คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ปฐมบทแห่งเรื่องราวของบุรุษลึกลับ
Prologue
ในค่ำคืนที่ดูเหมือนจะเงียบสะงัด
แสงจันทร์ที่ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง
ก่อนจะสะท้อนกับกระจกสีส่งผลให้มีแสงตกกระทบรำไรปรากฏขึ้นบนพื้น
พลางขยับผสมผสานกันจนเกิดประกายระยิบระยับไม่ต่างกับแสงไฟด้านนอกในยามค่ำคืน
หากสิ่งที่ทาบอยู่บนพื้นนั้นไม่ได้มีเพียงแสงสีที่สะท้อนอยู่เท่านั้น
แต่ยังมีเงาปริศนาของบางสิ่งพาดผ่านมาจากด้านบนอีกด้วย
ถัดจากห้องนี้เป็นห้องจัดแสดงภาพซึ่งถูกกันด้วยผนังที่ทาด้วยสีครีมอ่อนๆ
เพดานทำจากไม้ระแนงที่ถูกออกแบบให้มีช่องขนาดไม่เล็กนัก
พื้นที่ปูไม้ปาร์เกต์โทนสีน้ำตาล
โดยรอบนั่นถูกประดับไปด้วยภาพเขียนมากมายที่จัดแสดงอยู่
ทำให้มีผู้คนมากหน้าหลายตาเข้าออกที่นี่แทบจะตลอดช่วงเวลางานจัดแสดง
หากแต่เงาปริศนาที่ซุ่มอยู่นั้นดูเหมือนจะกำลังเฝ้ารอดูว่าเมื่อใดที่แห่งนี้จะปลอดคนสักที
หลังจากเวลาได้ผ่านไประยะหนึ่ง
ผู้คนที่ได้ชมความงามจากศิลปะที่หลากหลายแล้วก็เริ่มทยอยกลับออกไปจนหมด
เปิดโอกาสให้ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดพนักงานทำความสะอาดเข้ามาตรวจสอบความเรียบร้อยภายในห้องจัดแสดงภาพ
ระหว่างที่กำลังทำความสะอาดนั้นเขาก็มองดูภาพเขียนที่โชว์อยู่ไปด้วย
ก่อนที่จะไปหยุดอยู่ที่ภาพเขียนหนึ่ง
ชายหนุ่มจ้องมองภาพนั้นอยู่นานเกือบนาทีก่อนที่จะเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดออกไป
แล้วจัดการปิดไฟและลงกรประตูหน้าห้องจัดแสดงเรียบร้อย
ขณะเดียวกับที่เจ้าของเงาปริศนากระโดดลงมาจากจุดลับตาแห่งหนึ่งที่อยู่เยื้องไปจากหน้าต่างบานใสเล็กน้อย
ดวงตาสีเพลิงทอประกายสะท้อนกับแสงจันทร์ช่างดูงดงามและเข้ากัน
ซึ่งเจ้าของดวงตากลมโตนั้นค่อยๆหันมองไปรอบๆพลางจับจ้องไปยังบางสิ่งที่อยู่ในห้อง
ถึงแม้ว่าบรรยากาศรอบๆนี้จะดูมืดครึ้มไปบ้าง แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร
จู่ๆเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังพร้อมกับเข็มทั้งสองของนาฬิกาที่นัยน์ตาสีเพลิงได้จ้องมองนั้นหยุดอยู่ตรงเลขสิบสองอย่างพอดิบพอดี
“มองไม่ผิดหรอกนะ
เพราะนี่คือเวลาเที่ยงคืนตรง”
เสียงนุ่มทุ้มของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น
ทำให้ผู้ที่กำลังจ้องมองนาฬิกาอยู่นั้นรีบหันกลับมามองเขาพลางค่อยๆขยับถอยหลังไปเล็กน้อย
นัยน์ตาสีเพลิงที่ส่องประกายท่ามกลางแสงจันทร์นั้นค่อยๆเงยขึ้นมาเพื่อจ้องมองชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าซึ่งแต่งกายด้วยชุดโทนสีเข้ม
สะพายกระเป๋าหนังเก่าๆ กับวัตถุรูปร่างคล้ายทรงกระบอกที่หลัง
อีกทั้งยังสวมหน้ากากที่มีรูปทรงแปลกๆ
“สวัสดีครับ...” บุรุษผู้นั้นกล่าวทักทายด้วยท่าทางเหมือนผู้ดีมีมารยาท
ก่อนจะเดินนำเจ้าของนัยน์ตาสีเพลิงนั้นก้าวเดินเข้าไปในห้องจัดแสดงภาพเขียนอย่างระมัดระวังไม่ให้เดินชนอะไรเข้า
ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ว่าจะมีใครตามมาหรือไม่
โดยอาศัยเพียงแสงจันทร์เล็กน้อยที่ส่องผ่านเข้ามา
สายตาที่อยู่ภายใต้หน้ากากสีเข้มค่อยๆสอดส่องหาภาพวาดที่เขาต้องการ
หากแต่สิ่งที่เขาเห็นนั้นคือเจ้าของนัยน์ตาสีเพลิงที่เห็นอยู่ในตอนแรกกลับกำลังจ้องมองผลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง
ซึ่งแสงจันทร์ได้ตกกระทบกับผลงานที่ประดับอยู่กลางผนังเพิ่มความโดดเด่นให้กับภาพวาดนี้เป็นอย่างมาก
บุรุษในชุดสีเข้มค่อยๆย่างก้าวเข้าไปชม ‘ความงามของหญิงสาว’
ตรงหน้าใกล้ๆ
บางอย่างที่เขาเห็นนั่นทำให้แววตาภายใต้หน้ากากของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยโดยที่เจ้าตัวเองก็ยังไม่ทันรู้ตัว
เขาจ้องมองภาพนั้นพลางค่อยๆใช้นิ้วมือสัมผัสไปที่ใบหน้าของเธออย่างแผ่วเบา
ราวกับว่าถ้าออกแรงมากกว่านี้สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นอาจจะสลายหายไปต่อหน้าต่อตา
ทางด้านหญิงสาวเองก็ดูเหมือนว่ากำลังมีความสุข รอยยิ้มอันอ่อนโยนของเธอสามารถสะกดสายตาของบุรุษผู้นี้ได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร
“ช่างงดงามจริงๆ” บุรุษผู้นั้นส่งเสียงพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบาก่อนจะหันไปหาบางสิ่งที่กำลังจดจ้องทั้งตัวเขาและหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า
ก่อนจะค่อยๆก้มลงมาอุ้มเจ้าของดวงตากลมโตสีเพลิงนั้นขึ้นมาแนบอกแล้วพามาดูผลงานศิลปะชิ้นนั้นใกล้ๆ
ก่อนจะพูดกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาด้วยท่าทีร่าเริง
“แกเองก็เห็นว่างดงามใช่ไหมล่ะ...เจ้าเหมียว”
ชายสวมหน้ากากค่อยๆลูบหัวแมวตัวน้อยก่อนจะวางลงที่พื้นข้างๆตัว
ซึ่งเจ้าเหมียวน้อยนั่นก็สะบัดหัวนิดๆก่อนจะนั่งจ้องรอว่าหัวขโมยตรงหน้านั้นจะทำอะไรต่อไป
ขณะเดียวกับที่บุรุษผู้นั้นค่อยๆเปิดกระเป๋าสะพายของตนแล้วค่อยๆหยิบบางอย่างขึ้นมา
จากที่สิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆจะพอมองเห็น...ดูเหมือนว่าเขาจะหยิบขวดใบเล็กๆที่บรรจุของเหลวบางอย่างเอาไว้
หัวขโมยหนุ่มค่อยๆเปิดขวดนั่นออกก่อนจะใช้บางอย่างแตะที่ของเหลวในมือแล้วเช็ดไปที่ส่วนหนึ่งที่ขอบภาพเขียนที่อยู่ตรงหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา
“ของจริง...” เขาพึมพำออกมาเบาๆก่อนจะค่อยๆบรรจงแกะภาพ ‘ความงามของหญิงสาว’
ออกจากกรอบอย่างเบามือ
ม้วนเก็บใส่ในกระบอกชนิดพิเศษที่เขาเตรียมมาก่อนจะสะพายได้ที่หลังตามเดิม
“เรียบร้อย!” น้ำเสียงแสดงออกได้ถึงความดีใจดังออกมาจากหน้ากากสีเข้ม
หากแต่ว่ามันไม่ได้ดังมากนัก แค่เพียงพอที่เจ้าตัวกับแมวตัวน้อยพอจะได้ยินเท่านั้น
เจ้าเหมียวจึงส่งเสียงร้องตอบกลับมาเบาๆ
ทำให้บุรุษในชุดสีเข้มหันกลับมาสนใจมันอีกครั้ง
“เกือบลืมไปเลย...ว่าแต่...แกเข้ามาในนี้ได้ยังไงนี่?” หัวขโมยหนุ่มค่อยๆลดตัวลงมาใกล้ๆพลางชวนแมวตัวน้อยที่กำลังจ้องเขาตาแป๋วคุย
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรสักเท่าไหร่
สิ่งมีชีวิตตัวน้อยยังคงส่งสายตาเป็นประกายให้พลางส่งเสียง ‘เมี๊ยว’
เบาๆพลางค่อยๆเดินมาคลอเคลียที่ขาของเขา
“อ้อนกันอย่างนี้
ถ้าผมพาไปด้วยจะผิดกฎหมายไหมนี่” เขาพูดกับตัวเองพลางหัวเราะออกมาเบาๆอย่างคนอารมณ์ดี
พลางค่อยๆอุ้มเจ้าแมวตัวน้อยมาวางไว้ในกระเป๋าสะพายแล้วเดินกลับไปยังอีกห้อง
ก่อนจะนั่งลงบนขอบหน้าต่างบานที่เคยใช้ปีนเข้ามา
“แกคงจะไม่กลัวความสูงหรอกนะ”
หัวขโมยหนุ่มพูดขึ้นในขณะเดียวกับที่เขากำลังคล้องตะขอระหว่างเข็มขัดแบบพิเศษที่คาดอยู่รอบตัวของเขากับสายสลิงสีดำที่กลมกลืนไปกับความมืดยามราตรี
ก่อนจะค่อยๆโรยตัวลงไปยังพื้นด้านล่างด้วยความเร็ว
แล้วแฝงตัวเข้าไปในฝูงชนอย่างแนบเนียน พลางคิดบางอย่างอยู่ในใจ
ตำรวจคงจะไม่ตามล่าเขา
เพราะเก็บแมวมาเลี้ยงหรอกนะ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ปิก๊า~จู... ปิก๊า~จู... ปิกา..ปิก้า~
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของใครบางคนในห้องดังขึ้น
ทำให้เจ้าของโทรศัพท์ที่กำลังหลับปุ๋ยคาโต๊ะเรียนตั้งแต่คาบแรกกลายเป็นจุดสนใจของนักเรียนเกือบทุกคนรวมไปถึงอาจารย์ที่กำลังสอนฟิสิกส์อยู่หน้าห้องภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาที
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเช่นกันวัตถุสีขาวรูปร่างเหมือน...ไม่ใช่แค่เหมือน
มันคือชอล์กเขียนกระดานดีๆนี่เอง ก็ลอยมาตามรูปแบบโปรเจคไทล์
และหล่นลงมาตามหลักแรงโน้มถ่วงลงบนศีรษะของเจ้าของเสียงเรียกเข้าแปลกๆนั่นพอดี
ซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวจะยังไม่รู้สึกตัว
ปิก๊า~จู... ปิก๊า~จู... ปิกา..ปิก้า~...จู~
เมื่อไม่มีใครรับสาย
เสียงเรียกเข้าก็ยังคงดังต่อไปเรื่อยๆจนจบลงด้วยเพลงบรรเลงจังหวะสนุกสนานก่อนที่จะเริ่มวนลูปใหม่อีกรอบ
ทำให้นักเรียนในห้องส่วนใหญ่แอบขำกันไปตามๆกัน
เชื่อได้เลยว่าถ้าอาจารย์ไม่อยู่ในห้องนั้นคงจะฮากันลั่นห้องเลยทีเดียว
ไม่นานหลังจากนั้นชอล์กอันที่สองก็หล่นมาใส่หัวเขาอีกรอบ
เด็กหนุ่มเรือนผมสีดำสนิทขยี้ผมของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นหันซ้ายหันขวามองหาว่าใครกันที่เป็นคนปาของมาใส่หัวของเขา
ดวงตาสีดำเป็นประกายสอดส่องไปรอบๆห้องจนไปสบกับสายตาของอาจารย์สาว(?)ที่ส่งสายตาดุๆมาจากหน้าห้อง
ทำให้คนที่ถูกมองรู้สึกเสียวสันหลังนิดๆ
เด็กหนุ่มฝืนยิ้มด้วยสีหน้าแดงเล็กน้อยให้กับทุกคนแล้วรีบหยิบโทรศัพท์เจ้ากรรมขึ้นมาปิดเสียงในทันที
โชคดีที่อาจารย์ท่านนี้ไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ว่าจะมีนักเรียนคนไหนนอนหลับในห้องหรือไม่
ดูเหมือนเธอจะเข้าใจดีว่าการเรียนฟิสิกส์ช่วงเช้าๆนั้นมันน่าเบื่อ แต่สิ่งที่อาจารย์สาวนั้นไม่ชอบมากที่สุดก็คือ...การส่งเสียงรบกวนเพื่อนๆคนอื่นๆที่กำลังตั้งใจเรียน
“หักสองคะแนน” อาจารย์สาวพูดเสียงเรียบพลางจดบางอย่างลงไปใบรายชื่อนักเรียน
ก่อนที่จะหันไปสอนต่อ
เด็กหนุ่มโชคร้ายที่โดนหักคะแนนตั้งแต่หัววันก็ไม่มีท่าทีที่จะเถียงอะไร
เพราะรู้ๆกันอยู่ว่าถึงจะพูดอะไรออกไปก็เสียเปล่า
แถมอาจจะถูกหักคะแนนเพิ่มเสียอีกก็ได้
เขาถอนหายใจเบาๆพลางหันมองเพื่อนโต๊ะข้างๆอย่างเคืองนิดๆที่ไม่ยอมปลุกเขาเพราะเจ้าตัวก็กำลังฟุบหลับอยู่เหมือนกัน
ผมสีดำของคนที่ยังฟุบอยู่กับโต๊ะนั้นค่อยๆพลิ้วไหวไปตามสายลมที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง
แถมเจ้าตัวยังทำท่าทีเหมือนกำลังมีความสุขซะอีก
เห็นแล้วชายหนุ่มรู้สึกอยากจะแกล้งปลุกให้ตกใจตื่นขึ้นมาเล่นๆเสียจริงๆ
แต่ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะปลุกในตอนนี้
เพราะหมอนี่หลับทีเหมือนตาย ปลุกยังไงก็ไม่ตื่น ยิ่งช่วงนี้หมอนี่มักจะทำตัวแปลก
ไปไหนมาไหนคนเดียวจนแทบจะไม่สุงสิงกับใคร แถมตอนดึกๆยังชอบแอบออกไปจากหอพักกว่าจะกลับมาก็รุ่งเช้าทุกที
บางครั้งเขาก็เป็นห่วงเพื่อนคนนี้อยู่เหมือนกัน
โดยเฉพาะช่วงนี้มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นแถวๆโรงเรียนเสียด้วย
มีข่าวลือที่เล่ากันปากต่อปากในกลุ่มนักเรียนหญิงช่างจ้อ
ว่ากันว่าในโรงเรียนนี้มีเรื่องลึกลับหลายๆอย่างเกิดขึ้น
ทั้งเรื่องกลุ่มของเด็กตัวเล็กๆที่ชอบวิ่งเล่นในห้องโถง น้ำในสระที่กระเพื่อมในคืนเดือนหงายทั้งๆที่ไม่มีคน
เสียงลูกบาสกระทบกับพื้นสนามตอนกลางคืน เสียงกระซิบที่ลอยมากับสายลม
แสงไฟที่หมุนวนอยู่ในอุโมงค์โบราณ เรื่องของชมรมลี้ลับที่รับตามหาผี
รวมไปถึงสมาชิกของชมรมที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นใคร แต่สำหรับคนๆนี้ถือเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสมาชิกของชมรมลึกลับนั้น
บุรุษลึกลับซึ่งใครต่อใครต่างคิดว่าเขาอาจจะไม่ใช่มนุษย์
แต่เป็น..แมว
“ถ้าฉันไม่เห็นเจ้านั่น
ฉันคงจะคิดว่านายเป็นแมวจริงๆนั่นล่ะนะ”
ชายหนุ่มพึมพำออกมาเมื่อเห็นแมวสีนำตัวเหนึ่งนอนหลับอย่างสบายอยู่ที่หลังฮู้ดของเพื่อนตนที่กำลังหลับอยู่อย่างสบาย
“ถึงเหมือน..แต่ก็ไม่ใช่สินะ”
เขาหัวเราะกับความคิดของตัวเอง..ใช่สิ คนบ้าที่ไหนจะกลายเป็นแมวไปได้เล่า
นอกเสียจากเขาจะไม่ใช่คน คิดไปก็เปล่าประโยชน์ แต่จะเลิกคิดก็ไม่ได้เหมือนกัน ว่ากันว่าช่วงนี้จะมีคณะละครสัตว์เร่มาจัดแสดงแถวๆโรงเรียนเสียด้วย
แถบยังเป็นคณะละครที่ดูลึกลับพอๆกันอีก บางทีเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าหมอนี่สักวันอาจจะไปเป็นนักแสดงในคณะละครนั้นก็คงไม่แปลก
ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่โรงเรียนกำลังจะปิดเสียด้วย และความจริงแล้วก็เป็นอย่างที่เขาคิดนั่นแหละ
เพียงแต่ไม่มีใครรู้ก็เท่านั้น
ว่าไม่นานมานี้เด็กหนุ่มปริศนานั้นได้ไปดูการแสดงของคณะละครซาร์ครัสแล้วรู้สึกสนใจมากเลยทีเดียว
แถมยังมีหลายๆครั้งที่เขาแอบไปดูคนเดียวเสียอีก
ทั้งการแสดง ดนตรี รวมถึงความสุนทรีย์ที่ได้รับจากการชมการแสดงนั้นสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ให้กับเขา
สิ่งที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดหรือตัวหนังสือได้ แต่ต้องรับรู้ด้วยความรู้สึกภายในจิตใจ
ในเมื่อสถานที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้สามารถช่วยอะไรเขาได้อีกแล้วการไปพึ่งพิงสิ่งไหมที่ดูดีกว่าอาจจะทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้น
หรือได้พบกับสิ่งใหม่ๆมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นเหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไป
แต่ก็ยังมีอีกหลายๆเรื่องในโลกนี้ที่เขายังไม่ได้รับรู้แต่อยากจะลองสัมผัส
ไม่มีเหตุผลสำคัญหรอกว่าทำไมบุรุษลึกลับอย่างเขาจะเข้ามาขออาศัยอยู่ที่คณะละครลัตว์เร่ร่อนเช่นนั้น
นอกเสียจาก เพื่อนประสบการณ์ อาหาร และที่อยู่...
...และที่นั่นและจะเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตครั้งใหม่...
ความคิดเห็น