คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #111 : [AuFic KnB]STAY WITH ME
APPLICATION
“ข้าเข้าใจ...ท่านไม่จำเป็นต้องฝืนทำเรื่องเหล่านั้นเพื่อข้าหรอก
นี่...ท่านรู้ไหม? ตัวข้านั้นเคยตกอยู่ในความสิ้นหวังจนทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง...แม้กระทั่งหันหลังให้กับคำสัญญาและคำสอนของคนที่ข้ารัก
ปลิดชีพตนจนต้องลงมาชดใช้บาป ณ ที่แห่งนี้ แต่ข้าขอสาบาน ไม่ว่าท่านจะผลักไสหรือทำอย่างไร...ข้าจะไม่มีวันตกลงไปสู่ความสิ้นหวังอีกเป็นครั้งที่สอง!!!”
ชื่อ-นามสกุล : Koumyouchou Miyuuki [โควเมียวโจว มิยูกิ] [เรียงสกุล-ชื่อแบบญี่ปุ่น]
ชื่อเล่น : ไม่มีค่ะ
เรียกมิยูกินั่นแหละ ไม่ยากเนอะ
ความหมายของชื่อ :
Koumyouchou –
มาจาก Kou ที่แปลว่า “แสงสว่าง” และ
Myouchou ที่แปลว่า “อรุณรุ่งในวันพรุ่งนี้”
Miyuuki – มาจาก Mi ที่แปลว่าสวยงาม Yuu ที่แปลว่า
ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าและอ่อนโยน และ Ki ที่แปลว่า “ความหวัง”
เพราะฉะนั้น หากรวมกันจะได้ว่า
“ความหวังที่งดงาม ยอดเยี่ยมและอ่อนโยนแห่งแสงอรุณในวันพรุ่งนี้” ค่ะ
อายุ : 23
นิสัย : โควเมียวโจว
มิยูกิ สตรีงามผู้เปรียบดั่งแสงแรกอรุณสมชื่อ สิ่งแรกที่ทุกคนจะมองเห็นจากตัวนางคือรอยยิ้มที่สดใสจริงใจราวกับแสงสว่างที่ขับไล่ความมืดหม่นบนใบหน้า
อีกทั้งดวงตาที่ฉายแววอ่อนโยนจริงใจที่ประกอบกันทำให้มีคนอยากเข้าหานางมากพอควร
แต่นั่นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ประกอบมาเป็นนางเท่านั้น
นอกจากจะมีรอยยิ้มที่สดใสแล้ว
ตัวตนของมิยูกิเองก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับรอยยิ้มนัก นางเป็นคนที่มักยิ้มเสมอ
ชวนให้คนอื่นรู้สึกดีและพลอยยิ้มตามไปด้วย อีกทั้งเป็นคนที่ยิ้มสวยมาก
สดใสแต่ก็ไม่ถึงขั้นม้าดีดกระโหลก ยังคงกิริยามารยาทตามประสากุลสตรีได้ดี
เป็นคนที่สร้างและพาให้บรรยากาศรอบข้างดีขึ้นได้ ประกอบกับทัศนคติที่มองโลกในแง่ดี
คิดบวก
และมีความหวังเสมอทำให้รอบตัวของนางเหมือนมีออร่าของความหวังที่ทำให้มีพลังแผ่ออกมาจากตัวอย่างไรอย่างนั้น
เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของนางที่ไม่ว่าใครก็ลอกเลียนแบบไม่ได้
แต่ดูท่าทางว่าเจ้าตัวก็ไม่รู้สึกถึงเสน่ห์ในข้อนี้เลยแม้แต่น้อย อนึ่งเสน่ห์นี้นั้นมักเป็นในแง่มิตรภาพ...ไม่ใช่ความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาว
แต่ก็มีบุรุษที่หลงเสน่ห์ในส่วนนี้ เข้ามาทำความรู้จัก
แล้วอยากได้นางไปครองอยู่ไม่น้อยเลย แต่มิยูกิก็ไม่รู้ตัวอยู่ดี...จะบอกว่าบื้อเรื่องความรักก็ไม่ผิดอะไรเลย...
มิยูกิเป็นหญิงสาวที่มีกิริยาท่าทางสุภาพนุ่มนวล
ร่าเริงสดใสแต่ก็ไม่มากมายจนเกินไป ดูเป็นกันเอง ไม่ค่อยถือตัวนัก ทำให้เป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย
อยู่ด้วยแล้วอบอุ่นสบายใจ
เนื่องจากเป็นคนที่อ่อนโยนและอ่อนโอนผ่อนผันได้ตามแต่สถานการณ์ รวมไปถึงมีความกล้าที่จะมีปฏิสัมพันธ์แม้กระทั่งกับคนที่ไม่รู้จักมาก่อนเลยก็ตาม
แม้ว่าจะมีท่าทีประหม่าบ้างก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสนิทใจกับใครได้ทันที
นางจริงใจก็จริง แต่คนทั่วไปจะเห็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
ไม่อาจได้หัวใจของนางทั้งหมดไปตั้งแต่แรกเริ่ม ความสัมพันธ์ที่ดีและมั่นคงนั้นต้องใช้เวลาในการสร้างร่วมกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป
นางคิดอย่างนั้น แล้วก็ใช้หลักการนี้สร้างมิตรเสมอมา ทำให้นางมีสหายมากมาย
แต่ที่สนิทกันจริงๆก็นับคนได้อยู่เหมือนกัน
และเป็นคนที่ไม่เกลียดใครหรือมองใครเป็นศัตรูง่ายๆ แม้แต่คนที่มุ่งร้ายกับตนเองก็ตาม
แต่ถ้าเกลียดใครหรือมองเป็นศัตรูขึ้นมาก็จะมองแบบนั้นไปยาวๆเลย
จะว่ารักแรงเกลียดแรงก็ไม่ผิดหรอก ถึงส่วนใหญ่จะอยู่แค่ปานกลางก็เถอะ
มิยูกิเป็นพวกสบายๆไม่ค่อยคิดเล็กคิดน้อยอะไรเท่าไหร่นักหากเป็นเรื่องของตัวเอง
แต่หากนางให้ความสำคัญกับสิ่งไหนแล้วก็จะให้ความสำคัญไปตลอด โดยเฉพาะเรื่องบุคคลอันเป็นที่รักที่นางให้ความสำคัญยิ่ง
คนกลุ่มนี้มิยูกิจะเชื่อใจและไว้ใจมาก อีกทั้งยังคอยดูแลเอาใจใส่อย่างดีอย่างห่างๆและห่วงๆ
เพราะนางไม่ค่อยชอบเข้าไปยุ่มย่ามเรื่องของคนอื่นมากมายนักหากไม่จำเป็นจริงๆ
แล้วก็เข้าใจด้วยว่าคนอื่นก็คงอยากมีพื้นที่ส่วนตัวกันทั้งนั้น
เรียกได้ว่ามิยูกิเป็นคนที่เอาใจเขามาใส่ใจเรามาก
จนบางทีคิดถึงเรื่องผู้อื่นมากกว่าเรื่องของตัวเองเสียอีก
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่ามิยูกิเป็นคนที่ใส่ใจคนอื่น
ดังนั้นไม่แปลกใจนักที่นางจะเป็นที่ปรึกษาที่ดี เก็บความลับได้ดี พี่น้องสหายมีปัญหาหรือเศร้าเสียใจอะไรนางก็พร้อมจะช่วยเหลือเต็มที่...ช่วยไม่ได้รับฟังก็ยังดี
แต่พอเป็นคราวของตัวเองบ้าง...กลับไม่กล้าปริปากบอกใครเพราะกลัวทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปเสียอย่างนั้น
คิดว่าถ้าจะทำให้คนอื่นไม่สบายใจเพราะตัวเองล่ะก็สู้ทรมานคนเดียวดีกว่า
ดังนั้นหากมิยูกิยอมปรึกษาใคร
ก็แปลว่าเรื่องที่กำลังเผชิญอยู่สาหัสเกินจะรับมือตามลำพัง และคนที่นางยอมบอกจะต้องเป็นคนที่นางไว้ใจและคิดว่าช่วยได้จริงๆเท่านั้น
ไม่อย่างนั้นนางไม่ปริปากหรอก
มิยูกิเป็นพวกมองโลกในแง่ดี...แต่ไม่ใช่โลกสวย
นางเข้าใจดีกว่าใครว่าความยากลำบากในชีวิตมันเป็นอย่างไร
แต่นางก็ไม่ได้ย้อท้อกับมันเลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าเป็นคนที่มุ่งมั่น ไม่ย่อท้อ
และมีความพยายามสูงเอาเรื่อง
นอกจากนั้นนางยังมีความเชื่อมั่นว่าวันพรุ่งนี้จะสดใสงดงามกว่าที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน
อาจฟังดูเพ้อฝัน...ก็ใช่ นางเป็นสตรี จะเพ้อฝันสักหน่อยก็คงไม่เป็นไรหรอกกระมัง
น้ำหล่อเลี้ยงให้ต้นไม้เติบโตฉันใด
ความฝันและความหวังก็เป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจมนุษย์ให้มีพลังก้าวต่อไปฉันนั้น
แต่ถึงอย่างนั้นวันๆนางก็ไม่ได้เอาแต่ฝันเฟื่องมองโลกในแง่ดีหรอกนะ
มันก็แค่อารมณ์ความคิดเพื่อสร้างกำลังใจให้ตัวเองเท่านั้นแหละ ชอบมองท้องฟ้ายามรุ่งอรุณเพื่อให้กำลังใจเพราะจากสุภาษิตที่ว่า
‘ไม่มีคำคืนใดไร้รุ่งอรุณ’ เหมือนกับแม้เราจะเดินอยู่ในความมืดมิดสิ้นหวังอย่างไร
ท้ายที่สุดแล้วก็มีแสงสว่างแห่งความหวังส่องลงมาในท้ายที่สุดนั่นเอง แต่ถึงจะคิดฝันอะไรแบบนี้นางเองก็ทำหน้าที่ของตัวเองที่ได้รับมองหมายและพอจะทำได้อย่างดีที่สุดเหมือนกันนะ
จะได้ไม่เสียใจภายหลังยังไงล่ะ
นอกจากนั้นแล้ว...มิยูกิยังเป็นคนที่ช่างฝันช่างจินตนาการพอควร
เมื่อประกอบกับเรื่องมองโลกในแง่ดีแล้ว
ทำให้เรื่องที่นางมักวาดภาพในหัวเป็นภาพของวันพรุ่งนี้ที่สดใสสวยงาม
เหมือนเช่นรุ่งอรุณหลังราตรี ฟ้าใสหลังเมฆฝน นางมักจะชอบมองท้องฟ้าในยามรุ่งอรุณแล้วนึกถึงคำสอนของท่านย่าที่สอนสั่งนางเรื่องความหวัง
และจินตนาการภาพอนาคตที่ดีไว้ในหวัเพื่อเป็นพลังใจให้กับนางในการดำเนินชีวิตต่อไป
ไม่ว่าจะยากลำบากเท่าไหร่ก็ตาม บางทีหากนางว่างๆ มองท้องฟ้าแล้วนางก็คิดฝันถึงเรื่องพวกนี้อยู่เรื่อยๆ
อีกด้วย โดยเฉพาะเวลาหม่นหมอง อีกทั้งเวลาสถานการณ์ย่ำแย่
นางก็ยังสามารถคิดหาทางออกที่ดีได้เสมอด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
เรียกว่าความช่างจินตนาการและมองโลกในแง่ดีได้กลายเป็นขุมพลังแห่งความหวังที่นางจะส่งมอบให้ผู้อื่น
เหมือนที่นางเคยได้รับมาจากคนสำคัญนั่นเอง
เพราะที่นางมีความหวังแบบนี้ได้เพราะมีคนสำคัญและคนข้างกายคอยเป็นกำลังให้นางเสมอมา
มิยูกิเป็นคนที่ถ่อมตนมากพอควร
หากได้รับคำชมเชยก็จะไม่ได้รับไว้คนเดียว มักจะบอกว่าเป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นด้วย
หรืออะไรทำนองนี้ เผื่อแผ่สิ่งดีๆที่นางได้รับไปให้คนอื่นด้วย
ไม่แปลกใจเลยที่นางจะสามารถเข้าถึงหัวใจของใครหลายคนได้
แม้ใครคนนั้นจะมีนิสัยไม่น่าคบเท่าไหร่ก็ตาม
เพราะนางเชื่อว่าไม่มีใครดีเลิศเพอร์เฟ็กต์ไปเสียทุกอย่าง
และไม่มีใครจะเลวทรามชั่วช้าไปเสียหมดทุกเรื่อง ยอมรับในตัวตน นิสัยของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
โดยคงความเป็นตนเองไว้แม้จะเป็นคนปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ดีก็ตาม แต่ถึงกระนั้น
คนประเภทที่นางไม่ชอบเลยก็มีเหมือนกัน คือ พวกที่มองเห็นเรื่องคอขาดบาดตายของคนอื่นเป็นเรื่องสนุกสนาน...อืม
เรียกว่าเกลียดก็คงใช่ แต่ถ้าไม่สันดานเสียขั้นนั้นจริงๆ นางก็ไม่ได้เกลียดหรือมองใครเป็นศัตรูง่ายๆหรอก
มิยูกิเป็นคนมีความสามารถ แม้จะเป็นสตรี
แต่หากมองเพียงความสามารถแล้วนางมีความสามารถเหนือกว่าบุรุษบางคนอีก
นางเป็นคนที่สามารถนำผู้อื่นได้ แต่ไม่ใช่เพราะความสามารถของนางโดดเด่นหรืออะไร
แต่เป็นเพราะนางสามารถดูแล เข้าใจ และเป็นที่พักพิงทางใจให้กับผู้อื่นได้ต่างหาก
ผู้อื่นจึงได้ไว้ใจและฝากตนเองไว้ในมือนาง และหากใครเป็นคนในความดูแลแล้ว
นางจะคอยเอาใจใส่อย่างดี แต่ก็ไม่ได้ให้ท้ายอะไรหรอกนะ
ถึงจะกล่าวว่าความสามารถของมิยูกิมิได้โดดเด่นมากมาย
หากแต่ไร้ความสามารถเลยก็คงมิอาจนำใครได้หรอก
ความสามารถของนางนั้นมีหลากหลายพอสมควร
แต่ที่โดดเด่นมากที่สุดคงเป็นเรื่องวาทศิลป์ที่สามารถปลุกกำลังใจให้คนมีความหวังได้
เกลี้ยกล่อมคนให้สงบหรือตกลงกันได้ แม้กระทั่งจับผิดคนหลอกลวงก็ยังได้
และอะไรอื่นๆอีกมากมาย จะบอกว่ามีคำพูดเป็นอาวุธก็ไม่ผิดแต่อย่างใดเลย
และถึงแม้ว่าจะดูเป็นคนสบายๆ แต่เมื่อเอาจริงเอาจังแล้วจะเป็นคนที่หนักแน่นมาก
เป็นสตรีที่ให้ความสำคัญกับทั้งคำพูดและสัญญามากพอสมควร
ไม่ชอบคนหลอกลวง...แต่ก็อย่างว่า ใครก็ไม่ชอบทั้งนั้น
หากจะกล่าวถึงเรื่องการพูดจาเพิ่มเติมแล้ว
มิยูกิเป็นสตรีที่ค่อนข้างฉลาดในการพูดทีเดียว รู้ว่าสิ่งใดควรเอ่ยไม่ควรเอ่ย
ตอบโต้อย่างไรให้เหมาะสม พูดอย่างจริงใจแต่ไม่ได้พูดสิ่งที่คิดในใจออกไปทั้งหมด
โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ค่อยจะดี ฟังดูเสียมารยาทสำหรับอีกฝ่าย ยกเว้นแต่คนที่นางเชื่อใจมากจริงๆอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว
หรือหากจะเป็นจริงๆก็หาทางเอ่ยให้มันนุ่มนวลขึ้น แม้ว่าตอนตกใจจะหลุดบ้าง
แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติของมนษุย์อยู่แล้ว
ไม่ใช่คนพูดกวนประสาทและเป็นนัยอีกด้วย
จะเรียกว่าเป็นคนที่พูดแล้วฟังดูเข้าใจง่ายก็ไม่ผิดอะไรเลย...
ความสามารถอีกอย่างที่นับว่าโดดเด่น แต่ไม่ค่อยมีใครรู้คือ...การมีสายตาที่ช่างสังเกต
ดวงตาของนางที่มองทุกสิ่งทุกอย่าง
จะคอยเก็บรายละเอียดเล็กน้อยไว้ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
และมันก็เป็นสิ่งดีเพราะการสังเกตทำให้นางมีข้อมูลที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือที่ทำให้นางได้เปรียบหรือเอาตัวรอดไปจากสถานการณ์ต่างๆได้ดี
และไม่แปลกที่มิยูกิจะเป็นคนที่จับโกหกคนค่อนข้างเก่ง เพราะความช่างสังเกตนี้
รวมกับความจำดีแม้ว่าอาจจะต้องใช้เวลารื้อฟื้นสักนิด
หากมีอะไรที่ขัดแย้งกันเองหรือผิดสังเกต นางก็สามารถแยกแยะได้ออกมาได้อย่างง่ายดาย
มิยูกิไม่ใช่คนที่มีหัวสมองดีเลิศ เพียงแค่ระดับดีกว่าคนทั่วไปเท่านั้น
เธอไม่ใช่คนที่จะทำอะไรก็ดีเลิศสมบูรณ์แบบ ก็เหมือนคนทั่วไป
ก็คือเริ่มแรกก็แย่หน่อย แต่ก็ค่อยๆพัฒนาไปเรื่อยๆ
ซึ่งอีกจุดเด่นหนึ่งของนางก็คือการมีพัฒนาการเรื่อยๆ
เหมือนกับว่าต้องดีขึ้นต่อไปเรื่อยๆไม่หยุด
เพราะคำว่าที่สุดก็เท่ากับว่าหยุดตัวเองไว้แค่ตรงนั้นซึ่งนางไม่ชอบ
และไม่คิดว่าตัวเองจะอยู่ในจุดนั้นด้วย
คำว่าดีที่สุดนั้น...มันก็แล้วแต่สถานการณ์และความสามารถของนางในตอนนั้น
ดังนั้นมิยูกิจึงคิดว่าหากพัฒนาได้ ก็จะได้มีทางที่ดีกว่า
เป็นเช่นนี้ทั้งในเรื่องการเรียน ดนตรี กีฬา และทักษะอื่นๆ แต่ดูจะมีหัวทางด้านดนตรี
การปฐมพยาบาลและการทำอาหารสูงกว่าทางอื่น
ดังนั้นไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่งานอดิเรกของนางคือการดีดซามิเซ็น (ซอญี่ปุ่น)
อ่านหนังสือไม่ก็บทกวี...และการทำอาหาร งานบ้านงานเรือนที่เหลือก็พอทำได้อยู่หรอก
แต่อาหารถนัดที่สุดน่ะ...
หากแต่สิ่งที่ฉลาดที่สุดในตัวนาง...คือการใช้ชีวิต
มิยูกิเป็นหญิงสาวที่ใช้ชีวิตได้ฉลาด รู้จักแบ่งเวลาให้กับความฝันและความเป็นจริง
มองโลกอย่างครอบคลุมความจริงแต่ก็ไม่ได้ลืมเลือนความฝัน ความหวัง
และความเชื่อของนางไป...ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กหลายคนเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วสูญเสียมันไปโดยไม่รู้ตัว
แต่นางกลับรักษามันไว้ได้อย่างดี...อีกทั้งยังมีจิตใจที่เข้มแข็ง
ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายอะไรก็ยังอดทนฝ่าฟันไปได้
เพียงแต่ว่าต่อให้ใจแข็งแค่ไหน...มันก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน...
หากจะถามว่าสิ่งใดที่นางเชื่อ...ก็ขอตอบว่า
สิ่งที่นางเชื่อมั่นหลักๆคือเรื่องความหวัง...ไม่ว่าจะมีเรื่องร้ายๆผ่านเข้ามาเท่าไหร่
หากผ่านไปได้จะต้องมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นแน่นอน
ดังนั้นนางจึงเชื่อมั่นในวันพรุ่งนี้ด้วย แม้อนาคตจะเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
แต่ถ้าผ่านความลำบากไปได้ สิ่งที่รอเราอยู่จะต้องสวยงามอย่างแน่นอน
เพราะคงไม่มีใครที่จะโชคร้ายตลอดไปหรอก เมื่อมีเรื่องดีก็ต้องมีเรื่องร้าย
และกลับกันมีเรื่องร้ายก็ต้องมีเรื่องดี อีกอย่าง...การมีอุปสรรคหรือเรื่องร้ายๆเข้ามาในชีวิตก็จะทำให้ขีดความสามารถเพิ่มขึ้น
ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น และในบางครั้งก็มอบบทเรียนล้ำค่าให้
ดังนั้นนางจึงมองว่าเรื่องร้ายๆที่เข้ามาในชีวิตนั้นก็ไม่ได้แย่ไปเสียหมดทีเดียว
จะกล่าวว่านางเป็นคนมองโลกในแง่ดี มองเห็นถึงข้อดีและคิดบวกแม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็ไม่ผิดอะไรเลย
แม้มิยูกิจะดูเป็นคนที่ใจเย็น โกรธยาก ไม่ค่อยเอาเรื่องอะไรมากมาย
แต่นางก็โกรธเป็นนะ...แต่ส่วนใหญ่แล้วคนที่นางโกรธคือตัวเอง เป็นพวกโทษตัวเองมากกว่าโทษคนอื่นเวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้น
โดยเฉพาะถ้าตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
แต่ถ้าคนอื่นเป็นคนทำจริงๆก็โกรธได้เหมือนกัน เวลาโกรธจะแสดงออกตรงๆว่าไม่พอใจ
แต่ก็หายเร็วเมื่อได้รับคำขอโทษและคำอธิบายที่ดี
เพราะก็อย่างที่บอกไปแล้วว่านางไม่ถือสาเรื่องเล็กน้อย
อีกอย่างคนเราทุกคนก็ทำผิดพลาดกันได้
นางไม่ได้ใจดำขนาดไม่ให้โอกาสใคร...แต่ถ้าให้แล้วยังซ้ำรอย...อันนี้คงต้องขอคิดดูอีกที...
จุดอ่อนของมิยูกิ...คือคนสำคัญ
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคนเหล่านี้มาก รักมากห่วงมาก
เพราะมีคนเหล่านี้คอยเคียงข้าง ผลักดัน
แม้จะจากไปก็ยังทิ้งความทรงจำกับบทเรียนล้ำค่าไว้ให้นางก้าวต่อไปได้
ยิ่งเป็นคนที่ใส่ใจด้วยแล้ว
เวลาเกิดเรื่องไม่ดีกับคนกลุ่มนี้จะสะเทือนใจนางมากเป็นพิเศษ
ครั้งสองครั้งอาจไม่เท่าไหร่ แต่มันก็จะเป็นแผลทีเหลือรอยไว้ในใจไม่มีวันหาย
หากมีอะไรหนักๆไปกระเทือนแผลเข้า...ก็อาจจะคิดสั้นทำอะไรบ้าๆก็เป็นได้
เพราะเป็นคนที่แคร์ความรู้สึก
ดังนั้นหากความรู้สึกสั่นสะเทือนมากก็อาจจะทำอะไรไม่คิดก็ได้
ทั้งที่ปกติเป็นคนที่มีทั้งเหตุผลและความรู้สึกแบ่งกันได้ค่อนข้างลงตัวแท้ๆ
แต่พอสมดุลเสียไป ทุกอย่างจะพังลงทันที จะกลายเป็นคนคิดมากและทำอะไรบุ่มบ่ามทันที...อาจคิดได้แม้กระทั่ง...เลือกเส้นทางแห่งความตายก็เป็นได้...ก็ในเมื่อนางมองไม่เห็นความหวัง
มีเพียงความสิ้นหวังแล้ว ชีวิตนี้จะมีค่าอันใดให้อยู่ต่อล่ะ?
บางทีตายไปได้เกิดในโลกใหม่อาจจะมีความหวังรออยู่ก็เป็นได้...
ประวัติ : มิยูกิ...นางเกิดเป็นลูกสาวคนสุดท้องของตระกูลโควเมียวโจวที่เป็นตระกูลคหบดีมีอันจะกินในแคว้นหนึ่ง
และด้วยความที่ว่าอยู่เป็นครอบครัวใหญ่
ก็จะมีเครือญาติลุงป้าน้าอาปู่ยาตายายอยู่ในใกล้ๆกันด้วย
ดังนั้นแม้ว่าบิดามารดาของนางจะทำงานหนักจนบางทีไม่ค่อยได้กลับบ้าน มิยูกิก็ไม่เหงาเท่าใดนัก
เนื่องจากมีเหล่าเครือญาติในรุ่นราวคราวเดียวกันเล่นเป็นเพื่อนเสมอ
แต่เหนือสิ่งอื่นใด...มิยูกิรักที่จะไปอยู่กับท่านย่าของนางยิ่ง
เพราะย่าเป็นคนใจดี คอยอยู่เคียงข้าง
และมักสอนอะไรหลายๆอย่าง...ที่จะกลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของนางให้...
ยามใดนางหวาดกลัวและโดดเดี่ยว...ท่านย่าก็เป็นคนปลอบโยน กุมมือและกอดปลอบประโลมนางไม่ห่าง
หันเหความสนใจด้วยเรื่องอื่นจนความรู้สึกแย่ๆเหล่านั้นมลายหายไป...
‘อย่ากลัวไปเลย
เจ้าจะมิมีวันโดดเดี่ยว...ย่าจะอยู่ตรงนี้กับเจ้าเสมอ...มิยูกิหลานรัก...’
ยามใดนางท้อแท้สิ้นหวัง...ท่านย่าก็มักจะยิ้มและเป็นกำลังใจให้นางเสมอ
โดยท่านย่ามีคำพูดติดปาก ยามเมื่อแสงแรกแห่งอรุณทักทายขอบฟ้า
ขับไล่ความมืดมิดที่ปกคลุมท้องนภาให้สดใส
นิ้วเรียวชี้ไปยังสุริยาที่เริ่มส่องแสงแล้วเอ่ยว่า
‘ดูสิ...มิมีราตรีใดไร้รุ่งอรุณ...เฉกเช่นเดียวกับที่จะมีแสงสว่างแห่งความหวังส่องสว่างอยู่เหนือความสิ้นหวังเสมอ
วันพรุ่งนี้จะต้องสวยงามอย่างแน่นอน...’
...ดังนั้นอย่าได้ท้อเลยนะมิยูกิหลานรักของย่า...
ไม่แปลกใจเลยสักนิด...หากจะบอกว่ามิยูกิรักท่านย่าของนางยิ่งกว่าใคร
ยิ่งกว่าพี่ๆ ยิ่งกว่าบิดามารดาบังเกิดเกล้าเสียด้วยซ้ำ แม้จะรักทุกคนก็ตาม แต่หากบอกให้นางเลือก...ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบุคคลผู้เป็นที่รักที่สุดของนางจะเป็นท่านย่าอย่างไม่ต้องสงสัย...
แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขก็ไม่ได้ยืนยาวเท่าใดนัก...เมื่อท่านย่าที่รักยิ่งของนางนั้นมีอายุมากอยู่แล้ว
ซ้ำยังป่วยเป็นโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษาหาย การเข้าถึงท่านย่าทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆเนื่องจากการแพทย์สมัยนั้นยังไม่ก้าวหน้านัก
ทุกคนในตระกูลต่างหวาดกลัวว่าหากเข้าใกล้แล้วจะติดโรคร้ายนั้นมา
แม้ความคิดนี้จะไม่เคยเข้ามาอยู่ในหัวมิยูกิ แต่เมื่อมีเหล่าคนในตระกูลคอยจับตา
ช่วงเวลาของนางมีกับท่านย่าก็น้อยลงไปทุกวัน ราวกับจะเป็นการเริ่มนับถอยหลังสู่เวลาโศกนาฎกรรม...ที่นางไม่คิดอยากให้เกิดเลยแม้แต่น้อย...แต่นางก็มิอาจทำสิ่งใดได้นอกจากเฝ้าภาวนา...
พระผู้เป็นเจ้า...ได้โปรดอย่าเอาชีวิตของท่านย่าไปเลย...
แม้ในใจจะรู้ดีว่า...หากสิ่งใดเกิดมามีชีวิตได้
ก็ย่อมดับสูญได้เช่นกัน...
คืนหนึ่ง มิยูกิลอบเข้าไปหาท่านย่าได้สำเร็จ แม้จะเกรงใจที่เป็นเวลาดึกสงัด
แต่ด้วยความคิดถึงจึงตัดสินใจมองข้ามเรื่องนั้นไป แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นท่านย่าที่รักของนางยังลืมตาไม่หลับใหล
ดวงตาสีอ่อนของนางเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าผู้ใดมาเยือน
“มิยูกิ...เจ้ามาได้อย่างไร?” รอยยิ้มอ่อนโยนระบายบนหน้าท่านย่า
ทำเอามิยูกิน้ำตาไหล เดินเข้าไปคุกเข่าข้างเตียงแล้วกุมมืออันผอมบางจนน่าใจหายนั้นไว้
“ข้า...มาหาท่านย่าเจ้าค่ะ...” นางพูดพลางซบหน้าลงกับอกท่าน
น้ำตาไหลจนชุดของอีกฝ่ายเปียกชุ่ม “ท่านป่วยขนาดนี้...แต่ข้ากลับแทบไม่ได้มาเยี่ยม...ข้าช่าง...เป็นหลานที่...”
แต่ยังไม่ทันที่มิยูกิจะพูดจบ ท่านย่าก็ขัดขึ้นก่อน
“อย่าโทษตัวเองสิหลานรัก ย่ารู้ดีว่าเจ้าไม่มาเพราะเหตุใด...คิดว่าข้าแก่ข้าป่วยแล้วจะไร้เหตุผลขึ้นงั้นหรือ...ย่าเข้าใจเจ้าดี
และก็เข้าใจพวกเขาด้วย...ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้นที่เรื่องมันเป็นเช่นนี้...”
“ท่านย่า...” ไม่ไล่ข้าออกไปจากห้องหรือ? ทั้งที่คนอื่น...
“หึหึ...เจ้าอุตส่าห์หลบสายตาคนตั้งมากมายมาถึงที่นี่ ต่อให้ย่าเอ่ยปากไล่เจ้าคงไม่ยอมไปง่ายๆหรอกจริงไหมหลานรัก?”
หญิงชราเอ่ยกลั้วหัวเราะราวกับรู้ทันความคิด “พอดีเลย...คืนนี้ย่านอนไม่ค่อยหลับ
อยู่คุยเป็นเพื่อนย่าสักพักแล้วกันนะมิยูกิ...”
คำกล่าวนั้นทำเอามิยูกิยิ้มทั้งน้ำตา
“ข้าจะอยู่กับท่านย่า...นานเท่าที่ท่านต้องการ...”
เหมือนกับที่ท่านเคยอยู่เคียงข้างข้าไม่ไปไหน...
ทั้งสองคุยกันเบาๆในความมืด สายลมเย็นสบายที่พัดผ่านใบไม้ราวกับเป็นทำนองเพลงไพเราะกล่อมเกลาในราตรีนี้
หลังจากสนทนาไปได้สักพัก อยู่ๆท่านย่าก็เอ่ยขึ้นมาว่า...
“มิยูกิ...ไม่ว่าเมื่อไหร่หรือเกิดเรื่องอันใดก็จงอย่าทิ้งความหวังไปนะ...ย่าจะอยู่ข้างเจ้าเสมอ...จำที่ย่าเคยพูดไว้ได้หรือไม่...”
“ข้าจำได้...แต่เหตุใด...”
ทำไมอยู่ๆท่านจึงเอ่ยเช่นนี้...
“หากย่าไม่อยู่แล้ว...เจ้าก็ต้องเข้มแข็งนะ...”
“ท่านย่า! โปรดอย่าได้เอ่ยเช่นนั้นเลย...ข้า...”
ข้าไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลย...
“มิยูกิ...ย่ารู้ว่าเจ้าคิดสิ่งใด
ย่าเองก็ไม่ได้อยากไปจากเจ้า อยากจะดูแลเจ้าตลอดไป...แต่เจ้าคงรู้ดีว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้...ย่ามิอาจอยู่กับเจ้าได้ตลอดไป
เพราะคนที่จะอยู่กับเจ้าตลอดไปได้ มีเพียงตัวเจ้าเท่านั้น”
“ข้า...แต่ตัวข้าเพียงลำพังนั้น...คงไม่...”
“จะมีผู้อื่นที่จะเดินเคียงข้างเจ้า
เป็นพี่น้องเป็นมิตรสหายของเจ้าที่ค่อยช่วยเหลือค้ำจุนเจ้า
แต่ถึงอย่างนั้นก็จงอย่าได้พึ่งพาใครจนเกินไปนัก
เพราะหากเสียคนเหล่านั้นไป...เจ้าคงยากจะมีชีวิตอยู่...”
“...แต่หากความตายมาเยือน
ทุกอย่างก็จบสิ้นไม่ใช่หรือ?”
“มิยูกิ...คนที่เป็นที่รักนั้น
ไม่ว่าเขาจะอยู่ใกล้ ห่างไกลหรือแม้จะจากไปจากโลกนี้แล้วจะมีชีวิตอยู่ในดวงใจของผู้ที่รักเขาเสมอ...เหมือนกับที่หลานนึกถึงย่าแม้ไม่ได้เจอหน้านั่นแหละ...”
นิ้วผอมเรียวจิ้มที่หน้าอกของเด็กสาว “ย่าจะอยู่ตรงนี้เสมอ...ทุกครั้งที่หลานนึกถึง...”
“อีกอย่าง...แม้ความตายจะเป็นจุดจบของโลกนี้...แต่มองในอีกแง่
มันก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น..”
“อย่างไรหรือ?”
“นั่นสินะ...ย่าก็ไม่รู้”
หญิงชราหลับตาลง “...แต่ท่านย่าของย่าเคยเล่าให้ฟัง...เรื่องโลกแห่งความตาย
มีนรกสวรรค์...บางทีหากย่าตาย อาจจะได้ไปเกิดใหม่สักที่ก็ได้...”
ดวงตาของหญิงชราหลับลง ดูอ่อนล้า
ก่อนจะเบือนมามองหลานสาวคนสำคัญอีกครั้ง
“จำไว้นะหลานย่า...จะมีแสงสว่างแห่งความหวังส่องอยู่เหนือความสิ้นหวังเสมอ
วันพรุ่งนี้จะสวยงาม...”
“ย่ารักหลานเสมอนะ...มิยูกิ...”
จากนั้นหญิงชราก็เงียบไป มิยูกิจึงจัดแจงห่มผ้าให้
แล้วปลีกตัวไปนอน...
วันรุ่งขึ้นมิยูกิตื่นด้วยเสียงเอะอะโวยวาย
เมื่อเดินออกมาจากห้องนอนก็พบว่าเหล่าลุงป้าน้าอา...รวมถึงพ่อแม่ญาติพี่น้องทุกคนของนางมาอยู่กันพร้อมหน้า
แต่ละคนมีสีหน้าเศร้าหมองและคร่ำเครียด
“มิยูกิ...มาแล้วเหรอลูก?” ท่านแม่ของนางเอ่ยพลางตรงเข้ามากอดไว้เบาๆ
ก่อนจูงนางไปนั่งที่เก้าอี้ “มานั่งนี่มา” จากนั้นแม่ก็กอดนางไว้แน่น
ทำเอาเด็กสาวประหลาดใจไม่น้อย
“ท่านแม่...มีเรื่องอันใดกันหรือ?”
ทั้งห้องเงียบไปชั่วอึกใจ ก่อนที่ท่านแม่จะกอดนางแน่นขึ้นไปอีก “มิยูกิ...ลูกฟังแล้วทำใจดีๆไว้นะ...”
“เจ้าคะ?”
“ท่านย่า...ท่านย่าเขาไม่อยู่กับเราแล้วลูก...ท่านจากไปแล้วเมื่อคืน...”
ดวงตาของมิยูกิเบิกโพลง
น้ำตารื้นขึ้นมาทันที...งั้นที่ท่านย่าเงียบไป ไม่ใช่ว่าท่านเหนื่อยอยากพัก
แต่เป็น...
เด็กสาวสลัดตัวออกจากอ้อมกอดแล้ววิ่งสุดฝีเท้าทันที
ตรงไปยังห้องของท่านย่า เมื่อเปิดประตูไป
ภาพแรกที่เข้ามาในสายตาคือ...ภาพร่างของท่านย่าที่นอนนิ่งราวกับกำลังหลับใหลด้วยรอยยิ้มน้อยๆหากแต่ไร้ลมหายใจ
ทำนางทรุดลงกับพื้นทันที น้ำตาเริ่มหลั่งไหล...
“ท่านย่า...”
วินาทีนั้น
แสงอาทิตย์ค่อยๆโผล่พ้นขอบฟ้าออกมา ส่องแสงแรก ทำให้นางนึกถึงคำสอนของย่า
หลังจากทรุดนั่งอย่างนั้นสักพัก
นางก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปกอดท่านเป็นครั้งสุดท้ายทั้งน้ำตา
ท่านย่า...ข้าขอสัญญา...
หลานคนนี้...จะไม่มีวันลืมคำสอนของท่าน...
ขอให้ท่านวางใจและพักผ่อนอย่างเป็นสุขเถิด...
ยามใดข้าสิ้นลมหายใจ เมื่อนั้น...เราสองก็คงได้พบกันอีก...
แต่ยังหรอก ยังไม่ใช่ในตอนนี้...
ข้าจะขอมีชีวิตอยู่ต่อ...ในส่วนของท่านด้วย...
เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่
จะต้องมีแสงแห่งความหวัง วันพรุ่งนี้จะงดงามเสมอนี่นา...
เพราะฉะนั้นในตอนนี้...หลับให้สบายเถิด...ท่านย่า
ไม่มีใครรู้เลยว่า...ความตายครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น...สู่หายนะแห่งความสิ้นหวังของนาง...
งานศพผ่านไป...และควรจะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่ว่าอยู่ๆ
ลุงของนางดันทำการค้าผิดพลาดจนเสียหายใหญ่โต ทำเอาการเงินในบ้านพังทลาย
ความร่ำรวยที่สะสมมานานนับชั่วคนหายไปเพียงเพราะความประมาทของคนเพียงคนเดียว...
“แล้วแบบนี้จะทำอย่างไรกันดี?”
“ในเมื่อเรื่องในเป็นเช่นนี้ก็ช่วยไม่ได้...”
ความหรูหราและสะดวกสบายในชีวิตของมิยูกิค่อยๆหายไปทีละน้อย...คนรับใช้ที่เคยมีหายไปกลายเป็นต้องทำอะไรด้วยตนเอง
เสื้อผ้าข้าวของหรูหรากลายเป็นของสามัญธรรมดาทั่วไป อาหารที่เคยกินดีอยู่ดีก็เริ่มลดน้อย
กลายเป็นอาหารทั่วไป กระทั่งอดมื้อกินมื้อ เพียงเพื่อหาเงินมาใช้หนี้
จึงจำต้องตัดค่าใช้จ่ายออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
แม้กระทั่งของรักของหวงบางอย่างของนางยังถูกนำไปขาย แต่แม้ว่ามิยูกิจะเจ็บปวดปานใด
นางก็ยังทนได้ และช่วยเหลืองานเท่าที่จะทำได้
แม้มันจะดูยาวนานจนไร้วันจบสิ้นก็ตาม...
ไม่เป็นไรหรอก...หากผ่านไปได้ ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น...
จะต้องมีวันพรุ่งนี้ที่สวยงามรออยู่อย่างแน่นอน...
น่าเศร้า...ที่เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น มิได้สวยงามเหมือนที่นางวาดหวังไว้
แต่เป็นอะไรที่เลวร้ายเกินกว่านางจะคาดคิด...
ในสถานะการเงินที่บ้านฝืดเคืองเช่นนี้ พี่ชายคนโตของนางที่เคยชินกับความสะดวกสบายนั้นเพียงสองปีก็ทนสภาพนี้ไม่ได้
และคิดจะหาทางเอาเงินมา จึงได้เอาเงินที่ตระกูลเก็บไว้ก้อนสุดท้ายออกไปใช้เล่นพนัน
แต่ก็เสียไปจนหมดสิ้น
ซ้ำยังเอาโฉนดที่ดินบางส่วนของตระกูลไปจำนองเอาเงินมาเล่นอีก...ทำให้สถานะทางการเงินของบ้านยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิมหลายเท่าตัว
แถมญาติบางท่านยังโดนยึดบ้านไปอีกต่างหาก
เมื่อรู้ข่าวนี้ ทั้งตระกูลแทบจะสาปส่งพี่ชายของนาง รอยร้าวในความรักใคร่กลมเกลียวในตระกูลที่เริ่มมีตั้งแต่เรื่องราวของลุงนั้นได้ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ว่ากันว่าเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน สันดานที่แท้จริงจะปรากฏออกมาให้เห็น...คำกล่าวนั้นมิผิดความจริงเลยแม้แต่น้อย
จากที่เคยเล่นเคยโตด้วยกันมา บัดนี้แค่หน้ายังไม่อยากจะมอง คำพูดคำจาที่เคยเอ่ยกันดีๆ
บัดนี้เหลือเพียงคำเหยียดหยามด่าทอ แม้ว่ามิยูกิจะไม่ได้ทำผิดอะไร
ก็ไม่วายโดนมองด้วยสายตาเช่นนั้นเหตุเพราะนางเป็นน้องสาวของคนต้นเรื่อง
แม้จะเป็นแค่บางคนที่เหมารวม แต่ก็ทำนางปวดร้าวไม่น้อย
แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังคงทำตัวปกติ ยืนหยัดเข้มแข็ง และดีกับทุกคนเช่นเดิม...
ไม่เป็นไร...พรุ่งนี้...ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น...
ท่านย่า...เป็นกำลังให้ข้าด้วยนะเจ้าคะ...
ราวกับโชคชะตากลั่นแกล้ง...เรื่องร้ายเหล่านั้นก็ยังไม่หมดสิ้นไปเสียที
หากแต่ทวีความเลวร้ายขึ้นเป็นเท่าตัว...เมื่อมิยูกิไปได้ยินบทสนทนาบางอย่าง...
“โธ่เอ้ย! เพราะเด็กเวรนั่นแท้ๆ!!!”
“แล้วจะทำยังไงกันดีล่ะ...แบบนี้ที่พวกเราค่อยๆวางยาท่านย่าเพื่อให้ได้มรดกมาใช้หนี้ที่ยังค้างอยู่ก็...”
“อย่าพูดเรื่องนั้น! เกิดใครมาได้ยินเข้าจะทำยังไง!!!”
มะ...ไม่จริง...
ท่านลุง...วางยาฆ่า...ท่านย่า...
ท่านย่า...จะยังไม่จากข้าไป...ถ้าท่านลุงไม่...
โธ่! ท่านย่า!
ด้วยความเสียใจจนทำอะไรไม่ถูก มิยูกิรีบวิ่งกลับเข้าห้องแล้วขังตัวเองไว้ถึงสองคืน
ไม่ยอมกินข้าวกินปลา คร่ำครวญจนในที่สุดก็ตัดสินใจได้ว่าจะไปคุยกับท่านลุงให้รู้เรื่องและขอให้มอบตัว...เลยใช้เวลาเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะนัดไปคุย
แต่ทว่าเมื่อไปถึงห้องที่นัดพบก็พบว่าประตูแง้มเปิดอยู่
ด้วยความสงสัยและความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร
นางจัดตัดสินใจแอบมองผ่านบานประตู แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง...
พี่ชายของนาง...แทงท่านลุง!?
“เพราะลุงแท้ๆ...ชีวิตข้าถึงได้เป็นแบบนี้...อโหสิด้วยแล้วกันนะ...”
วินาทีที่ท่านลุงล้มลงไปพร้อมกับเลือดที่ไหลนอง
มิยูกิก็กรีดร้องออกมา ทำเอาพี่ชายของนางหันมามอง ก่อนจะเดินออกมาด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อน
“อ้าว...มิยูกิเองเหรอ?”
“ทะ...ท่านพี่มาซายูกิ...”
“เห็นแล้วสินะ?”
“...ทะ...ทำไม...ท่านพี่ถึง...”
“จะยังไงก็ช่างเถอะ...ถึงพี่จะไม่อยาก...แต่...”
มืออีกฝ่ายเงื้อมีดขึ้นสูง “คงต้องปิดปากเจ้าแล้วล่ะ
โทษตัวเองที่มาผิดที่ผิดเวลาก็แล้วกันนะ น้องพี่!!!”
มิยูกิตกใจรีบวิ่งหนี
แต่ยังไม่วายโดนแทงที่แขน แม้จะเจ็บปวดปานใด แต่ขาของนางก็ยังวิ่ง...ไม่สิ
แม้จะเจ็บแผลเท่าไหร่ แต่แผลในดวงใจนางนั้นเจ็บยิ่งกว่า ตอนที่เจ็บแขนจนทนไม่ไหว
และกำลังจะโดนแทงแล้ว อยู่ๆท่านพี่ของนางก็ล้มลงไป...ด้วยฝีมือของท่านป้า...
“...ทะ ท่านป้า?”
“...เพราะมันแท้ๆ...ทุกอย่างถึงได้พัง”
ท่านป้ามองท่านพี่ของนางด้วยสายตาเกลียดชัง
ก่อนจะมองมาทางนาง...สายตานั้นว่างเปล่า
“ส่วนเจ้าก็เป็นน้องของมัน...ก็คงมีเลือดชั่วเหมือนพี่มันนั่นแหละ
เพราะงั้นตายเสียเถอะ!!!”
“ยะ...อย่านะท่านป้า!!!”
ฉึก!
ใบมีดกรีดผ่านเนื้อ
เรียกเลือดให้สาดกระเซ็น หากแต่คนโดนไม่ใช่มิยูกิ
หากแต่เป็น...ท่านป้าที่โดนมาซายูกิที่คิดว่าตายแล้วแทงจากด้านหลัง
ในขณะที่คิดว่าเรื่องนั้นกำลังจะจบลงแล้ว...ก็เผอิญว่าเหล่าญาติดันเดินมาเห็นภาพที่ป้าหลานเอามีดแทงกันพอดี
จึงเกิดความโกลาหลขึ้นอย่างฉับพลัน เกิดการแบ่งฝักฝ่าย...
รอยร้าว...ขยายและกลายเป็นแตกหักในที่สุด...
“เพราะลูกชายของท่านน้านั่นแหละ!
ท่านพ่อกับท่านแม่จึงได้....”
“จะโทษก็ต้องโทษพ่อเจ้านั่นแหละที่ทำผิดพลาดแต่แรก”
“อะไรกัน! ท่านพ่อไม่ได้...”
หลังจากนั้นทางการก็ส่งคนมาสืบสวนเรื่องราวทั้งหมด
มิยูกิที่เป็นทั้งพยานผู้เห็นเหตุการณ์ ผู้เสียหาย
รวมถึงเป็นน้องสาวของหนึ่งในผู้ต้องหาจึงโดนสอบสวนหนักกว่าใคร
ลำพังแค่มีเจ้าหน้าที่สืบสวนเดินเข้าออกบ้านทุกวันก็เป็นที่ครหาจะแย่
ยิ่งในสถานการณ์บ้านไม่ค่อยดีแบบดีก็ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของตระกูลยิ่งพังเละเทะไม่เหลือชิ้นดี
อีกทั้งคนที่โดนสอบสวนเป็นพิเศษอย่างนาง ยิ่งโดนสอบสวนมากเท่าไหร่
ภาพที่ท่านพี่แทงท่านลุง ท่านป้าแทงท่านพี่
และกลับกัน...ทุกอย่างฉายเวียนซ้ำไปมาจนนางแทบจะบ้าตายกับความกดดันที่รายล้อม
“คุณหนู...ข้าขอเรียนถามอีกครั้ง...”
เมื่อไหร่จะจบเสียที...
ข้าจะ...ไม่ไหว...แล้ว...
“พอแค่นั้นแหละ”
เสียงสวรรค์ดังขึ้น
หยุดคำถามทุกอย่างที่กำลังจะถูกระดมยิงใส่มิยูกิได้อย่างเฉียดฉิว
ยังไม่ทันจะเงยหน้ามอง ใครคนหนึ่งก็คว้าแขนนางไว้ ตั้งท่าจะพาเดินออกไป
“นี่! คิดจะทำอันใดกัน!!! ข้ายังสอบสวนไม่...”
มิยูกิเงยหน้าขึ้น แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง คนตรงหน้านางไม่ใช่ใครอื่น
แต่เป็น...
“โซ...” คำพูดหยุดลงเมื่ออีกฝ่ายเอานิ้วแตะริมฝีปากนางเบาๆ
เป็นเชิงให้หยุดพูด
“ข้าคิดว่าข้อมูลที่ท่านได้จากการสอบสวนหลายวันมานี้น่าจะเพียงพอต่อการทำงานของท่านแล้ว...”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาเย็นชามองทางเจ้าหน้าที่อย่างไม่ไว้หน้า
“หรือว่าการทำงานของพวกท่านด้อยประสิทธิภาพกัน
จึงต้องเวียนมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับแร้งรุมทึ้งศพเช่นนี้”
“บังอาจนัก! เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกันจึงกล้ามาพูดแบบนี้กับข้า!!!”
“ข้าเองก็อยากจะรู้เช่นกัน...ว่าท่านมีอำนาจอันใดกันที่จะมาทำให้ว่าที่ภริยาในอนาคตของข้าใกล้จะเป็นบ้าเช่นนี้...”
อ้อมแขนของชายหนุ่มโอบรอบตัวนางไว้ราวกับจะปกป้อง “แม้นางจะเป็นน้องสาวผู้ต้องหา
แต่นางก็เป็นผู้เสียหายและมิได้ทำผิดกฎหมายใดแม้แต่ประการเดียว
ผู้ต้องหาก็เสียชีวิตไปกันหมดแล้ว...นางเจ็บปวดมามากพอแล้ว
หากนางเป็นอันใดไปเพราะการทำงานของพวกท่าน...ข้า อาเบะ โซเซย์
จะไม่ไว้หน้าพวกท่านแน่!!!”
อาเบะนั้นเป็นตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพลอีกตระกูล
ด้วยความที่ว่าท่านพ่อของนางเป็นสหายรักกับเจ้าบ้านอาเบะ
มิยูกิจึงได้ไปเยี่ยมเยือนและคุ้นเคยกับคนบ้านนั้นตั้งแต่วัยเยาว์
นอกจากนั้น...นางยังหมั้นกับบุตรชายคนเล็กแห่งตระกูลอาเบะ...อาเบะ โซเซย์
ไว้อีกด้วย...
โซเซย์...มาช่วยข้างั้นหรือ?
“อะ...ตระกูลอาเบะงั้นเหรอ!!! ขะ...ข้าต้องขออภัยด้วยขอรับที่...”
ยังไม่ทันที่เจ้าหน้าที่จะพูดจบ ชายหนุ่มก็ตัดบทด้วยเสียงเย็นชา
“ไสหัวไป แล้วไม่ต้องมาที่นี่อีก”
หลังจากเจ้าหน้าที่จากไป โซเซย์ก็กอดมิยูกิไว้แน่น
“เจ้าฝืนตัวเองอีกแล้ว...เหตุใดจึงไม่ยอมบอกข้าสักคำว่าเจ้ากำลังเผชิญเหตุการณ์เช่นนี้...”
“โซเซย์...ข้า...” มิยูกิซุกหน้าลงแนบอกอีกฝ่าย ไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านั้น
เรื่องที่อาจจะทำเขาลำบาก...จะเอ่ยออกไปได้อย่างไร...
“เจ้านี่ทำให้ข้าเป็นห่วงอยู่เรื่อยเลยนะ...” โซเซย์ถอนหายใจ
คลายอ้อมกอด แล้วก้มมองพร้อมทั้งประคองใบหน้าสตรีที่กำลังจะมาเป็นคู่ชีวิตเขาในอีกไม่นาน
“ข้าพึ่งพาไม่ได้ขนาดนั้นเลยรึ?”
“มะ...ไม่ใช่นะโซเซย์...” มิยูกิเงยหน้าขึ้นมาสบตา
ก่อนจะเบือนหน้าหนีเล็กน้อย “ข้าเพียงแต่...ไม่อยากให้ท่านเดือดร้อนเพราะเรื่องของข้า...”
“คิดว่าข้าใส่ใจรึ?” โซเซย์ขมวดคิ้ว แสดงออกว่าไม่พอใจในคำตอบนัก
ก่อนจะยกมือมาดีดหน้าผากมิยูกิจนนางต้องกุมหัวป้อย แล้วเลื่อนมาจับดวงหน้าอีกฝ่ายไม่ให้หันหนี
พลันดวงหน้าคมยื่นเข้าหาจนสองใบหน้าห่างกันเพียงชั่วลมหายใจ “ยามข้าลำบาก เจ้าก็ไม่เคยทอดทิ้งข้า
อยู่เคียงข้างข้าตลอดมา แล้วเหตุใดเจ้าจึงคิดว่าข้าจะทอดทิ้งเจ้ายามลำบากล่ะ?”
“โซเซย์...”
“ข้าเข้าใจว่าเจ้าไม่อยากเป็นภาระของใคร แต่เวลาแบบนี้...จะพึ่งพาข้าสักหน่อยข้าก็ไม่ถือสาหรอกนะ
มิยูกิ”
เพราะข้าเองก็อยากเป็นคนที่เจ้าพึ่งพาได้เช่นกัน...
ก่อนที่โซเซย์จะปิดระยะห่างนั้นด้วยริมฝีปากของเขาเอง...
คำพูดเหล่านั้น
ราวกับเป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้ความหวังของมิยูกิกลับมาอีกครั้ง
แต่ก็ใช่ว่าเรื่องราวจะดีขึ้นนัก หลังจากการสอบสวนผ่านไป การทะเลาะเบาะแว้งก็ยิ่งหนักข้อขึ้นทุกวันจนถึงกับประกาศตัดญาติขาดมิตรกันเลยทีเดียว
บรรยากาศยิ่งเลวร้ายจนมิยูกิแทบจะทนไม่ได้
คิดจะแอบหนีไปอยู่บ้านสหาย แต่พอคิดว่าจะไปสร้างความเดือดร้อนให้สหายก็ไม่กล้า พักหลังมานี้นางยิ่งเวียนหัวบ่อยกว่าเก่า
บางทีก็อาเจียนเพราะความเครียดที่เพิ่มสูงขึ้น ข้าวปลาก็ไม่ค่อยอยากแตะ ยังดีที่โซเซย์คอยเขียนจดหมายมาหาคอยถามไถ่อยู่เป็นประจำทำให้นางคลายความกังวลไปได้หลายส่วน
แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือน...
“มิยูกิ...ทางตระกูลอาเบะส่งจดหมายมาหาเจ้าน่ะ...”
โซเซย์!
มิยูกิรีบเปิดจดหมายทันที ด้วยหวังว่าจะเห็นคำปรึกษาและความห่วยใยที่ส่งผ่านมาทางจดหมายอีกครา
แต่เมื่อเปิดจดหมายมา เนื้อความที่เขียนมากลับไม่ใช่เรื่องเหล่านั้น...ไม่ใช่แม้แต่ลายมือของโซเซย์ด้วยซ้ำ
“มะ...ไม่จริง! โซเซย์...ฮึก...โซเซย์!!!”
เหตุใด...ทำไมท่านถึงต้องจากข้าไปตอนนี้
ตอนที่ข้าต้องการท่านมากที่สุดด้วย...โซเซย์!
มันเป็นจดหมายแจ้งข่าว...ว่าคู่หมั้นคู่หมายของนางที่พึ่งพาได้ตลอด...เป็นดั่งสหาย
กำลังใจแสนสำคัญ และบุรุษผู้เป็นที่รักยิ่งเพียงหนึ่งเดียวได้จากโลกนี้ไปเพราะเหตุเพลิงไหม้เรือนที่พักของตระกูล
หลังจากทราบข่าว
นางถึงกับสลบไปหลายวัน
และเมื่อฟื้นขึ้นมาก็พบว่าท่านหมอมองหน้านางด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
ดูไม่ยินดีเท่าไหร่นักที่นางฟื้น
กับอาการหน่วงประหลาดที่ทำให้นางไม่สบายตัวเอาเสียเลย
“ท่านหมอ...”
“...คุณหนู...ข้ามี...ข่าวที่ต้องแจ้งให้ท่านทราบ...”
“...เอ๊ะ?”
“...ท่านตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว...”
ตั้งครรภ์? อย่าบอกนะว่าตอนนั้น...
มือบางลูบหน้าท้องโดยไม่รู้ตัว
ในท้องของข้า...มีลูกของข้ากับโซเซย์อยู่น่ะหรือ?
ริมฝีปากบางระบายยิ้ม ถึงจะผิดธรรมเนียมไปสักหน่อย
และหลังจากนี้ก็คงโดนมองด้วยสายตาเวทนาหรือสายตาสื่อความหมายไม่ค่อยดีนัก
แต่นางไม่สนหรอก เพราะอย่างน้อยโซเซย์ยังไม่ได้จากนางไปเสียทีเดียว
เขายังมีชีวิตอยู่...ในตัวของข้า...ในตัวของเด็กคนนี้
แต่แล้วเสียงของท่านหมอก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“แต่ยามท่านหมดสติไป...ท่านเกิดอาการตกเลือดมาก...”
ท่านหมอหยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น
“ตอนนี้...ครรภ์ของท่านนั้น...แท้งเสียแล้ว...”
ดวงตาของมิยูกิเบิกโพลง น้ำตาค่อยๆไหลออกมาอย่างไร้เสียงสะอื้น
แท้ง...แล้ว?
ลูกของข้า...ไม่อยู่กับข้าอีกต่อไปแล้ว?
โซเซย์...ลูกของเรา...
เพราะข้า...เพราะข้าแท้ๆ...
ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ!!!
หลังจากนั้นมิยูกิก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง
ใช้เวลาพอสมควรกว่านางจะกลับมาทำใจใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่สถานการณ์ในตระกูลก็ยังคงเลวร้าย
และยิ่งเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ แต่ถึงกระนั้น...นางก็ยังมีความหวัง...
ท่านย่า โซเซย์ ลูกแม่...ตอนนี้พวกท่านยังมองมาที่ข้าหรือไม่...
ข้าก็ยังคงหวังให้พรุ่งนี้นั้นสวยงาม...
แม้จะเป็นความหวังที่ไม่มีหวังก็ตาม...
แต่ฟ้าก็ยังคงไม่เห็นใจ...เพราะนอกจากในตระกูลจะทะเลาะกันเองแล้ว
แม้กระทั่งในบ้านของนาง เมื่อท่านพี่นางเสียไป ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน แรกเริ่มก็ยังเห็นไม่ชัดเจน
แต่มิยูกิสัมผัสได้ว่ารอบบ้านบรรยากาศเย็นชาห่างเหินขึ้นกว่าแต่ก่อน
แต่เนื่องจากยังไม่เกิดเหตุการณ์อะไรที่มันบ่งบอก
นางจะยังปลอบตัวเองว่าคงคิดมากไปเอง แต่โชคร้าย...สังหรณ์ของนางถูกต้อง...เพราะหลังจากที่นางแท้งได้ไม่นาน...
เผียะ!
“เพราะเจ้านั่นแหละไม่อบรมดูแล
ลูกเลยเสียคน!” เสียงท่านพ่อฟังดูเกรี้ยวกราด
ดวงตาเย็นชายามมองท่านแม่ที่นอนกุมหน้าที่โดนตบอยู่ที่พื้น
ในขณะที่มิยูกิตัวแข็งทื่อเป็นหิน จะขยับอะไรก็ดูผิดที่ผิดทางไปเสียหมด “มาซายูกิกลายเป็นฆาตกรใจโฉดฆ่าลุง...มิยูกิก็...ท้องก่อนจะแต่งงานเข้าตระกูลอีกฝ่าย! หากใครรู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!!!”
“ก็ใครกันเล่าที่คอยให้ท้ายลูกๆจนเป็นเช่นนี้...ก็ท่านไม่ใช่รึท่านพี่!”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!?”
แม้แต่บิดามารดาของนาง...ก็ยังทะเลาะกันเอง...
คืนนั้นมิยูกิจึงเข้าไปในห้องของท่านย่า
ร้องไห้คร่ำครวญเบาๆ เป็นเพราะนางใช่ไหม เรื่องมันถึงได้เป็นเช่นนี้...แม้จุดเริ่มต้นความแตกร้าวในบ้านจะเป็นเรื่องของท่านพี่
แต่เรื่องของนางก็มีส่วนด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อคร่ำครวญจนเหนื่อยล้า ปล่อยความคิดทุกอย่างเตรียมจะจมสู่ห้วงฝัน
แต่ยังไม่ทันจะสู่นิทรา หูพลันได้ยินเสียงข้าวของหล่นกระจาย
ด้วยความสงสัย...นางจึงตัดสินใจไปดู แล้วก็พบกับภาพที่ไม่คิดว่าตัวเองจะได้เห็น...
ภาพที่ท่านพ่อ...กำลังรัดคอท่านแม่อย่างเลือดเย็น...
“ท่านพ่อ ท่านกำลังทำอะไรน่ะ!!!”
มิยูกิร้องเรียก
แต่สายไปเสียแล้ว ร่างของท่านแม่ร่วงลงสู่พื้นราวกับหุ่นไร้ชีวิต
นางได้แต่ยืนมองหน้าพ่ออย่างไม่อาจสรรหาคำพูดใดได้ ทั้งที่ในใจกรีดร้องจนแทบบ้า
ทำไม ทำไม และทำไม?
เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้?
“อา...มิยูกิ...” ท่านพ่อยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอกนะ...พ่อแค่กำจัดตัวเกะกะไปให้พ้นทาง...”
อะไรบางอย่างในตัวมิยูกิที่ปริร้าว...ค่อยๆแหลกสลาย...
เมื่อมาคิดดูให้ดี...สิ่งนั้นคงเป็นความหวังและความเชื่อของนางเอง...
“ทำไม...”
“ทำไมน่ะเหรอ?
ก็แม่ของเจ้าน่ะโทษข้า...ข้าไม่ผิดเสียหน่อย จริงไหมลูกพ่อ?”
...ทำไมจึงยังเกิดเรื่องแบบนี้
ทำไมทุกอย่างจึงไม่ดีขึ้น
...นางเชื่อมั่นมาตลอดแท้ๆ...ว่าทุกอย่างจะดีขึ้น
ยามราตรีผ่านพ้นไป...พรุ่งนี้จะสวยงาม...
...แต่เหตุใด...
...ราตรีแห่งความสิ้นหวังนี้
ช่างยาวนานเหลือเกิน...
มิยูกิไม่ได้พูดอะไร ได้แต่วิ่งหันหลังออกจากห้องไป
กลับไปที่ห้องท่านย่า และร้องไห้ที่นั่นจนถึงเช้า...จนแสงสว่างยามรุ่งอรุณส่องมา...ภาพที่เห็น...ไม่ใช่ตระกูลที่อบอุ่นงดงาม
แต่เป็นครอบครัวที่แตกหักแหลกสลาย เนื้อในฟ่อนเฟะไม่เหลือชิ้นดี...
ท่านย่า โซเซย์...แสงแห่งความหวังอยู่ที่ใดกันหรือ
เหตุใดอรุณมาเยือนแล้ว...แต่ดวงใจข้ากลับมืดมิดเหลือเกิน...
ท่านย่า โซเซย์...ช่วยข้าด้วย!
บอกข้าที...ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้ควรทำสิ่งใด...ไม่รู้ว่าตอนนี้ควรเชื่ออะไรอีกต่อไปแล้ว....
พลันความทรงจำฉากหนึ่งของมิยูกิดังขึ้นในความคิด...ราวกับเสียงกระซิบของปีศาจ...
‘ความตายน่ะ...เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น’
ดวงตาของนางลืมขึ้น
แต่ไม่ได้ฉายแววสดใสหรือหม่นหมอง...มีเพียงความว่างเปล่าสะท้อนอยู่ภายใน
จริงด้วยสินะ...
ท่านย่า...หากความตายคือการเริ่มต้นใหม่...
เช่นนั้นแล้ว...
ดวงตาของมิยูกิปรายมองไปยังขวดยาที่ตั้งอยู่ข้างเตียง ยาของท่านลุงที่คร่าชีวิตของผู้เป็นดั่งดวงใจของนางไปตลอดกาล...มือบางคว้ามันเอาไว้
ก่อนจะเปิดฝา มองมันอยู่ชั่วครู่...แล้วกลืนยาทั้งหมดในขวดนั้นลงคอไปในทันที
ข้าจะขอหวังกับโลกใบใหม่...กับการเริ่มต้นครั้งใหม่...
แทนที่จะสิ้นหวังในโลกอันมืดหม่นนี้...
ดวงตาของนางเริ่มหนักอึ้ง ร่างกายชาจนขยับไม่ได้
ก่อนที่ร่างของนางจะทรุดลงบนเตียง หูได้ยินเสียงเรียกนางมาจากที่ไกลๆ...
ท่านย่า...หลานขออภัยที่ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อท่านได้...
โซเซย์ แล้วก็ลูกแม่...อย่าโกรธข้าเลยนะ...
แต่ข้ามองไม่หันความหวังอันใดแล้วจริงๆ...
หลังจากนี้ แม้ว่ารุ่งอรุณจะมาเยือนสักกี่หน
ก็คงไม่อาจลบเลือนความมืดมิดในใจข้าไปได้...
หากฟ้าเมตตา...ขอเพียงครั้งสุดท้าย...
...ขอให้ข้าพบความหวังใหม่ ในโลกใบใหม่
ในการเริ่มต้นครั้งใหม่ที่ข้ากำลังจะก้าวไปด้วยเถิด...
สาเหตุที่ฆ่าตัวตาย : เพราะมิยูกิมองไม่เห็นความหวังในชีวิตของตนอีกต่อไปแล้ว
สิ่งที่นางเชื่อมั่น
และเป็นพลังให้กับความหวังของนางในโลกใบนี้ได้ถูกทำลายจนหายไปเสียสิ้นจากโศกนาฏกรรมหลายอย่างที่นางได้เห็นและสัมผัสมาในช่วงหลายปี
กล่าวคือนางตกลงไปยังห้วงแห่งความสิ้นหวังจนหมดหวังในการมีชีวิตนั่นเอง
และจากคำกล่าวของท่านย่าที่ว่า ‘ความตายเป็นเพียงจุดเริ่มต้น’
ทำให้นางคิดว่าหากตายไปอาจจะได้มีโอกาสเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
ซึ่งดูมีความหวังมากกว่าที่เป็นอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงในช่วงชีวิตสุดท้ายที่นางเป็น
จึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย...
ฆ่าตัวตายด้วยวิธีใด : ทานยาพิษฆ่าตัวตาย
เป็นพิษตัวเดียวกับที่คร่าชีวิตท่านย่าของมิยูกิ
และนางตายบนเตียง...ที่เดียวกับที่ท่านย่าของนางลาจากโลกใบนี้ไป...โดยพิษนี้เป็นพิษระดับปานกลางที่ต้องทานในปริมาณมากถึงจะตายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
(ซึ่งมิยูกิดื่มรวดเดียวเกือบหมดขวดที่ก็นับว่ามากอยู่)
ออกฤทธิ์คล้ายยานอนหลับที่จะทำให้ไม่มีเรี่ยวแรง ร่างกายชา
ก่อนจะหลับไปอย่างไม่มีวันตื่น แต่ตอนท่านย่า ท่านลุงค่อยๆผสมให้ทีละนิด อาการเลยค่อยๆแย่ลงเรื่อยๆแทนที่จะตายในทันที
ลักษณะการพูดจา : มิยูกิเป็นคนที่พูดจาสุภาพ
แม้จะไม่มีคำลงท้ายก็ตาม ด้วยน้ำเสียง กาลเทศะ เนื้อความต่างๆ ทำให้แม้จะไม่มีคำลงท้ายก็ดูสุภาพอยู่ในที
และมักเป็นคนที่แสดงอารมณ์ลงในน้ำเสียงค่อนข้างชัดเจน โดยมักปิดอารมณ์ในแง่ลบไว้ยกเว้นว่ามันจะสุดจะทน
หรือ อยากให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความรู้สึกนี้
มักแทนตัวเองว่า “ข้า” แทนผู้อื่นว่า “ท่าน” (หากแทนว่า “เจ้า”
จะแปลว่าเป็นคนที่สนิทมาก) หรือไม่ก็เรียกชื่อของอีกฝ่ายไปเลยตรงๆตามด้วย ท่าน
หรือ –ซัง ตามแต่สถานการณ์
ตัวอย่าง...
(แนะนำตัว)
“ข้า...โควเมียวโจว มิยูกิ
ยินดีที่ได้พบท่าน...”
(พูดตามปกติ)
“ข้าเชื่อนะ...ไม่ว่าทุกสิ่งจะเลวร้ายอย่างไร...สุดท้ายแล้วมันก็จะต้องดีขึ้น
วันพรุ่งนี้....จะต้องงดงามกว่าวันนี้อย่างแน่นอน...”
“อย่าท้อไปเลย...หากพวกเราพยายามร่วมมือร่วมใจกัน
ไม่ว่าจะมีปัญหาหรืออุปสรรคใดก็ต้องผ่านพ้นไปได้อย่างแน่นอน”
“ท่านย่า...โซเซย์...ข้าคิดถึงพวกท่านนะ...พวกท่านก็ยังคิดถึงข้าใช่ไหม
เห็นไหม...ข้ากำลังพยายามอยู่นะ...”
“ข้ามิได้ต้องการคำปลอบประโลมอันใด...และท่านไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดทั้งนั้นเพื่อช่วยเหลือข้า
เพียงท่านยังอยู่เคียงข้างข้าผู้ผิดบาปมิห่างไปไหนเช่นนี้...ก็นับว่าท่านเปรียบดังแสงแห่งความหวังของข้าแล้ว...”
“ข้าเชื่อมั่น...เชื่อมั่นในความหวัง...และเชื่อมั่นในวันพรุ่งนี้!”
“ข้าเข้าใจ...ท่านไม่จำเป็นต้องฝืนทำเรื่องเหล่านั้นเพื่อข้าหรอก
นี่...ท่านรู้ไหม? ตัวข้านั้นเคยตกอยู่ในความสิ้นหวังจนทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง...แม้กระทั่งหันหลังให้กับคำสัญญาและคำสอนของคนที่ข้ารัก
ปลิดชีพตนจนต้องลงมาชดใช้บาป ณ ที่แห่งนี้ แต่ข้าขอสาบาน ไม่ว่าท่านจะผลักไสหรือทำอย่างไร...ข้าจะไม่มีวันตกลงไปสู่ความสิ้นหวังอีกเป็นครั้งที่สอง!!!”
(จริงจัง / โกรธ)
“ข้าจะขอถามตามตรง...ที่เจ้าพูดมานั้น
ขัดแย้งกับสิ่งที่เจ้าเคยบอกข้าก่อนหน้า ตอบมา เหตุใดเจ้าจึงต้องหลอกลวงกันด้วย?”
“อย่าได้พูดอะไรพล่อยๆเช่นนั้นหากท่านไม่รู้ความจริงเลย...มีแต่จะทำให้ท่านดูแย่เสียเปล่าๆ”
(เศร้าเสียใจ)
“...เศร้าหรือ...เปล่าเลย...ข้าแค่เหนื่อยละอยากคิดทบทวนอะไรหน่อยก็เท่านั้นเอง
อย่าได้ใส่ใจเลย...”
รูปลักษณ์โดยรวม : หญิงสาวรูปร่างสูงโปรงหน้าตางดงาม
เรือนร่างระหงอรชรมีส่วนโค้งเว้าชวนมอง
ผิวขาวผ่องดุจแสงจันทร์ราวกับว่าไม่เคยถูกแดดมาก่อน
ดวงหน้ารูปไข่มีนัยน์ตาสีฟ้าใสราวกับท้องนภาในยามอรุณรุ่งคู่งามประดับอยู่
จมูกโด่งรั้น เรียวปากบางมีสีกุหลาบ ทำให้ใบหน้านั้นดูไร้ที่ติราวกับเป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก
ยิ่งล้อมด้วยเส้นผมสีขาวอมเงินสว่างที่ตัดไว้หน้ามา ปล่อยยาวสลวยจรดแล้วเอว
ยิ่งเสริมให้ใบหน้านั้นยิ่งชวนมอง แขนขาเรียวยาวไร้รอยตำหนิ
ดูแล้วเป็นหญิงสาวที่น่ารักชวนมองคนหนึ่ง
ส่วนสูง / น้ำหนัก : 167
/ 48
ชอบ :
- รุ่งอรุณ [เพราะมันทำให้จิตใจนางสว่างสดใสเหมือนบรรยากาศ
และเป็นตัวแทนแห่งความหวังด้วย]
- ชาอุ่นๆ [เพราะทำให้สดชื่น
ร่างกายอบอุ่นดีด้วย และราสชาติมันก็ถูกกับลิ้นนาง]
- ผักแทบทุกประเภท โดยเฉพาะเห็ด [เพราะนางชอบทาน
มันอร่อยและทำให้สุขภาพดีด้วย]
- รอยยิ้มมีความสุขของผู้อื่น [เพราะมันทำให้นางรู้สึกมีความสุขไปด้วย]
- เสียงเพลงเบาๆ [เพราะมันทำให้นางผ่อนคลาย]
- การได้อยู่กับคนสำคัญ [เพราะคิดว่าช่วงเวลาเหล่านั้นล้ำค่า
สำคัญ และนางจะมีความสุขมากในช่วงเวลานั้น]
- ดอกไม้ [เพราะมีสีสันสวยงาม
กลิ่นหอมสดชื่น มองแล้วสบายตาสบายใจ]
ไม่ชอบ :
- เวลากลางคืน...โดยเฉพาะในคืนเดือนดับ [เพราะคิดว่ามันมืด...มองไม่เห็นสิ่งใด
และเปรียบเหมือนตัวแทนของความสิ้นหวังสำหรับนาง]
- คนหลอกลวง [เพราะนางเป็นคนจริงใจ
เลยค่อนข้างคาดหวังที่จะได้รับความจริงใจตอบกลับมา]
- การทะเลาะเบาะแว้ง แก่งแย่งชิงดี [เพราะคิดว่าทุกคนควรเป็นมิตรไว้มากกว่าจะมาตีกันเอง]
- พริกไทย [เพราะมันไม่ถูกกับลิ้นนาง...และทำให้นางจาม...]
- กลิ่นคาวเลือด [เพราะมันไม่น่าอภิรมย์
และหากได้กลิ่นเลือด...มันจะทำให้นางคิดถึงเหตุการณ์ไม่น่าพิสมัยในอดีต ถ้าได้กลิ่นหนักมากๆอาจจะอาเจียนได้เลย...]
- การถูกบีบคั้น [เพราะนางคิดว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย แล้วก็ไม่สบายใจอย่างมากด้วย...]
- คนหลอกลวง / คนผิดสัญญา [เพราะนางคิดว่าคนเหล่านี้นั้นไม่น่าไว้ใจ...เลยไม่ชอบ...แต่ไม่ถึงกับเกลียดนะ
แค่จะระวังเป็นพิเศษเฉยๆ]
เกลียด :
- การที่ตัวเองไม่สามารถช่วยเหลืออะไรใครได้ [เพราะคิดว่าหากนางทำอะไรได้มากกว่านี้
เรื่องมันอาจจะไม่เป็นเช่นนี้ก็ได้ ยิ่งมีนิสัยโทษตัวเองแล้วด้วยก็...]
- การใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ รวมไปถึงการฆ่ากัน [เพราะนางคิดว่าใช้กำลังไป
ปัญหาที่แท้จริงก็ไม่ได้รับการแก้ไข...และมีวิธีดีกว่านั้นในการแก้ปัญหาด้วย]
- ความสิ้นหวังภายในตนเอง [เพราะนางเคยพ่ายแพ้ต่อมันจนต้องปลิดชีวิตตนเองมาแล้ว...นางรู้ซึ้งดีว่าสิ่งนี้ทำอะไรได้บ้าง
ทำให้นางเกลียดมัน...และพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่กลับไปอยู่ใต้อำนาจของมันอีกเป็นครั้งที่สอง!]
- คนที่มองเรื่องคอขาดบาดตายของคนอื่นเป็นเรื่องเล่นสนุก [เพราะนางคิดว่าชีวิตของทุกคนเป็นของสำคัญที่ควรรักษา
ไม่ใช่เรื่องของตัวเองจะไม่รู้สึกอะไรก็ไม่เท่าไหร่
แต่อย่ามองเป็นเรื่องสนุกเด็กขาดเพราะนางไม่สนุกด้วย! มันใช่เรื่องไหม?
คนอื่นกำลังเดือดร้อนมากแท้ๆ...]
กลัว :
- การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก หรือการที่พวกเขาได้รับอันตราย [เพราะพวกเขาเปรียบดั่งดวงใจของนาง...ให้นางเจ็บ นางตาย
ยังจะเจ็บปวดน้อยกว่าทนมองเห็นพวกเขาเป็นอะไรไป]
- ความสิ้นหวังภายในตนเอง [เพราะนางเคยพ่ายแพ้ต่อมันจนต้องปลิดชีวิตตนเองมาแล้ว...นางรู้ซึ้งดีว่าสิ่งนี้ทำอะไรได้บ้าง
ทำให้นางหวาดกลัวพลังของมัน...และพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่กลับไปอยู่ใต้อำนาจของมันอีกเป็นครั้งที่สอง! มันเป็นฟีลที่ทั้งเกลียดและกลัวน่ะค่ะ...คือเกลียดที่ปล่อยให้มันครอบงำ
และกลัวในอำนาจของมัน ทำนองนี้น่ะค่ะ]
แพ้ : -
งานอดิเรก : ทำอาหาร / เล่นซามิเซ็ง /
อ่านหนังสือ / มองท้องฟ้ายามรุ่งอรุณ /
เดินเล่นหรือคุยสัพเพเหระกับสหายหรือคนสำคัญ
คู่ครอง : อาคาชิ
เซย์
เพิ่มเติม :
- ...มิยูกิกำแหวนหมั้นของตนที่โซเซย์คู่หมั้นของนางให้ไว้แน่นก่อนจะสิ้นใจ...ที่จริงแล้วทรัพย์สินมีค่าทั้งหมดควรจะถูกนำไปขาย
แต่เฉพาะแหวนหมั้นนี้เท่านั้นที่นางซ่อนไว้ ไม่ยอมให้ใครเอาไปไหน
เพราะมันเป็นตัวแทนของบุรุษผู้เดียวที่นางรักและไม่มีวันได้พบหน้ากันอีกแล้ว
หากเป็นของๆท่านย่านั้นโดนนำไปขายหมดแล้ว นางจึงเลือกมาตายที่ห้องของท่านย่า
เพื่อจะได้ระลึกถึงท่านในช่วงสุดท้ายของชีวิตจนสิ้นใจ...
- อยากเห็นหน้าตาโซเซย์ก็จิ้มไปดูได้เลยค่ะ
นิสัยโดยพื้นฐานคือเป็นคนที่ค่อนข้างเย็นชานอก ปากร้ายเอาเรื่อง แต่ถ้าเป็นคนสนิทจริงๆจะอบอุ่นด้วย
แต่ก็มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้เห็นมุมนั้น ซึ่งหนึ่งในนั้น...คือมิยูกิ
คู่หมั้นของเขาเอง...
- สาเหตุที่เราเลือกวิธีการฆ่าตัวตายด้วยาพิษ...อืม มันดูโหลนี่เนอะ
แต่เรามีสาเหตุคือมันเป็นอารมณ์ชั่ววูบน่ะค่ะ ก็เลยต้องเลือกวิธีที่มันตายไวๆหน่อย
เพราะหากตายช้า ด้วยนิสัยอย่างมิยูกิอาจจะได้สติกลับมาจนฆ่าตัวตายไม่สำเร็จก็เป็นได้...
- เนื่องจากชอบมองท้องฟ้ายามเช้า...มิยูกิจึงเป็นคนตื่นเช้าโดยนิสัย
แต่นอนก็แอบดึกพอควร...
QUIZ ZONE
สิ่งแรกที่ได้พบเจอหลังเปิดเปลือกตาขึ้นคือความดำมืดรอบกายตน
มิยูกิกะพริบตาอย่างงุนงงพลางหันมองรอบตัวด้วยความสงสัย
ก่อนจะชะงักไปเมื่อด้านหน้าตนนั้นคือหญิงสาวนางหนึ่งและบานประตูสีดำน่าขนลุกเบื้องหลังของหล่อน
นัยน์ตาคู่สวยละออกจากหนังสือเล่มหนาในมือ
ระบายรอยยิ้มแสนงดงาม เอ่ยเสียงหวานกังวานใสว่า “ยินดีต้อนรับสู่รอยต่อโลกคนเป็นและคนตายค่ะ”
ก่อนรอยยิ้มจะกว้างมากขึ้นไปอีก
เมื่อได้ทอดสายตามองเห็นสีหน้างุนงงของคู่สนทนาของตน “ท่าทางคงจะยังไม่รู้สึกตัวสินะคะ..แต่ช่างเถอะ..ยังไงเสียช่วยแนะนำตัวให้ฟังหน่อยได้รึเปล่าคะ?”
...มิยูกิยิ้มเล็กน้อยกับคำทักทายที่ดูไม่ใส่ใจนั้น...
เอ...เมื่อกี้นางพูดว่าที่นี่มัน...รอยต่อโลกคนเป็นกับคนตาย? แปลว่าข้ายังไม่ตายหรอกหรือ?
เมื่อความสงสัยแล่นเข้ามา สายตาก็เริ่มลอบมองรอบข้าง
พยายามเก็บรายละเอียดให้มากที่สุด บรรยากาศรอบข้างก็หนักอึ้ง
ไม่ชวนให้อยู่อย่างไรก็ไม่รู้ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าต้องตอบคำถามคู่สนทนาเสียก่อน
จึงปรับสีหน้าอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเป็นมิตร
“นามของข้าคือ...โควเมียวโจว
มิยูกิ...ยินดีที่ได้รู้จักนะ ว่าแต่...ท่านมีนามว่ากระไรหรือ
ข้าควรเรียกท่านอย่างไรดี?”
“นามไพเราะดีนะคะ..แต่ไม่เหมาะกับคนไร้ค่าเช่นท่านเลยนี่สิ..”
เสียงหวานกล่าวราวเสียดายสุดซึ้ง เธอเก็บหนังสือเล่มหนาในมือไป
หันมาประกบมือเหนืออกแล้วเอียงคอมองคนตรงหน้าด้วยนัยน์ตาประกายระยับ “จะว่าอะไรไหมคะ หากข้าอยากเอ่ยถามอะไรท่านเสียหน่อย”
ใบหน้าของมิยูกิปรากฏรอยยิ้มแหยเมื่อได้ยินคำว่าไร้ค่า...
เจอกันไม่ทันถึงนาที...พูดกันต่อหน้าเช่นนี้เลยหรือนี่...
แต่มันก็คงอยู่เพียงชั่ววูบเท่านั้นก่อนจะเปลี่ยนเป็นหม่นหมอง
แต่...ก็คงจริงอย่างที่นางว่าละนะ...กับคนที่หนีมาอย่างเรา...คงจะ...
เพราะฉะนั้น...เราต้องหาความหวังใหม่ที่นี่ให้เจอให้ได้!
ดวงตาหลับแน่น
ขบริมฝีปากเล็กน้อย...ก่อนจะสะดุ้งเมื่อตนเองลืมตอบคำถามอีกแล้ว
เอ่ยตอบกลับไปทันที
“ย่อมได้...แต่จะตอบได้หรือไม่...นั่นขึ้นอยู่กับว่าคำถามของท่านคืออะไรด้วย...”
ร่างบางหัวเราะกลั้วขบขันเสียเหลือเกิน
“ได้หรือไม่ท่านไม่ได้มีสิทธิ์ตัดสินใจแต่แรกแล้วล่ะค่ะ
อ๊ะ..จริงสิ..เวลาของเรามีไม่มากนี่นา” เธอเอียงคอไปมา
ท่าทางจะเสียดายไม่น้อยที่อดหยอกเย้าสตรีตรงหน้าตนต่อ “คำถามข้อแรกนะคะ..รู้รึเปล่าคะว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ใด?”
ดวงตาของมิยูกิฉายแววครุ่นคิด
สบตากับอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยตอบอย่างไม่แน่ใจนัก
“เมื่อครู่ท่านบอกว่า...ที่นี่คือรอยต่อระหว่างโลกคนเป็นและคนตาย...นอกจากนั้นแล้ว...ข้าก็มิรู้หรอก...ข้าเพิ่งมาถึงนี่นา...”
แต่ที่ข้าบอกได้แน่ๆ...คือที่นี่ไม่น่าอยู่เอาเสียเลยน่ะสิ...
ท่านย่า...โซเซย์...พวกท่านอยู่ที่ไหนกันนะ...
ข้าจะได้เจอพวกท่านใช่ไหม?
มิยูกิคิด
แน่นอนว่าทำเพียงแค่คิด
ไม่ได้เอ่ยถึงความรู้สึกอึดอัดและความกังวลเหล่านี้ออกไปให้อีกฝ่ายได้ยิน
ยิ้มบางระบายลงบนดวงหน้าหวานซึ้งทว่ากลับดูว่างเปล่า
ดูแล้วคำตอบคงไม่เป็นที่พึงพอเสียเท่าใดนัก “งั้นหรือคะ..เช่นนั้นแล้ว
หากว่าต้องติดอยู่ในสถานที่แห่งนี้ตลอดกาล จะทำเช่นไรงั้นหรือคะ?”
“ตลอดกาล...งั้นหรือ...”
มิยูกิทวนคำ หลับตาลงช้าๆ สองมือประกบกันราวอธิษฐาน
ในขณะที่ย้อนนึกถึงการตัดสินใจของตน “...ข้าเองก็ไม่ทราบหรอก
เพราะข้ายังมิรู้เลยว่าที่นี่เป็นสถานที่แบบใด
หากรู้ก็ถึงเวลานั้นคงจะตอบได้กระมัง...แต่ข้าบอกได้แค่เพียงว่า
นี่เป็นหนทางที่ข้าเลือกเดินเองด้วยเหตุผลส่วนตัวของข้า...เพราะฉะนั้นไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร...ข้าก็ขอรับมันไว้เอง...”
“เหเห..งั้นหรือคะเนี่ย..เป็นคำตอบที่ดีจริงนะคะ”
หล่อนยิ้มไม่หุบ มือบางยกขึ้นตบแปะๆ
ทว่ากลับไม่ได้ให้ความรู้สึกยินดีด้วยเลยสักนิด..มันเหมือนกับ..กำลังเยาะเย้ยเสียมากกว่า
“คิดว่าตนเคยทำอะไรที่ผิดพลาดมาบ้างไหมคะ? อับอายกับสิ่งใด รู้สึกผิดกับสิ่งใด
แล้วสิ่งใดที่มันราวกับว่าเป็นฝันร้ายสำหรับท่านน่ะ”
มิยูกินิ่งงันไปกับคำถาม...ทำผิดงั้นหรือ?
อับอายงั้นหรือ? รู้สึกผิดงั้นหรือ...
นางยิ้มโศกเศร้า
ก่อนเอ่ยเสียงสั่นเครือ...
“หากการปลิดชีวิตตนเป็นการทำผิด...ข้าก็คงทำผิดพลาดไป
แต่ข้าไม่เสียใจหรอกนะ...เพราะข้ามองไม่เห็นความหวังอันใดในโลกใบนั้นอีกต่อไปแล้ว...”
มิยูกิสูดหายใจลึก
ทิ้งให้ความเงียบคั่นกลางระหว่างทั้งสองครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ
“...ส่วนจะรู้สึกผิดกับสิ่งใด...ข้ารู้สึกผิดต่อท่านย่า
โซเซย์...คู่หมั้นของข้า และลูกของข้าเหลือเกิน
ทั้งที่ข้าควรจะมีชีวิตอยู่ต่อในส่วนของพวกเขาที่ได้ด่วนจากโลกนั้นไปแล้วแท้ๆ...แต่ข้ากลับ...ทำเรื่องเช่นนี้ได้...”
ยิ่งนึกถึง...น้ำตาที่พยายามเก็บกลั้นมาตลอดก็เริ่มรื้นไหล...ก่อนจะไหลอาบแก้มใสลงมาช้าๆ
ท่านย่า...โซเซย์...ลูกแม่...ข้าขอโทษ...
ข้าขอโทษ...
คราวนี้รอยยิ้มนั่นเลือนหายไปจากใบหน้า..หญิงสาวร่างโปร่งเอียงคอแล้วหัวเราะกลั้วในลำคอ
ก้าวเท้าเดินเข้ามานาบฝ่ามือลงบนแก้มเนียนใสของอีกฝ่าย “ข้อสุดท้ายนะคะ..” ดวงตากลมงดงามสบลึกเข้าไปในนัยน์ตาของอีกฝ่าย
ก่อนเธอจะโน้มตัวลงกระซิบข้างใบหู
แล้วเลือนหายไปราวกับเศษฝุ่นละอองในธาตุอากาศยามเมื่อได้ยินคำตอบจากริมฝีปากของอีกฝ่าย
“ถ้าเกิดว่า...ดันเกิดความสัมพันธ์กับใครบางคนในที่แห่งนี้ขึ้นมาล่ะคะ?
ถึงยามจากลา ท่านยังกล้าที่จะจากลาไปอยู่รึไม่?”
ความสัมพันธ์...งั้นหรือ...
ภาพที่นางเคยคุยกับท่านย่า
เคยหัวเราะพร้อมกับโซเซย์ฉายชัดในความทรงจำ...
นั่นก็เป็น...ความสัมพันธ์สินะ...
“แปลกหรือ?
ในเมื่ออยู่ร่วมกัน...จะก่อเกิดความสัมพันธ์ก็ย่อมเป็นเรื่องปกตินี่...”
แต่หลังจากมองสีหน้าของอีกฝ่าย นางก็พอจะเข้าใจความนัยของคำถามเมื่อครู่
“...ข้ามาที่นี่...เพื่อมาตามหาความหวัง...หากความสัมพันธ์กับใครคนนั้น...กลายเป็นความหวังใหม่ของข้า
ไม่แน่ว่าข้าอาจจะไม่อยากจากลาก็เป็นได้...”
มิยูกิยิ้มน้อยๆ
“แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องของอนาคต...จะให้บอกชัดไปเลยตอนนี้...ข้าทำไม่ได้หรอก...”
TALK
อะแฮ่ม! สวัสดีนะคะ
ไรท์ชื่อไนท์แมร์ค่ะ
- ยูกินะเจ้าเก่าเองค่ะ // โค้ง
ขอถามคำถามเบสิคนะคะ ทำไมถึงมาสมัครเรื่องนี้เหรอคะ?
- พล็อตน่าสนใจเช่นเดิมค่ะ ทั้งย้อนยุคและทำลายตับไต
ว่าแต่ทำไมถึงเลือกคู่นี้ล่ะคะ ชอบอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า
- มันทำให้เรานึกถึงซีรีย์นึงที่ติ่งอยู่น่ะค่ะ ที่มีมาสคอตเป็นหมีสองสีอัปมงคล // แค่ก...อีกอย่างก็ชอบคอนเซปต์คู่นี้จากหน้าคาร์แรกเตอร์ด้วย...
เรื่องนี้พล็อตเรื่องน่ารักไสๆ (?) มากค่ะ---โอเค..ไม่หลอกแล้ว—พล็อตเรื่องสร้างมาเพื่อทำลายตับนะคะ ไม่มีBad End แต่กึ่งๆ นี่มีแน่นอนค่---ทำใจล่วงหน้าแล้วรึยังเอ่ย?
- เรียบร้อยค่ะ รู้ตั้งแต่หน้าบทความแล้ว...
นิยายเรื่องนี้ดราม่านะคะ โรแมนติกมี แต่อาจพบเจอความหม่น ความเลือด
ความดราม่าทลายตับมากกว่าแบบอัตราส่วนชวนกรี๊ดสุดๆ ซื้อตับสำรองกันมารึยังคะ? (..)
- ซื้อมาแล้วค่ะ ถ้าไม่พอว่าจะปล้นท่านไนท์แมร์เอา // ผิด //
ล้อเล่นค่ะ
ถ้าเกิดไม่ติดนี่...จะไม่เอาระเบิดมาทิ้งบ้านไรท์ใช่ไหมคะ #กลัว (?)
- ไม่ทิ้งหรอกค่ะ เอาพลุไฟมาจุดเล่นใส่คุ้มกว่า(?)
ยังไงสุดท้ายนี้
ขอปิดบทสนทนาด้วยการขอบคุณสามทีงามๆ นะคะ //โค้ง—
- ขอบคุณที่เปิดฟิคดีๆนะคะ
ยังไงก็รับมิยูกิไว้พิจารณาด้วยนะคะ
ความคิดเห็น