ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [END]​ Nitro ชื่อนี้ไม่รักได้ไหม

    ลำดับตอนที่ #6 : 3. Again & Again (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 17 ก.ค. 64


                “เฮ้ย...อย่า!” ผมร้องเสียงหลง ยกมือขึ้นห้ามด้วยความตกใจ ถ้าเสียงปืนดังขึ้นมาต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ

                “เชื่อเหรอ?” เขาพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนจะขำออกมาเสียงดังลั่นจนไหล่สั่นไปหมด

                “…” ถ้าอยู่ใกล้ ๆ คงต้องมีลงไม้ลงมือกันบ้าง คนอะไรกวนประสาทได้ตลอดเวลา

                “ถ้าคุณไม่ไป ผมก็จะรอคุณหน้าจืดตรงนี้แหละครับ” เขาปรับน้ำเสียงอีกครั้ง หลังจากหัวเราะเยาะผมจนพอใจ

                “เราจะมั่นใจได้ไงว่าถ้าไปกับนายแล้วเราจะปลอดภัย” พูดตามตรงผมยังไม่ค่อยไว้ใจเขาสักเท่าไหร่ ไม่รู้แท้จริงแล้วเขาพกปืนมาด้วยหรือเปล่า อาจจะมีอาวุธพวกมีดหรือดาบซ่อนไว้ก็เป็นได้ แล้วเกิดลับตาคนเขาพาผมไปฆ่าชิงทรัพย์จะทำยังไง ยิ่งคิดก็น่าหวั่นใจอยู่ไม่น้อย

                “กู…เออ…ผมขอสัญญาด้วยเกียรติของลูกเสือเลยครับ” นิ้วสามนิ้วถูกยกขึ้นมาข้างหู แต่ไม่ใช่แค่ข้างเดียวนะ มือสองข้างเลยครับ แถมเอียงคอยิ้มกว้างทำหน้าน่ารักหมือนกระต่ายอีกต่างหาก 

                โว้ย!!! ปรับอารมณ์ไม่ถูกแล้วเนี่ย เดี๋ยวก็ดุ เดี๋ยวก็ติ๊งต๊อง ผมงงกับเขาจริง ๆ

                “กินแถวนี้ได้มั้ย?” หลังจากใช้ความคิดประมวลผลอยู่นาน ถ้าไม่ไปเขาก็คงตามผมไม่เลิก ดีไม่ดีอาจก่อเหตุรุนแรงเกินกว่าที่ผมจะรับมือไหว จึงตัดสินใจไปกับเขาเพื่อตัดปัญหา ทว่าผมก็ยังไม่ไว้ใจเขาเท่าไหร่นัก การขอเลือกร้านแถวนี้ก็เพราะผมรู้จักมักคุ้นกับผู้คนระแวกนี้เป็นอย่างดี หากเกิดเหตุร้ายขึ้นก็ยังพอมีหนทางเอาตัวรอดได้บ้าง

                “ด้วยความยินดีครับ” ร่างสูงยิ้มกว้างอย่างปิดความดีใจไม่มิด ยืนรอผมด้วยท่าทางตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย

                จัดการปิดประตูล็อคบ้านจนเสร็จสรรพ ก่อนจะเดินออกไปหน้าบ้านตรงที่เขาคนนั้นยืนรออยู่

                ผมเดินนำไปยังร้านอาหารตามสั่งเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกลนัก เป็นร้านของป้าศรีเจ้าประจำที่ผมกินมาตั้งแต่เด็ก ส่วนชายคนนั้นเดินตามผมไม่ห่าง ให้ความรู้สึกแปลกพิลึกชอบกลยังไงก็ไม่รู้ คงเพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตของผมล่ะมั้งที่กำลังจะไปกินข้าวกับคนไม่รู้จัก และยิ่งเห็นใบหน้าเรียบนิ่งของคนตัวสูงก็ยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น

                ทำไมเขาถึงอยากรู้จักผมขนาดนี้ เพียงเพราะอยากมีเพื่อนเพิ่มอีกคน หรือเพราะเขามีแผนการอะไรบางอย่างที่ซับซ้อนมากกว่านั้นกันแน่

                แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ยังไงเขาก็ไม่มีวันได้รู้จักผมมากไปกว่านี้อย่างแน่นอน

                “อ้าว…”

                “หวัดดีครับป้า” ผมรีบพูดแทรกทันทีเมื่อเดินเข้ามาถึงในร้าน หลังเห็นป้าศรีกำลังจะอ้าปากทักทายผมอย่างที่ทำเป็นประจำ “เหมือนเดิมจานนึงครับ”

                ป้าศรีทำหน้าขมวดคิ้วทำหน้างงเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าเป็นอันรู้กันว่าเหมือนเดิมของผมคือข้าวกระเพราหมูกรอบไข่ดาวรสชาติเผ็ด ๆ

                ผมเดินนำไปนั่งที่โต๊ะว่าง ก่อนจะได้ยินเสียงของคนที่ตามมาพูดสั่งอาหาร 

                “หมูทอดไข่ดาวจานนึงครับ”

                เขาคนนั้นไม่ได้ตามมาที่โต๊ะในทันที แวะไปตักน้ำแข็งใส่แก้วสองใบที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ลูกค้าบริการตัวเอง ก่อนที่ใบหนึ่งจะถูกยื่นมาตรงหน้าผมเมื่อเขากลับมาที่โต๊ะ

                “ขอบใจ” 

                “มึงมากินที่นี่บ่อยเหรอ?” เขาถาม พลางหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เทน้ำจากขวดใส่แก้วของผม ก่อนจะรินใส่ในแก้วของตัวเอง

                “อืม”

                เขาพยักหน้ารับเข้าใจ ถอดเสื้อหนังที่สวมอยู่ออก

                “แผลนายเป็นไงบ้าง?” อดไม่ได้ที่จะถาม เมื่อเห็นต้นแขนของเขายังถูกพันด้วยผ้าก็อตทำแผล

                “จะหายล่ะ”

                “จริงอะ?” ไม่ค่อยอยากเชื่อสักเท่าไหร่ เท่าที่เห็นแผลในวันนั้นยาวและใหญ่มาก อันที่จริงควรให้หมอเย็บเสียด้วยซ้ำ

                “อืม” 

                “เหรอ?”

                “กูเปิดให้ดูเอามั้ย?” ร่างสูงพูดติดรำคาญ ถลกเสื้อยืดขึ้นเตรียมถอดอย่างไม่ลังเล

                “ไม่ต้อง” ผมรีบปราม เขาจึงชะงักและดึงชายเสื้อลงตามเดิม “หายก็หาย”

                “เป็นห่วงกูเหรอ?” นัยน์ตาคมเปล่งประกายวิบวาบ ยื่นหน้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์

                “เปล่า” ผมส่ายหัวดิ๊ก ปฏิเสธทันควัน

                “ไม่ต้องเขินหรอก โต ๆ กันแล้ว”

                “…” ถึงกับพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าเขาเอาความมั่นใจนี้มาจากไหนถึงกล้าคิดว่าผมเป็นห่วงเขา

                ทั้งที่ผมถามด้วยความอยากรู้ก็เท่านั้นเอง

                “มาแล้วจ้า” โชคดีที่อาหารที่สั่งมาเสิร์ฟพอดี บทสนทนาที่ค้างคาก่อนหน้านั้นจึงถูกตัดจบไปโดยปริยาย

                ต่างคนต่างกินอาหารของตัวเอง เวลาผ่านไประยะหนึ่งจึงจะมีเสียงของคนตรงข้ามพูดกับผมอีกครั้ง

                “มื้อนี้กูเลี้ยงเอง ถือว่าขอบคุณที่ช่วยทำแผลให้”

                “หึม?” รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ได้ยินคำพูดนี้จากปากของเขา “เอาจริง?”

                “เออ” เขาส่งเสียงติดรำคาญ “มึงนี่ช่างสงสัยจริงนะ ชอบให้กูต้องพูดซ้ำสองรอบสามรอบ”

                “ก็นายชอบทำตัวแปลก ๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บางทีก็ชอบพูดกวนประสาท บางครั้งก็ทำเป็นจริงจัง จนเราเดาไม่ถูกว่านายจะเอายังไงกันแน่”

                “มึงอาจจะยังไม่สนิทกับกู เดี๋ยวอยู่กันไปนาน ๆ ก็รู้ใจเองแหละ”

                “คงไม่มีวันนั้นหรอก”

                “...” ร่างสูงขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย ผมจึงอธิบายขยายความให้เขาเข้าใจ

                “อีกไม่กี่วันเราก็จะกลับไปเรียนแล้ว” นี่แหละเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ผมยอมมากับเขา “ยังไงเราก็ไม่ต้องเจอกับนายอีก”

                “ที่ไหน?” เขาถามต่อด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย

                “ไม่บอก” ผมยิ้มกวน ยักไหล่ให้อย่างยียวน “รู้แล้วจะตามไปหรือไง?”

                “ใช่”

                “หึ” ดูเขาพูดสิ ยังจะทำหน้าตาจริงจังอีก “ถามจริง นายจะอยากรู้จักเราไปทำไม?”

                “ก็มึงน่ารักดี” 

                “ว่าไงนะ?” มือที่กำลังตักข้าวถึงกับต้องชะงัก เมื่อได้ยินคำตอบที่ไม่คาดคิดว่าจะหลุดออกมาจากปากของเขา

                “นิสัยน่ารักไง อุตส่าห์ช่วยทำแผลให้กู เห็นแบบนี้กูก็รู้นักบุญคุณคนนะโว้ย”

                “ก็…ก็แล้วไป” โล่งอก ตกใจหมดเลย

                “ทำไม หรืออยากให้กูพูดว่ามึงหน้าตาน่ารัก”

                “…”

                “ช่วยดูเบ้าหน้ามึงด้วยนะ หน้าจืดอย่างกับเต้าหู้แบบนี้กูคงโกหกชมไม่ลงหรอก”

                “…” สาบานว่านี้ปากผู้ชาย จัดซะยิ่งกว่าเพื่อนผู้หญิงที่ผมรู้จักซะอีก

                “ว่าแต่...มึงจะบอกชื่อกับกูได้ยัง”

                “ไม่บอก”

                “อ้าว”

                “ก็รู้จักแค่นี้พอ ยังไงเราก็จะไม่เจอกันอยู่แล้ว”

                “มึงใจแข็งกว่าที่กูคิด” เขายิ้มยก ไม่ได้แสดงสีหน้าเป็นกังวลแต่อย่างใด “แต่ก็เอาเถอะ ยังไงกูต้องรู้ชื่อมึงให้ได้ ไม่ว่าวันใดก็วันหนึ่ง”

                “ไม่มีวันนั้นหรอก” ถึงแม้จะหวาดหวั่นกับแววตามุ่งมั่นที่ปรากฎ แต่ผมก็ยังทำใจดีสู้เสือ พูดเหมือนไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด

                และผมก็ถูกเขาตอบกลับมาด้วยการยักไหล่ ทำเป็นหูทวนลม ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่ออย่างไม่สนใจ

                คนอะไรกวนประสาทชะมัด

                หลังจากกินข้าวเสร็จเรียบร้อย นายคนนั้นก็จ่ายเงินค่าอาหารทั้งหมดจริง ๆ ตามที่กล่าว ก่อนที่พวกเราจะเดินกลับมาที่บ้านของผมเพื่อเตรียมตัวแยกย้าย

                “เอ่อ…คือ…ขอบใจนะ” ถึงแม้จะรู้สึกแปลก ๆ แต่ตามมารยาทผมก็ควรขอบคุณเขาสักหน่อย

                “ไม่เป็นไร จิ๊บ ๆ”

                “ขับรถดี ๆ ล่ะ”

                “เป็นห่วงอีกแล้ว”

                “ไม่” เห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของเขา ผมจึงกระแทกเสียงกลับอย่างไม่สบอารมณ์

                “เหรอ...”

                “บอกว่าไม่ไง”

                “เออ ๆ ไม่ก็ไม่” เมื่อเห็นผมยืนกรานเสียงแข็ง เขาจึงยอมยุติการโต้เถียงกับผมแต่โดยดี “งั้นกูไปล่ะ” 

                “อืม”

                ร่างสูงขึ้นค่อมมอเตอร์ไซค์ สตาร์ทรถก่อนจะขับออกไป แต่ก็ไม่วายยังกวนประสาทผมทิ้งท้ายด้วยการหันมายักคิ้วให้อย่างยียวน

                “เฮ้อ...” ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อย วันนี้ผมใช้พลังงานไปกับเขาเยอะเลยทีเดียว ได้แต่หวังว่าต่อจากนี้เราสองคนคงไม่ต้องพบเจอกันอีก

                ไม่ว่าที่ใดก็ตาม

     

    -----

    ติดตามข่าวสารของไรท์ทางเพจ >> นิยายธ.ธีร์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×