ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [END]​ Nitro ชื่อนี้ไม่รักได้ไหม

    ลำดับตอนที่ #3 : 2. Again (50%)

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ค. 64


     

                “โอ้ ฟอสลูกรัก” 

     

                ผู้เป็นแม่โผเข้ากอดผมที่นั่งอยู่บนโซฟาห้องรับแขก หลังจากลากกระเป๋าเดินทางเข้ามาในบ้านพร้อมข้าวของพะรุงพะรัง “แม่คิดถึ้ง คิดถึง”

                “คิดถึงมากเลยเนอะ ให้ผมอยู่บ้านคนเดียวตั้งหลายวัน” 

                “โธ่ลูก แม่ไม่ได้อยากไปเลยนะ ถ้าพ่อไม่บังคับ” ผู้เป็นแม่รีบผละตัวออกจากอ้อมกอด ส่งสายตาระห้อยมองหลังจากผมทำหน้าบึ้งตึง

                “อ้าวแม่ ไหงโยนความผิดมาให้พ่อคนเดียวล่ะ” คุณปฐพีร้องแย้งทันทีเมื่อเดินตามเข้ามาในบ้าน แต่พอโดนคุณนภาหันมองตาขวาง พ่อก็อ้อมแอ้มยอมรับผิดทั้งที่ไม่เต็มใจ “เออ ๆ พ่อชวนแม่ไปเองแหละ แม่ไม่อยากไปเล้ยยยย” 

                รู้แล้วใช่มั้ยครับว่าบ้านนี้ใครใหญ่

                นี่แหละครับพ่อกับแม่ของผม ผู้ที่ครองชีวิตคู่ด้วยกันมากว่ายี่สิบห้าปี ทั้งสองคบกันตั้งแต่สมัยอยู่มหาวิทยาลัย เรียนจบไม่นานก็แต่งงานและให้กำเนิดลูกที่น่ารักอย่างผม ถึงแม้ตลอดเวลาที่ผ่านมาอาจจะมีทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็มักจบลงด้วยดี ซึ่งทุกครั้งแม่นั่นแหละที่เป็นฝ่ายชนะ ต่อให้เหตุผลของพ่อจะมีน้ำหนักมากแค่ไหนก็ตาม

                “สนุกมั้ยครับ?”

                “สนุกมาก อุ๊บส์” แม่เบิกตาโต ยกมือขึ้นปิดปาก “ไม่สนุกเลย แม่คิดถึงแต่ลูกทุกวัน”

                “หึ”

                “พ่อซื้อพวงกุญแจเปลือกหอยมาฝากแกแล้วนะ” ผู้เป็นพ่อรีบเปลี่ยนเรื่อง เมื่อเห็นผมแบะปากอย่างรู้ทัน เปิดกระเป๋าเดินทางรื้อหาของอยู่พักนึง ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเจอสิ่งที่ต้องการ

                “ว้าว ตื่นเต้นจังเลย ได้เห็นพวงกุญแจเปลือกหอยเป็นบุญตา”

                “พ่อรู้อยู่แล้วล่ะว่าแกต้องชอบ”

                “เหอ ๆ” ยึดอกซะภูมิใจเชียวพ่อ…ผมประชด

                “แล้วลูกเป็นไงบ้าง ไม่เจอกันตั้งหลายเดือน ผอมลงมั้ยเรา” แม่จับตามเนื้อตามตัวของผม กวาดสายตามองอย่างสำรวจ

                “คงงั้นมั้งครับ”

                “แล้วลูกเป็นอะไร ทำไมต้องเอายาในกล่องมาใช้ด้วย” สายตาของผู้เป็นแม่มองไปยังกล่องปฐมพยาบาลที่วางอยู่บนโต๊ะ

                “อ๋อ…” ผมอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “วันก่อนปวดหัวนิดหน่อยน่ะครับ ก็เลยหายามากิน”

                “ดีขึ้นแล้วมั้ย?”

                “หายแล้วครับ”

                “ดีแล้วล่ะ งั้นพ่อกับแม่ไปเก็บของก่อนนะ เดี๋ยวมาคุยด้วยต่อ”

                ท่านทั้งสองช่วยกันขนข้าวของขึ้นไปบนห้อง เหลือเพียงผมที่ยังนั่งมองกล่องยาที่ตั้งอยู่พร้อมกับหวนนึกถึงเรื่องราวในคืนนั้น เรื่องที่ผมก็ยังไม่เข้าใจและจับต้นชนปลายกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ถูก

                หลังจากที่ผมทำแผลให้นายคนนั้นเสร็จ ผมก็เผลอนั่งหลับไปบนโซฟาพร้อมกับเขาที่หนุนหัวบนตักผม รู้ตัวอีกทีตอนที่ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก แต่เขาคนนั้นหายตัวไปแล้ว ผมตกใจรีบสำรวจสิ่งของภายในบ้านเพราะคิดว่าหลงกลเสียรู้ให้กับโจร ทว่าเมื่อตรวจดูจนแน่ชัดก็ไม่พบว่ามีข้าวของที่สูญหายแต่อย่างใด มีเพียงกระดาษโน้ตใบเล็ก ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับข้อความสั้น ๆ ที่เขียนถึงผม

                ‘หวังว่าเราจะได้เจอกันอีก…ไอ้หน้าจืด

                เห็นแล้วรู้สึกขนลุกวาบ ได้แต่ภาวนาว่าอย่าต้องเจอะเจอกันอีกเลย

     


     

                “เสร็จหรือยังฟอส”

                “เสร็จแล้วครับ” ผมตะโกนบอกแม่ ก้าวเท้าเดินลงบันไดมายังชั้นล่าง เห็นพ่อกับแม่นั่งรออยู่ที่โซฟาห้องรับแขก

                “งั้นไปกันเลย”

                ต่างคนต่างช่วยกันยกสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะคนละไม้คนละมือ ทั้งอาหารคาวหวาน สังฆทานเครื่องใช้ที่เตรียมไว้สำหรับการไปทำบุญในเช้าวันนี้

                นี่คือกิจกรรมของครอบครัวผมที่ทำเป็นประจำ พวกเราจะเดินทางไปทำบุญถวายสังฆทานทุกวันพระของแต่ละสัปดาห์ ทว่าเมื่อผมไปเรียนต่างจังหวัดก็ทำให้ร้างราจากการทำบุญไปนาน กลับมาครั้งนี้มีโอกาสได้ทำอีกครั้งจึงถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี

                เป็นปกติของวันพระที่ชาวบ้านในระแวกใกล้เคียงจะพากันมาทำบุญ ฟังเทศน์ฟังธรรมที่วัดอันเป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนในหมู่บ้านที่ปฏิบัติกันมาอย่างช้านาน นอกจากจะได้อิ่มบุญอิ่มใจในการสร้างกุศลแล้ว ก็ยังถือเป็นการได้พบปะพูดคุยตามภาษาชาวบ้านที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกันอีกด้วย

                หลังจากทำพิธีกรรมทางศาสนาต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อย พ่อกับแม่ก็พาผมมากราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าอาวาส

                “นมัสการค่ะหลวงพ่อ ดิฉันพาเจ้าฟอสมาเยี่ยมค่ะ” 

                “วันก่อนเจอกันแล้วล่ะ”

                “ลูกมาวัดแล้วเหรอ?” แม่หันมาถาม ผมจึงพยักหน้ายิ้มตอบให้ท่านหายสงสัย

                “เป็นไงบ้าง ปลอดภัยดีนะ”

                “ครับ เดินทางปลอดภัย แต่เหนื่อยนิดหน่อยเพราะขับรถทางไกลเองคนเดียว” พ่อตอบ 

                “อาตมาหมายถึงเจ้าฟอส” หลวงพ่อยกยิ้ม “เราปลอดภัยดีนะ” สายตาของความอาทรมองมาทางผม

                “คะ ครับ” ตอบรับไปอย่างตะกุกตะกัก เพราะไม่แน่ใจนักว่าท่านกำลังหมายถึงเรื่องอะไร

                “ดีแล้ว ทำตามที่อาตมาบอกใช่มั้ย?”

                ผมนิ่งค้างอยู่ชั่วอึกใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าท่านคงหมายถึงเรื่องในคืนนั้น

                “ครับ”

                “ดีแล้วล่ะ” หลวงพ่อยิ้มอย่างพอใจ แต่กลับทิ้งความสงสัยก้อนใหญ่ใส่หัวของผม

                หลวงพ่อพูดราวกับรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง หรือท่านจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าจริง ๆ อย่างที่ผมคิดไว้

                “คุยอะไรกันเหรอคะ?” แม่ขมวดคิ้ว หันมองหลวงพ่อกับผมสลับไปมา

                “ไม่มีอะไรครับ” ผมปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้แม่รู้เรื่องราวเสี่ยงตายในคืนนั้น “แม่จะไปตลาดอีกใช่มั้ย งั้นเรารีบไปกันดีกว่า เดี๋ยวชักช้าตลาดจะวายเสียก่อน” ผมเปลี่ยนเรื่องคุย และแม่ก็คล้อยตามโดยไม่สงสัยอะไรอีก 

                “เออจริงด้วย งั้นดิฉันกราบลาก่อนนะคะ” เธอหันไปร่ำลาหลวงพ่อ ก่อนที่ผมจะยกมือกราบลาตาม ลุกขึ้นเตรียมเดินออกจากศาลา

                “เจ้าฟอส” ผมหยุดชะงัก เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากพระผู้ใหญ่ “คืนนั้นเป็นแค่การเริ่มต้น จำคำหลวงพ่อไว้นะ”

                “…” ขนลุกชูชันไปทั้งตัว ยิ่งเห็นรอยยิ้มยกอย่างมีเลศนัยก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่าง

                แค่การเริ่มต้นอย่างงั้นเหรอ อย่าบอกนะว่าผมจะต้องเจอกับไอ้หมอนั้นอีก

     

                ความคิดสับสนวกวนอยู่ในหัวสมองตลอดเส้นทางจนมาถึงตลาด พ่อกลับบ้านไปก่อนแล้ว จึงเหลือแค่ผมที่ทำหน้าที่เป็นเบ๊คอยเดินตามแม่และถือสิ่งของที่เธอจับจ่าย

                “เย็นนี้ฟอสอยากกินปลาหมึกผัดไข่เค็มมั้ยลูก?”

                “…”

                “ฟอส”

                “…”

                “ฟอส!”

                “คะ ครับ”

                “เหม่ออะไร แม่เรียกตั้งหลายครั้งไม่ได้ยินหรือไง”

                ผมส่ายหน้าหวือ คงเป็นเพราะมัวแต่นึกถึงคำพูดของหลวงพ่อจนไม่ได้สนใจสิ่งที่แม่ถาม

                “ไม่สบายหรือเปล่า จะกลับไปพักมั้ย?”

                “ไม่เป็นไรครับ แม่ซื้อให้เสร็จก่อนก็ได้” ผมคลี่ยิ้มให้แม่คลายกังวล

                “อืม...งั้นอีกแปบนึงนะ ซื้อของใกล้จะครบล่ะ” 

                เราสองคนเดินซื้อของต่อกันอีกนิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นข้าวของก็มากมายจนผมต้องหอบหิ้วเต็มสองมือ แถมของแต่ละอย่างไม่ใช่น้อย ๆ ที่ถืออยู่นี้น้ำหนักรวมมากกว่าลูกเหล็กที่ยกตอนเล่นเวทซะอีก

                “เฮ้อ...เหนื่อย” ผมวางข้าวของลงบนโต๊ะในครัวทันทีเมื่อกลับมาถึง ลากเก้าอี้เอามานั่งอย่างคนหมดแรง ไม่คิดว่าการเดินจากตลาดมาถึงบ้านในระยะทางไม่ถึงกิโลจะทำให้เหนื่อยขนาดนี้

                “อุ้ย!” แม่ร้องอุทาน ทำหน้าตกใจหลังกวาดสายตามองของที่วางอยู่

                “อะไรแม่”

                “แม่ลืมซื้อไข่เค็ม” ท่านหัวเราะแหะ ๆ เลื่อนสายตามองผมอย่างรู้สึกผิด

                “เฮ้อ” ถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ ถึงแม้แม่จะไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น แต่ผมก็รู้ทันทีว่าสิ่งที่เธอต้องการจากผมคืออะไร

                “เอานา ของโปรดแกนะ ไม่อยากกินหรือไง”

                “ก็ได้แม่” ลุกขึ้นเตรียมกลับไปตลาดด้วยความจำยอม เพราะแม่เป็นแบบนี้ตลอด ไปตลาดด้วยกันไม่มีครั้งไหนที่แม่จะซื้อของครบตามต้องการ บอกให้เขียนจดไปก็ไม่ยอมทำ เอาแต่บอกว่าจำได้ ๆ เป็นไงล่ะ แม่ไม่เหนื่อยไง ผมนี่แหละที่ต้องเหนื่อย

     

    -----

    อย่าลืมกด fav กันด้วยน้า จะได้ไม่พลาดตอนใหม่

    กดคอมเม้นต์ กดหัวใจเป็นกำลังใจให้กันสักนิดน้า

    จุ๊บ ๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×