คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Bastard!! Screen 10 :: Deathly Lullaby [140 Per.]
Chapter 10
Deathly Lullaby
“อ๊ะ!!!”
ผมร้องเมื่อร่างของตัวเองถูกร่างสูงตรงหน้ากระชากเข้าหาก่อนที่ริมฝีปากร้อนจัดจะแนบลงมาอีกครั้ง หลังจากที่ดีไลท์วางสายไปไม่ทันถึงหนึ่งวิ...ไอ้ซิการ์ก็จับผมมาจูบอีกซะงั้น!! สภาพของตัวเองที่ตอนนี้ล่อแหลมมากจนถึงขั้นอันตรายสุดขีด ชุดที่สวมใส่มาตอนนี้เหลือเพียงแค่กางเกงซึ่งมันก็คงจะถูกถอดออกไปในไม่ช้าถ้าขืนมันยังคงรุกเร้าผมอยู่แบบนี้!!
ผมแทบอยากจะเอา iPhone ของหมอนี่ที่ยังถืออยู่ในมือเขวี้ยงใส่หัวของอีกฝ่ายเลยถ้าทำได้ แต่ติดที่ว่าแขนทั้งสองข้างของตัวเองถูกคนมือไวรวบไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว!
“ไอ้ซิการ์! กูบอกให้พอไง”
เป็นอีกครั้ง...ซึ่งไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไรที่ผมตะโกนใส่หูของร่างสูงอย่างโกรธจัดระคนอับอายในเวลาเดียวกัน หากแต่ไอ้ซิการ์ก็ยงคงไม่ยอมฟังอยู่ร่ำไป มือของมันอีกข้างก็สาละวนกับการถอดกางเกงผมให้ได้
โอ๊ย!!! ใครมันจะไปยอมวะ!!
ยิ่งหลังจากที่ไอ้ดีไลท์มันโทรมาเกี่ยวกับเรื่องไอ้แพทเทิร์นแล้วใจผมก็อยากจะไปโรงแรม G อะไรนั้นไวๆ นั่นอาจจะเป็นโอกาสเดียวที่ผมจะช่วยเพื่อนก็ได้...แม้ความหวังจะริบหรี่มากก็ตามทีเพราะว่านี่คือโอกาสที่ถูกหยิบยื่นมาจากมือของไอ้ดีไลท์ แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้!!
“อยู่เฉยๆ น่า...”
เสียงเข้มกระซิบอยู่ข้างหูผมอย่างรำคาญเต็มทีที่ผมยังคงดิ้นป่ายไปมาไม่เลิกเป็นผลให้คนตัวสูงปลดกางเกงผมไม่สำเร็จสักที
“พอสักที! ถ้ามึงปล่อยกู...กูจะยอมให้มึงทำอะไรก็ได้วันนึง!”
เพราะไม่รู้จะทำยังไงให้ตัวเองหลุดพ้นจากสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน (ต่อร่างกายและจิตใจ) ผมจึงตะโกนใส่ร่างสูงไปแบบนั้นและได้ผล...ริมฝีปากที่คลอเคลียแถวๆ แก้มเนียนชะงักนิ่งไปก่อนที่เจ้าตัวจะเลื่อนใบหน้าออกห่างไปเล็กน้อยพร้อมกับประสานสายตากับผมอย่างเจ้าเล่ห์
...ซึ่งสายตาของมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อที่กำลังจะถูก ‘ขย้ำ’ ยังไงยังงั้นเลย!
“แน่ใจนะว่า...จะยอมให้กู ‘ทำอะไร’ ก็ได้วันนึงน่ะ J”
ซิการ์คลี่รอยยิ้มร้ายกาจ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ‘ทำอะไร’ ที่ของมันหมายความว่ายังไง โอ๊ย!! ให้ตายสิ ผมไม่น่าขุดหลุมฝังตัวเองเลย ดูจากสายตาที่แทบจะกลืนกินผมเข้าไปทั้งตัวนั่นชักทำให้ผมไม่แน่ใจแล้วว่าที่ตัวเองทำมันถูกหรือผิด!!
“เออ!”
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม...ผมต้องเห็นเรื่องของไอ้แพทมาก่อน ใจผมอยากจะไปที่โรงแรม G ใจจะขาด
“ทำแบบ ‘เต็มใจ’ ด้วยใช่ไหม”
ไอ้!!! ผมแทบจะด่าคนตรงหน้าด้วยคำที่หยาบที่สุดเท่าที่จะสรรหามาด่าได้ เชื่อเขาเลย! หมอนี่เป็นพวกประเภทที่เวลามีโอกาสเมื่อไรก็ต้องเอารัดเอาเปรียบให้ถึงที่สุดเลยหรือไงนะ! จากที่มันลากไล้นัยน์ตาคมๆ ที่ขวางคนได้ทั้งโลกไปทั่วใบหน้าและร่างกายผมนั่น...พนันได้เลยว่าผมเดาถูก
ไอ้ผู้ชายวิปริตเอ๊ย!!!!
ผมก่นด่าไอ้ซิการ์ในใจหากก็ต้องตอบออกไปว่า...
“เออ!!! ก็ได้!!!” แม้จะฟังดูไม่เต็มใจ (ก็แน่ล่ะ!) แต่ไอ้ซิการ์ยิ้มพอใจก่อนจะยอมปล่อยตัวผมให้เป็นอิสระในที่สุด บอกได้เลยว่าผมรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งพ้นจากคุกอย่างไรอย่างนั้นเลย! พอก้มมองดูตัวเองก็พบว่ามีรอยแดงอยู่เต็มทั่วตัวไปหมดซ้ำรอบข้อมือยังเป็นรอยช้ำรูปมือ ผมรีบคว้าเสื้อเข้ามาสวมทันทีก่อนที่อีกฝ่ายเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมากะทันหัน เชื่อเลย...หมอนี่แม่งอันตรายเหี้ยๆ!
“หึ! อย่าลืมที่มึงพูดไว้ล่ะ เพราะถ้าลืมกูทบทั้งต้นทั้งดอกแน่”
เสียงเข้มขู่ผมคล้ายกับว่าถ้าผมบิดพลิ้วคำพูดที่ว่าไว้ล่ะก็...ยิ่งกว่า ‘เจอดี’ แน่!! แต่คนอย่างผมน่ะเหรอจะกลัว? ก็แค่ยอมๆ ไปจะได้จบเรื่องเท่านั้นแหละน่า!!
“เอาล่ะ ทีนี้มึงพากูไปที่โรงแรม G หน่อยสิ”
“เรื่องอะไรที่กูจะต้องพามึงไป”
ร่างสูงยักไหล่ไม่ยี่หระพลางจัดแจงติดกระดุมเสื้อตัวเองที่ปลดออกไปแล้วสองสามเม็ดให้เรียบร้อย ก่อนที่กระดุมจะติดครบตาผมก็เหลือบไปเห็นแผ่นอกกว้างสุดแสนจะเซ็กซี่...เหอะ! หมอนี่มีดีแค่หน้าตาเท่านั้นแหละ อารมณ์ร้ายก็ที่หนึ่ง นิสัยชั่วช้าไม่เป็นสองรองใคร แถมยังโรคจิตได้แบบสารเลวมาก!!
“ถ้ามึงไม่พากูไป...สัญญาเมื่อกี้ถือเป็นโมฆะ!!”
“แล้วไง นึกว่ากูจะสนเหรอ”
อารมณ์โกรธของผมพุ่งปรี๊ดทะลุเพดานเพราะท่าทางไม่ใคร่ใส่ใจของไอ้หมอนี่ ใบหน้าคมคายที่หันมาทางผมไร้ซึ่งสีหน้าใดๆ ที่แสดงออกว่าเห็นผมอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย หึ! อยากฆ่าไอ้เวรนี่ให้ตายคามือชะมัดยาด!!
“ก็เอาสิ...อย่าหวังว่ากูจะยอมให้มึงทำอะไรกูง่ายๆ”
“หึ! ต่อให้มึงขัดขืนกูยังไงแต่กูก็มีวิธีที่จะทำให้มึงสยบอยู่แทบเท้ากูอยู่ดี”
เสียงเข้มๆ นั่นดูมั่นอกมั่นใจมาก ไอ้ซิการ์ค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้ผมที่ยังนั่งอยู่บนขอบอ่างเรื่อยๆ ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะเลื่อนมาเป่ารดลมหายใจอุ่นร้อนแถวๆ ต้นคอผมให้ใจสั่นเล่นๆ หากทว่าผมมีภูมิต้านทานดีจึงเหยียดยิ้มมุมปากแล้วใช้นิ้วเรียวเชยคางของอีกฝ่ายขึ้นมาพร้อมทั้งหรี่ตาอย่างผู้เหนือกว่า
“แต่มึงไม่อยากเห็นกูยอม ‘เชื่อฟัง’ มึงดีๆ บ้างเหรอไง”
“...”
เมื่อเห็นคนตรงหน้าเงียบไปผมก็รู้แล้วว่าอะไรที่ผมเสนอไปคงจะทำให้มันสนใจไม่น้อย เฮ้อ...นี่เป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรนะ นี่มันไม่ต่างกับการเสนอตัวให้ไอ้บ้านี่เลยนะ!
เอาเถอะ...ไว้ค่อยหาช่องทางหลีกเลี่ยงทีหลังก็แล้วกัน
“ว่าไงล่ะ”
“ที่มึงพูดมาก็...น่าสนใจดี ก็ได้...กูจะพามึงไป”
ทว่า...ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่านะว่าลึกๆ ลงไปข้างในจิตใต้สำนึก สัญชาตญาณมันส่งเสียงเตือนผมว่าต่อให้หนีไปไกลแค่ไหนผมก็ไม่อาจเลี่ยงสิ่งที่ตัวเองลั่นวาจาไว้ในวันนี้ได้เลย!
@ โรงแรม G
ทันทีที่สปอร์คาร์สุดหรูราคาเหยียบสิบกว่าล้านนี่จอดนิ่งสนิทอยู่ที่ลานจอดรถของโรงแรมผมก็เป็นฝ่ายเปิดประตูลงมาแล้วเดินตรงเข้าไปด้านในอย่างรีบร้อน ร่างสูงที่เพิ่งจะตามมาได้ทันคว้าข้อมือผมไว้อย่างถือวิสาสะก่อนที่จะออกแรงกระชากให้ผมหันหน้าไปมองใบหน้าคมคายที่ตอนนี้ดูคล้ายกับไม่พอใจผมอย่างไรอย่างนั้น อะไรของไอ้ซิการ์อีกเนี้ย!! รู้มั้ยว่าผมกำลังรีบอยู่น่ะ!!!
“จะไปหาชู้เหรอไง รีบซะอย่างกับมีคนตาย”
เสียงเข้มๆ เอ่ยได้ต่ำทรามที่สุด! ไอ้เวรนี่คิดได้ไงกัน! เหอะ! สมองต่ำๆ กับความคิดโสมมๆ ของมันคงมีปัญญาคิดได้แค่นี้น่ะแหละ ผมส่ายหน้าอย่างระอาพร้อมกับสะบัดแขนตัวเองให้หลุดออกจากมืออีกฝ่าย
...ซึ่งมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย!
“กูมาช่วยไอ้แพท ตอนนี้มันอาจจะอยู่ที่นี่แล้วก็ได้” ผมว่าในขณะที่ในใจมันเหลืออด สุดจะทนกับคนตรงหน้าแล้วจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับมันดีเหมือนกัน
“เอาเถอะ มึงจะทำอะไรก็เรื่องของมึงแต่ก็ช่วยเร็วๆ หน่อยเพราะกูอดใจรอให้มึงทำตาม ‘สัญญา’ ไม่ไหวแล้ว J”
รอยยิ้มที่เหยียดขึ้นตรงมุมปากนั่นบอกให้ผมรู้ว่าไอ้ซิการ์ ‘ไม่ลืม’ สิ่งที่ผมเคยพูดไว้ แน่นอนว่ารอยยิ้มของมันรบกวนจิตใจผมได้อย่างมีประสิทธิภาพเชียวล่ะ บอกตามตรงเลยว่าผมกำลังคลั่งกับความหน้าไม่อายของมันมาก แต่สิ่งที่ทำให้ผมกลับมาสงบลงคือการนึกถึงใบหน้าไอ้แพทเทิร์น ...ขอยอมสงบศึกชั่วคราวก่อนก็แล้วกัน เฮอะ!!
“ไม่ต้องย้ำหรอกน่า! กูจำได้!!”
ผมกระแทกเสียงใส่ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปด้านในโรงแรมซึ่งไอ้ซิการ์เองก็ยอมปล่อยแขนผมแต่โดยดีและเดินตามประกบหลังมาอย่างกับกลัวว่าผมจะหนี
“คุณคะ”
ทันทีที่เท้าเหยียบย่างเข้ามารีเซปชั่นสาวสวยที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ก็เรียกผมเอาไว้ ผมทำหน้างงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปหาเธอด้วยความสงสัยเต็มสตรีม
“เรียกผมเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ พอดีมีคนฝากของไว้ให้กับคุณ” รอยยิ้มพิมพ์ใจที่ดูสวยหวายไม่มีพิษมีภัยนั่นไม่ได้ทำให้ความสงสัยของผมมีน้อยลง...กลับกันผมยังรู้สึกว่ามันชัก ‘แปลก’ ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ผมเพิ่งจะมาถึงโรงแรมนี้เองนะและทำไมรีเซปชั่นสาวสวยคนนี้ถึงได้เรียกผมไว้อย่างกับ ‘รอ’ ผมอยู่อย่างนั้นแหละ...
ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งในเกมของไอ้ดีไลท์ก็ได้
...พระเจ้า ผมไม่สบายใจเอาเสียเลย
หญิงสาวตรงหน้ายื่นคีย์การ์ดมาให้ผมสามใบ คงจะเป็นคีย์การ์ดของห้องในโรงแรมนี้น่ะแหละและยังไม่ทันที่ผมจะถามรายละเอียดอะไรกับพนักงานสาว iPhone ของไอ้ซิการ์ในกระเป๋ากางเกงผมก็ดังขึ้นมาเสียก่อน (ผมยึดโทรศัพท์ของซิการ์ไว้ชั่วคราวน่ะ) ซึ่งชื่อของไอ้ดีไลท์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอนั่นไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจเท่าไรเพราะกะอยู่แล้วว่าทันทีที่ผมเข้ามาที่นี่มันจะต้องเป็นฝ่ายติดต่อกลับมาแน่นอน
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
“ฮัลโหล!!!” หลังจากที่กดรับผมก็กระแทกเสียงใส่โทรศัพท์อย่างไม่กลัวว่าปลายสายจะหูหนวก หึ! คุรก็รู้ว่าผมไม่มีทางพูดดีกับไอ้ฉิบหายดีไลท์หรอก
[หึๆ มึงคงจะมาถึงที่ที่กูบอกแล้วสินะ]
“เออ! มีอะไรก็รีบพูดมาสิ แล้วไอ้แพทอยู่ที่นี่หรือเปล่า!!” ผมรับรู้ได้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังร้อนรนเพียงไร และที่น่าโมโหสุดๆ ก็คืออีกฝ่ายกลับเอ่ยเสียงนิ่งๆ อย่างใจเย็นและไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ก็แน่น่ะสิ...ตอนนี้คนที่เป็นต่อคือไอ้เวรดีไลท์ไม่ใช่ผม!!!
[แพทเทิร์นจะอยู่ที่นั่นหรือไม่เอาไว้มึงค้นหาคำตอบเอาเองก็แล้วกัน มึงได้คีย์การ์ดมาสามใบแล้วใช่ไหม] ผมก้มลงมองคีย์การ์ดในมือโดยอัตโนมัติ เหอะ!!...คิดไว้ไม่ผิดเลยว่าต้องเป็นของไอ้ดีไลท์ แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมมันทำแบบนี้ หรือว่าจะมี ‘เบื้องลึกเบื้องหลัง’ อะไรแฝงเร้นอยู่อีก?
“ใช่...กูมีคีย์การ์ดอยู่ มึงจะให้กูทำอะไร”
[แหม...หัวไว้จริงนะ มันก็ไม่มีอะไรหรอก แค่มึงไปตามหมายเลขห้องบนคีย์การ์ดมึงอาจจะเจอแพทเทิร์นถูกขังไว้]
จากน้ำเสียงของอีกฝ่ายผมเชื่อว่าตอนนี้ไอ้ดีไลท์คงกำลังยิ้มเลือดเย็นตามแบบฉบับของมันอยู่แน่ๆ ผมมองคีย์การ์ดสามใบในมืออีกครั้งอย่างครุ่นคิด ถ้าเป็นอย่างที่มันพูดจริงแสดงว่าหนึ่งในสามห้องตามหมายเลขบนคีย์การ์ดคือห้องที่ไอ้แพทถูกจองจำไว้อยู่...แต่มันจะง่ายดายไปมั้ย
คนอย่างดีไลท์ต้องซุกซ่อนเล่ห์กลอะไรไว้อีกแน่!!!!
“แล้วกูจะมั่นใจได้ยังไงว่ามึงขังไอ้แพทไว้ที่นี่จริงๆ และมึงไม่ได้ ‘หลอก’ กู”
ผมจงใจกดเสียงเป็นการเน้นย้ำให้ปลายสายรู้ว่าอย่าเล่นตุกติกหากแต่อีกฝ่ายก็หาได้กลัวไม่...ยังมีหน้าหัวเราะในลำคออย่างต้องการจะเย้ยหยันอีกต่างหาก!
[หึๆๆ มึงก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอว่านี่คือการ ‘เดิมพัน’ อย่างหนึ่ง เพื่อนของมึงจะอยู่ที่นั่นหรือไม่อยู่...กูไม่มีทางบอก แต่ถ้ามึงคิดว่าไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร เชิญไสหัวกลับบ้านไปได้ตามสบาย แต่ถ้าแพทเทิร์นอยู่ที่นั่นจริงๆ ขึ้นมา...ไม่ต้องบอกก็คงรู้นะว่ามึงน่ะปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย]
ไม่น่าเชื่อว่าวาจาปลุกปั่นประสาทนั่นจะทำให้ผมรู้สึกสับสนเหลือเกิน ถึงจะคิดว่าอะไรๆ มันจะผิดปกติแค่ไหนแต่ผมก็ไม่อาจหักห้ามใจตัวเองให้ออกไปจากที่นี่ได้เลย ใช่แล้ว...ก็อย่างที่ไอ้ดีไลท์มันพูด เกิดไอ้แพทอยู่ที่โรงแรมนี่จริงๆ ผมก็ ‘พลาด’ โอกาสไปอย่างไม่น่าให้อภัยเลยน่ะสิ
ไอ้ดีไลท์นี่มันรู้จุดอ่อนของผมและใช้มันให้เป็นประโยชน์สินะ...
เฮอะ! ไม่อยากจะยอมรับเลยว่ามันน่ะ ‘เหนือชั้น’ มาก!
“ขอให้มันจริงอย่างที่มึงว่าก็แล้วกัน”
ติ๊ด!! ผมกดตัดสายพร้อมกับที่ในใจเหมือนถูกอะไรบางอย่างกวนให้ตะกอนที่ตกค้างขุ่นคลั่กขึ้นมา บอกตามตรงว่าผมไม่สบายใจเอามากๆ แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ...ผมไม่มีทางเลือกอะไรมากมายหรอกนะ
“ไอ้เวรนั่นมันว่าไงบ้าง”
...ไอ้ซิการ์ ผมเกือบจะลืมไปแล้วนะเนี้ยว่ามันยังยืนอยู่ข้างๆ ผม และดูท่าว่ามันคงจะได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ไปบ้าง ผมหันไปประสานสายตากับร่างสูงที่เอาแต่ทำหน้าโหดอยู่ร่ำไป
“มันบอกให้กูขึ้นไปหาไอ้แพทตามคีย์การ์ดที่มันให้ไว้น่ะ”
ผมว่าแล้วก็ก้มลงพิจารณาตัวเลขบนคีย์การ์ดอันแรกที่เขียนไว้ว่า ‘0814’ แสดงว่าผมต้องขึ้นไปที่ชั้น 8 ห้องที่ 14 ส่วนคีย์การ์ดอันที่สองและสามก็มีหมายเลข ‘1320’ กับ ’1501’ ตามลำดับ ผมจ้องมองอยู่นานมากจนร่างสูงข้างกายต้องสะกิดให้ผมหลุดออกมาจากห้วงภวังค์
“มึงน่ะอย่ามัวแต่เหม่อ บอกแล้วไงว่าจะทำอะไรก็รีบๆ ทำ ขืนชักช้าก็อดใจไม่ไหวลากมึงขึ้นกลับไปทำอะไรที่บ้านกูไม่รู้ด้วยนะ” คำพูดเอาแต่ได้อย่างไม่มียางอายของไอ้ซิการ์เล่นเอาผมหน้าตึงด้วยความหงุดหงิดอีกระลอกทันที ผมกำโทรศัพท์มือแน่นก่อนจะจ้องหน้าหล่อๆ ของคนตรงหน้าอย่างไม่พอใจและกระแทกส้นเท้าเดินไปยังลิฟต์ทันที เอาเถอะ! รีบๆ หาไอ้แพทให้เจอเรื่องมันจะได้จบๆ ไปเสียที
ผมกับซิการ์ขึ้นลิฟต์มายังชั้นแปดก่อนที่ผมจะเดินเลี้ยวตรงไปที่ห้อง 0814 ทันทีเมื่อเห็นว่าตัวเลขบนคีย์การ์ดเป็นตัวเลขเดียวกันผมก็ยื่นมันไปที่ช่องแสกน จากนั้นไม่ถึงวินาทีประตูก็เปิดออกก่อนที่ผมจะผลักบานประตูให้อ้ากว้างขึ้นและก้าวเข้าไปข้างในอย่างรีบร้อน
และสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาผมก็คือ...
ผู้ชายรูปร่างบอบบางที่ถูกมัดกับเก้าอี้อยู่กลางห้องโดยการพันเชือกทั้งแขนและขาจนไม่อาจกระดุกกระดุกไปไหนได้เลย ซ้ำยังถูกเอาผ้าปิดปากไว้อีก ทันทีที่เขาเห็นผมกับไอ้ซิการ์เข้ามาในห้องแวบแรกก็ตกตะลึงซึ่งถัดมาเพียงเสี้ยววินาทีก็แปรเปลี่ยนมาเป็นเว้าวอนอย่างต้องการให้ช่วย
ทว่า...ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ไอ้แพท!!!!
ผมรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก อารมณ์ด้านลบต่างๆ นานากำลังรุมเร้าทำร้ายจิตใจผมหลังจากที่ต้องเผชิญกับความผิดหวัง...แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อดสงสารร่างบางที่ถูกมัดไว้ตรงหน้าไม่ได้อยู่ดี
ถ้าผมเดาไม่ผิด...ไอ้ดีไลท์มันคงจะจับตัวหมอนี่เพื่อให้มาเป็นส่วนหนึ่งของเกมนี้สินะ!
ไอ้บ้าเอ๊ย!!! หมอนั่นมันจะเลวระยำไปไหนวะ!!!!
โดยที่ไม่ต้องคิดอะไรมากนักผมก็รีบตรงเข้าไปแก้มัดให้ร่างบางทันที โชคดีที่ถึงเชือกนี้แก้ไม่ยากนักถึงแม้มันจะมัดไว้อย่างแน่นหนาก็ตามที และทันทีที่ผมดึงผ้าคาดปากของคนตรงหน้าออกมาเขาก็โผเข้ากอดผมไว้อย่างแนบแน่นพร้อมกันนั้นก็ร้องไห้ออกมาอย่างเสียขวัญด้วย
“ฮือ...ผมกลัว คุณต้องช่วยผมนะ ช่วยพาผมไปจากที่นี่ผมถูกใครจับโปะยาสลบใส่แล้วมาอยู่ที่นี่ได้ไงก็ไม่รู้”
เสียงหวานพูดเร็วรัวจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์บอกให้รู้ว่าคนพูดกำลังอยู่ในภาวะตื่นกลัวมากเพียงใด แน่สิ...ถูกจับตัวมัดแขนมัดขาไว้เป็นใครบ้างล่ะจะไม่กลัว
“ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว”
ผมได้แต่ลูบหัวปลอบโยนอีกฝ่าย ให้ตายสิ...ผมไม่ได้อยากจะทำอะไรแบบนี้หรอกนะ แต่เห็นแล้วมันก็อดไม่ได้ ไม่รู้ว่าหมอนี่ถูกจับมาแล้วกี่วัน...แต่ที่แน่ๆ ผมไม่มีวันให้อภัยคนที่ทำราวกับชีวิตของคนอื่นเป็นของเล่นอย่างไอ้ดีไลท์แน่!! นานหลายนาทีกว่าที่ร่างบางตรงหน้าจะเลิกร้องไห้แต่ก็ยังคงหวาดกลัวอยู่นิดๆ สังเกตได้จากอาการสั่นจนเจ้าตัวต้องกอดตัวเองไว้แน่น
“นายควรจะรีบลงไปและกลับบ้านให้เร็วที่สุดนะ”
“ไม่เอา...” เสียงเล็กๆ ดูจะยิ่งตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิมเมื่อผมต้องการจะไปต่อและแยกทางกับเขา “พวกมันต้องยังอยู่แน่ๆ ผมต้องถูกจับอีกครั้งแน่ๆ เลย”
อาการตื่นกลัวนั่นทำเอาผมไม่รู้จะทำยังไงดี แต่มันก็จริงอย่างที่หมอนี่ว่า...ไม่แน่ดีไลท์อาจจะส่งคนมาจับตาดูอยู่ก็เป็นได้ ซึ่งถ้าหมอนี่หนีออกไปก็มีเปอร์เซ็นต์สูงที่จะถูกจับตัวไว้อีกครั้ง ทางที่ดีควรพาเขาไปส่งตำรวจไม่ก็รอดูจนแน่ใจว่าไม่มีใครจะมาจับตัวเขาไม่เป็นครั้งที่สอง
“งั้น...นายจะไปกับฉันไหมล่ะ เดี๋ยวพอฉันเสร็จธุระแล้วจะพานายไปหาตำรวจ”
...นี่เป็นทางเดียวที่ผมคิดออกตอนนี้ ยังไงผมก็อยากจะตามหาไอ้แพทอยู่แต่ก็ไม่อยากปล่อยร่างแบบบางนี่ไว้คนเดียวเช่นกัน
“เอ่อ...ได้ แต่นายห้ามทิ้งฉันนะ”
“โอเคๆ ว่าแต่นายชื่ออะไร”
“ฉันชื่อเกลล์ นายล่ะ?”
“ฉันชื่อออสตินนะ เอาล่ะ...เรารีบไปกันเถอะ”
“หึ! พ่อพระจริงนะออสติน” เสียงเข้มๆ นี่มาจากร่างสูงๆ ของไอ้ซิการ์ที่กำลังยืนพิงขอบประตูและยืนดูผมช่วยเกลล์อยู่ห่างๆ โดยไม่คิดจะยื่นมือเขามาเลยสักนิด หึ! หมอนี่ก็เลวพอกัน...แล้วยังจะมีหน้ามาค่อนขอดผมอีกงั้นเหรอ ที่มันตามมาก็คงเป็นเพราะกลัวผมจะฉวยโอกาสหนีไปล่ะมั้ง (ซึ่งผมเองก็กะจะหนีอยู่เหมือนกัน แต่ดันโดนกันท่าไว้ซะก่อน)
“ถ้าไม่คิดจะช่วยก็กรุณาหุบปากสักนาทีเหอะ”
และเห็นท่าทางกวนเส้นของไอ้ซิการ์แบบนั้นผมก็อดไม่ได้ที่จะสวนกลับไปด้วยถ้อยคำที่เหยียดหยันอีกฝ่ายเต็มที่ ก็ผมเป็นของผมอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ถ้าผมไม่โต้กลับซะบ้างมันก็จะย่ามใจคิดว่าผมเป็นแค่เด็กอมมือน่ะสิ
หึ! ผมยังมีด้านชั่วร้ายที่ยังไม่เคยเอาออกมาใช้อีกเยอะ
“จำคำพูดของมึงไว้ให้ดีนะ กลับไปกูเอาคืนแน่”
ดวงตาคู่คมกริบประหนึ่งใบมีดที่จ้องมาอย่างคาดโทษนั่นบอกให้ผมรู้ตัวว่าตัวเองต้องได้รับ ‘บทลงโทษ’ จากมันอย่างแน่นอน ซึ่งผมเองก็เสียวไม่ใช่น้อยแต่ก็ข่มมันเอาไว้และจ้องกลับไปอย่างท้าทาย หากสุดท้ายผมเองก็ทนไม่ไหวเลยหลบตาและเดินหนีด้วยความกรุ่นโกรธนิดๆ
จากนั้นผม เกลล์และไอ้ซิการ์ก็ขึ้นลิฟต์ต่อมายังชั้นสิบสามซึ่งห้องที่จะต้องเข้าไปคือ 1320 และทันทีที่มาถึงผมก็จ่อคีย์การ์ดไปยังเครื่องแสกนอย่างรวดเร็ว ในใจหวังว่าในห้องคงจะมีไอ้แพทอยู่ หากแต่...ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าหลังจากที่ประตูถูกเปิดออกนั้นเกือบทำให้ผมล้มทั้งยืน!!
มีคนตายอยู่ในห้องนี้!!!!
ใช่...คุณอ่านไม่ผิดหรอก ผมเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเหมือนกัน เกลล์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับทรุดลงกับพื้นเมื่อเห็นภาพสยดสยองตรงหน้า...ซึ่งก็คือภาพของผู้ชายที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพรมราคาแพงโดยมีมีดเสียบคาอยู่ที่แผ่นหลัง!! เมื่อกลิ่นคาวเลือดลอยเข้ามาแตะจมูกผมก็แทบจะอาเจียนออกมาเสียให้ได้ ร่างนั้นนอนหันหลังให้ทำให้ผมมองไม่เห็นใบหน้าหากทว่ารูปร่างนั้นดูคล้ายกับไอ้แพทเหลือเกิน...
หรือว่า!!!!!!!!
ผมตื่นตกใจกับความคิดของตัวเองที่จู่ๆ ก็แล่นเข้ามาในสมองอย่างไม่อาจหักห้ามได้ ไม่แน่ว่า...ไม่แน่ว่าคนคนนี้อาจเป็นไอ้แพท...ไม่นะ...
ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!
Special!!! Pattern X Delight.
[Pattern’s side]
ครืน...ครืน...
เสียงฟ้าร้องบ่งบอกว่าพายุกำลังจะเข้า และฝนก็คงจะตกในอีกไม่ช้านี้ ผมยกมือขึ้นมาลูบตามแขนตัวเองเมื่อลมที่พัดเข้ามาจากทางประตูกระจกใสที่เปิดอ้าไว้นั้นเย็นจนรู้สึกหนาว ตอนนี้ผมแอบมาหลบอยู่แถวๆ ห้องนั่งเล่นซึ่งพอเปิดประตูกระจกออกก็จะเจอกับชานระเบียงมีชุดเก้าอี้ไม้วางไว้เพื่อนั่งชมวิวทุ่งหญ้าของฟาร์มด้านล่าง ส่วนดีไลท์...ผมไม่รู้หรอกว่าเขาอยู่ไหน และผมก็ไม่ค่อยอยากเจอหน้าเขาด้วย
บอกตามตรงเลยว่า...ผมกลัวที่จะเผชิญหน้ากับเขาไม่ว่าจะกรณีใดๆ
น่าแปลก...ที่เขาให้อิสระผมไปไหนมาไหนก็ได้ในบ้านหลังนี้ซึ่งตามปกติแล้วถ้าเขาจะเอาโซ่มาล่ามผมไว้ผมคงจะไม่แปลกใจเท่าไร คงคิดว่ายังไงผมก็หนีเขาไม่ได้ล่ะมั้ง...ซึ่งมันก็จริง ถ้ายังมีเขาอยู่ ยังไงผมก็หนีคนเลือดเย็นคนนั้นไม่พ้น ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกับการ ‘จองจำ’ ผมไว้ในบ้านหลังนี้
คนอย่างผมจะไปต่อกรอะไรกับเขาได้...
ผมเดินตรงไปเลื่อนบานกระจกให้ปิดลงเพราะถ้าฝนตกขึ้นมาจริงๆ คงจะกระเซ็นเข้ามาด้านในจนพื้นเปียกแฉะไปหมดแน่ๆ หากทว่าพอปิดกระจกเสร็จผมก็รับรู้ถึงกายแกร่งที่เดินมายืนซ้อนด้านหลังผม...ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ทำไมผมไม่ถึงรู้สึกตัวเลยจนกระทั่งลมหายใจอุ่นร้อนนั่นเป่ารินรดอยู่แถวๆ ต้นคอตัวเอง เดาว่าไม่ผมที่ใจลอยก็เขาแหละที่เดินได้เงียบกริบและว่องไวพอๆ กับมือซึ่งบัดนี้โอบรัดรอบเอวผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“วันนี้ดูเหมือนว่านายกำลัง ‘หลบหน้า’ ฉันเลยนะ แพทเทิร์น...”
ชื่อของตัวเองที่หลุดออกมาจากปากของผู้ชายคนนี้ทำให้ใจผมสั่นไหวได้อย่างน่าประหลาด ทั้งๆ ที่ผมควรจะผลักเขาออกไปแต่ไม่ว่าเพราะอะไรผมถึงได้ยืนนิ่งปล่อยให้เขาบดเบียดร่างกายแนบแน่นอยู่อย่างนั้นจนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในกองเพลิงอันร้อนระอุ
...ซึ่งกองเพลิงที่ว่ากำลังค่อยๆ ลามเลียมาแผดเผาผมทีละน้อย...ทีละน้อย...
“ฉัน...เอ่อ ผมไม่ได้หลบหน้าคุณเสียหน่อย”
ผมรีบแก้สรรพนามใช้เรียกแทนตัวเองและคนตรงหน้าเสียใหม่ เพราะว่าผมกับเขาไม่ได้สนิทหรือรู้จักกันดีเท่าไรนัก ตอนแรกที่ผมเรียกเขาว่า ‘นาย’ นั้นก็เพราะลืมตัวและตกใจที่เขาจับตัวผมมา ที่สำคัญเขาอายุมากกว่าผมถึงสี่ปี (ผมรู้มาว่าเขาเรียนจบปีสี่แล้ว แต่ผมเพิ่งจะอยู่ปีหนึ่งเอง...)
ทว่า...
“เรียกฉันอย่างนั้นหมายความว่าไง”
ดีไลท์หมุนตัวผมให้หันมามองหน้าเขาก่อนที่มือหนาจะเอื้อมมาบีบคางผมแรงๆ พร้อมกับกดสายตาที่เฉียบคมและอันตรายนั่นลงมากดดันผมจนรู้สึกเหมือนกับร่างกายผมลีบลงยามเมื่อสู้สายตากับเขา
ทำไมเขาถึงได้โกรธขึ้นมาล่ะเนี้ย?
“ผมก็แค่เรียกตามมารยาทเท่านั้นเอง ทำไมคุณต้องโกรธผมด้วย”
ผมเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจหากแต่ก็เหมือนกับการเพิ่มพูนความคุกรุ่นให้กับร่างสูงอย่างไรอย่างนั้นเมื่อมือที่บีบคางผมอยู่เพิ่มแรงบีบขึ้นจนผมรู้สึกเจ็บพานเอาน้ำตาแทบไหล มิหนำซึ่งเขายังผลักร่างผมไปติดกับกระจกโดยที่ตัวเขาเองก็ตามมาคุกคามผมติดๆ พอเห็นใบหน้าคมคายที่กำลังฉายแววเหี้ยมโหดนั่นแล้วผมก็ใจหายเสียดื้อๆ
...ทำไมผมถึงไม่อยากให้เขามองหน้าผมด้วยแววตาแบบนั้นนะ?
ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
“นายกล้าเรียกคนที่เป็น ‘สามี’ ของนายด้วยคำพูดห่างเหินแบบนั้นเหรอ”
เสียงหนักแน่นราวกับจะเน้นย้ำ ‘ความสัมพันธ์’ ระหว่างผมกับเขานั่นมันช่างเหมือนเป็นการถากถางผมเหลือเกิน ผมรู้ว่าดีไลท์หมายถึงอะไร...ผมเองก็ใช่ว่าลืมกับสิ่งที่เขาทำกับผมไว้หรอกนะ
“แล้วจะให้ผมเรียกคุณว่าอะไรล่ะ”
“นั่นสิ...จะให้เรียกว่าอะไรดีล่ะ :)”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดพรายขึ้นมาประดับบนใบหน้าคมคายอีกครั้ง ซึ่งรอยยิ้มนั่นก็ช่างดูคล้ายกับรอยยิ้มของซาตานหรือปีศาจร้ายอย่างไรอย่างนั้น ผมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกยามเมื่อประสานสายตากับอีกฝ่าย ผมรู้...เขาใช้มันสะกดผมมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนนับตั้งแต่ผมได้พบเจอกับเขา และมันก็ได้ผลทุกครั้งเพราะมันช่างเป็นเรื่องยากเย็นเสียเหลือเกินที่จะต่อต้านแววตาดุดันของเขา...
ดีไลท์เป็นผู้ชายแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น...ไม่ว่าจะโหดเหี้ยมอำมหิต ร้ายกาจ เจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างยากที่จับตัวได้ หรือแม้กระทั้งชั่วช้าสามานย์ราวกับไม่ใช่มนุษย์
...คงมีเพียงแค่การเป็น ‘คนดี’ เท่านั้นล่ะมั้งที่คนคนนี้เป็นไม่ได้และไม่มีวันที่เขาจะเป็น
“ให้ผมเรียกเหมือนเดิ...”
“นายคงไม่ว่าอะไรสินะถ้าฉันอยากให้นายเรียกฉันว่า ‘คุณสามี’ น่ะ” ยังไม่ทันที่ผมจะว่าจบประโยคดีคนตัวสูงก็แทรกขึ้นมาอย่างเอาแต่ใจแถมยังไม่สนใจในสิ่งที่ผมพูดแม้แต่นิดเดียว ราวกับเห็นความเห็นผมเป็นเพียงอากาศธาตุที่มองผ่านเลยไปเท่านั้น
“...” ผมเผลอกำชายเสื้อตัวเองแน่น คนตรงหน้าต้องการจะแกล้งผมอีกแล้วแน่ๆ ถึงได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่คล้ายกับจะหยอกล้อเช่นนี้ และที่แน่ๆ เขาคงอยากจะหาเรื่องมา ‘ย้ำเตือน’ ว่าผมกับเขา...เป็นอะไรกัน...
“ทำไมเอาล่ะเงียบล่ะคนดี...ไม่คิดว่ามันฟังดูน่ารักเหรอไง ว่าไง...ไหนลองเรียกฉันแบบนั้นซิ”
น้ำเสียงเรียบนิ่งหากแต่แฝงไว้ซึ่งการออกคำสั่งกลายๆ ผมไม่เข้าใจเลยว่าเขาสนุกกับการได้ปั่นหัวผมเล่นนักเหรอไงถึงได้ทำไม่ว่างเว้น
“...”
เนิ่นนานที่ผมเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรตามที่ร่างสูงขอ...ไม่ใช่เพราะดื้อด้านหากผมคิดว่ามันไม่สมควร ผมกับเขาถึงเราจะมีอะไรกันก็จริง แต่สิ่งที่เขาทำกับผมมันร้ายกาจเกินไป อีกอย่างเราก็ไม่ได้รู้จักอะไรกันมากอยู่ๆ จะให้มาเรียกแบบนั้น...ผมอายนะ
“ไม่พูดใช่มั้ย...ดี!” ดีไลท์ที่เห็นผมไม่ยอมทำตามก็จดจ้องมองมายังผมด้วยสายตากึ่งรำคาญกึ่งขัดใจก่อนที่ร่างสูงๆ จะเดินออกไปแล้วกลับมาพร้อมกับหมอนใบหนึ่ง “เอาไปซะ คืนนี้นายไปนอนที่ระเบียงก็แล้วกัน”
“ล้อเล่นใช่มั้ย...”
ผมถามเสียงแผ่วเบาอย่างอึ้งและคาดไม่ถึงก่อนจะระลึกได้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับคนอย่างดีไลท์ แค่ให้ผมไปนอนนอกบ้านน่ะเหรอ...เทียบไม่ติดกับสิ่งที่ผมเคยเจอมาก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ!
“ล้อเล่นงั้นเหรอ...ไม่หรอกแพทเทิร์น ฉันดูเป็นคนตลกขนาดนั้นเลยรึไง”
ดีไลท์เหยียดยิ้มพร้อมกับมือหนาที่เอื้อมมากระชากแขนผมให้เดินตามเขาออกไปที่ระเบียง ทันทีที่ประตูกระจกถูกเปิดออกร่างทั้งร่างของผมก็ถูกเหวี่ยงด้วยฝีมือของร่างสูงจนผมกระเด็นไปกระแทกกับเก้าอี้ที่วางไว้...เจ็บชะมัด และเมื่อประตูถูกปิดและล็อคไว้จากด้านในผมก็เห็นเขากระตุกยิ้มร้ายกาจอีกครั้ง
...เขาคิดจะขังผมไว้ให้นอนตากลมทั้งคืนอยู่ตรงระเบียงนี่จริงๆ สินะ
ซ่า...ซ่า...ซ่า...
ทว่า...ดูเหมือนว่าพระเจ้าคงจะเกลียดผมเข้าใจแล้วกระมังถึงได้จู่ๆ ฝนก็ถึงได้ลงเม็ดและตกลงมาหนาตาขึ้นเรื่อยๆ จนผมเปียกปอนไปหมด อย่างที่คิดไว้ไม่ผิดเลยว่าฝนจะต้องตก แต่ทำไมต้องมาตกเอาตอนที่ผมลำบากแบบนี้ด้วยนะ! ผมได้แต่กอดตัวเองขณะที่เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ลีบลู่ไปกับลำตัวจนแทบจะเห็นสัดส่วนหมดทุกอย่างอยู่แล้วและก็หนาวขนาดฟันตัวเองยังกระทบกันดังกึกๆ
อย่าว่าแต่จะนอนเลย ผมจะทนจนฝนเริ่มซาลงได้ถึงเมื่อไรไม่รู้
ครืด...
เสียงเลื่อนประตูกระจกทำให้ผมหันไปมองก่อนจะเห็นร่างสูงเดินเข้ามาช้อนร่างผมไว้ในวงแขนแข็งแรงและพาเดินเข้ามายังด้านในบ้านขณะที่ผมงงยิ่งกว่าไก่ตาแตก เขาทำอะไรของเขาอีกเนี้ย...ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ให้ตาย ตอนแรกบอกให้ผมไปนอนนอกบ้านไม่ใช่เหรอแล้วทำไม...ทำไมถึงอุ้มผมแบบนี้
ดีไลท์...เขาทำให้ผมหวั่นไหวเกินไปแล้วนะ
“ไปอาบน้ำซะ...”
น้ำเสียงเย็นเยียบที่ออกคำสั่งหลังจากที่ร่างสูงปล่อยผมให้ยืนด้วยตัวเอง เขาเปียกฝนเล็กน้อยเมื่อเทียบกับผมแล้ว ก็กว่าที่เขาจะเอาตัวผมเข้ามาในบ้านผมก็ยืนตากฝนจนไม่รู้จะเปียกยังไงแล้ว!
“คุณว่าอะไรนะ?”
“จะให้ฉันต้องพูดซ้ำอีกครั้งเหรอไงวะ มานี่!!!”
ผมล่ะเกินจะหยั่งถึงอารมณ์ที่แปรปรวนของเขาเหลือเกิน หลังจากที่ผมถามด้วยความไม่เข้าใจดีไลท์ก็คำรามในลำคออย่างขัดใจต่อท่าทีของผมซึ่งคงจะไม่ทันใจเขาล่ะมั้ง คราวนี้ผมถูกคนตรงหน้ากระชากให้เดินตามไปอีกครั้งก่อนจะถูกเหวี่ยงร่างเข้าไปในห้องน้ำด้วยแรงที่ไม่เบามือนัก ร่างของผมแทบจะกระแทกกับขอบอ่างอาบน้ำเลยทีเดียว ยังไม่ทันที่จะเอ่ยเอื้อนอะไรอีกอีกฝ่ายก็เอื้อมมือเรียวไปเปิดฝักบัวฉีดน้ำมายังผม
“คุณจะทำอะไร! ปล่อยนะ!!”
ด้วยอารามตกใจและตั้งตัวไม่ติดทำให้ผมพยายามสลัดร่างตัวเองออกจากการจับกุมของเขาขณะที่สายน้ำปะทะเข้ามาที่ใบหน้าไม่หยุดหย่อนกระทั่งผมแทบจะสำลักน้ำตาย! หากแต่ดีไลท์กลับไม่สนใจแถมยังผลักผมให้ลงไปนอนราบที่พื้นอ่างอาบน้ำก่อนที่ร่างสูงจะตามติดมาคร่อมกายผมไว้อย่างรวดเร็ว
“ฉันบอกให้นายเรียกฉันว่าอะไร! พูดมาสิ!!”
...นี่เขายังไม่ลืมเรื่องไร้สาระนี่อีกงั้นเหรอ! สงสัยคงเป็นเพราะว่าผมยังคงใช้สรรพนามเดิมเรียกเขาล่ะมั้งถึงได้ส่งสายตาคมๆ มากดดันผมแบบนี้
“คุณ...อ๊ะ!”
ผมได้ยินเสียงตัวเองร้องสะดุ้งเฮือกเมื่อฝ่ามือหนาลากเลื้อยมาหยุดอยู่ที่ขอบกางเกงของผมอย่างน่าหวาดเสียวราวกับจะบอกให้ผมพูดในสิ่งที่เขาต้องการ...ไม่อย่างนั้นเขาจะทำในสิ่งที่ผมคิดว่ามันเป็นยิ่งกว่าฝันร้าย...
“คุณอะไร...เรียกให้มันถูกๆ หน่อยสิคุณภรรยา J”
รอยยิ้มร้ายกาจแบบนี้อีกแล้ว!!
“คุณ...เอ่อ คุณสามี...”
สาบานได้เลยว่าผมอยากกัดลิ้นตัวเองชะมัด ความกระดากอายแล่นจุกขึ้นมาถึงคอหอยกระดอนไปคับแน่นที่ลิ้นปี่หลังจากที่เอ่ยคำบ้าๆ นั่นออกไป คนตัวสูงยกยิ้มพอใจเมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการไปแล้วก่อนที่เขาจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนผมเริ่มรู้สึกถึงภัยคุกคาม
“พูดจาน่ารักอย่างนี้ต้องให้รางวัลซะแล้ว...”
“อย่า...”
เสียงของผมชะงักหายไปเมื่อท้ายที่สุดแล้วดีไลท์ก็ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป ริมฝีปากสีสดของเขาเลื่อนมาประทับที่ริมฝีปากของผมอย่างละเมียดละไมสลับกับรุกเร้าดุดันเล่นเอาความรู้สึกต่างๆ นานาของผม ‘ปั่นป่วน’ ได้อย่างเหลือเชื่อ เขี้ยวคมๆ ขบเม้มทั้งริมฝีปากบนและล่างอย่างชำนาญทำให้สติผมแทบกระเจิดกระเจิงรวมทั้งลิ้นร้อนที่แทรกเข้ามาในโพรงปาก สัมผัสที่ครึ่งๆ กลางๆ นี่ผมบอกไม่ถูกเลยว่ามันเป็นยังไง...บางครั้งก็ดุเดือดบางคราก็บางเบาราวกับขนนกกระทั่งรู้สึกเหมือนตัวเองลอยคว้างอยู่บนท้องฟ้าตราบเท่าที่เขายังผมอยู่อย่างนี้...
ลมหายใจร้อนๆ รินรดอยู่แถวๆ ต้นคอยามเมื่อร่างสูงลากริมฝีปากมาขบเม้มอย่างแรกจนเป็นรอยช้ำก่อนที่มันจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ กระทั่งลำคอผมประดับไปด้วยร่องรอยเหล่านี้
“...ตอนแรกฉันก็กะจะแค่ว่าอยากให้นายมาอาบน้ำ แต่ตอนนี้...”
“...”
หลังจากที่ร่างสูงผละริมฝีปากจากไปเป็นการให้ผมได้พักหายใจผมก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันทีที่เขาพูดประโยคนั้นในวินาทีถัดมา มันเป็นเหมือนสัญญาณเตือนบอกว่าง ‘อะไร’ กำลังจะเกิดขึ้นในเวลาข้างหน้า
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว นายมันน่ากินเข้าทั้งตัวเลยรู้มั้ย”
ริมฝีปากอุ่นร้อนครอบครองริมฝีปากผมไว้อีกครั้งเพื่อส่งผ่านรสชาติหอมหวานและความร้อนแรงทั้งหมดทั้งมวลมาให้กับผม ไม่รู้ว่าตอนไหนที่เสื้อของผมถูกปลดออกไปรู้ตัวอีกทีอากาศเย็นก็เข้ามาปะทะผิวกายเสียแล้ว สัมผัสทุกอย่างที่เขามอบให้มันเป็นการบังคับแต่ไม่รู้ทำไมผมถึงได้ยอมโอนอ่อน...
สาบานได้ว่าผมอยากจะเกลียดเขาให้สาสมกับสิ่งที่เขากระทำ
...แต่...ผมทำไม่ได้...
WRITER TALK J
ในที่สุดก็อัพครบแล้ว >O< โดยเฉพาะสเปเชี่ยลดีไลท์กับแพทเทิร์น =,.= มาแนวน่ารักปนร้อนแรงมากกกก แบบว่าเอามาบรรณาการสาวกคู่นี้กันเลยทีเดียว แอร๊ยยยย!!! >O< แพทมันน่ากินจริงๆ อ่ะ ส่วนดีไลท์หวังว่าทุกคนคงจะเห็นด้านนี้ของผู้ชายคนนี้บ้างเนอะ ไม่งั้นเขาไม่อุ้มแพทที่ตากฝนเข้ามาหรอก (อุ้มเข้ามาทำมิดีมิร้ายมากกว่าน่ะสิ : คนอ่าน =_=) และปริศนาว่าใครตายและแผนของดีไลท์คืออะไร ติดตามตอนหน้านะจ๊ะ
PS เม้นๆ โหวตๆ กันหน่อยนะคร้าบบบบบ ^O^
ความคิดเห็น