ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [END]​ Nitro ชื่อนี้ไม่รักได้ไหม

    ลำดับตอนที่ #9 : 5. Don't understand (50%)

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 64


     

                “เย้ เสร็จสักที” 

                

                ไอ้ต้าชูมือขึ้น บิดตัวไปมาหลังจากเก็บบีกเกอร์ใบสุดท้ายที่ล้างเสร็จเข้าตู้เก็บอุปกรณ์

                ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ห้องปฏิบัติการของภาค เพิ่งเลิกเรียนวิชาแลปเคมีอินทรีย์ที่ใช้เวลานานกว่าสามชั่วโมง

                “กลับหอเลยเปล่า?” ผมถาม พลางเก็บหนังสือคู่มือใส่กระเป๋า ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็น พวกเราไม่มีเรียนต่อในวันนี้แล้ว

                “ไม่อะ กูจะไปหาน้องหมิวซะหน่อย” น้องหมิวที่ว่าคือน้องปีหนึ่งคณะทันตะ หลังจากที่ไอ้ต้าใช้เวลาไถหน้าจอเฟซบุ๊คในเพจ Cute Boys & Girls ของมหา’ลัยอยู่หลายวัน ในที่สุดมันก็เจอสาวที่ตรงใจ “แล้วมึงล่ะ”

                “กูจะไปซื้อของที่ห้างก่อน มึงจะเอาอะไรมั้ย?”

                “ไม่อะ” ไอ้ต้าส่ายหัว “แล้วมึงไปยังไง?”

                “คงนั่งมอไซค์รับจ้าง” ตรงข้ามมหา’ลัยมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่มีทุกอย่างให้เลือกสรร นอกจากจะไปซื้อของใช้จำเป็นแล้ว ผมก็ตั้งใจไปเดินตากแอร์เล่น ๆ ให้คลายร้อนซะหน่อย ช่วงนี้อากาศค่อนข้างอบอ้าว ต่อให้เป็นช่วงตอนเย็นแต่อุณหภูมิก็ไม่ได้ลดลงจากตอนกลางวันสักเท่าไหร่ ผมจึงขี้เกียจกลับไปนอนร้อนที่หอเพราะในห้องมีแค่พัดลม

                “ให้กูไปส่งเปล่า?” ไอ้ต้าอาสา มันมีมอเตอร์ไซค์เป็นของตัวเอง ไปไหนมาไหนจึงค่อนข้างสะดวก

                “ไม่เป็นไร มึงไปหาเด็กของมึงเถอะ” ผมไม่อยากรบกวน

                “โอเค งั้นไว้เจอกันที่ห้อง”

                “อืม”

                เราสองคนเดินลงมาจากตึกเรียน ไอ้ต้าแยกไปยังลานจอดมอเตอร์ไซค์ที่อยู่ด้านหลัง ส่วนผมเดินตามทางฟุตปาธไปยังวินมอเตอร์ไซค์ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของคณะ

                “มึง” เสียงทุ้มดังขึ้นบริเวณใกล้ ด้วยสัญชาตญาณผมหันไปมองเพราะไม่รู้ว่ามึงที่เขาเอ่ยถึงนั้นคือใคร ก่อนจะต้องสะดุ้งตกใจเมื่อเห็นเจ้าของเสียงนั้นคือไนโตรที่กำลังเดินตามผมมาจากทางด้านหลัง

                “…” ผมหันกลับไปทางเดิม ก้าวเท้าเดินต่อทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

                เอาจริง ๆ ตอนนี้ผมไม่ได้กลัวเขาเหมือนอย่างที่เคยเป็นแล้วหรอกนะ อาจเป็นเพราะผมและเขาอยู่ในสถานที่และสถานะที่ต่างออกไปจากเดิม อย่างน้อยผมก็อยู่ในมหาวิทยาลัยที่มีความปลอดภัยระดับหนึ่ง แถมยังเป็นรุ่นพี่ของเขาถึงแม้จะไม่ได้อยู่คณะเดียวกันก็ตาม ที่ผ่านมาเขาก็ไม่ได้มีพฤติกรรมรุนแรงหรือคุกคามอะไรผม ถึงแม้อาจจะทำให้ใจสั่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เคยคิดไว้

                “มึง”

                “…”

                “กูเรียกมึงไม่ได้ยินหรือไง”

                ผมหยุดเดิน สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะหันไปหาเขา

                “พูดกับเราเหรอ?”

                “ก็ได้ยินนี่หว่า”

                “โทษที เราชื่อฟอส ไม่ได้ชื่อมึง”

                “โอ้ะโอ” เขาเบิกตาโต ยกยิ้มแกมขำทั้งที่ผมกำลังทำสีหน้าจริงจัง

                “เป็นรุ่นน้อง ช่วยพูดจาดี ๆ กับรุ่นพี่หน่อย”

                “ทำไมวะ เมื่อก่อนกูยังพูดมึงกูกับมึงได้เลย”

                “เราไม่รู้ไงว่านายเป็นรุ่นน้อง แต่ตอนนี้รู้แล้ว ถ้าพูดดี ๆ ไม่ได้ก็ไม่ต้องคุย” ผมกำลังจะหมุนตัวเดินต่อ แต่ก็ต้องชะงักเท้าเมื่อได้ยินเสียงของชายร่างโต

                “ก็ได้…พี่ฟอส”

                “แค่เนี่ย” ผมส่งเสียงหึในลำคอ ยิ้มขำเมื่อเห็นเขาพูดเสียงค่อย ก้มหน้าด้วยท่าทางเคอะเขิน “ก็พูดได้หนิ”

                “…” ถึงแม้เขาจะทำหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดบ่นอะไรออกมา

                “แล้วเดินตามมามีธุระอะไร?”

                “ทำไมอยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อนคบเหรอ?” เขาไม่ตอบ แต่ถามผมกลับด้วยน้ำเสียงติดกวน

                “พูดเพราะขึ้น แต่ปากยังแย่เหมือนเดิม”

                “โอ๋ ๆ หยอกแค่นี้ทำเป็นโกรธ” สีหน้านิ่งแปรเปลี่ยนเป็นหัวเราะร่าเมื่อเห็นผมทำหน้าบึ้ง “พี่จะไปไหน?”

                “ไปซื้อของ”

                “ที่ไหน?”

                “ห้างตรงข้ามมอ”

                “ไปยังไง?”

                “วินมอเตอร์ไซค์”

                “ไปด้วยกันเปล่า?”

                “หึม?”

                “ผมกำลังจะไปพอดี”

                “เหรอ…”

                “อืม ไปด้วยกันเปล่า?”

                “ทำไมเป็นคนดี” ผมมองเขาตั้งใจหัวจรดเท้าอย่างไม่เชื่อสายตานัก จะว่าไปตั้งแต่เจอเขาที่มหาวิทยาลัย ผมก็มองเขาต่างไปราวกับคนละคนจากที่เคยรู้จัก

                รูปลักษณ์ภายนอกดูดีมีสง่าเมื่อเขาตัดแต่งผมทรงใหม่ที่เป็นระเบียบ ยิ่งใส่ชุดนักศึกษาผูกไทด์คณะแพทย์ก็ทำให้ดูภูมิฐานน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น มิหนำซ้ำเมื่อเขาพูดคุยด้วยคำปกติ วัยรุ่นอันธพาลที่เคยเจอก็แปรเปลี่ยนเป็นเทพบุตรสุดหล่อในทันที

                แต่เดี๋ยวก่อน ผมจะไปชมเขาทำไม

                “ผมเป็นคนดีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แค่พี่มองไม่เห็นเอง”

                “แหวะ” คนดีที่ไหนทำตัวเป็นนักเลงไล่ตีกับคนอื่น

                “ไปเปล่า เดินคนเดียวเหงาน้า ไม่อยากมีเพื่อนไปด้วยเหรอ?”

                ผมใช้เวลาคิดไต่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน เพราะการเดินห้างคนเดียวมันน่าเบื่อจะตาย ทว่าจะดีกว่านี้ถ้าคนที่ไปด้วยไม่ได้ชื่อไนโตร

                “ไม่อะ ไปเองดีกว่า”

                “จะเดินให้เมื่อยทำไม วินมอเตอร์ไซค์อยู่อีกตั้งไกล รถผมจอดตรงนี้เอง ปะ ไปกัน”

                “ไม่”

                “ไปด้วยกันนะ น้า...” คำหวานที่แสนออดอ้อนทำให้ผมต้องหยุดนิ่ง มองร่างสูงตรงหน้าที่บึ้งปากเล็กน้อยพร้อมส่งสายตาเว้าวอน

                “ไปก็ไป” ไม่รู้อะไรดลจิตดลใจให้ผมตอบรับอย่างว่าง่าย อาจเป็นเพราะเขาคนนี้เปลี่ยนไปจากที่ผมเคยพบเจอโดยสิ้นเชิงก็เป็นได้

                “ก็แค่เนี่ย จะเล่นตัวทำไม” เขายิ้มกริ่ม เอามือล้วงกระเป๋ากางเกงเดินนำผม

                “…” แต่สิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยน คือความเจ้าเล่ห์และคำพูดกวนประสาทที่ออกมาจากปากเขา และผมก็พลาดท่าให้เขาอีกแล้วสินะ

     

                “โห รถสวยนะเนี่ย” ถึงกับตาลุกวาวเมื่อเดินตามไนโตรมาถึงรถสปอร์ตสุดหรูสัญชาติอิตาลีสีดำขลับ แวบแรกที่เห็นยังแอบคิดว่าเด็กคนนี้กำลังเล่นตลกแกล้งทำเป็นเจ้าของ แต่ทันทีที่เห็นประตูรถถูกเปิดออกเมื่อเขาเดินมาถึง ก็ทำให้ผมรู้ได้ชัดแจ้งว่านี่คือเรื่องจริง

                ไม่อยากเชื่อว่าเด็กแว๊นซ์อย่างเขาจะมีรถหรูแบบนี้ขับด้วย

                “ขึ้นรถสิ”

                “เอ่อ…ขึ้นไงอา” ผมถามอย่างไม่อาย รถหรูแบบนี้เคยเห็นก็แค่ในเน็ต ไม่คิดว่าชีวิตจริงจะมีโอกาสได้สัมผัสในระยะใกล้ และเมื่อประตูรถถูกเปิดออกก็ยิ่งทำให้ผมสงสัย เมื่อตัวรถโหลดต่ำและคับแคบ ขนาดผมรูปร่างไม่สูงใหญ่ยังเข้าไปนั่งได้อย่างยากลำบาก แล้วคนสูงอย่างเขาเข้าไปนั่งได้อย่างไร

                “ผมคิดว่าการขึ้นรถน่าจะง่ายกว่าวิชาเคมีนะ แค่นี้พี่น่าจะแก้ปัญหาได้”

                ได้แต่ถอนหายใจเมื่อเห็นอาการเมินของเขา แถมยังขึ้นไปนั่งบนรถหน้าตาเฉยเหมือนไม่สนใจทั้งที่เป็นคนชวนผมมาแท้ ๆ ครั้นจะไม่ไปเพราะขึ้นรถไม่เป็นก็ดูจะเสียเชิงไปหน่อย ผมจึงพยายามจัดระเบียบท่าทางของตัวเองเพื่อเข้าไปในรถ ใช้เวลาอยู่นานในที่สุดก็สำเร็จ 

                “หัวเราะอะไร?” ผมบึ้งหน้าถาม เมื่อคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยหัวเราะขำจนไหล่ไหว 

                “เปล่า” เขาพยายามกลั้นขำ สูดลมหายใจเข้าเพื่อรวบรวมสติ ก่อนจะแตะคันเร่งพารถคันงามเคลื่อนตัวออกจากช่องจอด

                หมั่นไส้นัก อย่าให้ผมรวยอย่างเขาบ้างก็แล้วกัน

                “บ้านนายคงรวยมากสินะถึงมีรถแบบนี้ขับ”

                “คงงั้น”

                “รถที่บ้านเหรอ?”

                “พ่อซื้อให้ที่สอบติดหมอ” ใบหน้าเรียบเฉยของเขาสร้างความประหลาดใจให้ผมอยู่ไม่น้อย ตอนแรกคิดว่าเขาจะตอบกลับมาด้วยคำพูดโอ้อวดซะอีก

                “โห ของขวัญดีขนาดนี้ นายคงทุ่มเทอ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืนเลยล่ะสิ”

                “ไม่เห็นอยากจะได้”

                “พูดจริงเปล่าเนี่ย” ผมถามอย่างไม่จริงจัง เพราะปกติเขาชอบพูดเล่นอยู่บ่อย ๆ จนผมเองไม่แน่ใจว่าที่เขาพูดออกมานั้นจริงหรือไม่จริง

                “อืม”

                “หึ ไม่อยากได้แล้วสอบให้ติดทำไม?”

                “เปลี่ยนเรื่องคุยเถอะ”

                ผมปิดปากไม่กล้าพูดอะไรต่อ เมื่อคนเคียงข้างมีสีหน้าเคร่งเครียดจนผมรู้สึกขนลุก

                ตอนแรกก็ยังดี ๆ อยู่เลย ทำไมจู่ ๆ ถึงอารมณ์เสียขึ้นมาซะอย่างนั้น

                บทสนทนาของเราจบลงพร้อมความเงียบงันที่เข้ามาแทนที่ ใช้เวลาไม่นานไนโตรก็พาผมมาถึงสถานที่เป้าหมาย

     


    ติดตามข่าวสารของไรท์ทางเพจ >> นิยายธ.ธีร์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×