คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 1. First time (100%)
ผมไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่รับรู้ได้ถึงความหนักและความแข็งที่ทำให้ผมเจ็บปวด ทุกส่วนบนร่างกายถูกทับไว้ด้วยวัตถุนั้น เว้นเสียแต่ริมฝีปากของผมที่กำลังสัมผัสกับความอ่อนนุ่มและอบอุ่นของอะไรบางอย่าง
ผมรีบลืมตาขึ้นมาเมื่อได้สติ ก่อนจะต้องตกใจมากกว่าเก่าเมื่อสิ่งที่อยู่ด้านบนค่อย ๆ ขยับและผละตัวออกจากร่างของผม
นี่ไม่ใช่สิ่งของ แต่นี่คือคน...คนเป็น ๆ เลยล่ะ
“โอ้ย!!! อะไรกันวะเนี่ย” เสียงร้องบ่นถูกเปล่งออกมาจากคนที่ยืดตัวนั่ง เขาบิดตัวไปมาพลางบีบนวดตามแขนขาของตัวเอง
ผมรีบใช้มือทั้งสองผลักดันให้ตัวเองลุกขึ้นบ้าง ขยับตัวถอยห่างจากเขาคนนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ด้วยเค้าโครงรูปร่างและน้ำเสียงถึงแม้จะอยู่ในความมืดที่มองเห็นไม่ชัด แต่ผมก็พอจะเดาได้ว่าเขาต้องเป็นผู้ชาย ทว่าเขาคือกลุ่มคนที่ก่อเหตุทะเลาวิวาทไม่ใช่เหรอ แล้วผมไปชนกับเขาแบบนี้จะโดนกระทืบด้วยอีกคนหรือเปล่าวะ
“มึงมองอะไร?”
นั่นไง!! ผมสะดุ้งตัวทันทีเมื่อได้ยินเสียง พร้อมโดนสายตาดุของคนเคียงข้างจ้องเขม็งหลังจากที่เผลอมองหน้าของเขาไปด้วยความหวาดกลัว
“เปล่า” ผมรีบส่ายหัวไปมาปฏิเสธ
“มึงมายืนขวางกูทำไม ไม่เห็นหรือไงว่าคนกำลังฆ่ากัน”
“…” เห็น...แล้วก็ไม่ได้อยากขวางเลย แต่ขยับขาไม่ได้ ฮือ ๆ ๆ
“อยากตายรึไง?”
“…” ผมส่ายหัวดิ๊ก อนาคตของผมยังอีกไกล ใครอยากจะมาจบชีวิตเพราะคนพวกนี้ล่ะ
“เป็นใบ้เหรอวะ ถามอะไรก็ไม่พูด” น้ำเสียงของเขาทวีความหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น เห็นท่าไม่ดีผมจึงรีบอ้าปากตอบเขาไปอย่างไม่รอรี
“ก็…”
“ชู้ว!” เป็นเขาที่ขัดจังหวะยื่นมือมาปิดปากของผม พร้อมกับเสียงฝีเท้าของผู้คนมากมายที่ดังใกล้พวกเรามาเรื่อย ๆ
“แม่งหายไปไหนแล้ววะ?” เสียงของใครก็ไม่รู้พูดอย่างไม่สบอารมณ์นัก อาจจะเป็นพวกที่ตามมากระทืบคนที่นั่งข้าง ๆ ผมก็เป็นได้
ผมพยายามนั่งนิ่งให้มากที่สุดจนแทบจะหยุดหายใจ ถ้าพวกมันเห็นว่าเป้าหมายกำลังซ่อนตัวอยู่ตรงนี้ มีหวังผมคงต้องโดนหางเร่ถูกพวกมันกระทืบไปกับเขาด้วยแน่ ๆ
“เมื่อกี้กูเห็นกับตาว่ามันวิ่งมาทางนี้”
“หรือว่ามันไปทางนั้นแล้ววะ”
“ไป ๆ ๆ จัดการมันให้ได้”
เสียงสนทนาที่แสนน่ากลัวเงียบลงพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ค่อย ๆ จางหายไป ผมเป่าปากด้วยความโล่งอก พร้อมกับคน ๆ นั้นที่ผละมือออกจากปากผม และถอนหายใจเบา ๆ อย่างคลายกังวลเช่นกัน
“วันหลังก็เดินดูตาม้าตาเรือบ้าง วันนี้ถือว่าโชคดีนะที่ไม่โดนลูกหลงเอา” พูดพลางเขาก็ขยับตัว ใช้มือทั้งสองข้างพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้น “โอ้ย!!!”
“เป็นอะไร?” ผมถามด้วยความตกใจ เมื่อจู่ ๆ เขาก็ร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เอามือกุมที่ต้นแขนของตัวเอง ผมหรี่ตามองด้วยความสงสัย ก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อบริเวณนั้นเปียกชุ่มไปด้วยของเหลวที่ไหลออกมาเต็มแขน “เชี่ย!!!...เลือด”
“เออนะสิ คิดว่าน้ำแดงหรือไง” เลือดอาบขนาดนี้ยังปากดีอีก “ไม่น่าพลาดท่าให้พวกมันเลยว่ะ”
“นายไปโดนอะไรมา?” อดไม่ได้ที่จะถาม หลังจากได้ยินเขาบ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
“โดนไล่กระทืบขนาดนี้ ยุงคงกัดมามั้ง” ดูเขาตอบผมสิครับ ทักษะการสื่อสารของเขาเข้าขั้นแย่มาก ผมว่าที่เขาโดนไล่กระทืบอย่างเอาเป็นเอาตายก็คงเพราะปากเสียใส่คนอื่นมาแน่ ๆ
ไปดีกว่า ไม่อยากยุ่งกับคนแบบนี้
ผมใช้มือค้ำยันตัวเองให้ลุกขึ้น ปัดเศษดินเศษทรายที่ติดตามเนื้อตัวออก หมุนตัวเตรียมก้าวเท้าเดินออกจากโพรงหญ้า
“กูเจ็บขนาดนี้ไม่คิดจะช่วยหน่อยหรือไง?”
“พูดกับเรา?” ผมชี้นิ้ววกมาที่ตัวเอง ก้มมองคนที่นั่งอยู่ด้านล่างด้วยความสงสัย
“ก็อยู่กันสองคน ให้กูพูดกับผีที่ไหนฮะ?”
“…” หลับตาสูดลมหายใจเข้าอย่างอดกลั้นเพื่อไม่ให้หงุดหงิดกับคำพูดของเขา เตรียมสาวเท้าก้าวเดินออกไปอย่างไม่สนใจใยดี
ปากเก่งขนาดนี้ก็ดูแลตัวเองแล้วกัน
“เดี๋ยวดิ จะไปไหน?”
“กลับบ้าน”
“มึงช่วยกูก่อน”
“ช่วยเหรอ?” ผมเลิกคิ้วใส่เขาด้วยสีหน้ายียวน “ทำไมต้องช่วยนาย?”
“เมื่อกี้กูช่วยมึงนะ”
“ช่วย?” เขาไม่ใช่เหรอที่วิ่งมาชนผม แถมยังทำให้ผมเกือบโดนกระทืบไปกับเขาด้วย
“ยืนเงอะ ๆ งะ ๆ กลางวงคนตีกันแบบนั้น ไม่เจอกูมึงโดนลูกปืนยิงกบาลไปนานแล้ว”
“…” ผมต้องขอบคุณเขาใช่ไหม
“อีกอย่างมึงได้จูบกูแล้ว ไม่คิดจะช่วยกูหน่อยเหรอวะ?” ถ้อยเสียงของคนตรงหน้าทำให้ผมต้องหยุดชะงัก ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดสนิท แต่นัยน์ตาของเขากลับฉายแววความเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างเห็นได้ชัด
จูบ? อย่าบอกนะว่าสัมผัสนุ่มตรงริมฝีปากของผมตอนที่ล้มเมื่อกี้คือ...
“มะ…มะ...ไม่...ไม่ได้จูบ” ผมส่ายหัวปฏิเสธออกไปอย่างร้อนลน ภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างที่ผมคิดด้วยเถอะ
“ไม่จูบเชี่ยไร เมื่อกี้ปากมึงกับปากกูประกบ…อือ อื้อ…” เขาส่งเสียงอู้อี้ไม่เป็นศัพท์ หลังจากที่ผมย่อตัวลงไปนั่ง เอามืออุดปากของเขาที่กำลังพูดพร่ำคำที่ผมไม่อยากฟัง
รู้สึกเหมือนเพิ่งเสียตัวไปอย่างไรอย่างนั้น ผมเสียจูบแรกในชีวิตให้คนที่ไม่รู้จักอย่างเขาเหรอเนี่ย
“จะเอายังไง ว่ามา” ผมโพล่งพูดออกไปอย่างหงุดหงิด หลังจากเห็นท่าทางของเขาที่เหมือนจะหาเรื่องผมไม่เลิก
ชายหนุ่มสะบัดหน้าเล็กน้อยออกจากมือของผม ยักคิ้วให้ทีหนึ่ง ยิ้มยกอย่างมีเลศนัย “ช่วยกูก่อน”
“ได้ เดี๋ยวเราโทรเรียกรถพยาบาลให้” ผมรับคำเพื่อตัดรำคาญ ถึงมือหมอเมื่อไหร่จะได้แยกย้ายกลับบ้านกันสักที
“ไม่อะ มึงต้องช่วยทำแผลให้กู”
“จะบ้าหรือไง เลือดออกขนาดนี้แผลต้องใหญ่มากแน่ ๆ เผลอ ๆ ต้องเย็บเป็นสิบเข็มด้วยซ้ำ” ดูจากปริมาณเลือดที่ไหลออกมาก็พอจะเดาได้ถึงขนาดของแผล
“แค่โดนมีดฟันถาก ๆ ไม่เป็นอะไรมากหรอก”
“ก็ให้รถพยาบาลมารับไปจะได้จบ ๆ จะทำแผลเองทำไมเนี่ย” ชักจะโมโหแล้วนะ โน่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา เป็นเด็กมีปัญหาหรือไงฮะ?
“ไปโรงพยาบาลตำรวจก็ตามมาจับดิ กูไม่ไปหรอก” เขาส่ายหัวดิ๊ก แบะปากไม่สนใจข้อเสนอของผม
“งั้นก็นั่งจมกองเลือดอยู่ตรงนี้นี่แหละ” พอแล้ว...พอกันที ผมเสียเวลากับคนอย่างเขามากเกินพอแล้ว
“เดี๋ยวดิมึง” เขารีบคว้าข้อมือผมเอาไว้ หลังจากที่ผมดันตัวลุกขึ้นยืนอีกครั้ง “ช่วยทำแผลให้กูก่อนนะ...นะ” เสียงนั้นอ่อนเกือบจะอ้อน เขาช้อนสายตามองตาอย่างเว้าวอน
ท่าทางของเขาแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ความแข็งกระด้างที่แสนจะยียวนแปรเปลี่ยนเป็นความไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อยที่กำลังอ้อนวอนขอของเล่น จนทำให้ผมยอมลดความขึงขังที่เป็นอยู่และพูดกับเขาด้วยเสียงเป็นปกติ
“เราทำไม่เป็น”
“ไม่ยากหรอก แค่ล้างแผล ใส่ยา เอาผ้าพัน ๆ ก็จบแล้ว”
“…”
“ช่วยชีวิตคนได้บุญมหาศาลนะโว้ย”
“…”
“อย่างน้อยมึงก็ควรทดแทนบุญคุณกูบ้าง ถ้ามึงไม่โดนกูชนอาจโดนลูกหลงไปแล้วก็ได้”
“…”
“อีกอย่างมึงก็จูบ…”
“พอ ๆ ๆ” ยอมช่วยตั้งแต่ประโยคช่วยคนได้บุญแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องจูบอีก ไม่อยากฟัง “ลุกขึ้น แล้วเดินตามมา”
“ไปไหน?” ถึงแม้จะมีคำถาม แต่ชายคนนั้นก็รีบลุกขึ้นยืน เดินตามผมมาแต่โดยดี
“บ้านเรา” เอาวะ ช่วยทำแผลให้เขาหน่อยคงไม่เป็นไร จะว่าไปที่เขาพูดก็มีส่วนถูกอยู่บ้าง ถ้าผมไม่โดนเขาวิ่งชน ก็อาจเจ็บตัวมากกว่านี้ก็เป็นได้
“เดินช้า ๆ หน่อย คนเจ็บอยู่นะโว้ย”
ผู้ชายอะไร ขี้บ่นชะมัด
เดินเท้าไม่ถึงห้านาทีก็มาถึงบ้านของผม จัดแจงไขประตู เปิดไฟเดินนำเข้าไปในบ้านและปล่อยให้เขานั่งรอที่โซฟาห้องรับแขก ส่วนผมเดินไปที่ตู้ยาสามัญประจำบ้านเพื่อหาอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการล้างแผล โชคดีที่แม่เป็นคนรอบคอบและจัดเตรียมของพวกนี้ไว้ตลอด จึงพอจะมีน้ำเกลือล้างแผล ยาใส่แผล สำลี ผ้าก็อตและสก็อตเทปพร้อมสำหรับการทำแผลให้เขา
“เฮ้ย...ถอดเสื้อทำไม?” ผมร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเดินกลับมาที่ห้องรับแขกเห็นชายคนนั้นในสภาพท่อนบนเปลือยเปล่าไร้เสื้อปกคลุมกาย
ในบ้านมีแสงสว่างมากพอที่ทำให้ผมเห็นหน้าของเขาได้ชัด ผู้ชายผิวขาวผมดำขลับที่ตัดไถข้างไว้ด้านหนึ่ง ด้านบนปล่อยยาวลงมาปรกหน้าผากจนแทบจะปิดตาตามแบบฉบับของเด็กแว๊นซ์ในละคร คิ้วหนาเฉียงโค้งรับกับจมูกที่โด่งเป็นสันรับกับรูปหน้า ใบหน้าของเขาเกลี้ยงเกลาถ้าให้เดาก็คงมีอายุราว ๆ ประมาณใกล้เคียงผม แต่เขารูปร่างสูงใหญ่ กล้ามแขนงี้เป็นมัด ๆ และยิ่งเมื่อเขาถอดเสื้อจนเห็นเรือนร่างด้านใน ก็ทำให้ผมไม่อาจละสายตาไปจากกล้ามอกแน่นและซิกแพคที่เรียงขึ้นรูปอย่างสวยงามของคนตรงหน้าได้เลย
หน้าอะเด็กแว๊นซ์ แต่หุ่นนักกีฬาชัด ๆ
“ก็ถอดเสื้อจะได้ทำแผลง่าย ๆ ไง” เขาเลิกคิ้ว ทำหน้างงเล็กน้อยเมื่อเห็นปฏิกิริยาของผม “แล้วเป็นอะไร ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น”
“ปะ...เปล่า” สะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่าน จะมาหลงเคลิ้มไปกับหุ่นของเขาไม่ได้นะไอ้ฟอสสสส “ทำแผลเลยนะ”
รีบทำรีบแยกย้ายดีกว่า ยิ่งอยู่นานใจคอไม่ค่อยดี
ผมนั่งลงบนโซฟาข้าง ๆ เขา สวมถุงมือเรียบร้อยจึงค่อย ๆ เช็ดทำความสะอาดแผลที่ต้นแขนของเขาอย่างเบามือ จะว่าไปเขาก็อึดอดทนเหมือนกันนะ จากสภาพแผลที่มีเลือดแห้งแล้วบางส่วน ทำให้พอจะเดาได้ว่าเขาคงโดนฟังมานานพอสมควร แต่กลับไม่แสดงท่าทางเจ็บปวดออกมาแม้แต่น้อย
“โอ้ย!!! เบา ๆ หน่อยดิ” ชมในใจไม่ทันขาดคำ ร่างสูงก็ซู้ดปาก ร้องบ่นออกมาด้วยใบหน้าเหยเกซะแล้ว
“นี่ก็เบาที่สุดแล้ว”
“เบากว่านี้อีกสิ”
“ทำเองม่ะ?”
“ไม่เอาอะ มึงทำให้กูนั่นแหละดีแล้ว”
“งั้นก็หุบปากซะ”
คนตัวโตทำมือรูดซิปปาก นั่งนิ่ง ๆ และปล่อยให้ผมทำแผลแต่โดยดี ส่วนผมก็ตั้งหน้าตั้งตาทำแผลให้เขาโดยไม่พูดจาอะไร จนเวลาผ่านไปร่วม ๆ สามสิบนาทีกว่าการทำแผลจะเสร็จสิ้น
“เฮ้อ...เสร็จสักที” เป่าปากออกมาด้วยความโล่งใจ ก็ผมไม่เคยทำแผลแบบนี้ให้ใครมาก่อน พอทำเสร็จเรียบร้อยก็รู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อย
“ขอบใจนะ”
“ยังดีที่รู้จักขอบคุณ” ผมพูดกับตัวเองเบา ๆ แต่ก็ดังพอที่คนเคียงข้างจะได้ยิน
“เห็นกูแบบนี้ กูก็รู้จักบุญคุณคนนะโว้ย”
“อืม...งั้นไม่มีอะไรแล้วนายก็กลับบ้านไปซะ”
กลับ ๆ ไปเถอะ และอยากจะบอกเหลือเกินว่าช่วยใส่เสื้อด้วย รู้บ้างไหมว่าผมต้องอดทนแค่ไหนกับการฝืนใจไม่ให้เผลอส่งสายตามองไปยังมัดกล้ามของเขา
“กูง่วงนอนว่ะ ของีบแปบนึงนะ”
“เฮ้ย...นาย” ไม่ทันที่ผมจะได้ตกใจกับคำพูด ก็ต้องตกใจกับการเคลื่อนไหวของเขาเสียก่อน เมื่อจู่ ๆ เขาก็พลิกตัวล้มนอนลงบนโซฟา เอนศีรษะหนุนบนตักของผมอย่างไม่ทันให้ได้ตั้งตัว “ทำอะไรอะ?”
“งีบไง” ว่าพลางเขาก็หลับตาปี๋ ยิ้มกริ่มอย่างสบายใจ
“ไม่ได้ นายจะนอนตรงนี้ไม่ได้” ผมพยายามปลุกเขาด้วยการเขย่าตัว “ลุกเดี๋ยวนี้นะ” แต่มีหรือที่ผมจะสู้แรงของคนตัวโตได้ เขานอนนิ่งเฉยอย่างไม่สะทกสะท้าน แถมยังหลับตาสนิทราวกับเข้าสู่นิทราแสนหวานไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
“…”
“นาย...”
“…”
“ตื่นนะ”
“…”
“นายจะทำให้เราใจเต้นแบบนี้ไม่ได้”
-----
ฝากเอ็นดูฟอสด้วยนะครับ
อย่าลืมกดหัวใจ กด fav จะได้ไม่พลาดตอนใหม่นะทุกคน
ติดตามข่าวสารของไรท์ทางเพจ >> นิยายธ.ธีร์
ความคิดเห็น