ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [END]​ Nitro ชื่อนี้ไม่รักได้ไหม

    ลำดับตอนที่ #1 : 1. First time (50%)

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.ค. 64


     

     

                “น่าเบื่อฉิบหาย ไม่มีอะไรให้ทำเลย”

                

                ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง นอนกลิ้งไปมาบนเตียงด้วยความเบื่อหน่าย มองดูนาฬิกาที่แขวนบนผนังห้องนอนก็เกือบจะบ่ายสามโมงแล้ว แต่ผมยังนอนเหี่ยวเฉาอยู่บนเตียงโดยไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี หลังจากเดินทางกลับมาถึงบ้านตั้งแต่เมื่อตอนเช้า

                ผมชื่อ ‘ฟอส’ เป็นนักศึกษาปีหนึ่งคณะวิทยาศาสตร์ ช่วงนี้กำลังอยู่ในช่วงปิดเทอมใหญ่ที่มีเวลาให้ได้พักผ่อนร่วม ๆ สองเดือน อันที่จริงตอนนี้ผมควรจะได้เล่นน้ำ ชมปะการัง และล่องเรือไปตามเกาะต่าง ๆ กับกลุ่มเพื่อน ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อกับแม่สั่งให้ผมกลับบ้านโดยอ้างว่าคิดถึง แต่ทันทีที่กลับมาก็พบว่าตัวเองโดนหลอกเข้าอย่างจัง ภายในบ้านว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คน มีเพียงกระดาษโน้ตแผ่นเล็ก ๆ บนโต๊ะกินข้าวที่บอกเล่าเรื่องราวให้ผมหายสงสัย

                ถึง ฟอส ลูกรัก

     

              พ่อกับแม่ขอโทษนะที่ไม่ได้รอลูกกลับบ้าน พอดีพ่อได้ Gift Vocher ล่องเรือสำราญพร้อมที่พักสามวันสองคืนเป็นของขวัญวันเกิดจากหัวหน้า ซึ่งกำลังจะหมดอายุภายในอาทิตย์นี้ พ่อกับแม่จึงจำเป็นต้องรีบไปเที่ยวทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจหรือวางแผนมาก่อน

              ฝากลูกรดน้ำต้นไม้ในสวนให้ด้วยนะ พ่อหวังว่ากลับบ้านไปต้นไม้ของพ่อจะยังแข็งแรงสมบูรณ์เหมือนเดิม

     

                                                              ด้วยรัก

                                       แล้วพ่อจะซื้อพวงกุญแจเปลือกหอยไปฝาก

     

                ใช่แล้วครับ...ผมโดนพ่อและแม่หลอกให้กลับบ้านมาเพื่อรดน้ำต้นไม้

                เฮ้อ…ชีวิตหนอชีวิต

                ได้แต่ถอนหายใจและถือสายน้ำฉีดรดน้ำต้นไม้ของพ่อต่อไป

                “รดน้ำให้แล้วนะ อย่ามาตายเอาช่วงนี้ก็แล้วกัน” เหงาจัดถึงขึ้นย่นจมูกใส่ พูดบ่นกับต้นกล้วยไม้ของพ่อก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน

                ทำอะไรต่อดีล่ะทีนี้ หันไปทางไหนก็มีแต่สิ่งที่น่าเบื่อหน่าย จะให้ดูทีวีเหรอ ผมไม่ดูนานแล้วครับตั้งแต่วงการโทรทัศน์บ้านเราเปลี่ยนเป็นทีวีดิจิตอลที่มีช่องมากมายจนเลือกเปิดไม่ถูก ครั้นจะให้ฟังเพลงผมก็ฟังซ้ำไปซ้ำมาแต่เพลงเดิม ๆ จนแทบจะเรียงลำดับชื่อเพลงได้ คิดอะไรไม่ออกผมจึงทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา เงยหน้ามองเพดานบ้านอย่างไร้จุดหมาย

                ชีวิตทำไมมันน่าเบื่ออย่างนี้วะ...

                

                ครืด...ครืด...

                โทรศัพท์มือถือของผมที่วางอยู่ข้างตัวสั่นสะเทือนแจ้งให้รู้ว่ามีสายเรียกเข้า ปลายสายคือวีดีโอคอลของไอ้ ‘ต้า’ เพื่อนสนิทร่วมคณะที่มหาวิทยาลัย ผมกดรับสาย ก่อนภาพเพื่อนรักจะปรากฎโดยมีพื้นทรายและท้องทะเลอันกว้างใหญ่เป็นฉากหลัง

                เห็นแล้วรู้สึกอิจฉาชะมัด

                “จะโทรมาเยาะเย้ยเพื่อนเหรอครับ คุณต้า” ผมพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ร้อยวันพันปีไม่เคยวีดีโอคอลมาหา พอได้เที่ยวหน่อยรีบโทรมาอวดเชียวนะ

                “เปล่า...กูเป็นห่วงมึง”

                “…”

                “มึงโอเคใช่มั้ย?”

                “กูโอเค” แปลก...น้ำเสียงของคนตรงหน้าราบเรียบเป็นปกติผิดกว่าที่คิด คิ้วหนาขมวดเล็กน้อยอย่างเป็นกังวลราวกับเป็นห่วงผมจริง ๆ อย่างไรอย่างนั้น

                หรือว่ามันรู้ว่าผมโดนพ่อกับแม่หลอกให้มาเฝ้าบ้าน

                “กูรู้เรื่องของมึงแล้วนะ”

                “…”

                “เรื่องที่มึงเลิกกับไอ้อะตอมอะ”

                “…”

                “ที่มึงกลับบ้านไม่ใช่แค่เพราะพ่อแม่มึงให้กลับใช่มั้ย แต่มึงอยากกลับไปพักทำใจเรื่องของไอ้อะตอมก็เลยไม่มาเที่ยวกับพวกกู”

                “อืม” ผมพยักหน้ายอมรับอย่างไม่ปกปิด

                เหตุผลหลักที่ผมกลับบ้านก็เป็นดั่งที่ไอ้ต้าพูดนั่นแหละครับ ผมเพิ่งเลิกกับแฟนหนุ่มร่วมชั้นปีที่คบกันมาเกือบปี เหตุผลหลักก็คือเรื่องหน้าที่การงานของเขา ด้วยความที่อะตอมเป็นคนหน้าตาดีที่มีตำแหน่งเดือนคณะเป็นเครื่องการันตี เขาจึงถูกชักชวนให้เข้าสู่วงการมายาด้วยการเป็นนายแบบ ชื่อเสียงที่กำลังพุ่งทะยานต้องแลกมาด้วยความใกล้ชิดระหว่างเราที่ถอยห่าง ความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อนต้องถูกปิดซ่อนไว้ไม่ให้ใครรู้ ผมไม่อาจทำใจยอมรับความสัมพันธ์แบบนี้ได้ จนสุดท้ายผมก็บอกเลิกเขาไปในที่สุด

                เป็นคนบอกเลิกแท้ ๆ แต่สุดท้ายก็ต้องเสียใจเพียงลำพัง

                “เอาเถอะนา ดีแล้วที่มึงตัดสินใจแบบนี้ จะได้ไม่ต้องจมปรักกับคนเชี่ย ๆ อย่างไอ้อะตอม” ไอ้ต้าพยายามพูดปลอบใจผม เชื่อเลยว่าถ้านั่งอยู่ใกล้ ๆ มันคงดึงผมเข้าไปสวมกอดเพื่อปลอบประโลมแน่ ๆ

                “อืม”

                “แล้วจะกลับมอเมื่อไหร่?”

                “คงตอนใกล้เปิดเทอมทีเดียวเลยมั้ง”

                “โอเค...เดี๋ยวว่าง ๆ กูไปหามึงที่บ้านนะ”

                “เออ...ขอบใจ” ขอบใจจริง ๆ ที่อย่างน้อยในวันที่ผมเหงาและเคว้งคว้าง ก็ยังมีเพื่อนคนนี้อยู่เคียงข้างไม่ไปไหน

                “อยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย?”

                “เออ กูไม่คิดสั้นหรอกนา” ผมยิ้มพูดให้ไอ้ต้าคลายกังวล อกหักแค่นี้ทำอะไรผมไม่ได้หรอก “ไม่ต้องเป็นห่วง”

                “เทคแคร์นะเพื่อนรัก แล้วเจอกัน”

                ผมอมยิ้ม พยักหน้าให้ไอ้ต้าที่ทำปากจุ๊บ ๆ ส่งมาก่อนจะวางสาย

                

                “โว้ย...เบื่อโว้ย...” ผมตะโกนออกมาจนสุดเสียง ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากบ้านไปอย่างไร้จุดหมาย 

                โคตรเหงาเลยอะ ยิ่งได้ยินชื่ออะตอมก็ยิ่งทำให้ผมเคว้งคว้างจนทำตัวไม่ถูก ผมไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี แต่ที่รู้คงไม่ใช่การนอนนิ่ง ๆ อยู่ในบ้านและปล่อยให้ตัวเองมีน้ำตาไหลออกมาเพราะผู้ชายคนนั้นอย่างแน่นอน

                ผมเดินโต๋เต๋ไปตามทางจนมาถึงสวนหย่อมที่ไม่ไกลจากบ้านนัก นั่งพักบนม้านั่งปล่อยให้ความนึกคิดล่องลอยไปกับสายลมและแสงแดด ใช้เวลาอยู่พักใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเดินเท้าต่อไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง สถานที่ที่น่าจะช่วยให้ผมคลายเหงาในวันที่แสนเศร้าแบบนี้ได้

                และสถานที่นั้นก็คือ…

                .

                .

              ‘โย โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาพุทโธ…

                .

                .

              ใช่แล้วครับ...‘วัด’

                ผมเดินทางมาทำวัตรเย็นที่วัดใกล้บ้านเพื่อสงบสติอารมณ์ ด้วยความที่พ่อกับแม่สอนให้ผมเข้าวัดตั้งแต่เด็ก และสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมทำอย่างสม่ำเสมอเมื่อครั้งยังเรียนอยู่ที่นี่ จะเรียกว่าผมเป็นเด็กวัดก็คงจะใช่ เพราะสมัยก่อนผมมักจะเดินตามพระที่วัดออกบิณฑบาตตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนเป็นประจำ ตกเย็นก็มานั่งฟังพระสวดมนต์ทำวัตรเย็นก่อนกลับบ้าน พอผมต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยต่างจังหวัดจึงทำให้ห่างหายจากการเข้าวัดเข้าวาไปบ้าง แต่ผมก็ยังรู้สึกดีเสมอเมื่อได้เข้ามาอยู่ในเขตพัทธสีมา

                “ไม่เจอกันนานเลยนะโยม” เสียงทุ้มนุ่มลึกของใครคนหนึ่งเอ่ยทักขณะที่กำลังเดินออกจากโบสถ์ ผมหันมองตาม ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาและกล่าวทักทายกลับด้วยความดีใจ

                “นมัสการครับหลวงพ่อ” ผมยกมือไหว้ท่านเจ้าอาวาสที่ผมนับถือ ท่านนี่แหละครับคือพระที่ผมออกเดินตามบิณฑบาตตั้งแต่เด็ก สมัยก่อนท่านยังเป็นพระธรรมดา ๆ รูปหนึ่ง แต่ตอนนี้ท่านได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้นำของวัดแล้ว

                “เป็นไง สบายดีมั้ย?”

                “สบายดีครับ...หลวงพ่อล่ะครับ สบายดีมั้ย?”

                “ก็เรื่อย ๆ ตามภาษาคนแก่แหละนะ” ท่านพูดกลั้วหัวเราะอย่างไม่ได้จริงจังนัก “ได้ข่าวว่าไปเรียนต่อต่างจังหวัด เป็นยังไงบ้างล่ะ?”

                “ก็ดีครับ แต่ชอบอยู่ที่นี่มากกว่า” เพราะที่นั่นมีแต่คนใจร้ายที่ทำลายหัวใจของผมจนป่นปี้

                “อีกไม่นานก็ได้กลับมาแล้ว”

                “คะ…ครับ?”

                “ก็ใจของเราอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ ใจอยู่ที่ไหน ก็จะนำพากายไปอยู่ที่นั่น”

                “ครับ” ผมพยักหน้าตอบรับทั้งที่ยังมีข้อสงสัย เมื่อเห็นรอยยิ้มตรงมุมปากของหลวงพ่อที่เผยอยกอย่างมีเลศนัย

                “มาถึงที่นี่แล้วก็อยู่เที่ยวงานวัดก่อนสิ คืนนี้คืนสุดท้ายแล้วนะ”

                “เหรอครับ?” ผมรู้ว่าที่วัดกำลังมีงาน ก็คงเป็นงานประจำปีที่จัดขึ้นทุกปีในช่วงเวลานี้ แต่ผมไม่ทันได้สังเกตว่าคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้าย

                “ใช่ ดนตรีมหรสพมากมายเชียวล่ะ ชอบไม่ใช่เหรอ?”

                “ชอบครับ” ผมพยักหน้าหงึกหงัก คลี่ยิ้มออกมาแบบเขิน ๆ เมื่อโดนหลวงพ่อถามอย่างรู้ทัน เพราะการเที่ยวงานวัดเป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก จนเรียกได้ว่ามีงานที่ไหน ต้องมีไอ้ฟอสอยู่ที่นั่น

                จะว่าไปการกลับบ้านมาครั้งนี้ก็ยังถือว่ามีเรื่องราวดี ๆ อยู่บ้าง อย่างน้อยผมจะได้เดินเล่นให้หายคิดถึง และอาจช่วยให้ผมคลายเหงาและลืมความเศร้าไปได้บ้าง

                “แต่ไปไหนมาไหนต้องระวังตัวหน่อยนะ หากมีเหตุร้ายอันใดเกิดขึ้นให้โยมรีบหลับตา แล้วโยมจะปลอดภัย”

                “อะไรนะครับ?”

                “จำคำของหลวงพ่อให้ดีแล้วกัน เที่ยวให้สนุกนะ” หลวงพ่อยิ้ม ยื่นมือมาตบไหล่ผมเบา ๆ ก่อนจะเดินกลับไปยังกุฏิ ปล่อยให้ผมได้แต่ขมวดคิ้วมองตามท่านไปอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก

                ท่านต้องการบอกอะไรผมกันแน่?

     

                หกโมงเย็นผู้คนภายในวัดเริ่มพลุกพล่าน ผมเดินไปยังบริเวณลานกว้างที่มีการจัดงานประจำปีตามที่หลวงพ่อบอก พ่อค้าแม่ค้าทยอยเปิดซุ้มขายของเพื่อต้อนรับเหล่าบรรดานักท่องเที่ยวผู้มาเยือน มุมหนึ่งของงานมีเวทีขนาดใหญ่ที่กำลังจัดเตรียมแสงและเสียงพร้อมสำหรับการแสดงที่จะมีขึ้นในค่ำคืนนี้

                ผมเดินทอดน่องในงานไปเรื่อย ๆ พร้อมกับสูดรับบรรยากาศแห่งความสุขเข้าไปจนเต็มปอด แวะซื้อลูกชิ้นทอดราดน้ำจิ้มซีฟู้ดเจ้าเด็ดเดินกินระหว่างทาง ตามด้วยขนมครกชาววังร้านประจำที่เคยกินทุกปีเพื่อรำลึกความหลัง และที่ขาดเสียไม่ได้ก็ต้องล้างปากด้วยน้ำจรวดอัดลมโบราณที่หาทานไม่ได้ตามร้านทั่วไป

                เผลอแปบเดียวเวลาล่วงเลยมาถึงสองทุ่ม หลังจากเดินเล่นเพื่อย่อยอาหารที่กินเข้าไปอยู่นาน ผมก็ตั้งใจจะไปนั่งพักฟังเพลงให้ผ่อนคลายที่หน้าเวทีซะหน่อย วันนี้ได้ข่าวว่ามีวงดนตรีลูกทุ่งชื่อดังจากแดนอีสานมาเปิดทำการแสดง โชว์ของฟรีมาให้ดูถึงที่ขนาดนี้ ถ้าพลาดไปก็คงน่าเสียดายอยู่ไม่น้อย

                ผมเดินลัดเลาะไปตามฟุตปาธที่ข้างทางเต็มไปด้วยป่ารกร้างและต้นหญ้าอันสูงลิ่ว อีกเพียงไม่ถึงร้อยเมตรผมก็จะเดินถึงเวทีที่ทำการแสดง ทว่ากลับมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสียก่อน เมื่อจู่ ๆ ก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังลั่นจนผู้คนระแวกนั้นต้องหันมองตามด้วยความสงสัย เสียงฝีเท้าซอยกระทบพื้นดังโครมครามบ่งบอกให้รู้ว่าที่มาของเสียงนั้นกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ผมหันซ้ายมองขวาด้วยความตกใจ ก่อนจะต้องสะดุ้งตัวเมื่อเห็นชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งกรุมาทางผม ในมือถืออาวุธหลากหลายที่กวัดแกว่งไปมาตามการเคลื่อนไหวด้วยท่าทางเอาเป็นเอาตาย

                “เชี่ย!!! อะไรวะ” เคยเห็นแต่ในคลิปตามสื่อสังคมออนไลน์ ไม่คิดว่าจะต้องมาอยู่ในเหตุการณ์วัยรุ่นตีกันที่มีภาพความคมชัดระดับ Full HD ขนาดนี้

                วิ่งจริง ไล่กันจริง ไม่ใช้ตัวแสดงแทน

                ทำไงดีวะ...ถามตัวเองในใจพร้อมสติที่แตกกระเจิงออกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยความที่เกิดมาไม่เคยคิดว่าจะต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ร่างกายจึงตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยการยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับตัวไปไหน โชคยังดีที่จิตใต้สำนึกส่วนลึกของผมยังคงทำงานและเตือนสติให้คิดหาวิธีทำอะไรสักอย่าง

                ถ้ายังยืนอยู่ตรงนี้มีหวังโดนลูกหลงไปกับเขาแน่

                คิดได้เช่นนั้นจึงรีบหายใจหอบเอาออกซิเจนเข้าเต็มปอดเพื่อรวบรวมสติ รำลึกถึงความรู้เรื่องการเอาตัวรอดจากเหตุจลาจลที่เคยเรียนตอนมอสองมาใช้

                ‘ต้องหาที่กำบังหรือวิ่งหนีจากจุดเกิดเหตุให้เร็วที่สุด

                ใช่แล้ว…วิ่ง…วิ่งดิไอ้ฟอส วิ่ง…

                แต่ขาเจ้ากรรมมันดันไม่เป็นไปตามที่หัวสมองคิด นอกจากจะไม่ก้าววิ่งตามคำสั่งแล้วยังแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อนไปไหนอีกต่างหาก ความรู้สึกเหมือนขาของผมถูกตุ้มน้ำหนักนับพันกิโลถ่วงเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น

                โอ๊ย...มึงจะมาแข็งอะไรตอนนี้

                ผมยืนนิ่งค้างอยู่กับที่อย่างทำตัวไม่ถูก ภาพการวิ่งไล่ล่าอย่างโหดเหี้ยมเริ่มคืบคลานเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ เตือนให้ผมรู้ว่าเหลือเวลาคิดอีกไม่มาก

                “เชี่ย!!” ผมสะดุ้งร้องออกมาด้วยตกใจ เมื่อรองเท้าของใครก็ไม่รู้ลอยผ่านหน้าไปอย่างฉิวเฉียด

                นี่ไง!!! ตัวยังมาไม่ถึงก็ส่งรองเท้ามาทักทายแล้ว อีกหน่อยคงไม่พ้นขว้างมีดสปาต้าลอยมาจามหน้าผมแน่ ๆ

                “หลวงพ่อช่วยด้วย หลวงพ่อช่วยลูกด้วย” กำสร้อยพระที่คล้องอยู่ที่คอแน่นอย่างไม่มีทางเลือก ถึงรู้ว่าช่วยอะไรไม่ได้แต่ในยามคับขันเช่นนี้คงเป็นทางเดียวที่พอจะดึงสติของผมเอาไว้ไม่ให้เตลิดมากไปกว่าเก่า

                เฮ้ย...หลวงพ่อ! ใช่แล้ว...

                คำพูดของหลวงพ่อเมื่อตอนเย็นเริ่มไหลกลับเข้ามาในหัวสมอง หลวงพ่อบอกว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นให้หลับตานี่หว่า หรือว่าท่านจะล่วงรู้อนาคตและบอกทางออกให้กับผม

                เอาวะ...ก้าวเท้าไม่ออกก็หลับตาก่อนแล้วกัน เผื่ออาจจะมีม่านพลางตัวจากหลวงพ่อมาคุ้มกันแบบในหนังในละครก็เป็นได้

                รีบยกมือขึ้นพนมพร้อมหลับตาปี๋อย่างลุ้นระทึก

                “เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย!”

                โครม!

                ไม่มีม่านกำบังอะไรทั้งนั้น มีแต่อะไรก็ไม่รู้ที่พุ่งชนใส่ผมอย่างจังจนเซตัวล้มลงไปนอนกองในโพรงหญ้า

     

    ----

    ฝากติดตามเรื่องใหม่ของไรท์ด้วยนะครับ

    อย่าลืมกดหัวใจใจ กด fav จะได้ไม่พลาดตอนใหม่น้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×