของอัลตร้าแรร์ที่เรียกได้ว่าดีงามต่อใจ แต่น่าเสียดายที่ว่าคนที่มีโอกาสเห็นนั้น...ไม่ได้อยู่เห็นอะไรแบบนี้อีกต่อไปแล้วเนี่ยสิ...

     

    ปราการแข็งแกร่งภายนอก แท้จริงแล้วอาจมีเพียงเพื่อปกป้องสิ่งสำคัญแสนเปราะบางในหัวใจ แม้เวลาผันผ่านไป แต่รอยแผลในใจและความทรงจำยังคงย้ำชัดถึงเรื่องราวในวันวาน

     

                ถึงแลนซ์ในปัจจุบันจะเป็นคนที่ดูไม่ค่อยแยแสอะไรเท่าไหร่นัก แต่ต้องขอบอกไว้ว่าเขาเป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นเอาเรื่องแบบที่ว่าแก้แค้นสิบปียังไม่สาย (แม้ปกติเขาจะไม่มีทางรอได้นานก็เถอะ เขาไม่ใช่คนมีความอดทนนักหรอก) แน่นอนว่าเรื่องดีๆก็เช่นกัน แต่เขาไม่ใช่พวกที่จะซาบซึ้งกับเรื่องดีๆเพียงฉาบฉวยไม่กี่ครั้ง ก็รู้กันอยู่ว่าคนเราสมัยนี้มันก็นะ...สร้างภาพกันเก่งนักล่ะ แต่ถ้าเจอคนที่ดีกับเขาจริงๆเขาก็พร้อมจะทุ่มเทเพื่อรักษาไว้ เพียงแต่น่าเสียดายที่ว่าสิ่งที่เขามักปกป้องทุ่มเทนั้นกลับต้องจากเขาไปอยู่เรื่อย มันทำให้เขาไม่อยากเปิดรับใครง่ายๆเท่าไหร่ ไม่ไว้ใจก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนก็เพราะว่ากลัวจะปกป้องเอาไว้ไม่ได้เหมือนกับที่เคยพลางพลั้งในอดีต ตราบาปนั้นยังคงฝังลึกลงไปในใจและยังคงไม่มีอะไรมาลบล้างได้ และสุดท้ายอาจเป็นเพราะเขาไม่ได้อยากให้ใครมาแทนที่ ‘คนๆนั้น’ ที่เคยสำคัญกับเขามากมาย แม้จะย้ำเตือนตัวเองแล้วว่าต่อให้จะมีใครเข้ามาก็จะไม่มีวันลบใครคนนั้นออกไปจากใจได้ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่เคยรับใครเขามาสนิทจริงจังอีกอยู่ดี แต่ก็คิดได้แค่ว่าคงยังไม่เจอคนที่ใช่นั่นแหละ...

     

    เพราะใครคนนั้นก็หวังให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนั่นแหละ...

    จนกว่าเราจะเจอกันอีกครั้ง...

     

     

         ประวัติความเป็นมา:

     

    เสียงพึมพำมนตราดังขึ้น ก่อนที่จะมีเสียงดังคลิก

    หน้าหนังสือเปิดออก บอกเล่าเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ภายใน

     

    #1: ME AND THE HIGHLANDER FAMILY

     

                สวัสดี...ชื่อของผมคือแลนซ์...

                จริงๆชื่อเต็มคือ ‘แลนซ์ สกาย ไฮแลนเดอร์’ แต่ผมชอบให้คนที่ผมสนิทด้วยเรียกว่าแลนซ์มากกว่า

                ทุกคนคงรู้จักชื่อตระกูลไฮแลนเดอร์ของผมดี มันเป็นชื่อตระกูลเก่าแก่มีชื่อตระกูลหนึ่งในไฮฮอลโลว์ ซ้ำธุรกิจในเครื่อตระกูลเองก็ใหญ่โตร่ำรวย พูดง่ายๆคือพอมีคนรู้ว่าผมนามสกุลไฮแลนเดอร์เมื่อไหร่ เขาก็คิดว่าผมคือคุณชายน้อยผู้เพียบพร้อมเมื่อนั้นนั่นแหละ

                หารู้ไม่...พวกคนเหล่านั้นคิดผิดไปไกลนัก...

                ผมรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าการเกิดในตระกูลแบบนี้ไม่ได้เป็นพรจากฟ้าหรือของขวัญจากสวรรค์ แต่เป็นเหมือนชะตากรรมที่ไม่อาจหนีพ้น เป็นคำสาปร้ายที่ไม่มีทางแก้ไขเสียมากกว่า

                ทำไมน่ะเหรอ? เพราะทุกคนจะเอาชื่อของตระกูลมากดทับหัวคุณ บอกว่าคุณต้องทำให้ได้ดีเพื่อตระกูล เป็นหน้าเป็นตาของตระกูล อะไรๆก็ตระกูลนี่สิ...

                แบบนี้ถ้าไม่ให้เรียกว่าคำสาปตระกูล ผมก็ไม่รู้จะใช้คำไหนมาแทนแล้วล่ะ

                ตั้งแต่ผมจำความได้ คำที่ผมมักจะได้ยินจากพ่อแท้ๆ คือ ลูกต้องทำให้ดีที่สุด เก่งที่สุด เหนือกว่าทุกคนเพื่อตระกูลของเรา

                ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำ แต่พอผมได้เข้าโรงเรียนเห็นว่าเด็ก ‘ปกติ’ เข้าใช้ชีวิตกันยังไง ต่อให้เข้าโรงเรียนไฮโซขนาดไหนก็เถอะ ผมก็รู้แล้วว่าคำสอนของที่บ้านน่ะมันบ้าบอสิ้นดี

                แล้วถ้าถามว่าถ้าคิดว่ามันบ้าบอทำไมไม่ค้านล่ะ?

                ผมอยากจะบอกมากเลยว่า...ถ้าค้านแล้วทำให้พ่อขังลืมแม่คุณไว้ไม่ให้มาเจอคุณ เป็นคุณๆเอาด้วยไหมล่ะ? ถ้าคุณไม่รักแม่อาจจะยอม แต่สำหรับผมที่รักแม่ยิ่งกว่าใครแล้ว เรื่องนี้มันยิ่งกว่าลงโทษผมตรงๆซะอีก

                และหากการเกิดในตระกูลไฮแลนเดอร์เป็นคำสาปบทแรก การเกิดเป็นทายาทชายคนเดียวก็คงเป็นคำสาปซ้ำสอง เพราะชื่อผู้สืบทอดจะมาลงที่ผมโดยอัตโนมัติ แต่ผมดันเป็นลูกภรรยาน้อยซะนี่

                ใช่...อ่านไม่ผิดหรอก ผมเป็นลูกภรรยาน้อย

                ผมรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ตอนห้าขวบ และเข้าใจในทันทีว่าทำไมพ่อถึงได้ไม่ใยดีท่านแม่ของผมเท่าไหร่นัก คำสั่งของผู้อาวุโสตระกูลนั้นถือเป็นคำขาด และถ้าพวกตาแก่นั่นสั่งมา พ่อมีหรือจะค้านเพียงเพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง

                ผมตอบได้เลยว่า...ไม่-มี-ทาง

    เรื่องตระกูลนั้นสำคัญอันดับหนึ่งสำหรับพ่อเสมอ เขารักตระกูลยิ่งกว่าชีวิตเสียอีกล่ะมั้ง

    และก็ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานั่น ทำให้ผมโคตรจะเกลียดตระกูลตัวเองตั้งแต่เด็กเลยล่ะครับ

     

    #2: ME AND THE MOST TROUBLESOME PARTNER

     

                บอกตามตรง ชีวิตผมมันน่าเบื่อเอามากๆ ที่เรียนแทบตายเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อจะให้ได้เจอแม่เนี่ย ตามตรงคือมันเหนื่อยเป็นบ้า คือผมยินดีที่จะทำมันนะ แต่ให้ตายเถอะ การเป็นที่หนึ่งเนี่ยมันเหนื่อยจริงๆนะ

                ด้วยความที่ว่าผมนามสกุลไฮแลนเดอร์พร้อมด้วยโปรไฟล์ที่เกินเด็กทั่วไป ทำให้ผมไม่ค่อยมีเพื่อน ที่จริงผมก็อยากมีนะ แต่ก็ชอบมารู้เอาทีหลังอยู่เรื่อยว่าพวกนี้คบเพื่อผลประโยชน์มั่ง เอาไว้อวดชาวบ้านมั่ง หรืออะไรก็ตามที่ไม่ได้มาจากการอยากผูกมิตรจากใจจริง ผมเลยเลิกหวังไปแล้วเรียบร้อย...

                ....แต่เอาจริงๆผมก็ยังหวังนั่นแหละ...

                และดูเหมือนว่าฟ้าจะรำคาญคำขอของผม เมื่อวันหนึ่งพ่อบังเกิดเกล้าพาเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันมาให้ บอกว่านับจากนี้เขาจะมาเป็นผู้ติดตาม...ซึ่งจริงๆแล้วเราก็รู้กันว่ามันคือคำสวยหรูที่ใช้เรียกคนรับใช้ดีๆนี่เอง...

                แต่บอกตามตรงว่า ‘ผู้ติดตาม’ ของผมคนนี้ทำให้ผมตกใจมากตอนเจอหน้ากันครั้งแรก

                ผิวขาว ตัวติดจะเล็กไปหน่อย ผมสีเทาสั้นดูยุ่งเหยิง แต่ที่ดึงดูดผมได้มากที่สุดคือนัยน์ตาสองสีนั่น...

                หนึ่งเป็นฟ้าไพลินสวยงาม อีกหนึ่งเป็นแดงดั่งทับทิมสูงค่า

                ...แต่อะไรก็ไม่น่าตกใจเท่ากับที่โดยภาพรวมของเขาดูคล้ายกับผมมาก หากไม่นับว่าสีดวงตาของผมเป็นสีฟ้าไพลินทั้งคู่ และผมก็ไม่ได้ทำหน้าหาเรื่องเหมือนกับพวกนักเลงข้างทางแบบนี้ด้วย

                “ลูคัส เรย์ ธันเดอร์ฟอร์ดเขาเอ่ยแนะนำตัวเสียงสั้นห้วน ไร้ความเคารพนอบน้อม ก่อนจะพยักเพยิดมาทางผม

                “แลนซ์ สกาย ไฮแลนเดอร์

                เขาเลิกคิ้ว และพูดประโยคแรกที่ทำให้ผมประหลาดใจ “...ก็ดี ชื่อสั้นดีจะได้เรียกง่ายๆ

                “...นี่นายรู้ตัวไหมเนี่ยว่าจะมาเป็นผู้ติดตามของฉันน่ะ?”

                “ฉันไม่ได้หูหนวก ฟังรอบเดียวก็รู้เรื่องแล้วลูคัสกลอกตาเหมือนรำคาญ มองจากจินซาร์ยังรู้เลยว่าไม่ได้เต็มใจมา นายจะใช้ฉันยังไงมันก็เรื่องของนาย แต่ฉันเองก็มีอะไรที่ต้องทำเหมือนกัน คงไม่คาดหวังให้ฉันตามตัวนายเป็นเงาตลอดเวลาหรอกใช่มั้ย?”

                “...แล้วถ้าบอกว่าใช่ล่ะ?”

                “เป็นลูกแหง่รึไง?”

                “นาย!!!

                แล้ววันนั้นผมก็ได้เรียนรู้ว่าโมโหจนหน้ามืดมันเป็นยังไง และการอัดกันรวมถึงการโดนต่อยที่เขาเล่ากันมานั่นมันเจ็บไม่ใช่เล่นเลย...

               

                หลังจากนั้นเรื่องเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น เมื่อลูคัสที่ต่อยผมจนแก้มบวมไปหมดแล้วเดินจากไปแบบไม่แยแสเดินกลับมาพร้อมกล่องยาปฐมพยาบาล บอกตามตรงว่าเมื่อดูจากยี่ห้อหน้าของเขาแล้วดูเหมือนประเภทที่เรียกพวกมากระทืบซ้ำมากกว่าจะมาทำแผลให้

                “มองหน้าแบบนั้นอยากได้อีกหมัดรึไง

                “...เปล่า

                “งั้นก็เงียบแล้วอยู่นิ่งๆไปซะเขาว่าพลางนั่งลงข้างๆ เปิดกล่องออกแล้วลงมือทำแผลอย่างรวดเร็ว ผมมองเขาตาไม่กระพริบ ลืมความเจ็บตอนที่ป้ายยาแผลไปเสียสนิทเมื่อเขาใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วทิ้งท้ายไว้ว่า

                “ถ้ารู้ว่าอ่อนหัดก็อย่าไปหาเหาใส่หัวให้มันมากนัก ฉันขี้เกียจไปตามแก้

                ...

    ถ้าคำสั่งแรกของผมเป็นขอต่อยมันซักหมัดจะมีใครว่าอะไรผมมั้ย?

    แต่ผมกลับสัมผัสได้ว่าเขากำลังหมายความว่า ‘ถ้ามีอะไรเขาก็จะมาช่วยอยู่ดี

    ไม่หรอก...ผมต้องคิดไปเองแน่ๆ

     

    #3: ME, HIM AND THE BOND WE SHARE

     

                สรุปว่าตอนนั้นกลายเป็นว่าผมไม่ได้คิดไปเอง...

                เพราะหลังจากนั้นเวลาผมเกิดเรื่องอะไร ลูคัสก็จะหาทางเข้ามาอย่างกวนประสาทและน่าตบที่สุด ว่าง่ายๆ พอเขาเข้ามาจากที่ผมกลายเป็นเป้าโจมตี ด้วยหน้าตาและฝีปากของลูคัสก็ทำให้เขากลายเป็นเป้ายำตีนรายใหม่แทนได้ไม่ยากเลย แต่ที่แน่ๆคือลูคัสชกต่อยเก่งมาก จนถ้าผมไม่รู้มาก่อนว่าตระกูลธันเดอร์ฟอร์ดเองก็มีเชื้อผู้ดีเก่า ผมคงคิดว่าเขาเป็นลูกหลานทายาทกองกำลังแห่งเกลลาบูร์แน่ๆ

                พอเวลาผ่านไป ผมกับลูคัสก็ดูจะสนิทกันขึ้นอย่างงงๆ จากที่มันเคยบอกตอนแรกว่ามันจะไม่ตามผม แต่เอาจริงๆ มันก็อยู่ใกล้ผมตลอดเวลานั่นแหละ แค่ไม่ได้เดินตามผมตลอดเหมือนลูกสมุนงี่เง่าก็เท่านั้น และต้องยอมรับตามตรงว่ามันทำให้ผมรู้สึกดีกว่าการที่เขามาเดินตามต้อยๆ เอาใจผมเหมือนเป็นคุณหนูคุณชายคนสำคัญนั่นเสียอีก อืม...ถ้าจะให้พูดคือมันดูไม่เสแสร้งดี เพราะคงไม่มีผู้ติดตามคนไหนแกล้งทำตัวเหมือนกุ๊ยข้างถนนได้ขนาดนี้หรอก

    อีกเรื่องที่ทำให้รู้สึกสนิทใจก็คงเป็นเพราะพลังเวทของเราสองคนดันเป็นธาตุลมเหมือนกัน เพิ่มเติมคือผมใช้สายฟ้าซึ่งก็นับเป็นธาตุรองที่หาได้ยากพอสมควรในตระกูลลมได้ด้วย

    ผ่านมาห้าปี ตอนหนึ่งในสิ่งที่ผมเรียนรู้จากการที่อยู่กับลูคัสมานาน คือจริงๆแล้วแม้มันจะปากร้ายปากหมาเอามากๆ แถมหน้าหาเรื่องก็จริง แต่จริงๆแล้วเนื้อในมันใจดี แถมเห็นอย่างนี้นี่พ่อบ้านพ่อเรือนสุดๆ จนบางทีผมก็สงสัยนะว่าเขาโตมาแบบไหนกันแน่ แต่ก็นั่นแหละ ถามแล้วมันตอบซะที่ไหน จนบางทีก็เริ่มคิดบ้างแล้วว่าควรจะไปสืบที่มาของไอ้หมอนี่หน่อยว่าทำอีท่าไหนถึงได้โตมาเป็นแบบนี้และหลุดมาเป็นผู้ติดตามผมได้

    ตอนนี้ผมกับลูคัสอายุสิบสี่ทั้งคู่ (หรืออย่างน้อยผมก็คิดว่าลูคัสอายุเท่าผมเมื่อดูจากการเรียนชั้นเดียวกัน) การอยู่ด้วยกันเกือบตลอดทำเอาพวกเรารู้จักกันดีชนิดที่ว่ามองตาก็รู้ใจ เห็นไต๋กันหมดไส้หมดพุง แถมดูเหมือนว่าผมจะได้รับอิทธิพลจากนิสัยเสียหลายอย่างของลูคัสมาเต็มๆ โดยเฉพาะนิสัยปากหมากับนิสัยไอด้อนท์แคร์เนี่ย...

    บอกตามตรงว่าทำแล้วสะใจเป็นบ้า!

    ลูคัสพูดอ้อมๆ ให้ผม เลี่ยงกฎ ด้วยการลอบติดต่อแม่ด้วยอุปกรณ์เวทมนตร์ใหม่ๆ ที่พวกตาแก่ในบ้านไม่ค่อยจะรู้เรื่องนัก ลูคัสชำนาญเรื่องพวกนี้มากจนสามารถแนะนำผมได้อย่างดี 

     

                หลังจากนั้นผมก็หาทางติดต่อกับแม่ได้สำเร็จจนได้ และบางครั้งถ้าว่างผมก็จะแอบไปหาแม่เงียบๆด้วย แล้วผมก็ไม่ต้องกดดันกับการเป็นที่หนึ่งอีกต่อไปเพื่อที่จะได้เจอแม่ แน่นอนว่าทางตระกูลทั้งงงและไม่พอใจ แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี...

                โดยที่ผมหารู้ไม่ว่าความสงบในช่วงนี้ก็เหมือนกับช่วงสงบก่อนที่พายุจะเข้านั่นแหละ...

     

     

    #4: ME, HIM AND THE SKYFALL

     

                ...

                ...

                ...

                ทำไม...

                ทำไมต้องเอาลูคัสไปจากผมด้วย...

                เขาตายแล้วลูคัสตายแล้วและที่ผมแค้นที่สุดคือคนที่หยิบยื่นความตายให้กับเขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล แต่เป็นคนในตระกูลไฮแลนเดอร์ของผมเองนี่แหละ!!!

                ทำไมกัน!!!

     

                ...ถ้าถามว่าเรื่องมันเริ่มขึ้นตอนไหน ผมกล้าตอบได้เลยเป็นตอนที่ไอ้พ่อบังเกิดเกล้านั่นเรียกตัวผมกลับบ้านใหญ่ บอกว่ามีงานเลี้ยงให้ผมไปเข้าร่วม แต่บอกให้ลูคัสจัดการธุระบางอย่างที่อื่นแทน

                ที่จริงผมควรจะสังหรณ์ว่ามันมีอะไรทะแม่งๆ แต่ด้วยความที่ผมและลูคัสไม่ใช่พวกคิดมากทั้งคู่ก็เลยไม่ได้คิดอะไร...แต่พอผมไปแล้วถึงรู้ว่าแม่ผมเสียชีวิตแล้ว!!!

                ความจริงในข้อนี้ทำให้ผมโศกเศร้ามาก และที่เศร้ายิ่งกว่าคือพวกไฮแลนเดอร์ไม่ได้จัดงานศพเธออย่างให้เกียรติเลยสักนิดทำเอาผมหัวเสียมาก จนบางทีก็อยากจะใช้พลังสายฟ้าจะระเบิดคฤหาสน์นี้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปข้าง แต่เห็นแก่งานของแม่จึงได้แต่อดกลั้นไว้...

    แค่นั้นผมก็หดหู่จะแย่ แต่พอขากลับไม่รู้นึกยังไงผมถึงได้ติดต่อหาลูคัสทางอุปกรณ์เวท แล้วก็ต้องแปลกใจที่มันตอบกลับด้วยเสียงเหมือนคนหมดแรง

    “...ไง

    ทำไมเสียงนายถึงได้...

    “...คิดมากน่า ก็แค่...ออกกำลังกายอยู่แล้วแกดันโทรมา

    “...ลูคัสผมชักใจไม่ดี ย้ำเสียงเครียด บอกฉัน เกิดอะไรขึ้นกับนาย

    “...ก็ได้จากนั้นก็เงียบไปชั่วอึดใจ เหมือนว่าบ้านนายจะส่งคนมาตามเก็บฉันว่ะ

    สาบานได้ว่าวินาทีนั้นเลือดทุกหยดในตัวผมเหมือนกลายเป็นน้ำแข็ง แค่สูญเสียท่านแม่ไปผมก็แย่แล้ว แล้วถ้าเสียลูคัสไปอีกคน...ผมคง...

    ว่าไงนะ!!!...แล้วนี่นายอยู่ไหน!

    “...สำคัญตรงไหนล่ะ แกมาก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี

    ลูคัส...ฉัน...เสียงผมเริ่มสั่น ฉัน...

    แก...เป็นเด็กสี่ขวบรึไงถึงได้เอะอะเอาแต่ร้องไห้น่ะหา? โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงแล้ว...

    ห้ามตายนะเว้ย!

    ปากเหรอนั่น...เสียงของอีกฝ่ายเบาลงไปทุกที น่าแปลกที่ผมเหมือนเห็นภาพรอยยิ้มกวนประสาทลอยออกมาจากเสียงนั่น ฉันเป็นใคร แกไม่รู้รึไง...

    นี่เป็นคำสั่ง...นายห้ามเป็นอะไร...ห้ามเป็นอะไรไปจนกว่าฉันจะ

     “แลนซ์ลูคัสพูดขัดขึ้น “...แกน่ะโตขนาดนี้แล้ว คนติดตามอาจจะไม่จำเป็นแล้วก็ได้

    ไม่!!!” ผมร้องลั่น อย่าคิดอะไรบ้าๆนะว้อย!!!

    บ้าเอ้ย...แล้วรถม้าก็ดันมาติดสุดๆในเวลาแบบนี้ ด้วยความร้อนใจจนทนนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้อีกต่อไป ผมจึงเปิดประตูรถม้าแล้ววิ่งออกไปทันทีโดยไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น พลางตะโกนลั่นเหมือนคนบ้า

    นายเป็นผู้ติดตามของฉัน...เป็นไอ้เฮงซวยที่กวนประสาทฉันได้ตลอด แต่ก็มาช่วยฉันทุกที นายเป็น

    เพื่อนและคนสำคัญที่สุดคนนึงของฉัน...

    แลนซ์...ฟัง...

    นายนั่นแหละที่ต้องฟัง!” ผมตะเบ็งเสียงใส่ปลายสาย ดวงตาร้อนผ่าว ในขณะที่ขาก็ยังวิ่งไม่หยุด คนสำคัญในชีวิตฉันน่ะมีอยู่ไม่กี่คน หนึ่งในนั้นก็คือนายแล้วจะบอกอะไรให้นะ...ฉันเสียแม่ไปแล้ว!!! แล้วใจคอนายจะให้ฉันทนเสียนายไปอีกคนงั้นเหรอไอ้ลูคัส!!!

    หึ...น้ำเน่าเป็นบ้า

    จะยังไงก็ช่างเหอะน่าบอกมาว่านายอยู่ไหน

    “...ตรอกฟาร์เซีย”

    เข้าใจแล้ว ฉันจะรีบไป รอก่อนนะลูคัส

    “...ก็ได้...ฉันจะรอ...แลนซ์ ฉันจะรอ... เสียงอีกฝ่ายตอนนี้ไม่ต่างจากเสียงกระซิบ ขอบใจ...

    นายอดทนไว้นะลูคัส...ฉันจะเรียก...

    “...แลนซ์

     เสียงลูคัสเบายิ่งกว่าเสียงลมหายใจของผมตอนนี้เสียอีก และนั่นทำผมยิ่งใจหาย

    ไม่...ได้โปรดเถอะ...ไม่!!!

    ห้ามหลับนะว้อย!!!” น้ำตาผมมันไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เสียงของผมเริ่มสั่น สองขาปวดร้าว

    แก...รับปากฉันได้มั้ย ว่าถ้าฉันไม่อยู่แล้ว...

    อย่าพูดอะไรแบบนั้น!!! ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ยอมให้นายตายหรอก ไม่มีทาง!!!

    “...ถ้าฉันไม่อยู่แล้ว...แกจะไม่...เสียงไอหอบดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงอาเจียน แต่อีกฝ่ายก็ยังพูดต่อ “...แกจะไม่อ่อนแอ...และจะไม่ยอมให้ใครมากดหัวแก...โดยที่ไม่ต้องการได้อีก...

    ลูคัส!

    ตอนนี้อีกไม่กี่อึดใจผมก็จะไปถึงปลายทางที่เขาบอกแล้ว แม้ขาจะกรีดร้องว่าไม่ไหวเหมือนจะขาดลงตรงนั้นให้ได้ ผมก็ยังคงฝืนทนวิ่งต่อไป ต่อให้ขาผมจะหลุดยังไง...แต่ผมยอมให้ลูคัสตายไม่ได้เด็ดขาด!

    “...แกทำได้...แลนซ์...

    แกไม่ต้องพูดแล้ว!!!

    รับปากฉัน...แลนซ์...ลูคัสเอ่ย รับปาก...แล้วฉัน..จะไม่พูดอะไรแล้ว...” 

                “เออได้ฉันสัญญา!!!

                “...ดี...แล้ว...

                คำพูดแผ่วเบานั้นไม่ต่างจากกระซิบ เหมือนลูคัสพึมพำให้ตัวเองฟังมากกว่าจะพูดกับผม หลังจากนั้นก็มีแต่ความเงียบมาจากอีกทาง และสุดท้ายขาผมก็พาตัวเองมาถึงที่ๆมันบอกในที่สุด...

                “ลู...คัส...

                ผมอ้าปากเรียก แต่ก็ต้องชะงักเมื่อให้สภาพของเขา สีหน้าซีดเซียวยิ่งกว่าหิมะ เสื้อสีเข้มของเขาชุ่มโชกไปด้วยเลือดส่งกลิ่นคาวฟุ้งจากบาดแผลเหวอะหวะทั่วร่าง

                และที่สำคัญ...ร่างนั้นไม่มีลมหายใจ...หรือสัญญาณชีวิตใดๆอีกต่อไปแล้ว

                “ไม่จริงน่า...

                ไม่จริง...ไม่จริง!!!

                หยาดน้ำตาร่วงลงมากระทบผิวเย็นชืด ก่อนที่ผมจะรั้งเอาร่างนั้นมากอดไว้แล้วร้องไห้อย่างไม่อายใคร

                “ลูคัส!!!

                ถ้าผมมาให้เร็วกว่านี้...

                ถ้าผมรู้สึกตัวเร็วกว่านี้...

                ลูคัสคงไม่...

              ‘...แกรับปากฉันแล้วนะ แลนซ์...

              ‘อย่าอ่อนแอ...

                เสียงของลูคัสก้องขึ้นในหัว ดึงสติของผมให้กลับมา ผมปาดน้ำตาออกจากใบหน้า แล้วกอดเพื่อนรักที่ผมมีเพียงคนเดียวในชีวิตไว้เป็นครั้งสุดท้าย และเมื่อผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง ผมก็ตัดสินใจได้แน่วแน่...

                ...พวกคนที่มันบังอาจพรากเหล่าคนสำคัญไปจากผม ต่อให้เป็นคนตระกูลเดียวกันก็เถอะ...

                มันต้องชดใช้!!!

     

     

    มือปิดหนังสือเล่มหน้า ก่อนจะมองมันเป็นครั้งสุดท้าย ประกายแสงแปลบปลาบพุ่งออกจากฝ่ามือทำให้หนังสือตรงหน้ากลายเป็นเพียงเถ้าถ่าน

    เรื่องนี้ไม่มีใครสมควรรู้ทั้งนั้น เป็นความลับที่รู้แค่เราสองคนเท่านั้น

    ร่างนั้นลุกขึ้นเดินเขาไปในห้อง มองบานกระจกที่มาภาพสะท้อนของตนเองกลับมา

    มือขวาเอื้อมไปปลดผ้าปิดตาออก เผยให้เห็นดวงตาสีแดงสดตัดกับสีฟ้าของอีกข้าง

    สายตามองจดหมายสองฉบับที่เขียนจ่าหน้าว่าจากมาร์รอธ

    ถึง แลนซ์ สกาย ไฮแลนเดอร์

    ถึง ลูคัส เรย์ ธันเดอร์ฟอร์ด

     

    รอยยิ้มเศร้าจุดขึ้นที่มุมปาก ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองกระจกอีกครั้ง มือเอื้อมไปแตะภาพดวงตาสีฟ้าที่สะท้อนกลับมาราวกับเป็นดวงตาของใครอีกคนที่เหมือนเขาเหลือเกิน ก่อนที่จะกระแทกกำปั้นลงไปสุดแรง

    คำสาบานหนักแน่นก้องไปกับพร้อมเสียงกระจกที่แตกร้าวราวกับจะตอกย้ำทุกคำที่เอ่ยออกมา

    “...ฉันสัญญา แลนซ์...พวกไฮแลนเดอร์ที่เหลือต้องชดใช้!!!

     

     

     

    {THE SECRET PART}  

    ME, HIM AND THE TRUTH UNTOLD TO THE WORLD

                 

               

                ‘ลูคัส เรย์ ธันเดอร์ฟอร์ด’ คือชื่อของผม

                ...ผมเคยได้ยินใครสักคนบอกว่าโชคชะตาเล่นตลกกับคนเราเสมอ พอมาคิดดูแล้ว...ผมเองก็ไม่ต่าง

                แม้ผมจะเกิดในตระกูลธันเดอร์ฟอร์ดที่เป็นตระกูลผู้ดีเก่าในไฮฮอลโลว์ แต่บอกได้เลยล่ะว่ามันก็แค่เปลือกนอกชัดๆ

                โดยเฉพาะเมื่อคุณดันเกิดมาแล้วทำให้แม่คุณตาย แล้วพ่อคุณก็โทษทุกอย่างไปที่คุณแบบนี้

                “ไอ้เวรนี่แกไม่น่าเกิดมาเลย!!!

                ผมเคยสวนนะว่าก็ไม่ได้ขอพ่อมาเกิดสักหน่อย จากนั้นก็ลงเอยด้วยการโดนต่อย และความรุนแรงนั้นเมื่อมีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งถัดไปเสมอ เรื่องนี้ทำให้ผมต้องเรียนรู้การป้องกันตัวเองไปโดยปริยาย ผมไม่ใช่คนที่อดทนพอที่จะไม่โต้ตอบ แต่ก็ไม่ได้เก๋าจัดขนาดไปหาเรื่องต่อยใครก่อน เพียงแต่ต้องป้องกันตัวเองให้ได้เท่านั้น

                เนื่องจากผมเป็นลูกชายคนที่สอง ทำให้ผมไม่ต้องยุ่งเกี่ยวอะไรกับการสืบเชื้อตระกูลของบ้าน ซึ่งก็ดีเพราะผมล่ะโคตรจะเกลียดเรื่องยุ่งยากเลย ปล่อยให้พี่ผมทำไปเหอะเหมาะแล้ว จอมปลอมเหมือนพ่อดี...

                และด้วยวิกฤตเศรษฐกิจ (ซึ่งผมมารู้ทีหลังว่าเป็นแค่วิกฤตทางการเงินของบ้านจากการที่พ่อมันเอาเงินไปกินเหล้ามากจนงานการเสียเฉยๆ) ทำให้บ้านของพวกเราลดการจ้างคนรับใช้ และหันมาใช้แรงงานฟรี...

                ทายสิว่าหวยมาออกที่ใคร?

                ...ผมไงจะใครล่ะ

                พ่อเป็นนายใหญ่ของบ้าน ส่วนพี่ชายก็เป็นผู้สืบทอด เป็นข้ออ้างสวยหรูที่ใช้หลบเลี่ยงได้ดีเสมอ และนั่นทำให้ผมต้องกลายร่างเป็นเบ๊ในคราบลูกคุณหนู งานบ้านงานเรือนอะไรที่ไม่เคยจับก็ต้องมาจับหมด ข้อดีเพียงอย่างเดียวของเรื่องนี้คือผมจะได้ไม่ต้องบ่นว่าอาหารมือนั้นมีอะไรไม่ถูกใจผมบ้าง เพราะผมเป็นคนทำเอง

    หลังจากนั้น การเงินในบ้านก็เลวร้ายลงสุดๆ ซึ่งผมก็ไปรู้มาอีกว่าเพราะพี่ชายตัวดีเอาเงินไปเล่นพนันเพราะพี่ดันติดพนันงอมแงม แล้ววิกฤตมันก็มาลงที่ผมเมื่อพี่ดันไปติดหนี้ตระกูลไฮแลนเดอร์แต่ไม่มีเงินจ่าย แล้วก็ดันไปสัญญงสัญญาบ้าบออีท่าไหนก็ไม่รู้ เลยกลายเป็นว่าทางไฮแลนเดอร์จะขอรับตัวผมไปเพื่อไปเป็นผู้ติดตามทายาทคนสำคัญของตระกูลตลอดชีพซะงั้น

    ก็แค่คำพูดสวยหรูที่บอกว่าคุณกำลังจะกลายเป็นเบ๊ตลอดชีพเท่านั้นแหละ

    ถึงจะคัดค้านยังไง สุดท้ายแล้วผมก็ต้องไปอยู่ดี และก็เหมือนฟ้าเล่นตลกอีกครั้งเมื่อวันที่ผมเดินทางไปยังตระกูลไฮแลนเดอร์ เป็นวันเดียวกับที่ทั้งสองคนนั้นถูกโจรขึ้นบ้านฆ่าตายพอดี...

    จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมนะ?

    แต่สบายใจได้เลยพ่อ...พี่...

    ชื่อของธันเดอร์ฟอร์ดจบลงที่รุ่นผมแน่นอน ผมสาบาน เพราะผมจะไม่สืบทอดต่อไงล่ะ

     

    ...พอมาเจอว่าที่เจ้านายของตัวเองครั้งแรก นอกจากหน้าตาที่คล้ายกันมากจนเรียกได้ว่าเหมือนแล้วก็ไม่ค่อยมีอะไรต่างจากที่คิดเท่าไหร่ แต่เอาเข้าจริงผมกลับรู้สึกว่ามันไร้เดียงสาและซื่อตรงเกินกว่าจะมาเป็นผู้สืบทอด แววตาที่มันมองผมตอนที่ผมทำแผลให้มันนั้นบอกตรงๆ

    ...โคตรเหมือนลูกหมา...

    เอาเถอะ อยู่กับคนแบบนี้ อย่างน้อยก็ไม่เสียสุขภาพจิตเท่าอยู่กับพี่กับพ่อแล้วกัน แต่ถ้าซ่าหาเรื่องมากผมจะอัดให้เอง และเวลาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าสัญชาตญาณของผมน่ะไม่ผิดหรอก...

    เพราะมันเป็นคนเดียวในตระกูลไฮแลนเดอร์ที่ผมไม่นับว่าเป็นตัวเงินตัวทอง ไม่สิ...จะด่าว่าตัวเงินตัวทองผมยังสงสารมันเลยคิดดู เอาเป็นว่าพวกบ้านใหญ่มันโคตรของโคตรอภิมหาบ้าจนผมไม่รู้จะบรรยายยังไงละกัน อยู่กับแลนซ์นี่ถือเป็นโคตรบุญหัวของผมแล้วสำหรับการต้องมาอยู่ในตระกูลแบบนี้

    ถามว่าแลนซ์มันเป็นคนยังไงน่ะเหรอ? สรุปง่ายๆจะได้ว่า แลนซ์...เจ้านายไทป์ลูกหมาของผมเป็นคนที่ซื่อมาก ซื่อจนอยากจะจับมันเขย่าคอแล้วถามว่านี่แกมีชีวิตรอดยันป่านนี้มาได้ยังไง เพราะนอกจากเรื่องเรียนแล้วก็ไม่เห็นจะมีไหวพริบอะไรสักอย่าง ใช้ชีวิตตามกรอบจนผมงี้สงสารเลยล่ะ ถ้าผมบอกว่าชีวิตตัวเองรันทด ของแลนซ์ก็เข้าขั้นบัดซบแล้ว

    ผมเพิ่งรู้ว่ามันเป็นลูกเมียน้อยตอนมันจะไปหาแม่แล้วเผลอหลุดปากบอกผม และเพื่อการไปหาแม่แล้วมันต้องทำตามเงื่อนไขเป็นที่หนึ่งบ้าบอคอแตกนั่นให้ได้ ก็ถึงว่าสิทำไมมันตั้งใจเรียนนักจนเอ๋อ เพราะมันรักแม่มากจนยอมทำทุกอย่าง และที่บัดซบมากคือเพราะพ่อมันรู้เรื่องนี้ดีถึงได้ใช้เงื่อนไขนี้มาบีบแลนซ์ไงล่ะ...

    และด้วยความหมั่นไส้ตระกูลมันแกมสงสารแลนซ์ ผมเลยแนะนำให้มันหัดคิดนอกกรอบ หาทางติดต่ออื่นบ้าง ซึ่งตอนแรกมันก็ดูลังเลอยู่หรอก แต่สุดท้ายมันก็ทำ...

    พออายุได้ประมาณสิบสี่...มันก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้...

    แลนซ์โดนเรียกกลับบ้านใหญ่ด้วยสาเหตุบางอย่าง ซึ่งปกติถ้าโดนเรียกกลับบ้านใหญ่ผมก็มักจะติดสอยห้อยตามไปด้วยอยู่แล้วในฐานะผู้ติดตาม ส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องคู่หมั้นคู่หมายที่ผมไม่เคยเข้าใจว่าจะรีบหาไปทำไมมากมาย ถึงแลนซ์มันจะชอบทำตัวเด็กน้อยแต่ก็ต้องยอมรับว่าหน้าตากับนิสัยอย่างมันน่ะหาผู้หญิงได้ไม่ยากหรอก ยิ่งมีนามสกุลดังด้วยนี่ไม่ต้องพูดเลย ครั้งนี้เองก็คงไม่ต่าง แต่ที่ต่างคือเหมือนผมจะไปป่วนงานดูตัวมากไปหน่อยจนไม่เคยสำเร็จสักราย (เพราะแลนซ์บอกว่าไม่ชอบก็เลยพังแม่ม...) ครั้งนี้ทางไฮแลนเดอร์เลยให้ผมอยู่สะสางงานที่นี่แทน

    โอ้ยยยยยยยยย เอาไงดีลูคัสงานนี้ฉันตายแน่!!!

    ไม่ชอบก็ปฏิเสธสิวะ ง่ายจะตาย

    “...นายก็เห็นนี่ว่าพวกตาแก่บ้านฉันน่ากลัวจะตายชัก นี่ถ้ารอบที่แล้วนายไม่มาช่วยนะ...

    ผมกลอกตา พวกตาแก่นั่นน่ากลัวตรงไหนกัน สายตาท่าทางโคตรไม่มีอำนาจ ยืนเองยังไม่ไหว มีดีก็แค่อิทธิพลในมือนี่แหละ ถ้าไม่มีนามสกุลไฮแลนเดอร์ก็ไม่ต่างอะไรกับตาแก่ในสถานรับเลี้ยงคนชรานั่นแหละ

    ไม่รู้แล้ว ทางบ้านใหญ่แกไม่ให้ฉันไปนี่

    ปกตินายก็แหกกฎตลอดนี่หว่าลูคัสก็ไม่ผิดหรอกเพื่อน แต่แกลืมอะไรไปรึเปล่า...

    “...ก็ใช่ แต่ถ้าเกิดฉันแหกอีกแล้วเอาข้ออ้างนี้มาไล่ฉันออกแกจะยอมมั้ยล่ะ?”

    “...ก็ไม่

    เออ ก็แค่นั้น

    โอ้ย...ถ้าฉันกล้าได้สักครึ่งของนายก็คง...

    อยู่ๆแลนซ์ก็เงียบไปจนผมงง พอหันกลับมาก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นหน้าแลนซ์อยู่ในระยะประชิด จนเกือบตกเก้าอี้

    ทำไรของแกเนี่ยไอ้แลนซ์!!!

    ฉันว่าพอมีทางแล้วว่ะมันพูดเสียงตื่นเต้นดีใจ แต่ทำไมผมถึงสังหรณ์ใจไม่ดียังไงก็ไม่รู้...

    “...แกคิดอะไรขึ้นมาได้อีกล่ะนั่น

    ลูคัส

    มันพูดเสียงจริงจัง จับบ่าผมแน่น และพูดประโยคสั้นๆ ที่ผมไม่เคยรู้เลยว่ามันจะเปลี่ยนชีวิตของเราสองคนไปตลอดกาล

    เรามาเปลี่ยนตัวกันเหอะ!!!

     

    ...คุณคงพอเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้...

    แต่เชื่อเถอะว่า..สิ่งที่คุณรู้มาน่ะ ไม่ได้เสี้ยวของความจริงที่เกิดขึ้นหรอก...

    อยากรู้?

    ก็ได้...ผมจะบอกสักครั้งให้เอาบุญแล้วกัน แลนซ์คงไม่ว่าอะไร

    แต่ถ้าเอาไปบอกใครต่อ รับรองว่าคุณไม่ได้ตายดีแน่!

     

    ไม่รู้ว่าตอนนั้นใครกันแน่ที่บ้า ระหว่างแลนซ์ที่คิดเรื่องบ้าๆขึ้นมาได้ กับผมที่สุดท้ายก็ยอมทำตามคำขอบ้าๆของมัน ปลอมตัวเป็นมันกลับบ้านใหญ่ของไฮแลนเดอร์ให้

    พวกผมสวมผ้าปิดตาทั้งคู่เพื่อไม่ให้ความแตก สวมอุปกรณ์เวทสื่อสารระยะไกล(ที่ราคาแพงหูฉีกแต่คุ้ม และโชคดีที่ไม่ได้ห่างกันมากมายจนใช้เครื่องมือสื่อสารเวทไม่ได้) และเพื่อความปลอดภัยผมเลยใส่หน้ากาก และใช้ข้ออ้างป่วยสำหรับเรื่องเสียงที่เพี้ยนไปบ้าง แต่คิดว่ายังไงพวกตาแก่นั่นก็ฟังไม่ออกอยู่ดีนั่นแหละ กลัวก็แค่พ่อมันจะรู้ก็เท่านั้นเอง

    เรื่องช็อกเรื่องแรกคือพอมาถึงบ้านใหญ่ ผมถึงได้รู้ว่าแลนซ์มันโดนเรียกมาเพราะเป็นงานศพแม่มันไม่ใช่งานดูตัวอย่างที่เราสองคนเข้าใจ ไอ้ผมก็เหงื่อตกสิครับเพราะเคยมีแม่กับเขาซะที่ไหน ครอบครัวก็เฮงซวยสุดจะบรรยายจนผมอยากจะเอาประทัดไปจุดในงานศพ พอมาเจอแบบนี้ผมเลยไม่รู้ว่าควรจะทำตัวไงดี

    โชคดีที่ไฮแลนเดอร์คงเห็นเป็นผมช็อกจนทำอะไรไม่ถูก ผมเลยขอตัวไปอยู่คนเดียว อ้างว่าทำใจไม่ได้ ไม่อยากเจอหน้าใคร แล้วรีบติดต่อไอ้แลนซ์อย่างเร็วที่สุด แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ติดต่อไม่ได้ซักทีจนผมต้องส่งข้อความบอกแทน

    ผมอดทนเล่นละครในงานศพอยู่ราวสามวัน ย้ำว่าต้องทนจริงๆ เพราะขนาดผมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับแม่ของแลนซ์มากมาย แต่แค่เห็นท่าทาง สีหน้า หรือได้ยินคำนินทาของผู้มาร่วมงานแล้วยังอดโกรธและเศร้าแทนไม่ได้ ถ้าเป็นแลนซ์ตัวจริงมาคนเดียวป่านนี้มันคงสติแตกไปแล้ว บางการที่ผมมาแทนอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ อย่างน้อยมันก็ไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้...

    แล้วพอตอนจะนั่งรถม้ากลับ ไม่รู้นึกยังไงผมถึงติดต่อหาแลนซ์อีกรอบ และครั้งนี้มันติดต่อได้...

    ลูคัสแน่นอน...ผมต้องรับบทเป็นแลนซ์ และนี่อยู่ในรถ เพราะงั้นบทบาทต้องสมจริงที่สุด เป็นไงบ้าง

    “...แลนซ์...เสียงของมันเบา...เบาจนผมใจไม่ดี ฉัน...

    ฉันกำลังจะกลับแล้ว...

    “...เรื่องที่นายส่งมา...

    จริง ลูคัส มันเป็นเรื่องจริง...ผมเอ่ยเสียงเบา ไม่บอกมันเรื่องความจริงที่ว่างานศพห่วยแตกจนอยากร้องไห้แล้วพูดว่าแบบนี้ฝังไปเลยยังจะดีซะกว่า ฉัน...ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี...

    “...ฉันทำนายลำบากอีกแล้วนะมันพูดเสียงเบา แต่กลับนิ่งจนผมเริ่มเอะใจ “...ถ้าฉันเข้มแข็งได้สักครึ่งนึงของนาย...นายก็คงไม่ต้องลำบากขนาดนี้...โทษทีนะ...ลูคัส

    นี่...นายบอกเองไม่ใช่รึไงว่า...

    ลูคัส...มันพูด ไม่รู้ทำไมผมถึงเห็นมันยิ้มเศร้าๆ “...ขอบใจที่ทำทุกอย่างเพื่อฉันมาตลอดนะ...

    “...เกิดอะไรขึ้นผมพูดเสียงเครียด แบบนี้ไม่ธรรมดาแล้ว บอกมา เกิดอะไรขึ้น...

    ไม่มีอะไรนี่...

    อย่ามาโกหกฉันผมกำอุปกรณ์สื่อสารแน่น นายคิดว่าฉันอยู่กับนายมากี่ปีกัน อย่าโกหกฉัน มีอะไรก็พูดมา

    “...เรื่องบางเรื่องนายก็ไม่สมควรจะรู้นะ ลูคัส

    ฉันยอมเจ็บเพราะรู้ความจริงดีกว่ามีความสุขเพราะเป็นคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลย นายก็รู้

    มันเงียบไปพักใหญ่ เงียบจนน่าใจหาย ก่อนที่มันจะเอ่ยปาก...

    “...ฉัน...ฆ่าคนตาย...

    หา?” ผมยอมรับว่าตกใจ แต่ที่มากกว่าตกใจคือความงง อย่างแลนซ์เนี่ยนะจะฆ่าใครตายได้ แค่ต่อยคนมันยังรู้สึกผิดเลย แล้วฆ่าเนี่ยนะ ไม่มีทาง! “เฮ้ย อธิบายมาเดี๋ยวนี้ ฉันว่านายมีเหตุผล

    “...แต่ก็เป็นความจริงนี่นา...

    ฉันถามหาเหตุผลอยู่

    มันหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะที่ผมฟังแล้วขนลุกด้วยความหวาดกลัว หวาดกลัวเพราะมันฟังดูสิ้นหวังเหลือเกิน “...ตอนนายไม่อยู่ มีคนบุกเข้ามา...พยายามจะทำมิดีมิร้ายฉัน...

    เลือดในตัวของผมเย็นเฉียบคล้ายว่ามันกลายเป็นน้ำแข็ง แปลว่าคนพวกนั้นถูกส่งมาจัดการผม แต่เพราะผมสลับตัวกับแลนซ์ ก็เลยกลายเป็นแลนซ์ที่...

    แต่เวทนายก็ไม่ใช่ว่า...

    แลนซ์เป็นผู้ใช้เวทลมที่เก่งกาจที่สุดคนนึงที่ผมเคยรู้จักเชียวนะ ไม่มีทางเสียท่าง่ายๆ...

    “...อืม ก็นะ...มันกลับมาพูดเสียงเบาอีกครั้ง ก็ถ้ามันไม่ได้มาเป็นสิบ แล้วก็วางยาฉันไว้อ่ะนะ พอแรงฉันกลับคืนมา ฉันก็สติแตก...พลังก็เลยระเบิดออกรวดเดียว...แล้วพวกเขาก็....

    ...บัดซบ!!!

    ใครพวกมันเป็นใคร!!! บอกมา!!!

    “...ไฮแลนเดอร์ส่งพวกเขามา

    ....ไอ้...

    ผมไม่รู้จะสรรหาอะไรมาด่าเจ้าพวกนี้ดี ถ้าผมรู้ก่อนหน้านี้สักชั่วโมงผมอาจจะระเบิดบ้านใหญ่เน่าๆนั่นด้วยฟ้าผ่าไปแล้วจิตใจต้องทำด้วยอะไรถึงได้ส่งคนมาทำแบบนี้กับคนบ้านตัวเองได้ลง!!!

    มันบอกว่าโทษฐานที่นายทำฉันออกนอกลู่นอกทาง...

    “...นาย...

    ความเป็นจริงที่แลนซ์พูดออกมามันทำให้ผมสะอึก เรื่องนี้เกิดเพราะผม เพราะงั้นถ้าผมโดนเองคงไม่เท่าไหร่ แต่นี่...

    “...แต่ไม่เป็นไรนะลูคัส...ฉันไม่โทษนายหรอก...และภาพมันยิ้มก็กลับมาในหัวอีกครั้ง กลับกัน...ฉันต้องขอบคุณนายด้วยซ้ำ...ที่ช่วยทำให้ฉันเลิกกลายเป็นหุ่นกระบอกของตระกูลได้สักที...

    “...”

    “...นายรู้อะไรมั้ย ฉันน่ะเกลียดตระกูลตัวเองมาตั้งแต่เด็กแล้ว...แลนซ์พูดไปเรื่อยๆ เหมือนว่าไม่สนใจว่าผมจะฟังรึเปล่า แต่ผมที่ไม่รู้จะพูดอะไรอยู่แล้วก็ลงเอยด้วยการฟังมันอยู่ดี แต่ก็ตลกดีที่ตระกูลที่ฉันเกลียดที่สุดกลับทำให้ฉันได้เจอคนสำคัญที่สุด...

    “...คือแม่...และนาย...ลูคัสมันพูดปนเสียงสะอื้นน้อยๆ “...ตลอดเวลาที่ผ่านมา ขอบใจนายมากจริงๆ

    หยุดร้องได้แล้วน่า...ฉันกำลังจะกลับไปแล้ว...

    “...ลูคัสแลนซ์พูดอีกครั้ง แน่วแน่และหนักแน่น “...ที่ผ่านมา นายคอยแก้ปัญหาให้ฉันมาตลอดสินะ...ฉันไม่เคยทำอะไรให้นายเลย...

    “...นายเลิกพูดจาพร่ำเพ้อบ้าบอแล้วรอฉันกลับไปก็พอแล้วน่า

    “...แต่นายจะติดคุกนะลูคัส...ตอนนี้นายเป็นฉัน และฉันเป็นนาย...ถ้าเกิด...

    เอาเหอะน่า กลับไปก่อนค่อยว่ากัน!

    “...เมื่อกี้ฉันบอกไปแล้วสินะ...ว่านายกับแม่เป็นคนสำคัญที่สุด...ตอนนี้แม่ก็จากฉันไปแล้ว ส่วนนาย...ชื่อเสียงของนายก็โดนทำลายไปหมดแล้ว...แถมเรื่องที่ฉันฆ่าคนไปนั่นมันหลอกหลอนฉันจน...

    นายเลิกพูดอะไรบ้าๆได้แล้ว!!!

    บ้าจริง ทำไมรถม้ามันไม่ขยับสักที ติดอะไรวะเนี่ย แล้วแลนซ์มันพูดแบบนี้เหมือนมันจะ...

    ฉัน...ไม่รู้จะอยู่ไปทำไมแล้ว...ลูคัส

    เลิกพูดบ้าๆได้แล้ว!!!” ผมตวาด ตัดสินใจลงจากรถแล้วออกวิ่งโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ฟังนะแกยังมีฉัน!!! ถ้าฉันสำคัญมากนักล่ะก็หยุดความคิดบ้าๆนั่นแล้วนั่งเป็นเด็กดีรอฉันกลับไปเดี๋ยวนี้!!!

    “...นี่ ฉันขอร้องอะไรนายอีกสักอย่างสองอย่างได้มั้ยลูคัส...ไม่สิ ถือว่าเป็นคำสั่งสุดท้ายของฉันก็ได้

    แกจะสั่งบ้าๆบอๆอะไรมาฉันไม่ว่าแค่แกกลับไปนั่งรอฉันเงียบๆพอ!!!

    “...อย่าโกรธฉันเลยนะที่ฉันต้องฆ่านาย...

    แวบแรกผมสงสัย แต่แล้วผมก็นึกถึงประโยคที่มันพูดขึ้นมาก่อนจะแยกกัน

    จนกว่าเราจะเจอกันอีกครั้ง ฉันจะเป็นนาย และนายจะเป็นฉัน...

    ที่มันบอกว่าจะฆ่า ‘ลูคัส’ ก็คือ...

    แกอย่าแม้แต่จะคิดเชียว!!!

    “...ฉันเขียนทุกอย่างในเรื่องที่นายต้องรู้ลงในบันทึกของฉัน นายรู้วิธีแก้มนตราล็อกอยู่แล้วนี่ เรื่องไหนที่นายรู้ว่าโกหกมันก็ตามนั้น เผื่อใครมาเจอจะได้จับไม่ได้ ส่วนที่เหลือทั้งหมดคือเรื่องจริง...

    ไอ้เวรเอ้ย!!!” ผมตะโกนลั่นผิดภาพพจน์ที่สวมอยู่ แต่ช่างหัวเรื่องปลอมตัวมันแล้ว!!! “แกรู้อะไรมั้ย เหตุผลเดียวที่ฉันไม่วิ่งไประเบิดบ้านไฮแลนเดอร์บ้าๆของแกตอนนี้ก็เพราะฉันเห็นแก่หน้าแก!!! ถ้าแกไม่อยู่นะ...ฉันจะ...ทำลายทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับไฮแลนเดอร์ให้หมด!!!

    ผมประกาศกร้าว เริ่มหอบจากการวิ่งและตะโกน แต่ขาผมก็ยังไม่หยุดวิ่ง

    “...ก็เอาสิ นายอยากทำอะไรก็เอาเลย...มันเป็นสิทธิของนายแล้ว ไม่สิ...ฉันจะดีใจมากด้วยซ้ำที่นายทำอย่างนั้นให้...

    เสียงของผมทำเอาผมหัวใจเกือบหยุดเต้น “...นี่แก...

    “...คำสั่ง...ไม่สิ คำขอร้องและของขวัญชิ้นเดียวของฉัน...

    ฉันไม่

    ช่วยมีชีวิตต่อไปในฐานะ ‘แลนซ์ สกาย ไฮแลนเดอร์’ แทนฉันที...

    ขอปฏิเส—”   

    นายบอกแล้วนะว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องบ้าๆแค่ไหนนายก็จะทำ...นายพูดแล้ว...

    แล้วแกไม่คิดรึไงว่าฉันจะรู้สึกยังไงบ้างน่ะห๊าแกคิดว่าหัวใจฉันทำมาจากก้อนหินรึไง!!! แกเองก็สำคัญกับฉันนะเว้ยแกเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน แกเป็นยิ่งกว่าพี่น้องของฉัน แกมัน—”

    “...ขอบใจนะลูคัส แค่นี้ฉันก็ตายตาหลับแล้ว

    แลนซ์!!!

    ผมหมดคำจะพูดแล้ว เพราะผมรู้ดีว่าพูดอะไรไปตอนนี้แลนซ์มันก็ไม่ฟังผมแล้ว และที่สำคัญเลี้ยวไปอีกแค่หัวมุมเดียวก็จะถึงบ้านแล้ว ไม่ต้องพูดแล้วไปช่วยมาง่ายกว่า!

    อย่าลืมนะ...จนกว่าเราจะพบกันอีกครั้ง...นายจะเป็นฉัน และฉันจะเป็นนาย

    แลนซ์!!! อย่า!!!

    “...ลาก่อนลูคัส...ไว้เจอกัน...ที่โลกหน้านะ...”

                ทันทีที่พูดประโยคนั้น ขามันก็พามาถึงหน้าอพาร์ทเม้นต์พอดี แต่ยังไม่ทันที่ผมจะวิ่งเข้าไปก็มีอะไรหล่นวูบลงมาตรงหน้า ตกลงพื้นเสียงดังพร้อมกับของเหลวและชิ้นเนื้อที่สาดกระเซ็นไปทั่ว

                “ละ...แล...ชื่อของแลนซ์เกือบจะหลุดออกมาจากปากผม แต่เหมือนมันรู้ ถึงได้ใช้แรงเฮือกสุดท้ายของมันกลอกตามามองผม ริมฝีปากอาบเลือดขยับอย่างไร้เสียง

                ‘อย่าลืมนะ...นายเป็นฉัน...และฉันเป็นนาย...

                ‘นายรับปากแล้วนะ...นายรับปากแล้ว...

                ‘นะ...

                “ละ...ชื่อของแลนซ์ยังติดอยู่ที่ลำคอ ผมเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะคุกเข้าลงข้างๆร่างที่เละไม่เหลือสภาพอย่างหมดเรี่ยวแรง...ถ้าผมมาเร็วกว่านี้ ถ้าผมไม่มัวเสียเวลาอยู่ในงานศพนานขนาดนี้ล่ะก็...

                และมันก็ขยับปากเหมือนรู้อีกครั้ง ‘อย่าโทษตัวเองสิ...

                ‘แต่ถึงนายจะโทษตัวเอง...

                ‘ไม่ว่าจะกี่ครั้ง...จำไว้นะ...ว่าฉันจะยกโทษให้นายเสมอ...และตลอดไป...

                แล้วดวงตาของมันก็ปิดลง พร้อมกับที่คอของมันพับตก บ่งบอกว่าเพื่อนรักและเจ้านายเพียงหนึ่งเดียวตรงหน้าได้จากผมไปตลอดกาลแล้ว จากนั้นศพของมันก็มีไฟลุกพรึ่บขึ้นมา ท่าทางมันจะติดอุปกรณ์เวทไฟไว้เพื่อทำลายหลักฐานครั้งสุดท้าย...คือศพตัวเอง...

                หลังจากนั้นรอบตัวของผมก็วุ่นวายไปหมด มีทั้งคนมามุงกับเจ้าหน้าที่วิ่งไปมาให้วุ่น

                “ขอโทษด้วยนะครับ...คุณรู้จักกับผู้เสียชีวิตสินะครับ

                เสียงเรียกทำให้ผมหันไป เจ้าหน้าที่คนหนึ่งมองผมเป็นเชิงปลอบใจ อาจจะเสียมารยาท แต่คุณรู้ใช่มั้ยครับว่าใครคือผู้เสียชีวิต เพราะที่ตัวเขาไม่มีอะไรที่ใช้ยืนยันตัวตนได้เลย แถมศพก็ยัง...

                ผมเหลือบไปมองพื้นที่เคยมีร่างของแลนซ์นอนอยู่อีกครั้ง ภาพเมื่อครู่ฉายซ้ำในหัว ก่อนที่ผมจะหันมา ตอบช้าๆ...

                “...ลูคัส

                “...ลูคัส เรย์ ธันเดอร์ฟอร์ดผมปาดน้ำตาออกเงียบๆ “...คือชื่อของเขา...เขาเป็นเพื่อนผมเอง...

               

    หลังจากการตรวจสอบเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ก็สรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตาย และยิ่งเรื่องนี้เกี่ยวจ้องกับไฮแลนเดอร์ทำให้พวกเขาไม่อยากสืบสาวเรื่องราวอะไรมากมาย เมื่อผมกลับไปยังห้องก็พบว่ามีจดหมายสองฉบับวางอยู่หน้าพรมที่พื้น และเมื่อหยิบมาดูก็ถึงกับมือสั่นอย่างห้ามไม่ได้

                มันเป็นจดหมายจากมาร์รอธ จ่าหน้าถึงทั้งผมและแลนซ์ เมื่อเปิดออกอ่านก็พบว่ามันเป็นโรงเรียนสำหรับผู้มีพลังอย่างพวกเรา และพวกเราได้รับคัดเลือก...

                แลนซ์...แกไม่น่าเลย...

                ผมคิดเศร้าๆ เมื่อกวาดตามองแล้วเห็นว่าจดหมายภายในสองฉบับไม่มีระบุรายละเอียดอะไรที่จะสร้างปัญหาให้ในภายหลัง ผมจึงพับมันใส่ซองอย่างเก่าแล้วก้าวเข้าไปในห้อง เปิดอ่านบันทึกเงียบๆ และทำลายมันทิ้งหลังจากอ่านจบ

                และสามวันถัดจากนั้น...บ้านใหญ่ของไฮแลนเดอร์เกิดเพลิงไหม้เพราะฟ้าผ่า จากการรายงานข่าวตามหนังสือพิมพ์ ไม่มีใครรอดชีวิต ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดียิ่งสำหรับผม      

    แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญ...ฝีมือผมเอง...

    และรู้อะไรมั้ย? คืนก่อนจะเกิดเรื่อง...ผมเพิ่งรู้ความจริงอีกอย่างที่น่าตกใจ

    มันคืออะไรน่ะเหรอ?

    ก็แค่เรื่องที่ว่าพ่อกับพี่ชายผมโดนโจรฆ่าตายน่ะ จริงๆแล้วเป็นคนของไฮแลนเดอร์ที่ถูกส่งไปเพื่อเก็บสองคนนั้นโดยเฉพาะต่างหากล่ะ

    ...ดีใจซะเถอะพ่อ พี่ด้วย...

    ผมเอาคืนแทนให้แล้วนะ ถึงพวกนายจะไม่สมควรได้รับอะไรแบบนี้เลยก็เถอะ...

    ถือซะว่าเป็นการทดแทนบุญคุณในฐานะลูกหลานตระกูลครั้งสุดท้าย แล้วผมก็จะได้เป็นอิสระจากธันเดอร์ฟอร์ดจริงๆเสียที...

                ผมมองดูเปลวไฟที่กำลังกลืนกินบ้านไฮแลนเดอร์จากที่ไกลๆด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะหยิบจดหมายที่จ่าหน้าถึงลูคัสขึ้นมา ยิ้มกับตัวเอง

    ลาก่อน...ลูคัส...ลาก่อน...ตัวฉัน...

                ก่อนที่ประกายไฟจะถูกจุดขึ้นที่มือ เผาจดหมายฉบับนั้นจนเป็นเถ้าลอยไปตามแรงลม เหมือนกับตัวตนที่แท้จริงของผมที่หายไปจากโลกใบนี้อย่างไม่มีทางหวนคืน

     

     

    จนกว่าเราจะได้พบกันอีกครั้ง...ฉันจะเป็นแกให้ก่อนก็แล้วกันนะ แลนซ์...

    และถึงวันนั้นเมื่อไหร่...ฉันจะเล่าให้แกฟังทุกอย่างที่ฉันทำเลยล่ะ...

    ...เมื่อเราพบกันอีกครั้ง...

     

    SO NOW I’LL TELL YOU GOODBYE…’TIL I SEE YOU AGAIN

    AND I’LL TELL YOU ALL ABOUT IT WHEN I SEE YOU AGAIN

    …SEE YOU AGAIN…

     

     

     

         ชอบ / เกลียด / กลัว / แพ้:

    ชอบ ::

    - อุปกรณ์เวทมนตร์ [เพราะมันน่าสนใจดี มอะไรให้เล่นเยอะ ถ้าได้มาก็จะนั่งเล่นไปเรื่อยๆ]

    - ดนตรีที่มีจังหวะสนุกๆ [เพราะเล่นและฟังเพลินๆดี ก็เล่นไปเรื่อยๆเหมือนกัน]

    - อาหารทะเลทุกประเภท / เนื้อ [เพราะมันอร่อย ไอ้พวกที่แพ้นี่น่าสงสารจริงๆ เจอก็เอามาทำอาหารกินสิ]

    - พายุ [เพราะมองแล้วมันดูทรงพลังดี บรรยากาศปั่นป่วนตอนมีพายุทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองยังคงมีชีวิตอยู่ด้วย ถ้าเจอก็จะนั่งมองเงียบๆ หรือถ้าวันไหนบ้าหน่อยก็อาจจะไปยืนตรงที่สูงให้ลมโกรกเล่นๆ ยังไงเขาก็ไม่มีทางโดนฟ้าผ่าตายอยู่แล้วนี่?]

    - กีฬาโลดโผน [เพราะมันสนุกดีและให้ความรู้สึกตื่นเต้น ถ้ามีโอกาสก็จะไปเล่นให้ได้เลยล่ะ!]

    - ช็อกโกแลต [เพราะมันทำให้กระปรี้กระเปร่าดี แบบดาร์กด้วยนี่จะได้ใจสุดๆไปเลย ถ้ากินก็จะอารมณ์ดี หากเกรี้ยวกราดอยู่ก็จะลดลงมาหน่อย]

    เกลียด:

    - อาหารที่เย็นชืด [คือเขาชอบอาหารร้อนๆ ถ้าเจอจะเอาไปอุ่นให้หมด แต่ถ้ามันสุดๆจริงก็กินได้ แต่จะแบบ...ทำไมต้องมากินอะไรแบบนี้ด้วย ยกเว้นอาหารแบบนั้นมันต้องกินเย็นๆอยู่แล้วก็อีกเรื่อง]

    - การทำอะไรซ้ำๆเดิมๆ [คือมันน่ารำคาญไง ถ้าต้องทำจะทำหน้าแบบ...ทำไมต้องทำ?]

    - พวกดีแต่ปาก [ตามนั้น พวกที่ดีแต่เห่าน่ะน่ารำคาญจะตาย ทำอะไรก็ไม่ได้แท้ๆ ถ้าเจอแล้วมันไม่ทำอะไรก็อาจจะแกล้งชูนิ้วกลางใส่เฉยๆ แต่ถ้ามาหาเรื่องก็เปิดวอร์เลย!]

    - การอ่านหนังสือ [มันน่าเบื่อจะตาย แต่ถ้าต้องอ่านจริงๆก็จะรีบอ่านให้มันจบๆไป แต่หน้านี่หงิกเชียว]

    - เรื่องที่ต้องใช้สมองเยอะๆ [เพราะมันน่าปวดหัวจะตาย ถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่สนไปเลย ส่วนถ้าจำเป็นจริงๆก็จะใช้เวลาคิดให้รวบรัดที่สุด ปวดหัววววววววว]

    - คำพูดโลกสวยลวงโลกรวมถึงความสงสาร [...เพราะมันโกหกทั้งเพไงล่ะ ฟังแล้วอยากจะกลอกตาเป็นเลขแปดแล้วด่าว่าพ่อ-เถอะ อย่ามายุ่ง]

    - พวกชนชั้นสูง (โดยเฉพาะพวกหัวสมองมาจากยุคไดโนเสาร์) [เพราะคนพวกนี้แหละชอบบงการและทำลายชีวิตชาวบ้าน โลกมันไปถึงไหนแล้ว คิดว่าตัวเองยังอยู่สมัยไหนกัน ถ้าเจอก็กบฏให้หมด สั่งอะไรมามีแค่ไม่ทำกับทำทุกอย่างที่ตรงกันข้าม]

    - การโดนสั่ง [เพราะเขาโตพอจะคิดอะไรเองแล้ว เลิกสั่งสักที ถ้าเจอก็จะทำหูทวนลมแล้วทำสิ่งที่อยากแทน]

    - คนที่ทำอะไรชักช้าพิรี้พิไร้ / พวกที่ไม่รักษาเวลา / เรื่องที่ทำเขาเสียเวลาโดยไม่มีเหตุจำเป็น [เพราะสำหรับเขาแล้วเวลามีค่าทุกวินาที ใครที่บังอาจทำเขาเสียเวลาโดยไม่มีเหตุจำเป็น...มัน...ต้องเจอดี!!! ถ้าเจอก็ฉะแบบไม่ไว้หน้าเลยค่ะ เคยวางมวยกันเพราะเรื่องแบบนี้มาแล้วด้วย]

    - ระเบียงที่ติดกับภายนอก! [เพราะแลนซ์โดดลงมาจากระเบียงห้องลงมาข้างล่าง ดังนั้นมันจึงเป็นภาพนิมิตในหัวว่าแลนซ์ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วร่วงหล่นลงไปทุกครั้งที่เขามองไปที่ระเบียงหรืออยู่ตรงระเบียง หลังจากเรื่องนั้นเป็นต้นมาเขาไม่เคยไปเหยียบระเบียงอีกเลยค่ะ ถ้าไปที่อื่นแล้วบอกให้ไประเบียงให้ตายเขาก็ไม่ไปหรอก]

    - พวกเรื่องมาก [เพราะมันทำให้ชีวิตคนอื่นยุ่งไปด้วยน่ะสิ บ้าเอ้ยถ้าเจอจะแบบเรื่องมากนักก็ทำเองเซ่...]

     

    กลัว:

    - การที่ตัวเองไม่สามารถปกป้องสิ่งสำคัญได้อีก [เพราะลึกๆเขาคิดมาตลอดว่าตัวเองมาช้าแลนซ์ถึงได้ตาย ถ้ามาเร็วกว่านี้เขาคงพอทำอะไรได้บ้าง ถ้าเจออีกคงช็อกจนทำอะไรไม่ถูกไปเลยล่ะ]

    - ศพเละๆ แบบอวัยวะกระจุยกระจายเลือดสาด [เพราะมันทำให้เขานึกถึงศพของแลนซ์ที่ร่วงลงมาต่อหน้าต่อตาเขา ถ้าเจอก็คงจะหลับตาปี๋แล้วเดินหนีให้เร็วที่สุด ตัวสั่นไม่หยุด]

    (หมายเหตุ ศพแบบอื่น เช่น ไหม้จนเกรียม แขนขาโดนตัด อะไรแบบนี้เขาไม่กลัวนะ กลัวแค่แบบเละๆนี่แหละ)

    ไม่มีแพ้อะไรเป็นพิเศษ

     

         สายเวทย์: Elemental [ลม] ***

         อาวุธ(เฉพาะ Worshipper): -

         ความสามารถพิเศษ: ทำอาหาร-งานบ้าน / ทักษะทางกายภาพดีเยี่ยม เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ชกต่อยเก่งมาก / มีความรอบรู้ด้านอุปกรณ์เวทมนตร์ / เล่นเปียโน (ไม่เข้ากับภาพพจน์ตัวเองมาก) / เซ้นส์ในการเอาตัวรอดสูงมาก

         บท: นักเรียน

         เพิ่มเติม:

     

    - เผื่องง...แลนซ์คนปัจจุบันที่เราส่งมาจริงๆคือลูคัสค่ะ...เพราะงั้นตาขวาที่ต้องปิดไว้เพราะมันเป็นสีแดง จะใช้เวทก็ต้องมาคอยระแวงว่าจะโดนตรวจจับเมื่อไหร่ เลยปิดมันดื้อๆ ไปเลยค่ะ

    - นิสัย...แน่นอนค่ะ แลนซ์คนเก่าคือตัวจริงที่ตายไปแล้ว ส่วนแลนซ์คนปัจจุบันคือนิสัยจริงๆของลูคัส...

    - ลูคัสหัวกบฏเอามากๆเลยล่ะ เลยพาแลนซ์ตัวจริงกบฏไปด้วยเลย...

    - หากสงสัยว่าประวัติส่วนไหนเป็นเรื่องจริงและอันไหนโกหก ให้ยึดพาร์ทซีเคร็ทเป็นหลักค่ะ ทุกอย่างในพาร์ทซีเคร็ทคือเรื่องจริง อะไรที่ขัดกับซีเคร็ทคือเรื่องโกหก ส่วนที่ไม่มีอะไรแย้งกัน...ก็คือเรื่องจริง

    - ชอบ ไม่ชอบ/เกลียด กลัว อะไรทำนองนี้คือข้อมูลลูคัส / แลนซ์คนปัจจุบัน นะคะ

    - สายธาตุที่แลนซ์(ลูคัส)ใช้หลักๆ คือ สายฟ้า ที่เป็นส่วนย่อยของธาตุลมค่ะ ธาตุลมก็ใช้ได้ แต่ถนัดสายฟ้ามากกว่า โชคดีที่แลนซ์ตัวจริงที่ตายไปแล้วเป็นสายธาตุลม-สายฟ้าเหมือนกัน เลยไม่มีใครแยกออก

    - แลนซ์ในปัจจุบัน(ลูคัส)มีชื่อเล่นในวงชนชั้นสูงว่า เด็กชายผู้รอดชีวิตเพราะเป็นคนเดียวในไฮแลนเดอร์ที่มีชีวิตอยู่หลังเหตุการณ์ฟ้าผ่าจนไฟไหม้บ้าน (เอ้าก็แหง ฝีมือเขานี่หว่า แล้วจริงๆ คือตายหมดบ้านแล้วเหอะ เขาตัวปลอมเฟ้ย!)

    - เรื่องความรัก...เห็นแลนซ์ตัวจริงไปงานดูตัวหลายครั้งจนเอียนจนเขาเลิกคิดเรื่องหาแฟนไปเลย...คือไม่คิดและไม่สนใจไปโดยสิ้นเชิง คิดว่าถ้ามันจะมีเดี๋ยวก็มีมาเองแหละ ไม่ขวนขวายตามหาอะไรให้เดือดร้อน

    - ถามว่ากลัวความแตกมั้ย...เขาตอบเลยว่าไม่ เพราะจะแตกก็แตกไปเหอะ เขาในตอนนี้ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว

    - ขี้ห่วงกว่าที่คิดเยอะ แต่คนอื่นไม่ค่อยเห็นในจุดนี้เท่าไหร่

    - รำคาญเด็ก แต่ไม่ได้ถึงกับเกลียด และไม่รู้ว่าเด็กมันรู้รึยังไงถึงได้ชอบเข้าหาแลนซ์อยู่เรื่อย ว้อย!!!

    - ชื่อบุคคลอื่นๆ ที่รู้แค่ชื่อก็พอ... (เพราะตายหมดแล้ว)

    - Regal Rex Highlander [รีกัล เร็กซ์ ไฮแลนเดอร์(พ่อแลนซ์ตัวจริง)

    - Selena Morel Lavernia [เซเลน่า มอเรล ลาเวอร์เนีย(แม่แลนซ์ตัวจริง ไม่ได้นามสกุลไฮแลนเดอร์เพราะเป็นภรรยาน้อย)

    - Wallace Joel Thunderford [วอลเลซ โจเอล ธันเดอร์ฟอร์ด(พ่อลูคัส)

    - Henry William Thunderford [เฮนรี่ วิลเลี่ยม ธันเดอร์ฟอร์ด(พี่ชายลูคัส)

    - Lilian Paul Thunderford [ลิเลียน พอล ธันเดอร์ฟอร์ด(แม่ลูคัสที่เสียไปตอนลูคัสเกิด)

     

     

     

     ถ้าลูกของคุณติด แต่ไม่ติดในบทที่ต้องการ อยากให้เราใส่บทอื่นให้ หรือว่าจะรับกลับคะ:

    ยัดก็ได้ค่ะ (ฮา)



         คิดอย่างไรกับการที่สภานำคทาบรุดเวิร์ธที่โด่งดังนั้นมาเก็บไว้ในโรงเรียน คิดว่าทำถูกแล้วหรืออันตราย? แล้วอยากจะเห็นมันกับตาซักครั้งในชีวิตไหม?

      มุมปากของเด็กหนุ่มผมเงินยกขึ้นเล็กน้อยราวกับจะเย้ยหยัน ก่อนจะพูดออกมา

    “ขนาดคนกันเองยังไม่แน่ใจเลยว่าจะไว้ใจได้หรือเปล่า แต่นี่เล่นเอาของสำคัญมาอยู่ในที่ๆ มีคนร้อยพ่อพันแม่แบบนี้...พนันกันยังได้ว่ายังไงมันก็ต้องมีเรื่องแน่ๆ สมองคนคิดท่าจะมีปัญหานะเนี่ย ยกเว้นแต่ที่นั่นมีอะไรพิเศษไปกว่าที่อื่น...แต่เอาเถอะ...ยังไงก็ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว”

    แลนซ์นิ่งไปครู่หนึ่ง พูดเหมือนนึกขึ้นได้ “ส่วนอยากเห็นมั้ยน่ะเหรอ? ฉันไม่ได้สนใจมันขนาดนั้นหรอก ถ้ามันจะได้เห็นเดี๋ยวก็ได้เห็นเองแหละ”



         อาหารที่ชอบกินที่สุดคืออะไร เพราะอะไร?

        “สเต็ก” แลนซ์ตอบสั้นง่าย เดาะลิ้นเล็กน้อยระหว่างพูด “เนื้อก็ดี ซีฟู๊ดก็ได้ ต้องร้อนๆ ด้วยนะ แล้วก็สตูว์เนื้อร้อนๆ ถามว่าทำไมน่ะเหรอ? ชอบก็เป็นคำตอบในตัวมันอยู่แล้วนี่ ก็ฉันชอบแบบนี้ มันอร่อย จบนะ”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×