ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Forbidden library

    ลำดับตอนที่ #2 : The forbidden book No.2 l Sakurai Michika

    • อัปเดตล่าสุด 23 มี.ค. 61


    Matcha
     


    [THE FORBIDDEN BOOK No.2]

    หนังสือต้องห้ามเล่มหมายเลขสอง

    บันทึกเล่าเรื่องราวของเด็กสาวสามัญผู้ชื่นชอบเรื่องลี้ลับ

    แม้ภายนอกจะธรรมดา แต่กลับมีความสามารถโดดเด่นเปล่งประกายยิ่ง

    เจ้าของชีวิตเรียบง่ายแต่ชวนให้อิจฉา หากแต่ใครจะรู้เล่าว่า...

    ยามใดที่เธอล่วงรู้ความลับของใครคนนั้น...ทุกอย่างก็ไม่มีวันเป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป

     

    [THE BRIGHT BOOKWORM WHO ALWAYS SEEKS FOR THE TRUTH AND JUSTICE]


     



     

    สิ่งที่เป็นความจริงสำหรับฉันคือสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้จะไม่ใช่ความจริงเสมอไป

    [Sakurai Michika]


    APPLICATION




    "เรื่องผีน่ะเหรอ? น่าสนใจดีออก แล้วก็ถ้ายังไม่พิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นเรื่องหลอกลวง ก็ไม่ผิดที่จะเชื่อไม่ใช่หรือไง?"

    “...ดูดเลือดแบบนี้ เขี้ยวแบบนี้ แวมไพร์...นี่นายเป็นแวมไพร์จริงๆเหรอเนี่ย! ยอดไปเลย ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอตัวจริงใกล้ตัวขนาดนี้!

    (#ไว้อาลัยให้อายาโตะสามวิ)

     

    คู่ : ซาคามากิ อายาโตะ

    นามสกุล - ชื่อ : Sakurai Michika [ซากุราอิ มิจิกะ]

    桜居 実智花 [さくらい  みちか]

    ซากุราอิ – ที่ต้นซากุระ

    มิจิกะ – เมล็ดพันธุ์ของดอกไม้แห่งปัญญา

    ชื่อเล่น : Michi [มิจิ] (ตามคันจิที่เหลือจะแปลว่าเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา)

    อายุ : 17

    สัญชาติ : ญี่ปุ่น

    อาชีพ : นักเรียนชั้นม.ปลายปีสอง (ม.ห้า)

    ลักษณะรูปร่างหน้าตา : เด็กสาวรูปร่างโปร่งตามมาตรฐานเด็กสาววัยรุ่นชาวญี่ปุ่นทั่วไป ผิวสีขาวอมเหลืองเล็กน้อยตามโทนชาวเอเชียมีสีเลือดฝาดแฝงทำให้ดูสุขภาพดี แลดูสดใสสมวัย ทรวดทรงองค์เอวก็เรียกได้ว่าไม่อ้วนหรือไม่ผอมจนเกินไป แขนขาดูไม่ยาวไม่สั้นเกินไปสมส่วนดี มีหน้าอกหน้าใจจะดูเหมือนราบเรียบไปหน่อยก็ตาม แต่ก็จัดว่าพอมีส่วนโค้งเว้าพอให้เหล่ได้อยู่เหมือนกัน อีกทั้งหน้าตาจะไปทางธรรมดา กลมกลืนไปกับคนทั่วไปได้อย่างง่ายดาย เพราะไม่ได้แต่งเติมด้วยเครื่องสำอางก็ตาม เครื่องหน้าบนใบหน้านวลผ่องใสประกอบกันได้ดูลงตัวตามธรรมชาติ ทั้งดวงตาสีเขียวสดใสเหมือนใบไม้อ่อนที่มีประกายเฉลียวฉลาด แพขนตาหนาหากแต่เทลาดตรงลงมาทำให้เสน่ห์ตรงส่วนนี้ลดลงไปกึ่งหนึ่ง คิ้วเรียวยาวหากแต่ค่อนข้างอ่อนจางไม่ชัดเจน อีกทั้งมักโดนปิดไว้ด้วยผมหน้าม้าเพื่อปิดบังหน้าผากที่ค่อนข้างกว้าง นับว่ายังดีที่ผมสีน้ำตาลเปลือกไม้นุ่มมือที่ยาวเคลียไหล่ของเธอนั้นช่วยขับผิวให้ดูขาวยิ่งขึ้น ปากสีระเรื่อติดจะบางราวกลีบดอกไม้ จมูกโด่งรั้นเพียงเล็กน้อยจนเกือบจะเรียกได้ว่าไม่มีดั้ง รวมกันแล้วก็ได้ออกมาเป็นใบหน้าเด็กสาวธรรมดาที่ไม่ได้งดงามดั่งนางฟ้าเทพธิดาองค์ใด แต่กลับมีเสน่ห์ที่ดึงดูดอย่างน่าประหลาดเมื่อได้ทำความรู้จัก สูง 164 เซนติเมตร หนัก 50 กิโลกรัม

    นิสัย :

    หากไปถามคนรอบข้างเกี่ยวกับเด็กสาวนาม ซากุราอิ มิจิกะ แล้วล่ะก็...สิ่งแรกที่จะได้ยินจากทุกคนคือ...สาวน้อยหน้าตาธรรมดาๆ ผู้เป็นเจ้าของปัญญาอันเปล่งประกายยิ่งกว่าอัญมณีล้ำค่าหรือดาราดวงไหนๆ เรื่องความฉลาดเฉลียวนั้นเธอนับว่าแทบไม่เป็นสองรองใคร ไม่ว่าจะเรียนรู้เรื่องอะไรก็เข้าใจได้รวดเร็วไปเสียหมดประหนึ่งว่าทุกอย่างที่พูดสามารถซึมเข้าไปฝังในหัวสมองและประมวลผลออกมาได้ทันที และไม่เพียงแค่สักแต่ท่องจำเท่านั้น การสังเกตและคิดวิเคราะห์ก็ทำได้ดียิ่ง แถมยังใฝ่รู้ใฝ่เรียนอีกต่างหาก นับเป็นผลมาจากนิสัยรักการอ่านและการเติบโตท่ามกลางกองหนังสือ ทำให้เธอมีความรู้รอบด้านและมีความคิดในมุมมองที่หลากหลายกว่าเด็กในรุ่นราวคราวเดียวกัน เรียกได้ว่าเป็นคนที่ใช้หนังสือเพื่อเปิดโลกทัศน์ให้ตัวเองได้อย่างแท้จริง

    แน่นอน...กล่าวมาถึงขนาดนี้แล้วคงเดาไม่ยากหรอกว่ามิจิกะนั้นเป็นหนอนหนังสือที่แท้จริง รักการอ่านเป็นชีวิตจิตใจ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ได้เป็นพวกบ้าเรียนเอาแต่จมอยู่ในกองตำราตามลำพังอย่างไร้สังคมเท่านั้น กลับกันเธอเป็นคนที่สดใสร่าเริงคนหนึ่งเลยล่ะ สามารถเข้าสังคมได้อย่างปกติสุขดี ออกจะเป็นคนที่รู้จักคนอื่นไปทั่วด้วยซ้ำ ชนิดที่ว่าเดินไปไหนก็มีแต่คนที่เธอรู้จักเต็มไปหมดเนื่องจากเจ้าตัวอัธยาศัยดี เป็นกันเอง คุยได้หมด ไม่ค่อยถือตัวอะไรเท่าไหร่ เธอสามารถไปเที่ยวไปเฮฮาสนุกสนานด้วยตามประสาเพื่อนได้ตามปกติ แต่แค่ในขณะที่เพื่อนไปดูร้านขายของกระจุกกระจิกหรือเครื่องสำอางและสิงในนั้นเป็นชั่วโมงๆ เธอกลับใช้เวลาในนั้นไม่นานนักแล้วไปหมกตัวในร้านหนังสือแทนจนเพื่อนต้องมาลากกลับ แต่ถ้าพวกไปเที่ยวทะเลหรืออื่นๆที่ไม่มีหนังสือมาดึงดูดใจก็เอนจอยเต็มที่เหมือนกัน การอ่านสำคัญกับเธอมากก็จริง แต่การสนุกกับชีวิตก็ถือเป็นประสบการณ์เหมือนกันแถมอาจมีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ในขณะที่หนังสือมันรอเธอได้ เพราะฉะนั้นเธอแบ่งได้น่าว่าอะไรสำคัญกว่าในเวลานั้น เธอเรียงลำดับความสำคัญเป็นนะ

    แต่ถึงจะกล่าวว่าเป็นหนอนหนังสือก็ใช่ว่ามิจิกะจะเชื่อทุกสิ่งที่เขียนในนั้นไปเสียหมด สิ่งใดที่เธอใช้ความคิดแล้วมันดูไม่เข้าท่าเธอก็ไม่ได้หลับหูหลับตาเชื่อเสียทีเดียว และหากไม่รู้ก็จงหาทางพิสูจน์ให้รู้ซะ นี่คือนโยบายของมิจิกะที่ทำให้เธอเป็นคนช่างสงสัยเอามากๆ สงสัยได้ตั้งแต่เรื่องธรรมดาไปยันเรื่องที่ไม่มีใครคิดว่าจะจะมีคนสงสัยก็มีมาแล้ว แถมไม่ได้สงสัยอย่างเดียว พอสงสัยแล้วต้องหาคำตอบที่ตัวเองพอใจให้ได้ด้วยสารพัดวิธีที่แม่คุณจะนึกออก ไม่แปลกใจที่อาจารย์ทุกท่านในโรงเรียนจะจำหน้ามิจิกะได้เป็นที่เรียบร้อยภายในหนึ่งปี เพราะนอกจากผลการเรียนอันโดดเด่นแล้ว เธอยังมักจะบุกไปห้องพักอาจารย์แทบทุกวันที่เธอมีข้อสงสัยอีกด้วย ถามว่าไม่กลัวเหรอที่ลุยเดี่ยวเข้าถิ่นอาจารย์แบบนั้น คำตอบเธอคือไม่...ด้านได้อายอด เอ้ย ก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีสักหน่อยจะไปกลัวทำไม คือมิจิกะเป็นคนใจกล้าไม่ค่อยกลัวอะไรเท่าไหร่ แถมยังเด็ดเดียวแน่วแน่ในการตัดสินใจ เพราะเธอเรียนรู้มาว่าการลองขอหรือถามอะไรสักอย่างนั้น...ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดที่ออกมาได้หากเกิดการปฏิเสธคือทุกอย่างก็แค่เหมือนเดิมเท่านั้นเอง...ดังนั้นเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของเธอ แม้จะโดนมองด้วยสายตาประหลาดหรือคำบ่นแปลกๆของคนรอบข้างไปบ้างก็ช่างหัวพวกเขาไปเถอะ และส่วนไม่ดีของนิสัยข้อนี้คือถ้าอยากรู้อะไร มีเป้าหมายจะถามแล้วล่ะก็...สาบานได้เลยค่ะว่าเป้าหมายที่ว่าไม่มีวันหลุดมือเธอไปได้หรอก เป็นพวกมีความมุ่งมั่นสูงมากและไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ เห็นแบบนี้เคยลุยไปสำรวจเพื่อค้นหาและพิสูจน์ข้อสงสัยที่ตัวเองมีมาเยอะแล้วนะบอกเลย เพื่อคำตอบแล้ว มิจิกะสู้ตายค่ะ

    นอกจากนั้นแล้ว การที่มิจิกะไม่ค่อยกลัวการเข้าหาผู้ใหญ่หรือแม้แต่คนแปลกหน้า ส่วนหนึ่งอาจเพราะความกล้า แต่อีกส่วนคงเป็นเพราะว่าเธอเป็นคนพูดเก่ง ผิดกับนิสัยหนอนหนังสือทั่วไป  คล่องแคล่วฉาดฉานทุกครั้งยามเอ่ยวาจา ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่ตัวเองกำลังสงสัยหรือสนใจจะยิ่งคุยยาวเลยล่ะ  แถมยังเป็นพวกที่รู้ว่าควรจะพูดอะไร วางตัวยังไงกับคนแบบไหนเพื่อให้ได้ในสิ่งที่เธอต้องการ และอีกฝ่ายไม่เสียอารมณ์มากนัก เรียกได้ว่าวิน-วิน แต่ต้องขอบอกว่าเธอไม่ใช่พวกเอาใจขี้ประจบนะ คือเข้าหาอ่ะยอมรับว่าหวังความรู้...อยากคุยแลกเปลี่ยนในฐานะคนมีความรู้เหมือนกันคุยกัน เธอไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะต้องได้รับอะไรอยู่ฝ่ายเดียวอยู่แล้ว ถ้าอีกฝ่ายอยากได้ความรู้จากเธอ เธอก็พร้อมจะให้เช่นกัน ของแบบนี้ยิ่งให้ก็ยิ่งเพิ่มพูนนี่นา จริงไหมล่ะ

    เอกลักษณ์อีกอย่างที่เป็นซิกเนเจอร์ของมิจิกะคือเธอเป็นคนที่ยึดถือความถูกต้องและยุติธรรมมาก มีเรื่องที่ไหนถ้าเธอรู้เมื่อไหร่จะเป็นสายเคลียร์ทันที มีเรื่องเดือดร้อนอะไรช่วยได้เธอก็จะช่วย มีไม่น้อยที่โดนลูกหลงไปด้วยและโดนหาว่ายุ่งไม่เข้าเรื่องเป็นประจำ นับเป็นนิสัยที่พาความซวยและเจ็บตัวเข้าหาตัวที่แท้ทรู แต่เธอก็หาได้แคร์ไม่ ตราบใดที่ความถูกต้องยุติธรรมยังอยู่ได้ เจ็บตัวแค่นี้เป็นเรื่องเล็ก เป็นสาวน้อยที่มีอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่และมีเป้าหมายในใจเพื่อไปให้ถึง ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เธอจะเป็นนักเรียนตัวอย่างในสายตาอาจารย์ด้วยคุณสมบัติอันเพียบพร้อมที่นักเรียนดีเด่นพึงมีทุกประการ ทั้งผลการเรียนยอดเยี่ยม กิริยามารยาทรู้กาลเทศะและไม่ชวนให้ลำบากใจ (ถ้าจะลำบากใจก็ตรงที่กลัวเธอเป็นอันตรายเพราะวิ่งเข้าหาปัญหาจนโดนลูกหลงมาอยู่เรื่อยนั่นแหละ) เดินไปทางไหนมีแต่อาจารย์ยิ้มให้ทุกคน

    ส่วนมิจิกะในสายตาคนอื่นก็มีทั้งชื่นชมและเกลียดชังปะปนกันไปอาจจะเรียกได้ว่าอย่างละครึ่ง พวกที่ชื่นชมนี่คือมักเป็นพวกที่ได้ทำงานร่วมกันและรู้นิสัยถึงความใจเย็นที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีที่เหมือนใจร้อนนั้น คือต้องบอกว่ามิจิกะเป็นพวกที่ถ้านึกอะไรออกก็จะทำทันทีเมื่อมีเวลา  เช่น ถ้าเจอเรื่องผีที่น่าไปสำรวจ เธอก็จะไปเช็กวันทันทีว่าจะไปได้เร็วที่สุดโดยไม่กระทบงานอื่นของตนเองได้เมื่อไหร่ ไม่ได้ปล่อยไปเฉยๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นพวกโยนงานที่มีทิ้งแล้วเพื่อความต้องการส่วนตัวลงได้ ความรับผิดชอบเธอมีสูงมาก เป็นคนที่เปิดกว้างกับความคิดของคนอื่น แต่ยังคงมีความเป็นตัวของตัวเองไว้อย่างเหนียวแน่น คือในบางเรื่องเธอจะหัวดื้อปนเผด็จการหน่อยๆน่ะนะ แถมขี้บ่นเพิ่มอีก พยายามมากจนเกือบจะเรียกว่าดันทุรังด้วย มีความสบายๆและความละเอียดผสานกันอยู่ในขอบเขตที่ไม่ชวนให้อึดอัดเกินไป สามารถเป็นได้ทั้งผู้นำและผู้ตามแล้วแต่เรื่องไป แต่โดยส่วนตัวแล้วหากไม่ใช่เรื่องที่สนใจจริงๆ มิจิกะมักจะชอบเป็นผู้ตามมากกว่าเพราะมีอะไรให้คิดเยอะแล้ว แต่ถ้าตัวเองมีข้อเสนอที่แตกต่างก็จะเสนอตลอดนะ ไม่ใช่สักแต่จะตามอย่างเดียว

    แล้วพวกที่เกลียดมิจิกะล่ะ? คือต้องเข้าใจความจริงของโลกที่ว่ามีคนรักย่อมมีคนเกลียดเป็นเรื่องธรรมดา อย่างการเป็นนักเรียนดีเด่นในสายตาอาจารย์ก็มากเพียงพอที่จะทำให้คนหมั่นไส้แล้ว แถมหน้าตาของเธอก็ธรรมดา ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่มันมักจะกลายเป็นหัวข้อในการโจมตีเธออยู่เรื่อย...ก็เพราะมิจิกะเป็นคนที่ไม่แต่งหน้าเลย มีแค่ลิปมันกันปากแห้งกับทาแฮนด์ครีมกันมือแตกแค่นั้น คือกฎของโรงเรียนเขาไม่ให้แต่ง เธอก็เลยไม่แต่ง อีกอย่างคือค่าขนมของเธอส่วนใหญ่มักหมดไปกับค่าหนังสือไม่ก็เครื่องเขียน รองลงมาคือของกิน เครื่องสำองสำอางของกระจุกกระจิกอะไรนี่นานๆจะโผล่มาสักที คือเป็นพวกไม่ค่อยสนใจการแต่งเนื้อแต่งตัวเท่าไหร่ทำให้หน้าตาดูเรียบๆจืดๆ เหมือนดอกไม้ริมทาง ทั้งที่หากแต่งสักหน่อยคงจะดูดีกว่านี้มากแท้ๆ อีกเรื่องที่มักจะกลายเป็นประเด็นคือการไปยุ่งไม่เข้าเรื่องเนี่ยแหละ คือต้องรู้ไว้ก่อนว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องโต้เถียงจริง เธอจะเป็นคนที่พูดตรงมากและไม่มีการอ้อมค้อมอะไรทั้งสิ้น ทั้งที่ปกติก็พอมีพูดอารัมภบทนิดๆบ้าง แต่พอมานี่ไม่มีแล้วค่ะ ซัดตรงเข้ากลางใจทุกดอกเพราะเดิมทีก็เป็นพวกปากตรงกับใจอยู่แล้ว สุภาพแต่ฟังแล้วหน้าชาเหมือนโดนลากไปตบหน้ากลางสี่แยก แถมตอนที่มีเรื่องทีไรหากตัวเองไม่ใช่ฝ่ายผิดแล้วอย่าหวังเลยว่าเธอจะยอมง่ายๆ ละจะกลายเป็นพวกหัวแข็งยิ่งกว่าหินทันที และหากมีใครมาบอกให้ขอโทษทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ผิดจะรู้สึกแย่มาก แต่ถ้าตัวเองผิดก็ยอมรับได้หากจะทำเช่นนั้น ที่จริงแล้วเธอก็แค่อยากให้ฝ่ายที่ผิดยอมรับ ขอโทษ แล้วไม่ทำมันอีกก็เท่านั้น แต่ประเด็นคือเรื่องมักไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิ เลยมักจะทะเลาะกันยาวเลย...

    ฟังดูแล้วเหมือนมิจิกะเป็นคนสายแข็ง ก็ใช่...เธอเป็นพวกที่หัวแข็งมากหากเป็นเรื่องนี้ แต่ในยามปกติเธอก็เด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ร่าเริง อ่อนโยน...เอ่อ อาจจะน้อยแต่ก็มีบ้างแหละ แอบจะติดแก่นแก้วและซุกซนในบางครั้งซะด้วยซ้ำ ความเรียบร้อยอะไรบอกเลยว่า...ก็แค่ใส่เครื่องแบบกับพูดจาเรียบร้อย(ในสายตาคนทั่วไปกรณีปกติ) พฤติกรรมอย่าให้พูดเยอะ เห็นแบบนี้ปีนต้นไม้ในโรงเรียนมาจะครบทุกต้นแล้ว แถมนอกโรงเรียนถึงแม้จะยังยึดถือความยุติธรรม แต่ก็แอบมีไปทำอะไรที่เป็นความสนุกเล็กๆน้อยๆตามประสาวัยรุ่นกับเพื่อนบ้าง ก็อยู่ในกรอบมันสบายใจแต่บางทีแหกออกมาสักหน่อยก็สนุกดีเหมือนกันนี่นา เธอเป็นคนที่ใช้ชีวิตได้เต็มที่ในกรอบของตัวเอง แบบ...ทำอะไรที่ตัวเองสบายใจและรักจะทำ การเป็นเด็กดีและอื่นๆที่คนอื่นหาว่าสร้างาภาพนั้นเธอพอใจที่จะทำมันเองล้วนๆ ใครจะว่าอะไรก็ช่างเขาเถอะ แล้วถ้ารู้จักเธอดีพอจะรู้ว่า...มิจิกะเป็นคนที่โกหกได้ค่อนข้างห่วยแตก เสแสร้งไม่ค่อยจะเป็น แสดงละครก็ไม่ค่อยเนียน เพราะหากกำลังทำส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายมักจะหลุดพิรุธออกมาให้เห็นอยู่เรื่อย

    มิจิกะเหมือนเป็นคนใจร้อน แต่ความจริงก็อย่างที่พูดไปแล้วว่าเป็นคนทิ่คิดเร็วทำเร็วเท่านั้น แถมด้วยนิสัยหลายๆอย่างที่กล่าวมารวมกัน ทำให้เธอตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องใจเย็นบ่อย ดังนั้นจริงๆแล้วเธอเป็นคนใจเย็น...เย็นแบบที่มีสติ ไม่หลงไปตามอารมณ์น่ะนะ แต่ก็ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าเธอไม่ได้ความอดทนสูงขนาดนั้น อย่างว่าเธอก็แค่เด็กคนนึง และพอโกรธเมื่อไหร่จะเป็นพวกเจ้าอารมณ์ทันที แบบไอ้ที่เห็นเหมือนใจเย็นเมื่อกี้หายวับ มีแต่ไล่ต้อนอีกฝ่ายด้วยคำพูดพร้อมอารมณ์ที่กรุ่นขึ้นเรื่อยๆ ถ้าอีกฝ่ายขึ้นตามก็เปิดวอร์เลยจ้า และจะหายต่อเมื่อมีใครมาตบหรือพูดเรียกสติแรงๆ เท่านั้น ซึ่งส่วนมากมักเป็นน้องชายของเธอเอง อีกสิ่งที่ต้องพูดคือมิจิกะเป็นคนที่รักครอบครัวมาก อะไรที่จะทำให้คนที่บ้านเสียใจ เลี่ยงได้เธอจะเลี่ยงหมด อาจจะมีลากน้องชายไปสำรวจสถานที่ด้วยกันบ้าง แต่เชื่อเถอะว่าหากมีอันตรายเธอจะให้น้องหนีไปก่อนอยู่ดี ส่วนเรื่องเสียใจนี่คือเป็นคนที่มีข้อดีคือเสียใจอะไรไม่ค่อยนานค่ะ เพราะเป็นพวกประเภทใช้ชีวิตแบบที่ไม่คิดจะเสียใจภายหลังอยู่แล้ว ยกเว้นแต่เป็นเรื่องของครอบครัวนี่แหละที่หากเป็นอะไรไป ตัวเธอคงรู้สึกเหมือนโลกดับสลายไปในวันนั้นเลยก็ได้ เพราะที่หนึ่งในใจเธอไม่ว่าเมื่อไหร่ก็คือครอบครัวค่ะ ต่อให้แข็งแหร่งขนาดไหนแต่พอมาเป็นเรื่องนี้จะเป็นคนที่อ่อนไหวทันที ก็คนมันรักนี่นา ให้ทำไงได้ล่ะ

    ในเรื่องของความรัก อย่างที่กล่าวไปเมื่อครู่คืออันดับหนึ่งในใจเธอคือครอบครัวค่ะ โดยเฉพาะน้องชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของเธอ ซากุราอิ ทาคุยะ ที่ห่างกันสามปี และเธอก็รู้ว่าน้องเธอก็รักเธอมากเช่นกัน ถ้าให้เลือกระหว่างอยู่บ้านกับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าและออกไปเที่ยวกับเพื่อน แน่นอนว่าเธอเลือกอย่างแรกอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนนเรื่องของความรักแบบคนรักน่ะเหรอ...อืม เธอเคยอ่านิยายโรแมนติกมาก็มากมาย แต่ไม่เคยเจอใครที่ทำให้เธอรู้สึกแบบที่เขาว่าได้เลยสักคน มองคนรอบตัวที่มีคนรักแล้วก็ยังไม่เข้าใจ แต่เนื่องจากไม่ได้อยากรู้หรือสงสัยอะไรเธอจึงไม่ได้ขวนขวายหามันมากมายนัก แล้วถามว่ามีคนมาจีบบ้างไหม...มีนะคะ พวกหนอนหนังสือแบบเนิร์ดๆเนี่ยจะชอบเธอมาก แต่เธอปฏิเสธเกลี้ยงไม่ว่าจะหล่อขนาดไหน เหตุผลก็อย่างที่กล่าวไปแล้วนั่นแหละ อืม...เธอไม่ใช่คนเรื่องมากแต่ก็แอบคาดหวังความโรแมนติกนิดๆตามประสาผู้หญิงทั่วไปน่ะนะ แต่ขอบอกว่าความช่างสังเกตในเรื่องนี้เธอต่ำค่ะ แบบ...เอ่อ เขาดูออกกันหมดแล้วค่ะเพื่อน นี่ยังไม่รู้ตัวจริงๆเหรอ คือเรื่องความรักของคนอื่นอาจจะเห็นนะ แต่พอมาเป็นเรื่องของตัวเองนี่เหมือนกลายเป็นคนตาบอดเลยล่ะ แต่เป็นคนที่รักแล้วจะรักษามันไว้นานๆ และรักเดียวใจเดียวค่ะ...ก็สำหรับผู้ชาย 3D น่ะนะ (ไม่ใช่อะไร สามีในนิยายเธอมีเยอะ สเป็กเธอเลยแอบสูงด้วย...เห็นแบบนี้ก็แอบมีมุมมโนไม่เบานะคะ ว่าที่แฟนโปรดทำใจด้วย // แค่กกกกกกกกกกก)

     

    ประวัติ :

                หากจะให้กล่าวถึงประวัติเบื้องหลังของ ซากุราอิ มิจิกะ แล้ว บางอาจจะฟังดูน่าเบื่อเหมือนตำราเล่มหนึ่ง เพราะมันช่างเรียบง่ายและสงบ อย่างที่ชีวิตของคนธรรมดาทั่วไปเฝ้าฝันจะมี...

                ครอบครัวซากุราอินั้นเป็นเพียงครอบครัวชนชั้นกลางธรรมดาๆ ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลิศเลอไปกว่าใครอื่น หากจะบอกว่ามีอะไรพิเศษ...คงต้องบอกว่าบรรยากาศในบ้านนี้เป็นอะไรก็ตามที่คนมาเยือนชอบเป็นพิเศษล่ะมั้ง? เพราะทุกคนในบ้านดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันดีจนน่าอิจฉาเหลือเกิน..

                ตั้งแต่ที่มิจิกะลืมตาดูโลกมา สองสามีภรรยาซากุราอิ ทาคุมิ และ มิจิโยะ เองก็ให้ความรักความเอาใจใส่ต่อเด็กน้อยอย่างเต็มที่ แม้ว่าทั้งคู่จะประกอบอาชีพที่ไม่ได้มีรายได้สูงมากมายนัก แต่ก็นับว่าสามารถเลี้ยงดูบุตรสาวและประคองครอบครัวไปได้อย่างราบรื่น ทาคุมิเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ในขณะที่มิจิโยะมีรายได้จากการแปลหนังสือต่างประเทศ โดยเลือกที่จะทำงานที่บ้านเพื่อจะได้ดูแลลูกน้อยของเธอได้ตลอดเวลา

                ไม่น่าแปลกใจหากจะบอกว่ามิจิกะนั้นเติบโตขึ้นมาท่ามกลางกองหนังสือ ตั้งแต่จำความได้ เธอมักจะรบเร้าให้พ่อหรือแม่อ่านหนังสือให้ฟังสักเรื่องก่อนนอนเสมอไม่อย่างนั้นจะนอนไม่หลับ เริ่มตั้งแต่นิทานเด็ก นิทานกริมม์ เรื่องเล่าต่างๆ แน่นอนว่าเรื่องเหล่านั้นมักมีเรื่องผีปนอยู่ด้วย แต่ถึงแม้พ่อแม่จะเล่าให้ฟัง ก็เล่าในทำนองขบขันเสียมากกว่าจะขู่หรือตั้งใจจะให้มิจิกะกลัวจริงๆ กลับกลายเป็นว่าเรื่องเหล่านั้นกลับจุดประกายให้เธอสนใจแทนที่จะกลัวเหมือนเด็กทั่วไปเสียอย่างนั้น

                “แม่คะ...ตกลงตำนานนั้นเป็นเรื่องจริงเหรอคะ ที่ว่าวิญญาณออกมาล้างแค้นชายหนุ่มที่นอกใจตัวเองน่ะ เรื่องผีเนี่ย...มีจริงๆเหรอคะ”

                “ฮิฮิ นั่นสินะ...” มิจิโยะหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของลูกสาว “แม่เองก็อยากรู้เหมือนกันนั่นแหละจ้ะ แต่แม่ไม่เคยเจอเลย มีแต่เรื่องผีที่ได้ยินมาจากเพื่อนแม่เท่านั้นแหละ”

                “จริงเหรอคะ” นัยน์ตาของเด็กหญิงเป็นประกายตื่นเต้น “เล่าให้ฟังหน่อยสิคะ นะๆ”

                “แต่ตอนนี้ได้เวลานอนแล้วนะลูกสาวคนเก่งของพ่อ” ทาคุมิลูบหัวลูกสาววัยสามขวบกว่าที่พูดจาฉาดฉานเกินวัยอย่างเอ็นดู ก้มลงไปหอมหน้าผากเบาๆ “ไว้มาเล่าพรุ่งนี้แล้วกันนะ”

                “...ก็ได้ค่ะ” แต่แม้ปากจะว่าอย่างนั้น ไม่ถึงสิบวินาทีก็เอ่ยถามใหม่ “แล้วพ่อเคยเจอผีมั้ยคะ”

                คุณพ่ออมยิ้ม “พ่อน่ะไม่เคยหรอก แต่คนรอบตัวพ่อบางคนก็บอกว่าเคยเจอเหมือนกัน”

                “แล้วตกลงผีเนี่ยมันมีจริงมั้ยคะ?”

                ทาคุมิกับมิจิโยะหันไปมองหน้ากันแล้วอมยิ้ม ก่อนที่ชายหนุ่มจะเป็นฝ่ายตอบคำถามของลูก

                “เรื่องนั้นลูกต้องพิสูจน์และตัดสินใจเองจ้ะลูกพ่อ เอาละ นอนได้แล้วนะคนเก่ง ราตรีสวัสดิ์ครับ”

                ต้องพิสูจน์และตัดสินใจเอง...

                ใครจะรู้ล่ะว่าคำๆนี้ของพ่อ...มีอิทธิพลต่อความคิดของมิจิกะขนาดไหน...

                อีกคำพูดหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของมิจิกะนั้นมาจากคุณแม่ ตอนที่เธอฟังท่านเล่าเรื่องราวก่อนนอนจนจบ...เนื้อความเกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง

                มิจิกะในตอนนั้นยังเยาว์วัยและสงสัย...

                “คุณแม่คะทำไมเขาถึงต้องลำบากขนาดนี้เพื่อสิ่งที่ถูกต้องด้วยล่ะ?” เด็กหญิงถามด้วยความใคร่รู้ “ถ้าไม่สู้ เขาก็ไม่ลำบากไม่ใช่เหรอคะ?”

                มิจิโยะลูบหัวเด็กน้อยของเธอ กล่าวเสียงนุ่ม “มิจิกะ สิ่งที่ดีที่ถูกต้อง บางทีก็ไม่ได้ได้มาง่ายๆ หนูก็เห็นใช่มั้ยว่ามันลำบากที่จะได้มันมา”

                “ใช่ค่ะ...แล้วทำไม...”

                “ถ้ามีคนมาทำไม่ดีมากๆกับแม่แล้วเขาไม่ได้รับการตักเตือน แบบนั้นดีมั้ย”

                เด็กหญิงสั่นหัวยิก “ไม่ค่ะ เราควรจะเตือนเขา หรือทำโทษเขาตามสมควร”

                “แล้วถ้าเขาเตือนหรือลงโทษได้ยากล่ะ?”

                “ก็ต้องหาทางค่ะ คนผิดควรได้กับการตักเตือนหรือลงโทษ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม”

                มิจิโยะลูบหัวลูกสาวตัวเองอย่างภาคภูมิใจ “จำคำพูดนี้ไว้นะลูก ไม่ว่าลูกจะโตไปเป็นยังไง อย่าลืมสิ่งที่ถูกที่ควรนะจ๊ะ มิจิกะของแม่...”

                “อื้ม!

                ไม่นานหลังจากนั้น แม่เธอก็มีน้องชายให้เธอ ซากุราอิ ทาคุยะ แน่นอนว่ามิจิกะดีใจมากที่มีน้อง เพื่อว่าจะได้มาคนเอาไว้ชวนคุยเล่น ทาคุยะโตมาในสภาวะเดียวกับเธอ แน่นอนว่าสองพี่น้องรักหนังสือและการอ่านยิ่งกว่าสิ่งใด เรียกได้ว่าจะกินหนังสือแทนข้าวกันเลยทีเดียว เพียงแต่จุดแตกต่างที่สุดของสองพี่น้องคู่นี้มันอยู่ตรงที่...

                “...พี่ ผมได้ยินจากเพื่อนมาว่ามีเจ็ดตำนานเรื่องเล่าในโรงเรียนที่...เฮี้ยนมากเลย...พี่สนมั้ย?”

                ไม่ต้องสงสัยว่ามิจิกะแทบจะพุ่งไปหาน้อง ซักรายละเอียดทันที ทันทีที่รู้เรื่อง ดวงตาก็เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะจับบ่าน้องทั้งสองข้าง มองตาแล้วถามน้องชายสุดที่รักว่า

                “น่าสนใจจัง ไปสำรวจด้วยกันมั้ยทาคุยะ”

                ทาคุยะทำหน้าตึง “พี่ก็รู้นี่ว่าผมไม่ไปอยู่แล้ว ไม่ได้อยากรู้แต่แรกด้วย ที่เอามาบอกเนี่ยเพราะรู้ว่าพี่ชอบหรอกนะ”

                ...อาฮะ ทาคุยะน่ะไม่ชอบเรื่องผี...พูดให้ถูกคือกลัวผีเอาเรื่อง

    เหตุมันก็มาจากที่พี่สาวอย่างมิจิกะชอบไปเล่าเรื่องผีกรอกหูน้องตั้งแต่เด็กนี่แหละ เพราะอยากจะมีเพื่อนคุยเรื่องพวกนี้บ้าง กลายเป็นว่าทาคุยะดันกลัวไปเสียอย่างนั้น ท่ามกลางความเอ็นดูแกมขบขันของพ่อแม่ แต่ถึงอย่างนั้นสองพี่น้องก็รักกันมาก แม้ทาคุยะจะไม่ชอบเรื่องผีขนาดไหน แต่ถ้ามีเรื่องอะไรเขาก็มักจะเอามาบอกเธอที่เป็นพี่สาวเสมอ และแม้จะอายุห่างกันสามปีแต่ก็คุยกันได้อย่างสนิทสนมดีเรื่อยมาจนปัจจุบันนี้

    ที่ผ่านมาก็มีบ่อยครั้งที่ทาคุยะโดนมิจิกะลากไปสำรวจสถานที่ที่ลือกันว่ามีผีเนื่องจากเพื่อนพี่สาวไม่ว่างไปด้วย ให้สารภาพว่าเขาก็กลัวนะ แต่ห่วงพี่สาวมากกว่า อย่างน้อยถ้ามีอะไรจะได้คว้าแขนพี่สาวแล้วโกยทัน เพราะอย่างพี่น่ะ ทาคุยะเชื่อว่าต่อให้เจอผีจริงคงได้ยืนสัมภาษณ์ผีแน่ๆ...

    กล่าวได้ว่าความสัมพันธ์ในครอบครัวซากุราอินั้นเป็นอะไรก็ตามที่ดูเรียบง่ายแต่น่าอิจฉามาก ในวันหยุดพวกเขาก็แค่เอาหนังสือคนละเล่มสองเล่มมานั่งอ่านด้วยกัน ทานข้าวแล้วคุยกันตามประสาครอบครัว ถ้าไม่มีใครติดอีเว้นท์อะไรตามประสาเด็กวัยรุ่นหรือคนทำงานล่ะก็นะ หากทาคุมิลางานได้ก็จะไปเที่ยวกันทั้งครอบครัว อะไรแบบนี้เป็นต้น

                เนื่องจากเติบโตมาท่ามกลางหนังสือ ไม่แปลกใจเลยที่เธอจะกลายเป็นคนที่รอบรู้และหัวไวยิ่งกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน ตั้งแต่ชั้นประถมเธอสอบได้ติดอันดับท็อปห้าของรุ่นเสมอ และเริ่มเข้าสภานักเรียนและชมรมเรื่องลี้ลับตั้งแต่มัธยมต้น ที่จริงแล้วตอนแรกเธอจะเข้าแค่ชมรมเรื่องลี้ลับอยู่หรอก แต่รุ่นพี่ที่เธอรู้จักเสียดายความสามารถ เลยมาชวนให้ไปเป็นสภานักเรียนด้วยโดนยื่นเงื่อนไขว่าจะอนุญาตให้อยู่สองชมรมได้ แค่งานในสภาจะต้องไม่เอื้อผลประโยชน์ให้อีกชมรมที่ตัวเองสังกัดเท่านั้น มิจิกะก็เลยตอบตกลงไป

                จนกระทั่งมิจิกะได้ย้ายขึ้นชั้นมัธยมห้า...และได้พบเจอกับเขาคนนั้น...

                ใครบางคนที่จะเปลี่ยนโลกทั้งใบของเธอไปตลอดกาล... 

     

    ลักษณะการพูด :

    มิจิกะมีเสียงที่ธรรมดาๆ ที่ไพเราะกังวานสมเป็นเด็กสาว ฟังดูสดใสเปี่ยมพลังมากกว่าจะนุ่มนวลอ่อนหวานตามนิสัยที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา การพูดการจาเธอจึงแสดงออกมาในทำนองเดียวกัน แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะพูดตรงๆที่อๆแบบไร้วาทศิลป์แต่อย่างใด ตรงกันข้าม เธอเป็นคนที่พูดเก่งมากเสียด้วยซ้ำ รู้จักวิธีการพูดที่เหมาะสมกับแต่ละคนได้อย่างดี น้ำเสียงมักจะแสดงอารมณ์ออกมาชัดเจนในระดับหนึ่งแต่ไม่โจ่งแจ้งจนเกินไป ยกเว้นแต่จะอารมณ์พีคสุดๆจริงๆ เช่นตอนตื่นเต้นดีใจมากๆ หรือตอนโกรธมากๆ ถ้าโกรธมากเมื่อไหร่เสียงจะดังขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ พร้อมๆกับที่เลเวลความรุนแรง(ความตรงจนแทงใจดำ)ในการทำลายตับไตฝ่ายตรงข้ามจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ต้องขอแจ้งไว้ก่อนว่า ไม่ว่าเธอจะโมโหหน้ามืดขนาดไหน เธอก็ไม่เคยหลุดคำหยาบคายออกมาเลยแม้แต่คำเดียว พอดีพ่อแม่เธอสอนมาดี แม้จะไม่ได้พูดมีคำลงท้ายทุกประโยค แต่ปกติก็จะพูดฟังดูสุภาพอยู่แล้ว

    มักแทนตัวเองว่า “ฉัน” แทนคนอื่นด้วย “นามสกุล” หรือ “คุณ” สำหรับคนไม่คุ้นเคยหรือคุยกับผู้ใหญ่ แต่กับคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่สนิทกัน เธอมักเรียกด้วย “ชื่อ” สรรพนามจะเป็น “นาย” “เธอ” แล้วแต่เพศไป (กรณีรุ่นราวคราวเดียวกันแต่ไม่สนิท มักเรียกนามสกุล สรรพนามเป็น นาย/เธอ เช่นถ้าเธอจะเรียกอายาโตะ เธอจะเรียกว่า “ซาคามากิ” หรือ “นาย” เป็นต้น)

    ตัวอย่างการพูดจา

    [1: Introduction & Something in daily life]

     “ฉัน...ซากุราอิ มิจิกะ ยินดีที่ได้รู้จัก ฝากตัวด้วยนะ” (ยิ้มนิดๆ อย่างเป็นกันเอง)

    “กลับมาแล้วค่า นี่ทาคุยะ~ วันนี้พี่ซื้อหนังสือเล่มที่นายตามหากลับมาด้วยแหละ”

    (เวลากับบ้านแล้วเอาหนังสือที่รู้ว่าน้องอยากได้มาฝาก หน้าตางี้ระรื่นเชียว)

    [2: With friends or teachers]

    “ฉันว่าเรื่องนี้น่าสนใจมากเลยล่ะ ลองไปสำรวจกันดูดีมั้ย?”

    (เวลาอยู่ในชมรมเรื่องลี้ลับแล้วมีคนพูดเรื่องน่าสนใจขึ้นมาจนทำเอาเธออยากไปสำรวจ)

    “ฉันไม่เห็นด้วยกับเรื่องนั้นนะ ถึงจะเป็นวิธีการที่รวดเร็วก็จริง แต่มันไม่ถูกต้อง ถ้าพวกอาจารย์รู้เข้าล่ะก็เราจะแย่กันหมดนะ แต่ถ้าพวกเธอยังยืนกรานจะทำอย่างนั้น ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าเรื่องนี้ฉันจะไม่ร่วมด้วยเด็ดขาด”

    (เวลามีใครเสนอในสิ่งที่เธอไม่เห็นด้วย อาจเป็นทริกการโกงหรืออะไรก็ตามที่มันขัดกับหลักการของเธอ)

    “สวัสดีค่ะอาจารย์ พอดีหนังสือที่ยืมอาจารย์มาเล่มนี้มีส่วนที่ไม่ค่อยเข้าใจ ขอเวลาสักนิดอธิบายให้หนูฟังได้ไหมคะอาจารย์?”

    (เวลามีอะไรไม่เข้าใจแล้วจะไปถาม)

    [3: Serious & Angry mode]

    “ให้ตายเถอะ...นี่นายทำของพังเป็นรอบที่ห้าของเดือนนี้แล้วนะ เมื่อไหร่จะจ่ายคืนสภานักเรียนสักที ของพังแล้วมันไม่มีเสกกลับมาฟรีๆนะ”

    (เมื่อโดนสภาใช้ให้ไปตามทวงเงินของคนที่ทำของในรร.พัง)

    “...ไร้สาระ? ถามจริง...นี่เธอกำลังด่าตัวเองเหรอ? หาว่าคนอื่นไร้สาระเนี่ยหัดดูตัวเองนะด้วยว่าสิ่งที่ตัวเองทำน่ะมีสาระมากกว่าคนที่ตัวเองว่าหรือเปล่า”

    (เมื่อโดนว่า จงสวนอย่างเยือกเย็น???)

    “หน้าตาธรรมดาแล้วไปหนักกบาลส่วนไหนของเธอเหรอไง!? ถ้าหน้าตาดีแล้วต้องทำตัวไร้สมองอย่างเธอ...ฉันขอหน้าตาบ้านๆอย่างนี้ต่อไปดีกว่า!

    (เริ่มปรี๊ดแล้ว)

    [4: With Sakamaki Ayato]

    “ฟังให้ดีนะนายซาคามากิ อายาโตะ ฉัน-ไม่-สนว่านายจะเป็นใคร แต่ถ้านายยังพังข้าวของหรือหาเรื่องคนอื่นต่อไปแบบนี้ ในฐานะหนึ่งในกรรมการนักเรียน เราคงต้องคุยกันยาวแน่ ฉะนั้นทำตัวให้ดีด้วย...” ดวงตาสีอ่อนหรี่ลง ก่อนจะเอ่ยปากต่อเมื่อเห็นสีหน้าคู่กรณี “ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้น ฉันก็ไม่ได้อยากมาบ่นนายแบบนี้เหมือนกัน แล้วถ้าจะโวยวายเชิญไปหาประธานนักเรียนโน่น พูดกับฉันไปก็ไม่ได้อะไรหรอก”

    “...นะ...นาย...ดูดเลือด...ฉัน?” ดวงตาสีอ่อนเบิกกว้าง มองภาพเพื่อนร่วมชั้นที่กำลังปาดของเหลวสีข้นออกจากริมฝีปากด้วยท่าทีหัวเสีย มือบางกุมลำคอที่มีหยาดเลือดไหลรินจากการกระทำเมื่อครู่ ก่อนที่เธอจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นที่สุดในชีวิต “...แวมไพร์...นาย...เป็นแวมไพร์จริงๆเหรอเนี่ย! ยอดไปเลย!!!

    “เรามาทำข้อตกลงกันดีมั้ย ซาคามากิ...” เด็กสาวยิ้ม ไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้อีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะอยากบีบคอเธอเต็มทนก็ตาม “ฉันจะเก็บเรื่องที่นายเป็นแวมไพร์เอาไว้เป็นความลับก็ได้ แลกกับการที่นายต้องช่วยอะไรฉันนิดๆหน่อยๆ...เช่น การให้ข้อมูล อะไรแบบนี้ แหม...อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ฉันแค่อยากรู้เท่านั้นเองว่าตัวจริงกับที่เขียนในหนังสือมันต่างกันยังไงบ้างก็เท่านั้นเอง ไม่เสียหายอะไรนี่นาจริงไหม?”

    ชอบ :

    - หนังสือ [เพราะเป็นสิ่งที่มอบความรู้และความเพลิดเพลินให้เธออย่างไม่รู้เบื่อ]

    - เรื่องลี้ลับหรือเรื่องผี [เพราะมันลึกลับน่าสนใจ คู่ควรกับการพิสูจน์ว่ามีจริงหรือไม่]

    - การได้พิสูจน์หรือได้คำตอบในสิ่งที่อยากรู้ [เพราะเธอจะได้ไม่คาใจซักที]

    - ครอบครัว [เพราะรักนี่นา ครอบครัวของเธอนี่คือที่หนึ่งเลยล่ะ]

    - อาหารที่ทำจากปลา [เพราะมันอร่อยยังไงล่ะ ขึ้นชื่อว่าทำจากปลาเธอชอบหมดนั่นแหละ]

    - ความยุติธรรมและความถูกต้อง [เพราะมันคือสิ่งที่สมควรจะมีไง โลกเราถึงจะน่าอยู่]

    - ธรรมชาติ [เพราะให้ความรู้สึกสงบดีน่ะ]

    ไม่ชอบ : 

    - เรื่องที่จะทำให้ครอบครัวลำบากหรือเสียใจ [เพราะรักอีกนั่นแหละ เลยไม่อยากทำให้พวกเขาเดือดร้อน]

    - ความไม่รู้ / เรื่องที่ค้างคา ครึ่งๆกลางๆ [เพราะมันจะทำให้เธอหงุดหงิด ไม่ชอบอะไรที่มันไม่ชัดเจนหรืออยู่กลางทาง]

    - ความไม่ยุติธรรม และคนที่พยายามทำลายความยุติธรรม [เพราะว่ามันไม่ดีน่ะสิ พ่อแม่ไม่ได้สอนมารึไง]

    - คนที่ดูถูกคนอื่น [เพราะเธอคิดว่าแต่ละคนก็มีข้อดีข้อด้อยต่างกันไป ไม่มีใครเพอร์เฟ็กต์ เธอไม่เข้าใจว่าจะดูถูกคนอื่นทำมะเขืออะไร ในเมื่อตัวเองก็ยังมีข้อเสียเหมือนกัน]

    - คนที่คุยด้วยไม่รู้เรื่อง ต้องให้พูดซ้ำซาก [เพราะเธอเป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรย้ำๆซ้ำๆ เพราะมัน...น่ารำคาญน่ะ สองสามครั้งพอว่า มากกว่านั้นนี่...ฮึ่ม]

    - ขิง [เพราะรสชาติห่วยแตกไงล่ะ]

    - ฤดูร้อน [เพราะเธอไม่ชอบที่ร้อนๆก็หนึ่งล่ะ...สองคือ...หน้าร้อนต้องมีวิชาว่ายน้ำ ซึ่งเธอเกลียดมัน เนื่องจากเธอว่ายน้ำไม่เป็นนั่นเอง...]

     

    กลัว : 

    - จมน้ำ [เหตุผลง่ายมาก...เธอว่ายน้ำไม่เป็น! คาบว่ายน้ำของโรงเรียนทีไรยัยนี่เกาะขอบสระอย่างเนียนๆ ทุกครั้ง ไม่ก็ป่วยการเมืองไปนอนห้องพยาบาล ถ้าประจำเดือนมาก็รอดไป ก็...ไม่เสี่ยงอ่ะนะ...แหะๆ...]

    - การสูญเสียคนในครอบครัว [เพราะว่าเธอรักมาก ก็เลยหวาดกลัวที่จะเสียไป]

    ความสามารถพิเศษ :

    - เป็นคนที่มีความสามารถใช้การสังเกต คิดวิเคราะห์ และจดจำสูงมาก ฉลาดมากเลยล่ะ

    - ช่างเจรจา โดยเฉพาะการต่อรองหรือแลกเปลี่ยนจะทำได้ดีเป็นพิเศษ แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือการพูดไล่บี้คนอื่นตอนโกรธนี่แหละ

    - ทำอาหารได้ดีมาก แต่งานบ้านอย่างอื่นเซย์กู๊ดบายเท่านั้น

    - มีเส้นสายและแหล่งการหาข้อมูลอันเยี่ยมยอด (มีคนรู้จักเยอะ) อยากรู้อะไรยากแค่ไหนเชื่อเถอะว่าเธอหาได้แบบไม่ต้องเปย์ตังค์ แค่อาจจะต้องลงทุนลงแรงหน่อย

    - ยุทธการวิ่งสี่คูณร้อยแบบไม่คิดชีวิต ไม่แคร์ภาพพจน์ใดๆ คือเป็นคนวิ่งเร็วมากๆ แต่ได้แค่ระยะสั้นๆ นะ

    - อ่านหนังสือได้เร็วมากๆ ทั้งญี่ปุ่นและอังกฤษ จนคนอื่นตกใจ อ่านไม่พอสรุปใจความสำคัญเสร็จได้ในการอ่านครั้งเดียวด้วย ถ้าอ่านรอบสองคือมักเก็บรายละเอียดมากกว่า

    งานอดิเรก : อ่านหนังสือ / สำรวจสถานที่ๆมีข่าวลือว่ามีผี(?) / ใช้เวลากับครอบครัว / ฟังเพลง / ไปพิสูจน์เรื่องที่ตัวเองสงสัย

    เพิ่มเติม :

    - มิจิกะเกิดวันที่ 25 มีนาคม กรุ๊ปเลือด O

    - มิจิกะเป็นคนถนัดมือซ้าย

    - ปัจจุบันถ้าอยู่บ้านว่างๆ บางทีจะช่วยแม่แปลหนังสือ (เพราะชอบจิ๊กเอาต้นฉบับแม่ไปอ่านเล่น แม่เลยให้ฝึกแปลซะเลย) ปิดเทอมมักจะไปช่วยงานที่ร้านขายหนังสือเสมอจนซี้กับเจ้าของร้านไปแล้ว

    - มิจิกะมีคนรู้จักไปทั่ว มีเพื่อนทางจดหมายและอีเมลอยู่หลายประเทศ เวลาพวกเขามาเที่ยวญี่ปุ่น เธอก็ไปเป็นไกด์ให้ ได้เพื่อนมาเยอะแยะ (ปัจจุบันคือโดนเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศตื้อให้ไปเที่ยวบ้านตัวเองตลอด เนื่องจากมิจิกะไม่เคยไปต่างประเทศเลยค่ะ!!!) (พอดีพ่อชอบเที่ยวในประเทศ ส่วนคนที่เหลือยังไงก็ได้)

    - คนรอบตัวมิจิกะจะค่อนข้างกลัวที่เธอชอบเอาตัวไปเสี่ยงกับอะไรแปลกๆ แต่ก็แปลกดีที่ไม่คอยมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอเท่าไหร่ สงสัยดวงจะแข็ง

    - ถึงจะบอกว่ามิจิกะคาดหวังความโรแมนติก แต่ด้วยความที่ว่าอ่านหนังสือมาทุกประเภทกระทั่งอิโรติก 18+ กระทั่งนิยายวายเรทก็อ่านมาแล้ว จึงเป็นคนที่ทั้งเปิดกว้างและหน้าหนามากเมื่อเทียบกับเด็กสาวคนอื่นในเรื่องแบบนี้ ไม่สะท้านต่อการพูดเรื่องใต้สะดือหากนั่นไม่ได้กำลังคุกคามตัวเองอยู่

    - สเป็กผู้ชายที่ชอบจากการอ่านนิยายมาคือผู้ชายที่มีความเป็นผู้ใหญ่...(อื้มมมมมมมมมมมม)

    - มิจิกะไม่ใช่คนที่บ่อน้ำตาตื้น แต่ถ้าร้องไห้เมื่อไหร่จะหยุดยากมาก อีกทั้งเป็นคนไม่ค่อยเสียใจเนื่องจากไม่คิดอะไรเยอะ แต่ถ้าเสียใจกว่าจะกลับมาปกติจะใช้เวลานานพอสมควร

    - มิจิกะได้รับการสอนมาว่าต้องดูแลน้องตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นหากถูกถามว่ารักใครที่สุดในบ้าน คำตอบย่อมเป็นน้องชายของเธอแน่นอน และถ้าไปถามทาคุยะที่เป็นน้องก็จะตอบว่ามิจิกะเหมือนกัน เพราะโดนสอนมาว่าเป็นผู้ชายต้องดูแลผู้หญิง แถมพี่ก็ดูแลเขามาตั้งเยอะ  และถ้าไม่ดูแลพี่ตัวเอง ใครจะมาดูให้?

    - มิจิกะเป็นคนที่ถ้าแต่งหน้าแล้วจะสวยมากๆ แต่ด้วยความที่ไม่แต่ง หน้าเลยออกมาแบบเท่าที่มีให้มานี่แหละ แต่ข้อดี(?)คือเป็นคนที่หน้าเด็กมาก ไปไหนมีแต่คนทักว่าอยู่ม.ต้นตลอด ถ้าไปเดินกับทาคุยะ คนมักจะคิดว่าทาคุยะเป็นพี่ มิจิกะเป็นน้อง เป็นเรื่องตลกประจำบ้านที่ทาคุยะขำไม่ออกอยู่คนเดียว คือน้องแกก็ไม่ได้หน้าแก่ขนาดนั้นนะ แต่พี่ดันหน้าเด็กไปก็เท่านั้น แถมน้องสูงกว่าพี่อีก

    - จริงๆมิจิกะสายตาสั้นเล็กน้อย เพียงแต่อยู่ในระดับที่ไม่เป็นปัญหาต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้นเธอจะใส่แว่นแค่ตอนอ่านหนังสือเท่านั้น

    - มิจิกะไม่ค่อยสนใจเรื่องความสวยความงาม การแต่งตัวของเธอจะเน้นความทะมัดทะแมงเคลื่อนไหวง่ายเป็นหลักกรณีต้องออกข้างนอก เน้นเรื่องฟังก์ชั่นการใช้งานมากกว่า แต่ก็ไม่ได้ขนาดแต่งให้ตัวเองเด๋อหรือเฉิ่มเป็นคุณป้าคุณยาย แค่จะแต่งตัวออกจะจืดๆเรียบๆไปหน่อยเท่านั้นเอง



    [Sakurai Takuya / ซากุราอิ ทาคุยะ] (14)

    Michika’s younger brother

    Status: Alive – Healthy

    - เกิดวันที่ 11 สิงหาคม เลือดกรุ๊ป A ถนัดมือซ้ายเหมือนพี่สาว

    - ปัจจุบันเป็นนักเรียนมัธยมต้นปีสาม เนื่องจากเรียนเร็วไปปีนึง

    - เป็นคนหน้าดูเฉยเมย แต่ความจริงแล้วใจดีแต่ไม่แสดงออก ฉลาดแต่บางทีก็ซื่อบื้อไม่เป็นเรื่อง ถ้ามิจิกะเป็นหนอนหนังสือประเภทแหกคอกสายลุย ทาคุยะคือแบบคลาสสิกเลยล่ะ เงียบขรึม ไม่คอยสุงสิงกับใครมากยกเว้นคนสนิท รักหนังสือยิ่งชีพ แต่เผอิญว่าหล่อ เลยโดนมองว่าเป็นหนุ่มคูลมากกว่าจะเป็นพวกเนิร์ด ที่สำคัญคือไม่ถูกกับเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือเรื่องผีแรงมากเพราะพี่สาวกรอกหูตั้งแต่เด็กจนหลอนและผวา พาลอ่านหนังสือประเภทนี้ไม่ได้ไปด้วย

    - รักและหวงพี่สาวมากๆ ใครว่าพี่ตัวเองเจอตาขวางแน่ และใครจะจีบพี่ก็ข้ามศพเขาไปก่อนเถอะ (จนพ่อแม่แซวว่าพี่สาวจะขึ้นคานเพราะเขานี่แหละ) แต่ต่อหน้าพี่สาวก็ไม่ได้ทำตัวเป็นซิสค่อนขนาดนั้น มันเขิน...

    - จริงๆชกต่อยเก่งเอาเรื่อง แต่ไม่นิยมมีเรื่องเนื่องจากไม่อยากให้ที่บ้านห่วงและตัวเองเป็นสายรักสงบอยู่แล้ว



     with character

     

    - สวัสดีค่า ชื่ออะไรกันบ้างคะ?

    - “สวัสดีค่ะ ฉัน...ซากุราอิ มิจิกะ แล้วคุณล่ะคะ?” มิจิกะยิ้มแย้มอย่างอัธยาศัยดี ดวงตาสีสดใสจดจ้องคู่สนทนาด้วยท่าทีใคร่รู้

    - เชื่อในแวมไพร์หรือเปล่าเอ่ย?

    - “เอ๋...พูดยากนะคะ”  มิจิกะหัวเราะเบาๆ ในใจนึกถึงคำสอนของพ่อขึ้นมา “เขาว่ากันว่า...ตำนานมักมีที่มาจากเรื่องจริง แต่ว่าเรื่องเล่าที่ไม่ได้รับการพิสูจน์เองก็ไม่ได้น่าเชื่อถือขนาดนั้น  และเพราะอย่างนั้นฉันจึงสนใจและอยากพิสูจน์ค่ะว่าแวมไพร์มีจริงหรือเปล่า อืม...แต่ถ้าถามตามความรู้สึก ฉันว่าอาจจะมีก็ได้นะคะ ใครจะรู้ บางทีอาจจะอยู่ใกล้ๆเรามากกว่าที่คิดก็ได้”

    - ถ้าเกิดว่าต้องรักกับแวมไพร์

    รู้ใช่มั้ยคะว่าจะต้องเจอกับอุปสรรคหลายอย่างเลย

    - “คิกคิก นั่นสินะ...ในนิยายก็เป็นอย่างนั้นนี่นา” เด็กสาวหัวเราะร่วน ใบหน้าประดับรอยยิ้มกว้าง “ส่วนตัวฉันคิดว่ารอให้พิสูจน์ว่ามีจริงก่อนค่อยคิดเรื่องนี้ก็ยังไม่สายหรอกค่ะ เพราะถึงฉันจะสนใจเรื่องอะไรทำนองนี้ ไม่ได้หมายความว่าถ้าเจอกันจริงๆแล้วจะรักกันสักหน่อย”

    - ขอบคุณที่มาคุยกันนะคะ ไว้เจอกันค่า

    - มิจิกะลุกขึ้นยืน ก่อนจะเอ่ยคำร่ำลา “วันนี้สนุกมาก หวังว่าจะมีโอกาสได้มาคุยกันอีกนะคะ”

     

    with mommy/daddy

     

    - สวัสดีค่ะ คุณผปค.ชื่ออะไรหรือคะ?

    - ยูกินะเองค่า

    - คิดว่าลูกสาวเรามีดีตรงไหนเป็นพิเศษมั้ยคะ?

    - เอ...ไม่แน่ใจค่ะ 5555 ตรงที่ความมุ่งมั่นสูงและไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆละมั้งคะ แบบเป็นหนอนหนังสือสายลุยเลยค่ะ

    - ริคัดไม่โหดจริงๆค่ะ แต่ถ้าไม่ติดจะรับกลับมั้ยเอ่ย

    - รับกลับค่า

    - ขอบคุณสำหรับลูกสาวนะคะ รอประกาศผลน้า

    - ฝากลูกสาวเราไว้พิจารณาด้วยนะคะ

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×