ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Forbidden library

    ลำดับตอนที่ #3 : The forbidden book No.3 l Verena

    • อัปเดตล่าสุด 8 เม.ย. 61


    [THE FORBIDDEN BOOK No.3]

    หนังสือต้องห้ามหมายเลขสาม

    เล่าขานเรื่องราวของหญิงสาวตาบอดปริศนาผู้รอบรู้ดุจเทพยดา

    ความจริงเป็นเช่นไรหากปรารถนา เพียงจ่ายมาตามเรียกร้องย่อมได้ตามต้องการ

    ปริศนาที่ลึกลับที่สุดกลับกลายเป็นตัวนางที่ไม่อาจมีผู้ใดแจ้งแถลงไข

    อดีตอันลึกลับ หัวใจที่ถูกปิดตาย และ ความคิดยากจะหยั่ง รวมกันดั่งวงกตไร้ทางออก

    จะมีผู้ใดหรือไม่...ที่อาจหาญฝ่าวงกตแห่งความลับนี้ไปได้กัน

     

    [THE MYSTERIOUS, WITTY BLIND LADY WHO NEVER DOES ANYTHING FOR FREE]

     

     

    “I ask of thee, what is the wisdom thou desire?”

     

    {ข้าขอไถ่ถาม...เจ้าปรารถนาจะล่วงรู้ถึงสิ่งใดหรือ}

     

    - Verena -

     

    APPLICATION [M]


     

     

    ข้าไม่ปฏิเสธเรื่องที่ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่มีราคา แต่ใช่ว่าทุกสรรพสิ่งในโลกหล้าจะสามารถตีค่าได้ด้วยเงินตราไม่

    “สิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับข้าในโลกนี้มีเพียงสองประการ หนึ่งคือสิ่งที่ปรารถนาแต่ยังไม่ได้มา และสองคือสิ่งที่นึกเสียใจภายหลังเมื่อรู้ตัวว่าสูญเสีย แต่ไม่เคยเห็นค่าในยามถือครอง

     

    บทบาทที่เลือก :: Blind woman / หญิงสาวตาบอด

     

    ชื่อ-นามสกุล :: Verena [เวเรน่า]

    เวเรน่า – “ความจริง”

     

    ชื่อเล่น :: Vera [เวร่า]

    ***ไม่อนุญาตให้ใครเรียกทั้งสิ้น มีเพียงใครสักคนในความทรงจำของนางเท่านั้นที่เรียกเวเรน่าด้วยชื่อนี้ได้***

    เวร่า – “ความจริง” / “ศรัทธา”

    สัญชาติ / เชื้อชาติ :: เยอรมัน / เยอรมัน

     

    อายุ :: 26

     

    รูปลักษณ์โดยรวม :: สตรีผู้ไม่อาจกล่าวขานได้ว่างดงามโดดเด่นดั่งเทพธิดาในชั้นฟ้า แต่ก็มีความอันเป็นเอกลักษณ์แปลกตายากใครจะเสมอเหมือน ผิวแม้ไม่ขาวจัดเหมือนเหล่าผู้ดี มีคล้ำแดดไปบ้าง แต่ก็ดูกระจ่างมีน้ำมีนวลดูมีเลือดฝาด รูปร่างโปร่งบางดูคล่องตัวที่มีสัดส่วนทรวดทรงโค้งเว้าพอเหมาะพอควรก็ดึงสายตาบุรุษหลายคนได้อย่างไม่ยากเย็น ไม่ผอมแห้งเกินไปและไม่อ้วนเกินไป แม้หน้าอกหน้าใจจะเรียกได้ว่าแบนราบไปเสียหน่อย แต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก กลับชอบเสียด้วยซ้ำเพราจะได้เดินเหินสะดวก ไม่มีภาระหนักอก และไม่เป็นจุดสนใจให้ชายใดมองอย่างอกุศลเช่นนั้น แต่สิ่งแรกที่ทุกคนจะมองมาที่นางอย่างไม่ต้องสงสัยคือดวงหน้า...หรือพูดให้เจาะจงกว่าคือดวงตาของนาง...ที่ข้างซ้ายนั้นถูกปิดไว้ด้วยผ้าเพื่อมิให้ผู้ใดเห็นสภาพที่ซุกซ่อนไว้ แต่ไม่ว่าใครต่อใครก็ล้วนเดาได้ว่าตาข้างนั้นของนางคงไม่อาจมองเห็นอะไรได้อีกต่อไป ซึ่งน่าเสียดายนักหากยามมองตาข้างขวาที่เป็นสีม่วงอเมทิสต์งดงามดั่งอัญมณีน้ำหนึ่ง หากมีอยู่ครบคู่แล้วจะงามเพียงไรคงได้แต่จินตนาการแล้ว จมูกทรงหยดน้ำโด่งรั้นพอเหมาะ ริมฝีปากอิ่มสีอ่อน แก้มมีเลือดฝาดจางๆ รวมแล้วเป็นใบหน้าที่เรียกได้ว่างามโดยแท้ เรือนผมที่ล้อมกรอบดวงหน้านี้เป็นสีม่วงอ่อนเจือจาง คล้ายว่านำเฉดนี้ในดวงตาของนางของมาเจือจางอย่างไรอย่างนั้น มันถูกปล่อยให้ยาวสลวยจรดกลางหลังโดยที่เจ้าตัวไม่ใส่ใจจะแต่งมันเท่าใดนัก แขนขายาวเรียวแต่ไม่เกะกะเก้งก้าง หากมองให้ดีจะพบว่ามีรอยแผลจางๆอยู่ทั่วร่าง แต่มักไม่ค่อยมีใครได้เห็นเท่าใดนักเพราะว่านางชอบแต่งตัวมิดชิด ผู้คนในลอดดอนมักจะเห็นนางเดินในชุดปิดมิดชิด มีผ้าคลุมศีรษะแม้ในวันที่อากาศร้อนที่สุดโดยที่เหงื่อแทบไม่รินไหล ซึ่งทำได้อย่างไรนั้นก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป

     

    ส่วนสูง / น้ำหนัก  :: 165 เซนติเมตร / 48 กิโลกรัม

     

    นิสัย ::

                หากจะให้คำนิยามเกี่ยวกับหญิงสาวนาม เวเรน่า เชื่อว่าคนที่ได้ฟังคงต้องมึนงงเป็นแน่ เนื่องจากความคิดที่มีต่อหญิงสาวคนนี้นั้นหลากหลายเหลือเกิน บ้างกล่าวว่านางเป็นแม่มดที่ล่วงรู้สรรพสิ่ง บ้างกล่าวว่านางคือซาตานที่โหดร้ายเลือดเย็น บ้างกล่าวว่านางคือผู้บงการในเงามืดไร้ใครต่อกร...และอื่นๆอีกมากมาย

     

                แล้วสิ่งใดที่เป็นความจริงน่ะหรือ? ลองอ่านแล้วตัดสินใจดูเอาเองก็แล้วกัน...

     

                แรกเริ่มที่เห็น เวเรน่าเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามที่สูญเสียตาไปข้างหนึ่ง มีรอยยิ้มประดับใบหน้าตลอดเวลาราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไปเสียแล้ว ซึ่งรอยยิ้มที่ว่ามักเป็นเพียงการยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรก็ยังยิ้ม...ราวกับไม่รู้สึกรู้สาต่อสิ่งใดทั้งสิ้น ตรงส่วนนี้เองทำให้นางดูมีเสน่ห์ลึกลับและดูคล้ายเย็นชาไร้หัวใจไปในคราวเดียวกัน เพราะรอยยิ้มนั้นไม่เปิดเผยให้ใครอ่านออกว่านางกำลังรู้สึกนึกคิดหรือวางแผนถึงสิ่งใด ไม่ใช่เพียงริมฝีปาก หากแต่นัยน์ตาเพียงหนึ่งข้างที่เหลืออยู่นั้นฉายชัดเพียงประกายลึกล้ำจนยากจะคาดเดานั่นอีกด้วย ยากนักที่จะอ่านสีหน้าของนางได้ เหล่าผู้คนรวมถึงชนชั้นสูงที่เคยได้มีโอกาสพบเจอนางต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่ามิอาจคาดเดาได้เลยว่าหญิงสาวนางนี้คิดสิ่งใดอยู่กันแน่ จนมีคนถึงกับกล่าวไว้ว่าหากปากนางไม่ขยับคงนึกว่าพูดคุยกับหุ่นขี้ผึ้งอยู่ เพราะคงสีหน้าไว้ได้เสมอต้นเสมอปลายดีเหลือเกิน

     

                แต่สิ่งที่ทำให้เวเรน่าดูลึกลับนั้นไม่ใช่เพียงสีหน้าเท่านั้น ท่าทางรวมถึงการวางตัวก็มีส่วนไม่น้อย สุภาพไว้ตัวสมกับเป็นผู้คนในเมืองผู้ดี กิริยาท่าทางใดล้วนไม่ติดขัด ดูเป็นธรรมชาติน่ามอง แม้ไม่ถึงกับสง่างามเทียบเท่าชนชั้นสูง แต่ก็ดูแล้วรื่นตาและไม่รกรำคาญลูกตาใคร อีกอย่างได้เท่านี้ก็ดีแค่ไหนแล้วสำหรับอดีตทาสอย่างนาง นอกจากนั้นเวเรน่าเป็นหญิงสาวที่วางตัวไม่ถึงกับเหินห่างแต่ไม่อาจเรียกว่าใกล้ชิด ทำตามใจแต่กลับมีกรอบเกณฑ์ของตน ไม่ว่าทำอะไรนางก็จะทำตามสิ่งที่นางต้องการเพียงเท่านั้น หากแต่การกระทำของนางจะอยู่ในกรอบที่ตัวเองตั้งเอาไว้เสมอ กับผู้อื่นนั้นนางไม่ได้มีมิตรสหายอะไรพรรค์นั้นเท่าไหร่ เรียกว่าไม่มีเลยก็อาจจะได้ เพียงแต่มี คนรู้จัก มากมายอยู่ทั้งในและนอกมหานครแห่งนี้ที่พร้อมแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่นางต้องการก็เท่านั้น ไม่น่าแปลกใจเลยหากจะถามว่านางล่วงรู้ข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างไร แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถิด...กับคนอื่นนั้น นางจะเข้าไปเกี่ยวข้องต่อเมื่อมีเหตุจำเป็นให้ข้องเกี่ยวหรือทำการค้ากันเท่านั้น สำหรับเวเรน่าแล้วลูกค้าทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีใครเป็นลูกค้าพิเศษที่ได้สิทธิพิเศษเหนือใครอื่น เพียงแต่ขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้วล้วนมีที่รักที่ชังเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นแม้ไม่มีลูกค้าวีไอพีที่จะได้บริการเหนือใคร แต่จะมีลูกค้าที่จัดอยู่ในกลุ่มที่ น่าสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งกลุ่มคนดังกล่าวอาจจะต้องปวดเศียรเวียนเกล้าเพิ่มขึ้นเสียหน่อยด้วยเหตุผลที่ว่านางชอบแหย่แกล้งคนกลุ่มนี้เพื่อดูท่าทีน่ะสิ ยิ่งนางเป็นพวกขี้แกล้งที่มีอารมณ์ขันแบบเจ็บแสบแกมร้ายๆ แล้วด้วยก็ยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่ นี่ถือเป็นความบันเทิงส่วนหนึ่งในชีวิตของนางเลยก็ว่าได้ ที่ได้เห็นและเฝ้ามองกลุ่มคนที่น่าสนใจเหล่านี้น่ะนะ

     

    หากพูดถึงเรื่องผู้คนแล้ว...เวเรน่ามักไม่เป็นฝ่ายเข้าหาหากไม่ใช่เรื่องที่นางสนใจ แต่จะรอให้คนอื่นเป็นฝ่ายเข้าหาเองมากกว่าด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าสถานะของนางจะได้เปรียบกว่าหากเป็นฝ่าย ถูกขอร้องหรือถูกเข้าหา ไม่ใช่ฝ่ายเข้าหา แต่หากสนใจจริงๆนางก็ไม่สนใจเรื่องนี้หรอก อยากไปก็ไป อยากข้องเกี่ยวก็จะหาหนทางแวะเวียนไปเกี่ยวจนได้ต่อให้โดนห้ามก็เถอะ และในทางกลับกัน หากเป็นเรื่องที่ไม่ได้สนใจต่อให้มีคนมาข่มขู่บังคับนางก็ไม่ทำให้อยู่ดี จะฟังและทำตามไปเสียทุกอย่างทำไมในเมื่อก็นางไม่ใช่ขี้ข้าใคร...ต่อให้สั่งมานางก็มีสิทธิเลือกที่จะทำหรือไม่ก็ได้มิใช่หรือ ชีวิตนี้มีเพียงครั้งเดียวพร้อมด้วยอิสรภาพที่ไม่คิดว่าจะได้รับกลับมาทั้งที...จะเอาตัวเองไปอยู่ใต้อาณัติของคนอื่นเพื่อสิ่งใดกันเล่า ก็อย่างที่เคยกล่าวไปอย่างไรเล่าว่าเป็นคนที่ทำอะไรตามอำเภอใจ...ในกรอบของตัวเองก็เท่านั้นแหละ...

     

    แล้วสิ่งใดกันที่เป็นกรอบของเวเรน่า...คำตอบนั้นคือกฎตายตัวเพียงข้อเดียวที่นางยึดถือ อะไรก็ตามที่ขัดกฎข้อนี้นางจะไม่ทำ นั่นคือ จะไม่กระทำการใดไร้ค่าตอบแทน และค่าตอบแทนที่ว่ายังต้องสมน้ำสมเนื้อตามที่นางพอใจอีกด้วย หากไม่แล้วต่อให้จะบอกว่าทำอย่างอื่นทดแทนเท่าไหร่ก็ไม่อาจทำให้นางยอมได้ ต่อให้แสร้งใจกว้างทำเป็นให้เปล่า เชื่อเถอะว่าผลที่ได้รับกลับมาจะได้ยิ่งกว่าเป็นเท่าทวี ไม่ทำอะไรสูญเปล่า ทำแล้วต้องได้รับกลับคืนอย่างคุ้มค่าเป็นนโยบายของนาง และในทางกลับกันก็ไม่ชอบรับอะไรจากใครเปล่าๆ เช่นกัน หากมีค่าตอบแทนนั้นคือแลกเปลี่ยน หากได้มาเปล่าๆ ไม่นับเป็นน้ำใจก็ถือเป็นหนี้บุญคุณ และนางไม่ชอบติดหนี้ใคร รวมถึงไม่ชอบให้ใครมาติดหนี้ ด้วยความที่เติบโตมากับคนที่มีข้อคิดเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่นางจะรับเอานิสัยส่วนหนึ่งมาด้วย ต่อให้คนที่มาขอร้องเป็นคนที่ทุกคนกล่าวว่าเลวทรามชาติชั่วเพียงใด แต่หากเขาให้ในสิ่งที่นางต้องการได้ นางก็พร้อมจะยอมทำการค้าด้วย และต่อให้ลูกค้าคนถัดไปที่มาเป็นศัตรูกับคนแรก และข้อมูลที่ปรารถนาเป็นการทำลายศัตรูคนนั้น หากเข้าข่ายเงื่อนไขนางก็ตกลงอยู่ดี อย่างที่บอกไปอย่างไรเล่าว่าไม่มีใครเป็นคนพิเศษ ไม่ถือหางข้างใคร ใครใคร่รู้ก็เข้าหา นางมีหน้าที่ตอบสนองความอยากรู้และข้อสงสัยของพวกเขาเพียงเท่านั้น ส่วนจะเอาข้อมูลที่ได้ไปใช้อย่างไร...ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของนางทั้งสิ้น ผลของการกระทำเหล่านั้นผู้กระทำนั้นย่อมต้องรับผิดชอบ ต่อให้สิ่งที่นางเอ่ยปากไปเป็นแรงจูงใจ แต่ใช่ว่าแรงจูงใจนั้นจะเกี่ยวก้องกับนางเสียหน่อย แล้วนางก็ไม่ได้สั่งหรือแนะนำให้ไปฆ่าหรือไปทำอะไรต่อด้วย จะเป็นความรับผิดชอบของนางด้วยได้อย่างไร? นางอาจเพียงแค่พูดทิ้งท้ายให้คิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ที่เหลือจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นกับเจ้าตัวเองทั้งหมด ที่พูดมานี่คือนางเปล่าปัดความรับผิดชอบนะ ก็มันไม่ได้เป็นของนางตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่นา...

     

    หากกล่าวถึงคำว่าค่าตอบแทนแล้ว สิ่งแรกที่ใครต่อใครคิดนั้นคงหนีไม่พ้นเงินตรา แต่ไม่ใช่สำหรับเวเรน่า ประสบการณ์ทั้งชีวิตที่ผ่านมาได้สอนนางว่ายังมีสิ่งอื่นที่สำคัญเหนือเงินตราอยู่มากมายนัก เพียงแต่ผู้คนมองข้ามไปก็เท่านั้น ซึ่งนางก็เข้าใจดีว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น...ก็เพราะทุกคนยอมรับว่าเงินทองเหล่านั้นมันมีค่าอย่างไรเล่า เนื้อแท้แล้วเงินของเหล่านั้นก็เป็นเพียงเศษเหล็กเศษกระดาษ เพียงแต่มันเป็นกฎสามัญที่ทุกคนยอมรับโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆว่ามันมีมูลค่า มันจึงมีค่าขึ้นมาก็เท่านั้น นางเคยคิดอย่างขำขันด้วยซ้ำว่าหากวันหนึ่งคนเราเปลี่ยนไปใช้ขี้ไก่แทนเงินก็คาดว่าคงได้เห็นคนสะสมขี้ไก่กองเท่าภูเขาไว้ในบ้านเป็นแน่ แต่นางก็ไม่ปฏิเสธเรื่องที่ว่าเงินเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตหรอกนะ เพียงแต่ของบางอย่างต่อให้เอาเงินทองมากองท่วมหัวเท่าไหร่ก็ไม่มีทางแลกได้มาก็มีอยู่เหมือนกัน...เช่น ความสุข ใครว่ามีเงินแล้วจะมีความสุข นางไม่เชื่อเลยสักนิด เป็นความจริงที่ว่าหากไม่มีเงินแล้วจะต้องทุกข์แน่ แต่มีเงินไม่ได้หมายความว่าจะมีความสุขเสมอไป ไม่อย่างนั้นเหล่าชนชั้นสูง ขุนนางรวมถึงผู้มีอันจะกินทั้งหลายทำไมยังแวะเวียนมาขอความช่วยเหลือนางด้วยสีหน้าทุกข์ใจอีกเล่า อีกทั้งเวเรน่ายังมองว่าเงินตราหากยังไม่ตายก็มีหนทางหาใหม่ได้เรื่อยๆอยู่แล้ว และก็เพราะนางมีปัญญาหาด้วยล่ะนะ ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยตระหนี่ถี่เหนียวเรื่องการใช้จ่ายมากนัก อย่างไรเสียตายไปก็เอาติดตัวไปไม่ได้นี่นา แต่อย่างที่เคยกล่าวไว้ว่าไม่ทำอะไรไม่คุ้มค่า เพราะฉะนั้นนางจะจ่ายต่อเมื่อมันตอบสนองความพอใจของนางได้คุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไปเท่านั้น แพงเท่าไหร่ไม่เกี่ยง เพราะอันที่จริงนางก็ไม่ใช่พวกสุรุ่ยสุร่ายอยู่แล้ว ของที่ทำให้นางยอมควักกระเป๋าจ่ายไม่ได้มีมากมายขนาดนั้นหรอกนะ แต่ถ้าให้ดีก็ขอต่อราคาสกหน่อยเถอะ เดี๋ยวนี้คนชักจะขายของเก็งกำไรกันมากขึ้นทุกวัน คิดเหรอว่านางจะไม่รู้บ้างว่าที่ขายๆกันอยู่น่ะจริงๆราคาทุนเท่าไหร่ แต่เพื่อการดำรงของกลไกตลาดแล้วก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปก็ได้ แต่หากโกงนางเมื่อไหร่ล่ะก็...ระวังเจอโกงหลับนะ โกงมาโกงกลับไม่เป็นไรนี่นา ก็นางไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มโกงเสียหน่อย

     

    แล้วตกลงอะไรคือสิ่งมีค่าสำหรับเวเรน่า คำตอบนั้น...เป็นคำตอบของคำถามที่ใครสักคนถามนางเมื่อนานมาแล้ว มีใจความว่า...สิ่งที่มีค่ามากที่สุดในโลกนี้สำหรับข้านั้นมีเพียงสองประการ...หนึ่งคือสิ่งที่ปรารถนาแต่ยังไม่ได้มา และสองคือสิ่งที่เสียใจยามเมื่อสูญเสีย แต่ไม่เคยเห็นค่ายามครอบครอง... ในเมื่อมนุษย์แต่ละคนแตกต่าง สิ่งสำคัญจะแตกต่างกันก็ไม่แปลกอะไรมิใช่หรือ สิ่งที่ยังไม่ได้มาย่อมมีค่าเพราะเราต้องการจึงขวนขวายเพื่อให้ได้ครอบครอง ในขณะที่บางสิ่งเราจะรู้ว่ามีค่า...ก็เมื่อสายไป...เมื่อเรารู้ซึ้งถึงคำว่าเสียใจภายหลังยามสูญเสีย สิ่งที่ทำให้รู้สึกแบบนั้นได้ นั่นแหละคือของมีค่าในสายตาเวเรน่า

     

    หากถามว่าเวเรน่าไปรู้ข้อมูลมาจากไหนเยอะแยะจนเอามันมาค้าขายได้แบบนี้ อย่างที่กล่าวไปแล้วว่านางมีคนรู้จักมากมายที่พร้อมจะยอมแลกสิ่งที่นางต้องการกับสิ่งนางรู้ ไม่ก็เป็นข้อตกลงในการช่วยเหลือครั้งก่อนๆ ทำให้นางมีเส้นสายมากมายตั้งแต่ในวังไปยันอันธพาลข้างถนน รวมถึงตลาดมืด แน่นอน...นางไม่ไว้ใจหรือเชื่อใจใครทั้งหมดหรอก ก็รู้ๆกันอยู่ว่าคนเราน่ะเวลามีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องเมื่อไหร่ มันก็มีทั้งการร่วมมือและขัดแย้งเกิดขึ้นได้เสมอนั่นแหละ แต่นางก็ไม่ได้มีเพียงแหล่งข้อมูลเท่านั้นที่นางสามารถไปหาข่าวได้ ทักษะการสังเกตและฟังของเวเรน่านั้นเยี่ยมยอดเหนือใคร โดนเฉพาะการฟัง...ยิ่งเมื่อนางสูญเสียดวงตาไปข้างหนึ่งแล้วก็ยิ่งขัดเกลาประสาทส่วนที่เหลือให้เฉียบคมยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังฉลาดใช้ความเป็นคนพิการให้เป็นประโยชน์อีกด้วย ใช้ความสงสารและเวทนาของคนอื่นให้เป็นประโยชน์ได้สบายๆ หากนางต้องการ และนางจะระลึกไว้เสมอว่า ความลับไม่มีในโลก เชื่อเถอะ...ต่อให้รู้อยู่คนเดียว สักวันก็จะมีคนมาค้นพบมันและมันก็จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป ไม่รู้หรือว่ากำแพงมีหูประตูมีช่อง ข้อมูลน่ะมีอยู่ทุกที่ แม้กระทั่งในวงสนทนาที่ดูไร้สาระที่สุดก็ตาม หากตั้งใจฟังและแยกแยะให้ดีจะพบความจริงที่น่าทึ่งซ่อนอยู่มากมาย แน่นอน...ทุกสิ่งที่กล่าวคงไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมดแน่ แต่นางเคยได้ยินคำกล่าวของใครสักคนที่ว่า เราจะได้รับประโยชน์หากรู้จักแยกคำโกหกในเรื่องเล็กๆน้อยๆออกจากเรื่องโกหกที่มีความสำคัญได้ ซึ่งนางเห็นด้วยคำกล่าวนี้อย่างยิ่ง มีใครบ้างที่ไม่เคยโกหกหลอกลวงกัน เชื่อเถอะว่าแม้แต่สาธุคุณในโบสถ์ก็ต้องเคยโกหกสักเรื่องล่ะ ดังนั้นตั้งแต่มาลอนดอนนางจึงเริ่มฝึกทักษะนี้อย่างจริงจัง...ไม่ใช่เพียงเพื่อการค้า แต่เพื่อรักษาชีวิตให้รอดปลอดภัยอีกด้วย แน่นอนว่านางต้องฝึกโกหก...และคำโกหกที่ดีที่สุดคือคำโกหกที่มีความจริงผสมอยู่ให้มากที่สุด หรือไม่ก็พูดความจริงเพียงบางส่วนให้ไปคิดเอาเองเท่านั้น อีกอย่างไม่มีไฟย่อมไม่มีควัน ข่าวที่ออกมานั้นแน่นอนว่าอาจเป็นความจริงทั้งหมดหรือไม่ก็ได้ แต่ต่อให้เป็นข่าวลือหรืออะไรก็ตาม...มันมักจะมีมูลของข่าวจริงแฝงอยู่เสมอ หน้าที่ของคนรับสารคือแยกแยะว่าอันไหนคือความจริง อันไหนคือคำลวง แล้วเอามาประกอบกันก็เท่านั้น ในโลกนี้จะว่าคนโกหกผิดได้อย่างไร...คนไม่ระวังไม่รู้ทันคำโกหกต่างหาก...ที่ต่อให้ไม่ผิด แต่หากพลาด...ก็อาจจะต้องชดใช้ค่าเสียหายราคาแพงด้วยชีวิตก็เป็นได้

     

    แล้วหากถามเวเรน่าว่าวิธีไหนที่จะเก็บความลับได้ดีที่สุดไม่ให้ผู้อื่นรู้น่ะหรือ?

    คำตอบของนางคือ...ก็อย่ากระทำมันตั้งแต่แรกยังไงล่ะ

    ฆ่าตัดตอนหรือข่มขู่ไม่เคยได้ผลแน่นอน...ศพนี่แหละตัวฟ้องชั้นดีว่ามีเรื่อง ยิ่งคิดจะกำจัดหมดจดเท่าไหร่ก็ยิ่งยากและเผยพิรุธได้มากเท่านั้น อีกอย่างนางไม่คิดจะดูถูกสติปัญญาตำรวจหรือใครคนอื่นหรอกนะ นางระวังตัวและรอบคอบเสมอนั่นแหละ เพราะคนที่ดูถูกปรามาสใครหรือแม้แต่พลั้งพลาดประมาทจุดจบมักไม่สวยทุกราย ดังนั้นนางจึงไม่ทำ แม้จะมีคำพูดนางในบางทีที่ก็สามารถส่อไปในเชิงข่มขู่ได้เหมือนกัน แต่นางก็จะพึงสังวรณ์ไว้เสมอว่าข่มขู่ไปก็ไม่รู้ว่าจะยอมคายออกมาเมื่อไหร่ อย่างว่าจิตใจมนุษย์เอาแน่เอานอนได้ที่ไหน...แม้ว่าพวกเขามักจะทำอะไรแบบเดิมจนมีคำกล่าวว่าประวัติศาสตร์มักซ้ำรอยก็เถอะ แต่ความไม่แน่นอนนี่แหละคือแก่นแท้ของมนุษย์เลยล่ะในสายตาเวเรน่า

     

    หากข้อมูลคือสินค้าและอำนาจในมือของเวเรน่า สิ่งที่เปรียบได้ดั่งอาวุธของนางนั้นคงเป็นสายตาอันเฉียบคมที่มองทะลุถึงเนื้อแท้ของคน นางมีความสามารถในการมองคนออกเพียงแค่จับตามองและสนทนาด้วยไม่กี่ประโยคเท่านั้น ด้วยปัญญา ประสบการณ์ สัญชาตญาณ และลางสังหรณ์ที่ถูกเคี่ยวกรำมานับสิบปีทำให้นางมองไม่พลาด เพราะถ้าพลาดศีรษะนางอาจไม่ได้อยู่บนบ่าจนทุกวันนี้ก็เป็นได้ เห็นแบบนี้เป็นพวกเจ้าเล่ห์อย่างเงียบๆ เรียนรู้ได้ว่องไว แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เร็ว ฉลาดได้ถูกที่ และแกล้งโง่ได้ถูกเวลา เพราะคนฉลาดที่แท้จริงนั้นจะไม่แสดงความฉลาดออกมาตลอดเวลาเพราะจะล่อเป้า แต่เป็นการใช้ปัญญาที่มีวางแผนแยบยลว่าตอนไหนควรจะแสดงความสามารถออกมาต่างหาก โดดเด่นเกินไปจะเป็นภัยต่อตนเสียเปล่าๆ เรื่องนั้นนางยิ่งกว่ารู้ดีเลยล่ะ เพราะคนฉลาดมักตกม้าตายด้วยความฉลาดของตนเองเนี่ยแหละ เห็นมานักต่อนักแล้ว...

     

    อีกอย่างที่ร้ายกาจไม่แพ้สายตาและปัญญาของเวเรน่าคือคำพูดคำจา นางเป็นคนที่มีวาทศิลป์ระดับสูงมาก ไม่พูดมากเกินหรือน้อยไป แต่จะพูดเท่าที่สมควรพูด เมื่อผสานกับการอ่านคนและจิตวิทยาอันสูงส่งแล้วนับว่าเป็นอาวุธระดับมหันตภัยได้เลยทีเดียว เพราะต่อให้นางไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าเจรจาตกลงแลกเปลี่ยน นางก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ซ่อนเร้นอะไรหรือไม่ และเมื่อได้ข้อมูลไปแล้วคิดจะทำอะไรกับมัน สามารถคาดเดาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ประดุจมีตาทิพย์ และถูกประมาณแปดในสิบเห็นจะได้ อาจมีบางคราวที่เรื่องเกินความคาดหมายบ้าง แต่นั่นกลับทำให้นางสนุกเข้าไปใหญ่ ก็บอกแล้วไงว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่คาดเดาอะไรไม่ได้แต่ก็ชอบทำอะไรซ้ำๆน่ะ จบแบบที่คิดไว้ตลอด...มันก็น่าเบื่อไปหน่อยนะ...

     

    แล้วการพูดจาของเวเรน่านั้นเป็นยังไง...นิยามสั้นๆ คือคำว่า กวนประสาท และ ไม่พูดตรงๆ คงเป็นคำอธิบายที่ดีในเรื่องนี้ เอกลักษณ์ที่สำคัญคือ...นางจะไม่ค่อยตอบคำถามใครตรงๆ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นลูกค้าก็เถอะ แต่จะชอบบอกเป็นนัยๆ ไม่ก็ถามย้อนกลับมาเพื่อให้ไปคิดเอาเองมากกว่า บางทีมาเป็นสำนวนปรัชญาก็มี แต่เชื่อเถอะว่าทุกคำที่นางพูดออกมามีคำตอบซ่อนอยู่แน่นอนหากตีความเป็น เพียงแต่จะตีแล้วได้ความทางตรงทางอ้อมอย่างไรคงขึ้นกับสติปัญญาของผู้ฟังแล้ว แต่บางเรืองที่ต้องพูดตรงๆเพื่อกันความเข้าใจผิดและสร้างปัญหาในภายหลังก็ต้องพูดตรงเหมือนกัน นางเป็นคนที่รู้จักจังหวะการพูดจา รู้ว่ากับคนประเภทไหนควรจะพูดจายังไงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์หรือควบคุมบทสนทนาไปในทางที่ต้องการได้ แม้จะบอกดูไม่มีอะไรเพราะปกติไม่ได้ทำก็เถอะ (มักทำกรณีที่อีกฝ่ายควบคุมยากหรือการกระทำของอีกฝ่ายจะส่งผลกระทบอะไรบางอย่างกับตัวนางเสียมากกว่า) แต่ถ้านางคิดจะชักจูงใครก็สามารถทำได้เนียนๆง่ายๆเลยล่ะ ถนัดการยอกย้อน เปลี่ยนเรื่อง เปรียบเปรยเป็นนัย ทำไขสือ พูดเพียงบางส่วน และพูดให้คนเกิดความสงสัยเอามากๆ โดยเฉพาะข้อเปรียบเปรยเป็นนัยและพูดให้เกิดความสงสัย เปรียบเปรยนี่ไม่รู้เหมือนกันว่านางไปหาสำนวนหรือคำพูดจาคมๆมาจากไหนมากมาย ในขณะที่การหย่อนคำพูดเล็กๆน้อยๆที่นางเรียกว่าคำแนะนำทิ้งท้ายนั้นถือเป็นเกมเล็กๆสำหรับนาง แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งหรอกนะที่นางจะมีทิ้งท้ายน่ะ ว่ากันว่า...ยามเมื่อเกิดความสงสัยแล้วก็ยากที่จะลบออกไปได้ นางก็แค่เพียงกระตุ้นมันสักหน่อยเท่านั้นแล้วดูว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไรต่อไป ถ้าใจแข็งก็แล้วกันไป แต่ถ้าไม่ก็...หึหึหึ...

     

    หากอ่านมาแล้วสงสัยว่าตกลงเวเรน่าเป็นคนอย่างไรกันแน่? หากถามว่าดีหรือเลว นางคงตอบว่าทั้งใช่และไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ที่ๆนางอยู่นั้นคือกึ่งกลางของเส้นขนานแห่งความดีงามและความชั่วช้ามาซ้อนทับกัน หากเปรียบเป็นสีก็คงเป็นสีเท่าอย่างไม่ต้องสงสัย อบอุ่นหรือเย็นชา? คำว่าเฉยชาน่าจะนิยามนางได้ดีกว่า...เพราะว่าสตรีผู้นี้ไม่สนใจสิ่งใดอื่นที่ไม่ได้อยู่ในความสนใจของตนเอง ซ้ำยังไม่แสดงความรู้สึกออกมามากมายเท่าไหร่นัก แล้วถามว่าความสนใจของนางคืออะไร..คำตอบที่ดีที่สุดคงจะเป็น การดูเส้นทางชีวิตและเรื่องราวของเหล่าผู้คน กระมัง เจ้าตัวเป็นคนใช้ชีวิตเรียบง่ายสบายๆ กินง่ายอยู่ง่าย ไม่ได้ไหลไปตามกระแสแฟชั่นหรือลัทธินิยมอะไรใดๆทั้งสิ้น แต่เป็นคนที่รู้จักหาความสุขใส่ตัว ยามว่างๆก็มักจะแวะเวียนไปโรงน้ำชาเพื่อจิบชาชั้นเลิศและคอยเงี่ยหูฟังเรื่องราวของคนรอบกายเพื่อหาข้อมูลไปด้วย ถือเป็นการผ่อนคลายที่ดีและหาข้อมูลไปในตัว

     

    แต่แม้จะมีผู้กล่าวว่าเวเรน่าดูเฉยชาหรือเย็นชาไร้ความรู้สึกอย่างไร สุดท้ายแล้วนางก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งเพียงเท่านั้น รอยยิ้มที่ว่าก็เป็นเพียงหน้ากากที่นางสวมใส่เพื่อปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ แม้จะโดนกล่าวว่าเสแสร้ง...แต่แล้วอย่างไร? ในโลกใบนี้มีใครไม่สวมหน้ากากเข้าหากันบ้าง จริงใจเปิดเผยมากไปเกรงว่าจะอยุ่ในสังคมเช่นนี้ไม่รอดหรอก ทุกคนย่อมมีหน้ากากเป็นของตนเองทั้งนั้น เพียงแต่จะสวมได้แนบเนียนเท่าไหร่จะหยิบออกมาใช้ได้เหมาะกับสถานการณ์เท่าไหน...มันก็เท่านั้น นางเองก็ไม่ต่างเท่าไหร่หรอก ทั้งความดีใจ ความโศกเศร้า ความทุกข์ใจ...นางเลือกที่จะเก็บมันไว้ภายใต้หน้ากากอันนี้มานานแล้ว ด้วยคิดเสมอว่าการให้ใครล่วงรู้อารมณ์นั้นจะกลายมาเป็นจุดอ่อนของนางเข้าสักวัน ซ่อนความเปราะบางอ่อนแอและอดีตที่เต็มไปด้วยคราบเลือดและน้ำตาไว้เบื้องหลังรอยยิ้มที่ไม่รู้สึกรู้สาก็คงเป็นทางเลือกที่เหมาะกับนางที่สุดแล้ว ในเมื่อเลือกเดินมาทางนี้แล้วนางก็จะขอเดินให้สุดทาง...จะไม่เสียใจภายหลังในสิ่งที่ทำไม่ว่าอะไรก็ตาม เพื่อตัวเอง...และเพื่อใครคนนั้น...ที่มอบชีวิตกลับคืนมาให้ด้วย...

     

     จริงๆแล้วเวเรน่าเป็นคนที่ปรับอารมณ์กลับมาเป็นปกติได้ค่อนข้างเร็ว...ด้วยความที่ว่าเข้าใจอะไรเร็วและผ่านอะไรมากมากมายกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ทำให้นางมีความอดทนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับคนทั่วไป ใจเย็นสุขุมแต่บางทีก็ใจเย็นเกินไปจนมันควรจะรู้จักใจร้อนบ้าง...ดูเป็นผู้ใหญ่แต่ก็ชอบทำอะไรเอาแต่ใจเหมือนเด็ก เป็นคนที่มีความซับซ้อนและย้อนแย้งเบาๆ ในตัวเอง แต่ก็นั่นแหละที่ทำให้นางดูลึกลับและคาดเดาได้ยากเหลือเกิน...

     

    หากกล่าวถึงความรู้สึกแล้ว...คงไม่กล่าวถึงเรื่องความรักไม่ได้...ใครหลายคนถวิลหาความรัก แต่สำหรับเวเรน่าแล้ว...กลับเป็นสิ่งที่นาง...กลัว...นางกลัวที่จะรัก ที่จะผูกพัน เพราะรู้ดีว่าปลายทางนั้นมีเพียงการพรากจากเท่านั้นที่รออยู่ เพียงแต่จะเร็วช้าก็เท่านั้น และหากได้มาแล้วก็ต้องถนอมรักษาให้ดี ซ้ำยังมีจุดอ่อนเพิ่ม ยามสูญเสียไปก็เจ็บปวดยิ่งกว่าเจียนตาย และเพราะความรักไม่ใช่หรือ...ผู้คนรอบกายถึงได้ทุกข์นัก มีหรือคนที่มีความรักแล้วมีความสุขด้วยกันตลอดกาล...อาจมี แต่น้อย แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร หัวใจของนางปฏิเสธที่จะรักอีกครั้ง หากหัวใจเป็นประตูก็คงเป็นประตูที่โดนถมทับด้วยอิฐหนาจนหาบานไม่เจอเสียด้วยซ้ำ ใครที่จะเข้าไปได้คงต้องใช้ความพยายามอย่างสูงที่สุดเลยทีเดียว เหตุเพราะเรื่องราวในอดีตทำให้นางฝังใจ...และคงเป็นเช่นนั้นไปตลอดกาล...

     

    แต่อาจไม่...เมื่อนางได้พบกับ ใครคนนั้น ที่ทำให้ชีวิตของนางอาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...

      

     

    ระวัติ ::

     

     [1: The Lucid Dream]

     

    เวร่า...เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งใดมีค่ามากที่สุดในโลก?

     

                หญิงสาววัยยี่สิบกว่าลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืดมิด มือที่ชื้นไปด้วยเหงื่อเลื่อนไปกุมเนตรข้างซ้ายที่เหมือนจะเจ็บแปลบขึ้นมาวูบหนึ่งคล้ายยามนั้นเมื่อวันวานยามได้ยินเสียงของใครคนนั้น ก่อนจะลดมือลงเมื่อรู้ว่าตนเพียงแต่ฝันไป...

     

    ...อีกแล้วหรือนี่

     

                ดวงตาหลับลงอีกครั้งเมื่อความเจ็บปวดจางหาย ริมฝีปากที่มักแย้มยิ้มบัดนี้เรียบเป็นเส้นตรง แต่ใครเล่าจะสน ในเมื่อนี่เป็นห้องส่วนตัวของนาง อีกทั้งยังเป็นยามวิกาลนักเมื่อดูจากจันทราสว่างกระจ่างฟ้า ใครเล่าจะเข้ามาเห็นนางได้  

     

    เวร่า...

     

                เสียงใครคนหนึ่งก้องชัดในห้วงคำนึงอีกครา เสียงเดียวในความทรงจำที่เรียกขานนางว่าเวร่า

                นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขามักมาเยี่ยมเยือนนางในห้วงฝันเป็นครั้งคราว แม้เรื่องราวของนางและเขาจะเป็นอดีตเมื่อแสนนานมาแล้ว แต่สำหรับเวเรน่าแล้ว...ตัวตนของเขายังคงฝังลึกอยู่ในส่วนลึกในจิตใจนางเสมอ  

    อาจเป็นตั้งแต่วันแรกที่นางและเขาได้สนทนา

    อาจเป็นตั้งแต่วันที่เขาจารจำบทเรียนอันล้ำค่าลงในดวงตาที่บัดนี้มืดบอด

    แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะสิ่งใด บัดนี้เขากลับมาเยี่ยมเยือนนางอีกครั้งแล้ว...

    เวเรน่าหลับตา พยายามทำความคิดให้โล่งสบาย ก่อนจะด่ำดิ่งลงไปสู่ความมืดมิดแห่งนิทรารมย์อีกครา

     

    เวร่า...

    ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด...ท่านก็ยังคงรบกวนข้าไม่เปลี่ยนเลยนะ...ดานิเอล ฟาล์ก...

     

    ดานิเอล ฟาล์กคือชื่อของเขาคนนั้น...

    เวเรน่าจำเขาได้ดี และคงไม่มีทางลืมเลือนนามรวมถึงใบหน้าของเขาไปชั่วชีวิต เขาคือรองกัปตันเรือใหญ่ที่นางแอบหลบขึ้นมาเพื่อหนี...หนีจากสิ่งใด? นางตอบได้เพียงว่าตอนนั้นนางต้องหนีเท่านั้น หากไม่แล้วมีหรือชีวิตน้อยๆ ของนางจะมาฝันร้ายอยู่ตรงนี้ได้...

    อย่างดีก็อาจจะตาย อย่างร้าย...ก็คงตายทั้งเป็น แต่เรื่องนั้นจะอย่างไรก็ช่างเถิด

    แรกเริ่มเวเรน่าก็คิดว่าเรือลำนี้คงไม่ได้ไปไกลนัก ขอเพียงหนีพ้นบ้านเกิดไปยังเมืองไกลสักนิดก็เพียงพอ แต่ใครเล่าจักคิดว่าเรือลำนี้กลับเป็นเรือขนส่งสินค้าข้ามประเทศเสียนี่ เพียงไม่กี่วันเวเรน่าในวัยเจ็ดปีก็ถูกจับตัวได้ เด็กหญิงตัวน้อยเปลี่ยนสถานะจากผู้แอบซ่อนกลายเป็นทาสอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งเหล่าลูกเรือเห็นว่าเป็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มก็อดจะแสดงกิริยาวาจาหื่นกระหายไม่ได้ ทำในนางในยามนั้นหวาดกลัวยิ่ง

    ทว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดี...

    “นางจะเป็นทาสรับใช้บนเรือนี้ แต่ห้ามทำสิ่งใดเกินเลยกับนาง”

    นั่นคือคำพูดแรกที่ ดานิเอล ฟาล์ก พูดยามเห็นหน้านาง

    คำพูดของเขาซึ่งมียศเป็นรองกัปตันศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง นับตั้งแต่เขาประกาศ ไม่มีลูกเรือคนใดกล้ายุ่มย่ามกับนางในแง่นั้นอีก แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะดี ทาสก็คือ ทาส นางมีหน้าที่ทุกอย่างตั้งแต่ทำความสะอาด ขัดถู เตรียมอาวุธ ทำอาหาร งานการจิปาถะใดนางล้วนต้องทำทั้งหมดร่วมกับทาสคนอื่น ที่ซุกหัวนอนมีเพียงท้องเรือแออัดแต่หนาวเย็นกับเศษผ้าที่ใช้ห่มกายยามหนาว เสื้อผ้าที่ใช้เก่าปอนและต้องปะชุนจากเสื้อผ้าเก่าไม่ใช้แล้วของพวกลูกเรือ ยามใดลูกเรือเมามายไร้ที่ระบาย นางและเหล่าทาสคนอื่นก็มักจะเป็นผู้รับเคราะห์เสมอ ใครที่หน้าตาพอมีแววสะสวยดีไม่ดีก็โดนลากเข้าห้องไปเป็นนางบำเรอในยามวิกาลโดยที่เจ้าตัวไม่เต็มใจแม้สักนิด และแน่นอนว่าไม่มีใครใยดี หากตายก็เพียงแค่โยนร่างลงทะเลให้เป็นอาหารปลาเท่านั้น เวเรน่าเห็นผู้โชคร้ายดังที่กล่าวมากับตาในยามเก้าปี และสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ยอมลงไปเป็นธุลีใต้ก้นทะเลเป็นเพื่อนพวกนางเด็ดขาด

    และวันนั้น ดานิเอลก็พูดขึ้นมาลอยๆ ข้างๆ นางที่ยืนมองผืนน้ำสีเข้มสะท้อนแสงจันทร์ที่กลืนร่างหนึ่งในทาสบนเรือไปไม่กี่ชั่วโมงก่อน

    “อย่าอาลัยอาวรณ์ผู้อื่นให้มันมากนัก ห่วงตัวเองเสียจะดีกว่า”

    “...ข้า...ไม่...”

    “ต่อหน้าเด็กน้อยอย่างเจ้า ความตายโหดร้าย แต่เชื่อเถอะว่าโลกนี้มีสิ่งที่โหดร้ายยิ่งกว่าความตายอยู่มากมายนัก”

    เวเรน่าหันไปมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายที่สะท้อนแสงจันทร์ มันราบเรียบไร้อารมณ์ ซ้ำเขายังไม่เหลือบมองนางแม้เพียงหางตา แต่วาจาที่เย็นชานั้นนางคล้ายจะสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนเสี้ยวเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนั้น

    “แล้วสิ่งใดเล่าที่โหดร้ายยิ่งกว่าความตาย?” นางกระซิบถามออกไปอย่างเผลอไผล “มิใช่ว่าหากสิ้นลมแล้ว ทุกสิ่งจะจบสิ้นหรอกหรือ...”

    เนตรคมประดุจเหยี่ยวเหลือบมองนาง และทันทีที่สบตา เวเรน่าถึงได้เข้าใจว่าตัวเองทำสิ่งใดลงไป...

    ลูกเรือคนอื่นแม้มีอำนาจเหนือกว่าทาสเช่นนาง แต่หลังจากเริ่มชินชาก็เริ่มไม่เกรงกลัว หากแต่คนตรงหน้าไม่ใช่ เพียงแววตาก็ทำให้นางเข้าใจว่าสิ่งใดคืออำนาจบารมี สิ่งใดที่เรียกว่าเสียใจภายหลัง...และไม่ใช่ว่าใครจะทำเช่นนี้ก็ได้เพียงแค่ปรายตามอง

    เด็กหญิงก้มหน้าหลบสายตา ด้วยรู้ตัวดีว่าเผลอทำตัวเสียมารยาทกับผู้เป็นใหญ่ไปเสียแล้ว

    “ใครใช้ให้เจ้าหลบตา พูดกับใครก็ต้องมองหน้า เงยหน้าขึ้นเดี๋ยวนี้”

    น้ำเสียงเรียบๆ แต่เต็มไปด้วยความเด็ดขาดบังคับให้เวเรน่าต้องเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา แม้ท่ามกลางแสงจันทร์สลัว แววตาคู่นั้นก็ยังคงเรียบนิ่งและทรงอำนาจ นางจ้องกลับ พยายามบังคับไม่ให้ตัวเองสั่น คาดหวังไม่ให้เขาลงโทษทรมานนางมากนัก...

    “เจ้ามีนามว่าอะไร”

    แต่คำพูดที่หลุดออกจากปากเขาเป็นอะไรก็ตามที่นางไม่คาดคิด ไม่แม้เพียงเศษเสี้ยว แต่แม้จะไม่เข้าใจ ริมฝีปากแห้งผากก็ขยับตอบเสียงเบา “...เวเรน่า”

    “ชื่อยาว” ชายหนุ่มเอ่ย ก่อนจะนิ่งคิดไปชั่วครู่ “เวร่า ข้าจะเรียกเจ้าเช่นนี้”

    เด็กหญิงไม่ทั้งตอบรับและปฏิเสธ ในฐานะนาย เขาจะเรียกนางอย่างไรนางก็ย่อมไม่มีสิทธิขัดอยู่แล้ว

    “เจ้ามีสิ่งใดมาแลกเปลี่ยนล่ะ?”

    เวเรน่ากระพริบตา เมื่อเขาเห็นท่าทางดังนั้นจึงขยายความ “เจ้าถามคำถามข้ามิใช่รึ แล้วเจ้ามีสิ่งใดมาแลกคำตอบจากข้าล่ะ”

    เด็กหญิงกำมือแน่น “ข้า...” นางจะไปมีเงินทองของมีค่าได้อย่างไร บนโลกแห่งความจริงอันโหดร้ายนี้ แค่ลืมตาได้ในวันถัดมาก็ดีเท่าไหร่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเงินตราของมีค่า แค่รักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ก็เลือดตาแทบกระเด็นแล้ว จะเอาอะไรมาให้เขาได้กัน

    “ข้าไม่ได้ต้องการเงินทอง ข้ารู้ว่าเจ้าไม่มี” เขาพูดลอยๆ ราวกับมานั่งกลางใจ ดวงตาหรี่ลงช้าๆ “แต่ข้าไม่ทำการใดไร้ค่าตอบแทน”

    “...แล้วท่านปรารถนาสิ่งใดเล่า”

    เวเรน่าถามกลับ ชั่วระยะหนึ่งที่ความเงียบโรยตัวเหนือคนทั้งสอง ก่อนที่ดานิเอลจะเอ่ยอย่างเชื่องช้า

    “เวร่า...เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งใดมีค่ามากที่สุดในโลก”

    นางกระพริบตาอีกครั้ง ไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับถามย้อนมา นั่นหมายความว่า...

    “...ท่าน...”

    “...หากตอบได้ ข้าจะยอมตอบคำถามของเจ้า เอาไปคิดให้ดี และจำไว้ เราไม่รู้จักกันยามมีผู้อื่นอยู่ด้วย”

    และนั่นเป็นการสนทนาครั้งแรกของนางและเขา...

     

    เมื่อมีครั้งแรก ย่อมต้องมีครั้งถัดมา...

    เวเรน่าชอบมองทะเลและท้องฟ้ายามค่ำคืน โดยเฉพาะคืนเดือนเพ็ญและคืนเดือนดับ ดังนั้นในคืนเหล่านี้นางมักจะหลบออกมานั่งมองฟ้าเงียบๆ และเหมือนว่าเขาคนนั้นเองก็เช่นกันเมื่อมองจากที่นางและเขาพบกันในเวลานั้นเสมอ

    ยามนั้นไม่มีรองกัปตันและทาส มีเพียงดานิเอลและเวเรน่าเพียงเท่านั้น

    ทุกครั้งที่เจอ นางและเขาพูดกันเพียงไม่กี่ประโยค อาจเป็นคำตอบของคำถามครั้งก่อนหรือพูดคุยอะไรไม่สลักสำคัญกันเล็กน้อย แต่สำหรับเด็กหญิงแล้วทุกคำพูดล้วนเป็นคำสอนอันล้ำค่า และมักจากลาด้วยคำถาม แต่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ครั้งกี่ครา เวเรน่าก็ไม่เคยตอบคำถามแรกที่เขาเคยถามไว้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ฝ่ายดานิเอลเองก็ดูเหมือนจะลืมไปแล้วจากการที่ไม่เคยทวงถามคำตอบนี้จากนางเลยแม้เพียงครึ่งคำ

    วันเวลาผันผ่าน อุปสรรคและงานทรหดนานับประการบนเรือแห่งนี้...เปลี่ยนเวเรน่าจากเด็กหญิงผู้อ่อนแอกลายเป็นเด็กสาวผู้มีรอยยิ้มประดับหน้าราวกับไม่รู้สึกรู้สาต่อสิ่งใด ดานิเอลเองก็ไม่เคยไปแทรกแซงนางไม่ว่าเรื่องใด มีเพียงค่ำคืนเหล่านั้นและคำถามชวนหัวของเขาเท่านั้นที่เชื่อมโยงนางกับเขาเอาไว้ด้วยกัน

    แต่สิ่งที่กาลเวลาเปลี่ยนไม่ได้มีเพียงนิสัยและท่าทีของเวเรน่าเท่านั้น ร่างกายของนางค่อยๆ เติบโตจากเด็กหญิงตัวน้อยกลายเป็นเด็กสาว ใบหน้าที่เคยจิ้มลิ้มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความงาม แม้ถูกบดบังด้วยสภาพอันทรุดโทรมก็ตาม แต่ในหมู่ทาสก็นับว่าโดดเด่นไม่ใช่น้อย

    และนั่นเองนำมาสู่โศกนาฏกรรมเสียขวัญ...

    คืนนั้น...ใช่ นางยังจำได้ดีนัก

    เพื่อนทาสด้วยกันล่อลวงนางไปหมายจะให้กัปตันเรือย่ำยี เดิมทีกัปตันของเรือนี้ก็แทบไม่ได้ออกมาคุมงานอยู่แล้ว แต่ความสามารถกลับน่าสะพรึงกลัวยิ่ง อีกทั้งยังเป็นคนที่ชอบของสวยๆงามๆ ทาสสาวในเรือนี้ผ่านเขามาแล้วเกินครึ่ง แล้วเวเรน่าในยามสาวสะพรั่งเช่นนี้จะเหลือหรือ...

    แน่นอนว่าไม่...

    ตัวเวเรน่าเองนั้นไม่ยินยอมเช่นผู้อื่น แต่สิ่งที่ทำให้นางต่างจากผู้อื่นคือนางกล้าพอที่จะหนี...

    หนีไปที่ใด? บนเรือนี้...หากจะหนีให้พ้นกัปตัน ที่ๆนางนึกออก...มีเพียงที่เดียวเท่านั้น

    “ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่ายามมีผู้อื่น เราไม่เกี่ยวข้องกัน”

    ดานิเอลพูดอย่างเย็นชา แต่เด็กสาวกลับยิ้มแย้มบางๆ “แต่ท่านก็ยอมซ่อนข้าไว้มิใช่หรือ”

    “แล้วอย่างไร ซ่อนอย่างไรก็ต้องหาเจอ ข้า...”

    “ท่านไม่ทำการใดไร้ค่าตอบแทน...เรื่องนั้นข้ารู้ดี...” เวเรน่าเอ่ยขัด สถานะบนโลกแห่งนี้ชัดเจนอยู่แล้ว เขาเป็นเพียงรอง มีศักดิ์มีสิทธิ์แต่ก็ไม่อาจเทียมเท่าหัวหน้า แต่จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาทำให้นางรู้...รู้ดีว่าขอแค่เขายอมออกหน้า ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้ในที่แห่งนี้ เพียงแต่เขาจะยินยอมทำหรือไม่ก็เท่านั้น

    เสียงเอะอะเริ่มดังระงมไปทั่วเรือ แต่บรรยากาศรอบตัวทั้งคู่กลับสงบนิ่ง...สงบเสียจนชวนให้หวั่นใจ

    “หากข้ายอมมอบสิ่งตอบแทนให้ ท่านจะยอมช่วยข้าหรือไม่ รองกัปตันดานิเอล ฟาล์ก”

    ดานิเอลเลิกคิ้ว ตอบกลับเสียงเรียบ “ขึ้นกับว่าสิ่งตอบแทนของเจ้าคุ้มค่าการช่วยเหลือหรือไม่ ซึ่งเดาเอาจากสถานการณ์ตอนนี้ เจ้าไม่มีหรอก”

    รอยยิ้มของเวเรน่ายิ้งกดลึก ก่อนเอื้อนเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา แต่ชัดเจนเกินพอสำหรับอีกฝ่าย

    “หากท่านยอมช่วยข้าในครานี้...ทุกสิ่งที่ข้ามีในตอนนี้ ข้ายกให้ท่าน”

    ใบหน้าของดานิเอลเคร่งขรึมขึ้นทันตา “เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดสิ่งใดออกมา”

    เวเรน่าเพียงอมยิ้ม นางในตอนนี้ยังมีสิ่งใดให้สูญเสียอีกหรือ? เดิมพันครั้งนี้ยิ่งใหญ่เกินกว่านางจะถอยแล้ว คิดแล้วก็พยักหน้า นัยน์ตาเหยี่ยวของอีกฝ่ายหรี่ลง พลันมือหนาเอื้อมออกมาก่อนจะกระชากผมนางจนทรุดลงไปที่พื้น

    ยังไม่ทันที่เวเรน่าจะตั้งสติได้ก็ได้ยินเสียงแส้แหวกผ่านอากาศ ก่อนที่ความเจ็บปวดระลอกแรกจะสัมผัสแผ่นหลัง ทิ้งความแสบระบมไว้ และครั้งต่อมาก็ตามมาเรื่อยๆ ความเจ็บระบมลามไปทั่วร่างพร้อมๆ กับที่กลิ่นคาวเลือดของนางค่อยๆ ลอยเตะจมูก ไม่พอ...รองเท้าหนากระทืบลงมาหลังศีรษะอย่างไม่คิดจะออมแรงทำเอานางกระอักเลือด นางแทบไม่รับรู้ถึงสิ่งใดรอบกายนอกจากความเจ็บปวด แม้หูจะได้ยินเสียงอื้ออึงดังระงมแต่มิอาจจับใจความได้ว่าพวกเขาพูดสิ่งใดกัน

    จนกระทั่งใครสักคนเชยคางนางขึ้นมา...และเป็นดานิเอลดังคาด มือหนาบีบคางแน่นจนเจ็บร้าวไปทั้งใบหน้า ภายใต้เรือนผมยุ่งเหยิงและม่านเลือดที่ไหลอาบใบหน้า สิ่งเดียวที่นางเห็นตอนนี้คือประกายเบาบางในดวงตาของเขา...เหมือนกับตอนที่เขาสนทนากับนางครั้งแรก

    “กล้าดีนะที่คิดจะหนี” เขาเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “หากตาของเจ้ามีแล้วไม่ได้มองว่าในที่นี้ควรทำอะไร เช่นนั้น...ก็ไม่ต้องมี”

    เวเรน่าตัวเกร็งขึ้นมาทันทีเมื่อประกายคมปลาบประชิดใบหน้า อยากหลับตาแต่สายไปเสียแล้ว สองนิ้วหยาบถ่างดวงตานางให้เปิดออก พร้อมๆกับที่ความเจ็บแปลบดุจโดนเข็มพันหมื่นแทงยามโลหะเนื้อดีสัมผัสสิ่งที่อยู่ในลูกตาของนาง นางกรีดร้อง...ร้องจนไม่มีเสียงจะร้อง...หลั่งน้ำตาที่อาบย้อมด้วยโลหิตจนกลายเป็นสีแดงฉาน ยามเขาถอนใบมีดออกไปแล้ว ร่างนางก็ทรุดลงกับพื้น มือกุมดวงตาที่มีโลหิตรินไหลออกมาอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด และยิ่งทรมานนักเมื่อของเหลวบางอย่างถูกราดลงมาบนร่าง กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งทำให้รู้ว่าเป็นเหล้าดีกรีแรง กลบกลิ่นคาวเลือดของนางได้ดียิ่ง

    “สกปรกสิ้นดี เอานางไปขังไว้ในห้องเก็บของ อย่าให้ออกมาเพ่นพ่าน อาหารสามมื้อไปส่งอย่าให้ขาด ห้ามให้นางตาย แต่ห้ามใครช่วยเหลือ ข้าละอยากจะรู้จริงว่าจะอวดดีมีชีวิตรอดไปได้ถึงเมื่อไหร่กัน”

    นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เวเรน่าได้ยินในคืนนั้น ร่างของนางถูกโยนไปในห้องเก็บของเย็นเยียบ กลิ่นเหล้าและเลือดยังคงคลุ้งติดกาย และยามเมื่อประตูปิดลง ตัดขาดนางออกจากโลกภายนอกแล้ว มือบางก็เอื้อมมากุมดวงตาที่บัดนี้ไม่อาจใช้การได้แล้ว แค่นยิ้ม แล้วเอนกายลงนอน

    สภาพนางยับเยินแถมยังพิการเช่นนี้ คนอย่างกัปตันไม่มีทางคิดเอานางไปร่วมเตียงอีกเป็นแน่...

    ...เขาช่วยนางสำเร็จแล้ว...

    และค่าตอบแทนอันสูงลิ่วที่ต้องจ่ายเพื่อรักษาเกียรติสุดท้ายในร่างนี้...

    คือ ความงาม ความเจ็บปวด และดวงตาข้างซ้าย...รวมถึงสถานะคนพิการตลอดลมหายใจที่นางเหลืออยู่บนโลกใบนี้...

     

    ในห้องนั้น คนอื่นมองว่ามันทรมาน แต่เวเรน่ากลับมองว่ามันสบายยิ่ง

    ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องทนนอนเบียดเสียดแออัดกับผู้ใด อาหารสามมื้อก็มาตรงเวลา ว่างเสียจนวันๆ นางเอาแต่เงี่ยหูฟังเสียงลูกเรือที่เล็ดรอดผ่านกระดานไม้เพื่อแก้เบื่อ จนบางทีนางก็ไม่เข้าใจว่าไม่มีใครมองออกหรือไรว่าดานิเอลกำลังช่วยนางทั้งๆ ที่มันก็ดูออกหน้าออกตาขนาดนี้

    แต่ส่วนหนึ่งก็เข้าใจ เพราะคงไม่มีใครคิดว่าคนที่รองกัปตันควักลูกตาออกไปข้างหนึ่งจะเป็นคนที่เขาปกป้องหรอก ช่างคิดเสียจริงหนอท่านรอง...อีกอย่างคือแผลที่เขาฝากไว้มันก็ทรมานจนชวนให้อยากตายเสียจริง ทั้งยังสาดเหล้าแรงขนาดนั้นใส่แผลอีก...แม้คงหวังผลฆ่าเชื้อเพื่อไม่ให้แผลเน่าตาย แต่ไม่โดนเองไม่รู้หรอกว่ามันคือการรักษาอย่างทารุณดีๆ นี่เอง

    “อยู่สุขสบายดีเช่นนี้ ข้าควรหาเรื่องลงโทษเจ้าอีกสักข้อหาดีหรือไม่”

    เวเรน่าหันไปบิดยิ้มให้ผู้มาเยือน คนผู้นี้ช่างตายยากเหลือเกิน “เกรงว่าหากท่านฟาดแส้ลงมาอีกครา ข้าคงได้ลาโลกนี้ไปแน่แล้ว ท่านรองดานิเอล”  

    “เห็นเจ้ายังยิ้มหน้าระรื่นเช่นนี้ ไม่เห็นจะดูทรมานตรงไหน”

    “ท่านสอนข้าเองไม่ใช่รึว่าจงอย่าเผยความรู้สึกให้ใครเห็น อย่าให้ใครรู้ถึงความกลัวและอ่อนแอ เหตุไฉนข้าทำตามแล้วจึงยังโดนท่านตำหนิอีกเล่า”

    “หึ...โตแล้วไม่น่ารักเอาเสียเลยนะ เวร่า”

    “เป็นเกียรติยิ่งที่ท่านชม” นางหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยอีกครายามเห็นร่างสูงหันหลังเตรียมจากไป

    “อีกสามราตรี ณ ดาดฟ้า จะมีการแสดงน่าชม ท่านไม่ควรอุดอู้จิบเหล้าไวน์อยู่ในห้อง”

    เจ้าของดวงตาคมหันกลับมาจ้องนางทันที “เจ้ากำลังพูดถึงสิ่งใด?”

    “ข้าแค่เอ่ยในสิ่งที่รู้มาเท่านั้นท่านรอง จะเชื่อหรือไม่ หรือจะทำอย่างไรก็แล้วแต่ท่านเลย...ถือเป็นการตอบแทนเพิ่มเติมที่ท่านช่วยข้าไว้ในคราวนั้น”

    “เวร่า...ตอบข้า เจ้ารู้สิ่งใดมากันแน่”

    รอยยิ้มมุมปากของเวเรน่ายามนั้นยิ่งกดลึก “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น หากเพียงแค่ฟังจากปากคนที่ถูกตัดขาดภายนอกอย่างข้า ไม่สู้ท่านไปเห็นด้วยตาตนเองจะดีกว่าหรือ”

    นางอยู่บนเรือนี้มาก็หลายปี คิดจริงๆ หรือว่าจะไม่รู้เรื่องตื้นลึกหนาบางในที่นี้ ไม่ว่าที่ไหนๆก็ล้วนแล้วแต่มีปัญหาซ่อนอยู่ เพียงแต่ว่าจะซ่อนไว้ได้มิดชิดเท่าไหร่และมีปัญญาพอจะหามันเจอหรือไม่ก็เท่านั้น

     และนางก็หาเจอแล้ว...

     

    สามราตรีถัดมา เกิดเหตุดั่งนางว่า...

    และเป็นอีกหนึ่งราตรีที่นางจะไม่มีวันลืมชั่วนิรันดร์...

    มีลูกเรือและทาสกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันก่อกบฏยึดอำนาจบนเรือ พวกเขาวางยานอนหลับในเหล้าไวน์และลอบสังหารบุคคลสำคัญของเรือไปทีละคน ในบรรดาบุคคลเหล่านั้น มีเพียงดานิเอลเท่านั้นที่ยังไม่สามารถสังหารได้เนื่องจากหาตัวไม่พบ

    “หาให้พบ! มันต้องอยู่บนเรือนี่แหละ!

    “บ้าเอ้ย! มันจะไปซ่อนที่ไหนได้วะ!!!

    เสียงตะโกนก้องระงมดังลงมาถึงห้องเก็บของที่เวเรน่าอาศัยอยู่ ดวงตางามเหลือบมองน้ำและอาหารในส่วนของค่ำนี้ที่นางไม่แม้แต่จะแตะต้อง มือบางคว้าแก้วมาสาดน้ำทิ้งและซุกซ่อนอาหารทั้งหมดไว้ใต้ร่องกระดาน เมื่อดูจากสภาพการณ์แล้วไร้เสียงกรีดร้องโวยวายจากเหล่าทาสที่ไม่ได้ร่วมปฏิบัติการ เห็นทีว่าที่เหลือคงจะโดนวางยาแน่แล้ว อาหารของนางเองก็คงไม่ต่าง แต่เกิดเรื่องทั้งที นางจะมัวแต่นอนได้อย่างไรเล่า

    เสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาใกล้ทำให้นางเอนกายลงนอน หลับตาทำท่าทีเป็นโดนวางยา แต่เมื่อบานประตูถูกเปิดออก

    “เวร่า ข้ารู้ว่าเจ้าตื่นอยู่”

    “ท่านเองหรือ?” นางลืมตา มองรองกัปตันที่ดูสภาพแล้วท่าทางจะวิ่งมาไม่ใช่น้อย อมยิ้มเบาบาง “เป็นอย่างไรบ้าง?”

    “ข้าติดหนี้เจ้า เวร่า”

    “ท่านพูดเองนะ” เวเรน่าไม่ได้เอ่ยค้าน แต่กลับเปลี่ยนเรื่อง “แล้วท่านคิดจะทำอย่างไรต่อไป”

    “เวร่า บอกสิ่งที่เจ้ารู้ทั้งหมดเกี่ยวกับเหตุการณ์ในคืนนี้มา...”

    “อา...ตายจริง จะบอกว่าท่านที่เป็นถึงรองกัปตันไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้แม้เพียงสักนิดเลยหรือ?”

    ดานิเอลทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายอย่างที่นางไม่เคยเห็น “ก็ต้องยอมรับว่าข้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เสียเท่าไหร่ ข้ารู้ว่ามีคนไม่พอใจ แต่ก็ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้...”

    “ท่านนี่นะ...ท่านควรจะเรียนรู้เรื่องคนรอบตัวบ้าง...”

    ให้ตายเถอะ...เขาเคยพูดเองแท้ๆ ว่าควรจะมองคนออก ทำไมถึงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้นะ...

    “หลังจากนี้ถ้ามีเวลาจะทำ แต่ตอนนี้ข้าไม่มีเวลาแล้ว และข้ารู้ว่าเจ้ามีข้อมูล” เขามองนางด้วยสายตาเรียบนิ่ง “ข้าไม่กระทำการใดไร้ค่าตอบแทน และจะไม่ให้เจ้าทำไปอย่างไร้ค่าเช่นกัน ข้าขอสัญญาว่าจะตอบแทนอย่างแน่นอน”

    เวเรน่าอมยิ้ม ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า “เช่นนั้นก็ย่อมได้ ข้าจะบอกทุกสิ่งที่ข้ารู้...เกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ หวังว่าการตอบแทนของแทนคงไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ...ท่านรองดานิเอล”

    ข้อมูลที่เวเรน่าได้มานั้นมีทั้งผู้ร่วมขบวนการ ปมที่นำไปสู่ความขัดแย้ง และแผนลงมีการปฏิบัติการ ซึ่งส่วนใหญ่มากจากการที่นางนั่งฟังยามว่างเมื่อหลายวันที่ผ่านมาก็จริง แต่มีไม่น้อยที่มาจากประสบการณ์และการสังเกตมาตลอดหลายปี ดานิเอลที่ได้ฟังทั้งหมดมองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ

    “นี่ถ้าข้าไม่รู้จักเจ้าตั้งแต่เล็ก ข้าคงคิดว่าเจ้าเป็นสายลับ”

    “เพิ่งรู้ว่าท่านก็พูดอะไรขำขันเป็นนะนี่” นางหัวเราะ “แต่ท่านไม่มีเวลาแล้วไม่ใช่หรือ ที่นี่อีกไม่นานพวกนั้นก็ต้องมาหาแน่”

    “...ข้าก็ไม่ได้คิดจะหนีเสียหน่อย คิดว่าข้าอุตส่าห์ลงมาถามข้อมูลจากเจ้าเพื่อหนีรึ?”

    อะไรบางอย่างในน้ำเสียงของอีกฝ่ายทำหัวใจของเด็กสาวกระตุก “ท่าน...คิดจะ...”

    “เป้าหมายพวกมันก็เหลือแต่ข้าแล้วนี่...จะให้ทำอย่างไรได้” เขายิ้มบางๆ “หากจะรอความตายที่ผู้อื่นกำหนดให้ ข้าสู้เลือกทางตายด้วยตัวเองเสียยังจะดีกว่า”

    “ท่าน...”

    ดานิเอลเดินไปยังประตู มือหนากำลูกบิดไว้ก่อนจะค้างอยู่อย่างนั้นชั่วอึดใจ สักพักเขาก็เหลียวหลังมา

    “เวร่า มานี่”

    นางไม่เข้าใจ แต่ก็ยอมเดินไปหาเขาแต่โดยดี เขาโยนมีดสั้นเล่มหนึ่งให้นางถือ ก่อนจะคว้ามืออีกข้างของนางไว้ และดึงให้วิ่งออกไปพร้อมกับเขา

    เวเรน่าในตอนนั้นแม้ไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็ฉลาดพอที่รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาถาม ขาสองคู่วิ่งไปตามระเบียงอย่างเงียบงันราวกับกำลังย่องเบา อาศัยความมืดแฝงกายตามระเบียงและลอบสังหารคนที่พบเห็นไปเรื่อย จนกระทั่งทั้งสองมาถึงระเบียงเรือในที่สุด

    ท้องทะเลในยามนั้นเงียบสงบ ราวกับไม่รับรู้ความวุ่นวายใดๆบนเรือ สายตาคมเบือนมองไปไกล เมื่อนางมองตามก็เห็นแสงไฟนับสิบเลือนลางเหนือผืนน้ำ...ดูคล้ายกลุ่มดวงดาวอยู่ไม่ไกลนัก

    “นั่นคือลอนดอน”

    “ลอนดอน...เมืองของประเทศอังกฤษนั่นน่ะหรือ?”

    เขาเพียงพยักหน้า ก่อนจะปล่อยมือนางอย่างเชื่องช้า พลางปลดมีดสั้นที่ให้ไปกลับคืน แล้วหันมามองนางนิ่งๆ

    “ท่านคิดจะทำสิ่งใดกันแน่...ดานิเอล”

    สองมือหนาคว้าไหล่ของเวเรน่าไว้แทนคำตอบ ดวงตาคมดุจเหยี่ยวคู่นั้นยังเป็นประกายเหมือนในยามที่สนทนาครั้งแรก ภายนอกเย็นชา เคลือบบังความอ่อนโยนที่เขาซุกซ่อนไว้ลึกสุดหัวใจ แต่สิ่งที่แตกต่างในยามนี้คือนางเห็นประกายความเจ็บปวดที่จวนเจียนจะระเบิดออกมาแทบจะเอ่อล้น...ทำลายความเย็นชาที่พยายามใช้เป็นเกราะเสียจนหมดสิ้น

    “ท่านรอง?”

    “เจอแล้ว! มันอยู่นั่น!!!

    แสงไฟพร้อมกับเสียงเอะอะที่เคลื่อนเข้าใกล้ทำให้ชายหนุ่มหลับตาอีกครั้ง เมื่อลืมตาความเจ็บปวดที่เคยฉายชัดเมื่อครู่ก็ถูกกลืนไปจนหมดสิ้น แทนที่ด้วยแววตาเด็ดเดี่ยวราวกับตัดสินใจทุกอย่างได้แล้ว

    “...นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ข้าในตอนนี้สามารถทำเพื่อตอบแทนความช่วยเหลือของเจ้าได้”

    มือที่ไหล่บางบีบแน่นจนขาวซีด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นช้อนร่างของนางจนลอยขึ้นจากพื้น

    !?

    “หวังว่าคราวหน้าที่เราพบกัน...เจ้าจะพร้อมตอบคำถามที่เราค้างคากันไว้นะ เวร่า”

    “ทะ...”

    ยังไม่ทันที่เสียงจะเล็ดรอดริมฝีปากของเวเรน่า ร่างของเด็กสาวก็ถูกเหวี่ยงจนลอยคว้างอยู่เหนือท้องทะเล บนนั้น...สิ่งที่เดียวที่นางเห็นคือรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาที่สะท้อนแสงจันทร์เลือนลาง ดูงดงามจนเหมือนไม่ใช่ความจริง ริมฝีปากของเขาขยับเล็กน้อยคล้ายเป็นคำพูดว่า...

    รักษาตัวด้วย

    นั่นคือสิ่งที่สุดท้ายที่นางเห็น ก่อนร่างจะกระแทกผิวน้ำและดำดิ่งลงไปในความมืดอันหนาวเย็น พลันเสียงของเขาดังก้องขึ้นมาในความคิด ในวินาทีสุดท้ายที่โลกทั้งใบดับวูบ

    เวร่า...เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งใดมีค่ามากที่สุดในโลก

    ตอนนี้...นางคิดว่านางรู้คำตอบนั้นแล้ว...

     

    สิ่งที่มีค่ามากที่สุดในโลกนี้สำหรับข้านั้นมีเพียงสองประการ...หนึ่งคือสิ่งที่ปรารถนาแต่ยังไม่ได้มา และสองคือสิ่งที่เสียใจยามเมื่อสูญเสีย แต่ไม่เคยเห็นค่ายามครอบครอง...

     

    เหมือนกับอิสรภาพที่ข้าเคยใฝ่ฝันแต่คิดว่าไม่มีวันได้คืนมา...

    เหมือนกับหนึ่งดวงตาที่ท่านพรากมันไปจากข้า...

    และเหมือนตัวท่าน...ที่จากข้าไปเร็วเหลือเกิน...

    ดานิเอล ฟาล์ก...

     

     

    [ll: Truth in the dark]

     

      เมื่อเวเรน่าลืมตาตื่น ตะวันก็โผล่พ้นขอบฟ้ามานานแล้ว นางลุกขึ้นเงียบๆ จัดการธุระส่วนตัวเหมือนเช่นที่นางทำมาตลอดเวลาสิบปีที่พักอยู่ที่สถานอุปการะสเตนาร์ดแห่งนี้ ตั้งแต่นางถูกพัดมาที่ท่าเรือลอนดอนในคราวนั้น เมื่อทางการเห็นว่านางเป็นผู้พิการจึงให้นางมาอยู่ในความดูแลของที่นี่...

    หญิงสาวเดินลงมารับประทานอาหารเช้าตามปกติ สายตายังคงเก็บทุกอิริยาบถของทุกคนรอบกายไว้อย่างแนบเนียน การอยู่บนเรือสอนทักษะการสังเกตอย่างเงียบเชียบและไม่สะดุดตาที่ดีเลิศมาให้ และนางก็ใช้มันเพื่อมีชีวิตรอดจนถึงทุกวันนี้

    เด็กน้อยและผู้พิการรายอื่นก็ยังเหมือนเดิม...แน่นอนว่ามีหน้าใหม่ที่เข้ามาและคนเก่าที่จากไป เหล่าผู้ดูแลก็เช่นกัน ซึ่งนางไม่ได้สนิทสนมอะไรกับใครเป็นพิเศษนัก เพียงแค่พอพูดจากันได้บ้างเท่านั้น ที่จริงแล้วนางรู้สึกได้ว่าในช่วงปีหลังๆ คนในบ้านนี้ออกจะเว้นระยะห่างกับนางเสียด้วยซ้ำ

    เวเรน่ายกมุมปาก ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ในเมื่อเป็นความจริงที่ว่าใครที่มาลองดีกับนางไม่เคยอยู่ดีเลยสักคน แน่นอน...นางไม่เคยลงมือเองและไม่เคยโดนจับได้ว่ามีส่วนรู้เห็น ไม่เช่นนั้นนางจะมานั่งจิบชาสบายใจอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ที่จริงนางก็แค่ใช้ข้อมูลที่มีกับทักษะการพูดจาเล็กน้อยเท่านั้น เรื่องที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือผู้อื่นทั้งสิ้น แต่กระนั้นความจริงในข้อนี้ที่มีคนตาดีสังเกตเห็นก็ทำให้เกิดข่าวลือแปลกๆ จนเป็นที่มาของการเว้นระยะห่างและการพึ่งพานางอย่างลับๆ ในสถานที่แห่งนี้

    อย่างที่เคยกล่าวไว้...ทุกที่ล้วนมีปัญหาซ่อนอยู่ เพียงแต่จะปกปิดได้ดีเพียงใดและมีปัญญาพอจะหาเจอหรือไม่ก็เท่านั้น และบ้านพักสเตนาร์ดนี้ก็ไม่ต่างจากบนเรือที่มีปัญหาและความขัดแย้งซุกซ่อนอยู่เต็มไปหมด ต่างเพียงแค่มันถูกฉาบบังด้วยรอยยิ้มและความหวังของที่พึ่งพิงของเหล่าผู้ยากไร้ก็เท่านั้น

    หากการอยู่บนเรือสอนเวเรน่าในเรื่องเอาตัวรอด การมาอยู่บ้านสเตนาร์ดก็เหมือนกับการเรียนรู้การเข้าสังคมอีกครั้งหลังจากไม่ได้สัมผัสมาหลายปี ทั้งการวางตัวคำพูดคำจาค่อยๆ ถูกขัดเกลา หล่อหลอมจนเป็นตัวนางในปัจจุบัน

    เวเรน่าเองไม่ได้ไม่พอใจการดูแลของที่นี่ เพียงแต่ให้นั่งกินนอนอยู่เฉยๆก็ออกจะน่าเบื่อไปเสียหน่อย ดังนั้นเมื่อนางเริ่มชินกับลอนดอนแล้ว นางก็เริ่มทำการค้าของนางอย่างลับๆ โดยสินค้าเพียงหนึ่งเดียวที่นางมีและจำหน่ายคือ     ข้อมูล แน่นอน...หากใครอยากล่วงรู้ ต้องจ่ายค่าตอบแทนสถานเดียวเท่านั้น นางไม่เคยให้ข้อมูลอะไรใครเปล่าๆ เว้นเสียแต่นางคำนวณไว้แล้วว่าให้รู้ได้เพราะมีจุดประสงค์ซ่อนเร้น โดยค่าตอบแทนที่นางเรียกร้องนั้นประหลาดยิ่ง มีบางคราที่นางเก็บเป็นเงินทอง...แต่ส่วนใหญ่แล้วนางมักเก็บเป็นสิ่งสำคัญของคนที่มาร้องขอเสียมากกว่า ต่อให้กองเงินทองมากมายเท่าใด หากไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ นางก็ไม่มีวันปริปากในสิ่งที่รู้ให้ฟังหรอก...

    ก็เป็นเช่นเดียวกับในตอนนี้...ที่มีแขกมาเยือนนาง...

    “เวเรน่า” อีกฝ่ายทักเรียบๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโดยไม่แม้แต่จะเอ่ยขอ พลันเอ่ยปาก

    “เจ้าจะไม่บอกข้าจริงๆ น่ะรึว่าตกลงเจ้าไปอยู่ตรงนั้นทำไม?”

    หญิงสาวยิ้มบางๆ จิบชาอย่างไม่ทุกข์ร้อน “เจ้าหมายถึงเรื่องไหนกันหรือ...ไทเกอร์”

    “อย่ามาทำเป็นไขสือหน่อยเลย ก็เรื่องคืนที่เกิดเหตุฆาตกรรมนั่นไงเล่า!

    “คำถามนี้อีกแล้วหรือ...แต่เจ้าก็ยังอารมณ์ร้อนไม่เปลี่ยนเลยนะ ไทเกอร์” หญิงสาววางถ้วยชาลง สีหน้ายังคงประดับรอยยิ้มดุจเดิม คล้ายว่าแรงกดดันจากอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้นางลำบากใจเลยแม้แต่น้อย “ข้าบอกไปแล้วมิใช่รึว่าข้าไม่มีอะไรจะพูด...”

    สำหรับในตอนนี้...น่ะนะ...

    “แล้วเหตุใดจึงมีผู้คนเห็นว่าเจ้าไปอยู่ในตรอกบริเวณสถานที่เกิดเหตุได้กัน? แล้วนี่ไม่ใช่ครั้งเดียวด้วยนะ หลายคดีก่อนหน้าก็ด้วย เพราะอะไรกันเวเรน่า...”

    “ตรอกซอกซอยรวมถึงถนนของเมืองนี้ไม่ได้ผูกขาดให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งใช้เสียหน่อย เหตุใดข้าจึงจะใช้ไม่ได้กันล่ะ” หญิงสาวว่า “อีกอย่าง...อยู่ในที่เกิดเหตุใช่ว่าจะเป็นคนร้ายเสียหน่อย หากใช้ตรรกะเช่นนี้ตำรวจที่บังเอิญอยู่ในสถานที่เกิดเหตุไม่กลายเป็นคนร้ายเสียหมดเลยรึ?”

    “เว-เร-น่า” ตำรวจใหญ่ขบกรามแน่น มือกำแน่นเสียจนสั่นไปทั้งร่าง พยายามไม่อาละวาดเนื่องจากอย่างไรเสียคนตรงหน้าก็ถือเป็นพี่น้องร่วมบ้าน ซ้ำไม่อยากจะทำให้เหล่าผู้ดูแลตกใจเลยต้องข่มสตินับหนึ่งถึงสิบ “หากเจ้าไม่ยอมพูด ข้าคงต้องใช้ไม้แข็งแล้วนะ”

    “โอ้...ข้าสมควรจะกลัวสินะ” เวเรน่าหัวเราะเบาๆ “แต่เจ้าทำใจทรมานพี่น้องร่วมบ้าน อีกทั้งยังเป็นคนพิการอย่างข้าได้เพียงเพื่อข้อมูลเท่านั้นหรือไทเกอร์? ตลอดมาเจ้าเป็นคนอย่างนั้นเองหรอกหรือ...”

    “จะ...เจ้า...”

    “พยานก็มีไม่ใช่น้อย เจ้าเองก็ไม่ใช่คนสมองทึบไร้ปัญญา ข้าเชื่อว่าเจ้าจะหาความจริงได้ในไม่ช้าเช่นคดีอื่น หรือว่าความสามารถเจ้าถดถอยลงไปกัน...ไทเกอร์”

    “...เพียงแค่เจ้าบอก...ก็ไม่ได้รึ?”

    “บอกแล้วอย่างไร? เจ้าจะเชื่อข้าหรือ...ข้าอาจพูดจริงหรือโป้ปดก็ได้” หญิงสาวจิบชาอีกครั้ง “หากสิ่งที่รู้นั้นผิดแล้วทำให้หลงทาง...เจ้าไม่คิดหรือว่าบางทีสู้ไม่รู้เลยเสียยังจะดีกว่า?”

    “ข้า..” ตำรวจหรี่ตา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสายตาที่มองมาอย่างจนใจ “ข้าได้ยินมาว่าเจ้ารู้ทุกอย่าง...ขอเพียงมีข้อแลกเปลี่ยน...”

    “คิก...เจ้าเชื่อข่าวลือนั่นจริงๆน่ะรึ? ข้าเป็นเพียงหญิงตาบอดตัวเล็กๆ จะไปล่วงรู้ทุกสิ่งได้อย่างไร” ดวงตาข้างขวาฉายแววขบขันอย่างไม่คิดจะปิดบัง “ส่วนเรื่องแลกเปลี่ยนข้าไม่ปฏิเสธ เป็นความจริงข้าไม่กระทำการใดไร้ค่าตอบแทน...แม้แต่เจ้าก็ไม่ใช่ยกข้อยกเว้น ไทเกอร์”

    “ถ้าเช่นนั้น...”

    “ขอปฏิเสธ” เวเรน่าเอ่ยก่อนที่ไทเกอร์จะเอ่ยขอเสียด้วยซ้ำ “ค่าตอบแทนสำหรับข้อมูลของข้าในคราวนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะหาหรือนำมาแลกเปลี่ยนได้”

    ร่างระหงของหญิงสาวลุกขึ้นจากที่นั่ง เป็นสัญญาณว่าการพูดคุยในครั้งนี้ได้จบลงแล้ว

    “เดี๋ยว! ข้ายังไม่...”

    “สำหรับข้า...การพูดคุยในครั้งนี้จบลงแล้ว” เวเรน่าตัดบทด้วยรอยยิ้ม “ขอให้โชคดีไทเกอร์ ถ้าเจ้าต้องการพบข้าก็คงรู้ดีสินะว่าจะหาข้าเจอได้ที่ไหนบ้าง อ้อ แล้วก็ถ้าจะจับตามองข้าก็ขอให้มันแนบเนียนกว่านี้เสียหน่อยก็ดีนะ ขอตัว”

    หญิงสาวหมุนตัวจากมาโดยไม่รอฟังคำพูดใดๆ จากอีกฝ่ายอีก รอยยิ้มที่ใบหน้ายิ่งกดลึกยามเมื่อได้ยินเสียงตะโกนโวยวายดังไล่หลัง

    ไทเกอร์เอ๋ย...

    เรื่องของข้าน่ะจะไปสนุกอะไรเมื่อเทียบกับเรื่องผู้ต้องสงสัยของเจ้าที่ท่าทีเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนกันเล่า

    ไหนยังเรื่องราวของชนชั้นสูงและราชวงศ์ที่อยู่เบื้องหลังการตายของคนๆนั้นอีก...

    เชื่อเถอะ...ไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องของข้าให้มากนักหรอก

    เพราะข้าคิดว่าหลังจากนี้เจ้าคงจะ ยุ่ง เสียจนไม่มีเวลามาปวดหัวกับเรื่องของข้าไปอีกพักใหญ่เลยล่ะ

     

     

    [To be continued in the story]

     

     

    ลักษณะการพูดจา :: เวเรน่าเป็นเจ้าของน้ำเสียงนุ่มทุ้มแต่กังวานใสดุจเสียงคลาริเน็ตอันเป็นราชาแห่งเครื่องเป่า เข้ากับบุคลิกลึกลับของนางได้เป็นอย่างดี นางมักพูดไม่ดังไม่เบาเกินไป ฟังดูสบายหูแต่ทรงพลัง มีจังหวะในการพูดทีดีจับใจผู้ฟังได้อยู่หมัด ไม่ค่อยแสดงน้ำเสียงในอารมณ์นัก อาจมีเพียงเสี้ยวความรู้สึกเบาบางซ่อนอยู่ยามที่เจ้าตัวปรารถนาจะแสดงออกหรือมันมากเกินว่าจะเก็บซ่อนไว้ได้ทั้งหมด ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะนางไม่ค่อยพูดอะไรตรงๆ ชอบเล่นลิ้นเล่นแง่ไปเรื่อยก็ได้ อีกทั้งเป็นคนที่พูดเหมือนให้เกียรติฝ่ายตรงข้าม แต่กลับมีอะไรบางอย่างในน้ำเสียงที่ทำให้รู้สึกว่านางไม่ได้อ่อนแอหรือยอมก้มหัวให้ใครง่ายๆ อีกด้วย

    เวเรน่ามักแทนตัวเองว่า “ข้า” แทนผู้อื่นว่า “เจ้า” หรือ “ท่าน” ตามแต่สถานการณ์ บางทีอาจมีสรรพนามประเภท “เลดี้” “ท่านชาย” “ท่านหญิง” “คุณหนู” “คุณผู้ชาย” “คุณผู้หญิง” มาบ้างตามโอกาสอำนวย หรือถ้ารู้จักก็จะเรียกนามสกุลกันไป นานๆถึงจะเรียกชื่อจริงที (ดานิเอลกับไทเกอร์เป็นสองรายสุดท้ายที่นางเรียกชื่อจริง ซึ่งสาเหตุที่เรียกไทเกอร์ด้วยชื่อจริงเพราะหากเรียกนามสกุลที คนทั้งบ้านสเตนาร์ดคงหันกันให้พรึ่บก็เท่านั้น แต่ถ้าอยู่นอกเขตบ้านพักจะเรียกว่าสเตนาร์ดไม่ก็คุณตำรวจแทน) ถ้าจะเรียกก็จะเรียกทั้งชื่อนามสกุลเต็มยศ เป็นการบอกว่าเป็นเรื่องจริงจัง ทุกอย่าง...ขึ้นกับว่านางมองว่าคู่สนทนาของนางเป็นคนแบบไหนอย่างไร ไม่มีคำลงท้ายใดๆทั้งสิ้นไม่ว่าจะพูดกับใครก็ตาม แต่ฟังดูทั้งสุภาพแฝงความถือดีเล็กๆไว้ข้างใต้เสมอ

     

    [Scene 01: ทำการค้า]

    “เจ้าคือเวเรน่า...แม่มดแห่งลอนดอนที่เขาเลื่องลือกันจริงหรือ?”

    ผู้มาใหม่ถามคล้ายไม่แน่ใจนักเมื่อเห็นหน้า เวเรน่าเพียงคลี่ยิ้มดังเช่นที่เคยทำ ตอบกลับราวไม่ทุกข์ร้อนกับท่าทีเหมือนไม่ให้เกียรติและหวาดระแวงของอีกฝ่าย “แม่มดแห่งลอนดอนเป็นผู้ใดข้าไม่รู้...แต่เวเรน่าคือนามของข้าไม่ผิดแน่...ท่านหญิงน้อยแห่งเซวิลล์”

    สีหน้าตื่นตะลึงของอีกฝ่ายบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่านั่นคือตัวตนของนาง...สีหน้าของเด็กสาวเปลี่ยนจากตื่นตะลึงเป็นนิ่งสงบได้อย่างรวดเร็วสมเป็นคุณหนูผู้ดี พลางทรุดนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวอย่างสง่างาม

    “...เป็นเจ้าจริงเสียด้วย...” นางพึมพำ “ถ้าเป็นเจ้าล่ะก็..ต้องช่วยข้าได้แน่นอน...”

    “เป็นเกียรติที่คุณหนูคิดเช่นนั้น” เวเรน่ายกชาขึ้นจิบ ท่าทีดูเหมือนไม่ยินดียินร้ายขัดกับคำพูดเมื่อครู่ ก่อนจะวางมันช้าๆ “...เช่นนั้น...ข้าขอไถ่ถาม ท่านหญิงน้อยแห่งเซวิลล์เอ๋ย ท่านปรารถนาจะล่วงรู้สิ่งใดกันเล่า”

    “ข้าต้องการรู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับชู้รักของท่านพ่อข้า...โธมัส ลอร์ดแห่งเซวิลล์ เจ้าทำได้หรือไม่”

    เวเรน่าอมยิ้ม จิบชาอีกครั้ง “ก็...ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งตอบแทนของท่านคุ้มค่าพอที่จะให้ข้าทำหรือไม่”

    “ถ้าเรื่องเงินล่ะก็...ข้ามีให้มากเท่าที่เจ้าต้องการนั่นแหละ จะเอาเท่าไหร่กันเล่า”

    “คุณหนูคงเข้าใจอะไรผิด” หญิงสาวเอ่ยอย่างสงบ “ค่าตอบแทนของข้าในครานี้...หาใช่เงินตราไม่”

    เด็กสาวเลิกคิ้ว “งั้นเจ้าปรารถนาสิ่งใดกัน?”

    “...ได้ยินว่ามีคนสนิทของคุณหนูได้ให้กล่องดนตรีหายากจากแดนไกลให้ท่านไว้”

    “...อย่าบอกนะว่า...”

    “ข้าขอมันเพื่อเป็นหนึ่งในค่าตอบแทนข้อมูลในครั้งนี้”

    “จะบ้ารึ!!! นั่นน่ะ...นั่นน่ะ...” เด็กสาวหลุดตะโกนออกมาอย่างโกรธจัด สิ่งนั้นเป็นของรักของหวงของนาง มูลค่ามันสูงก็จริงแต่ก็...ไม่ใช่ว่าแพงจนเอื้อมไม่ถึง แต่นางรักมากยิ่งว่าเพชรนิลจินดาทั้งหมดที่นางครอบครองไว้เสียอีก เพียงแต่ว่า...เรื่องนี้สำคัญนัก มารดาของนางคงกังวลใจไม่สิ้นสุดหากเรื่องนี้ไม่กระจ่างแจ้ง สีหน้าของคุณหนูแห่งเซวิลล์เปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว ต่างจากเวเรน่าที่ยังคงยิ้มได้เสมอต้นเสมอปลาย แต่ไม่นานเด็กสาวก็สงบสติลงได้ นางหลับตาผ่อนลมหายใจ

    “จะได้จริงๆน่ะหรือ? เรื่องนี้ท่านพ่อปิดบังมานานมาก...ข้าเองถ้าไม่ได้ไปได้ยินข่าวลือมาก็คงไม่นึกสะกิดใจ...” นางสูดหายใจลึก พรั่งพรูคำพูดออกมาในลมหายใจเดียว “กล่องดนตรีนั่นเป็นของที่ข้ารักมาก แต่ถ้าข้อมูลทั้งหมดนี้เจ้าหามาให้ข้าได้และเป็นเรื่องจริง ไม่ว่าจะกล่องดนตรีหรือสิ่งอื่นใด...ข้าก็พร้อมจะยกให้ได้ ขอเพียงท่านแม่หายกังวลใจจากเรื่องนี้ จะเอาอะไรไปจากข้าก็เชิญ!

    รอยยิ้มของเวเรน่ากดลึก นางชอบคนใจเด็ดแบบนี้ “ย่อมได้...ถือว่าเราตกลงกันแล้ว”

    “...เรื่องกล่องดนตรี...ข้าจะให้...”

    “อีกสิบวัน...ที่ประตูหลังของโรงละครกลางเมืองยามสองทุ่ม...ท่านจงเอากล่องดนตรีของท่านไปที่นั่นด้วยตนเอง ข้าจะไปรับมันเอง”

                เด็กสาวขมวดคิ้ว แม้ไม่เข้าใจแต่ก็พยักหน้า ลุกขึ้นพร้อมกับทิ้งท้าย

                “คงรู้สินะว่าถ้าหลอกลวงข้าจะเจอกับอะไรบ้าง”

                “อา...เรื่องนั้นจะเป็นอย่างไรนะ” เวเรน่าหลุดหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าพิลึกของอีกฝ่าย “หากข้าหลอกลวงในการค้าขายจริง...ก็คงไม่มีชื่อเสียงพอที่จะพาท่านมาหาข้าหรอกจริงไหม?”

                เด็กสาวหน้าร้อนวูบ ยิ่งคิดตามก็ยิ่งจริง ก่อนจะหมุนตัวจากไป หูนางพลันได้ยินเสียงลอยๆ จากอีกฝ่าย

                “บางที...คำตอบที่ตามหาก็อาจอยู่ใกล้ตัวกว่าที่เราคิดนะ...”

                คิ้วของเด็กสาวขมวดเป็นปม ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ก็จากไปโดยไม่คิดจะถามอะไรอีก

                เวเรน่ามองแผ่นหลังของเด็กสาวไปจนลับสายตา...

                อุตส่าห์บอกทั้งวันเวลาทั้งที...จับให้ได้ล่ะคุณหนู...

                ก็ที่บอกไปเมื่อกี้น่ะ...คือสถานที่และวันเวลานัดพบชู้รักของลอร์ดเซวิลล์น่ะสิ...

                จะตกใจแค่ไหนกันนะ...หากรู้ว่าชู้รักของเขาน่ะ...

    คือเพื่อนสนิทคนที่ให้กล่องดนตรีนางน่ะสิ...

    สิบวันถัดจากนี้...เตรียมรอชมละครสนุกๆได้เลย...

     

    [Scene 02: ผู้ต้องสงสัย]

     

    {ตามพาร์ทสอง – Truth in the dark ในประวัติ}

     

     

    [Scene 03: ตื่นจากฝัน]

     

    เวร่า...

    “ดานิเอล!

    นัยน์ตาที่เหลือเพียงข้างเดียวเบิกโพลง หัวใจที่เต้นรัวเร็วเมื่อครู่ค่อยๆสงบลงเมื่อมองเห็นฝ้าเพดานสีอ่อนอยู่เหนือศีรษะในความมืด ก่อนจะปาดเหงื่อที่หน้าผากทิ้ง

    “เป็นท่านอีกแล้วหรือ...” เสียงนางรำพึงแผ่วเบา ฟังดูคะนึงหาแกมเศร้าสร้อยมากกว่ารำคาญ “...เมื่อไหร่จะเลิกมารบกวนเวลาพักผ่อนข้าเสียที...”

    ดวงตาสีสวยหลับลงอย่างเชื่องช้า แม้จะรู้ตัวดีว่าคงข่มตานอนลำบาก แต่ตนในตอนนี้ต้องการการพักผ่อนเหนือสิ่งอื่นใด หรือบางทีอาจเป็นเพราะพิษไข้ที่ทำให้นางฝันเฟื่องพร่ำเพ้อจนเห็นเขาอีกครั้งก็เป็นได้

    เวร่า

    เสียงกระซิบเรียกหาดังก้องโสตประสาทดั่งในวันวาน ริมฝีปากอิ่มเม้มเล็กน้อย อุดหูตนเองแน่น ก่อนจะพึมพำราวกับสะกดจิตตัวเอง

    “...เขาตายไปแล้ว...เวเรน่า เขาตายไปแล้ว...”

    เพราะฉะนั้นเลิกคิดถึงเขาได้แล้ว...

    เพราะหากเขามีชีวิต...ไม่มีทางที่นางจะสืบไม่เจอ...ไม่มีทางที่นางจะลืมหน้า...ไม่มี...

    เขาตายไปแล้ว...เวเรน่า...

    เพราะฉะนั้นอย่าเอาความหลังกับคนที่จากเจ้าไปแล้วมาทรมานตัวเองอีกเลย...

     

    [Scene 04: ยามมีคนเข้าหา(?)]

     

                เวเรน่าถอนหายใจเบาๆ แอบขมวดคิ้วในใจ นี่เป็นรอบที่สามของสัปดาห์แล้วที่เจ้าหนุ่มนี่แวะเวียนมาหานางและพูดอะไรไม่เข้าข่ายการค้าของนางเลยสักนิด อ้างโน่นนี่สารพัดแถมไม่ฟังที่นางเอ่ยไล่จนคร้านจะสนทนาด้วย

                “นี่...ไม่ไปเที่ยวกับข้าจริงๆรึ?”

                และนี่ก็เป็นหนึ่งในคำพูดที่นางปฏิเสธไปไม่รู้กี่รอบ ไม่ใช่นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ใด แต่...นางเบื่อคนประเภทนี้เหลือเกิน แน่นอนว่าคำตอบในครานี้ของนางก็ยังเป็นเช่นเดิม

                “ข้ายังมีการงานต้องทำ ขออภัยด้วย”

                “ข้าเชื่อว่าค่าสามารถจ่ายค่าเสียเวลาให้ท่านได้มากเท่าที่ท่านต้องการ”

                เวเรน่ากรีดยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี...เพราะมันทำได้ง่ายดายนัก เพียงเจ้าเงียบเสียและเดินออกไปโดยไม่กลับมารบกวนข้าอีกก็เป็นการจ่ายที่คุ้มค่ายิ่งแล้ว”

                “...ท่านกำลังบอกว่าข้ารบกวนท่านงั้นรึ?”

                “...หากเจ้าไม่ไร้สมองพอที่จะแปลประโยคเมื่อครู่ออกก็คงเข้าใจดีมิใช่หรือว่าข้าหมายความเช่นใด” ความเงียบโรยตัวลงระหว่างทั้งสองชั่วครู่ ก่อนที่เวเรน่าจะเอ่ยต่อ “แต่หากเจ้าโง่นัก...ข้าก็จะขอตอบว่าใช่ การสนทนากับเจ้ารบกวนเวลาอันมีค่าของข้ายิ่งนัก”

                หญิงสาวกล่าวพลางลุกขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ ยิ้มแล้วหันหลังจากไปโดยไม่เหลียวหลังมองคู่สนทนาที่นิ่งดุจโดนสาปให้เป็นหินอีกเลย

     

    [Scene 05: ยามทำการค้าเสร็จสิ้น (ต่อจาก Scene 01)]

     

    ดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวของเวเรน่ามองเห็นทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในยามนี้ ทั้งสีหน้าตื่นตะลึงของคุณหนูแห่งเซวิลล์เมื่อมาตามเวลานัดหมาย แต่กลับพบพ่อและชู้รัก...ที่เป็นเพื่อนสนิทของนางเดินเข้าโรงละครทางประตูหลัง จากตรงนี้ นางเห็นทั้งความตกตะลึงที่เปลี่ยนมาเป็นความแค้น สุดท้ายกลายเป็นความปวดร้าวในดวงตา มือที่กุมกล่องดนตรีอย่างหวงแหนในคราแรกสั่นระริกและขาวซีด ราวกับว่าจะบีบทิ้งให้แตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อรอจนแน่ใจแล้วว่าคุณหนูแห่งเซวิลล์พอจะสงบลงบ้างแล้ว นางก็เดินเข้าไปทักทาย

    “เป็นอย่างไรบ้างคุณหนู...?”

    ร่างงามระหงสะดุ้งเล็กน้อย หันกลับมามองนางด้วยสายตาระแวงระวัง “เจ้า...รู้อยู่แล้วหรือ?”

    “สำคัญตรงไหนเล่า...มันเป็นคำตอบที่ท่านต้องการไม่ใช่รึ?”

    หยาดน้ำใสค่อยๆเอ่อล้นดวงตา ดูแล้วน่าเวทนายิ่ง “...เพราะอะไรกัน...ทำไมเซซิลจึง....”

    “...จิตใจอิสตรีนั้นยากคาดเดา สหายของเจ้าผู้นี้มิเคยบอกสิ่งใดกับเจ้าจริงหรือ”

    “คนที่ทำให้ครอบครัวเพื่อนแตกแยก...ข้าไม่นับเป็นสหาย” เด็กสาวเอ่ยเสียงเยือกเย็นและคั่งแค้น แม้น้ำตาจะไหลอาบหน้า ให้ตายเถอะ...นางล่ะชอบคนนิสัยแบบนี้จริงๆ “กล่องดนตรีนี้...ข้ามอบให้แทนข้อตกลงของเรา ดียิ่งนักที่ท่านเอ่ยปากขอมัน เพราะข้าไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว”

    “เช่นนั้นข้าขอรับไว้” มือบางของนางยื่นไปรับกล่องออกมา เหลือบตามองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่านี่คืองานศิลป์ชั้นเยี่ยมจากแดนไกล แต่แล้วเสียงใสของฝ่ายตรงข้ามก็ขัดขึ้น สรรพนามและน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปยามพูดกับนาง เห็นทีว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกขอบคุณนางไม่น้อยกระมัง

    “ท่านเอ่ยปากว่านี่เป็นเพียงหนึ่งในค่าตอบแทน เช่นนั้นแล้วส่วนที่เหลือเล่า ข้าพร้อมจะจ่ายแล้ว”

    เวเรน่าอมยิ้มเล็กน้อย “ท่านได้เสียมันไปตั้งแต่วินาทีที่ท่านพบคำตอบแล้ว...ท่านหญิงน้อย ลองตรองดูสักนิดคงไม่ยากเกินความสามารถ...ว่าท่านได้เสียสิ่งใดไปเพื่อแลกความจริงในข้อนี้มา...”

    “เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถิด...ข้าอยากรู้เหตุผลว่าทำไม”

    หญิงสาวตาบอดอมยิ้ม “ไม่คิดหรือว่าท่านกับอดีดสหายท่านผู้นั้น...มีดวงตาคล้ายคลึงกันยิ่งนัก”

    “...จะว่าไป...” เด็กสาวพึมพำ ท่านแม่ของนางยังเอ่ยปากเลยว่าเซซิเลียหน้าตาคล้ายท่านสมัยยังเยาว์วัยนัก แม้จะเหมือนไม่สู้นาง แต่หากนับรวมนิสัยด้วยก็คล้ายจะเป็นภาพสะท้อนของท่านแม่...

    ระ..หรือว่า?

    “จะบอกว่าที่พ่อเลือกนางเพราะว่านางเหมือนท่านแม่ข้าน่ะรึ!!!

    “ข้าเพียงไม่อาจมองมุมอื่นได้ยอกจากเป็นเช่นนั้น มิฉะนั้นสตรีมีมากมายบนโลกหล้า เหตุใดจึงต้องเป็น...อดีตสหายของท่านเล่า แต่ใครจะรู้...อาจมีเรื่องอื่นด้วยก็เป็นได้” เวเรน่ายิ้ม “อีกอย่าง...ข้าคิดว่าท่านคงไม่ทราบว่า...คู่หมั้นของอดีตสหายท่านนั้น...ก็มีหญิงอื่นซ่อนไว้เช่นกัน บางทีนี่อาจเป็นการแก้แค้นของนางต่อคู่หมั้นกระมัง?”

    ท่านหญิงน้อยยืดตัวตรง สูดลมหายใจลึก ย่อกายทำความเคารพนางดังเช่นผู้มีเกียรติคนหนึ่งพึงจะได้รับ “ข้าขอขอบคุณท่านมาก...ฉายาแม่มดแห่งลอนดอน...ช่างสมคำร่ำลือยิ่งนัก หากมีปัญหา ข้าจะมาพบท่านอีกแน่นอน”

    เอ่ยจบท่านหญิงน้อยก็ขึ้นรถม้าผลุนผลันจากไป ทิ้งให้เวเรน่ายืนอยู่ตรงนั้นตามลำพัง รอยยิ้มที่ริมฝีปากยังคงเป็นเช่นนั้นไม่เลือนลาง กล่องดนตรีที่นางเปิดออกส่งทำนองอ่อนหวานเศร้าสร้อยคลอไปในความมืด

    ท่านหญิงน้อยผู้ไร้เดียงสาเอ๋ย...

    ท่านหญิงน้อยผู้น่าสงสารเอ๋ย...

    บางทีท่านก็ไม่ควรรู้ความจริงเอาเสียเลย...

    ยามใดท่านทราบว่าแท้จริงแล้วชู้รักของคู่หมั้นอดีตสหายท่านคือมารดาท่านเองแล้ว...

    ท่านจะทำอย่างไรกันนะ? ท่านหญิงน้อยแห่งเซวิลล์

     

      

    ชอบ ::

    - เงิน [ก็ชอบในแง่ที่ว่าเป็นเครื่องมือที่ดีในการแยกแยะคนได้น่ะนะ อีกอย่างมีไว้กับตัวก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่นา มันทำอะไรได้ตั้งเยอะ...]

    - บุคคลกลุ่มที่น่าสนใจ และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคนกลุ่มนี้ [เพราะว่า น่าสนใจ อย่างไรล่ะ...มีอะไรบางอย่างในคนกลุ่มนี้ที่จุดประกายความสนใจให้นางไม่เบื่อและจะหาวิธีมาลองแหย่ลองแกล้งดู]

    - น้ำชา [เพราะจิบแล้วมันสบายดีน่ะ รสชาติเฝื่อนนิดๆของชาเองก็ถูกปากด้วย ชาที่ชอบที่สุดคือซีลอน(ดิมบูลา) อัสสัมกับดาร์จีลิงชั้นเลิศที่โรงน้ำชาของมาร์แชล]

    - การสำรวจและการนั่งฟังเรื่องราวต่างๆ [เพราะมันเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีน่ะสิ...พวกเขาคายหรือแสดงมันออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิด แล้วนางก็นำมันมาทำกำไรเข้ากระเป๋าตัวเองสบายๆ น่าขันดีนะว่าไหม?]

    - เรื่องที่ยังคงเป็นปริศนา หรือเรื่องราวที่พลิกผันไปในทางที่คาดไม่ถึง [เพราะมันดูลึกลับท้าทายดี...หากรู้หรือคาดการณ์ไว้ก่อนจะหาทางเข้าไปเกี่ยวข้องให้ได้]

    - คืนเดือนดับและคืนจันทร์เพ็ญ [เพราะเป็นคือนที่ดาวและเดือนสวยที่สุด นางชอบออกมาดูท้องฟ้าในยามกลางคืนเงียบๆ และมองผืนน้ำกว้างใหญ่ที่เป็นดั่งกระจกสะท้อนนภานั้น...]

     

    ไม่ชอบ ::

     - ความฝัน [เพราะฝันที่ดีที่สุดของนางไม่มีทางเป็นความจริง...และเพราะฝันไม่ใช่หรือที่ทำให้คนคาดหวัง หลายคนทำตามนั้นได้ก็ดีไป แต่หลายคนที่ไขว่คว้าไม่ได้...ก็นำมาเพียงความสิ้นหวังท้อแท้เพียงเท่านั้น นางชอบอยู่กับปัจจุบันมากกว่า แต่ถึงกระนั้นก็ยังฝันเป็นครั้งคราวอยู่ดี และทุกครั้งนำมาซึ่งความเจ็บปวดเสมอ...ดังนั้นนางจึงไม่ชอบมัน]

    - คนที่พูดด้วยไม่รู้เรื่อง [เพราะมันทำนางเสียเวลาน่ะสิ...น่ารำคาญด้วย]

    - เรื่องน่าเบื่อ [เพราะไม่น่าสนใจเอาเสียเลย...]

    - ขนมรสหวานจัดๆ [เพราะมันบาดลิ้น หวานน้อยๆนางชอบนะ...แต่มากไปเนี่ยขอที]

    - การใช้กำลัง / การทรมาน [เพราะมันทำให้นางหวนคิดถึงอดีตนิดหน่อย แต่บางทีมันก็เป็นทางออกที่ดีในการจัดการปัญหาบางประเภท เพียงแต่นางจะใช้มันเป็นทางเลือกสุดท้ายก็เท่านั้น]

     

    เกลียด ::

    - การติดหนี้บุญคุณคนอื่น และการที่มีคนติดหนี้นาง [เพราะนางไม่ชอบให้ใครมาเป็นหนี้ และไม่ชอบติดหนี้ใคร...ทำอะไรก็สมควรจะมีค่าตอบแทนการกระทำนั้นอย่างสมน้ำสมเนื้อสิ]

    - การอยู่ใต้อาณัติคนอื่น [เพราะนางเจอมามากพอแล้ว นางได้ชีวิตของตัวเองคืนมาแล้ว ไม่ต้องมาบังคับนางเสียให้ยาก]

    - การโดนปลุกตอนกำลังหลับ [เพราะนางเป็นคนที่หากตื่นมาครั้งหนึ่งแล้วจะหลับยาก ดังนั้นจะเกลียดมากหากโดนปลุกโดยไม่มีความจำเป็น]

    - คนที่ไม่ยอมลงมือทำอะไรเองเลย เอาแต่โอดครวญตัดพ้อ [เพราะนางเห็นภาพสะท้อนของเหล่าทาสในอดีตที่ปล่อยตัวเองไปตามโชคชะตาโดยไม่ขัดขืน ผลเป็นอย่างไร...จนวันนี้ก็คงยังเป็นทาสอยู่บนเรือไม่ก็เป็นอาหารปลาไปแล้วกระมัง หากอยากมีชีวิตที่ดีขึ้นก็ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรเองได้แล้ว น่าสงสารหรือ...ไม่หรอก มันน่าสมเพชเหลือเกิน]

    - เสียงฟาดแส้ [เพราะมันทำให้นางคิดถึงความเจ็บปวดที่ได้รับในคืนนั้น...รวมถึงทำให้นึกถึงเรื่องของใครคนนั้นที่นางสมควรจะลืมได้แล้ว...]

     

    กลัว ::

    - ความรัก [เพราะมันเป็นสิ่งที่ทรงพลังที่สุดในโลกอย่างหนึ่งที่ทำให้คนเป็นบ้าได้ มันทำให้คนทั้งสุขสมและทุกข์ตรมได้อย่างไร้เหตุผลที่สุด และทุกสิ่งอย่างจะวุ่นวายขึ้นเมื่อมีความรักมาเกี่ยวข้อง ทั้งขวนขวายทุ่มเทเพื่อให้ได้มาทั้งที่ไม่มีวันรู้เลยว่าผลลัพธ์จะดีหรือไม่ ต่อให้ได้มาก็ต้องเฝ้าถนอมไว้ไม่ให้สูญเสีย อีกทั้งไม่รู้ว่าที่ได้มานั้นเพราะจริงใจหรือผลประโยชน์แอบแฝง ต้องระแวงระวังเพราะสำคัญ...จนกลายมาเป็นจุดอ่อน และยามสูญเสียก็นำพามาซึ่งความทุกข์ที่ไม่อาจลบล้างโดยง่าย ดังนั้นนางจึงหวาดกลัวมัน และคิดว่าไม่มีเสียยังจะดีกว่า ปฏิกิริยา...อืม พูดยาก แต่จากทุกท่าทีที่แสดงออก หากสังเกตดีๆจะเห็นว่านางจะไม่ต้องการผูกพันกับใครมากเกินควร ไม่ทำตัวสนิทสนมกับใครก็เพราะเหตุนี้แหละ นางไม่ได้ใสซื่ออะไรแต่อย่างใดเลย รู้ดีจนเกินพอเลยล่ะ แต่เพราะหวาดกลัวต่างหาก]

     

    แพ้ :: ไม่มี

     

    งานอดิเรก :: การเฝ้ามองผู้คนที่น่าสนใจ / การฟังเรื่องราวของคนอื่น / จิบน้ำชา / นั่งดูท้องฟ้าและทะเลในยามค่ำคืน / เดินเล่น

     

      

    เพิ่มเติม ::

    - เวเรน่าเป็นคนที่ออกแรงมากๆไม่ค่อยจะได้เนื่องจากร่างกายเสียหายบางส่วนจากการโดนทารุณกรรม แม้จะใช้ชีวิตได้ตามปกติก็ตาม แต่เรื่องฝีเท้าไวนี่ขอให้บอก เป็นคนที่เคลื่อนไหวได้รวดเร็วและเงียบเชียบ อีกทั้งรู้จักตรอกซอกซอยของลอนดอนดีพอๆกับอันธพาลประจำตรอกอย่าง อลัน เดมอนอีกด้วย อย่าแปลกใจที่นางดูจะหายตัวจากตรงนี้ไปโผล่ตรงโน้นได้เร็วดีเหลือเกิน

    - แม้จะบอกว่าเวเรน่ารอบคอบ แต่ก็มีบางครั้งที่เอาตัวไปเสี่ยง ใจเด็ดอย่างเหลือเชื่อได้เหมือนกัน

    - แน่นอน...เรื่องที่บอกว่าทำอะไรย่อมมีค่าตอบแทน ดังนั้นหากใครมาทำอะไรร้ายๆ ใส่เวเรน่าก่อนก็เจอแก้แค้นคืนแน่ ขอให้โชคดีนะเพราะนางเอาคืนอย่างคุ้มค่าแน่นอน...วางใจได้ ไม่เคยให้ถึงตายหรอก แต่คงจะลืมไม่ลงไปชั่วชีวิตก็เท่านั้นเอง แต่ก็ไม่ใช่พวกอาฆาตพยาบาทแต่อย่างใด คิดบัญชีเสร็จก็เป็นอันจบกัน (แน่นอนว่าไม่ได้แก้แค้นคืนตรงๆหรอก) แต่ถ้ามาทำดีใส่ อันนี้นางจะระแวงแทน เพราะนางไม่ชินและไม่ชอบที่ต้องรู้สึกเหมือนติดหนี้ใคร ต่อให้อีกฝ่ายบอกว่าเป็นน้ำใจก็เถอะ

    - คำแนะนำที่ดีเวลาการซื้อขายกับเวเรน่าคือจงเอ่ยสิ่งที่ต้องการอย่างละเอียดและรัดกุม เพราะนางใช้ช่องว่างจากคำพูดเพื่อความได้เปรียบของตนเองมานักต่อนักแล้ว

    - เวเรน่ามักแบ่งผู้คนออกเป็นเพียงสองประเภท หนึ่งคือ พวกที่ใช้เงินซื้อได้ และ สองคือพวกที่ใช้เงินซื้อไม่ได้ ซึ่งเกินแปดในสิบของคนที่เวเรน่ารู้จักมักเข้าข่ายประเภทแรก ไม่ก็แบ่งอีกมาตรฐานคือ พวกที่ไม่สมควรล่วงเกินหรือไปมีเรื่องราวด้วย และ พวกที่ต่อให้ล่วงเกินไม่แล้วก็ไม่เป็นอันใด

    - เวเรน่าเป็นพวกที่ใช้สถานการณ์และคนรอบตัวได้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองได้เสมอ นางไม่เคยสร้างศัตรูโดยตรง เช่นเดียวกับที่ไม่ผูกมิตรใครตรงๆ และจะไม่กำจัดศัตรูซี้ซั้วด้วยต่อให้นางมีก็ตาม (ยกเว้นเล็งเห็นแล้วว่าถ้าปล่อยต่อไปนางมีปัญหาแน่อันนั้นก็ต้องมาคิดกันอีกที) เชื่อเถอะว่าศัตรูพวกนี้น่ะมีประโยชน์อย่างคาดไม่ถึงเลยล่ะ...

    - เวเรน่าพอเล่นเกมไพ่และหมากรุกเป็นบ้างจากการที่เห็นคนเล่นกันบนเรือ เก่งใช้ได้ แต่ไม่ค่อยได้เล่น

    - เวเรน่าเป็นคนที่ต่อให้หลับดึกแค่ไหนก็จะตื่นตรงเวลาเดิมทุกวันเสมอ เนื่องจากติดนิสัยเคยชินมาจากบนเรือ แม้พอมาอยู่ที่บ้านพักสเตนาร์ดแล้วจะตื่นสายขึ้นก็เถอะ แต่ก็นับว่าเช้าอยู่ดี...ตื่นเจ็ดโมงเช้าน่ะ ในเรือตื่นกันตีสี่ตีห้า...

    - ไม่ต้องสงสัยว่าเวเรน่าเป็นลูกค้าขาประจำคนหนึ่งของโรงน้ำชาของมาร์แชล ก็ขนาดเจ้าของร้านจำได้ว่าปกติสั่งชาอะไรก็คงต้องถือว่าเป็นขาประจำมากๆเลยล่ะ

    - เวเรน่ามีฉายาที่คนเรียกกันเล่นๆ ว่า “แม่มด(ตาเดียว)แห่งลอนดอน” มาจากสาเหตุการอ่านเหตุการณ์อย่างเฉียบขาดและการรู้เยอะรู้แยะของนาง คาดว่าถ้ามีการล่าแม่มดกันนางได้ขึ้นลิสต์เป็นคนแรกๆแน่นอน...

    - หากสงสัยเรื่องเพื่อนที่คิดจะล่อลวงนางไปให้กัปตันบัดนี้เป็นอย่างไร...นางคิดว่าเป็นอาหารปลาไปแล้วนะ เพราะตอนที่นางเอาอาหารมาให้รอบหนึ่งก็โดนเยาะไปรอบนึง นางก็เลยจัดไปด้วยการหลอกล่อให้อีกฝ่ายหลุดว่ากัปตันและรองกัปคันเท่านั้นเอง...ผลเป็นยังไงก็...คิดว่าสองคนนั้นใจดีไหมล่ะ? (โดนถ่วงน้ำตาย)

    - หากกำลังสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเวเรน่าและดานิเอล ก็ขอตอบว่า...คลุมเครือมากๆพอๆกับปริศนาของเรื่องเลย คือมันไม่ใช่ความรู้สึกแบบเพื่อนพี่น้องหรือคนรัก เพียงแต่รู้ว่าอีกฝ่ายมีความสำคัญกับตัวเองเท่านั้น นิยามที่ดีที่สุดคงเป็น “ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียก” และทั้งคู่ก็พอใจที่มันเป็นแบบนั้นด้วย ด้วยสถานะและอะไรหลายๆอย่าง แบบนี้จึงดีที่สุดแล้ว

    - โปรไฟล์ของดานิเอล ฟาล์ก [Daniel Falx] ที่สามารถบอกได้มีดังนี้ (รูป>>จิ้ม)

    อายุ ไม่ทราบ (แต่คาดกว่าอายุมากกว่าเวเรน่าอย่างน้อยสิบปี)

    สถานะ ไม่ทราบ (แต่คาดกันว่าตายไปแล้วจากการที่เวเรน่าไม่เคยได้ข่าวเกี่ยวกับเขาอีกเลย แม้ว่าจะพยายามสืบหาเท่าใดก็ตาม จนเลิกหาไปแล้ว)

    เชื้อชาติ เยอรมัน

    นิสัย เป็นคนที่ภายนอกดูเย็นชา แต่จริงๆซ่อนความอ่อนโยนเพียงส่วนเล็กๆเอาไว้ ไม่ทำอะไรให้ใครฟรีๆ และเป็นคนมีความรู้สูง คุมคนเก่ง ใจเด็ดเกินคาด เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เวเรน่าเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

    หมายเหตุ เรื่อลำนั้นชื่อ “รูดอล์ฟ”

     

     

     


     

    TALK CHARACTER

     

    Quiz :: อำนาจ ชื่อเสียง ความรัก เงินตรา อิสรภาพ สำหรับคุณสิ่งไหนที่สำคัญที่สุด เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น

    Ans :: 

                เวเรน่าคลี่ยิ้มเล็กน้อย เอ่ยตอบเสียงนุ่มนวล “เป็นคำถามที่น่าสนใจนัก...”

                นางเงียบไปชั่วครู่คล้ายใช้ความคิด ก่อนจะเอ่ยปาก “แล้วคำตอบของเจ้าเล่า...ในห้าสิ่งนี้ สิ่งใดกันที่สำคัญที่สุด?”

                คนถามได้แต่กระพริบตาปริบๆ เมื่อโดนถามกลับ ครั้นจะอ้าปากค้าน หญิงสาวก็พูดขึ้นราวกับมานั่งอยู่กลางใจ “ข้าไม่ทำการใดไร้ค่าตอบแทน...หากจะให้ข้าตอบคำถามเจ้า...เจ้าก็ต้องตอบคำถามของข้าก่อนนะ คุณหนู”

                เมื่ออีกฝ่ายตอบคำถามเสร็จแล้ว เวเรน่าก็ยกชาขึ้นจิบเล็กน้อย “เช่นนั้นข้าควรจะตอบตามสัญญาสินะ” นางวางถ้วยชาลง คลี่ยิ้มดังเช่นทุกครา...ความคิดและความทรงจำมากมายไหลย้อนเข้ามาในหัว นานแล้วที่ไม่ได้ยินคำถามเช่นนี้นับตั้งแต่เขาคนนั้นหายไปจากชีวิตนาง...

                “อำนาจนั้นเปรียบดังลูกไฟร้อนแรง...ทรงพลัง แต่คนถือมันจำต้องหนังเหนียวทนทาน มิฉะนั้นจะถูกแผดเผาด้วยมันเสียเอง

                ชื่อเสียงดั่งพายุ หนึ่งลมปากสร้างกระแสโหมดั่งวายุพัด สะพัดไปทั่วแดน แต่มิอาจจับต้องได้ มิอาจเรียกร้องสิ่งใดได้นอกจากคำชื่นชมสรรเสริญและการตำหนิติเตียน...และอาจนำมาซึ่งปัญหา

                ความรักดั่งภูตผีวิญญาณ ผู้คนทั่วหล้าล้วนตามหา บ้างว่ามี บ้างหาได้เจอไม่ แต่ที่สุดแล้วไม่ว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างสุขสมเช่นไร...ปลายทางย่อมสิ้นสุดด้วยการจากลา

                เงินตราดั่งกฎเกณฑ์ ในโลกนี้เงินคือสิ่งมีค่า ซื้อได้แทบทุกสิ่งอย่าง เพียงแต่สิ่งที่ทำให้มันมีค่าหาใช่ตัวมันไม่ หากแต่กฎเกณฑ์ของคนต่างหากที่ทำให้มันมี...และทำให้คนหลงลืมสิ่งที่สำคัญที่แท้จริงสำหรับตนไปเสียสิ้น

                อิสรภาพ...ดั่งเมฆาเคลื่อนคล้อย ดำรงตนอยู่ได้ตัวมัน ลอยล่องไปตามสายลมดังปรารถนา มิมีผู้ใดเอื้อมถึง มิตกอยู่ใต้อำนาจผู้ใด หากแต่ใครกันเล่าที่มีอิสรภาพอันแท้จริง...”

                เวเรน่าเอ่ยจบแล้วก็จิบชา ส่งยิ้มให้ เอ่ยต่อเมื่อเห็นสีหน้างุนงงยิ่งกว่าเก่าของคนถาม

                “ในห้าสิ่งนี้...สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับตัวข้า...คือสิ่งที่ข้าถือครองอยู่และย่อมเสียใจหากสูญเสีย สิ่งที่มีเพียงหนึ่งเดียวไม่อาจทดแทน เจ้าว่าคือสิ่งใดกันล่ะคุณหนู?”

               

     

    Quiz :: ถ้าเลือกจะตายกับอยู่ต่อในสังคมที่เน่าเฟะเช่นนี้ คุณจะเลือกอะไร

    Ans :: 

    เวเรน่าหัวเราะเบาๆ นัยน์ตาที่มองฝ่ายตรงข้ามเป็นประกายคล้ายกำลังขบขัน

    “การที่ข้ายังนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ได้เป็นการบอกใบ้ที่ดีหรอกหรือว่าคำตอบของข้าควรเป็นเช่นไร คุณหนู”

     

    Quiz :: คิดว่าตอนนี้ตัวเองได้เป็นอย่างที่ใจปรารถนาไว้แล้วรึยัง

    Ans :: 

                “ยามใดกันเล่า?” เวเรน่าเอ่ยถามกลับ “ปรารถนาของคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ขึ้นชื่อว่าปรารถนา ย่อมแปลว่ายังมิได้ดั่งใจไม่ใช่หรือ มนุษย์เราน่ะ...ขึ้นชื่อเรื่องความโลภจะตายไป”

                หากเป็นปรารถนาของนางในวัยเยาว์...ยามนี้นางนับได้ว่าสมหวัง...

                แต่ในยามนี้...ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแท้จริงแล้วข้ายังเหลือความปรารถนาที่ว่านั้นอยู่อีกหรือไม่...

                ปรารถนาในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็ย่อมเจ็บปวดไม่ใช่หรือ...

                เช่นนั้นไม่สู้อยู่เช่นนี้เรื่อยไป ไร้สิ้นความปรารถนายังจะดีเสียกว่า...

     

     

     

    TALK PARENT

     

    สวัสดีค่ะชาวโลก ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ เราชื่อรันรัน หรือจะเรียกอาร์ซีก็ได้ค่ะ!

    :: ยูกินะเองค่า มาแล้วนะคะ

    เบื่อคำถามเบสิคแล้วค่ะ เอาเป็นว่าขอถามนิดนึงเนอะว่าตัวละครของคุณพ่อคุณแม่มีแรงบันดาลใจจากอะไรไหมคะ?

    :: มีแรงบันดาลใจมาจากตัวละครในมังงะคนนึงค่ะ “ไอคาว่า ช็อกโกล่า” คือเป็นแม่มดที่ทำช็อกโกแลตที่ทำความปรารถนาให้เป็นจริงได้โดยแลกกับสิ่งสำคัญของตนเอง พออ่านรายละเอียดแล้วก็แบบนี่แหละใช่เลย แต่ด้วยความที่มันเป็นโชวโจมังงะแบบดาร์กแฟนตาซี มันก็จะใสๆหน่อย เลยเพิ่มความดาร์กด้วยการเอาตัวละครในนิยายสืบสวนมาระดมใส่จนออกมาเป็นแบบนี้แหละค่ะ แฮ่...

    สาเหตุที่เลือกบทนี้มีอะไรเป็นพิเศษไหมคะ

    :: ชอบคาแรกเตอร์ที่ออกแนวเจ้าเล่ห์ลึกลับอยู่แล้วค่ะ เจอบทนี้ทีคือลงชนใครไม่สน เราจะเอา 555+

    ลองให้คะแนนความพึงพอใจในใบสมัครของตัวเองหน่อยนะคะ ฮาาา สักเต็มสิบนี่ได้ประมาณไหนดีเอ่ย?

    :: เอ่อ...ประมาณ 8 มั้งคะ อยู่ในเกณฑ์ที่เราพอใจพอสมควรเลยล่ะ แต่อาจจะไม่ดีสุดๆขนาดนั้น

    อยากได้คำจำกัดความของน้องหน่อยน่ะค่ะ!

    :: “แม่มด(ตาเดียว)แห่งลอนดอน” ค่ะ แบบตามที่เคยเขียนไว้ในเพิ่มเติมเลย คือนางรู้เยอะรู้แยะแถมลึกลับจนสมเป็นแม่มดจริงๆ

    เกริ่นก่อนว่าเนื้อหาในเรื่องนี่รุนแรงระดับหนึ่งเลย (ถึงนังคนเขียนจะอายุไม่ได้มากมายอะไรก็เหอะ.) ถ้าเจอบทลูกตาย มีความสาหัสสากรรจ์ หรือเจอความพลอตทวิสเข้าไปนี่โอเครับได้แน่ใช่ไหมคะ?

    :: ไม่เป็นไรค่ะ เจ็บกว่านี้เราก็เคยเจอ เรารับได้ค่ะ เอื้อออออออออออออออออออออออ // เดี๋ยว

    สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมสนุกกับเรามากๆ นะคะ ข่อมค่าา

    :: ยังไงก็ฝากลูกสาวคนนี้ไว้พิจารณาด้วยนะคะ เดี๋ยวจะหิ้วอีกคนมาส่งค่ะ

     

    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×