ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [END]​ Nitro ชื่อนี้ไม่รักได้ไหม

    ลำดับตอนที่ #5 : 3. Again & Again (50%)

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.ค. 64


     

                ติ๊ง!

     

                ผมหันไปคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวหลังจากได้ยินเสียงสัญญาณเตือน หยิบขึ้นมาก่อนจะกดเข้าไปที่แอปพลิเคชั่นไลน์อันเป็นที่มาของเสียงนั้น

                Atom : ฟอส

                Atom : เป็นไงบ้าง

                Atom : คิดถึงนะ

                Atom : ทำไมโทรไปฟอสไม่รับสายเราเลย

                Atom : ยังโกรธอะตอมอยู่เหรอ

                Atom : ฟอสอ่านแล้ว ตอบเราหน่อยได้มั้ย

                Atom : เรายังรักฟอสอยู่นะ

                ผมถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นข้อความที่ปรากฎ เป็นอะตอมแฟนเก่าของผมที่ยังส่งข้อความมาหาไม่เลิก อันที่จริงตั้งแต่กลับบ้านช่วงปิดเทอมเขาก็พยายามติดต่อผมมาตลอด ไม่ว่าจะทางโทรศัพท์ ข้อความสนทนาตามสื่อโซเชียลต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการติดต่อไปยังเพื่อนคนอื่น ๆ เพื่อขอช่วยพูดโน้มน้าวให้ผมกลับไปคุยกับเขา แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหนก็ไม่อาจเปลี่ยนความคิดอันแน่วแน่ของผมได้

                เพราะสิ่งที่เขาเคยทำกับผมไว้ มันช่างเจ็บปวดแสนสาหัสเสียเหลือเกิน

                สิ่งหนึ่งที่อะตอมมีเหนือผู้คนทั่วไปคือเสน่ห์อันมากล้น ไม่ใช่แค่เพียงหน้าตาอันหล่อเหลาระดับตัวท็อปของมหา’ลัย แต่คำพูดคำจาที่เปล่งออกมาจากปากของเขาก็มีเสน่ห์ไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเอ่ยพูดอะไรกับใครก็แทบสะกดคนฟังให้หลงเคลิ้มตาม ผมเองซึ่งเคยเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นจึงไม่อยากกลับไปติดกับดักคำหวานของเขาอีก

                โยนสมาร์ทโฟนลงบนโต๊ะพร้อมทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา หลับตาข่มจิตใจให้ลืมเรื่องราวอันแสนเจ็บช้ำที่ไหลกลับเข้ามาในหัวสมอง อีกไม่ถึงสัปดาห์ก็จะเปิดเทอมแล้ว ผมกับอะตอมยังต้องเจอหน้ากันในฐานะเพื่อนร่วมคณะ ผมรู้และเข้าใจดีถึงความจริงข้อนี้ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ขอใช้เวลาที่มีอยู่ทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้มากที่สุด เพื่อที่เมื่อถึงเวลานั้นผมจะเข้มแข็งพอสำหรับการเผชิญหน้ากับความเป็นจริง

     

                วันนี้พ่อกับแม่ออกไปทำงานตั้งแต่เช้า เหลือทิ้งไว้ให้ผมต้องอยู่บ้านตามลำพัง อันที่จริงก็เป็นเรื่องปกติที่ผมคุ้นชินมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วล่ะ ถ้าเป็นสมัยก่อนไม่มีทางที่ผมจะอยู่บ้านเฉย ๆ แบบนี้หรอก อย่างน้อยก็มีกิจกรรมให้ทำแก้เบื่อกับเพื่อนฝูงในระแวกบ้านใกล้เรือนเคียง ทว่าช่วงนี้ผมกำลังเก็บตัว ไม่ใช่เพียงเพราะทำใจจากสภาวะอกหัก แต่ยังเพื่อความปลอดภัยของตัวเองจากบุคคลอันตรายแถวนี้ด้วย

                ผมหมายถึงไอ้คนอันธพาลคนนั้นที่เดินตามผมจากตลาดเมื่อวันก่อน นับจากวันนั้นผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกตามล่าจนไม่กล้าออกไปไหนคนเดียวอีกเลย พูดตามตรงผมไม่ไว้ใจเขาคนนั้นสักเท่าไหร่ แค่หน้าตาทรงผมก็พอจะเดาได้ว่าเป็นพวกเด็กเกเรไม่เอาไหน และยิ่งเหตุการณ์ที่วัดเมื่อครั้งแรกที่เจอกันก็ยิ่งตอกย้ำให้ผมเชื่ออย่างนั้น แต่ประเด็นที่น่าสงสัยคือเขาตามผมทำไม เหตุผลอะไรที่ทำให้เขาอยากรู้จักผมถึงขนาดนั้น

                จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นทำให้กิจวัตรประจำวันของผมในช่วงนี้มีเพียงไม่กี่อย่าง นอกจากกินกับนอนแล้วก็มีเล่นเกมในมือถือบ้างสลับสับเปลี่ยนกันไป ระหว่างวันอาศัยการสั่งอาหารจากเดลิเวอร์รี่เพื่อประทังชีวิต เช่นเดียวตอนนี้เวลาเกือบเที่ยงตรง แต่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องของผมแม้แต่น้อย ไม่รอช้าจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดแอปพลิเคชั่นสั่งอาหารเจ้าประจำ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาจิ้มเลือกเมนูที่ตัวเองต้องการมาเพื่อคลายหิว

                ไม่ทันจะสั่งความสนใจของผมก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินเสียงน่ารำคาญหูจากหน้าบ้าน เป็นเสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ที่ถูกบิดเร่งพร้อมบีบแตรเสียงดังจนอดไม่ได้ที่ผมต้องลุกขึ้นเปิดประตูออกไปดู ภาพที่เห็นคือผู้ชายคนหนึ่งกำลังบิดคันเร่งมอเตอร์ไซค์สร้างความก่อกวนอยู่ที่หน้าบ้าน เขาสวมเสื้อยืดสีขาวคู่กับกางเกงยีนส์ ด้านนอกสวมทับด้วยเสื้อคลุมหนังสีดำคล้ายกับพวกไบค์เกอร์ ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เพราะตอนนี้เขาใส่หมวกกันน็อคที่ปกคลุมมิดชิดทั้งศีรษะ แต่คนที่มีพฤติกรรมแบบนี้คงไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน

                ทันทีที่ชายคนนั้นเห็นผมเดินออกมาจากตัวบ้าน เสียงรบกวนที่ดังอยู่ก่อนหน้าก็เงียบสนิทเป็นปลิดทิ้ง เขาดับเครื่องยนต์พร้อมก้าวเท้าลงมาจากเบาะนั่ง ถอดหมวกกันน็อคออกก่อนจะปรากฎใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน

                คนที่ทำให้ผมได้แต่อ้าปากค้างและยืนนิ่งอย่างไม่เชื่อตา ไม่ใช่เพราะท้วงท่าสะบัดผมที่ดูหล่อเท่ห์ ไม่ใช่เพราะใบหน้าเรียวคมที่แสนจะดึงดูด แต่เป็นเพราะเขาคนนั้น คือบุคคลอันตรายที่ผมไม่อยากเจอมากที่สุดในตอนนี้

                คนที่ผมไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อของเขา

                กลับเข้าบ้านสิครับรออะไร ทว่ายังไม่ทันจะได้ก้าวขา ผมก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงทุ้มเสียก่อน

                “เดี๋ยว! หยุดก่อน”

                แล้วผมก็ซื่อทำตามเขา หยุดยืนอยู่กับที่เสียดื้อ ๆ

                “อยู่แต่บ้าน ไม่เบื่อบ้างหรือไง?” เสียงตะโกนที่ดังข้ามรั้วบ้านสร้างความสงสัยให้กับผม เขารู้ได้ไงว่าผมไม่ออกไปไหน อย่าบอกนะว่า...

                “นายรู้ได้ไง?” 

                “กูมาหามึงทุกวัน แต่ไม่เคยโผล่หัวออกมาให้เห็นบ้างเลย”

                เป็นจริงดั่งความคิด เขาตามผมมาถึงที่บ้านจริง ๆ

                “รู้ได้ไงว่าเราอยู่ที่นี่?”

                “มึงเป็นคนพากูมาทำแผลที่นี่เอง จำเรื่องคืนนั้นของเราไม่ได้หรือไง” เออใช่ มัวแต่ตกใจจนถามอะไรโง่ ๆ ออกไปให้เขาหัวเราะเยอะจนได้

                ถึงแม้ประตูบ้านกับรั้วจะห่างกันพอสมควร ทว่าผมก็เห็นรอยยิ้มยกมุมปากของเขาได้อย่างชัดเจน

                รอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ที่เต็มไปด้วยเลศนัย

                “แล้วนายมีธุระอะไรกับเรา?” ขั้นนี้แล้วคงต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่อง

                “กูเคยบอกแล้วไงว่ากูอยากรู้จักมึง”

                “แต่เราก็เคยบอกแล้วไงว่าไม่อยากรู้จักนาย”

                “ทำไมวะ กูอุตส่าห์ตามมาถึงที่นี่เลยนะ”

                “เราไม่อยากรู้จักกับคนอันธพาลอย่างนาย”

                “ไหน” เขาหันซ้ายมองขวา ทำเป็นไม่รู้ตัว “ส่วนไหนของกูที่อันธพาล”

                “ทั้งตัวนั่นแหละ แขนที่โดนฟันก็ยังเป็นแผลอยู่ไม่ใช่เหรอ”

                “เรื่องอดีต จะฝังใจอะไรนักหนา”

                “ไม่ได้ฝังใจ แต่เราไม่อยากรู้จักนาย โอเคนะ” หมุนตัวหมายจะกลับเข้าบ้านอีกครั้ง เบื่อที่ต้องพูดอะไรซ้ำ ๆ กับเขาอีกแล้ว

                “ไม่โอเค” แต่เสียงแข็งกร้าวทำให้ผมต้องถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย ยิ่งเห็นใบหน้าคมมองผมไม่ละสายตา ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ยอมเลิกราวีผมง่าย ๆ 

                คนอะไรหน้าด้านเป็นบ้า

                “ทำไมมึงดื้อจังวะ”

                “นายนั่นแหละดื้อ”

                “เหรอ?” เขาเลิกคิ้ว ทำทีก้มมองตัวเอง “ก็ไม่หนิ”

                “จะเอาไงว่ามา” เอาวะ ไม่เดินหนีแล้วก็ได้ คุยกันให้มันจบ ๆ เสียตอนนี้ ผมเองก็เบื่อที่ต้องหวาดระแวงเพราะคนอย่างเขาแล้วเหมือนกัน

                “ไปกินข้าวด้วยกันหน่อยมั้ย?”

                “หึม?”

                “กูว่ากูพูดชัดแล้วนะ”

                ผมเบะปาก พ่นลมฉุน จะมีเกินสักนาทีไหมที่เขาไม่กวนใส่ผม

                “เออ ๆ พูดดี ๆ ก็ได้” เหมือนเขาจะรู้ตัว จึงกระแอมเสียงในลำคอก่อนจะพูดคำไพเราะที่ผมไม่เคยได้ยินจากปากของเขา “ผมจะชวนคุณหน้าจืดไปกินข้าวด้วยกันน่ะครับ ไปกับผมนะครับ” แต่ก็ยังติดกวนอยู่ดี

                “เราต้องไปด้วยเหรอ?”

                “ไปดิ”

                “แล้วถ้าเราไม่ไป?”

                “กูจะเอาปืนยิงขึ้นฟ้า ให้คนแถวนี้แห่กันมาบ้านมึงให้หมด”

                เชี่ย!!! พกปืนด้วย เพราะเขาไม่พูดเปล่า เอื้อมมือไปทางด้านหลัง ทำท่าเหมือนจะหยิบอะไรบางอย่างที่เหน็บอยู่ที่กางเกงออกมา

     

    -----

    พกปืนมาขนาดนี้ ฟอสจะรอดมั้ยเนี่ย??

    .

    ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป ฝากกดหัวใจ เป็นกำลังใจให้กันด้วยน้า

    อย่าลืมกด fav จะได้ไม่พลาดตอนใหม่นะครับ

    ติดตามข่าวสารของไรท์ทางเพจ >> นิยายธ.ธีร์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×