คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : 9. The truth is ... (50%)
“นะ…นายกำลังจะพาเราไปไหน?”
ผมถามเสียงสั่น เหลือบตามองคนเคียงข้างอย่างหวาดหวั่น ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่บนรถของไนโตรมาครู่ใหญ่ แต่เขาแค่สตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ นั่งเฉย ๆ โดยไม่พูดไม่จาใด ๆ
ยอมรับว่าตอนนี้ผมกลัวมาก กลัวจนฉี่จะราดอยู่แล้ว ความคิดต่าง ๆ นานาประเดประดังเข้ามาจนฟุ้งซ่านไปหมด ครั้นจะให้เปิดประตูวิ่งหนีไปก็ไม่กล้า กลัวจะทำให้เขาโมโหมากกว่าเก่า แต่จะให้นั่งอยู่เฉย ๆ แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็คงไม่ไหว ผมคงบ้าประสาทเสียไปซะก่อน สุดท้ายจึงตัดสินใจที่จะพูดถามออกไป
ถึงแม้จะรู้สึกกลัวมากแค่ไหนก็ตาม
“พี่เทอร์โบมาคุยอะไรกับพี่” ไม่ทันจะได้เปิดปากถาม เสียงเย็นเยือกของคนเคียงข้างก็ถูกเปล่งออกมาจนผมขนลุกวาบ สายตาแข็งกร้าวมองตรงทางด้านหน้าไม่แม้แต่หันมามองผม
“เอ่อ…”
“ผมถามว่าคุยอะไร?” เสียงดุทำผมสะดุ้ง รีบตอบคำถามของเขาอย่างร้อนลน
“พะ พะ พี่เทอร์โบมาบอกให้เราดูแลนาย”
“ดูแลผม?” ร่างสูงตวัดหน้ามอง สีหน้าเข้มขรึมแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัย
“เราเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาบอกให้เราดูแลนาย”
“หึ” มีเพียงเสียงในลำคอ ก่อนที่เขาจะหันกลับไป
“…” ผมได้แต่มองตาม ความสงสัยทั้งหมดกลับมาอยู่ที่ตัวผม เมื่อท่าทีของเขาผ่อนคลายลง ไม่แข็งกระด้างเหมือนก่อนหน้านี้
“แล้วพี่ผมบอกเหรอว่าบ้านเราเป็นมาเฟีย”
“เปล่า”
“แล้วพี่รู้ได้ไง?”
ถามว่ารู้ได้ไง แสดงว่าต้องใช่แน่ ๆ ต้องเป็นอย่างที่ผมคิด
“ก็เดาจากเหตุการณ์ทั้งหมดเอา ตอนนี้นายกำลังถูกฝ่ายตรงข้ามตามล่าอยู่ใช่มั้ย พี่ของนายเลยมาขอให้เราช่วยดูแลนาย”
“เพ้อเจ้อ” เขาพูดใส่ผม พร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฎบนใบหน้า ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ดีขึ้น แต่กลับสร้างความขุ่นเคืองให้กับผม
“ไม่ต้องมาว่าเราเลยนะ ยอมรับมาซะดี ๆ ว่านายเป็นพวกมาเฟีย”
“แล้วถ้าผมบอกว่าไม่ล่ะ”
“เราไม่เชื่อ”
“งั้นก็ไม่ต้องถาม เพราะยังไงพี่ก็ไม่เชื่อ”
“เอาเป็นว่าต่อจากนี้นายไม่ต้องมายุ่งกับเราอีก” ถือโอกาสที่เห็นเขาผ่อนคลายอารมณ์ลง ผมจึงรีบหาเรื่องชิ่งหนี เปิดประตูเตรียมลงจากรถ
“พี่จะไปไหน?”
“กลับหอ”
“ผมไม่ให้ไป” มือหนารั้งแขนของผมเอาไว้ทำให้ต้องหยุดชะงัก เสียงแข็งกร้าวที่ได้ยินทำให้ขนอ่อนตามร่างกายของผมลุกชันอย่างอัตโนมัติ
ผมพยายามสะบัดแขนออก แต่ไนโตรก็ยังจับแน่นไม่ยอมปล่อย
“ปล่อยเรานะ”
“ไม่”
“ปล่อยเราไปเถอะ” ผมส่งเสียงอ่อนอย่างออดอ้อน มองเขาตาระห้อยเพื่อขอความเห็นใจ “อย่าทำอะไรเราเลยนะ”
ทั้งที่ผมกำลังจะร้องไห้อยู่แล้ว แต่คนตรงหน้ากลับคลี่ยิ้มออกมา พยายามขบเม้มริมฝีปากเพื่อกลั้นขำ
คนกลัวตาย มันน่าขำตรงไหนฮะ
“พี่คิดว่าผมจะทำอะไร?”
“ไม่รู้” ผมส่ายหัวดิ๊ก รู้สึกหวาดหวั่นเมื่อเห็นใบหน้าเจ้าเล่ห์ “แต่อย่าทำอะไรเราเลยนะ เรายังไม่อยากตายตอนนี้”
“ผมว่าพี่น่าจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว”
“…”
“สรุปคือพี่คิดว่าผมเป็นพวกมาเฟีย และผมกำลังถูกตามล่า พี่ก็เลยกลัวผมจะทำร้ายพี่ กลัวพี่จะต้องซวยเพราะผมใช่มั้ย?” ไนโตรพูดด้วยท่าทางสงบนิ่ง ไม่ได้แสดงความน่ากลัวหรือหยอกล้อเหมือนที่ผ่าน ๆ มา
ผมพยักหน้า เมื่อเขาพูดแทนสิ่งที่ผมคิดทั้งหมด
สองมือหนาเลื่อนมาจับบริเวณไหล่ของผม บิดตัวที่นั่งเอียงข้างให้หันมาเผชิญหน้ากับเขาโดยตรง ก่อนที่ไนโตรจะพูดกับผมด้วยเสียงนุ่มลึกกว่าปกติ
“พี่ฟังผมดี ๆ นะครับ ผมไม่ใช่ลูกมาเฟีย ไม่ใช่พวกอันธพาล ไม่มีใครตามล่าฆ่าผมทั้งนั้น”
“แล้วทำไมพี่เทอร์โบต้องมาขอให้เราดูแลนายด้วยล่ะ” ผมเชื่อเขา แววตาที่สบมองผมไม่มีความโกหกเลยสักนิด และคิดไปคิดมาเรื่องที่ผมมโนเอาเองก็ดูจะเพ้อเจ้อเกินจริงไปหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าทำไมพี่ชายของเขาจึงต้องมาขอความช่วยเหลือจากผม
“…” เขาผละมือออกจากตัวผม ถอนหายใจยาวออกมาก่อนจะกลับไปพิงผนังเก้าอี้
“ถ้านายไม่อยากให้เราเข้าใจผิด นายต้องพูดความจริงกับเรา”
“จะเอาความจริงเรื่องไหนดีล่ะ เรื่องที่ผมไม่ถูกกับพี่เทอร์โบ เรื่องที่ผมทะเลาะกับพ่อ เรื่องที่ผมถูกบังคับให้เรียนหมอ หรือเรื่องที่ผมชอบพี่”
“ทุกเรื่อง…” ผมนิ่งงันไปชั่วขณะ เมื่อสมองประมวลผลถึงท้ายประโยคที่ได้ยิน “พูดบ้าอะไรของนาย ถ้ายังเล่นไม่เลิก เราจะไม่คุยกับนายจริง ๆ แล้วนะ” คนกำลังจริงจัง ยังจะมาพูดเล่นอีก
“หึ” เขาส่งเสียงแค่นั้น ก่อนจะนิ่งเงียบไป
ผมมองเขาด้วยคำถามมากมายที่หมุนวนในหัวสมอง ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นมากนัก แต่อาการที่เขาแสดงก็พอจะทำให้ผมเดาได้ว่าภายในจิตใจของเขามีเรื่องปวดใจอยู่ไม่น้อย เมื่อตะกี้ถ้าไม่นับเรื่องที่เขาพูดแกล้งผมในประโยคสุดท้าย ฟังแล้วเหมือนเขาจะมีปัญหากับครอบครัว มิน่าล่ะว่าทำไมเขาจึงดูไม่ภูมิใจกับการสอบติดหมอเลยแม้แต่น้อย
“ผมมีปัญหากับที่บ้าน” เสียงทุ้มของคนเคียงข้างทำให้ผมหลุดออกจากความคิด หันมองเจ้าของเสียงที่พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อืม” ผมรับคำแค่นั้น เข้าใจดีว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาเล่าให้คนนอกอย่างผมฟัง
“จะไม่ถามหน่อยเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่อะ แต่ถ้านายอยากระบายออกมาบ้าง เราก็ยินดีรับฟัง”
“พี่อย่าทิ้งผมไปได้มั้ย?”
“…”
“ผมไม่เหลือใครแล้ว ไม่เหลือแล้วจริง ๆ”
- - - - - -
“อ้าวไอ้ฟอส ลมอะไรหอบมึงมาถึงนี่ได้วะ” ไอ้ดลเพื่อนที่โรงเรียนเก่าทักทาย ขณะที่ผมกำลังยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ที่คณะวิศวะ
“โชคดีจังว่ะที่เจอมึง” ผมคลี่ยิ้มออกเมื่อเจอเพื่อนเจ้าถิ่น หลังจากสับสนอยู่นานไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน
คณะวิศวะแม่งโคตรกว้าง แถมผู้คนก็เยอะแยะ ใส่ชุดเหมือน ๆ กันหมดจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร
“มีอะไร แล้วมึงยังไม่บอกกูเลยว่ามาคณะกูทำไม”
“กูมาหารุ่นพี่ที่ชื่อเทอร์โบ รู้สึกจะอยู่ปีสาม มึงรู้จักเปล่า?”
“รู้จักดิ พี่ภาคกู”
“มึงรู้มั้ยว่าเขาอยู่ไหน?” เหมือนฟ้ามาโปรดแท้ ๆ ไม่ต้องเดินตามหาให้เหนื่อย
“เมื่อกี้กูเห็นนั่งอยู่ที่โต๊ะใต้ต้นไม้ตรงโน้นนะ แต่ไม่รู้ตอนนี้ยังอยู่หรือเปล่า?”
“ขอบใจมากมึง ไว้วันหลังกูจะพาไปเลี้ยงข้าว” ผมตบไหล่ไอ้ดลแปะ ๆ ก่อนจะรีบวิ่งไปยังทางที่มันบอก
กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ในที่สุดผมก็เจอเป้าหมายที่ต้องการ
“พี่เทอร์โบ” ผมเรียกเขา เมื่อเดินมาถึงโต๊ะที่เขานั่งร่วมกับเพื่อน ๆ คนอื่นอีกสามคน
และสายตาทุกคนก็จับจ้องมาทางผมเป็นจุดสนใจเดียวกัน
“อ้าวฟอส มีอะไรเหรอ?”
“ผมมีเรื่องของไนโตรจะคุยกับพี่หน่อยครับ”
“เดี๋ยวเรามา” พี่เทอร์โบบอกเพื่อน ๆ ก่อนจะหันมาคุยกับผมต่อ “เราไปคุยกันตรงโน้นดีกว่านะ” เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ รีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋าก่อนจะเดินนำผมไปยังอีกมุมที่อยู่ห่างไกลจากผู้คน
“ฟอสยอมช่วยพี่แล้วใช่มั้ย?” ชายรุ่นพี่เอ่ยถามทันทีด้วยแววตาเปล่งประกาย รอฟังคำตอบจากผมอย่างจดจ่อ
“ครับ ผมยินดีจะช่วยพี่”
“ขอบใจมากนะ ขอบใจมากจริง ๆ” พี่เทอร์โบยิ้มกว้าง ปิดความดีใจไว้แทบไม่มิด
“แต่พี่ต้องบอกผมก่อน ว่าเกิดอะไรขึ้นกับไนโตร” คำถามของผมทำให้รุ่นพี่ชะงัก ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาราวกับมีเรื่องกังวลใจปิดบังซ่อนอยู่
นับตั้งแต่ที่ผมรู้จักกับไนโตร ผมรับรู้ได้ตลอดว่าเขามีอะไรบางอย่างเก็บซ่อนไว้ในใจ แต่ที่ผ่านมาเขาไม่เคยแสดงออก และผมก็ไม่ได้สนใจเพราะไม่เคยคิดจะทำความรู้จักหรือสนิทสนมกับเขาอยู่แล้ว
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้ผมเปลี่ยนความคิด คำพูดของไนโตรที่ขอให้ผมอยู่กับเขายังก้องกังวานในโสตประสาท ไม่อยากจะเชื่อว่าคำพูดที่แสนจะสะเทือนใจแบบนั้นจะหลุดออกมาจากปากของเขา ผมรับรู้ได้ว่าเขากำลังขอร้องผมจริง ๆ โดยไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเหมือนหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา
และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ผมเดินทางมาที่นี่ ก็เพราะอยากรู้ความจริงจากปากพี่ชายของเขา
ความคิดเห็น