คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #118 : {FICTION} KHR | REBORN :: FLORAL
APPLICATION
“เบ่งบานอย่างงดงามแม้เป็นเพียงชั่วพริบตา
โปรยปรายอย่างสง่าด้วยเกียรติอันภาคภูมิ...นั่นคือเกียรติของตระกูลยูกิโอกะ
และผู้เป็นซากุระแห่งฟลอรัลแฟมิลี่อย่างฉันค่ะ...”
ชื่อ
: Yukioga Misaki [ยูกิโอกะ มิซากิ] [เรียงสกุล-ชื่อ แบบญี่ปุ่น]
ยูกิโอกะ – ซากุระหิมะที่สง่างามเฉิดฉาย
มิซากิ – เบ่งบานอย่างงดงาม
แปลรวมๆจะได้ว่า “ซากุระหิมะที่เบ่งบานอย่างงดงาม สง่างามเฉิดฉายและบริสุทธิ์”
ค่ะ
ชื่อเล่น
: Misa [มิสะ] [แปลว่า “ความดีงาม /
ความบริสุทธิ์”]
อายุ
: 25
ลักษณะรุปร่าง
: หญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งระหง
มีส่วนโค้งเว้าพอเหมาะรับกับลำตัวและแขนขาที่เพรียวบาง/ร้ตำหนิใดๆ
ดูแล้วอ่อนหวานและสง่างามราวกับเป็นเทพธิดาที่หลุดออกมาจากภาพวาดก็มิปาน
ผิวสีขาวนวลมีสีเลือดฝาดดูสุขภาพดี ดวงหน้ารูปไข่นั้นมีดวงตาสีแดงสดใสราวกับทับทิมชั้นเลิศคู่หนึ่งที่มักทอประกายอ่อนโยน
คิ้วเรียวบางโก่งเหมือนคันธนู จมูกโด่งรั้นพองาม ริมฝีปากบางสีระเรื่อเหมือนกลีบซากุระ
แก้มใสมีสีเลือดฝาด รวมแล้วเป็นใบหน้าที่ชวนมองจนไม่อาจละสายตา
ล้อมด้วยเรือนผมสีขาวแกมเงินพิสุทธิ์ดุจหิมะแรกโปรยที่ไว้ยาวจรดเอวที่เจ้าตัวมักรวบด้วยริบบิ้นให้เป็นหางม้า
ไว้หน้าม้าเล็กน้อย โดยรวมแล้วเป็นหญิงสาวที่สวยมีเสน่ห์มากๆคนหนึ่ง สูง 167 เซนติเมตร หนัก 52 กิโลกรัม
ดอกไม้/คู่
: ซากุระ / ฮิบาริ เคียวยะ
นิสัย
: ยูกิโอกะ มิซากิ หญิงสาวผู้เหมาะสมกับดอกซากุระอย่างแท้จริง
ตั้งแต่ภายนอกที่ดูอ่อนหวานละมุนละไม
กิริยางามสง่าแต่อ่อนช้อย
ไม่ว่าจะเดินเหินทำอะไรก็ดูนุ่มนวลน่ามองไปเสียหมด ทุกอย่างที่ทำออกมาล้วนแล้วแต่ดูเป็นธรรมชาติไร้การเสแสร้งปรุงแต่ง
มีเสน่ห์ชวนมองจนไม่อาจละสายตาออกจากเธอไปได้เลย
มารยาทอันงามพร้อมของมิซากิไม่ได้แสดงออกเพียงแค่ทางการกระทำเท่านั้น
คำพูดของเธอที่เปล่งออกมาทุกคำล้วนแล้วแต่บ่งบอกถึงการเลี้ยงดูมาอย่างดี
ทุกครั้งที่เอ่ยปากล้วนฟังไพเราะเสนาะหู
แม้ไม่ถึงขั้นที่ว่ามีหางเสียงต่อท้ายทุกครั้ง
แต่จะดูกาลเทศะและให้เกียรติคู่สนทนาอยู่เรื่อยไป ตั้งแต่คนแปลกหน้า คนสนิท
หรือแม้แต่ศัตรูเองก็ไม่มีวันที่จะได้ยินคำหยาบคายหลุดออกจากปากหญิงสาวคนนี้แน่นอน
แต่ก็ใช่ว่าเธอจะเป็นคนสงบเสงี่ยมไม่พูดสู้คนนะ
เอาเข้าจริงฝีปากของมิซากินั้นก็นับว่าใช้ได้เลย
เพียงแต่เธอไม่ใช่คำหยาบหรือคำที่ไม่เหมาะสมที่จะพูดก็เท่านั้น ดังคำกล่าวว่า ‘วาจาส่อภาษา กิริยาส่อสกุล’ และเธอจะไม่ให้ชื่อเสียงของตัวเธอ แฟมิลี่
และตระกูลยูกิโอกะที่เธอรักมาแปดเปื้อนด้วยการกระทำของเธอเด็ดขาด
และเพราะไม่ใช้นี่แหละ เวลาด่าว่าหรืออะไรต่างๆมันจะฟังดูมีระดับมาก เป็นคนที่มีวาจาจับใจและแทงใจคนฟังได้อย่างน่าขนลุก
แม้ไม่มีการประชดประชัน กวนประสาท จิกกัด
แต่เนื้อความที่ส่งออกมาทั้งทางตรงและทางอ้อมก็เพียงพอแล้วที่จะทำเอาอีกฝ่ายไปไม่เป็นเลยทีเดียว
แล้วเธอคนนี้จะไม่ค่อยพูดอะไรเรื่อยเปื่อยซี้ซั้วหากไม่รู้สึกอย่างแรงกล้าหรือมีความจำเป็นต้องพูดอีกด้วย
อาจมีพูดเล่นบางทีแต่ก็น้อยเพราะด้วยมารยาทอันในตัวทำให้ไม่ค่อยทำบ่อยนัก
ทำให้เธอมักพูดอะไรได้ถูกสถานการณ์เสมอราวกับไปนั่งกลางใจคนฟัง เรียกว่าเป็นคนที่รู้จักพูดคนหนึ่งเลยทีเดียว
จากที่กล่าวมา
หลายคนอาจคิดไปว่ามิซากิเป็นคนสงบเสงี่ยมไม่ค่อยสู้คน เปล่าเลย เธอเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นพอควรก็จริง
แต่เวลามีเรื่องหรืออะไรก็ไม่รีรอที่จะพูดหรือกระทำการใดๆเพื่อปกป้องตนเองเช่นกัน
เห้นแบบนี้ก็มีความกล้าหาญในตัวสูงมากนะ ตัวของตัวเองก็ต้องรักษาให้ได้เองก่อน
ไม่อย่างนั้นจะไปมีหน้าปกป้องคนอื่นได้อย่างไรกัน และเป็นพวกประเภทรู้จักรุกรับ
ถอยเป็นยอมเป็น...ก็เท่าที่จำเป็นน่ะนะ
เพราะปกติแล้วมิซากิเป็นพวกสู้ตายถวายหัวพอสมควร และพอมาเรื่องนี้จะหัวดื้อขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
เพราะเธอไม่ใช่คนที่จะเอะอะก็สู้ๆๆๆอย่างเดียว แต่เมื่อยามสู้แล้วเธอก็มีเกียรติที่ต้องรักษา
ทั้งเกียรติของตัวเอง เกียรติของตระกูล และเกียรติในตำแหน่งผู้พิทักษ์
นี่ขนาดแค่สู้เพื่อตัวเองคนเดียวนะ
หากสู้เพื่อคนอื่นแล้วยังมีเรื่องอีกมากมายที่เธอจะต้องแบกรับไว้ในการต่อสู้เหล่านั้น
ยิ่งหากเป็นเพื่อเหล่าคำสำคัญอย่างเช่นแฟมิลี่หรือตระกูลจะยิ่งสู้ตายเพราะเธอต้องการปกป้องสิ่งสำคัญเหล่านั้นด้วยมือของเธอเอง
และมิซากิไม่ใช่พวกประเภทปัดความรับผิดชอบทิ้งโดยการทิ้งงานกลางคันเสียด้วย
อ้อ...อีกอย่างเลยคือเธอไม่ค่อยชอบความพ่ายแพ้เท่าไหร่ แม้จะเป็นบทเรียนที่ดี แต่มันก็ยังน่าเจ็บใจและหงุดหงิดอยู่ดี
มิซากิโตมากับคำสอนของตระกูลว่า
“จงเป็นดั่งซากุระที่เบ่งบานอย่างงดงามแม้เพียงพริบตา
แม้ยามโรยราก็ยังคงความสง่าและภาคภูมิ” แปลง่ายๆคือไม่ว่าจะทำอะไรเมื่อไหร่ก็จงคงความสง่างามและเกียรติศักดิ์ศรีอันภาคภูมิไว้
ดังนั้นไม่แปลกใจที่ไม่ว่าจะทำอะไรนอกจากจะต้องดูสง่าสวยงามทรนงแล้ว
ยังต้องออกมาสมบูรณ์พร้อมที่สุดอีกด้วย เธอถือคติว่าทำทุกสิ่งที่ตนเองทำได้ให้ที่ดี่สุด
พยายามและทุ่มเททุกสิ่งที่มีอย่างสุดความสามารถ
ส่วนที่คุมไม่ได้ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตาฟ้าลิขิต
เพื่อที่ตนเองจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังอีกหากเกิดข้อผิดพลาดหรือเรื่องไม่คาดฝันขึ้น
แต่ถึงอย่างนั้นมิซากิก็มีนิสัยเสียในส่วนนี้เล็กน้อย
คือเธอจะไม่ชอบลงแรงเอาจริงหากไม่จำเป็น เพราะถือว่าพลังงานและเวลาเธอมีจำกัด
จำเป็นต้องแบ่งใช้ให้ถูกต้องเหมาะสม
ขืนเอาจริงทุกงานศัตรูก็รู้ไส้รู้พุงเธอกันหมดพอดี
ดังนั้นเธอจึงกลายเป็นพวกออมแรงให้เหมาะสมไปโดยปริยาย
มีไม่กี่คนหรอกนะที่ทำให้เธอสู้จริงจัง
แม้จะรู้สึกลึกๆว่านี่เป็นการไม่ให้เกียรติอีกฝ่ายเท่าไหร่...แต่แล้วยังไงล่ะ
จำเป็นต้องขี่ช้างจับตั๊กแตนไปหมดเลยก็ไม่ใช่เรื่องนี่นา...เรียกได้ว่าแม้จะดูตรงไปตรงมา
แต่ก็มีความลับซ่อนอยู่ไม่น้อยจนกลายเป้นเสน่ห์อีกอย่างของเธอไปเลยทีเดียว
มิซากิเป็นคนที่ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ใส่ใจเรื่องของชาวบ้านนัก
เพราะนอกจากจะเคารพความเป็นส่วนตัวของคนอื่น มีพื้นนิสัยที่ค่อนข้างรักสงบแล้ว
ยังไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามเรื่องของตัวเองโดยที่ไม่จำเป็นและไม่ได้ร้องขออีกด้วย
เธอถือว่ามันเป็นการเสียมารยาทที่จะล้ำเส้นเข้ามายุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเขา
และในเมื่อเธอไม่ชอบ เธอจึงไม่ทำ
มิซากิรักสงบและชอบใช้เวลาสบายๆเงียบๆทำงานอดิเรกไม่ก็พักผ่อนตามอัธยาศัยตามลำพังมากกว่าการเฮฮาสังสรรค์
แต่ก็ไม่ได้รังเกียจการสุมหัวทำกิจกรรมแต่อย่างใดตราใดที่มันไม่พาเรื่องวุ่นวายยุ่งยากมาให้เธอ
ไม่ชอบเรื่องวุ่นวายยุ่งยากที่มาทำลายความสงบก็จริง แต่ก็ใช่ว่าเธอจะรับมือไม่ได้
ไม่ชอบกับแพ้ทางมันคนละเรื่องนะจะบอกให้...
มิซากิเป็นหญิงสาวที่มีคุณสมบัติของกุลสตรีที่ดีครบถ้วน
การบ้านการเรือนเย็บปักถักร้อย เธอล้วนทำได้ทั้งสิ้นจากการอบรมของตระกูล
(แต่ชำนาญไม่เท่าแกลดิโอลัส รายนั้นโปรแล้ว เธอแค่ทำได้ดีเท่านั้นเพราะไม่ได้ทำบ่อย)
ไม่เพียงเท่านั้นยังชำนาญในศิลปะวัฒนธรรมญี่ปุ่นแทบทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นชงชา
เล่นโคโตะ เขียนอักษรพู่กัน แต่ที่เธอเชี่ยวชาญที่สุดคือระบำพัดซึ่งเธอนำมาประยุกต์ใช้ต่อสู้
นอกจากนั้นแล้วยังเป็นวิชาไอคิโด้ด้วยเนื่องจากพี่ชายของเธอสอนให้อีกด้วย
มิซากิอาจเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะด้านการเรียนรู้
แม้จะไม่ได้ฉลาดเลิศเลอเข้าใจอะไรง่ายดายไปเสียทุกสิ่งแต่ก็นับว่าหัวไวเอาเรื่อง แต่เธอเป็นคนมีความสามารถในการเรียนรู้สูง
ปรับตัวได้เร็ว ช่างสังเกต ครูพักลักจำได้ยอดเยี่ยมและนำมาประยุกต์เป็นท่าของตนเอง
มีร่างกายที่ยืดหยุ่นแข็งแรง บวกกับสัญชาตญาณที่ดีเยี่ยมและใจที่ไม่ท้อถอยยอมแพ้อะไรง่ายๆ
ทำให้เธอเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวมากคนหนึ่ง
ลืมบอกไปว่าส่วนใหญ่เวลาสู้เธอจะไม่ค่อยมีแผนการอะไรยุ่งยากมากมาย
แค่ทำตามเป้าหมายได้โดยไม่ออกนอกลู่ทางมากไปเป็นพอ ดังนั้นเธอจะเป็นพวกใช้สัญชาตญาณและประสบการณ์สู้เป็นหลัก
แต่ก็อาจมีวางอุบายล่อหลอกศัตรูได้ด้วยเหมือนกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นแน่นอนว่า...ต้องไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก
และได้ผล...ก็บอกแล้วไงว่าเธอไม่ชอบเรื่องยุ่งยากน่ะ
มิซากิเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ได้ดี
อดทน ใจเย็นมาก มักมีรอยยิ้มประดับบนหน้าเสมอจนเป็นภาพชินตา
แต่ไม่ใช่คนเสแสร้งแต่อย่างใด ถ้ารู้สึกยังไงจะแสดงออกไปตรงๆเลยว่าไม่ชอบ
ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่กว่าก็เถอะ
แต่ด้วยความมารยาทอันดีของเธอก็คงไม่ถึงขึ้นชักสีหน้าใส่ แต่อาจจะแค่พูดยิ้มๆแบบเรียบๆตรงๆว่าไม่พอใจอย่างมีมารยาท
ส่วนอีกฝ่ายจะว่ายังไงมันเรื่องของเขา เราไม่เสียมารยาทแล้วนั่นคือพอ
เป็นคนที่เหตุผลมาคู่กับอารมณ์ แม้ว่าในยามปกติจะมีอารมณ์นำเหตุผลบ้างก็ตามที
เรื่องความรู้สึกนอกเหนือจากนี้
มิซากิเป็นคนที่แสดงออกความรู้สึกบางเรื่องได้นนุ่มนวลแต่ค่อนข้างตรงไปตรงมา
ชอบก็บอกชอบ ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ โดนเฉพาะกับพี่ชายของเธอที่แทบจะไม่เหลือระยะห่างอะไรเลย
ด้วยความที่โตมาด้วยกันและสนิทกันมากด้วยแหละนะ จะเรียกว่าเธอเป็นบราค่อนนิดๆก็ได้มั้ง
แน่นอนว่าใครดูถูกหรือว่าท่านพี่ของมิซากิล่ะก็...ศพไม่สวยแน่นอน เรื่องอื่นเธออาจมองข้ามไม่สนใจหรือปล่อยผ่านได้
แต่ถ้าเรื่องท่านพี่...คุยกันยาวแน่นอน แถมด้วยคือมิซากิเป็นคนซื่อบื้อเรื่องความรักในระดับหนึ่งเลยค่ะ
ต้นเหตุมาจากก็ไอ้คุณพี่ชายนี่แหละหวงน้อง ใครมาจีบหน่อยก็กันท่าทุกที
เธอก็เลยค่อนข้างจะซื่อบื้อเรื่องนี้ ทั้งที่อ่านสีหน้าท่าทางของคนอื่นออกในระดับหนึ่งแท้ๆ
บางเรื่องที่มิซากิไม่แสดงออกตรงๆคือเรื่องความเศร้าเสียใจของตนเอง
เธอคิดว่ามันอ่อนแอที่จะให้ใครเห็นยามหลั่งน้ำตา
ดังนั้นเวลาเศร้าเธอจะปลีกวิเวกทันที
แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยรู้หรอกเพราะปกติก็รักสันโดษอยู่แล้ว ส่วนเวลาโกรธจะตรงกันข้าม
จะเป็นคนที่แสดงออกตรงๆมากว่าโกรธแม้จะไม่เหวี่ยงวีนอาละวาดหรืองี่เง่าเอาแต่ใจ
แต่เวลาโกรธจะยิ่งเย็นกว่าเดิมจนคู่กรณีหนาวจับใจ
และจะชอบเคลียร์ให้มันจบๆไปดีกว่ามีเรื่องค้างคา
แต่พอเคลียร์จบแล้วก็ไม่ค่อยเก็บมาคิดอะไรอีก ยกเว้นแต่เรื่องที่ว่ามันเป็นเรื่องอัปยศอดสูหรือร้ายแรงจนจำฝังใจกลายเป็นแค้น
ถ้าเป็นกรณีล่ะก็อีกฝ่ายไม่ตายคงไม่เลิกราแล้วล่ะ...แม้จะหากรณียากมากก็เถอะ...เธอไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นนะบอกก่อนเลย...
ประวัติ
: “ยูกิโอกะ มิซากิ”
เกิดมาในตระกูลยูกิโอกะที่เป็นตระกูลเก่าแก่มีชื่อเสียง เป็นเจ้าของบริษัทยูกิโอกะกรุ๊ปที่มีชื่อเสียงด้านการผลิตชามาหลายสิบปี
เธอมีพี่ชายฝาแฝดที่ลืมตาดูโลกพร้อมกันอยู่คนหนึ่งคือ “ยูกิโอกะ มาซากิ” ด้วยความที่ทั้งสองเกิดมาช่วงเวลาไล่เลี่ยกันและถูกเลี้ยงดูมาด้วยกัน
จึงสนิทสนมกันมาก แต่ด้วยความที่ว่ามิซากิเป็นหญิง เมื่อถึงเวลาอันสมควร...เธอจึงต้องเรียนศิลปะญี่ปุ่นโบราณตามธรรมเนียม
อาทิ ชงชา จัดดอกไม้ โชงิ และอื่นๆ
ซึ่งมิซากิก็ไม่ได้รังเกียจหรือคิดว่ามันน่าเบื่อแต่อย่างใด ตรงกันข้าม
เธอชอบมันพอสมควรเสียด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่มิซากิหลงใหลและทำได้ดีที่สุดคือการระบำพัด
เธอคิดว่ามันสวยงามอ่อนช้อยน่ามอง และเป็นการฝึกที่ดี
สอดคล้องกับคติประจำใจของตระกูลที่เธอได้ยินทุกเช้าค่ำ...
“มิซากิ...ชื่อของลูกหมายถึงการเบ่งบานอย่างงดงาม
ลูกมีสายเลือดของตระกูลยูกิโอกะ สายเลือดของซากุระอันแสนภาคภูมิ ไม่ว่าจะเกิดอะไร
ซากุระก็จะเบ่งบานอย่างงดงามสะกดสายตาผู้คนแม้จะเป็นชั่วพริบตา
และแม้จะโรยราก็ยังคงสง่างามด้วยเกียรติยศเสมอ จำไว้นะลูก...จงเป็นอย่างซากุระ
นั่นแหละความความภาคภูมิใจและเกียรติยศของตระกูลยูกิโอกะของเรา...”
ในขณะที่มาซากิผู้เป็นพี่ชายเอาดีทางด้านเคนโด้และไอคิโด้
บางทีเวลาสองพี่น้องว่างตรงกัน มาซากิก็ชอบแอบมาสอนไอคิโด้ให้มิซากิด้วย
ด้วยความที่กลัวว่าน้องสาวจะไม่มีวิชาป้องกันด้วยแล้วจะลำบาก แต่ก็ต้องแอบๆสอน
เพราะรู้ดีว่าผู้ใหญ่หัวโบราณบางคนในตระกูลน่ะไม่ค่อยอยากให้มิซากิเรียนเรื่องพวกต่อสู้เท่าไหร่เพราะกลัวจะดูไม่เป็นกุลสตรี
แต่โชคดีที่ทั้งท่านพ่อ ท่านแม่และสองพี่น้องคิดตรงกันว่า...ผู้หญิงสมัยนี้ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ชายมาปกป้องอีกแล้ว
ต้องดูแลตัวเองได้แล้ว ดังนั้นการฝึกลับๆก็ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ...
เมื่อเข้าสู่ชั้นมัธยม
สองพี่น้องตระกูลยูกิโอกะก็เข้าเรียนในโรงเรียนเดียวกัน แม้ว่าตอนแรกทางผู้ใหญ่อยากให้มิซากิไปเรียนที่โรงเรียนหญิงล้วนมากกว่า
แต่มาซากิก็ขอร้องแทนมิซากิจนทางผู้ใหญ่ยอมตกลง
เพราะเห็นว่ายังไงก็ไปโรงเรียนเดียวกับมาซากิ ยังไงก็มีคนดูแล
อีกทั้งการเข้าโรงเรียนสหศึกษาก็น่าจะทำให้เรียนรู้การเข้ากับสังคมได้มากกว่าไปอยู่ในโรงเรียนหญิงล้วนด้วย
ทางผู้ใหญ่จึงตัดสินใจยอมในที่สุด
โดยทั้งคู่เลือกเข้าโรงเรียนนามิโมริที่เป็นโรงเรียนธรรมดาๆในเขตแถวบ้าน
ช่วงเวลานั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่สองพี่น้องมีความสุขมาก
ทั้งสองใช้ชีวิตมัธยมต้นและปลายอย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันก็ทำตัวได้สมเป็นทายาทของยูกิโอกะ
มิซากินั้นเข้าชมรมไอคิโด้แม้ว่าตอนแรกบ้านจะทัดทาน แต่สุดท้ายก็ปล่อยไปในที่สุด
และกวาดรางวัลชนะเลิศทุกครั้งที่เธอเข้าแข่งขันจนได้เป็นกัปตันในปีสาม
ส่วนมาซากิเข้าชมรมเคนโด้และได้เป็นเอสของทีมตั้งแต่ปีหนึ่งจนเป็นกัปตันในปีสาม
ไม่มีใครในนามิโมริที่ไม่รู้จักชื่อของสองพี่น้อง
ทั้งสองมีเพื่อนที่ดี...ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี...
แต่น่าเสียดาย...ที่เรื่องดีๆเหล่านั้นกลับกลายเป็นอดีตเพียงชั่วพริบตา...
ตั้งแต่เข้าชั้นมัธยมมา
สองพี่น้องยูกิโอกะจะกลับบ้านพร้อมกันเป็นกิจวัตร วันนั้นก็ไม่ต่างจากทุกวัน
เพียงแต่ว่ากลับค่ำกว่าปกติเนื่องจากชมรมเคนโด้มีไปกินเลี้ยงส่งลาพวกปีสามฉลองจบการศึกษา(ซึ่งก็คือพวกมาซากินั่นแหละ) มาซากิเลยต้องพามิซากิไปด้วย
แต่เมื่อมาถึงบ้านแล้ว แทนที่จะมีคนมารอเปิดประตูให้เหมือนอย่างทุกที กลับเงียบจนน่าใจหาย
หนำซ้ำคฤหาสน์ยังมืดสนิทไม่เปิดไฟสักดวงทั้งที่ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่ม! มันผิดปกติเกินไปแล้ว!
“ท่านพี่...” มิซากิกำชายเสื้อมาซากิแน่น “ฉันสังหรณ์ใจไม่ดีเลย...”
มาซากิสีหน้าเครียดขึ้นมาทันควัน
ยอมรับเลยว่าเขาเองก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาดกับภาพตรงหน้า
แต่ด้วยความเป็นพี่ชายก็ได้แต่ควบคุมตัวเองไว้แล้วหันไปหามิซากิ
“พวกเราอาจจะคิดมากไปก็ได้
ยังไงก็เข้าไปกันเถอะ...แต่ระวังตัวไว้ด้วยก็ดี”
ภายในบริเวณรอบคฤหาสน์เงียบ...เงียบจนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจของทั้งสองคน
มาซากิที่ถือดาบเคนโด้ติดมือไว้เหลียวมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวังก่อนจะเปิดประตู
โดยมีมิซากิเดินตามหลังติดๆ
และภาพแรกที่เห็นก็ทำเอามาซากิแทบหลุดอุทาน มือหนาปิดประตูทันที
ก่อนจะหันมาหาน้องสาวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
และลากมิซากิออกไปจากตัวบ้านให้เร็วที่สุดทันที
ในใจพยายามไม่นึกถึงพยายามที่ทำให้เขาล้มแทบยืนตรงนั้น
และเขาจะไม่ยอมให้มิซากิน้องเขาเห็นภาพแบบนั้นเด็ดขาด!!!
“มิซากิ เราต้องแจ้งตำรวจ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ...”
มาซากิหน้าเครียดยิ่งกว่าเก่า
กระอักกระอ่วนราวกับไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี แต่เมื่อถูกมิซากิจ้องราวกับจะคาดคั้นเขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาหวิว
“...คนของตระกูลเราถูกฆ่าตาย...เป็นสิบ...”
นัยน์ตาสีอ่อนของมาซากิไหวระริก
ภาพเมื่อครู่ยังคงติดตา...
แค่เปิดประตูบ้าน...แสงจันทร์ส่องสว่างทำให้เขาเห็น...
ศพนับสิบที่นอนเรียงรายจมกองเลือดกลิ่นคาวคลุ้งจนแทบจะอาเจียน...และเขาเชื่อว่าในบ้านจะต้องมีศพมากกว่านั้นแน่...
ดวงตาของมิซากิเบิกกว้างกับสิ่งที่ได้ยินยกมือขึ้นปิดปากเพื่อไม่ให้หลุดเสียงกรีดร้องออกมา
“พี่ว่าไม่ดีแน่ รอบข้างก็มีบ้านบ้างทำไมไม่รู้ตัวกันเลย...”
มิซากิเองก็คิดเช่นนั้น
บ้านของพวกเขาต่อให้เรียกว่าคฤหาสน์แต่ก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลชุมชน
ซ้ำร้านรวงแถวนี้ก็ดูเปิดเป็นปกติ คนถูกฆ่าตายทั้งที รอบข้างจะไม่รู้เชียวหรือ
นอกจากว่า...
“...สมแล้วที่เป็นสายเลือดตรงแห่งยูกิโอกะ
เจอแบบนี้ก็ยังคงความสง่างามทรนงไว้ได้...”
น้ำเสียงที่แสนคุ้นเคยดังขึ้น สองพี่น้องหันไปก็ต้องประหลาดใจ
เมื่อเห็นร่างหนึ่งก้าวออกมาจากเงาไม้เข้ามาหาพวกเขา
ชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาหล่อเหลางดงาม ผมและดวงตาสีเข้มของเขาเป็นสีเดียวกับราตรีกาล
“...ฮารุกะซัง?”
ยูกิโอกะ ฮารุกะ...ลูกพี่ลูกน้องของพวกเขา...ทั้งที่โตกว่ามาซากิห้าปี
แต่เนื่องจากพ่อของฮารุกะเป็นน้องชายคนเล็ก (ศักดิ์เป็นน้าของพ่อแม่ของสองพี่น้อง)
ประกอบกับอะไรหลายๆอย่าง ทำให้ชวดตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไปอย่างน่าเสียดาย...
“ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ล่ะครับ ฮารุกะซัง...”
“นั่นสินะ” อีกฝ่ายยิ้ม ไม่ตอบคำถามซ้ำยังถามกลับ
“แล้วพวกเธอคิดว่าฉันมาทำอะไรที่นี่ในเวลาแบบนี้ล่ะ...”
สองพี่น้องหรี่ตาลงทันที
ท่าทีไม่ตกใจซ้ำยังมาปรากฏตัวได้ถูกที่ถูกเวลาแบบนี้...
“ฮารุกะซัง...คุณเป็นต้นเหตุของเรื่องในคืนนี้สินะคะ”
มิซากิพยายามพูดออกมาให้เสียงนิ่งที่สุด เธอพอจะรู้อยู่บ้างว่าคนตรงหน้านั้นเย็นชาไร้หัวใจ
แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำเรื่องอุกอาจอย่างเช่นฆ่าคน...
“มิซากิจังมีหลักฐานอะไรมากล่าวหาฉันล่ะหืม...”
“แล้วทำไมถึงไม่ยอมตอบคำถามของท่านพี่ละคะ”
“อ้อ...คำถามนั้นน่ะเหรอ...ก็เพราะว่าคืนนี้ที่นี่มีประชุมพิเศษน่ะสิ...”
ดวงตาของฮารุกะทอประกายชั่ววูบยามเอ่ยตอบกลับมา
“ประชุมพิเศษ?”
“ใช่...ประชุมเกี่ยวกับผู้สืบตระกูลคนถัดไปของยูกิโอกะไงล่ะ...”
สองพี่น้องหรี่ตาลงทันที
ประชุมนั้นมันควรจะมีแต่ผู้ใหญ่ของตระกูลเข้าร่วมสิ แล้วทำไม...
“แน่นอนว่า...มติประชุมเป็นเอกฉันท์...ว่ามาซากิคุงจะเป็นหัวหน้าตระกูลคนต่อไป...ไม่สนใจข้อเสนอของฉันเลยสักนิด”
ฮารุกะยิ้มน้อยๆ “เพราะงั้น...ก็เลยฆ่าทิ้งให้หมดก็แค่นั้น...”
“ว่าไงนะ!”
“ฉันเหมาะสมที่จะหัวหน้าตระกูลยูกิโอกะมากกว่านายแท้ๆเลยนะมาซากิ...แต่ทำไมล่ะ...แค่ฉันเป็นลูกชายของท่านน้าของนาย
ฉันเลยไม่ได้รับตำแหน่งงั้นเหรอ นายมีอะไรที่ฉันไม่มีงั้นเหรอ...ไร้สาระน่า
ตระกูลของเราควรจะหลุดพ้นธรรมเนียมโบราณพวกนี้ไปได้แล้ว...”
“คุณมันบ้าไปแล้ว!” มิซากิเอ่ยเสียงเย็น เขามีสิทธิอะไรมาฆ่าพวกผู้ใหญ่เพียงเพราะไม่ยอมรับความเห็นของเขากัน!!!
“ก็คงงั้นแหละนะ...มิซากิจัง...” ฮารุกะไหว่ไหล่
ก่อนจะยกดาบคาตานะเปื้อนเลือดขึ้นมา
“รายต่อไปก็นาย...มาซากิคุง...ไม่ต้องห่วงหรอกนะ
เดี๋ยวฉันจะส่งมิซากิจังตามนายไปทีหลังเอง”
“ฉันไม่ยอมให้นายมาทำบ้าๆกับพวกเราหรอก” มาซากิเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด
ขยับตัวบังมิซากิไว้ กระซิบข้างหู “รีบไปหาที่ปลอดภัยซะ ให้พี่จัดการตรงนี้เอง
ไปเร็ว”
“แต่ท่านพี่...”
“ฟังนะ พี่จะไม่ตาย แต่น้องจะอยู่ที่นี่ตอนนี้ไม่ได้ ไปซะ
ไปแจ้งตำรวจหรืออะไรก็ได้ ไป!!!”
มิซากิยืนนิ่ง ตัวสั่นราวกับกำลังอดกลั้น
แต่ก็เข้าใจดีว่าไม่มีเวลาแล้วเมื่ออีกฝ่ายย่างสามขุมเข้าหา
“...เข้าใจแล้วค่ะ น้องจะพาความช่วยเหลือมาแน่นอน”
มิซากิรีบรุดออกนอกประตูบ้านไป
แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อมีชายชุดดำกลุ่มหนึ่งขวางทางเธอไว้
“จะรีบไปไหนหรือครับ...คุณหนูยูกิโอกะ...”
เสร็จกัน!!!
ก็ว่าแล้วว่าฮารุกะซังคนเดียวไม่น่าฆ่าคนเป็นสิบได้...
แต่ถ้ามีลูกน้องรวมหัวกันล่ะก็...ทำได้แน่!!!
เสียงดาบกระทบกันดังมาจากในบ้านเรียกสติเธอให้กลับมาอีกครั้ง
เธอจะมากลัวตอนนี้ไม่ได้แล้ว!!! ท่านพี่รอความช่วยเหลืออยู่!!!
“กรุณาหลีกทางด้วยค่ะ” มิซากิยืนนิ่ง เสียงเปล่งออกไปชัดเจน
“คงไม่ได้หรอกนะคุณหนู...ยอมให้จับแต่โดยดีซะเถอะ...”
แต่มิซากิก็ยังยืนนิ่งไม่หวั่นไหว แม้ในใจจะกลัวก็ตาม เธอคือยูกิโอกะ
เธอจะไม่หวาดกลัวต่อเรื่องพวกนี้
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะสง่างามไม่หวั่นไหว...ไม่อย่างนั้นก็ไม่สมเป็นเธอแล้ว!!!
ต่อให้สู้ไม่ได้...ถ้าไม่มีทางถอยแล้ว เธอก็จะขอสู้จนถึงที่สุด!
“ฉันจะพูดอีกครั้ง...กรุณาหลีกทางด้วยค่ะ”
“เฮ้อ...ต้องให้ใช้กำลังสินะ...งั้นขออภัยด้วยนะครับคุณหนู...”
สิ้นเสียงอีกฝ่าย พวกชายชุดดำก็กรูกันเข้ามาจับเธอทันที
มิซากิก็ใช้ไอคิโด้ที่ฝึกมาล้มคนพวกนั้นไปได้บ้าง
แต่ไม่ว่ายังไง...เธอก็ยังเป็นผู้หญิง ซ้ำอีกฝ่ายก็ยังมีจำนวนมากกว่าเธอ
หลังจากล้มไปได้เจ็ดแปดคน เธอก็เริ่มจะไม่ไหวแล้ว
แต่ถึงร่างกายจะกรีดร้องด้วยความอ่อนล้าอย่างไร
จิตใจของเธอก็สั่งให้ยืนมั่นพร้อมสู้อีกครั้ง
หมับ!
ชายคนหนึ่งรวบข้อมือของเธอได้สำเร็จ
วินาทีนั้นเองมิซากิคิดว่าไม่รอดแน่แล้ว แต่แล้วชายคนนั้นกลับล้มลงไปดื้อๆ
และไม่นานคนรอบตัวทั้งหมดก็ล้มลงไป เหลือเพียงหญิงสาวที่งดงามบอบบางคนหนึ่ง
ซึ่งหากมิซากิไม่ได้เห็นกับตาเมื่อกี้ว่าเธอล้มพวกชายชุดดำนับสิบอย่างสบายๆ
คงคิดว่าเธอเป็นบ้าแน่ๆที่มายืนอยู่กลางกลุ่มคนที่หมดสติแบบนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไร...คนตรงหน้าก็ช่วยเธอไว้...คิดแล้วก็เอ่ยพลางโค้งตัวคำนับอย่างนอบน้อมที่สุดแม้ว่าแทบจะไม่เหลือแรงแล้วก็ตาม
“ขอบคุณมากค่ะที่กรุณาช่วยดิฉันไว้...เอ่อ...ตอนนี้อาจจะยังไม่สะดวกนัก...แต่...วันหลังดิฉันจะต้องตอบแทนแน่นอนค่ะ...แต่ตอนนี้...”
“ถ้าเป็นเรื่องพี่ชายของเธอน่ะไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ...เขายังไม่ตายหรอก”
หญิงสาวเอ่ยยิ้มๆ ราวกับว่ามานั่งอยู่กลางใจ ทำเอามิซากิประหลาดใจ
คนตรงหน้ารู้ได้ยังไงว่าพี่ชายเธอกำลังลำบาก แต่ความคิดเหล่านั้นก็ปลิวหายไปทันทีเมื่อได้ยินเสียงไซเรนมาจากด้านหลัง
“ท่านพี่!” มิซากิหมุนตัวจะกลับไปดูมาซากิ แต่ก็หมดแรงจนทรุดเอาดื้อๆ
หากหญิงสาวปริศนาคนนั้นไม่ประคองเธอเอาไว้
เธอคงลงไปนอนกองกับพื้นแล้วเป็นแน่แท้...
“ทำไม...ทำไมคุณถึงช่วยดิฉันไว้คะ...”
คนๆนี้มีอะไรเกี่ยวกับตระกูลเรารึเปล่านะ...
ถึงเราจะรู้สึกว่าคนๆนี้ไม่ใช่คนไม่ดี...แต่ก็...
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือซับซ้อนอะไรขนาดนั้นหรอก...ฉันแค่ช่วยเหลือคนที่จะเป็นทรัพยากรบุคคลอันมีค่าของพวกเราไว้เท่านั้นแหละ”
“...ทรัพยากรบุคคลอันมีค่า?” มิซากิทวนคำอย่างไม่เข้าใจ หมายถึงเธอน่ะเหรอ?
“ใช่...” หญิงสาวยิ้มๆ “พูดให้ชัดเจนกว่านี้คือ...ฉันเฝ้ามองเธอมาสักพักแล้วล่ะ...ยูกิโอกะ
มิซากิ”
“ฉะ...ฉันเหรอคะ?”
“เพราะเธอมีคุณสมบัติอันคู่ควรยังไงล่ะ...” หญิงสาวพูดต่อ
“คุณสมบัติในการเข้าร่วม Floral family ของเรา...”
“Floral family???”
“เธอบอกว่าจะตอบแทนฉัน...ฉันก็ไม่ขออะไรมากหรอก...”
อีกฝ่ายพูดอย่างไม่สนสีหน้างงงวยของทั้งสอง “ขอแค่เธอ...ยูกิโอกะ มิซากิ
มาเข้าร่วมแฟมิลี่ของเราก็พอ”
“นั่นเป็นข้อเสนอ...หรือการบังคับกันคะ?”
“แน่นอนว่าอย่างแรกจ้ะ...แต่คิดให้ดีล่ะ
ตอนนี้พวกเธอเหลือกันแค่สองพี่น้อง ศัตรูรอบด้านเต็มไปหมด
ถ้าเข้าร่วมกับเรา...ฉันจะรับประกันความปลอดภัยของเธอและพี่ชายให้
และจะทำให้เธอแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย...แบบฉันไงจ๊ะ สาบานด้วยเกียรติของแฟมิลี่ของเราเลย”
หญิงสาวหันมายิ้มให้มิซากิ “อีกเจ็ดวันให้หลัง ฉันจะมาฟังคำตอบ
หวังว่าจะได้คำตอบดีๆจากเธอนะ...คุณหนูยูกิโอกะ”
หลังจากนั้นหญิงสาวก็ผละออกจากเธอและหายตัวไปอย่างลึกลับ
เมื่อไปถึงรพ.ก็พบว่าอาการของมาซากิค่อนข้างสาหัส แต่ก็ไม่ถึงกับชีวิต
แต่ตอนนี้ยังคงสลบไม่ฟื้นคืนสติ
“ท่านพี่...”
มือบางกุมมือของพี่ชายที่โตมาด้วยกันที่นอนสลบไสลบนเตียง น้ำตาเริ่มรื้นไหล
“น้องผิดเองค่ะ ถ้าน้องเข้มแข็งกว่านี้
ท่านพี่ก็คงไม่ต้องรับมือฮารุกะซังตามลำพังแบบนั้น..”
น่าสมเพชที่สุด...
เรานี่มัน...อ่อนแอจริงๆ...
ถ้าเราเข้มแข็งมากกว่านี้...
‘จะทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้น...’ ‘จะคุ้มครองพี่ชายของเธอ...’
คำพูดของหญิงสาวดังขึ้นมาในหัว ทำเอาเธอเผลอบีบมือมาซากิแน่น
เธออยากแข็งแกร่ง...เธออยากให้ท่านพี่ปลอดภัย...
แต่...ถ้าเธอไปตอนนี้...
เธอจะทิ้งตระกูลยูกิโอกะและท่านพี่ไปในเวลาแบบนี้ได้ยังไง...
มิซากิถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปยังประตูห้องเพื่อไปซื้อเครื่องดื่ม
แต่เมื่อแง้มประตูออกมาเล็กน้อย หูพลันได้ยินเสียงคนคุยกัน
“ตระกูลยูกิโอกะก็คงถึงจุดจบแล้วสินะ...”
“ถ้าเด็กนั่นขึ้นตำแหน่งผู้นำตอนนี้ไม่ไหวแน่”
“ไม่แน่หรอก อาจจะโดนคนชิงเก็บก่อนจะทันทำอะไรด้วยซ้ำมั้ง...”
มิซากิพอคุ้นเสียงอยู่บ้าง
จึงจำได้ว่าคนเหล่านั้นเป็นพวกคู่ค้าหรือเจ้าของบริษัทของเครือตระกูลยูกิโอกะอีกที
คำพูดเหล่านั้นทำเอาตัวเธอสั่นระริก
เป็นความจริงอย่างที่สุดที่ว่ามาซากิ...ท่านพี่ของเธอตอนนี้ฐานะยังไม่มั่นคง
ซ้ำยังอ่อนแอ แถมต่อให้ฟื้นขึ้นมาก็ไม่รู้จะถูกปองร้ายเมื่อไหร่
เธอเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ประสีประสาอะไร โลกธุรกิจโหดร้ายและดำมืดได้ขนาดไหน
ทำไมเธอจะไม่รู้
แต่ตระกูลยูกิโอกะก็พยายามทำให้ทุกอย่างโปร่งใสที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว...
สิ่งที่ตระกูลยูกิโอกะต้องการตอนนี้มีอยู่สองสิ่ง...
เวลาที่รอคอยให้ท่านพี่ของเธอสมบูรณ์พร้อมเพื่อการเป็นผู้นำตระกูล...ซึ่งเธอเชื่อว่าด้วยความสามารถของท่านพี่คงไม่นานแน่...
แต่ระหว่างนั้น...ความปลอดภัยของท่านพี่และเธอจะมาเป็นอันดับหนึ่งทันที
ต่อให้เก่งกาจแค่ไหนหากไม่มีชีวิตรอดจนไปถึงเวลาที่เหมาะสมมันก็เท่านั้น
มือบางบีบประตูแน่น หลับตา ก่อนจะถอนหายใจยาว...
เธอตัดสินใจแล้ว...
ระหว่างที่รอมาซากิฟื้น
มิซากิก็จัดการสะสางเรื่องราวต่างๆไปเท่าที่พอจะทำได้
โชคดีที่ยังมีคนของตระกูลรอดตายอยู่บ้าง และความภักดีของพวกเขาก็ยังคงไม่สั่นคลอน
เธอจึงไม่ลำบากมากมาย แต่ก็ผลาญแรงกายแรงใจของเธอไปไม่ใช่น้อย...
ในที่สุด มาซากิก็ฟื้นขึ้นมาในวันที่เจ็ด
ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่หญิงสาวปริศนาจะมาทวงคำตอบจากมิซากิพอดี
“มิซากิ...มิซากิ...น้องปลอดภัยดีสินะ...”
มาซากิยิ้มอย่างอ่อนแรงเมื่อเห็นใบหน้าเป็นกังวลของน้องสาว
“ค่ะท่านพี่...น้องปลอดภัยดี...”
“ดีแล้ว...ดีจริงๆ...แล้ว...ทำไมน้องถึงได้ร้องไห้ล่ะ มิซากิ...”
มาซากิเอื้อมมือไปปาดน้ำตาเธอเบาๆ “ใครทำอะไรน้องของพี่ล่ะ...หืม...”
“...น้องขอโทษค่ะ...ที่ปกป้องท่านพี่...ที่ตอนนั้นช่วยอะไรท่านพี่ไม่ได้เลย...”
มิซากิกลั้นสะอื้น “ที่ตอนนี้น้องรอดมา...ก็เพราะมีคนช่วยน้องไว้...”
“...ไม่สำคัญหรอก น้องปลอดภัยคือเรื่องสำคัญที่สุด ส่วนคนที่ช่วยน้อง
พี่จะต้องตอบแทนแน่นอน...”
มิซากิสั่นหน้า ลุกขึ้นไปยืนข้างหน้าต่าง
“น้อง...ขอจัดการเรื่องนี้เองค่ะ”
สายลมพัดไหววูบ วินาทีถัดมาร่างของหญิงสาวปริศนาก็มายืนอยู่ข้างหน้าต่างแล้ว
“คุณ...!?”
“ท่านผู้นี่คือคนที่ช่วยน้องไว้ค่ะท่านพี่...” มิซากิผายมือแนะนำ
ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับหญิงสาว ถามด้วยน้ำเสียงและแววตาหนักแน่น
“คุณจะรักษาสัญญารึเปล่าคะ?”
“แน่นอน สาบานด้วยเกียรติแห่งซากุระอันภาคภูมิของฉัน”
“งั้นก็ตกลงค่ะ ดิฉันจะเข้าร่วมกับคุณ”
“มิซากิ...น้องกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่น่ะ?”
เธอหันมามองมาซากิที่ทำหน้างงอยู่บนเตียงผู้ป่วย
ระบายยิ้มที่อ่อนหวานที่สุดให้
“น้องจะเข้าร่วมกับพวกเธอค่ะท่านพี่...เพื่อคุ้มครองท่านพี่...และเพื่อที่ว่าน้องจะได้แข็งแกร่งมากขึ้น
มากพอที่จะปกป้องยูกิโอกะของพวกเราให้ยืนยงต่อไปได้...ดังนั้น...ดังนั้น...”
น้ำตาที่พยายามห้ามเอาไว้ไหลออกมาอาบแก้มอีกครั้ง “ที่เหลือ...ฝากท่านพี่ด้วยนะคะ
ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ น้องก็จะยังเป็นยูกิโอกะและปกป้องมันไปพร้อมกับท่านพี่เสมอค่ะ
แล้วถ้ามีเวลาน้องจะกลับมาหา...น้องสัญญา”
“มิซากิ...เดี๋ยวก่อนมิซากิ!”
มิซากิพูดรวดเดียวจบก่อนจะยื่นมือไปหาหญิงสาวปริศนาที่ยืนยิ้ม
“ไปกันเถอะค่ะ...”
“นั่นสินะ งั้นก็ขอต้อนรับสู่ฟลอรัลแฟมิลี่ของเรา” หญิงสาวเอ่ยยิ้มๆ
ยื่นมือไปประคองมือเล็กไว้ ก่อนจะหันมามองมาซากิ
“เธอมีน้องสาวที่ดีนะ...ไม่ต้องห่วงหรอก เราจะดูแลเธอเป็นอย่างดี...และจะพาเธอมาเยี่ยมบ้างแน่นอน”
สายลมพัดวูบมาอีกครั้ง แรงจนคนในห้องต้องหรี่ตา
และเมื่อลืมตามาอีกครั้ง...ร่างของสองสาวก็ไม่ได้อยู่ในนั้นอีกต่อไปแล้ว...
อาวุธ/สัตว์กล่อง
:
-
อาวุธ – พัดญี่ปุ่นคู่ “ยูกิซากุระ” [ซากุระหิมะ] หน้าตาเหมือนในภาพ
ตัวพัดตกแต่งด้วยลายซากุระขาวดูละเอียดลออสูงค่าจนเหมือนเครื่องประดับมากกว่าจะเป็นอาวุธ
ดูเหมือนพัดธรรมดาแต่ที่จริงแล้วทำจากวัสดุที่ทนทานมาก
รับแรงไฟดับเครื่องชนได้โดยไม่เสียหายใดๆ
อีกทั้งสันพัดนั้นก็แข็งแรงพอที่จะทุบคนสลบและป้องกันการโจมตีได้สบาย ที่ตรงเหมือนขอบผ้าตรงปลายพัดนั้นถูกออกแบบพิเศษให้คมกริบเหมือนมีด
โดนทียังไงก็ได้เลือดแน่นอน
วิธีการต่อสู้ของมิซากิคือจะสู้อย่างงดงามราวกับเจ้าตัวกำลังระบำพัดอยู่
แล้วใช้ช่องว่างซัดศัตรูให้หมอบด้วยไอคิโด้
หรือไม่ก็ถ้าอยากยื้อเวลาก็จะรำไปเรื่อยๆ ลอบแทงไปทีละนิดๆ
ให้อีกฝ่ายบาดเจ็บเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
-
สัตว์กล่อง – ตัวต่อเมฆา “ฮาโอว” [Haou] ฮาโอวจะขยายจำนวนจนเป็นฝูงแล้วไปเล่นงานก่อกวนศัตรูจนเปิดช่องว่าง
ไม่ก็รบกวนแผนงานของอีกฝ่าย ใช้สืบข่าวได้ด้วย
(กรุณาคิดภาพตอนเจอตัวต่อทั้งรัง...แบบนั้นแหละ) ต่อยแล้วมันไม่ตายเลยเหมือนตัวต่อทั่วไป
อีกทั้งหากถูกฟันหรือกำจัดจะยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นไปอีก
ซ้ำเหล็กในของมันก็พิษเอาเรื่องไม่น้อย หกโดนต่อยเข้ารับรองปวดบวมแสบแน่นอน
นอกจากนี้ยังสามารถขยายร่างเป็นตัวต่อยักษ์ไว้ใช้งานอื่นๆได้ด้วย แคมพิโอฟอร์ม่าของฮาโอวคือ
“เข็มพิษ” ที่ไม่มีวันหมดเพราะเข็มนั้นสร้างจากไฟธาตุเมฆาของเธอเอง
เพิ่มจำนวนได้เรื่อยๆ และเมื่อขว้างออกไปเข็มจะเพิ่มจำนวนออกเป็นร้อยๆกลายเป็นห่าฝนเข็มเข้าเล่นงานจนราบคาบกันไปข้าง
หรือถ้าเร่งไฟธาตุเมฆาใส่ศรมากๆ เข็มนอกจากจะขยายจำนวนแล้วยังขยายขนาดเป็นหอกได้อีกด้วย
แน่นอนว่าเธอสามารถเอาเข็มที่ขยายเป็นหอกมาสู้ต่อได้ด้วย แต่ส่วนใหญ่เธอมักเพิ่มจำนวนเข็มแล้วซ่อนไว้แนบกับพัดแล้วค่อยสะบัดออกไปเล่นงานศัตรูระหว่างที่อีกฝายมัวแต่พะวงอยู่กับพัด
พิษที่อยู่บนเข็มจะทำให้เกิดอาการชาและขยับไม่ได้ไประยะหนึ่ง
แตไม่ต้องกลัวว่าจะเข้าตัวเอง...ไม่ใช่เพราะเธอมียาถอนพิษ เธอพกไว้ก็จริง แต่สาเหตุเป็นเพราะเธอโดนพิษตัวนี้มามากเกินตอนฝึกจนมีภูมิต้านพิษตัวแล้วนี้ต่างหาก
ชอบ
:
-
ซากุระ [เพราะเป็นสัญลักษณ์แห่งตระกูลยูกิโอกะ...ทั้งยังสวยสง่าสมเป็นสัญลักษณ์ชาวญี่ปุ่น]
-
ชาทุกประเภท [เพราะดื่มแล้วคล่องคอ
รสฝาดนิดๆถูกลิ้นเธอ]
-
ฤดูใบไม้ผลิ [เพราะเป็นเวลาที่ซากุระจะบาน
อีกอย่างช่วงนี้อากาศกำลังดี]
- หนังสือ
[เพราะเป็นสิ่งที่ให้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลิน
อีกทั้งฆ่าเวลาได้ดี]
-
ช่วงเวลาเงียบสงบ [เพราะเธอไม่ชอบเรื่องวุ่นวายที่ไม่จำเป็น]
-
มาซากิ [เพราะเป็นคนในครอบครัวที่ใกล้ชิดที่สุด
และเป็นผู้ชายที่เธอรักที่สุดในโลกจนไม่มีใครมาแทนที่ได้]
-
วัฒนธรรมญี่ปุ่น [เพราะคิดว่ามันงดงามและคู่ควรแก่การอนุรักษ์
อีกอย่างตอนทำก็เพลินดี]
-สัตว์เล็กๆ
[เพราะคิดว่ามันน่ารัก เวลาเจอจะชอบเข้าไปเล่นด้วย]
-
อาหารที่ทำจากปลา โดยเฉพาะปลาย่างและปลาดิบ [เพราะมันอร่อยไง...]
เกลียด
/ไม่ชอบ :
-
เรื่องยุ่งยากวุ่นวาย [เพราะมันทำลายความสงบที่เธอชอบ
แถมยังต้องเปลืองเวลาไปจัดการ]
- ความพ่ายแพ้
[เพราะมันน่าหงุดหงิด เจ็บใจด้วย]
-
คนทรยศ [เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเธอมันทำให้เธอเกลียดคนประเภทนี้]
-
เวลาที่ตัวเองอ่อนแอ [เพราะมันทำให้เธอรู้สึกไร้ค่า
ปกป้องสิ่งที่สำคัญไม่ได้]
-
คนที่ว่าร้ายต่อท่านพี่และตระกูลยูกิโอกะ [เพราะใครจะไปชอบคนที่ไม่ดีกับสิ่งสำคัญของเธอล่ะ]
- นัตโตะ
[เพราะมันไม่อร่อยเลยสำหรับเธอ]
งานอดิเรก
: อ่านหนังสือ / ระบำพัด / เล่นโคโตะ / จิบชา / มองฟ้าชมดาวชมจันทร์
ลักษณะคำพูด
: น้ำเสียงของมิซากิจะนุ่มนวลอ่อนหวาน ฟังไพเราะเสนาะหู แม้ไม่ถึงขั้นที่ว่ามีหางเสียงต่อท้ายทุกครั้ง
แต่จะดูกาลเทศะและให้เกียรติคู่สนทนาตามสถานการณ์
เป็นคนที่น้ำเสียงตามอารมณ์แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนจนน่ากลัว(มั้ง?) เช่นถ้าโกรธเสียงจะนิ่งขึ้น
เย็นขึ้นกว่าเดิมในระดับหนึ่ง หากเสียใจเสียงจะเบาลง
หากดีใจเสียงจะฟังดูหวานๆและสดใสมากกว่าเดิมระดับหนึ่ง เป็นต้น
แทนตัวว่า
“ดิฉัน” กับคนที่ไม่สนิท “ฉัน” กับคนที่รู้จักกันแล้วในระดับหนึ่ง “น้อง”
กับมาซากิคนเดียว
เรียกแทนคนอื่นว่า
“ท่าน” / “คุณ” ตามด้วยนามสกุล ตามแต่สถานการณ์หากเป็นคนไม่รู้จัก
หากคุ้นเคยในระกับหนึ่งแต่ให้เกียรติจะเรียก “คุณ” ตามด้วยนามสกุล
ถ้าสนิทแล้วถึงจะเรียกชื่อหรือนามสกุลแบบไม่มีคำต่อท้าย และใช้สรรพนามเรียกเป็น “นาย”
/ “เธอ”
[สถานการณ์ที่ 1 – แนะนำตัว]
“ดิฉัน...ยูกิโอกะ
มิซากิ ผู้พิทักษ์ ‘ซากุระ’ แห่งฟลอรัลแฟมิลี่...รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบพวกคุณในวันนี้ค่ะ”
[สถานการณ์ที่ 2 – ตอนมีผู้พิทักษ์คนอื่นมาชวนไปทำกิจกรรมด้วยกัน]
“...ครั้งนี้ขอผ่านดีกว่าค่ะ
พอดีว่าตอนนี้ฉันอยากอ่านหนังสือเล่มนี้ให้จบก่อน ไว้คราวหน้าแล้วกันนะคะ”
(ปฏิเสธ)
“...ปิกนิกเหรอ...นั่นสินะ
นานๆไปทีก็ดีเหมือนกันนะคะ” (ตกลง)
[สถานการณ์ที่ 3 – ตอนเจอศัตรู]
“ถ้าพูดถึงขนาดนั้น...ดิฉันจะเป็นคู่มือให้คุณเองค่ะ”
“ถ้าอยากรู้ว่าผู้หญิงมีฝีมือแค่ไหน...ก็ลองพิสูจน์ดูสิคะ...ด้วยตาคู่นี้ของคุณเอง”
[สถานการณ์ที่ 4 – เวลาโกรธ]
“อคติมันบังตาคุณไปหมดแล้วสินะคะ...ถึงได้มีความคิดที่มืดบอดขนาดนี้ได้”
“อย่ามาดูถูกผู้หญิง...เพียงเพราะคุณไม่รู้จักพวกเธอดีพอ...”
“ที่คุณพูดออกมานี่...ได้คิดก่อนไหมคะว่าตัวเองกำลังพูดอะไรออกมาบ้าง?
โตๆกันแล้วนะคะ...”
[สถานการณ์ที่ 5 – คุยกับท่านพี่]
“...น้องกลับมาแล้วค่ะท่านพี่
สบายดีไหมคะ?”
“เวลาพักหมดแล้ว...น้องคงต้องกลับไปแล้ว
ไว้น้องจะส่งข้อความมาหาทีหลังนะคะ ฝากความคิดถึงให้ทุกคนด้วย ไปก่อนนะคะ”
เพิ่มเติม
:
- หลังจากนั้นมิซากิก็ไปฝึกฝนที่ฟลอรัลแฟมิลี่พร้อมกับเรียนมหาวิทยาลัยจนจบปริญญาตรี
จะกลับมาเยี่ยมมาซากิปีละสามครั้ง (ไม่นับรวมว่ามีเวลาว่างอื่นๆด้วย ยุ่งให้ตายยังไงก็จะมาอย่างต่ำก็ปีละสามครั้ง)
เป็นแบบนี้ตั้งแต่ปีแรกที่เธอเข้าร่วมแฟมิลี่จนถึงปัจจุบัน ตอนนี้มาซากิเป็นผู้สืบทอดตระกูลเต็มตัวแล้ว
และสนับสนุนฟลอรัลแฟมิลี่เต็มที่ในทุกๆด้าน
-
หญิงสาวปริศนาคนที่ช่วยมิซากิไว้ในตอนนั้นคือผู้ดำรงตำแหน่ง “ซากุระ”
รุ่นก่อนแห่งฟลอรัลแฟมิลี่
-
ข้อมูลเพิ่มเติมของ “ยูกิโอกะ มาซากิ”
อายุ 25
ปี (โสด)
ผู้นำตระกูลยูกิโอกะคนปัจจุบัน
ให้การสนับสนุนฟลอรัลแฟมิลี่อยู่เบื้องหลังมาโดยตลอดตั้งแต่มิซากิไปเป็นสมาชิก
นิสัย –
เป็นคนที่กล้าหาญตรงไปตรงมาเหมือนนักรบ แต่ก็มีความฉลาดเจ้าเล่ห์และเป็นสุภาพบุรุษในตัว
พูดเก่ง อารมณ์ดีและควบคุมอารมณ์ได้ดี มีความเป็นผู้นำ
แต่เห็นแบบนี้ก็เลือดเย็นและใจเด็ดเอาเรื่อง รักและหวงมิซากิมากจนเรียกได้ว่าเป็นซิสค่อน
และพอเป็นเรื่องน้องสาวทีไร...อารมณ์ขึ้นง่ายกว่าเดิมทุกที
มุมสนทนา
Q
: สวัสดีค่ะ ไรท์ชื่อยูซึ จะเรียกว่ายูก็ได้ ผู้ปกครองชื่ออะไรคะ
A: สวัสดีค่ะ “ยูกินะ” ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก
Q
: ทำไมถึงมาสมัครเรื่องนี้เอ่ย
A: พล็อตน่าสนใจดีค่ะ อีกอย่างชอบนิสัยคาแรกเตอร์
Q
: ถ้าไม่ติดเป็นอะไรรึปล่าวคะ
A: ก็คงเสียใจอ่ะค่ะ เพราะตั้งใจปั่นมามาก
Q
: หมดคำถามเเล้วค่ะ ขอบคุณที่มาสมัครนะคะ
A: ขอบคุณเช่นกันค่ะ รับมิซากิไว้พิจารณาด้วยนะคะ ว่างๆอาจจะมาส่งอีกคน
ความคิดเห็น