ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My room :)

    ลำดับตอนที่ #114 : [AuFic KnB]STAY WITH ME [2]

    • อัปเดตล่าสุด 31 มี.ค. 60


    S
    N
    A
    P

      APPLICATION

     

     

     

    “...ท่านยังดูไม่ออกอีกหรือคะ...ว่าที่ข้ายังคงริษยาเรื่อยไปจนไม่มีที่สิ้นสุดนั้น ไม่ใช่ว่าท่านให้ข้าไม่เพียงพอหรอกค่ะ แต่เป็นหัวใจข้าต่างหากเล่าที่ถมมาเท่าไหร่ก็คงไม่มีวันเต็ม...”

     

    ชื่อ-นามสกุล : Evangeline Blanca Maricelia [Evangeline B. Maricelia] [เอวานเจลีน บลังก้า มาริเซเลีย]

     

    ชื่อเล่น : Eva [เอวา]

     

    ความหมายของชื่อ : 

    เอวานเจลีน – เทพธิดาตัวน้อยผู้เปี่ยมด้วยคุณความดี

    บลังก้า – สีขาว

    มาริเซเลีย – มาจากคำว่า “มารี” ที่แปลว่า “กบฏ / ทรยศ” และ เซเลีย ที่แปลว่า “สรวงสวรรค์”

    เพราะฉะนั้นรวมๆจะได้ว่า “เทพธิดาสีขาวตัวน้อยผู้เปี่ยมด้วยคุณความดี...ผู้ถูกสรวงสวรรค์ทรยศ” ค่ะ

     

    อายุ : 19

     

    นิสัย : เอวานเจลีน บลังก้า มาริเซเลีย เด็กสาวตัวน้อยน่ารักผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยนงดงามประดุจเทพธิดาประดับใบหน้าตลอดเวลา และกิริยาที่เจ้าตัวแสดงออกมาทุกท่าทางก็ไม่ได้ต่างจากรอยยิ้มนั้นเลยแม้แต่น้อย เพราะไม่ว่าจะขยับตัวทำสิ่งใดก็ล้วนแล้วแต่ดูอ่อนโยน นุ่มนวลสบายตาไปเสียสิ้น ชวนให้ผู้ที่ได้พบเห็นอดชื่นชมไม่ได้ ยิ่งเมื่อประกอบกับดวงหน้าที่น่ารักและงดงามนั้นแล้ว ยิ่งเสริมความเอ็นดูให้กับนางได้เป็นอย่างดี

     

    กิริยามารยาทของเอวานเจลีนนั้นเรียกได้ว่าสุภาพเรียบร้อยตามธรรมเนียมกุลสตรีที่ดี การพูดจาเองก็อ่อนหวาน มีการลงท้ายอย่างสุภาพรู้กาลเทศะ สิ่งใดควรพูดไม่ควรพูดอย่างไร ตอนไหนควรจะแสดงอารมณ์ตรงไปตรงมาหรือเก็บซ่อนมันไว้ จะพูดจาตอบโต้ในแต่ละสถานการณ์อย่างไร ทุกสิ่งนางล้วทำได้เหมาะสม วางตัวได้อย่างยอดเยี่ยมในทุกสถานการณ์ ทำตัวสบายๆไม่ได้จุ้จี้จุกจิกหรือเรื่องมากอะไรมากมาย ทั้งกับเรื่องมารยาทหรือการวางตัวของอีกฝ่าย หากอีกฝ่ายจะเสียมารยาทไปบ้างโดยไม่ได้ตั้งใจแต่ไม่ลามปาม นางก็ไม่ถือสาหรอก ภาพลักษณ์นางเองก็ดูเป็นเช่นนั้นด้วย อีกทั้งหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายหรือคิดว่าสำคัญจริงๆจะไม่ค่อยเคร่งกับกฎนัก ทำให้ผู้คนไม่ค่อยเกร็งเมื่ออยู่กับนางเท่าไหร่ แต่หากเป็นเรื่องจริงจังขึ้นมาเมื่อไหร่ นางเองก็ซีเรียสเป็นเหมือนกัน หากเรื่องตรงหน้าไม่สู้ดีเอามากๆ นางก็มีวิธีในการจบหรือปลีกตัวออกมาได้โดยดูไม่เสียมารยาทอีกด้วย อีกทั้งยังนอบน้อมต่อผู้อาวุโส กิริยาชดช้อยดูทั้งสวยงามเป็นธรรมชาติและสง่างามในเวลาเดียวกันในทุกยาม แม้กระทั่งยามนิทราก็ยังดูน่ารักน่าเอ็นดู...ช่างเป็นเด็กสาวที่น่าอิจฉาเหลือเกิน

     

    เอวานเจลีนเป็นคนที่อ่อนโยนเอาใจใส่ หากมีสิ่งใดที่นางพอจะทำเพื่อช่วยเหลืออะไรใครได้ นางจะทำสุดความสามารถให้ดีที่สุด ยิ่งนางเป็นคนที่มีความตั้งใจ มีความพยายาม และมีความละเอียดอ่อนในตัวสูงแล้ว เพราะฉะนั้นทุกสิ่งที่นางทำนั้นไม่มีคำว่าทำส่งๆไปให้พอเสร็จเด็ดขาด ขึ้นชื่อว่าเป็นฝีมือเอวานเจลีนแล้วทุกงานต้องออกมางดงามยอดเยี่ยม เต็มไปด้วยความพิถีพิถันและเอาใจใส่ ไม่ขาดตกบกพร่องรายละเอียดใดแน่นอน

     

    ความอ่อนโยนของเอวานเจลีนที่แสดงออกมานั้นมาจากภายในอย่างที่จริง คือนางเป็นคนที่คิดถึงคนอื่นอยู่พอสมควร นุ่มนวลกับทุกคนแม้ว่าอีกฝ่ายจะทำตัวไม่น่าทำดีใส่เท่าไหร่ก็ตาม ไม่ชอบทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วยเรื่องของตัวเอง ไม่ชอบความรุนแรงทุกรูปแบบและไม่ชอบที่จะทำร้ายใครด้วยวิธีใดๆทั้งสิ้น ด้วยความอ่อนโยนนี้เอง แม้ว่าตัวเองจะทุกข์หรือเจ็บปานใดก็ไม่ได้พาลไปทำร้ายคนอื่นเขาอย่างแน่นอน นางอ่อนโยนเกินไปที่จะทำอะไรเช่นนั้น แม้บางทีจะมีความคิดชั่วร้ายมาคอยกระซิบข้างหู...แต่ด้วยความอ่อนโยนใจดีที่มีในตนเองก็ทำให้ไม่กล้าลงมือทำเรื่องร้ายๆกับคนอื่นเลยสักครั้ง

     

    เอวานเจลีนเป็นคนที่รักความสงบมาก...ไม่ใช่ว่าอยู่กับคนอื่นมันไม่ดี แต่ว่าการอยู่คนเดียวมันทำให้จิตใจนางสบายขึ้นเพราะไม่ต้องมาคอยกังวลว่าตัวเองจะไปริษยาใครอะไรเมื่อไหร่อีก สิ่งที่ทำให้นางมีความสุขหรือดีใจคือดนตรี...นางหลงใหลมันมาตั้งแต่เล็กแล้ว เนื่องจากโตมาในโบสถ์จึงมักจะเห็นคนเล่นออร์แกนเป็นประจำ เสียที่ไพเราะและเปี่ยมพลังของมันทำให้นางหลงใหลจนต้องเรียนรู้ เรียกว่าดนตรีเป็นเครื่องเยียวยาหัวใจนางที่ดีเลยล่ะ นอกจากดนตรีแล้ว หนังสือก็เป็นสหายคนสำคัญอีกคนที่จะอยู่กับนางเกือบจะตลอดเวลา ไม่ใช่แค่เพียงความรู้เท่านั้นที่นางได้รับมา แต่เป็นความเพลิดเพลินอีกด้วย แต่ไม่ว่าอะไร...ก็เทียบกับความยินดีที่มีใครสักคนเห็นความสำคัญของนางไม่ได้ และทำในสิ่งที่นางต้องการแม้ว่าจะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยก็ตาม หากเป็นกรณีนี้ ยิ้มอ่อนโยนของเอวานเจลีนจะดูเจิดจ้าเป็นพิเศษราวกับมันเปล่งแสงได้ก็ไม่ปาน ก็นางมีความสุขนี่นา...การมีคนยอมรับและเห็นค่าเนี่ย มันดีจริงๆเลยเนอะ

     

    แม้ว่าภายนอกเอวานเจลีนจะดูเหมือนเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์ไม่ทันคน แต่ความจริงแล้วนั่นน่ะมันการแสดงหรอก ก็พวกเขาอยากเห็นนางเป็นแบบนั้น นางก็เป็นให้ได้...นางน่ะรู้ทันคนนะ แค่ทำเป็นแกล้งโง่เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งเท่านั้นแหละ มันยุ่งยากน้อยกว่ากันตั้งเยอะนี่นา การแสดงของนางนั้นยอดเยี่ยมเอาเรื่องเลยทีเดียวถึงขั้นว่าแม้แต่คนใกล้ชิดนางก็ยังจับไม่ได้ หรือไม่ใส่ใจที่จะจับก็ไม่ทราบเช่นกัน รอยยิ้มที่เห็นบนใบหน้านั้นอ่อนโยนเพียงไหน...หารู้ไม่ว่ามีอารมณ์ใดซ่อนอยู่ภายใต้ยิ้มนั้นบ้าง แม้ส่วนใหญ่มักจะเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนจากใจจริง แต่ก็มีหลายครั้งหลายครา...ที่รอยยิ้มอันอ่อนโยนนั้นกลายเป็นหน้ากากเพื่อซ่อนความขมขื่นทุกข์ทรมานเพื่อไม่ให้คนอื่นลำบากใจหรือมาซักไซ้อะไรนางเพิ่มจนนางไปไม่ถูกเหมือนกัน...

     

    เวลาเอวานเจลีนโกรธหรือเสียใจ คนส่วนใหญ่มักดูไม่ค่อยออกเพราะนางเก็บอาการได้ดี แต่ยังไงเสียนางก็ต้องการการระบายอยู่ดี วิธีการปลดปล่อยของนางคือไปในที่กว้างๆเงียบๆแล้วกรีดร้องระบายออกมาสุดเสียง ก่อนจะนั่งพักตรงนั้นแล้วนอนหลับสักงีบ พอตื่นมาอารมณ์ของนางก็จะกลับมาสงบดังเดิม...เอาจริงๆนางก็แอบเจ้าคิดเจ้าแค้นนิดๆนะ แต่ทำอะไรไม่ได้ก็เลยทำได้แค่หาทางระบายก็เท่านั้นเอง...ซึ่งหากจะถามว่าเรื่องไหนที่เอวานเจลีนโกรธได้ ก็คงต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่พอสมควรอย่างเช่นการเล่นกับความรู้สึกของนาง โดยเฉพาะคนที่รู้อยู่แล้วว่านางคิดหรือรู้สึกอย่างไรและยังแกล้งต่อไป

     

    เอวานเจลีนเป็นคนที่เรียนรู้เร็วเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไหวพริบก็ดีเยี่ยม ประกอบกับความช่างสังเกต ความละเอียดอ่อนและความพยายามสูงที่มีอยู่ในตัวแล้ว ทำให้นางมีความสามารถในหลากหลายด้าน แต่ด้านที่เก่งกาจที่สุดคงไม่พ้นเรื่องการอ่านสถานการณ์ เพราะความช่างสังเกตและละเอียดอ่อน ทำให้นางรู้ว่าคนรอบตัวเป็นคนประเภทไหน ควรจะรับมืออย่างไรจึงจะดีที่สุด แต่ถึงกระนั้นความสามารถนี้ก็เหมือนเป็นดาบสองคม...เพราะบางทีการที่รู้ไปหมดก็ทำให้เรารู้เรื่องที่ไม่สมควรจะรู้ในบางครั้ง และเมื่อรู้มาก...ก็ยิ่งเจ็บมากตามไปด้วย...

     

    นอกจากเรื่องการวางตัวแล้ว เอวานเจลีนยังมีความสามารถสูงทางด้านภาษาและดนตรี นางคิดว่าสองสิ่งนี้นั้นงดงาม อีกอย่าง...นางก็คลุกคลีกับทั้งสองสิ่งนี้มาตั้งแต่เล็กแล้วด้วย เอวานเจลีนนั้นฟังพูดอ่านเขียนได้ถึงสี่ภาษาตั้งแต่สิบสองปี คืออังกฤษ ฝรั่งเศส ละติน และญี่ปุ่น ฟังดูเหลือเชื่อ...แต่ด้วยวิถีชีวิตของนางประกอบกับการที่ไม่มีอะไรที่นางทำได้มากมายนัก ทำให้นางสามารถทุ่มเทไปเพื่อภาษาได้อย่างเต็มที่ ส่วนในด้านดนตรี นางสนใจมาตั้งแต่เด็กแล้ว ทุกคนมักจะเห็นนางจ้องคนเล่นเครื่องดนตรีเสมอ บางครั้งจะเห็นนางร้องเพลงตามไปด้วยรอยยิ้มอีกด้วย แต่ได้มาเรียนจริงจังตอนอายุเจ็ดปี แต่แม้จะเริ่มช้าไปสักหน่อย ด้วยความพยายามและความขัยนในการฝึกซ้อม ทำให้นางชำนาญศาสตร์นี้ได้อย่างไม่ยากเย็น ทำไมนางถึงพยายามกับเรื่องเหล่านี้นักน่ะหรือ? ก็เพราะสิ่งที่จะไม่มีวันโดนแย่งชิงไปได้คือความสามารถของตัวนางเองอย่างไรเล่า..มันจะเป็นของๆนางตลอดไป...ตราบสิ้นลมหายใจ...

     

    งานบ้านงานเรือน...หนึ่งในทักษะติดตัวของเอวานเจลีนที่ได้มาจากการเรียนรู้ทั้งชีวิต นางมีทักษะด้านนี้สูงเพราะโดนฝึกมาอย่างเข้มงวดเพื่อให้เป็น กุลสตรีที่ดี แม้ว่าจะไม่ปรารถนามันเลยแม้แต่น้อย แต่การมีทักษะเหล่านี้ติดตัวก็ทำให้ชีวิตนางสะดวกสบายขึ้น เพราะเวลามีเรื่องอะไร นางก็พึ่งพาตนเองได้ แต่ทักษะที่นางแบไม่ได้ฝึกก็มีเหมือนกันคือการทำอาหาร...น้อยครั้งเหลือเกินที่นางจะได้เข้าครัวเป็นเพราะว่าปกติที่บ้านก็มีคนทำให้ทานอยู่แล้ว และนางไม่ค่อยมีเวลาเข้าครัวเท่าไหร่ด้วย

     

    เอวานเจลีนเป็นคนที่ดูแล้วค่อนข้างยอมคนพอสมควร หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายร้ายแรงก็จะยอมอ่อนโอนผ่อนผันให้คนอื่นเรื่อยไป จนเหมือนคนที่จะเอาเปรียบได้ง่ายๆ ซึ่งก็ใช่...หากเป็นเรื่องเล็กน้อยน่ะนะ แต่ถ้าเกิดเป็นเรื่องใหญ่โตในความคิดนางเมื่อไหร่ แม้ว่าหน้าตาของนางจะไม่ได้แสดงท่าทีใด แต่ในใจน่ะค้านไปเรียบร้อยแล้ว แล้วก็จะหาทางเพื่อให้ตัวเองรอดพ้นหรือเพราะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ด้วย จะเรียกว่าเอวานเจลีนเป็นพวกกบฎเงียบก็ไม่ผิดอะไรเลย แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ต้องการแสดงออกให้ชัดเจน นางก็จะปฏิเสธอย่างหนักแน่นแต่ก็นุ่มนวล ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายหาช่องว่างตื้อได้แน่นอน

     

    นอกจากจะกบฎเงียบไม่พอ เอวานเจลีนยังเป็นพวกหัวแข็งเงียบอีกด้วย แม้ว่าภายนอกจะทำตัวเหมือนพวกหัวอ่อนสอนสั่งง่ายก็ตาม แต่ใจจริงแล้ว...หากนางไม่เชื่อถืออะไรให้ตายก็จะไม่เชื่อหรอก แน่นอนว่าถ้านางเชื่ออะไรก็จะเชื่อไปเช่นนั้นด้วย แต่ศรัทธาความเชื่อของนางก็มีขีดจำกัดเช่นเดียวกับทุกคน...เช่นเดียวกับความอดทนของนาง...

     

    แม้ว่าโดยรวมแล้วเอวานเจลีนจะดูเหมือนเทพธิดาปานไหน แต่หากใครได้สัมผัสถึงสิ่งที่เก็บซ่อนไว้ในใจของนางนั้นช่างดำมืด...ราวกับตกอยู่ในอำนาจของอินวิเดีย หนึ่งในเจ็ดมหาบาปแห่งความริษยาก็ไม่ปาน...ภายนอกที่ดูเหมือนเป็นคนอ่อนหวานยิ้มแย้ม มองโลกในแง่ดีกับทุกๆสิ่งนั้นเหมือนกับเป็นปราการที่คอยกั้นไม่ให้ความดำมืดในใจเหล่านี้ปรากฏแก่สายตาคนอื่นเท่านั้นเอง..

     

    หากจะเปรียบหัวใจของเอวานเจลีนกับสิ่งใดแล้ว...คงเป็นเหมือนทะเลทรายกระมัง เหตุใดน่ะหรือ...

     

    จากการที่เอวานเจลีนไม่เคยได้รับสิ่งใดที่ปรารถนามาตลอดชีวิต และยังต้องทนดูคนรอบตัวได้ทุกสิ่งที่ปรารถนานั้นช่างทรมานยิ่ง...ความชุ่มชื้นยินดีในหัวใจได้ถูกทำลาย...ถูกแผดเผาด้วยไฟแห่งริษยาที่เก็บสะสมมานานปีทำให้จิตใจของนางนั้นแห้งแล้วราวกับทะเลทราย ไม่ใช่ว่าไร้น้ำใจ...ทุกสิ่งที่นางพอทำให้ใครได้ นางก็ทำให้ทั้งสิ้น แม้ไม่เรียกร้องสิ่งใด แต่ก็คาดหวังว่านางจะได้รับสิ่งใดตอบแทนบ้างในสักวัน พอไม่ได้ก็ทำให้จิตใจของเอวานเจลีนยิ่งกระหาย กระหาย กระหาย ไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับทะเลทรายที่ไม่ว่าจะมีฝนตกลงมาหนักหนาและยาวนานเพียงใดก็ไม่เพียงพอที่กำจัดความแห้งแล้วนั้น เป็นความอิจฉาริษยายากจะเติมให้เต็มอย่างแท้จริง หากเห็นใครได้ดีกว่าก็อดที่จะเจ็บปวดใจด้วยความริษยาไม่ได้ อยากจะพังทลายทุกคนที่ดีกว่านางแล้วแย่งทุกสิ่งมาเสียเองแต่ก็ทำไม่ได้ด้วยความอ่อนโยนในตัวเองที่ทนทำร้ายคนอื่นจนเจ็บปวดไม่ได้ นางจึงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้...ซึ่งใช้ความอดทนมากเหลือเกินในการซ่อนความริษยาที่มีมานับสิบปีนี่โดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่แม้จะปิดบังอย่างไรสุดท้ายแล้วก็ต้องหาทางระบายอยู่ดี ซึ่งการระบายของเอวานเจลีนคือการจิกเล็บลงไปในเนื้อลงตนเองจนเป็นรอยแผล ใช้ความเจ็บปวดของตนเองข่มความเจ็บปวดใจจากไฟริษยาที่แผดเผาในใจ แม้ความเจ็บปวดนั้นจะเทียบกันไม่ได้เลยก็ตาม แต่หากไม่ทำอะไรแล้วล่ะก็...คงทนไม่ไหวเป็นแน่ ซึ่งนางมันทำในตอนกลางคืนเพื่อไม่ให้มีใครสงสัยหากอยู่ๆนางเกิดเลือดออกขึ้นมาระหว่างวัน แต่เวลาที่ไม่ไหวจริงๆก็จิกมันตรงนั้นเลยเหมือนกัน ซึ่งบริเวณที่มักโดนประทุษร้ายคือหัวไหล่และข้อมือ โดยเฉพาะหัวไหล่ที่นางจิกเป็นประจำทุกคืน จนหากสังเกตดีๆก็จะมีรอยแผลไม่น้อยเลย...แต่ยังดีที่นางดูแลตัวเองดี ดังนั้นหากไม่สังเกตดีๆก็จะไม่เห็นหรอก...

     

    แต่แม้เอวานเจลีนจะปรารถนาทุกสิ่งทุกอย่างที่เหนือกว่าคนอื่นขนาดไหน นางก็รู้ดีที่สุดว่าความสุขนั้นไม่ยั่งยืน ยามได้มาสุขเพียงไร เสียไปก็ทุกข์เพียงนั้น บางทีสุขไม่ทันไร เจอคนที่ได้รับมากกว่านางก็ทุกข์อีก นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำไมนางจึงริษยาไม่มีที่สุดสักที เพราะไม่มีสุขใดที่เป็นนิรันดร์ ดังนั้นเพื่อไม่ให้ทุกข์เพราะริษยา นางจึงปรารถนาไขว่คว้าไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อที่จะไม่ต้องทุกข์อีก เพราะหากได้มาเรื่อยๆ ความสุขที่มาเรื่อยๆก็จะไม่ทำให้นางทุกข์อย่างไรล่ะ...นอกจากนั้น นางยังเป็นคนหวงของและรักษาของมาก สิ่งใดที่ได้รับมาแล้ว นางจะดูแลเป็นอย่างดี แต่อย่าคิดมาขอคืนเชียว เพราะนางไม่ให้คืนง่ายๆหรอก...

     

    เอวานเจลีนนั้นเกลียดการเปรียบเทียบยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก อาจจะมากกว่าความอิจฉาริษยาในตัวเสียด้วยซ้ำ ด้วยเหตุที่ว่านางโดนเปรียบเทียบมาตลอดชีวิต ทำให้นางไม่อยากจะถูกเปรียบเทียบอีก และเป็นผลให้นางไม่ชอบเปรียบเทียบคนอื่นด้วยเพราะเข้าใจความทุกข์ทรมานนั้นดียิ่งกว่าใคร...จะว่าไปจิตใจของเอวานเจลีนนั้นก็เหมือนมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่มีทั้งแสงสว่างและความมือปะปนกันไป ไม่มีดีไปหมดและเลวร้ายไปหมด...

     

    ในเรื่องความรักนั้น เอวานเจลีนเป็นคนที่ค่อนข้างจะปิดใจตนเองพอสมควร เนื่องจากสิ่งที่พบเจอตลอดชีวิต...ทำให้นางไม่อยากจะหวังความรักอะไรจากใครอีกต่อไปแล้ว และเมื่อมีใครเข้ามาทำดีด้วยก็จะปิดกั้นตัวเองไว้ เนื่องจากกลัวว่าหากหลงใหลปับมันแล้วสูญเสียหรือโดนแย่งชิงไปอีก ตัวเองคงทนรับไม่ได้เป็นแน่ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการไม่เปิดใจรับใครเข้ามาอีก เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดอีก แต่อย่างที่เคยกล่าวไว้แล้วว่าทุกสิ่งย่อมมีจุดสิ้นสุด ปราการในใจของนางก็เช่นกัน หากพบคนที่ยอมรับและพร้อมจะทุ่มเททุกสิ่งให้อย่างไม่หยุดยั้งด้วยความจริงใจแล้ว...ไม่รู้ว่าปราการนี้จะทลายไปเมื่อใด และนางอาจจะต้องเจ็บปวดเพราะใครสักคนอีกครั้งก็เป็นได้...เพราะนางเอวานเจลีนยอมรับใครแล้วก็จะจริงใจกับคนนั้น เหมือนกับที่อีกฝ่ายจริงใจกับนางด้วย

     

     

     

    ประวัติ : เอวานเจลีน บลังก้า  มาริเซเลีย ลูกสาวคนที่สองแห่งตระกูลมาริเซเลียที่เป็นตระกูลนักบวชเก่าแก่มาหลายชั่วคน เธอเติบโตมาด้วยเสียงเพลงสวดในโบสถ์ปลุกยามเช้า เสียงภาวนาทุกครั้งยามทานอาหาร และเสียงบทสวดมนต์ก่อนหลับตาลง กล่าวได้ว่าวิถีชีวิตของเอวานเจลีนนั้นอยู่คล้ายพวกนักบวชก็ไม่ผิดนัก ส่วนในด้านการเรียนนั้นเธอก็ได้เรียนกับทางโบสถ์ตามธรรมเนียมของทางบ้าน ดูๆแล้วก็เหมือนกับชีวิตของเด็กที่เกิดในบ้านนักวชทั่วไปใช่ไหม? คงใช่...หากพระเจ้าบนฟากฟ้าไม่ได้ชิงชังนางปานนี้...

    เอวานเจลีนนั้นมีพี่สาวอยู่คนหนึ่งที่อายุห่างกับนางได้ราวห้าปี นามว่า “แองเจลิก้า ฟรานคอส มาริเซเลีย” (แองจี้) ผู้มีใบหน้างดงามละม้ายคล้ายกับนางราวกับเป็นเงาสะท้อนของกันและกัน ไม่ว่าใครต่อใครต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเอวาเจลีนคือภาพอดีตของแองเจลิก้าครั้งยังเยาว์วัย ซึ่งเอวาก็ได้แต่ยิ้มแย้มรับคำชมเหล่านั้น

    และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความริษยาแรก...

    เอวานเจลีนนี่น่ารักเหมือนแองเจลิก้าตอนเด็กมากเลยเนอะ

    ใช่ๆ เหมือนได้เห็นแองจี้ตอนสมัยเด็กอีกครั้งเลย พี่น้องคู่นี้นี่หน้าตาเหมือนกันจริงๆ

    โตไปต้องสวยเหมือนพี่แน่ๆ

    ...เหตุใด...

    เหตุใดทุกคนจึงเอาแต่เปรียบเทียบข้ากับท่านพี่กันเล่า?

    ไม่ใช่เอวานเจลีนมั่นใจว่างดงามกว่าแองเจลิก้าผู้เป็นพี่ แองเจลิก้างดงามราวเทพธิดาปานใดนางนั้นรู้ดี...

    แต่เหตุใดเล่า...ทุกถ้อยคำที่กล่าวถึงนางล้วนแต่สื่อนัยว่า...นางเป็นได้แค่เพียงภาพสะท้อนของท่านพี่เท่านั้น?

    งามเลิศเลอแล้วอย่างไร? จะชมนางว่าสวยน่ารัก...โดยมิพาดพิงถึงท่านพี่บ้างมิได้หรือ?

    ในตอนนั้นเอวานเจลีนคิดว่าตัวเองไม่ใช่ภาพสะท้อนของใครเสียหน่อย จึงตัดสินใจทำตัวต่างจากพี่สาวผู้ร่าเริงสดใส ชอบเข้าสังคม คือทำตัวอ่อนหวานเรียบร้อย เป็นกุลสตรีตัวอย่างที่ไม่ว่าใครเห็นก็อดจะชื่นชมไม่ได้ มีรอยยิ้มงดงามราวกับนางฟ้าบนใบหน้าตลอดเวลา ช่วยเหลือและเอาใจใส่ สมกับเป็นลูกสาวของนักบวชอย่างแท้จริง ด้วยหวังว่าจะพ้นการอยู่ภายใต้เงาของพี่สาวเสียที...

    แต่นางนั้นคิดผิดถนัด

    เอวานเจลีนเนี่ย...ยิ้มสวยเหมือนแองเจลิก้าเลยนะ

    ใจดีเหมือนกันด้วย แหม...บาทหลวงฟรานซิสช่างน่าอิจฉาเหลือเกินที่มีลูกสาวน่ารักเพียงนี้ถึงสองคน

    ไม่ว่าจะทำตัวต่างกันเช่นไร...สุดท้ายแล้วเอวานเจลีนก็ยังตกเป็น เงา ของพี่สาวนางอยู่วันยังวันค่ำ และสถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้าย เมื่อท่านพี่ของนางป่วยเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาหาย...

    ทำไมน่ะหรือ?

    ก็เพราะว่ายิ่งท่านพี่ผู้แสนสดใสดั่งดวงตะวันของนางอ่อนแอลงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งไม่มีใครใส่ใจในสิ่งที่นางทำอย่างไรเล่า...

    แองเจลิก้านั้นเป็นที่รักปานใด เอวานเจลีนผู้เป็นน้องนั้นรู้ดีที่สุด แม้กระทั่งในครอบครัวกันเองก็เหมือนจะให้ความเอ็นดูท่านพี่มากกว่านางอยู่เสมอ แม้ว่าแรกๆนางจะพยายามปลอบตัวเองว่าคิดมากไปเองก็ตาม...

    เสื้อผ้าข้าวของใช้...แองเจลิก้าได้ทุกอย่างดังใจปรารถนา แต่เอวานเจลีนกลับต้องใช้ของเก่าของท่านพี่ เมื่อขอบ้างก็โดนว่ากล่าวว่าสิ้นเปลือง นางก็ยังพอกล่อมตัวเองได้ว่าที่บ้านแค่ต้องการประหยัด และพยายามข่มตัวเองไม่ให้เผลอมองท่านพี่ของตนด้วยสายตาริษยาทุกครั้งที่เห็นอีกฝ่ายได้ของใหม่...

    อาหารการกิน...แองเจลิก้าอยากทานสิ่งใด เพียงเอ่ยปาก ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดทุกท่านก็ทำให้ทานได้ แต่พอถึงคราวเอวานเจลีนขอบ้าง...กลับโดนบอกว่า ให้รู้จักพอเพียง ทานเท่าที่มีก็เพียงพอ นางก็ต้องข่มใจไว้เช่นเคยทั้งที่ในใจริษยาใบหน้ามีความสุขของท่านพี่เหลือเกิน...

    สหาย...แองเจลิก้ามีสหายมากมายที่พึ่งพาได้ และมักจะพาเอวานเจลีนไปทำความรู้จักอยู่เสมอ และนางเองก็เริ่มมีสหายในรุ่นราวคราวเดียวกันด้วย แต่นางก็มารู้ทีหลังว่า...คนที่เข้าหานาง ก็เพราะว่าแค่อยากจะใช้นางเป็นสะพานเข้าหาท่านพี่ไม่ก็เพื่อผลประโยชน์บางอย่างเท่านั้นเอง...นางได้แต่ริษยาว่าเหตุใดนางจึงไม่เจอคนดีๆบ้าง และสุดท้ายก็ปลีกตัวออกมาเพราะกลัวว่าหากอยู่ในวงล้อมต่อไป...นางคงทนริษยาไม่ไหวเป็นแน่...

    การชมเชยและส่งเสริม...ไม่ว่าแองเจลิก้าจะขยับตัวทำอะไรก็ได้รับความสนใจ และได้รับการสนับสนุนจากทางบ้านอยู่เป็นประจำ แต่พอเอวานเจลีนพบสิ่งที่อยากลองทำบ้าง...กลับโดนกล่าวหาว่าเป็นสิ่งไร้สาระสิ้นเปลืองเวลา...ทั้งที่มันก็ไม่ได้ไร้สาระเสียหน่อย การเรียนดนตรีนี่มันไร้สาระมากนักหรือ? แต่พอท่านพี่ขอบ้าง กลับได้รับการสนับสนุนทันทีพร้อมคำกล่าวชมเชยเสียยกใหญ่ และนางก็ได้เรียนเป็นเพื่อนเสียอย่างนั้น

    ทั้งหมดยิ่งตอกย้ำชัดให้เห็นถึงความรักที่ไม่เท่าเทียมเลยสักนิด...

    ทำไม...ทำไมข้าไม่ได้รับสิ่งเหล่านั้นบ้าง?

    ข้าก็ทำตัวเป็นเด็กดีอย่างที่ทุกคนต้องการแล้ว เสียสละและทำให้ในสิ่งที่ทุกคนอยากให้ทำแล้ว...

    มันยังไม่เพียงพออีกหรือ?

    ต้องทำอีกเท่าไหร่กัน?

    โลกนี้จะไม่เหลือความยุติธรรมไว้นางเลยหรือ?

    พระเจ้าชิงชังนางมากนักหรืออย่างไร?

    ทุกวันคืน เอวานเจลีนได้แต่คิดเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาในยามราตรีเมื่ออยู่ตามลำพัง เล็บจิกลงบนไหล่บอบบางจนเป็นแผลมีเลือดไหลซึม แต่พอยามรุ่งอรุณ นางก็กลับกลายเป็นเทพธิดาตัวน้อยที่ไม่แสดงท่าทีว่าอิจฉาริษยาผู้ใดเช่นเดิม ทำให้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ความคิดในใจของนาง มีเพียงรอยแผลจางๆที่ไหล่เท่านั้นที่ย้ำเตือนว่า...ไฟริษยาในตัวนางนั้นไม่ได้จางหายไปจากใจนางเลยสักวัน...

    เอวานเจลีนอดทนมาหลายปี จนเมื่อแองเจลิก้าป่วย ทุกคนรอบกายก็ยิ่งทุ่มเทความดูแลใส่ใจไปที่ท่านพี่ของนาง จนทุกสิ่งที่นางเพียรพยายามทำนั้นราวกับเป็นอากาศธาตุว่างเปล่า มีอยู่จริงแต่ไม่มีผู้ใดรับรู้ ไม่มีผู้ใดสนใจ หากวันใดนางไม่ทำก็จะถูกตำหนิกลายๆว่า...

    เอวา...อย่าทำให้คนอื่นลำบากเพิ่มสิ พี่เจ้าป่วยอยู่นะ...เจ้าเองก็โตแล้ว ช่วยทำแค่นี้ไม่ได้เลยหรือ?

    แล้วมันจะมีค่าอันใดเล่า...ในเมื่อข้าเพียรพยายามทำดีเท่าไหร่ พวกท่านก็ไม่แม้จะชายตาแลข้าเลยสักนิด...

    แม้แต่ท่านพ่อก็ตาม...

    แม้จะริษยาปนน้อยใจปานใด เบื้องหน้าเอวานเจลีนก็ยังคงสวมบทบาทเป็นเทพธิดาตัวน้อยๆผู้อ่อนโยนเหมือนเช่นทุกครา...

    กาลเวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งเอวานเจลีนโตเป็นเด็กสาวผู้งดงามดั่งเทพธิดาไม่ผิดจากที่ใครๆคาดคิด และในตอนนั้นเองที่นางได้พบกับใครคนหนึ่ง...บุรุษผู้เข้ามาในดวงใจของนาง...

    เฟลิกซ์ แอนเซล ออกัสตัส...

    เฟลิกซ์นั้นเป็นสหายคนหนึ่งของแองเจลิก้า...ท่านพี่ของนาง ตอนแรกเอวานเจลีนก็ไม่ได้ใส่ใจเขาอะไรมากมาย แค่ทักทายตามมารยาทอันควรเท่านั้น เมื่อท่านพี่ของนางเริ่มป่วย เขาก็มาเยือนหลายครั้งหลายครา...

    และทุกอย่างก็เริ่มขึ้นด้วยคำทักทายสั้นๆง่ายๆแต่บาดลึกลงไปในดวงใจ

    ...วันนี้เจ้าดูเหนื่อยๆนะ เอวานเจลีน...พักสักหน่อยดีกว่าไหม?

    คำพูดเรียบง่าย รอยยิ้มอ่อนโยน น้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงเป็นใยจากใจจริงทำเอวานเจลีนตกใจไม่น้อย หลายปีมานี้ นางฝึกฝนหน้ากากรอยยิ้มมานานแสนนาน...จนไม่มีผู้ใดล่วงรู้ความทุกข์ทรมานหรือเหน็ดเหนื่อยในใจแม้กระทั่งกับคนในครอบครัว...แต่เขากลับมองเห็นมัน...

    แรกเริ่ม...เอวานเจลีนตกใจ...และเริ่มรักษาระยะห่างกับเฟลิกซ์ เพราะไม่อยากให้เขามาล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วในใจนางคิดสิ่งใดอยู่ ถ้ารู้...เขาคงจะเกลียดนางแน่ๆ และที่สำคัญ...นางไม่อยากจะคาดหวังกับสิ่งใดแล้วริษยาอีก...

    เพราะนางริษยามามากแล้ว และคงไม่มีวันจบสิ้นจนกว่าชีวิตของนางจะดับสูญ...

    และ...ของสำคัญที่นางอยากได้อยากมี...ชั่วชีวิตนี้นางคงไม่มีวันได้รับมา...

    ประสบการณ์อันขมขื่นของเอวานเจลีนสอนนางไว้เช่นนั้น...

    แต่อีกฝ่ายก็ดูจะไม่ใส่ใจ ทุกครั้งที่เฟลิกซ์มาเยี่ยมเยือนแองเจลิก้า จะต้องแวะมาหานางทุกครั้ง คอยถามสารทุกข์สุขดิบ คอยเป็นห่วงเป็นใย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำละลายเกราะในใจนางลงไปทีละน้อย...

    และเกราะนั้นก็พังทลายไปเสียสิ้น ด้วยเพียงประโยคเดียวที่เขาเอ่ยกับนางในวันหนึ่ง

    ข้าล่ะอิจฉาแองจี้เหลือเกิน...ที่มีน้องสาวน่ารักอย่างเจ้ามาคอยดูแล

    ในอกของเอวานเจลีนนั้นพองโตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันคงเป็นความยินดีที่ในที่สุดแล้ว...ก็มีใครสักคนมองเห็นความดีที่นางทำ และปิติยิ่งกว่าที่คนตรงหน้าไม่เคยเอ่ยเปรียบเทียบนางกับท่านพี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว

    มันเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้วนี่คะ...

    แต่แม้ในใจจะยินดีปานใด ต่อหน้านางก็รักษาภาพพจน์ไว้เช่นเดิม เพียงแต่รอยยิ้มในครั้งนี้นั้นสว่างสดใสยิ่งกว่าครั้งใดที่เคยยิ้มมา...ยิ้มที่ออกมาจากใจจริงของนาง...

    หากน้องสาวข้าน่ารักได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้า...ข้าคงไม่ปวดหัวขนาดนี้หรอก

    ท่านก็กล่าวเกินไป...น้องท่านก็มีเสน่ห์ในแบบของนาง จะมาเทียบกับข้าก็คงไม่ใช่กระมัง...

    หลังจากนั้น เอวานเจลีนก็เริ่มเปิดใจยอมรับเฟลิกซ์มากขึ้น ทั้งสองมักจะใช้เวลาว่างพูดคุยกันตามลำพัง ในเวลานั้น นางจะสามารถยิ้ม หัวเราะได้อย่างเป็นตัวของตัวเอง โดยไม่ต้องเสแสร้งปั้นหน้าใดๆ จนพักหลังมานี้ มีอยู่หลายคราที่เฟลิกซ์มาหานางโดยที่ไม่ได้แวะมาเยี่ยมแองเจลิก้า เมื่อเอวานเจลีนถาม เขาก็ตอบเพียงว่า

    ก็ข้าอยากมาพบเจ้านี่นา ไม่ได้รึ?

    แล้วเหตุใดนางควรจะตอบว่าไม่ล่ะ?

    ความสัมพันธ์ของทั้งสองค่อยๆพัฒนาไปเรื่อยๆ ในระหว่างนั้นแม้ชีวิตความเป็นอยู่ของเอวานเจลีนจะยังทุกข์ทนไม่ต่างไปจากเดิม แต่นางก็ไม่ได้เจ็บปวดเท่าแต่ก่อนแล้ว อาจเป็นเพราะรู้ว่ามีใครสักคนที่คอยเป็นห่วงนาง แม้ไฟริษยาในใจจะยังไม่จางหายไปทั้งหมด แต่มันก็เบาบางลงบ้าง ราวกับเฟลิกซ์เป็นดั่งสายฝนที่พร่ำตกลงมาไม่ให้เพลิงริษยาในใจของเอวานเจลีนลุกไหม้ไปยิ่งกว่าเดิมก็ไม่ปาน

    แต่แล้ว...ฟ้าก็เล่นตลกกับเอวานเจลีนอีกครั้ง เมื่อนางไปเช็ดตัวดูแลท่านพี่ตามปกติ ขากลับได้เดินผ่านห้องอาหารที่เหล่าบรรดาญาติกำลังพูดคุยกันด้วยท่าทีตึงเครียด ตอนแรกนางก็ไม่ได้คิดใส่ใจ ตั้งใจจะเดินผ่านไปเฉยๆแต่แล้วก็ต้องหยุดฟังเมื่อได้ยินชื่อของนางอยู่ในบทสนทนาเหล่านั้น

    เอวากับเฟลิกซ์...คนตระกูลออกัสตัสน่ะรึ?

    ก็ดีไม่ใช่รึไง?

    ไม่ได้! ถ้าใครสักคนจะเกี่ยวดองกับตระกูลนั้นต้องเป็นแองจี้ ไม่ใช่เอวา!!!’

    แต่แองจี้น่ะ...

    แองจี้เองก็ดูเหมือนจะชอบพอเฟลิกซ์คนนั้นเหมือนกัน

    แล้วไม่คิดจะถามอีกฝ่ายหน่อยรึว่าสนใจใครกันแน่? เพราะไม่ว่าจะเป็นใครก็...

    ถามไปทำไม! ยังไงทุกสิ่งที่มีอยู่ก็ควรจะเป็นของแองจี้อยู่แล้ว!’

    เหตุใด...

    เพราะเหตุใดทุกอย่างจึงควรจะเป็นของท่านพี่ ไม่มีสักสิ่งที่เป็นของนางเล่า?

    เหตุใดท่านจึงได้เอ่ยเช่นนั้นกัน...ท่านพ่อ!!!

    ไม่คิดว่านั่นโหดร้ายไปหรือ...สำหรับเอวา

    ...เจ้าก็รู้ดีไม่ใช่เหรอว่าแองจี้กับเอวาน่ะต่างกัน...

    นั่นข้าก็...

    แองจี้เป็นลูกสาวที่แท้จริงของข้า ส่วนเอวาน่ะเป็นลูกของน้องชายไม่รักดีและนังภรรยามักมากของข้าที่ตายตกตามกันไปแล้ว...แค่ให้มีชีวิตอยู่ต่อก็มากพอแล้ว! ถ้าแองจี้ไม่บอกว่าอยากมีน้อง...เด็กนั่นไม่ได้อยู่จนถึงตอนนี้หรอก!

    ในหัวของเอวานเจลีนขาวโพลนทันที พร้อมกับคำตอบของข้อสงสัยที่อยู่ในใจนางมาตลอดตั้งแต่นางยังเยาว์...

    นางรู้แล้วว่าทำไมนางไม่เคยได้รับสิ่งใด...

    เพียงเพราะนางไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ...

    นางไม่ใช่ทั้งภาพสะท้อน ไม่ใช่ทั้งเงาที่คอยไล่หลังแสงสว่าง...ไม่ใช่สิ่งใดทั้งนั้น...

    ไม่มีแม้แต่ที่ให้นางยืนในหัวใจของคนที่นางเรียกขานว่า ท่านพ่อ เสียด้วยซ้ำ!

    คำเหล่านั้นวนเวียนซ้ำไปมาในหัว ไฟริษยาที่เหมือนจะสงบไปกลับลุกโชนอีกครั้ง ทั้งริษยาและเคียดแค้น

    ข้าเลือกได้ด้วยหรือที่เกิดมาเช่นนี้?

    ข้าผิดอันใดหรือที่เกิดมาจากลูกชู้?

    เหตุใด...ข้าจึงไม่เกิดเป็นลูกอย่างถูกต้องเหมือนคนอื่นเขา?

    เหตุใดข้าจึงไม่ได้รับความรัก ได้รับทุกสิ่งเหมือนเช่นคนอื่นบ้างกัน?

    อิจฉา...อิจฉาเหลือเกิน...

    เมื่อได้สติอีกทีก็พบว่าตัวเองมายืนอยู่ที่ห้องของแองเจลิก้าอีกรอบ แต่คราวนี้ประตูห้องกลับแง้มอยู่เล็กน้อย มือเผลอแตะบานประตูอย่างไม่ได้ตั้งใจ และเมื่อมันเปิดออกก็พบกับภาพที่ทำให้เอวานเจลีนแทบล้มทั้งยืน

    ภาพชายหญิงสองคนนอนกอดก่ายกัน ทั้งสองฝ่ายไร้อาภรณ์ใดปิดบังกายเมื่อดูจากเสื้อผ้าที่ถูกถอดหลุดลุ่ยอยู่ตรงข้างเตียง ฝ่ายหญิงนั้นเป็นแองเจลิก้าแน่นอน...และจะไม่อะไรเลย หากฝ่ายชายที่นอนหลับอยู่ข้างกายท่านพี่ของนางนั้นไม่ใช่...เขาคนนั้น

    เฟลิกซ์...

    เอวานเจลีนเผลอพึมพำชื่อเขาออกมาเบาๆ ภาพบาดตานั้นสลักลึกเข้าไปในหัวใจ โหมไฟริษยาที่บัดนี้ลุกโชนให้แปรเปลี่ยนเป็นบ้าคลั่ง

    ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม...

    เหตุใดท่านพี่จึงได้ทุกสิ่ง...

    แต่นางกลับไม่ได้เลย...

    ของสำคัญที่คิดว่าได้มาในที่สุดแล้ว...สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่ฝันลวงหลอกตื่นหนึ่งเท่านั้น...

    เหตุใดกัน...ไม่ยุติธรรมเลย

    ไม่ยุติธรรม ไม่ยุติธรรม ไม่ยุติธรรม!

    เหตุใดข้าจึงไม่ได้บ้าง พระเจ้า! ตอบข้าที!

    เอวานเจลีนกรีดร้องในใจเป็นล้านครั้ง ในขณะที่ขาก้าวอย่างหมดแรงกลับไปยังห้องของตนเอง

    ไม่มี...ไม่มีสิ่งไหนเลยที่เป็นของข้า...

    เช่นนั้น...ข้าจะอยู่ที่นี่ไปเพื่ออันใดกัน?

    อยู่ต่อไปก็มีแต่จะริษยาผู้คนรอบกายโดยเฉพาะท่านพี่ ยิ่งคิดถึงภาพที่เห็นเมื่อครู่...แค่ครั้งเดียวนางก็อิจฉาเจียนคลั่ง และถ้าต้องเห็นเช่นนั้นทุกวัน ประกอบกับความรักที่แสนลำเอียงของท่านพ่อที่มอบให้ท่านพี่แต่เพียงผู้เดียวแล้ว สักวันนางต้องเป็นบ้าแน่นอน...

    หากที่นี่ไม่ใช่ที่ของข้า...

    เช่นนั้น...จากไปคงจะดีเสียกว่า...

    เอวานเจลีนลุกขึ้นยืน...ก่อนจะเดินออกไปยังประตู ย้อนกลับไปยังห้องของแองเจลิก้าอีกครั้ง ภาพหลังบานประตูก็ยังคงเป็นภาพบาดตาภาพเดิม แต่นางก็ใช้ความอดทนทุกหยดที่มีในร่างสะกดความอิจฉาริษยาไว้ไม่ให้ตนเองเผลอกรีดร้องออกมา พลางสาวเท้าเข้าไปใกล้เตียงอย่างเชื่องช้า ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปหาบุรุษผู้ที่เคยเป็นแสงสว่างและสายฝนอันชุ่มฉ่ำที่คอยเยียวยานางตลอดมา

    แค่ครั้งนี้เท่านั้น...และจะเป็นครั้งสุดท้าย...

    ที่นางจะได้ทำสิ่งที่อยากทำ...ที่นี่....

    ริมฝีปากของเอวานเจลีนแตะหน้าผากมนของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา กระซิบถ้อยคำที่เขาไม่มีวันได้ยินแม้แต่ในความฝันก็ตาม

    ลาก่อน...เฟลิกซ์...

    ก่อนจะเดินออกจะเดินออกจากห้องมาโดยไม่ชายตาแลในห้องอีก...

    ลาก่อนท่านพี่...

    ลาก่อนท่านพ่อ...

    ยินดีไหม? สุดท้ายข้าก็ไม่อยู่ขวางหูขวางตาพวกท่านแล้ว...

    ลาก่อน...

    เอวานเจลีนเปิดประตูบ้าน ด้านนอกหิมะโหมกระหน่ำจนร่างกายเผลอห่อตัวหนี แต่นางก็กัดฟันเดินออกจากบ้านไปโดยไร้สิ่งใดติดตัว ยกเว้นเสื้อผ้าที่นางสวมใส่เพียงเท่านั้น

    นางค่อยๆเดินออกไป ไกลออกจากสถานที่ๆนางเคยเรียกว่าบ้าน รอยเท้าเล็กๆของนางที่ย่ำไปบนหิมะค่อยๆเลือนหาย เช่นเดียวกับแสงไฟจากบ้านเรือนที่เริ่มเลือนลาง มีเพียงความมืดในยามราตรีและความเหน็บหนาวจากหิมะเท่านั้นที่ยังคงอยู่กับนาง...

    ไกลอีก...ไกลกว่านี้อีก...

    ที่ไหนก็ได้ไกลจนไม่มีใครที่นี่จะตามหานางเจอ...

    ที่ไหนก็ได้ที่นางจะไม่ต้องทนทุกข์ด้วยความริษยาอีก...

    ที่ไหนก็ได้...ที่ไหนสักแห่ง...

    แค่ที่ไหนสักแห่งก็พอ...

     

    สาเหตุที่ฆ่าตัวตาย : เพราะทนความริษยาที่เห็นพี่สาวได้ในทุกสิ่งที่ปรารถนาไม่ได้ ต่างจากตนเองที่ต่อให้พยายามอย่างไร ทำดีแค่ไหนก็ไม่เคยได้รับอะไรตอบแทนเลย เพลิงริษยาแผดเผาในใจของเอวานเจลีนทุกวันจนทนทุกข์ทรมานไม่ไหว จนตัดสินใจไปให้พ้นๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องมาทนเห็นสิ่งที่ทำให้นางริษยาจนปวดใจอีก

     

    ฆ่าตัวตายด้วยวิธีใด : ฝ่าพายุหิมะจนร่างกายสูญเสียความอบอุ่น...และแข็งตายไปในที่สุด...ว่าง่ายๆก็หนาวตายนั่นเอง...

     

    ลักษณะการพูดจา : เอวานเจลีนเป็นคนที่พูดจาไพเราะ สุภาพอ่อนหวาน เก็บอารมณ์จากน้ำเสียงและสีหน้าได้ดี กล่าวคือ หากนางไม่ต้องการให้คนรู้ว่าตอนนี้นางรู้สึกอย่างไร นางจะคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติไว้ได้ดีเลยค่ะ แต่ถ้าอยากให้รู้ก็จะแสดงออกไปตรงๆ ซึ่งมักเป็นกรณีแรกมากกว่าด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง และเป็นคนที่พูดมีคำลงท้าย เป็นคนที่มีวาทศิลป์ดี รู้ว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูดตอนไหน คำพูดไม่ฟังดูจิกกัดหรือกวนประสาท แต่หากมาลองประมวลให้ดีจะพบว่ามีหลุมพรางอยู่ในคำพูดนางไม่น้อยเลย...

    เอวานเจลีนมักแทนตัวเองว่า “ข้า” แทนคนอื่นด้วยท่าน(ชื่อ) หรือไม่ก็เรียกว่า “ท่าน” หากสนิทกันแล้วและจะไม่เป็นการปืนเกลียวเกินไปจึงจะเรียกว่า “เจ้า” มักมีคำลงท้ายว่า “ค่ะ/คะ” อยู่เป็นระยะ แต่ก็ไม่มากเกินไปจนฟังแล้วระคายหูแต่อย่างใด

     

    ตัวอย่างคำพูด

    “ข้ามีนามว่า...เอวานเจลีน บลังก้า มาริเซเลีย ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ แล้วท่านคือ...?”

    “ข้าขอตัวสักครู่นะคะ พอดีว่าข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย”

    “จะดีแค่ไหนกันนะ...หากข้าได้ความรักและทุกสิ่งทุกอย่างของท่านพี่...”

    “...ทำไม ทำไม ทำไม โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมกับข้าเลย ทำไม!!!” (โกรธ/เสียใจ)

    “...ข้าผิดหรือ...ข้าผิดอันใดหรือที่เลือกเกิดไม่ได้...ทำไมต้องเป็นข้าด้วย...” (เสียใจ)

    “...ท่านยังดูไม่ออกอีกหรือคะ...ว่าที่ข้ายังคงริษยาเรื่อยไปจนไม่มีที่สิ้นสุดนั้น ไม่ใช่ว่าท่านให้ข้าไม่เพียงพอหรอกค่ะ แต่เป็นหัวใจข้าต่างหากเล่าที่ถมมาเท่าไหร่ก็คงไม่มีวันเต็ม...”

     

    รูปลักษณ์โดยรวม : เด็กสาวร่างโปรงระหงได้สัดส่วน ดูบอบบางน่าทะนุถนอมแต่ก็ไม่ได้อ่อนแอจนเหมือนจะปลิวไปตามลม ผิวขาวเนียนราวกับกระเบื้องเคลือบชั้นเลิศมองแล้วไร้รอยตำหนิใดๆ แต่หากสังเกตให้ดีจะพบรอยแผลเป็นเล็กๆจำนวนหนึ่งอยู่ตรงบริเวณหัวไหล่และข้อมือทั้งสองข้าง เพียงเพราะต้องการระบายแรงริษยาที่ลุกโชนอยู่ในใจที่ไม่ปรารถนาให้ใครรับรู้จนต้องจิกเนื้อตัวเองทุกค่ำคืนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่รอยเหล่านั้นดูจางจนแทบจะมองไม่เห็นก็เพราะว่าตรงบริเวณที่ว่าได้รับการบำรุงดูแลอย่างดี แขนขาเรียวยาวสวยงาม เจ้าของใบหน้าที่ทั้งงดงาม น่ารัก และอ่อนหวานราวกับเทพธิดาบนชั้นฟ้ามาจุติ ดวงหน้ารูปไข่มีดวงตาคู่งามสีเงินแกมขาวดุจแสงจันทร์ในยามราตรีที่มักฉายแววอ่อนโยนอยู่เสมอ ปากเรียวบางสีกุหลาบ จมูกโด่งรั้นเล็กน้อยพองาม แก้มใสมีสีระเรื่อจางๆ ทั้งหมดก่อเกิดเป็นใบหน้าที่น่ารักงดงามหายากใครเทียบ ยิ่งมีเรือนผมสีเงินแกมขางเหมือนสีตาที่ปล่อยยาวจรดสะโพกโอบล้อมดวงหน้านั้นไว้แล้วยิ่งดูงดงามมากขึ้นไปอีก ยามเรือนผมนั้นสะบัดพลิ้วตามแรงลม หากมองแล้วเผลอคิดว่าเป็นปีกของเทพธิดาก็ไม่ผิดอะไรเลย ประกอบกับที่นางชอบสวมชุดเดรสสีขาวแล้ว ทำให้เอวานเจลีนนั้นราวกับเป็นเทพธิดาตัวน้อยๆสมชื่อจริงๆ

     

    ส่วนสูง / น้ำหนัก : 163 / 45

     

    ชอบ : 

    - เวลาที่ได้อยู่คนเดียว [เพราะเป็นเวลาสงบๆที่นางไม่ต้องเห็นใครให้ทนริษยาเปล่าๆ]

    - หนังสือ และดนตรี [เพราะทำให้นางเพลิดเพลินและจดจ่อกับพวกมันจนไม่ทันริษยาผู้คนรอบข้าง อีกอย่าง มันทำให้นางมีความสุข...]

    - ธรรมชาติ [เพราะมันงดงามน่ามอง...]

    - การได้รับความรัก การดูแลเอาใจใส่ และได้รับความสำคัญ [ถึงจะบอกว่าใครๆก็อยากได้ แต่สำหรับนางแล้วต้องเรียกว่าโหยหาเลยล่ะ...เหมือนได้รับการยอมรับว่านางยังมีตัวตนและมีความสำคัญอยู่]

    - อาหารที่ทำจากปลาแทบทุกประเภท [เพราะทานแล้วรู้สึกมีรสชาตินุ่มนวลถูกปาก และไม่หนักท้องมากเกินไป]

    - เลม่อน...หรือขนม/อาหารอะไรก็ตามที่มีเลม่อนอยู่ในนั้น [เพราะทานแล้วสดชื่น]

    - สีขาว [เพราะมันดูขาวสะอาดบริสุทธิ์]

     

    ไม่ชอบ : 

    - ของดิบ [เพราะรู้สึกเหม็นคาวและหยึยๆเวลาทาน]

    - แมลง [เพราะมันกวนใจนาง และน่ารำคาญ]

    - คนที่รู้ทัน [เพราะไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรดีต่อหน้าคนๆนั้น]

    - ความรุนแรง [เพราะไม่คิดว่ามันเป็นการแก้ปัญหาที่ดี]

     

    เกลียด :

    - การถูกเปรียบเทียบ [เพราะนางโดนเปรียบเทียบมาทั้งชีวิต และคิดว่าไม่มีใครที่แทนที่ใครได้หรือเหมือนกันไปเสียทุกอย่าง เพราะงั้นอย่าเอาคนอื่นมาเปรียบเทียบกันสิ!]

    - การเห็นคนอื่นได้สิ่งที่ดีกว่าและตนต้องการมัน [เพราะมันทำให้นางอิจฉาริษยา]

    - รอยยิ้มยินดีมีความสุขของคนที่ได้ดีกว่าตน [เพราะมันทำให้ใจนางเริ่มรู้สึกอิจฉาริษยา]

    - คำว่า “ความยุติธรรม” และ “พระเจ้า” [เพราะทั้งชีวิตสอนนางมาแล้วว่า...ความยุติธรรมมันไม่มีจริงในโลก และไม่ว่าจะทำดีเท่าไหร่ พระเจ้าก็ไม่เคยเมตตานางเลยแม้แต่น้อย...]

     

    กลัว : 

    - การสูญเสียความสุขที่ได้รับมา [เพราะว่านางเคยประสบเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วและเจ็บเจียนคลั่ง ริษยาเจียนบ้า ดังนั้นนางจึงหวาดกลัวมัน และไม่อยากจะเจอมันอีกแล้ว]

    - แมงมุม [...ก็มันดูหยึยๆ มีแปดขา แถมเวลาไต่ก็ดูน่าขนลุก โอเคสรุป...เอวาเป็นอาแร็คโนโฟเบีย (Arachnophobia) หรือโรคกลัวแมงมุม กลัวจนขึ้นสมองเลยล่ะ อาการเมื่อเจอคือจะหน้าซีด ตัวสั่นใจสั่นปากสั่น เข่าอ่อนจนทรุดลงไปนั่งกับพื้น และพยายามกระถดตัวถอยห่างเจ้าแปดขาให้ห่างที่สุดเท่าที่จะทำได้]

     

    แพ้ : -

     

    งานอดิเรก : อ่านหนังสือ / เล่นเปียโน-ออร์แกน / เดินเล่นชมธรรมชาติตามลำพัง

     

    คู่ครอง : อาคาชิ เซย์จูโร่

     

    เพิ่มเติม : 

    - จริงๆแล้วเอวานเจลีนไม่ได้นึกถึงเรื่องฆ่าตัวตายตอนออกไปฝ่าหิมะหรอกค่ะ แค่คิดจะหนีไปให้ไกลเท่านั้น แต่ด้วยสภาพอย่างนั้นและอะไรอีกหลายๆอย่าง...นางก็เลยตาย และในเมื่อนางเป็นคนตัดสินใจก้าวเท้าออกมาและรับความเสี่ยงเอง จึงถือเป็นการฆ่าตัวตายไปตามระเบียบ...ตอนฟื้นมาในแดนชำระบาปนี่นางยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองน่ะตายแล้ว!

    - ร่างของเอวานเจลีนถูกพบในอีกหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง นอนนิ่งบนพื้นหิมะในสภาพสมบูรณ์ทุกประการ ราวกับนางเป็นเทพธิดาหิมะที่ดวงวิญญาณได้กลับคืนสู่สรวงสวรรค์ และผู้ที่หาร่างของนางเจอคือเฟลิกซ์...ที่จริงแล้วเขาตามหานางมาตั้งแต่วันรุ่งขึ้นหลังเกิดเรื่องเสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยสภาพอากาศเลวร้าย และสีผิว สีผม และสีเสื้อผ้าในวันนั้นของเอวานเจลีนล้วนเป็นสีขาวพิสุทธิ์ ทำให้ยากแก่การมองหาท่ามกลางหิมะ ร่างของนางถูกนำไปฝังไว้ในทุ่งดอกไม้ป่าที่ครั้งหนึ่งนางเคยบอกว่าชอบ...

    - คนที่เฟลิกซ์ชอบคือเอวานเจลีน เรื่องในคืนดังกล่าวนั้นเกิดจากการมอมเหล้าด้วยฝีมือของพ่อของแองจี้จนเขาหลับไป รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ในสภาพนั้นเรียบร้อย...หลังจากนั้นเขาก็ออกตามหาเอวานเจลีนจนพบร่างของนาง นำไปฝัง และหายสาบสูญไปที่ไหนสักแห่ง...ส่วนแองเจลิก้า หลังจากเรื่องในคืนนั้นก็ป่วยหนักขึ้นด้วยผลจากการตรอมใจและเสียชีวิตไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น...(แต่เนื่องจากป่วยตาย เลยไม่ถือว่าเป็นการฆ่าตัวตาย)

     

    QUIZ ZONE



     

    สิ่งแรกที่ได้พบเจอหลังเปิดเปลือกตาขึ้นคือความดำมืดรอบกายตน เอวานเจลีน กะพริบตาอย่างงุนงงพลางหันมองรอบตัวด้วยความสงสัย ก่อนจะชะงักไปเมื่อด้านหน้าตนนั้นคือหญิงสาวนางหนึ่งและบานประตูสีดำน่าขนลุกเบื้องหลังของหล่อน

    นัยน์ตาคู่สวยละออกจากหนังสือเล่มหนาในมือ ระบายรอยยิ้มแสนงดงาม เอ่ยเสียงหวานกังวานใสว่า ยินดีต้อนรับสู่รอยต่อโลกคนเป็นและคนตายค่ะก่อนรอยยิ้มจะกว้างมากขึ้นไปอีก เมื่อได้ทอดสายตามองเห็นสีหน้างุนงงของคู่สนทนาของตน ท่าทางคงจะยังไม่รู้สึกตัวสินะคะ..แต่ช่างเถอะ..ยังไงเสียช่วยแนะนำตัวให้ฟังหน่อยได้รึเปล่าคะ?”

     

    จำได้ว่าก่อนข้าจะหมดสติไป...ข้าเดินอยู่ท่ามกลางพายุหิมะนี่นา แล้วที่นี่มันที่ไหนกัน?

     

     เอวานเจลีนกระพริบตา โคลงหัวเล็กน้อยเพื่อไล่ความงุนงงออกไปจากหัว เผื่อว่าเมื่อครู่นางอาจจะฟังอะไรผิดเพี้ยนไป แต่ถึงกระนั้น มารยาทอันดีในตัวก็สั่งให้นายิ้มออกมา แล้วเอ่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลนอบน้อมและเป็นมิตร

    “ข้ามีนามว่า...เอวานเจลีน บลังก้า มาริเซเลียค่ะ ถ้าไม่เป็นการเสียมารยาท...ขอทราบนามของท่านจะได้หรือไม่?”

    รอยต่อของโลกคนเป็นและคนตายงั้นหรือ...นี่มันเรื่องอะไรกันล่ะนี่...

    หวังว่าข้าจะแค่หูฝาดไปนะ

     

    นามไพเราะดีนะคะ..แต่ไม่เหมาะกับคนไร้ค่าเช่นท่านเลยนี่สิ..เสียงหวานกล่าวราวเสียดายสุดซึ้ง เธอเก็บหนังสือเล่มหนาในมือไป หันมาประกบมือเหนืออกแล้วเอียงคอมองคนตรงหน้าด้วยนัยน์ตาประกายระยับ จะว่าอะไรไหมคะ หากข้าอยากเอ่ยถามอะไรท่านเสียหน่อย

     

    แม้จะไม่ชอบใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายไม่ยอมบอกนามให้เอวานเจลีนได้รับรู้ แต่นางก็ไม่ได้ถือสาหรือเก็บมาใส่ใจมากมายอะไร ดวงหน้าของนางก็ยังคงประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นเคยระหว่างการสนทนา

    “เชิญค่ะ ข้าจะตอบเท่าที่ข้ารู้...และสามารถตอบได้...หวังว่าท่านคงเข้าใจ”

    ช่วงนั้นนางถือโอกาสสำรวจอีกฝ่ายเงียบๆ และแอบริษยาในความงามที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดใดของอีกฝ่าย

    ...งามอะไรอย่างนี้นะ อิจฉา...อิจฉาเหลือเกิน...

    หากข้างามได้เท่านี้ล่ะก็...

     

    ร่างบางหัวเราะกลั้วขบขันเสียเหลือเกิน ได้หรือไม่ท่านไม่ได้มีสิทธิ์ตัดสินใจแต่แรกแล้วล่ะค่ะ อ๊ะ..จริงสิ..เวลาของเรามีไม่มากนี่นาเธอเอียงคอไปมา ท่าทางจะเสียดายไม่น้อยที่อดหยอกเย้าสตรีตรงหน้าตนต่อ คำถามข้อแรกนะคะ..รู้รึเปล่าคะว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ใด?”

     

    “เมื่อครู่ข้ายังไม่รู้สึกตัวดี เลยฟังคำทักทายของท่านไม่ชัดเจนนัก อีกทั้งตัวข้าเพิ่งจะเคยพบเห็นสถานที่เช่นนี้เป็นครั้งแรก...ข้าจึงต้องขอตอบว่าไม่ทราบจริงๆค่ะ” เอวานเจลีนหยุดเล็กน้อย ระบายยิ้มหวาน “หากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป...ท่านช่วยแนะนำข้าสักหน่อยจะได้หรือไม่...ว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ใดกันแน่?”

     

    ยิ้มบางระบายลงบนดวงหน้าหวานซึ้งทว่ากลับดูว่างเปล่า ดูแล้วคำตอบคงไม่เป็นที่พึงพอเสียเท่าใดนัก งั้นหรือคะ..เช่นนั้นแล้ว หากว่าต้องติดอยู่ในสถานที่แห่งนี้ตลอดกาล จะทำเช่นไรงั้นหรือคะ?”

     

    ตลอดกาล...งั้นหรือ...

    เอวานเจลีนยิ้มบางๆ หากเป็นเช่นนี้แล้วล่ะก็...

    “ข้าก็ยังตอบชัดเจนไม่ได้หรอกค่ะว่าจะทำเช่นไร...ในเมื่อข้ายังไม่ทราบเลยว่าสถานที่นี้เป็นที่เช่นใดกันแน่...”

    นางหยุดพูดพักหนึ่งเพื่อสังเกตท่าทีและสีหน้าของอีกฝ่าย เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้แสดงท่าทีไม่ชอบใจอะไรก็เอ่ยต่ออย่างนุ่มนวลนอบน้อม เสียงเบาลงเล็กน้อยเป็นเชิงขออภัยในที

    “ต้องขออภัยด้วยหากคำตอบของข้าฟังดูกำกวมไม่ชัดเจน...หากท่านจะกรุณาทำให้ข้าเข้าใจสถานที่แห่งนี้มากขึ้นบ้าง ข้าคงจะตอบคำถามนี้ได้ชัดเจนขึ้น แต่ด้วยข้อมูลที่ข้ามีอยู่ตอนนี้...ข้าตอบไม่ได้จริงๆค่ะ”

    แต่ว่า...

    แต่ถ้าหากที่นี่...มีผู้ใดที่สามารถดับไฟริษยาในใจของข้าได้...

    มีผู้ใดที่มอบในสิ่งที่นางต้องการตลอดมาให้ได้...

    ต่อให้เป็นนรกโลกันตร์แห่งผู้ผิดบาปชั้นใด...

    ข้าก็อยู่ได้ทั้งนั้น...

      

    เหเห..งั้นหรือคะเนี่ย..เป็นคำตอบที่ดีจริงนะคะหล่อนยิ้มไม่หุบ มือบางยกขึ้นตบแปะๆ ทว่ากลับไม่ได้ให้ความรู้สึกยินดีด้วยเลยสักนิด..มันเหมือนกับ..กำลังเยาะเย้ยเสียมากกว่า คิดว่าตนเคยทำอะไรที่ผิดพลาดมาบ้างไหมคะ? อับอายกับสิ่งใด รู้สึกผิดกับสิ่งใด แล้วสิ่งใดที่มันราวกับว่าเป็นฝันร้ายสำหรับท่านน่ะ

     

    เอวานเจลีนเบิกตากว้างกับคำถามเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้าเป็นตามปกติ

    “...ทำผิดพลาดหรือคะ...ข้าไม่ทราบหรอกว่าตนเองทำผิดสิ่งใดไปบ้าง...”

    เพราะไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด...ก็ดูผิดในสายตาท่านพ่อและคนอื่นๆไปเสียหมดอยู่แล้ว...

    บางทีอาจจะผิดตั้งแต่ที่ข้าเกิดมาเป็นลูกชู้ของท่านแม่ที่ข้าไม่แม้แต่จะเคยเห็นหน้าแล้วกระมัง...

    “อับอายหรือ...” ยิ้มของเอวานเจลีนเฝื่อนลง “...ข้าก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่านั่นคือความรู้สึกอับอายหรือไม่ ดังนั้นขอไม่ตอบจะดีกว่าค่ะ...”

    อับอายที่ตัวเองเผลอใจไปว่า...ในที่สุดพระเจ้าก็เมตตานางเสียที...

    ทั้งที่จริงแล้วมันก็แค่ฝันดีที่ไม่มีวันเป็นจริง...ก็เท่านั้นเอง...

    “รู้สึกผิดหรือ...” ยิ้มของเอวานเจลีนกลายเป็นยิ้มเยาะหยันชั่ววูบ ก่อนที่สีหน้าของนางจะหม่นหมอง “...ไม่เลย ไม่มีสิ่งใดเลยที่ข้ารู้สึกผิดในตอนนี้ แม้กระทั่งตอนบอกลาคนๆนั้นและเดินจากบ้านหลังนั้นมา ข้าก็ไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่นิดเดียว...”

    อาจเสียดายที่ไม่ได้บอกลาเฟลิกซ์ต่อหน้า แต่ไม่เป็นไรหรอก...

    อย่างไรเสีย เขามีท่านพี่แล้ว...เขาก็คงไม่ต้องการข้าหรอก...

    เอวานเจลีนสูดหายใจลึก หลับตาแน่น เล็บจิกเข้าที่ข้อมือจนเลือดไหลซิบก่อนจะอ้าปากพูดต่อ

    “ฝันร้ายหรือ...”

    “นั่นสินะ...ข้าไม่รู้เหมือนกันว่านั่นจะเรียกว่าฝันร้ายหรือไม่ เพราะการที่ข้าลืมตาตื่นมามีชีวิตต่อบนโลกมนุษย์นั้น และเห็นภาพที่ทำร้ายจิตใจข้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน สำหรับข้าก็ไม่ต่างอะไรกับนรกบนดินหรอก...คำว่าฝันร้ายคงน้อยไปด้วยซ้ำค่ะ...”

    แค่เห็นความลำเอียงที่ท่านพ่อให้ท่านพี่ทุกวัน...

    แค่เห็นความลำเอียงและความอยุติธรรมที่พระเจ้ามอบให้...

    แค่นั้น...ข้าก็อิจฉาเจียนจะบ้าตายแล้ว...

    แต่ตอนนี้...มันจะไม่มี...อีกแล้ว...

    กล่าวจบก็ระบายรอยยิ้มดุจเทพธิดาดังเดิม เพียงแต่ดวงตาคู่นั้นกลับดูแล้วโศกเศร้าและทรมานเหลือเกิน...

     

     

    คราวนี้รอยยิ้มนั่นเลือนหายไปจากใบหน้า..หญิงสาวร่างโปร่งเอียงคอแล้วหัวเราะกลั้วในลำคอ ก้าวเท้าเดินเข้ามานาบฝ่ามือลงบนแก้มเนียนใสของอีกฝ่าย ข้อสุดท้ายนะคะ..ดวงตากลมงดงามสบลึกเข้าไปในนัยน์ตาของอีกฝ่าย ก่อนเธอจะโน้มตัวลงกระซิบข้างใบหู แล้วเลือนหายไปราวกับเศษฝุ่นละอองในธาตุอากาศยามเมื่อได้ยินคำตอบจากริมฝีปากของอีกฝ่าย

    ถ้าเกิดว่า...ดันเกิดความสัมพันธ์กับใครบางคนในที่แห่งนี้ขึ้นมาล่ะคะ? ถึงยามจากลา ท่านยังกล้าที่จะจากลาไปอยู่รึไม่?”

     

    เอวานเจลีนยิ้มฝืดเฝือน...ความสัมพันธ์...งั้นหรือ...

    ดวงตาคู่สวยหลับลงราวกับกำลังระลึกถึงบางสิ่ง...

    “...ข้าไม่คิดว่าตัวข้าจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใคร ณ ที่แห่งนี้หรอกค่ะ...”

    เพราะถ้าเกิดผูกพัน...แล้วต้องจากลา...

    ไม่ว่าจะเพราะด้วยเหตุใดก็ตาม...

    ถ้าเกิดเป็นเช่นนั้นขึ้นมา...

    ให้ข้าลืมมันเสียให้หมด หรือตกนรกหมกไหม้เป็นร้อยรอบเสียยังจะดีกว่าทรมานเช่นนั้นอีก!

    และหากผูกพันแล้ว...ทุกสิ่งทุกอย่างของผู้นั้นจักเป็นของข้า...

    และข้าไม่มีวันลาจากสิ่งมีค่าที่ข้าได้ครอบครองมา...ข้าจะไม่มีวันเสียมันไปอีกเป็นครั้งที่สองแน่!!! 

     

    TALK

    อะแฮ่มสวัสดีนะคะ ไรท์ชื่อไนท์แมร์ค่ะ

    - ยูกินะคนเดิม เพิ่มเติมคือมาส่งคนที่สองของเรื่องนี้ค่ะ

    ขอถามคำถามเบสิคนะคะ ทำไมถึงมาสมัครเรื่องนี้เหรอคะ?

    - พล็อตงาม ทำงายตับไต แฟนตาซีโบราณอีก นิยามรวมๆคือใช่เลยค่ะ

    ว่าแต่ทำไมถึงเลือกคู่นี้ล่ะคะ ชอบอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า

    - ความปวดตับของนายน้อยเรื่องที่แล้วทำเราเป็น M แค่กๆๆๆ และเรื่องนี้เราเชื่อว่านายน้อยจะไม่ทำให้เราผิดหวังค่ะ เยิฟฟฟฟฟ

    เรื่องนี้พล็อตเรื่องน่ารักไสๆ (?) มากค่ะ---โอเค..ไม่หลอกแล้วพล็อตเรื่องสร้างมาเพื่อทำลายตับนะคะ ไม่มีBad End แต่กึ่งๆ นี่มีแน่นอนค่---ทำใจล่วงหน้าแล้วรึยังเอ่ย?

    - เรียบร้อยค่ะ ปล้นธนาคารตับไตมาแล้ว(?)

    นิยายเรื่องนี้ดราม่านะคะ โรแมนติกมี แต่อาจพบเจอความหม่น ความเลือด ความดราม่าทลายตับมากกว่าแบบอัตราส่วนชวนกรี๊ดสุดๆ ซื้อตับสำรองกันมารึยังคะ? (..)

    - ตามข้อข้างบนเลยค่ะ

    ถ้าเกิดไม่ติดนี่...จะไม่เอาระเบิดมาทิ้งบ้านไรท์ใช่ไหมคะ #กลัว (?)

    - สนใจปรมาณูสักลูกมั้ยคะ? // ล้อเล่น ก็แค่เสียใจน่ะค่ะ

    ยังไงสุดท้ายนี้ ขอปิดบทสนทนาด้วยการขอบคุณสามทีงามๆ นะคะ //โค้ง

    - ฝากมิยูกิกับเอวานเจลีนไว้พิจารณาด้วยนะคะท่านไนท์แมร์

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×