ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [END]​ Nitro ชื่อนี้ไม่รักได้ไหม

    ลำดับตอนที่ #19 : 9. The truth is ... (50%)

    • อัปเดตล่าสุด 1 ส.ค. 64


     

                “นะ…นายกำลังจะพาเราไปไหน?”

                

                ผมถามเสียงสั่น เหลือบตามองคนเคียงข้างอย่างหวาดหวั่น ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่บนรถของไนโตรมาครู่ใหญ่ แต่เขาแค่สตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ นั่งเฉย ๆ โดยไม่พูดไม่จาใด ๆ

                ยอมรับว่าตอนนี้ผมกลัวมาก กลัวจนฉี่จะราดอยู่แล้ว ความคิดต่าง ๆ นานาประเดประดังเข้ามาจนฟุ้งซ่านไปหมด ครั้นจะให้เปิดประตูวิ่งหนีไปก็ไม่กล้า กลัวจะทำให้เขาโมโหมากกว่าเก่า แต่จะให้นั่งอยู่เฉย ๆ แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็คงไม่ไหว ผมคงบ้าประสาทเสียไปซะก่อน สุดท้ายจึงตัดสินใจที่จะพูดถามออกไป

                ถึงแม้จะรู้สึกกลัวมากแค่ไหนก็ตาม

                “พี่เทอร์โบมาคุยอะไรกับพี่” ไม่ทันจะได้เปิดปากถาม เสียงเย็นเยือกของคนเคียงข้างก็ถูกเปล่งออกมาจนผมขนลุกวาบ สายตาแข็งกร้าวมองตรงทางด้านหน้าไม่แม้แต่หันมามองผม

                “เอ่อ…”

                “ผมถามว่าคุยอะไร?” เสียงดุทำผมสะดุ้ง รีบตอบคำถามของเขาอย่างร้อนลน

                “พะ พะ พี่เทอร์โบมาบอกให้เราดูแลนาย”

                “ดูแลผม?” ร่างสูงตวัดหน้ามอง สีหน้าเข้มขรึมแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัย

                “เราเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาบอกให้เราดูแลนาย”

                “หึ” มีเพียงเสียงในลำคอ ก่อนที่เขาจะหันกลับไป

                “…” ผมได้แต่มองตาม ความสงสัยทั้งหมดกลับมาอยู่ที่ตัวผม เมื่อท่าทีของเขาผ่อนคลายลง ไม่แข็งกระด้างเหมือนก่อนหน้านี้

                “แล้วพี่ผมบอกเหรอว่าบ้านเราเป็นมาเฟีย”

                “เปล่า”

                “แล้วพี่รู้ได้ไง?”

                ถามว่ารู้ได้ไง แสดงว่าต้องใช่แน่ ๆ ต้องเป็นอย่างที่ผมคิด

                “ก็เดาจากเหตุการณ์ทั้งหมดเอา ตอนนี้นายกำลังถูกฝ่ายตรงข้ามตามล่าอยู่ใช่มั้ย พี่ของนายเลยมาขอให้เราช่วยดูแลนาย”

                “เพ้อเจ้อ” เขาพูดใส่ผม พร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฎบนใบหน้า ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ดีขึ้น แต่กลับสร้างความขุ่นเคืองให้กับผม

                “ไม่ต้องมาว่าเราเลยนะ ยอมรับมาซะดี ๆ ว่านายเป็นพวกมาเฟีย”

                “แล้วถ้าผมบอกว่าไม่ล่ะ”

                “เราไม่เชื่อ”

                “งั้นก็ไม่ต้องถาม เพราะยังไงพี่ก็ไม่เชื่อ”

                “เอาเป็นว่าต่อจากนี้นายไม่ต้องมายุ่งกับเราอีก” ถือโอกาสที่เห็นเขาผ่อนคลายอารมณ์ลง ผมจึงรีบหาเรื่องชิ่งหนี เปิดประตูเตรียมลงจากรถ

                “พี่จะไปไหน?”

                “กลับหอ”

                “ผมไม่ให้ไป” มือหนารั้งแขนของผมเอาไว้ทำให้ต้องหยุดชะงัก เสียงแข็งกร้าวที่ได้ยินทำให้ขนอ่อนตามร่างกายของผมลุกชันอย่างอัตโนมัติ

                ผมพยายามสะบัดแขนออก แต่ไนโตรก็ยังจับแน่นไม่ยอมปล่อย

                “ปล่อยเรานะ”

                “ไม่”

                “ปล่อยเราไปเถอะ” ผมส่งเสียงอ่อนอย่างออดอ้อน มองเขาตาระห้อยเพื่อขอความเห็นใจ “อย่าทำอะไรเราเลยนะ”

                ทั้งที่ผมกำลังจะร้องไห้อยู่แล้ว แต่คนตรงหน้ากลับคลี่ยิ้มออกมา พยายามขบเม้มริมฝีปากเพื่อกลั้นขำ

                คนกลัวตาย มันน่าขำตรงไหนฮะ

                “พี่คิดว่าผมจะทำอะไร?”

                “ไม่รู้” ผมส่ายหัวดิ๊ก รู้สึกหวาดหวั่นเมื่อเห็นใบหน้าเจ้าเล่ห์ “แต่อย่าทำอะไรเราเลยนะ เรายังไม่อยากตายตอนนี้”

                “ผมว่าพี่น่าจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว”

                “…”

                “สรุปคือพี่คิดว่าผมเป็นพวกมาเฟีย และผมกำลังถูกตามล่า พี่ก็เลยกลัวผมจะทำร้ายพี่ กลัวพี่จะต้องซวยเพราะผมใช่มั้ย?” ไนโตรพูดด้วยท่าทางสงบนิ่ง ไม่ได้แสดงความน่ากลัวหรือหยอกล้อเหมือนที่ผ่าน ๆ มา

                ผมพยักหน้า เมื่อเขาพูดแทนสิ่งที่ผมคิดทั้งหมด

                สองมือหนาเลื่อนมาจับบริเวณไหล่ของผม บิดตัวที่นั่งเอียงข้างให้หันมาเผชิญหน้ากับเขาโดยตรง ก่อนที่ไนโตรจะพูดกับผมด้วยเสียงนุ่มลึกกว่าปกติ

                “พี่ฟังผมดี ๆ นะครับ ผมไม่ใช่ลูกมาเฟีย ไม่ใช่พวกอันธพาล ไม่มีใครตามล่าฆ่าผมทั้งนั้น”

                “แล้วทำไมพี่เทอร์โบต้องมาขอให้เราดูแลนายด้วยล่ะ” ผมเชื่อเขา แววตาที่สบมองผมไม่มีความโกหกเลยสักนิด และคิดไปคิดมาเรื่องที่ผมมโนเอาเองก็ดูจะเพ้อเจ้อเกินจริงไปหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าทำไมพี่ชายของเขาจึงต้องมาขอความช่วยเหลือจากผม

                “…” เขาผละมือออกจากตัวผม ถอนหายใจยาวออกมาก่อนจะกลับไปพิงผนังเก้าอี้

                “ถ้านายไม่อยากให้เราเข้าใจผิด นายต้องพูดความจริงกับเรา” 

                “จะเอาความจริงเรื่องไหนดีล่ะ เรื่องที่ผมไม่ถูกกับพี่เทอร์โบ เรื่องที่ผมทะเลาะกับพ่อ เรื่องที่ผมถูกบังคับให้เรียนหมอ หรือเรื่องที่ผมชอบพี่”

                “ทุกเรื่อง…” ผมนิ่งงันไปชั่วขณะ เมื่อสมองประมวลผลถึงท้ายประโยคที่ได้ยิน “พูดบ้าอะไรของนาย ถ้ายังเล่นไม่เลิก เราจะไม่คุยกับนายจริง ๆ แล้วนะ” คนกำลังจริงจัง ยังจะมาพูดเล่นอีก

                “หึ” เขาส่งเสียงแค่นั้น ก่อนจะนิ่งเงียบไป 

                ผมมองเขาด้วยคำถามมากมายที่หมุนวนในหัวสมอง ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นมากนัก แต่อาการที่เขาแสดงก็พอจะทำให้ผมเดาได้ว่าภายในจิตใจของเขามีเรื่องปวดใจอยู่ไม่น้อย เมื่อตะกี้ถ้าไม่นับเรื่องที่เขาพูดแกล้งผมในประโยคสุดท้าย ฟังแล้วเหมือนเขาจะมีปัญหากับครอบครัว มิน่าล่ะว่าทำไมเขาจึงดูไม่ภูมิใจกับการสอบติดหมอเลยแม้แต่น้อย

                “ผมมีปัญหากับที่บ้าน” เสียงทุ้มของคนเคียงข้างทำให้ผมหลุดออกจากความคิด หันมองเจ้าของเสียงที่พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย

                “อืม” ผมรับคำแค่นั้น เข้าใจดีว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาเล่าให้คนนอกอย่างผมฟัง

                “จะไม่ถามหน่อยเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น?”

                “ไม่อะ แต่ถ้านายอยากระบายออกมาบ้าง เราก็ยินดีรับฟัง”

                “พี่อย่าทิ้งผมไปได้มั้ย?”

                “…”

                “ผมไม่เหลือใครแล้ว ไม่เหลือแล้วจริง ๆ”

     

    - - - - - - 

     

                “อ้าวไอ้ฟอส ลมอะไรหอบมึงมาถึงนี่ได้วะ” ไอ้ดลเพื่อนที่โรงเรียนเก่าทักทาย ขณะที่ผมกำลังยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ที่คณะวิศวะ 

                “โชคดีจังว่ะที่เจอมึง” ผมคลี่ยิ้มออกเมื่อเจอเพื่อนเจ้าถิ่น หลังจากสับสนอยู่นานไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน

                คณะวิศวะแม่งโคตรกว้าง แถมผู้คนก็เยอะแยะ ใส่ชุดเหมือน ๆ กันหมดจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร

                “มีอะไร แล้วมึงยังไม่บอกกูเลยว่ามาคณะกูทำไม”

                “กูมาหารุ่นพี่ที่ชื่อเทอร์โบ รู้สึกจะอยู่ปีสาม มึงรู้จักเปล่า?”

                “รู้จักดิ พี่ภาคกู” 

                “มึงรู้มั้ยว่าเขาอยู่ไหน?” เหมือนฟ้ามาโปรดแท้ ๆ ไม่ต้องเดินตามหาให้เหนื่อย

                “เมื่อกี้กูเห็นนั่งอยู่ที่โต๊ะใต้ต้นไม้ตรงโน้นนะ แต่ไม่รู้ตอนนี้ยังอยู่หรือเปล่า?”

                “ขอบใจมากมึง ไว้วันหลังกูจะพาไปเลี้ยงข้าว” ผมตบไหล่ไอ้ดลแปะ ๆ ก่อนจะรีบวิ่งไปยังทางที่มันบอก

                กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ในที่สุดผมก็เจอเป้าหมายที่ต้องการ

                “พี่เทอร์โบ” ผมเรียกเขา เมื่อเดินมาถึงโต๊ะที่เขานั่งร่วมกับเพื่อน ๆ คนอื่นอีกสามคน

                และสายตาทุกคนก็จับจ้องมาทางผมเป็นจุดสนใจเดียวกัน

                “อ้าวฟอส มีอะไรเหรอ?”

                “ผมมีเรื่องของไนโตรจะคุยกับพี่หน่อยครับ”

                “เดี๋ยวเรามา” พี่เทอร์โบบอกเพื่อน ๆ ก่อนจะหันมาคุยกับผมต่อ “เราไปคุยกันตรงโน้นดีกว่านะ” เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ รีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋าก่อนจะเดินนำผมไปยังอีกมุมที่อยู่ห่างไกลจากผู้คน

                “ฟอสยอมช่วยพี่แล้วใช่มั้ย?” ชายรุ่นพี่เอ่ยถามทันทีด้วยแววตาเปล่งประกาย รอฟังคำตอบจากผมอย่างจดจ่อ

                “ครับ ผมยินดีจะช่วยพี่”

                “ขอบใจมากนะ ขอบใจมากจริง ๆ” พี่เทอร์โบยิ้มกว้าง ปิดความดีใจไว้แทบไม่มิด

                “แต่พี่ต้องบอกผมก่อน ว่าเกิดอะไรขึ้นกับไนโตร” คำถามของผมทำให้รุ่นพี่ชะงัก ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาราวกับมีเรื่องกังวลใจปิดบังซ่อนอยู่

                นับตั้งแต่ที่ผมรู้จักกับไนโตร ผมรับรู้ได้ตลอดว่าเขามีอะไรบางอย่างเก็บซ่อนไว้ในใจ แต่ที่ผ่านมาเขาไม่เคยแสดงออก และผมก็ไม่ได้สนใจเพราะไม่เคยคิดจะทำความรู้จักหรือสนิทสนมกับเขาอยู่แล้ว 

                ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้ผมเปลี่ยนความคิด คำพูดของไนโตรที่ขอให้ผมอยู่กับเขายังก้องกังวานในโสตประสาท ไม่อยากจะเชื่อว่าคำพูดที่แสนจะสะเทือนใจแบบนั้นจะหลุดออกมาจากปากของเขา ผมรับรู้ได้ว่าเขากำลังขอร้องผมจริง ๆ โดยไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเหมือนหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา

                และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ผมเดินทางมาที่นี่ ก็เพราะอยากรู้ความจริงจากปากพี่ชายของเขา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×