ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My room :)

    ลำดับตอนที่ #108 : 〖KNB〗右肩の蝶 [2]

    • อัปเดตล่าสุด 18 ธ.ค. 59


    APPLICATION


    If I were to be a thing,

    I would be the intersection of two parallel lines,

    Namely, Truth and Deceit, Light and Darkness.

     Impossible? Yes...that's what I am...

    Because I am the one who should never exist in this world.


    หากตัวฉันนั้นเป็นสิ่งของ...

    ฉันคงจะเป็นจุดตัดระหว่างเส้นขนานสองเส้น

    เส้นที่ถูกเรียกขานว่า ความจริงและความลวง แสงสว่างและความมืด

    เป็นไปไม่ได้งั้นเหรอ? ใช่สิ...นี่คือสิ่งที่ฉันเป็นยังไงล่ะ...

    เพราะฉันคือคนที่ไม่สมควรมีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้






    "เรื่องบางเรื่อง...ไม่รู้จะดีกว่านะคะ รุ่นพี่..."



    บท : สมบัติของขั้วอำนาจ 08 หรือสมบัติของพี่เหยี่ยวตาไวนั่นเอง...

    นามสกุล - ชื่อ : Akechi Shion [อาเคจิ ชิอง] [แปลว่า ดอกชิองแห่งปัญญาอันเจิดจรัส]

    ชื่อเล่น : ไม่มี

    เพศ : หญิง

    อายุ : 16

    สัญชาติ : ญี่ปุ่น

    ชั้นปี : 2

    ลักษณะรูปร่างหน้าตา : เด็กสาวผู้มีรูปร่างหน้าตางดงามถอดแบบผู้เป็นแม่มาไม่มีผิดเพี้ยน รูปร่างเพรียวสวยสง่า แขนขาเรียวยาวไร้รอยตำหนิชวนให้อิจฉา ผิวเป็นสีขาวนวลมีสีเลือดฝาด ดวงหน้ารูปไข่มีดวงตาสีเขียวคู่คมที่ล้อมด้วยแพขนตาหนาอย่างเป็นธรรมชาติ จมูกโด่งรั้นพองาม ริมฝีปากบางเป็นสีพีชอ่อนๆ แก้มมีสีระเรื่อ รวมเป็นใบหน้าที่น่ามองไปเสียหมด แม้ว่าจะมีแว่นตากรอบหนามาบดบังความงามนี้ไปบางส่วนก็ตาม แต่กลับเสริมให้เธอดูลึกลับยิ่งขึ้น เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนที่ยาวจนถึงกลางหลังที่ล้อมกรอบหน้าก็ยิ่งเสริมให้ชวนมองยิ่งกว่าเก่า สูง 166 เซนติเมตร หนัก 49 กิโลกรัม

     

    ลักษณะการพูด : ชิองเป็นเด็กสาวที่พูดจาสุภาพ แต่ก็ไม่ได้จัดว่าสุภาพจ๋าขนาดที่ว่าจะต้องมีคำลงท้ายทุกครั้ง หากมีคำลงท้ายแปลว่าคุยกับคนที่ไม่ได้สนิทสนมมากเท่าไหร่ หรือกับผู้ใหญ่โดยมาก แต่หากเป็นคนสนิทจริง...ต่อให้อีกฝ่ายอายุมากกว่า หากเขาไม่ถือ เธอก็จะพูดแบบไม่มีคำลงท้าย แต่ก็ไม่ได้ลามปามอะไร แต่มันจะฟังดูเป็นกันเองมากกว่า น้ำเสียงมักจะมักจะแฝงแววบางอย่างที่กระตุ้นให้คนที่ฟังอยากรู้และสงสัย บ้างก็ผสมความกวนประสาท ยินดี ประชดประชัน หงุดหงิด หรือแม้แต่ความหม่นหมองลงในน้ำเสียงตามแต่อารมณ์ที่พูดในเวลานั้น แต่ก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ชัดเจนเกินไป เป็นเหมือนหมอกบางๆที่พอจับได้ แต่ไม่ได้เด่นชัด หากโกรธน้ำเสียงจะเย็นมากจนชวนให้ขนหัวลุก แต่หากเสียใจ...น้ำเสียงจะนิ่งเหมือนเดิม แต่ดวงตาจะเศร้าสร้อยเหมือนจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ

    มักแทนตัวเองว่า “ฉัน” แทนคนอื่นมักจะพูดตำแหน่งของบุคคลนั้น เช่น “อาจารย์” “รุ่นพี่” “ผู้หมวด” แต่เวลาต้องการจะเฉพาะเจาะจงจะเรียกชื่อ สรรพนามที่ใช้คือ “เขา” “เธอ” “นาย” เป็นต้น

    ตัวอย่างคำพูด

    “ฉัน...อาเคจิ ชิอง” (แนะนำตัว พร้อมคำนับตามมารยาท)

    “เรื่องบางเรื่อง...ไม่รู้จะดีกว่านะคะ รุ่นพี่...” (พูดกับทาคาโอะ???)

    “มาถามฉันทำไม...ในเมื่อเธอมีคำตอบในใจอยู่แล้ว...” (ถามกลับเวลามีใครมาขอความเห็น?)

    “...ความลับน่ะ มันมีค่าเพราะมันถูกเก็บรักษาไม่ให้โดนเปิดเผยแม้มีคนพยายามจะเปิดโปงมัน เพราะถ้ามันไม่ใช่ความลับ...ก็จะไม่มีใครขวนขวายหาทางเปิดเผยมันหรอก...” (ตอนพูดเข้าใจยากๆ)

    “...ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เองสินะ ใจจริงของเธอ...งั้นจากนี้ เราไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันเลยคงจะดีกว่า” (ตอนโกรธ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นๆ)

    “...ในที่สุด ปมปริศนาก็คลายออกแล้ว...” (พูดตอนแก้ปริศนาได้ ด้วยน้ำเสียงยินดีนิดๆ)

     

    นิสัย : อาเคจิ ชิอง...เด็กสาวผู้เมื่อมองภายนอกแล้วก็เป็นเพียงเด็กสาวหน้าตางดงามดึงดูดที่มักมีสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่ยินดียินร้าย ยากแก่การเดาความคิด นอกจากนั้นยังมีบุคลิกที่ดูสง่างามสงบนิ่ง กิริยามารยาทดูสุภาพแต่ก็ไม่ได้เรียบร้อยขนาดที่ว่าเป็นผ้าพับไว้ และยังทำตัวดูเป็นผู้ใหญ่กว่าวัยอีกด้วย แต่นั่นมันก็แค่สิ่งที่ทุกคนเห็นจากภายนอกเท่านั้น เบื้องลึกเบื้องหลังของเธอยังมีอะไรให้ค้นหาอีกเยอะ...

     

    จากบุคลิกภายนอกแล้ว ชิองเป็นคนเงียบๆ คือพูดน้อย และไม่ค่อยสุงสิงอะไรกับใครเท่าไหร่นัก ทำให้หลายคนลงความเห็นว่าเธออาจเป็นพวกไม่เข้าสังคม...ซึ่งก็ถูกครึ่งหนึ่ง เธอไม่ชอบยุ่งกับคนอื่นนัก...โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่มีเหตุจำเป็นใดๆ เพราะบทเรียนที่ผ่านมามันสอนเธอได้ดีเหลือเกินว่าผลของการเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่นมากไปมันจะเป็นอย่างไร แต่อีกครึ่งหนึ่งที่ผิดคือ ไม่ใช่เธอไม่เข้าสังคม แต่ เลือกที่จะไม่เข้ามาต่างหาก เห็นแบบนี้ชิองเองก็มีเส้นสายและคนรู้จักที่ไว้ใจได้พอสมควร เพียงแต่ไม่ได้เปิดเผย และที่สำคัญคือ...ใช่ว่าสังคมของเธอจะมีแค่ในโทเอนแห่งนี้เสียหน่อย ขอแค่คนที่เข้าใจเธอจริงๆเพียงไม่กี่คนก็พอ ดีกว่ามีเยอะแต่พึ่งพาหรือเชื่อใจไม่ได้เลยสักคน เธอคิดแบบนี้ จะบอกว่าเธอให้ความสำคัญกับเรื่องความสัมพันธ์มากก็ไม่ผิด เพราะหากเป็นคนที่ชิองเห็นว่าสำคัญ เธอจะดูแลใส่ใจดีและคอยเป็นห่วงเป็นใยจากใจจริง แต่ถ้าไม่สนใจคือไม่สนใจไปเลย...

     

    ความเงียบของใครหลายคนอาจซ่อนอะไรบางอย่างไว้ ชิองเองก็เป็นหนึ่งในนั้น สิ่งที่เธอซ่อนไว้จากสายตาผู้คนภายนอกนั้นมีมากมาย ทั้งเรื่องดีและร้ายปนกันไป แต่อย่างหนึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ คือความเงียบงันของชิองนั้นไม่ได้ทำให้เธอจืดชืดหรือจืดจางจนละลายหายไปกับอากาศแต่อย่างใด กลับเสริมเสน่ห์ให้เธอดูลึกลับน่าค้นหา อาจเป็นเพราะความสามารถหรือสิ่งที่ซ่อนเร้นในตัวเธอ หรือท่าทีของเธอในบางครั้งมันฉายประกายชวนให้ผู้คนอยากค้นหาไปซะนี่...

     

    หากจะพูดถึงสิ่งที่ชิองซ่อนไว้...อยากแรกเลยคือหัวสมองอันเฉียบแหลมเฉียบคม ซึ่งสิ่งนี้จะว่าเป็นความลับก็คงพูดไม่ได้เต็มปากเท่าไหร่ เพราะส่วนหนึ่งได้แสดงออกทางผลการเรียนอันยอดเยี่ยมของเธอในทุกด้านไม่ว่าจะทำสิ่งไหนก็ออกมาก็ล้วนแล้วแต่ทำได้ดี ซึ่งก็อาศัยทั้งพรสวรรค์และพรแสวงในตัว แต่เธอไม่สนใจเรื่องกิจกรรมใดๆ ก็แค่เข้าร่วมพอเป็นพิธีเฉพาะอันที่จำเป็นเท่านั้นแหละ ไม่รับและไม่สนใจงานราษฎร์งานหลวงใดๆแม้ว่าจะมาพร้อมตำแหน่งและอำนาจก็ตามหากไม่ใช่อะไรก็ตามที่เป็นหน้าที่ของเธอที่จำเป็นต้องทำ หลายคนบอกว่าเธอหยิ่ง...เก่งแล้วไม่ยอมใช้ความสามารถ...แต่แล้วมันทำไมล่ะ? แล้วเรื่องอะไรเธอจะต้องใช้มันล่ะ? ไม่มีความจำเป็น เธอก็ไม่ทำหรอก แต่ถ้าหากเป็นเรื่องที่สนใจแล้วล่ะก็...มันจะกลายเป็นคนละเรื่องไปในทันที เพราะต่อให้ไม่มีใครเชิญ เธอก็จะพาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องให้ได้อยู่ดี เป็นพวกที่ถ้าสนใจในอะไรแล้ว ต่อให้มันอันตรายหรือทุกคนห้ามก็จะหาทางกระโจนเข้ามาร่วมให้ได้แบบเงียบๆอยู่ดี

     

    นอกจากเรื่องหัวดีทางการเรียนแล้ว ชิองยังเป็นพวกคิดวิเคราะห์ได้ล้ำลึก มองอะไรขาดกว่าคนทั่วไป อีกทั้งเป็นคนช่างสังเกต ซึ่งในจุดนี้คนทั่วไปจะไม่ค่อยรู้นักเพราะไม่มีอะไรที่จะทำให้เธอแสดงความสามารถเรื่องนี้ออกมาตรงๆ ด้วยความที่มีสายเลือดของนักสืบและเรียนรู้การทำงานของนักสืบมาตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้เรื่องนี้เป็นเหมือนพรสวรรค์เฉพาะตัวของเธอเลยก็ว่าได้...และนี่เองคือหนึ่งในสิ่งที่ชิองซ่อนไว้ เธอซ่อน ความจริงและเบื้องหลังของมัน ที่คนอื่นไม่รู้ไม่เห็นเอาไว้ในคำตอบจากการคิดวิเคราะห์ของเธอ และไม่คิดจะบอกใคร...

    ก็มันไม่จำเป็นต้องรู้นี่นา...

     

    สิ่งที่สองที่ชิองซ่อนไว้...คือ อารมณ์ความรู้สึก ชิองเป็นคนที่ใจเย็น...ใจเย็นมากจนน่ากลัวว่าจะโกรธไม่เป็น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ยังคงท่าทีสุขุมเยือกเย็นไว้ได้ตลอดเวลาอย่างเป็นธรรมชาติ แสดงอาการเพียงนัยน์ตาที่เบิกกว้างเล็กน้อยหรือเลิกคิ้วแทนความตกใจเท่านั้น ทั้งที่จริงแล้ว...เธอก็แค่ประสาทแข็งกว่าคนทั่วไปมากแค่นั้นเอง อย่างที่บอกไปแล้วว่าบ้านเธอเป็นนักสืบ จึงทำให้ชิองได้รับรู้และพบเห็นเรื่องไม่คาดฝันและโหดร้ายเกินกว่าเด็กวัยเดียวกันมาตั้งแต่ยังเล็ก ศพเละๆเธอยังเคยเห็นมาแล้ว ฆาตกรใจโหดเธอก็ยังเคยเจอ ทำให้เรื่องน่าตื่นเต้นตกใจส่วนใหญ่กลายเป็นธรรมดาไม่ก็ขี้ปะติ๋วทันทีในสายตาชิอง เธอจึงไม่ตกใจยังไงล่ะ...เรียกว่าชินชาก็ได้ล่ะมั้ง...แต่ความรู้สึกรักโลภโกรธหลงและเศร้าเสียใจในฐานะที่เป็นมนุษย์ก็ไม่ได้หายไปไหนเลย เพียงมันต้องการการกระตุ้นที่มากกว่าคนธรรมดาเพื่อให้แสดงออกมาเท่านั้น เรียกว่าใจแข็งก็ไม่ผิด และเมื่อเวลานั้นมาถึง...เธอก็จะเป็นเพียงแค่เด็กสาวทั่วไปคนนึง...ไม่ใช่ไร้อารมณ์อย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ

     

    ชิองโกรธคนยาก และหายยากพอๆกัน เนื่องจากอย่างที่บอกไปแล้วว่าต้องมีอะไรที่รุนแรงมากจริงๆมากระตุ้น เพราะงั้นสิ่งที่ทำให้เธอโกรธจะต้องเป็นเรื่องใหญ่จริงๆและพอเป็นเรื่องใหญ่...เธอก็ไม่ยอมลงให้ง่ายๆหรอก เรื่องอะไรล่ะ? ถึงความอดทนจะสูง โกรธยากแค่ไหน ใช่ว่าจะโกรธไม่เป็นเสียหน่อย ส่วนวิธีแสดงออกว่าโกรธออกชิองคือคือตอกหน้าอย่างเจ็บแสบแบบที่อีกฝ่ายพูดไม่ออก และทำเหมือนคนๆนั้นไม่มีตัวตนอีกต่อไป...วิธีง้อก็...เอาเป็นว่าต้องมีเหตุผลแล้วหาทางไปคุยให้ได้ แต่จะได้คุยไหมไม่รู้ เพราะก็อย่างที่บอกไปว่าทำเป็นไม่มีตัวตน เธอจะไม่พูดกับคนๆนั้นเลยค่ะ...หาทางเอาเองละกัน...

     

    ชิองเหมือนเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจอะไรเป็นพิเศษ กับคนอื่นส่วนมากก็มักจะเฉยๆหากไม่ได้ข้องเกี่ยวด้วย แต่ที่จริงแล้วในตัวกลับมีสิ่งที่เรียกว่าความหลงใหลที่ค่อนข้างรุนแรงซ่อนอยู่ ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลใดๆ คือชอบแล้วก็ชอบไปอย่างนั้นเลย ซึ่งสิ่งที่เธอหลงใหลนั้นมีอยู่ไม่กี่อย่าง หลักๆคือ ปริศนา...เธอหลงใหลเพราะคิดว่ามันมีเสน่ห์รอให้เธอไปค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ในนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอมีสายเลือดนักสืบอย่างแท้จริง และมายากล...ซึ่งความหลงใหลของชิองไม่ได้แสดงออกมาโต้งๆอย่างเห็นเด่นชัด แต่หากใครสังเกตพฤติกรรมของเธอดีๆก็ไม่ยากนักที่จะเดา...ก็จะมีเด็กวัยรุ่นม.ปลายสักกี่คนกันเชียวที่จ้องศพด้วยสายตานิ่งคิดวิเคราะห์ ไม่ใช่สายตาหวาดกลัวกันล่ะ...ในส่วนของมายากลนั้น ชิองปิดความหลงใหลส่วนนี้ไว้เป็นความลับ กระทั่งกับแม่ของตนเอง...เรื่องนี้มันมีสาเหตุ แต่เธอก็ไม่คิดจะบอกมันกับใคร...ให้มันหลับใหลเป็นความลับต่อไปแหละดีแล้ว...

     

    อีกเรื่องที่ทุกคนไม่รู้คือ...แม้ชิองจะเป็นคนที่ทำตัวเหมือนมีเหตุผลตลอดเวลา ดูสุขุมเยือกเย็นเป็นผู้ใหญ่ แต่ความจริงแล้วชิองเป็นพวกประเภทใช้หัวใจมากกว่าสมอง เป็นคนที่ถ้าหัวใจเรียกหาว่าอยากแล้วจะไม่สนเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น อย่างเช่นสืบคดี...รู้ว่ามันอันตราย แต่ความหลงใหลในปริศนาก็ผลักดันให้เธอเข้ามารับความเสี่ยงนี้ด้วยความเต็มใจ เรื่องที่เธอใช้เหตุผลและสมองคือเรื่องที่มันต้องใช้ตรรกะจริงๆเท่านั้น ไม่ใช่ว่าจะมั่วเอาได้ แน่นอนว่าที่พฤติกรรมของเธอเป็นแบบนี้ก็เพราะใจเธอมันสั่งมาเช่นเดียวกัน...เห็นแบบนี้จริงๆแล้วเป็นคนคิดมากพอตัวเหมือนกัน...ก็เธอรู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น รู้มากไป...บางทีมันก็ไม่ดีนะ...ตรงที่ต้องมาลำบากใจอยู่คนเดียวเพราะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ความจริงที่แท้เป็นอย่างไร โดยที่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้เลย...

     

    แม้ปกติชิองจะไม่ค่อยพูดจา แม้กระทั่งกับเรื่องที่ตนเองสนใจก็ยังไม่ค่อยพูดเลย มักจะแค่พึมพำกับตัวเองเสียมากกว่า แต่ก็ใช่ว่าเธอเปิดปากแล้วจะได้ข้อมูลอะไรมาก เพราะชิองเป็นคนที่พูดแบบมีความนัย คือจะไม่ค่อยพูดอะไรออกมาตรงๆเท่าไหร่ จะเรียกว่าพูดอะไรเข้าใจยากก็ไม่ผิดเลย บางทีถามไปเจอถามกลับ ไม่ก็ งั้นเหรอ หรืออะไรทำนองนี้จนหลายคนงงว่าตกลงเธอต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ แต่หากบทเธอจะพูดอะไรจริงจังก็มีเหมือนกัน แต่ก็ใช่ว่าเธอจะเถรตรง...เห็นแบบนี้ก็มีลูกล่อลูกชน ความเจ้าเล่ห์ซ่อนอยู่ใช่เล่นเหมือนกัน แอบเป็นจอมวางแผนนิดๆด้วย แต่พอมาเรื่องความรู้สึกจะไปต่อไม่ค่อยเป็น ดังนั้นหากสนทนาหัวข้อนี้กับเธอ เธอจะเงียบมาก เผลอๆเดินหนีอีก แถมยังเป็นพวกซึนเดเระกับความรู้สึกบางอย่างอีกด้วย ว่าง่ายๆเรื่องความรู้สึกไม่ควรเชื่อถือคำพูดที่ออกมาจากปากเธอเป็นสำคัญ แต่ควรดูที่การกระทำของเธอมากกว่า อีกทั้งยามปากร้ายก็น่าจับปิดปากสวยๆนั่นเหลือเกิน แม้จะทำได้ยากเพราะเธอไม่ชอบให้ใครมาถูกเนื้อต้องตัวนัก และหากทำไม่ขอรับประกันความปลอดภัยใดๆ...เนื่องจากเห็นแบบนี้...เธอเก่งคาราเต้นะขอบอก...แม้จะไม่ค่อยเอาออกมาใช้ก็เถอะ

     

    ชิองจริงๆ เป็นคนยิ้มสวย แต่อย่างที่เคยกล่าวไปว่าสีหน้าของเธอมักจะสุขุมตลอดเวลา แต่ก็อาจแสดงอารมณ์บางเล็กน้อย เช่น ขมวดคิ้ว ยิ้มมุมปาก ยิ้มตามมารยาท เป็นต้น ซึ่งก็อาจจะเป็นทั้งความรู้สึกจริงหรือการประชดประชันก็ได้ หากอยากรู้ว่าที่เธอทำนั้นเป็นของจริงหรือแค่การแสดง...ให้ดูที่แววตาของเธอว่าตรงกับสีหน้าหรือเปล่า ถ้าตรงล่ะก็ใช่เลย แต่ถ้าไม่ตรงก็...แปลได้ว่าแสดงล่ะนะ แต่ต้องใช้ทักษะพอสมควร เพราะเธอก็เรียนรู้การอ่านสีหน้าท่าทางมาบ้าง เลยกลบเกลื่อนเนียนพอควร ระวังไปอ่านเธอมากๆเข้าจะโดนอ่านกลับนะ...

     

    ชิองเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงมาก และยากแก่การเดาความคิดของเธอเป็นอย่างยิ่ง ไม่แปลกใจหากจะเห็นเธออยู่ได้ทั้งวันทั้งคืนเพียงเพราะหนังสือเล่มเดียว เป็นพวกที่ถ้าจดจ่อกับอะไรแล้วจะตัดโลกไปนอกออกไปหมด ชนิดที่ว่าแทบจะไม่รู้สึกเลยว่าเกิดอะไรขึ้นรอบข้างบ้าง เพราะเวลานี้สมาธิและจิตใจของชิองจะจดจ่อเป็นจุดเดียว ไม่มีอะไรสามารถแย่งไปได้ทั้งนั้น จนกว่าจะได้ความคิดสรุปรวบยอดที่พอใจเท่านั้นแหละถึงจะหลุดออกมาจากสภาวะนี้ได้

     

    ชิองเป็นเด็กสาวที่ทุกคนลงความเห็นว่าทำตัวลึกลับ บางทีก็เข้าข่ายน่าสงสัย จนมีคำกล่าวขานว่าเธอคือตำนานที่มีอยู่จริงแห่งโทเอน ความลึกลับของเธอนั้น...คือการที่นอกจากข้อมูลพื้นฐานของเธอแล้ว ไม่มีใครรู้อะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวของเธอเลยแม้แต่คนเดียว (หรือต่อให้มี คนเหล่านั้นก็ไม่คิดจะบอกใคร สหายที่ดีย่อมรักษาความลับของกันและกันอยู่แล้ว) กระทั่งสีที่เธอชอบยังไม่ค่อยจะมีคนรู้เลย เวลาพักก็หาตัวไม่ค่อยจะเจอ กลับบ้านก็ไม่รู้ไปที่ไหน เรียกได้ว่าเก็บความลับเก่งมากก็ไม่ผิด อาจกล่าวได้ว่าทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชิองล้วนเป็นปริศนาชิ้นเยี่ยมที่กระตุ้นให้ทุกคนอยากรู้ เพื่อรอวันที่ความจริงจะถูกไขออกมา แล้วพ่อค้าข่าวแห่งโทเอนคนนั้น...มีหรือจะไม่สนใจ?

     

     

    ประวัติส่วนตัว : หากจะกล่าวถึงเรื่องราวของ อาเคจิ ชิองแล้วล่ะก็...คงเริ่มด้วยเธอเกิดมาไม่มีพ่อ และไม่เคยรู้ว่าพ่อของตนเองเป็นใคร แม่ของเธอ อาเคจิ สุมิเระ เป็นนักสืบที่อดีตเคยเป็นตำรวจหน่วยสืบสวนมือฉมัง แต่ลาออกมาด้วยสาเหตุบางประการที่ไม่มีใครทราบ แม้กระทั่งเจ้านายเก่าของแม่ แต่ถึงอย่างนั้น แม่ของเธอก็ยังมีงานจากกรมตำรวจเรื่อยๆ ทำให้ในบ้านไม่ขาดเหลืออะไร แม้แม่ของเธอบางทีจะไม่อยู่บ้านทีสองสามวันบ้าง เวลานั้นสุมิเระมักจะเอาชิองไปฝากไว้ที่โรงฝึกคาราเต้ของเพื่อนที่รู้จักกัน ทำให้ชิองได้เรียนคาราเต้ตั้งแต่ยังเล็ก แต่เมื่อสุมิเระกลับมาจากการทำงานก็จะมอบเวลาทั้งหมดให้ลูกสาวคนเดียวอย่างชิองเสมอ ทำให้ชิองโตมาเป็นเด็กสาวที่ไม่ขาดความอบอุ่นแต่อย่างใด...อีกทั้งยังสนใจงานของแม่จนชอบการคิดวิเคราะห์ไปด้วย

     

    วันหนึ่ง...แม่ของเธอโดนเรียกตัวออกไปทำงานข้างนอกอย่างกะทันหัน ชิองที่ยังอยู่ในวัยประถมเลยต้องอยู่บ้านที่เป็นสำนักงานนักสืบในตัวด้วยตามลำพัง เลยตัดสินใจจะไปฝึกคาราเต้ที่เดิม และในที่เดินผ่านสวนสาธารณะระหว่างทางนั้นเอง เธอได้เหลือบไปเห็น...ผู้ชายคนหนึ่งที่ใส่หน้ากากปิโอเร่ รอบกายมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับเธอล้อมรอบ ทั้งหมดเงียบกริบและจ้องไปที่ชายหน้ากากคนนั้นเขม็งราวกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง ก่อนที่มือของชายคนนั้นที่เคยว่างเปล่าปรากฏเป็นช่อกุหลาบงดงามราวเล่นกล เรียกเสียงเฮจากเด็กๆที่รายล้อมได้เป็นอย่างดี ตัวชิองเองก็อดจะตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้ ราวกับว่าชายคนนั้นรับรู้ถึงสายตาของเธอ เขาจึงเบือนหน้ามามองทางชิอง ก่อนจะกวักมือให้เข้ามาร่วมวงด้วย...ชิองลังเลเล็กน้อยเพราะเคยสัญญากับแม่ไว้ว่าจะไม่ตามไปไหนกับคนแปลกหน้าหรืออกนอกเส้นทางเด็ดขาด...เลยตัดสินใจวิ่งหนีออกมา ไปยังโรงฝึกซ้อมคาราเต้เพื่อซ้อม...แต่ในใจกลับนึกถึงแต่เรื่องมายากลที่ได้เห็นในตอนนั้น เพราะฉะนั้นตอนเย็นตอนจะกลับบ้าน เธอเลยแอบไปดูตรงสวนสาธารณะอีกครั้ง เผื่อว่าจะได้เห็น...แต่พอไปถึงก็ไม่มีใครแล้ว ตอนนั้นชิองทั้งเสียดายและโล่งอก แต่แล้วก็มีเสียงระเบิดเบาๆและควันจางๆมาจากด้านหลัง เมื่อหันไปก็พบว่าเป็นชายสวมหน้ากากคนนั้นนั่นเอง

     

    “มาดูอีกเหรอครับ คุณหนู...”

     

    “อะ....เอ่อ...คือ...” ชิองไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี จะวิ่งขาก็ก้าวไม่ออก สายตาของคนตรงหน้า แม้จะมองไม่เห็นแต่กลับรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ธรรมดา และเขากำลังยิ้ม “คือ...มายากลของพี่ชาย...มันดีมากเลยค่ะ”

     

    “ขอบคุณสำหรับคำชมนะครับ...แต่พูดแบบนั้นหลังจากที่วิ่งหนีผมไป ทำเอาผมไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นะเนี่ย”

     

    “มะ...ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ...คือ...”

     

    “หึหึ ผมหยอกเล่นครับ...อย่าใส่ใจเลยนะคุณหนู” เขาพูดพลางยื่นมือออกมาด้านหน้า กุหลาบสีสวยโผล่ขึ้นมาในมืออีกครั้งจากความว่างเปล่าทำเอาชิองจ้องตาไม่กระพริบ “ผมให้นี่แล้วกันนะครับ อย่าถือสาเรื่องที่ผมพูดเลย”

     

    มือชิองรับดอกกุหลาบมา เมื่อเงยหน้าตั้งใจจะขอบคุณ ชายคนนั้นก็หายไปแล้ว และเมื่อกลับบ้าน แล้วเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น...ชิองจำได้ดีว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น สีหน้าที่แม่ชะงักค้าง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโศกเศร้าปนโกรธ

     

    “ลูกคงไม่ได้...ชอบมายากลหรอกใช่มั้ย?”

    “เอ๋...มันก็น่าสนุกดีนี่คะแม่...มันต้องมีทริกแน่ๆ ชิองอยากรู้ทริกพวกนั้น”

    “อืม...นั่นสินะ...แต่แม่ว่าอย่าไปยุ่งดีกว่านะ มันดูไม่ค่อยน่าไว้ใจยังไงก็ไม่รู้...”

     

    สีหน้าของแม่ตอนนั้น ชิองจำได้ดี และไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ต้องทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้ด้วย แต่เธอไม่อยากให้แม่ร้อง...ก็เลยรับปากว่าจะไม่ยุ่ง แต่พอได้ดูมายากลจากหลายๆช่องทางแล้ว...ก็อดหลงใหลไม่ได้จนฝึกฝน และยังชอบแอบแวะไปดูกลที่สวนสาธารณะเป็นประจำ จนสนิทกับชายแปลกหน้าคนนั้น น่าประหลาดที่ชิองรู้สึกคุ้นเคยกับเขา...และหากไม่ได้คิดไปเอง เขาเองก็ดูจะใจดีกับชิองมากกว่าเด็กคนอื่นๆเช่นกัน...ความสัมพันธ์เช่นนี้ดำเนินไปอย่างลับๆ...แต่สิ่งที่แปลกใจคือ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ชายคนนั้นก็ไม่เคยถอดหน้ากากให้เธอเห็นเลย ไม่ว่าเด็กๆหรือใครจะรบเร้าแค่ไหน หรือจะอยู่ในอิริยาบถใดเขาก็ไม่ยอมถอดหน้ากากเสียที...

     

    วันหนึ่ง...ชิองก็แอบไปที่สวนสาธารณะเหมือนเดิม และก็พบชายแปลกหน้าคนนั้นอยู่ แต่คราวนี้ไม่มีเด็กๆรายล้อมเหมือนทุกครั้ง เมื่อเขาเห็นชิองเดินมาหาก็พยักหน้าให้

     

    “สวัสดีครับ...วันนี้ก็มาอีกแล้วนะ...”

    “อื้ม...วันนี้จะเล่นกลอะไรเหรอ? ชิองจะจับกลให้ได้เลย!

    “ฮะฮะ...แบบนั้นผมก็แย่สิครับ แต่ว่าแย่จังน้า...วันนี้ผมไม่ได้เตรียมกลใหม่มาให้คุณหนูชมซะด้วย...แต่มีนิทานเรื่องนึงจะเล่าให้ฟังแทน สนใจมั้ย?”

    “เอ...ก็ได้ค่ะ”

     

    และแล้วนิทานก็เริ่มต้นขึ้น...

     

    กาลครั้งหนึ่ง...มีตำรวจหญิงผู้เก่งกล้าผู้ไขได้ทุกปริศนา ไม่ว่าอาชญากรจะฉลาดเฉลียวร้ายกาจขนาดไหน เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเธอแล้ว...ก็มีอันต้องโดนจับได้ทุกครั้ง...

     

    ครั้งหนึ่ง ตำรวจหญิงคนนั้นได้ไปสืบสวนคดีฆาตกรรมต่อเนื่องคดีหนึ่ง เธอสามารถสืบหาตัวคนร้ายได้เช่นทุกครั้ง แต่คนร้ายกลับหนีรอดไปได้ราวกับเล่นกล...เธอเจ็บใจมากจึงสัญญากับตัวเองว่าจะเอาเขาเข้าคุกเพื่อรับโทษให้จงได้

     

    ต่อมาไม่นาน...ตำรวจคนนั้นก็ได้รับสาส์นเตือนการฆาตกรรมจากใครบางคน เมื่อไปถึงก็พบว่าเกิดการฆาตกรรมขึ้นจริงๆ และเมื่อไขปริศนาออกและจับคนร้ายได้ จึงได้รู้ว่า...ผู้คิดแผนให้คนร้ายในคราวนี้ คือ คนร้ายที่ตนปล่อยหนีรอดไปในคราวนั้นนั่นเอง...และเมื่อคดีจบ เขาก็โผล่หน้ามาราวกับจะทักทายและเยาะเย้ย ก่อนจะหายไปราวเล่นกลเช่นครั้งก่อน  ไม่พอยังวางยาคนร้ายที่เขาวางแผนให้จนตายต่อหน้าต่อตาเธอ ด้วยเหตุนั้น เธอรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบ จึงได้ลาออกจากกรมตำรวจ ผันตัวมาเป็นนักสืบแทน...

     

    แต่เหมือนกับโชคชะตาก็ยังคงเล่นตลก แม้ว่าหญิงสาวจะไม่ได้เป็นตำรวจแล้ว แต่ทุกครั้งที่มีแผนฆาตกรรมโดยฆาตกรคนนั้น มักจะมีสาส์นเตือนส่งไปหาเธอเสมอ ทำให้ทั้งคู่ได้เจอกันหลายครั้งหลายคราว ทั้งสองอยู่ในฐานะศัตรู แต่บางครั้งกลับต้องร่วมมือกันเพื่อกันเพื่อหาคนร้ายก็มี ก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์อันแปลกประหลาด

    ดั่งเส้นขนานเคียงคู่ แต่ไร้ทางบรรจบ เมื่อแนวคิดของทั้งสองต่างกันเหลือเกิน...

     

    นักสืบสาวคนนั้นก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมคนๆนั้นดูจะเจาะจงตัวเธอนัก ทั้งที่นักสืบในประเทศก็มีนับพันคน แต่เธอก็ไม่ใส่ใจเพราะคิดเพียงแค่จะหยุดแผนชั่วร้ายของฆาตกรเจ้าเล่ห์คนนี้ให้ได้...จนกระทั่งคดีหนึ่งเกิดขึ้น...

     

    คดีนั้นเป็นคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญในคฤหาสน์ลึกลับ ทั้งนักสืบและจอมวางแผนคนนั้นต่างต้องสืบหาตัวฆาตกรทั้งคู่ แต่แล้วทั้งคู่ก็พลาดท่าโดนวางกับดักจนติดอยู่ในกลไกของตัวคฤหาสน์ ในระหว่างที่คิดหาทางออกกันนั่นเอง...จอมวางแผนคนนั้นก็ได้ทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด...

     

    เขาสารภาพรักกับนักสืบคนนั้น ผู้เป็นดั่งศัตรูคู่อาฆาตของเขาเสมอมา...

     

    ไม่สิ...มันไม่ใช่แค่เพียงความรัก แต่มันคือความหลงใหลอย่างแรงกล้า เหมือนความมืดที่เฝ้ามองแสงสว่างอย่างไม่อาจละสายตา...ใช่...เขาคือความมืดมิดนั่น และแสงสว่างคนนั้นก็ไม่อาจเป็นใครอื่นได้นอกจาก เธอ

     

    แน่นอนว่านักสืบไม่เชื่อ ซึ่งมันก็ไม่ได้เกินความคาดหมายของจอมวางแผนเท่าไหร่...แต่เมื่อความลุ่มหลงนั้นมาถึงขีดจำกัด เขาจึงใช้ทุกสิ่งที่มียึดครองเธอไว้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เต็มใจเลยสักนิดก็ตาม...

     

    เมื่อคดีนั้นจบลง ต่างคนก็แยกทางกันไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...แต่สิ่งผิดคาดอีกอย่างคือ...ในตัวนักสืบคนนั้นได้มีชีวิตน้อยๆ ขึ้นมาอีกชีวิต แม้ว่าเธอจะเศร้าและโกรธเกลียดตัวต้นเหตุขนาดไหน แต่ก็ไม่อาจใจดำทอดทิ้งเด็กน้อยผู้ไม่รู้เรื่องราวใดๆได้ จึงได้คลอดและเลี้ยงเธอออกมาด้วยความรัก โดยปิดบังความจริงเรื่องพ่อเอาไว้...

    ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว พ่อของเด็กน้อยคนนั้นก็ไม่ได้ไปไหนไกล แต่...

    “ชิอง!

     

     

    ยังไม่ทันที่ชายสวมหน้ากากจะเล่าส่วนสำคัญ เสียงเรียกก็ดังขึ้นทำเอาชิองหันขวับ แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นแม่ ยังไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไร แม่ของเธอ...สุมิเระก็พูดขึ้นมาเสียก่อน

     

    “...ชิอง มาหาแม่เดี๋ยวนี้เลย!

     

    ตอนแรกชิองเข้าใจว่าจะโดนทำโทษก็เลยชะงัก แต่พอเห็นแววตาของแม่ที่เหมือนทั้งกลัว โกรธ และเกลียด ที่มองไปยังใครอีกคนข้างตัวเธอแล้ว เธอก็เลยตัดสินใจก้าวเท้าออกไป แต่ชายสวมหน้ากากกลับคว้าข้อมือเธอไว้เสียก่อน

     

    “...ยังใจร้ายเหมือนเดิมเลยนะ...สุมิเระ...ทั้งๆที่เราเองก็เป็นคนคุ้นเคยกันแท้ๆ”

     

    ชายหนุ่มพูดอย่างใจเย็น ก่อนจะถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลา...ที่ชิองรู้สึกคุ้นตา...ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อจำได้ว่าภาพคนตรงหน้าเป็นหนึ่งในรูปที่อยู่ในแฟ้มประวัติอาชญากรรมที่สำนักงาน...

    ทาคาโนะ เรย์โตะ...

    อย่าบอกนะว่า...นิทานเมื่อกี้...

     

    “ปล่อยลูกสาวฉันเดี๋ยวนี้นะ! ทาคาโนะ!

    “...ไม่เห็นต้องกลัวขนาดนั้นเลยนี่ครับ สุมิเระ...เธอก็รู้จักผมดี ผมไม่ฆ่าเด็กหรอก...” ดวงตาสีดำสนิทของเขาหันมามองชิองด้วยนัยน์ตาพราวระยับ “แล้วก็...ต่อให้ผมเป็นอาญชากรใจโหดฆ่าคนตายมามากขนาดไหน...ผมก็ไม่โหดพอที่จะฆ่าลูกสาวตัวเองได้ลงคอหรอกนะ”

    “เอ๊ะ?”

    ...ว่า...ไงนะ?

    คนๆนี้...คือพ่อของเธอ...งั้นเหรอ?

    พ่อของเธอคือ...อาญชากรแบล็คลิสต์อันดับหนึ่งในแฟ้มประวัติของแม่!?

     

    “ชิอง! ไม่ต้องไปฟังที่หมอนั่นพูดนะ!

    “อย่าพูดแบบนั้นสิครับสุมิเระ...คนที่พูดเสมอว่า ไม่ว่าความจริงจะถูกปิดบังหรือโหดร้ายสักเพียงไหน ยังไงความจริงก็ยังเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ ก็คือเธอเองไม่ใช่หรือไงครับ...”

    “แม่คะ...” น้ำตาชิองรื้น ลำคอตีบตันจนพูดอะไรไม่ออก...นี่เป็นความจริงเหรอ?

    พ่อของเธอ...เป็นฆาตกรจริงๆน่ะเหรอ?

    “อึก....ปล่อยชิองมาเดี๋ยวนี้นะ! ทาคาโนะ!

    “ไม่คิดจะให้เวลาพ่อลูกอยู่ด้วยกันหน่อยเหรอครับ...” เขายิ้ม สุดท้ายก็ยกมืออีกข้างที่ว่างเหมือนยอมจำนน “ก็ได้ครับ...เห็นแก่สุมิเระหรอกนะ...” ดวงตาของเขามองไปที่สุมิเระ แล้วเบือนมามองที่ชิองอีกครั้ง “ไว้เจอกันใหม่นะครับ สุมิเระที่รักของผม แล้วก็...ชิองของพ่อด้วย...”

    “ดะ..เดี๋ยวก่อน”

     

    ชิองร้องเรียก แต่ไม่ทันแล้ว เขาปล่อยมือจากเธอ แล้วหายไปกับระเบิดและควัน เมื่อควันจางก็ไม่ปรากฏร่างของทาคาโนะคนนั้นที่ไหนแล้ว...

     

    หลังจากนั้นแม่เธอก็ถลาเข้ามาหา พากลับบ้าน แล้วเล่าความจริงทั้งหมดให้ชิองฟัง ซึ่งก็ตรงกับนิทานที่ทาคาโนะเล่าให้เธอฟังก่อนหน้าแม่จะมาเจอเธอ หลังจากฟังจบ...ชิองกลัวมาก...กลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นแบบพ่อ มันกลายเป็นความหวาดกลัวลึกๆในใจ พร้อมกับความสิ้นหวังน้อยๆ แต่แม่เธอก็ยังเชื่อใจในตัวเธอและบอกว่าเธอจะไม่มีวันเดินตามรอยพ่อ...แต่ชิองเองก็ยังหวั่นๆ...

    พรสวรรค์ทางด้านมายากล และ ความหลงใหลอย่างรุนแรงที่ซ่อนเร้นในตัว...

    ไม่ต้องให้แม่บอกก็รู้...ว่าสิ่งเหล่านี้ในตัวเธอได้มาจากคนๆนั้น...คนที่ได้ชื่อว่าเป็น พ่อ ของเธอ...

    ประกอบกับการที่เธออยู่กับแม่ที่เป็นนักสืบมาตั้งแต่เล็ก...ทำให้บางทีเพื่อนมักมาขอร้องให้ช่วยหาความจริงบางอย่าง แต่สุดท้ายเมื่อความจริงปรากฏ คนที่ถูกเกลียดกลับเป็นเธอที่เอาความจริงมาเปิดเผยซะแบบนั้น...

    ความจริงสองข้อนี้ทำให้ชิองเปลี่ยนไป...จากเด็กสาวที่เคยร่าเริงยิ้มแย้ม กลายเป็นเด็กสาวที่พูดน้อย ไม่สุงสิงกับใคร และทำตัวมีความลับ...ทั้งหมดนี้ก็เพื่อคนอื่นรอบตัว...และเพื่อตัวเธอเองด้วย...

    เรื่องบางเรื่อง...ไม่จำเป็นต้องรู้ก็คงจะดีกว่า...

    แม้ว่าสุดท้ายแล้ว...ไม่ว่าจะถูกซ่อนเร้น โหดร้าย หรือไม่น่าเชื่อสักแค่ไหน...

    ความจริงก็ยังคงเป็นความจริงอยู่ดีก็ตาม...

      


    ความสามารถพิเศษ :

    - เล่นมายากล [เพราะพรสวรรค์ที่ได้รับมาจากพ่อ...ทำให้เธอเก่งด้านนี้ แต่ไม่เคยเอามาโชว์ใครและบอกใคร กระทั่งแม่ของเธอเอง...]

    - คาราเต้ [เพราะโดนจับเรียนตั้งแต่เล็ก ปัจจุบันสายดำแล้ว]

    - การคิดวิเคราะห์และความรู้รอบตัว [เพราะที่บ้านเป็นสำนักงานนักสืบ...และเธอได้เชื้อแม่มาเต็มๆ]

    - ทำอาหาร [เพราะแม่ไม่อยู่บ้านบ่อยๆ เลยต้องฝึกทำ]

    - การสังเกตสิ่งรอบตัว [เหมือนในส่วนคิดวิเคราะห์เลยค่ะ]

     

    ชอบ :

    - หนังสือ [เพราะมันทำให้เธอจดจ่อ อีกอย่างเรื่องราวในนั้นก็น่าสนใจดีจะตาย]

    - ปริศนา [เพราะมันทำให้อยากรู้ว่าต่อไปจะเป็นยังไง เบื้องหลังจะมีอะไรซ่อนอยู่ ความจริงจะเป็นอย่างไร...ต่อให้มันทำใครเจ็บปวดก็ตาม...แต่แล้วยังไงล่ะ?]

    - มายากล [เพราะว่ามันทำให้เธอประทับใจ...และอยากจะรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของมัน แม้ว่าจะมีบางส่วนที่ขัดแย้งในใจเพราะมันทำให้เธอนึกถึงพ่อก็ตาม]

    - ช่วงเวลาสงบๆที่ได้อยู่ตามลำพัง [เพราะมันทำให้เธอสบายใจ...ไม่มีอะไรจะมารบกวนเธอ...]

    - โกโก้ / ช็อกโกแลต  [เพราะมันอร่อย...]

     

    เกลียด : 

    - กุหลาบ [เรียกว่าไม่ชอบจะดีกว่า...เพราะว่ามันทำให้เธอนึกถึงพ่อ...และการพบกันในวันแรกของทั้งสอง]

    - การถูกรบกวนตอนใช้สมาธิ [เพราะมันทำให้เธอหงุดหงิดและอาจจะลืมด้วยว่ากำลังคิดอะไรอยู่]

    - การตื่นเช้า [เพราะเธอเป็นพวกต้องนอนเยอะๆ แถมยังนอนค่อนข้างดึก ดังนั้นการตื่นเช้ามันก็คือการลดเวลานอนดีๆนั่นแหละ เลยเกลียด]

    - เรื่องยุ่งยากที่ไม่จำเป็นและไม่ได้อยากเข้าไปยุ่ง [เพราะมันทำชีวิตเธอปั่นป่วนไปหมด]

    - การเป็นจุดสนใจ [เพราะเธอชอบอยู่เงียบๆของเธอมากกว่าจะเรียกร้องความสนใจจากใคร]

     

    กลัว : 

    - กลัวตัวเองว่าจะกลายเป็นแบบพ่อ... [เพราะกลัวว่าสักวันเธอจะฆ่าใคร เหมือนที่พ่อเธอฆ่า...ส่งผลให้เธอไม่ค่อยยุ่งกับใคร เพราะไม่อยากขัดแย้งอะไรหรือมีปัญหามากจนอาจนำมาสู่เรื่องไม่คาดฝัน]

    - การมีคนรู้เรื่องของพ่อ... [เพราะไม่ว่าใครก็คงไม่อยากถูกมองด้วยสายตาตีตราว่าเป็นลูกฆาตกรหรอก...]

     

    แพ้ : -

     

    งานอดิเรก : อ่านหนังสือ / สืบคดี – ไขปริศนา / ซ้อมมายากลเล็กๆ / เดินซื้อของใช้ของกินเข้าบ้าน...

     

    เป้าหมายในชีวิต :

    - ตามหาพ่อให้เจอ...ชิองอยากให้พ่อหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่เสียที...

     

    เพิ่มเติม :

    - เส้นสายที่ชิองมี...มักเป็นกับพวกตำรวจ...ไม่ก็พวกที่เรียนคาราเต้ด้วยกันมา...เพื่อนในโทเอนก็มี แต่น้อยมาก และมักไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนเพื่อนทั่วๆไป มักจะใช้วิธีส่งข้อความคุยกันและมีนัดเจอบ้างเป็นครั้งคราว...ไม่น่าแปลกใจหากจะบอกว่าพวกคนในกลุ่มที่ว่ามักเป็นลูกตำรวจไม่ก็นักสืบ...

    - ชิองเคยคิดอยากเข้าชมรมมายากล แต่ตัดสินใจไม่ เพราะกลัวว่าตัวเองจะชอบไปมากกว่านี้...อีกอย่าง เดี๋ยวแม่ของเธอจะเสียใจเอาถ้ารู้ เธอชอบเงียบๆของเธอคนเดียวก็พอแล้ว...ที่จริงก่อนหน้าก็เคยจะตัดใจไม่ชอบมายากล..แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้อยู่ดี...

    - สาเหตุที่ไม่มีใครรู้ว่าเลิกเรียนแล้วชิองไปไหน เพราะเธอสามารถสลัดพวกที่แอบตามเธอทิ้งได้ทุกครั้ง บ้านเธอเป็นนักสืบ นักสืบต้องสะกดรอยคน...จะรู้ว่าวิธีสลัดคนบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก ซึ่งสถานที่ๆชิองไปมักจะเป็นสวนสาธารณะ(ที่เดิมนั่นแหละ) โรงฝึกคาราเต้ ไม่ก็ซื้อของ หรือตรงกลับบ้านเลย หากไม่ไปจ๊ะเอ๋คดีหรือเรื่องแปลกๆ หรือต้องตามแม่ไปที่ทำงานอ่านะ ไม่ค่อยพ้นพวกนี้หรอก

    - บางทีหากแม่ของเธอไม่ว่าง พวกตำรวจบางทีก็มาขอคำปรึกษาจากเธอเหมือนกัน...

    - สายตาชิองไม่ได้มีปัญหา แต่ที่ใส่แว่นเพราะว่าคิดว่าน่าจะกันผู้ชายไม่ให้มายุ่งกับเธอได้ส่วนนึง (ซึ่งก็ใช่อยู่...แต่ผลก็...นะ...)

    - ชิองหน้าตาเหมือนแม่มาก แต่สิ่งที่บอกว่าเธอเป็นลูกพ่อคือ...โทนเสียงเวลาพูดของเธอบางทีจะฟังคล้ายวิธีที่พ่อพูด...

    - ชิอง [Shion] ในภาษาดอกไม้ของญี่ปุ่นแปลว่า "Remembrance" หรือ "ความทรงจำ / สิ่งระลึกถึงความทรงจำ"



    คุยกับตัวละคร



    - สวัสดีค่ะ ลองแนะนำตัวหน่อยสิคะ?

    ตอบ : ชิองมองอีกฝ่าย ดวงตางดงามนั้นเหมือนซ่อนอารมณ์บางอย่างไว้ เกิดความเงียบชั่วอึดใจก่อนที่เธอจะเอ่ยตอบ “ชิอง...อาเคจิ ชิอง”

    - เหตุผลที่เข้าเรียนโรงเรียนโทเอน?

    ตอบ : ดวงตาสีสวยหรี่ลงเล็กน้อย “แล้วเหตุผลของฉัน...มันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วยล่ะคะ?”

    - รู้สึกอย่างไรกับการที่โดนเลือกให้มาเป็น 'สมบัติ' ของหนึ่งในขั้วอำนาจโรงเรียนโทเอนคะ?

    ตอบ : “...แล้วคุณคิดว่าฉันควรจะรู้สึกยังไงล่ะคะ?” ชิองยิ้มมุมปาก แต่ดวงตากลับไม่ยิ้มตาม “ความรู้สึกฉันในตอนนี้ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ เพราะรู้สึกยังไงก็เปลี่ยนความจริงที่เกิดไปแล้วไม่ได้อยู่ดี...ไปถามรุ่นพี่ดีกว่านะคะ...ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงได้เลือกฉันมาเป็นสมบัติอะไรนี่...”

    - รับทราบแล้วค่ะ หวังว่าพวกเราจะได้พบกันอีกนะคะ

    ตอบ : ชิองลุกขึ้น โค้งเล็กน้อย แล้วหันหลังเดินจากไป ปากพึมพำเสียงเบา “พบกันอีกงั้นเหรอ...ไม่หรอก บางที...การไม่ได้พบกันอีกอาจจะเป็นเรื่องดีกว่าก็ได้...”



    คุยกับผู้ปกครอง

    - สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นก็ขอขอบคุณที่ตัดสินใจมาสมัครนะคะ !

    ตอบ : สวัสดีอีกครั้งค่ะ

    - เรียกไรท์ว่าตะวันก็ได้ค่ะ แล้วทางนั้นชื่ออะไรเอ่ย?

    ตอบ : ยูกินะค่า...

    - ถ้าไม่ติดจะยัดหรือรับกลับคะ? (แต่ถึงจะยัดก็ยังเด่นอยู่นะคะ ไม่ใช่ตัวประกอบแน่ๆ)

    ตอบ : ไม่ยัดดีกว่าค่ะ ขอรับกลับไปดีกว่า เดี๋ยวยัดมากไปจะลำบากไรท์เตอร์เอาเปล่าๆ

    - ขอให้โชคดีค่า! ขอบคุณอีกครั้งที่มาสมัครน้า

    ตอบ : ฝากพิจารณามิเมย์และชิอง ลูกสาวทั้งสองคนด้วยนะคะ

    H a s h
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×