คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 2. Again (100%)
สองเท้าก้าวฉับ ๆ ในใจก็บ่นพึมพรำไปด้วยความเซ็ง ตอนนี้เกือบจะสิบโมงแล้ว นอกจากอากาศที่ร้อนอบอ้าวผมยังต้องรีบเดินไปเพราะกลัวตลาดจะวายเสียก่อน โชคดีที่ร้านขายไข่เจ้าประจำยังไม่ปิด หลังจากซื้อของได้ตามต้องการผมก็หมุนตัวเตรียมกลับบ้านในทันที
“โอ้ย!” ถึงกับต้องซู้ดปากด้วยความเจ็บเมื่อผมชนเข้ากับใครบางคนอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ลูบบริเวณหน้าผากของตัวเองพลางเงยมองเขาคนนั้น และผมก็ต้องหยุดชะงัก อ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อสายตาทันทีที่สบมองกับคนตรงหน้า “นะ นะ นาย”
คือเขาคนนั้น คนที่ชนกับผมในเหตุวัยรุ่นตีกันเมื่อวันก่อน ผมจำเขาได้ไม่ผิด ที่แขนยังมีร่องรอยการพันด้วยผ้าก็อตทำแผลอยู่เลย
คนตรงหน้าส่งสายตาเปล่งประกายวิบวับ ยิ้มยกตรงมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ “คุณพระ! เจอกันอีกแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยนะเนี่ย”
“นายมาทำอะไรที่นี่?” ผมพยายามมองข้ามน้ำเสียงและท่าทางกระแดะที่เขาแกล้งทำ แวบแรกที่เห็นก็รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาอีกแล้ว
“อยู่ในตลาด มึงคิดว่ากูดำน้ำชมปะการังอยู่หรือไง”
“…” ดูเขาตอบผมสิครับ ปากหมาเหมือนเดิมไม่มีผิด แล้วจะไม่ให้ผมหมั่นไส้เขาได้ยังไง
“แล้วมึงล่ะ”
“อยู่หน้าร้านขายไข่ คงทำวัตรเย็นอยู่มั้ง” ขอเอาคืนหน่อยเถอะ ถึงแม้จะหวั่น ๆ กลัวทำให้เขาโกรธ แต่อย่างน้อยตอนนี้ผมก็อยู่กลางตลาด ต่อให้เขาแค้นยังไงก็คงไม่กล้าทำอะไรผมรุนแรงหรอก
“ฮะ ฮา ฮ่า” แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด นอกจากคนตรงหน้าจะไม่หงุดหงิดกับคำตอบติดกวนของผมแล้ว เขายังหัวเราะเสียงดังด้วยความชอบใจอีกต่างหาก
โรคจิตชะมัด
ผมรีบหมุนตัวเดินหนีอย่างไม่สนใจโดยไม่คิดจะพูดอะไรต่อ ด้วยเหตุไม่อยากสนทนากับคนน่ากลัวอย่างเขาให้มากความ ทว่าก้าวเดินมาได้สักพักก็เริ่มรู้สึกแปลก ๆ เหมือนมีใครบางคนเดินตามติดมาราวกับเงา ผมจึงหยุดเดิน หันกลับไปมองเพื่อความแน่ใจ และก็ต้องพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดเมื่อเป็นอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด
“ตามมาทำไม?”
“อยากคุยด้วย” ร่างสูงยืนนิ่งด้วยสีหน้าเรียบ สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงขายาวที่สวมใส่ด้วยท่าทางกวนไม่ต่างอะไรกับเด็กแว๊นซ์หน้าปากซอย
“เราไม่มีอะไรอยากคุยกับนาย”
“ทำไม?”
“ก็ไม่ทำไม แต่ไม่อยากคุย”
“กลัวกูเหรอ?” คนตรงหน้าเลิกคิ้ว ยิ้มยกเจ้าเล่ห์อย่างรู้ทัน
“เออ” ยอมรับออกไปอย่างไม่ปกปิด คิดแค่เพียงว่าถ้าไม่ยอมรับซะตั้งแต่ตอนนี้ เขาก็คงตามกวนผมไม่เลิกอยู่ดี “กลัวนายนั่นแหละ”
“กลัวอะไรมิทราบ กูน่ากลัวตรงไหน ไม่ใช่ผีซะหน่อย”
“น่ากลัวที่นายเป็นพวกอันธพาลไง” ผมหันซ้ายมองขวา พูดบอกอย่างระแวดระวัง “เราไม่อยากคุยด้วย เดี๋ยวพวกคู่อริของนายมาเห็นเข้า จะคิดว่าเราเป็นพวกเดียวกัน”
“กลัวตายว่างั้น” ไอ้หน้าคมหัวเราะขัน
“เออดิ” ถ้าต้องตายเพราะคนอย่างเขา ขึ้นสวรรค์ไปต้องโดนเหล่าเทวดาหัวเราะเยาะแน่
“งั้นมึงไม่ต้องกลัว”
“หึม?” ผมขมวดคิ้วขดเป็นปมด้วยความสงสัย
“กูเคลียร์กับพวกมันล่ะ ไม่มีอะไรแล้ว”
“หึม?” คำตอบของเขายิ้งทำให้ผมสงสัยมากไปกว่าเก่า
“จะหึมเชี่ยไรนักหนา กูบอกว่าเคลียร์กันแล้วไง”
“จริงอะ?”
“เออ มึงจะสงสัยอะไรเยอะแยะเนี่ย”
“ก็คนไล่ฆ่ากันแทบเป็นแทบตาย สรุปพูดเคลียร์กันง่าย ๆ อย่างนี้งั้นเหรอ?” ถ้าง่ายขนาดนั้นก็ไม่ควรต้องไล่ฆ่ากันตั้งแต่แรกไหม
“มึงไม่ต้องเสือกเรื่องกูหรอก” จุก เหมือนโดนไม้หน้าสามตีเขาที่หัว “เอาเป็นว่าตอนนี้มึงคุยกับกูได้แล้ว โอเคมั้ย?” ใบหน้าคมส่งสายตาคาดคั้นเอาคำตอบ ทำเอาผมถึงกับยืนนิ่งไปครู่หนึ่งเพราะยังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นมากนัก
เขาจะมายุ่งกับผมทำไมอีก ในเมื่อเราไม่เคยรู้จักกัน แถมไม่มีเรื่องบาดหมางหรือปฏิสัมพันธ์กันมาก่อน จะมีก็แค่เรื่องคืนนั้น แต่เราสองคนก็ไม่ได้มีอะไรติดค้างกันแล้วนิหน่า ผมเองไม่เคยคิดจะทวงบุญคุณอะไรจากเขา ส่วนเขาเองก็ไม่ได้ดูเหมือนจะมาขอบคุณหรือสำนึกบุญคุณผมเลยสักนิด
แล้วเขาจะมาคุยอะไรกับผมอีก
“จะคุยไร ว่ามา”
“มึงเป็นคนแถวนี้เปล่าวะ กูไม่เคยเห็นหน้า”
“คำถามนี้ควรเป็นเราที่ต้องถามนายมากกว่า เราอยู่ที่นี่มาทั้งชีวิต รู้จักคนทั้งหมู่บ้าน ไม่ยักจะเคยเห็นหน้านายมาก่อน” จะมีก็แค่ช่วงปีนี้ที่ผมไปเรียนต่างจังหวัด เขาอาจจะย้ายมาอยู่ที่นี่โดยที่ผมไม่รู้
“โม้เปล่า?” ร่างสูงเลิกคิ้ว ทำตาโตอย่างไม่เชื่อนัก “กูก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด ไม่เคยเห็นหน้ามึงเหมือนกัน”
“จริงอะ?”
“เปล่า กูล้อเล่น” ร่างสูงหัวเราะขำอย่างอารมณ์ดี
“เฮ้อ” เหนื่อยใจ ทำไมผมต้องมาเสียเวลากับคนอย่างเขาด้วยเนี่ย “ไม่มีไรแล้วงั้นเรากลับละ”
“เดี๋ยวดิ”
“อะไรอีก” ผมส่งเสียงติดรำคาญ เมื่อข้อมือของตัวเองถูกรั้งไว้ด้วยชายคนนั้น
“มึงชื่อไร?”
“ไม่ต้องรู้หรอก เพราะเราไม่อยากรู้จักกับนาย”
“อะไรวะ เราจูบกันแล้วนะโว้ย จะไม่รู้จักกันหน่อยเหรอ?”
คำพูดของเขาทำให้ใบหน้าของผมร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ
“บอกแล้วไงว่าไม่ได้จูบ”
“มึงนี่ยังไง ปากประกบกันขนาดนั้นมึงยังจะเถียงอีกว่าไม่ได้จูบ”
“…” ให้ตายเถอะ พูดออกมาได้เหมือนเป็นเรื่องปกติ ไม่มีความอายฟ้าอายดินหรือคนรอบข้างเลยสักนิด ครั้นจะโวยวายกลับก็กลัวว่าเขาจะเสียงดังมากกว่าเก่า ผมจึงทำได้เพียงกำหมัดแน่น สะบัดข้อมือออกจากมือหนาหมายจะเดินหนีเขาไปอย่างไม่สนใจ
“โอ้ย เชี่ยไรวะเนี่ย” แต่สองเท้าก็ต้องหยุดชะงักและหันกลับไปมองเมื่อได้ยินเสียงทุ้มร้องบ่นจากทางด้านหลัง ภาพที่ปรากฎเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่งที่ก้นจ้ำเบ้าลงไปกองกับพื้นข้าง ๆ ชายคนนั้น กะประมาณด้วยสายตาอายุน่าจะราว ๆ สิบปีเห็นจะได้
“มึงเดินยังไงของมึงวะ ไม่เห็นหรือไงว่ากูยืนอยู่” เสียงดุแผดออกมาต่อว่าเด็กน้อย
“โทษทีพี่ ผมรีบ”
“ทางตั้งเยอะตั้งแยะไม่รู้จักไป เดี๋ยวกูก็โบกเข้าให้หรอก”
“เฮ้ยนาย” ผมรีบแทรกขัด เมื่อเห็นเขาขยับตัวจะทำร้ายเด็กคนนั้น “น้องเขาขอโทษแล้วจะเอาอะไรอีก”
นิสัยแย่มาก กับเด็กก็ไม่เว้น
“น้องเจ็บตรงไหนมั้ย?” เมื่อเห็นเขาหยุดนิ่ง ผมจึงเดินไปช่วยพยุงเด็กคนนั้นให้ลุกขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ”
“วิ่งระวังหน่อยนะ แถวนี้รถเยอะ เดี๋ยวจะโดนรถชนเอานะรู้มั้ย”
“ครับ”
“งั้นรีบไปเถอะ ระวังตัวด้วยนะ แถวนี้คนบ้าเยอะ”
“ใคร ใครคนบ้า” ชายคนนั้นเปลี่ยนเป้ามาที่ผม หลังจากเด็กน้อยวิ่งหายไปแล้ว
“นายนั่นแหละ เก่งแต่กับเด็ก”
“ผู้ใหญ่กูก็ไม่กลัวโว้ย”
“เก่งให้ตลอดเถอะ” ผมกระแทกเสียงใส่ พูดออกไปอย่างลืมตัว เพราะโกรธที่เห็นเขาจะลงไม้ลงมือทำร้ายเด็ก แต่ก็ลืมคิดไปว่าคนที่ผมกำลังหาเรื่องด้วยเป็นพวกอันธพาลแถวนี้ ซวยแล้วไงไอ้ฟอส จะโดนมันกระทืบตายตรงนี้มั้ยวะ
ยังไม่ได้เอาไข่เค็มไปให้แม่เลย
ยิ่งเขามองผมหน้านิ่งก็ยิ่งทำให้ใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความกลัว พยายามสังเกตการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายเพื่อเตรียมป้องกันตัว นับหนึ่งถึงสามในเมื่อเห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ จึงอาศัยจังหวะนี้รีบเผ่นใส่เกียร์หมาไม่คิดชีวิต สับเท้าก้าววิ่งอย่างไวว่องราวกับกำลังแข่งโอลิมปิค ณ ตอนนี้ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น คิดแค่ว่าต้องไปถึงบ้านให้เร็วที่สุด ใช้เวลาเพียงไม่นานผมก็มาถึงจุดหมาย
“แฮ่ก แฮ่ก” ผมทิ้งตัวลงบนพื้นหญ้าหน้าบ้านเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตามมา หายใจหอบถี่อย่างคนจะสิ้นใจ ถ้าวิ่งต่ออีกหน่อยคงหมดสติถูกหามพาไปส่งโรงพยาบาลแน่
“เป็นอะไร หนีอะไรมา” พ่อที่ยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ย่นคิ้ว มองผมด้วยความสงสัย
“…” พูดไม่ออกเพราะยังสูดออกซิเจนเข้าไม่เต็มปอด เห็นผมไม่ตอบพ่อจึงสรุปความด้วยตัวเอง
“หมาไล่มารึ?”
ผมพยักหน้ารับเพราะขี้เกียจจะอธิบาย อีกอย่างคือไม่อยากให้เขารู้ว่าแท้จริงแล้วผมไปเจออะไรมา
“เดินอีท่าไหนให้หมามันไล่เอาล่ะ”
นั่งอ้าปากหอบอากาศเข้าปอดอีกพักใหญ่ พออาการดีขึ้นผมจึงตอบกลับ “ท่าปกตินี่แหละพ่อ”
“พอหายเหนื่อยแล้วปากดีเชียวนะ น่าจะให้หมามันกัดซะให้เข็ด”
“เอาไข่ไปให้แม่ดีกว่า” ผมพยุงตัวลุกขึ้นยืน เดินเข้าบ้านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในใจกลับมีเรื่องราวให้ครุ่นคิดอย่างหนัก
เฮ้อ...รู้สึกเหมือนชีวิตเริ่มไม่ค่อยปลอดภัย ไม่รู้ว่าการใช้ชีวิตที่บ้านในช่วงปิดเทอมนี้จะมีเรื่องอะไรให้ต้องตื่นเต้นอีกหรือเปล่า
-----
มีอีกเยอะลูกเอ้ย รอไว้เลย อิอิ
ติดตามข่าวสารของไรท์ทางเพจ >> นิยายธ.ธีร์
ความคิดเห็น