ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สาวสุดเจ๋งกับนายเก่งสุดแสบ

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 9 เข้าค่ายและคำตอบของเซริ 2

    • อัปเดตล่าสุด 25 พ.ย. 48


        

    “นายจะขี่ไปถึงไหนเนี่ย เมื่อยแล้วนะ”ฉันทำหน้าบึ้งใส่เพื่อนหนุ่มที่ขี่จักรยานอยู่ข้างๆ อีตาบ้าเรียวนี่มันเกิดประสาทอะไรขึ้นมาฟระ พาปั่นจักรยานเลียบทะเลมาเรื่อยๆจนระยะทางร่วมสองกิโลแล้วเนี่ย........



        “นั่นดิ ฉันก็เมื่อยแล้วเหมือนกัน”เรียวตอบแล้วเบรก ฉันรีบเบรกฉุกเฉินตาม ทำเอาเกือบหัวทิ่มแน่ะ อีตาบ้าเอ๊ยยยยยยยย



        “จะหยุดก็บอกก่อนสิยะ”ฉันหันไปตวาดเขาที่นั่งลงอย่างสบายใจ “แล้วนี่ขี่พรวดๆมาถึงเนี่ย จะกลับถูกไม๊ห๊าาาาาา”



        “ก็กลับทางเดิมสิ ไม่เห็นจะยากเลย”เรียวตอบและหันมาหาฉัน “เมื่อกี้เดินออกไปจากห้องอาหารทำไม”



        “แล้วนายเกี่ยวอะไรด้วย”ฉันสวนทันควัน



        “ก็แค่อยากรู้”เขาตอบ ฉันมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์



        “ถ้านายอยากรู้ก็ถามมา ถามได้แค่คำถามเดียวด้วย”ฉันยื่นข้อเสนอ เรียวนิ่งไปอย่างใช้ความคิด



        “อืม...เธอออกไปจากห้องอาหารแล้วเธอไปทำอะไร”เขาถาม



        “นั่งร้องไห้”ฉันตอบโดยไม่ต้องคิด



        “ร้องไห้”เรียวเลิกคิ้ว “ร้องทำไม ใครทำอะไรเธอ”



        “ฉันบอกให้ถามแค่ 1 คำถามนะยะ”ฉันยิ้ม แล้วก็ต้องหุบยิ้มเมื่อเรียวสวนกลับ



        “ฉันไม่ได้ตอบตกลงนี่”



        “อีตาบ้าาาาาาาาา นายนี่มันกะล่อนจริงๆเลยยยยยยย”



        “เธอนี่ก็ชอบแหกปากจริงๆเลย”



        “โว้ยยยยย ไม่ตอบแล้ววววววว ไปๆๆๆ ไปดูสถานที่เดินทางไกลได้แล้ว”ฉันลุกขึ้นอย่างหัวเสีย แต่เรียวกลับนั่งยิ้มอยู่ที่เดิม ฉันส่งสายตาโมโหสุดขีดไปให้ เรียวเลยผวาแล้วตอบเบาๆ



        “ก็ที่ๆเราขี่จักรยานมานี่แหละสถานที่เดินทางไกล เดินจากที่โรงแรมมานี่ไง”



        “แล้วนายจะพาฉันปั่นจักรยานมาถึงนี่ทำไมก๊านนนนนน ถ้ารู้แล้วก็พาทุกคนมาเลยเซ่ จะพาฉันมาด้วยหาอะไรเล่าาาาาาาาา”ฉันตวาดอย่างไม่ขาดสาย



        “โอ๊ย จะตะโกนอะไรนักหนาเล่า ฉันก็แค่นึกว่าเธออยากอยู่กับฉัน 2 ต่อ 2 ซะอีก”



        ฉันรู้สึกว่าเลือดที่หล่อเลี้ยงทั่วร่างกายมันทำงานผิดปกติโดยการขึ้นมากองอยู่บนหน้าฉันซะแล้ว



        “นายจะบ้าเหรอ”ฉันว่าด้วยเสียงที่เบาลง



        “อ้าว ถ้าไม่จริงเธอจะหน้าแดงทำไม”เขาแหย่ ฉันหันหน้าหนีแล้วขึ้นไปนั่งบนจักรยาน



        “ไปกันได้แล้ว ฉันไม่ได้อยากอยู่กับนายเลยย่ะ”ฉันตอบ



        “แน่ใจเหรอ”เขายิ้มและยื่นหน้าเข้ามาใกล้ หรือเค้าจะขโมย second kiss ของฉันอีกเนี่ย คราวที่แล้ว fist kiss คราวนี้ไอ้นี่ แล้วคราวหน้าจะเป็นอะไร คิดแล้วสยอง



        “มะ...ไม่แน่”ฉันตอบตะกุกตะกัก



        “อะไรนะ ไม่ได้ยิน ทีหยั่งงี้ละก็ไม่ตะโกน”เรียวยิ้มแล้วยื่นหน้าเข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฉันหลับตาปี๋.....



        จุ๊บ!!!



        เขาหอมแก้มฉันเบาๆแล้วถอยห่างออกไป



        “เนี่ยนะไม่อยากอยู่กับฉัน”เขายิ้มเจ้าเล่ห์



        “......”



        “เอาเป็นว่า เธอไม่ยอมรับว่าอยากอยู่กับฉัน งั้นฉันจะเป็นคนยอมรับเองว่าอยากอยู่กับเธอนานๆ”เขาพูดต่อแล้วอุ้มฉันลงจากจักรยานและวางลงบนพื้นทราย (โหย โค ตะ ระ แข็งแรงเลย อุ้มช้างแมมมอธได้ด้วย: GP.)



        “นาย...”



        “เป็นอะไรอีกล่ะยัยบ๊อง”เขาถามล้อๆ ยังคงยิ้มอย่างขำๆ



        “เปล่าๆ”ฉันตอบ แต่ฉันว่าเราควรกลับเลยดีกว่านะ คือว่าพวกโซระคงจะรออยู่ แล้วฉันก็เหนื่อยด้วย”ฉันแก้ตัวน้ำขุ่นๆทั้งๆที่ยังไม่ถึงเวลานัดของโซระด้วยซ้ำ



        “ยังไม่ถึงสี่โมงเย็นเลยนะ”เขาพูด “บอกมาตรงๆเถอะน่าว่าอายที่ต้องอยู่กับฉันสองต่อสอง”



        “ไม่ได้อายยยยยย”ฉันร้องแล้วลุกพรวดขึ้นมา



        “ฮะๆ กลับเลยก็ได้ ไปๆๆ”เขาหัวเราะแล้วลุกขึ้นไปขี่จักรยาน



        ฉันและเรียวปั่นจักรยานไปเรื่อยๆโดยไม่พูดอะไรกันซักคำ ขณะที่พระอาทิตย์ค่อยๆลับฟ้าไป ทะเลตอนมืดๆเนี่ย บางคนก็ว่าโรแมนติก แต่ฉันว่ามันน่ากลัวจะตายไป เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังซ่าๆ น้ำทะเลมองเห็นเป็นสีดำสนิท เหมาะกับการ...ถ่ายหนังผี (โธ่ยายบ้า ฉันบรรยายซะดีนะยะ พี่ลอเรนซ์ยืมมีดหน่อยดิ เฟี้ยว.........ฉึก: GP.)



        แต่พอฉันอยู่กับเรียว ฉันรู้สึกว่าทะเลยามนี้น่ามองที่สุด ลมทะเลยามค่ำคืนพัดมาตลอดอย่างไม่ขาดสาย คลื่นที่ซัดชายหาดอยู่นั้นสะท้อนกับแสงดาวและแสงจันทร์จนสวยงาม เราสองคนขี่จักรยานช้าลงเรื่อยๆแล้วในที่สุดฉันก็หยุดมองทะเลที่ตอนนี้มืดมิด เขาหยุดตาม เราต่างคนต่างจ้องมองทะเลด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกว่ากำลังรู้สึกอย่างไร...หรือแม้แต่กำลังคิดอะไรอยู่...



        เขาเอื้อมมือมาจับมือฉันเบาๆแล้วพาลงจากจักรยาน เราเดินตรงไปที่ทะเล เขาถอดรองเท้าออกแล้วนั่งลงบนทรายพลางพยักหน้าให้ฉันทำตาม ฉันทำบ้างแล้วเอนศีรษะไปพิงไหล่เขา เราสองคนนั่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาเท่าไรไม่รู้ เท้าที่จุ่มลงไปในทะเลโดนคลื่นซัดเบาๆให้ความรู้สึกที่ดีที่สุด...



        ฉันหันหน้าไปมองเขาพอดีกับจังหวะที่เขาหันมาพอดี เราจึงสบตากัน ใบหน้าของเราขยับเข้าใกล้กันเรื่อยๆ แล้วในที่สุดเรียวก็ประทับสัมผัสอุ่นๆลงบนริมฝีปากฉัน ริมฝีปากของเขานุ่มนวล ทั้งอ่อนโยนและนุ่มนวลไปในเวลาเดียวกัน ฉันไม่สนใจอะไรอีกต่อไป ฉันหลับตาลง รู้สึกว่าอยากจะหยุดเวลาไว้อย่างนี้...ตลอดไป...ฉัน...ไม่รู้อะไร...อีกต่อไป...ขอให้เรา...ได้ประทับรสสัมผัสอุ่นๆ...ของกันและกัน...ไว้อย่างนี้นานๆ...



    ...................................................................................................................................................................



        “นี่มันกี่โมงแล้วฮะเซริ เธอหายไปไหนมา”เพื่อนสาวของฉันตวาดแว้ดๆเมื่อฉันบอกว่าหิว



        “ก็แค่ 2 ทุ่มเอง”ฉันดูนาฬิกา



        “โธ่ยัยบ้า”โซระตบหน้าผากดังป้าบ “แล้วฉันนัดให้เธอมากินข้าวกี่โมง”



        “6 โมงเย็น”เรียวตอบแทน



        “แล้วทำไมกลับมาเอาป่านนี้”เธอยังคงโวยวาย แต่แล้วฉันก็ส่งสายตาที่แฝงไปด้วยความหมายบางอย่าง ทำให้โซระพยักหน้าช้าๆอย่างเข้าใจและไล่ฉันกับเรียวไปที่ห้องอาหาร บอกว่าเตรียมอาหารไว้ให้เรียบร้อยแล้ว



        “ฉันขอโทษนะ รั้งเธอไว้ตั้งนานทั้งที่รู้ว่ามันถึงเวลาที่กำหนดไว้แล้ว”เรียวพูดขึ้นเมื่อเราสองคนกินเสร็จและกำลังนั่งคุยกันอยู่ในห้องพัก (ยัยนักเขียนคนนี้มันหาเรื่องอู้นี่หว่า ข้ามไปตั้งหลายตอน: คนอ่าน)



        “ไม่หรอก ฉันผิดเอง”ฉันส่ายหน้า”ฉันน่าจะรู้ว่าเพื่อนตัวเองเจ้าระเบียบแค่ไหน”



        เรียวหัวเราะเบาๆ



        “ฉันง่วงนอนแล้วนะเนี่ย”เขาว่าพลางล้มตัวลงบนเตียง ฉันมองอย่างขำๆแล้วเดินไปยังระเบียง



        ...ดาวสวย...



        ...พระจันทร์ก็สวย...



        ...แต่พอเทียบกับ...ตอนที่อยู่กับเรียว...



        ...เหมือนกับว่า มันเป็นจันทร์คนละดวง ดาวคนละกลุ่ม...



        ...ตอนที่อยู่กับเขา...มันงดงามกว่านี้เยอะ...



        ...เป็นบรรยากาศที่...



        ...ไม่อาจลืมได้เลย...



        “ดูอะไร ทำไมไม่ไปนอน”เสียงหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลัง ฉันไม่จำเป็นต้องหันหน้าไปดูเลยว่าใครคือเจ้าของเสียง



        “แล้วนายล่ะ เรียว ทำไมไม่ไปนอน”



        “ฉันก็อยากดูดาวก่อนเหมือนกัน”เขาตอบสั้นๆและขยับมายืนเกาะริมระเบียงข้างๆฉัน



    ...................................................................................................................................................................

        “โซระ มานอนเถอะน่า ฉันไม่ทำอะไรหรอก”เสียงเด็กชายชื่อไทจิดังออกมาจอกห้อง 226



        “ไม่ล่ะ นายหลับไปก่อนเถอะ”เด็กสาวอีกคนที่นั่งอยู่บนโซฟาตอบและหยิบชาที่อยู่บนโต๊ะข้างๆขึ้นมาจิบ ไทจิยิ้มน้อยๆและเลื่อนตัวลงมาจากเตียง เขาเดินไปนั่งที่โซฟาข้างๆกับโซระ



        ...ซึซึมิ โซระ...



        ...สมบัติสำคัญที่น่าทะนุถนอม...



        ...สมบัติที่...สำคัญที่สุดในหัวใจ...



        ...ไม่ใช่สิ่งของ...



        ...ไม่ใช่มนุษย์...



        ...เธอคือสิ่งที่สำคัญ..สำคัญเกินกว่าจะเป็นแค่มนุษย์...



        ...ไทจิ...เขาเองก็ไม่เข้าใจ...



        ...ทำไม...หญิงสาวคนนี้...ถึงได้มีอิทธิพลกับหัวใจเขานัก...



        ...ทำไมนะ ทั้งๆที่รู้จักกันมาตั้ง เท่าไรกันนะ 8ปีล่ะสินะ...



        ...แล้วทำไม...เขาเพิ่งจะรู้สึก...รักเธอมากขนาดนี้...



        ...เธอเป็นคนเดียว...ที่เขาจะรัก...ตลอดไป...



        โซระเอนตัวพิงไหล่อุ่นๆของไทจิซึ่งโอบไหล่เธอเข้ามาเช่นกัน



        “ไทจิ”



        “หือ มีอะไรเหรอโซระ”



        “อืม...บอกรักฉันหน่อยได้ไม๊”



        “หา ว่าไงนะ”



        “ฉันอยากฟังก่อนนอน”โซระตอบและหลับตาลง



        “ได้สิ”ไทจิตอบและจุ๊บที่หน้าผากเธอเบาๆ “จะพูดให้ฟัง...จะให้ฟังจนเบื่อไปเลย”เขาหลับตาลงบ้าง “ฉันรักเธอ...จะรักอยู่อย่างนี้...และจะรัก...ตลอดไป”



    ...................................................................................................................................................................



        เสียงคลื่นซัดเบาๆ กลิ่นทะเลโชยมาแตะจมูก ลมทะเลซัดเข้าหาฝั่งและมากระทบผิวกายจนหนาว เรมิกอดอกและกระชับเสื้อที่สวมอยู่ให้แนบกับตัว และจู่ๆก็มีคนเอาเสื้อกั๊กอุ่นๆมาคลุมไหล่ให้เธอ เรมิหันไป



        ทาคิวะ มารุโตะ



        “มาร์ค”เธอพึมพำ “นึกว่าหลับไปแล้วนะเนี่ย”



        “ไม่มีเธอ ฉันนอนไม่หลับ”เขาตอบ “เธอมาทำอะไรที่นี่”



        “มาเดินคิดอะไรนิดหน่อย”เธอบอก



        ...มาร์ค...



        ...คนแรก...ที่รู้สึกรัก...



        ...คนแรก...ที่รู้สึกเกลียด...



        ...คนแรก...ที่รู้สึกว่าใช่...



        ...เขาบอกว่ารัก...แต่...



        ...เขาเป็นเพลย์บอย...



        ...ดังนั้น...เขาจะรักเรา...ไปอีกนานแค่ไหนกัน...



        ...เขาจะทิ้งเราไป...เหมือนที่เคยทิ้งคนอื่นไม๊...



        ...คิดแล้ว...ก็กลั้นน้ำตา...ไว้ไม่ได้...



        “ร้องไห้เหรอ”เสียงเขาพูดอยู่ข้างๆตัว มาร์คปาดน้ำตาออกให้เธอและจับไหล่มนให้หันมาเผชิญหน้ากันตรงๆ “เธอร้องไห้ทำไม ฉันสำคัญพอที่จะรู้สาเหตุรึเปล่า”



        “อืม”หญิงสาวตอบพลางพยักหน้าเล็กน้อย “ฉันแค่สงสัยว่า นาย...จะรักฉัน...ไปอีกนานแค่ไหนกัน”



        “ทำไมเธอพูดแบบนี้”



        “นายเป็นเพลย์บอยนะ ควงสาวแล้วทิ้ง นาย...นายจะทำแบบนั้น...กับฉันอีกคน...ใช่ไหม”



        เรมิพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอน แล้วน้ำตาที่ถูกเก็บไว้ก็ค่อยๆพรั่งพรูออกมา ไทจิโอบร่างบางไว้แนบอกก่อนจะบอกเจ้าของร่างนั้น



        “I think I love you now. And I think, In the future I will love you. Love now…And love for ever… (แปล ฉันคิดว่าฉันรักเธอตอนนี้ และฉันคิดว่าในอนาคตฉันก็จะรักเธอ รักตอนนี้...และรักตลอดไป...)”เขาพูดจนจบและกอดเรมิไว้อย่างรักใคร่ เขารู้ตัวว่าเขาจะไม่มีทางทำให้คนที่กอดเขาตอบและกำลังร้องไห้อยู่แนบอกเขาขณะนี้ต้องเสียใจเพราะเขาอีกเด็ดขาด...เธอจะไม่มีทางเสียน้ำตาเพราะเขาอีกเด็ดขาด

    ...................................................................................................................................................................



        “ก๊อกๆ ก๊อกๆๆๆๆ ก๊อกๆๆๆๆ”



        “อืม ไว้ก่อนน่าพี่เซรัน เดี๋ยวค่อยไปกินก็ได้”



        “คร้าบๆแม่ ขออีก 10 นาทีคร้าบ”



        โซระทำหน้าอยากฆ่าคน เพื่อนสองคนนี้นี่มัน...มันเป็นประธานนักเรียนแท้ๆ มาเข้าค่ายกลับตื่นสายทั้งคู่ มันน่าจับเชือดนัก (ยืมคำพูดพี่ลอเรนซ์มาหน่อยนะ)



        “อย่างนี้มันต้อง...”เรมิว่าและตะโกนเข้าไปในห้อง “ไฟไหม้แล้ว ตื่นเร็ววววววววววว”



        ...ไม่มีสัญญาณ...



        “งั้นก็...”ไทจิลองบ้าง “เซริ เค้าจะไปกินอาหารเช้ากันแล้วน้าาาาาาาาาา วันนี้มีอาหารญี่ปุ่นด้วยยยยยยยย”



        ผลัวะ!!!



        ประตูเปิดออกมาอย่างกะทันหัน ฉันเองแหละที่ได้ยินคำว่าอาหารแล้วลุกพรวดขึ้นมา (ยัยตะกละเอ๊ย: GP.)



        นอกบทแป๊บนะ

        โซระเดินไปที่กองถ่ายเรื่องหัวขโมยแห่งบารามอส และตรงไปหานักบวชผมทองที่กำลังปามีดใส่ซาตานอยู่



        “พี่ลอเรนซ์คะ”โซระเรียก ทำให้ทั้งคู่ชะงัก คนถูกเรียกหันมา



        “มีอะไร”นักบวชมีดถามอย่างหงุดหงิด



        “ขอยืมมีดสั้นซักร้อยสองร้อยเล่มได้ไม๊คะ เอาทั้งกล่องเลยอ่ะค่ะ”โซระตอบ เมื่อได้ของที่ต้องการแล้วเธอก็กลับมาที่กองถ่ายเดิม



        “เอ้า 1 2 3 เริ่มได้”เสียงผู้กำกับ คนแต่ง คนแต่งบท ช่างไฟ และอื่นๆร้องพร้อมกัน (ก็ยัย GP. คนเดียวแหละ)



        เข้าเรื่อง..



        “ไหนๆๆๆๆ อาหารญี่ปุ่น ฉันจองแถวซูชิคนแรกนะ”ฉันอกมาแสดงความดีใจคนแรก ส่วนเพื่อนร่วมห้องก็เดินตามออกมาช้าๆพร้อมกับหาวและโอบไหล่ฉัน ฉันจัดการป้อนซูชิเข้าไปที่ปากเขาด้วยหมัดน้อยๆของฉันทันที



        “เมื่อคืนทำอะไรกัน ทำไมตื่นสายล่ะ”มาร์คทำหน้าหื่นกาม ฉันเลยป้อนไข่กุ้งให้ที่ตาเต็มๆโดยที่เรมิไม่คัดค้านเลย



        “ยังมีหน้ามาพูดอีก เธอเป็นประธานนักเรียนนะยัยบ้าาาาาา”โซระตวาดและใช้มีดสั้นที่ยืมมาเมื่อกี้ปาใส่ฉันกับเรียวจนแทบจะพรุนไปทั้งตัว ดีนะที่ฉันเรียนคาราเต้ ส่วนเรียวไม่รู้มันไปเอาแรงมาจากไหนเลยอาศัยความว่องไวหลบทัน ไม่งั้นฝีมือน้องๆลอเรนซ์แบบโซระคงทำเอาเราสองคนพรุนเป็นรังผึ้งแน่



        “โว๊ยยยยย”โซระตะโกนอย่างหมดความอดทน



        เฟี้ยว......ฉึก เฟี้ยวๆๆๆๆๆ.....ฉึกๆๆๆๆๆ



        แล้วในที่สุด พวกเราก็ลงมากินข้าวเช้าได้ โดยฉันกับเรียวพกรอยฟกช้ำมา 2 แผลสด 3 ข้อเท้าเคล็ด และโซระก็ปวดแขนด้วย สมน้ำหน้า 555+ พอกินเสร็จก็มานั่งเล่นที่ห้องของพวกโซระ



        กำหนดการวันนี้



        วันที่สอง 15/11/05



        9.00             ทานข้าวเช้า



        9.00-11.00         พักตามสบาย



        12.00             ทานข้าวเที่ยง (ทำเอง)



        13.00-15.00         เดินทางไกล



        16.00             ทานข้าวเย็น



        17.00-19.00        พักตามสบาย



        20.00            รวมตัว



        20.10-21.00        Dance time



        22.00            เข้านอน



        “เรมิ ทำไมมี Dance time วันนี้ล่ะ เดินทางไกลด้วย”ฉันถามขึ้นขณะที่นวดเท้าตัวเองอยู่



        “ก็โซระบอกว่า จริงๆแล้วเข้าค่ายมีแค่ 3 วัน ประมาณนั้น แต่เธอดันมาตั้ง 5 วัน เราก็เลยกะว่าเข้าค่ายจริงๆมีแค่ 3 วัน อีก 2 วัน เป็นแค่พักร้อนธรรมดาสำหรับนักเรียนไง”คนถูกถามอธิบาย



        “แล้วที่เราทำกันอยู่นี่มันไม่ใช่พักร้อนรึไงฟะ”ฉันบ่นกระปอดกระแปด ทั้งๆที่ปกติไม่เคยทำเพราะโซระเป็นคนบ่นแทน (อิอิ)



        “เอาน่า ดีแล้วน่า”ไทจิบอก “ว่าแต่เมื่อคืนเธอสองคนทำอะไรกันน่ะ ตื่นสายมากกกกก”



        “เอ๊ะ อีตาบ้านี่ (อ้าวนี่มันชื่อของเรียวมิใช่รึ) ฉันทำงานเหนื่อยๆก็ต้องตื่นสายเด่ะ”ฉันตอบด้วยสายตาอยากฆ่าคน ทำให้ไทจิเงียบไป



        “ว่าแต่พวกเธอเหอะ เมื่อคืนทำอะไรกันบ้างรึเปล่า”เรียวถามด้วยสีหน้าล้อๆ เรมิกับโซระหน้าขึ้นสี



        “นายอยากให้ข้อเท้าเคล็ดอีกข้างนึงมะ ฉันจะได้ไปยืมมีดสั้นจากรุ่นพี่มาอีก”เรมิพูดอย่างฉุนเฉียว โซระพยักหน้าและเสริมว่า “ฉันยังไม่ได้เอาไปคืน อยู่บนชั้นวางของนู่น”



        เรียวยิ้มแห้งๆพลางก้มหน้าก้มตาทายาที่แผลต่อไป มาร์คเองก็ไม่กล้าพูดอะไร เพราะไข่กุ้งที่ฉันเสยเข้าไปที่ตาเมื่อเช้ายังบวมอยู่ (เขียวช้ำเลยย่ะ: โซระ)



        “กี่โมงแล้วอ่ะ”ฉันถามเมื่อผ่านไปครึ่งชั่วโมง



        “หิวแล้วเหรอ”สามหนุ่มร้องพร้อมกันอย่างแปลกใจ (มาก) ขณะที่อีกสองสาวทำหน้าปกติแล้วมองนาฬิกา



        “อีกแป๊บนึงก็กินข้าวแล้ว”โซระตอบ “แต่ฉันว่าลงไปเตรียมตัวก่อนจะดีกว่า”



        “งั้นก็ได้”เรียวตอบ



        ณ ลานว่าง (ที่ไม่ว่างแล้ว)



        “จับกลุ่มๆละกี่คนก็ได้ อย่างน้อยต้องสองคนหรือสองคนขึ้นไปนะ แล้วมารับของ แล้วไปนั่งทำเป็นกลุ่มๆได้เลย”ฉันประกาศ



        ของที่โซระเตรียมไว้ก็มี ข้าว, เครื่องปรุงต่างๆ, เนื้อสัตว์, ปลากระป๋อง และอย่างอื่นที่มันควรจะมีนั่นแหละ



        “ทำอะไรดีล่ะเนี่ย”ฉันว่าและมองไปที่พวกผู้ชายที่ทำหน้าแปลกๆแล้วมองมาที่ฉันคนเดียว กลุ่มเรามี 6 คน ก็คือพวกเรา 6 คนนี่แหละ (แล้วเมิงจะบอกทำไมฟระ) “มีอะไร ทำไมทำหน้างั้น”ฉันถาม คิ้วขมวดเป็นเงื่อน



        “ก็คิดว่าเธอจะลงมือทำคนเดียว”ไทจิตอบ



        “ทำไมคิดงั้นล่ะ”ฉันงง



        “ก็เธอกินเก่ง นึกว่าจะทำอาหารเก่ง”มาร์คเสริมบ้าง



        “ยัยเนี่ยนะ ทำอาหารเก่ง”โซระกับเรมิร้อง “นายจำเข้าค่ายตอนป.4ได้ไม๊”



        “ได้สิ ทำไมเหรอ...อ๋อเรื่องนั้นเอง”ไทจิกับมาร์คหัวเราะกึกๆ



        “ทำไมเหรอ”เรียวถามงงๆ



        “ก็ตอนนั้นอ่ะ พอเซริเค้าจุดไฟ ไฟเกือบเผาทั้งป่าหายไปเลย พอหั่นมะนาว ก็เกือบตัดนิ้วตัวเอง พอใส่เครื่องปรุง ก็ชิมแล้วชิมอีกจนน้ำซุปที่ให้ปรุงมันหมด แล้วพอ...”



        “พอๆ พอเลย พวกแกนี่ไม่รักษาหน้าฉันเลยนะ”ฉันว่าฉอดๆ



        “ขนาดนั้นเลยเหรอ”เรียวช็อกจัด



        “เออ ฉันทำกับข้าวเป็นซะที่ไหนล่ะ”ฉันทำหน้าบึ้ง “ไม่รู้แหละ ว่ากันนักนะ ถ้าไม่อร่อยมาแม่จะฆ่าให้ตายยกแก๊งเลย”ฉันทิ้งท้ายไว้ก่อนจะไปเดินดูกลุ่มอื่นทำบ้าง



        “เซริ มาพอดีเลย ช่วยชิมนี่หน่อยสิ”



        “ทางนี้ด้วยจ้าอาซึกะจัง”



        “ทางนี้ก่อน ประธานนักเรียนหญิงจ๋า”



        ฉันยิ้มอย่างพอใจและเดินไปตามเสียงเรียกร้อง (เป็นไปได้หรือนี่: GP.)



        “กลับมาแล้วววว”ฉันส่งเสียงบอกเพื่อนรักที่ทำอาหารเสร็จพอดี



        “ไปไหนมา”โซระส่งเสียงไม่พอใจนิดๆก่อนจะยื่นแกงอะไรซักอย่างให้ “ชิมดู”



        “ซู้ด”ฉันตักและซดเข้าปาก



        “อร่อยใช่ป่าว”เรมิยิ้ม “อันนั้นโซระทำ อันนี้ฉันทำ”เธอบอกและยื่นยำปลากระป๋องให้”



        “โห น่ากินมาก”ฉันว่าและรีบตักชิม “จริงสิ พวกเธอทำอาหารเก่งนี่หน่า แล้วพวกนายล่ะ”ฉันหันไปทางพวกผู้ชายที่มองหน้ากันงงๆ



        “พวกนั้นไม่ได้ทำอะไรเลย”โซระตอบแทน



        “อ้าว ซะงั้น”ฉันว่า “ช่างมันๆ กินเหอะ”



        ทั้งห้าคนส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ก็ขนาดเมื่อกี้เดินไปชิมกลุ่มนู้นกลุ่มนี้จนแทบจะครบทุกกลุ่มแล้ว เพื่อนรักยังจะกลับมากินล้างกินผลาญได้อีก นั่นๆ ยัดๆเข้าปากอยู่นั่นแหละ



        เดินทางไกล



        “แบ่งกลุ่มแบบเมื่อกี้นะ แล้วก็ให้หัวหน้าของแต่ละกลุ่มมารับไฟฉายไป ที่จริงก็ไม่ได้แยกกันเดินหรอก แต่ที่นี่มันมืดเร็ว ก็เลยอยากให้ติดตัวไว้”โซระอธิบายโดยที่ไม่ต้องตะโกนเลยซักนิด เพราะทุกคนอยู่ในอาการเงียบเชียบและหวาดกลัว จะไม่ให้กลัวได้ไงล่ะ ก็ระหว่างทางโซระบอกว่าจะมีพวกลูกน้องแต่งตัวเป็นผีมาหลอกด้วยอ่ะ ขนาดคนคิดเรื่องอย่างโซระเองยังสั่นๆเลย



        “โอ๊ย อย่างงี้ก็ไม่มันส์เด่ะ ไปเป็นคู่ๆเหอะ”หนึ่งในแก๊งบ้ากามห้อง 1 ทำตาลุกวาว



        “อย่าทะลึ่ง ทุเรศ แอนด์สัปดนได้มะ เดี๋ยวเกิดหลงแล้วหายกันไปหมดจะทำไงล่ะยะ”โซระตวาดแหว



        “งั้นเธอก็กลัวน่ะสิ”อีตาบ้ากามนั่นยังไม่เลิก



        “มะ...ไม่...ไม่ๆๆกลัวซะหน่อยนี่ยะ”โซระตอบตะกุกตะกัก “เออๆ ก็ได้ ใครจะเดินไปยังไงก็ช่างแก แต่มีข้อแม้ว่า เส้นชัยของพวกเราอยู่ทางทิศเหนือนะ ไปให้ถูก ไม่งั้นจะได้กลับที่พักตอนเช้าแน่”โซระว่าอย่างหงุดหงิดในขณะที่คนอื่นๆเฮดังลั่น



        “เธอรับปากมันไปได้ยังไงห๊า แล้วเกิดหลงกันขึ้นมาจะทำไงเนี่ย”ฉันรีบโวยเมื่อทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว



        “ไม่รู้ ช่างมัน ถ้าใครหลงก็ช่างมัน ปล่อยให้มันตายคาอยู่ในป่าหยั่งเงี้ยแหละ”โซระเดือดปุดๆ อุณหภูมิเกิน 366 องศาเซลเซียสและองศาฟาเรนไฮด์



        “แล้วเราจะไปที่นัดหมายถูกได้ไงเนี่ย”เรมิคิ้วขมวดเป็นเงื่อนพิรอด



        “ง่ายๆ”ไทจิตอบ ทุกคนหันขวับไปมอง



        “ยังไง”เรียวเลิกคิ้ว ไม่นึกว่าเพื่อนรักจะนึกออก



        “อ้าว ก็นายกับเซริเป็นคนจัดการเรื่องเดินทางไกล ก็ต้องรู้ทางดิ”



        “ไม่รู้ย่ะ ฉันมาดูก็จริง แต่จุดนัดพบพวกพนักงานเขาจัดให้”ฉันโวย



        “อ้าว”ไทจิหน้าแตก แต่มาร์คเสนอต่อว่า



        “ก็ดาวไง ดาวเหนือ เธอบอกว่าจุดนัดพบอยู่ทิศเหนือ ก็แค่เดินตามดาวเหนือไปก็จบ”มาร์คจบประโยคด้วยรอยยิ้ม



        “เออใช่ๆ นั่นแหละ นานๆทีนายจะฉลาดนะเนี่ย”เรียวกับไทจิพยักหน้า



        “โว้ย คิดได้ไงเนี่ย พวกบ้าาา”โซระ เรมิ และฉันตวาดออกมาพร้อมกัน



        “ทำไมล่ะ”มาร์คงง



        “ก็นี่มันบ่ายสองนะ ไม่ใช่สองทุ่ม”ฉันตอบพลางถูหน้าผากแรงๆอย่างหงุดหงิด



        “แล้วไง”เรียวถามอีกคน



        “โห แกมันฉลาดไม่ใช่เหรอ คิดเองเด่ะ นี่มันตอนกลางวันนะ”โซระว่าบ้าง



        “ก็ตอนกลางวันไง”ไทจิพูดบ้าง



        “แล้วตอนกลางวันมันมีดาวมั้ยล่ะ”เรมิตอบอย่างหมดความอดทน



        “เออ เพิ่งนึกได้”สามหนุ่มตอบ



        “ทุเรศ”ฉันด่าสั้นๆ



        “เอางี้ ตอนนี้ตอนบ่าย ดวงอาทิตย์ขึ้นทิศตะวันออก เพราะฉะนั้นตอนนี้ดวงอาทิตย์ก็จะอยู่ทิศตะวันตกเพราะเลยเที่ยงแล้ว”เรมิว่าและกางแขนออก “มือขวาเป็นทิศตะวันออก ซ้ายตะวันตก ข้างหน้าก็ทิศเหนือ ไปทางนี้”เธอชี้ไปข้างหน้า (พยายามทำความเข้าใจหน่อยน้า: GP.)

        “แปะๆๆๆ เก่งจังเลยเรมิ”สามหนุ่มชม



        “ใครๆเค้าก็รู้ย่ะ ยกเว้นพวกนาย”โซระตอบหน้าบึ้งและเดินนำไป





    สวีดัดค่า ไม่ได้อัพซ้านาน ซอรี่น้าค้า พอดีไปเข้าค่ายเพิ่งกลับมาและก็พ่อไม่ให้ต่อเน็ตด้วย งานก็ยุ่ง เซ็งๆๆ บางคนบอกว่าไม่ชอบอ่านยาวๆ ก็จะพยายามย่อลงหน่อยละกันนะคะ พอดีนึกเรื่องออกได้อย่างรวดเร็วก็เลยพิมพ์ๆๆๆๆ อย่างไม่รอใคร แฮะๆ ไปละน้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×