ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Taokacha Fiction] Kick Off

    ลำดับตอนที่ #3 : Kick oFF.......3rd Match

    • อัปเดตล่าสุด 31 ธ.ค. 55



    ก่อนอ่านตอนนี้เปิดเพลงหน้าแรกที่แปะไว้ฟังคลอไปด้วยนะค๊า  

















     

    วันนี้คชามีคิวเข้ามาที่บริษัทช่วงสายเพื่อบรีฟแผนโปรโมท แต่เขาเลือกจะมาแต่เช้า เพื่อจะฆ่าเวลายังห้องดรนตรีของบริษัทที่เช้าๆยังงี้ยังไม่มีใครมาใช้งาน

    เปียโนเดี่ยวสีดำหลังใหญ่วางอยู่มุมนึงของห้องติดกับหน้าต่างบานใสที่มองเห็นวิวด้านนอกเป็นสวนที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นครึ้ม มีม่านไว้กั้นแดดเวลากลางวัน แต่เช้ายังนี้ร่างบางจึงคลี่เปิดม่านออกจนสุด

     

    ฝาเปียโนสีดำเป็นมันเงา ถูกเปิดขึ้น เผยให้เห็นปุ่มกดยาวสีขาวสลับดำ สวยงาม น่าหลงใหล นิ้วเรียวค่อยกดลงไปไล่โน๊ตช้าๆ

    ก่อนจะเริ่มพรมนิ้วมือลงไปเพื่อบรรเลงเพลง เสียงใสราวระฆังแก้วร้องเพลงคลอตามปลายนิ้ว ปล่อยตัวเองจมดิ่งลงไปกับเสียงดรนตรีที่บรรเลง

    ออกมาจากความรู้สึกในหัวใจ.......

     

    I waited 'til I saw the sun

    ฉันเฝ้าคอยจนได้เห็นแสงทองของดวงตะวัน

    I don't know why I didn't come

    แต่ตัวฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไม?? ฉันถึงไม่ไปหาเธอ

    I left you by the house of fun

    ฉันทิ้งเธอไว้ในบ้านแห่งความทรงจำอันแสนสุข

    I don't know why I didn't come

    ฉันไม่รู้ว่าทำไม  ทำไมฉันถึงไม่ไปหาเธอ

    I don't know why I didn't come

    ฉันไม่รู้เลยว่าทำไม  ทำไมฉันถึงไม่ไปพบเธอ

    When I saw the break of day

    เมื่อฉันมองเห็นแสงสีทองของวันใหม่

    I wished that I could fly away

    ฉันได้แต่เฝ้าอธิฐานให้ตัวฉันเองบินได้

    Instead of kneeling in the sand

    แทนการคุกเข่าเฝ้ารอบนผืนทราย

    Catching teardrops in my hand

    คอยแต่ร้องไห้ แล้วปาดน้ำตาด้วยสองมือของตัวเอง

     

    My heart is drenched in wine

    หัวใจของฉันมึนเมาและสับสนมากเหลือเกิน

    But you'll be on my mind

    แต่เธอจะคงฝังอยู่ในหัวใจและวิญาณ ของฉัน

    Forever

    ตลอดกาล

     

     

    Out across the endless sea

    ไกลออกไปบนผืนทะเลที่ไร้จุดสิ้นสุด

    I would die in ecstasy

    ฉันอาจหลับตาหยุดลมหายใจลงอย่างเปี่ยมสุข

    But I'll be a bag of bones

    แต่ฉันก็คงสลายกลายเป็นเถ้ากระดูก

    Driving down the road alone

    ได้แต่ขับรถอย่างไร้จุดหมายไปเพียงลำพัง

     

    My heart is drenched in wine

    หัวใจของฉันมึนเมาและสับสนมากเหลือเกิน

    But you'll be on my mind

    แต่เธอจะคงฝังอยู่ในหัวใจและวิญาณ ของฉัน

    Forever

    ตลอดกาล

     

    Something has to make you run

    บางสิ่งบางอย่างพรากเธอไปไกลจากฉัน

    I don't know why I didn't come

    ฉันได้แต่ถามตัวเอง เหตุใดไม่ไปหาเธอ

    I feel as empty as a drum

    ฉันรู้สึกว่างเปล่าราวกับกลายเป็นเพียงกลอง

    I don't know why I didn't come

    ฉันไม่รู้ว่าทำไม  ฉันจึงไม่ไปหาเธอ

    I don't know why I didn't come

    ฉันไม่รู้เลยเพราะอะไร  ฉันจึงไม่เข้าไปหาเธอ....

     

    เสียงบรรเลงเปียโนในจังหวะสบายๆหากแต่กลับฟังแล้วเศร้าในหัวใจอย่างประหลาด เศรษฐพงศ์ไม่รู้ตัวว่าเดินตามเสียงดนตรีนี้มาได้ยังไง

    รู้ตัวอีกครั้งเขาก็ยืนพิงกรอบประตูฟัง ร่างบอบบางที่จมดิ่งตัวเองลงไปกับเสียงดนตรี แผ่นหลังบางนั้นตั้งตรง เสียงร้องคลอแผ่วเบาหากกังวานใส

    ในห้องเงียบๆแห่งนี้  ความหมายของเนื้อเพลงราวกับถ่ายทอดออกมาจากหัวใจคนร้อง เพราะน้ำเสียงนั้นอ่อนหวาน หากแต่เศร้าลึกเหลือเกิน

     

    นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ยืนอยู่ตรงนี้ เผลอตัวฟังเสียงใสที่กลับหวานขึ้นเรื่อยเมื่อร้องท่อนต่อไป เสียงคีย์เปียโนที่สอดรับกันเป็นจังหวะทำให้เพลิดเพลินจนไม่อาจก้าวเดินต่อ

    เสียงเปียโนหยุดลง เมื่อฮุคสุดท้ายของเพลงจบ คนตัวบางปิดฝาเปียโนสีดำลง หากแต่ยังเท้าคางมอง สวนด้านนอกกระจกใส อยู่อีกครู่ เศรษฐพงศ์ก็ยังยืนอยู่ที่เดิม มองแผ่นหลังบางตรงหน้า

     

    ...........ที่ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่างฉุดเขาไว้ ……………..

     

    กึก! กึก!

     เต๋าตกใจจนถอยไปชนประตูเมื่ออยู่ๆร่างบางก็ลุกขึ้นแล้วหันมากะทันหัน เขาคงลืมตัวเผลอมองจนเจ้าตัวรู้สึก

     

    ร่างบางนั้นหันมาเมื่อรู้สึกเหมือนถูกจ้องมอง ก่อนจะต้องเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นชัดว่ากรอบร่างสูงที่ยืนพิงที่ประตูเป็นใคร

     

    "พี่เต๋า" เสียงเรียกชื่อลอดออกมาจากปากบางหากแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ ตาคู่สวยยังคงได้แต่มองใบหน้าคมสันนิ่ง หัวใจเต้นระรัว ราวกับคชากำลังลุ้นว่าพี่ชายจะจำได้หรือไม่

    "เอ่อ  ขอโทษครับ" ชายหนุ่มเอ่ยออกไปเป็นคำแรกหลังยืนมองกันสักพัก มือใหญ่ยกขึ้นมาเกาต้นคอเขินๆ

     

    "พี่ เอ่อ คุณจะใช้ห้องใช่ไหมฮะ งั้นเชิญ" คชาลอบถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยถาม มือเรียวหยิบกระเป๋าสะพายข้างสีน้ำตาลเข้มขึ้นสะพาย

     

    "เปล่าครับ บังเอิญเดินผ่านมา แล้วได้ยินเสียงดรนตรีเลยหยุดฟัง"  ใบหน้าขาวคมลอบมองคนตัวบางตรงหน้าอย่างสำรวจ   โครงหน้าเรียว เครื่องหน้าหวาน จมูกโด่งปลายมน ริมฝีปากสีเชอรี่หยักบางได้รูปสวย

     

    ทรงผมสั้นยาวระหน้าผากท้ายทอยสั้น ขับให้ใบหน้านั้นหวานเกินเด็กหนุ่ม อาจเรียกไม่ได้ว่าสวยเต็มปาก หากแต่ก็อ่อนละมุนจนต้องมองซ้ำ แสงจากภายนอกส่องเข้ามาทำให้ร่างบางนี้ราวกับมีประกายระยิบระยับงดงาม

     

    "ครับ ขอตัวนะครับ" คชาเปิดยิ้มหวานให้ชายหนุ่มตรงหน้า แววตาฉายชัดถึงความคิดถึงโหยหาขึ้นมาเพียงแว่บ ก่อนจะถูกกลบซ่อนด้วยเปลือกตาและแพขนตาตรงที่เรียงหนา ยามเจ้าตัวกระพริบปิด

     

    ร่างสูงยังยืนมองอย่างเผลอไผลอยู่ที่เดิม ไม่ได้เอ่ยคำใด จนเจ้าของดวงหน้าหวานมาหยุดยืนตรงหน้า กลิ่นกายหอมอ่อนๆถูกสายลมยามสายพัดผ่านเข้ามา กลิ่นหอมหวานๆแต่ให้ความรู้สึกอ่อนโยน

     

    เหมือนเจ้าของ ใบหน้าน่ารักนั้นก้มหน้าลงอมยิ้มเมื่อเขายังยืนอยู่ที่เดิม กรอบประตูกว้างเหลือที่เพียงนิด ร่างบางช้อนตาขึ้นมองคนที่ยังยืนขวาง ก่อนจะพึมพำขอโทษแล้วเอียงตัวเพื่อแทรกช่องประตูที่เหลือน้อยออกมา ชั่วขณะที่แทรกตัวออกมา เจ้าของใบหน้าหวานละมุน เอียงคอเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มบางๆให้คนตัวโต ก่อนจะเดินออกไปยังห้องประชุมศิลปิน

     

    เศรษพงศ์มองตามแผ่นหลังบางด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แต่ที่แน่ๆเขารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด คุ้นเคยกับรอยยิ้มนั้น ยิ้มที่ทำให้หัวใจสะดุด

     

    ใบหน้านั้นก็คุ้นตาหากแต่นึกไม่ออกว่า คุ้นได้อย่างไร แต่แรงเต้นของหัวใจบอกเขาว่า คิดถึงบางสิ่งบางอย่างที่ติดค้างในหัวใจ ความทรงจำที่เป็นสีอ่อนจางแต่ไม่เคยถูกลบหายไปไหน

     

    "เฮ้ย เต๋ามาทำไรวะ" เสียงห้าวเรียกชื่อเขาเสียงดังลั่น ประสาคนอารมณ์ดี

     

     ชายหนุ่มหันไปก็พบว่าเป็น ตี๋ รุ่นพี่ที่สนิทกัน ถึงตี๋จะเป็นศิลปิน แต่ก็ชอบไปเชียร์บอลบ่อยๆ และมีนัดกันเตะบอลนอกรอบจนสนิทกัน เขาค่อนข้างชอบนิสัยของรุ่นพี่คนนี้ คนที่อารมณ์ดี มีน้ำใจ คอยช่วยเหลือคนอื่นเสมอ ทำให้สนิทกัน

     

    "มาคุยงานพี่ เรื่องพรีเซ็นเตอร์รองเท้าสตั๊ดรุ่นลิมีเต็ด ขอ แอทลาส" เต๋าบอกชื่อรองบริษัทผลิตรองเท้ายักษ์ใหญ่ ที่ติดต่อให้เขาเป็นพรีเซ็นเตอร์ รุ่นลิมิเต็ดที่จะออกมา

     

    "โอ้ย ดังใหญ่นะเอ็ง รับทรัพย์อื้อ เอามาเลี้ยงพี่เลี้ยงเชื่อบ้างละ" ตี๋เดินมาตบไหล่รุ่นน้องชวนคุย

     

    "ดังอะไรพี่ รองเท้ากีฬาเขาก็ต้องอยากได้นักกีฬาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ใครๆเขาก็เป็นกัน" เต๋าเอ่ยอย่างถ่อมตัว ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีชื่อเสียงในระดับนึง แต่มันไม่ได้สำคัญ เท่ากับสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้

     

    คือสิ่งที่เขารักและเขาเองก็โชคดีที่สามารถทำมันได้ดี จนมีทุกวันนี้

     

    "ทำมาถ่อมตัวนะเอ็ง แต่ห้องที่ต้องประชุมงานไม่ใช่ทางนี้นะโว้ย ต้องไปอีกทางนึง แกมาแอบเหล่นักร้องสาวแถวนี้เหรอ"

     

    "เปล่าพี่ เดินตามเสียงเปียโนมา มีคนดีด เพราะดีเลยเผลอมายืนฟัง "

    "ใครว่ะ สวยปะ" ตี๋ถามปนยิ้มเจ้าชู้ จนเศรษฐพงศ์หัวเราะ

     

    "ใครไม่รู้ ไม่คุ้นหน้าเลยพี่ ผมไม่ได้เข้ามาที่ตึกนาน แถมทีวีก็ไม่เคยดู แต่สวยไหมบอกไม่ได้ เขาเป็นผู้ชาย"

     

    "ว้ะไอนี่ เป็นผู้ชายจะสวยได้ไงละ ถ้าเป็นผู้ชายก็แล้วไปข้าไม่สน เอ็งไปคุยงานเหอะ พี่จะไปบรีฟงานแล้ว วันนี้มีอีเว้นท์สามที่"

     

    "โอ้โห รวยอื้อดิพี่ อย่าลืมมาเลี้ยงน้องนุ่งบ้างนะ" เต๋าแกล้งย้อนขณะที่เดินกันมาที่บันได

     

    "ย้อนเหรอวะ น้องนุ่งไม่เลี้ยงเว้ย ถ้าจะเลี้ยงต้องน้องไม่นุ่ง" ตี๋พูดพร้อมกับหัวเราะเสียงลั่น เรียกอีกคนหัวเราะตาม

     

    "ผมยอมไม่นุ่ง เพื่อให้พี่เลี้ยง"

     

    "ฟ้าผ่าตาย ไอบ้านี่ เจอกันแมตท์หน้าเว้ย เคลียร์คิวไปดูเอ็ง ถลาลมแล้ว"  ตี๋ตบไหล่กว้างหนักๆ ก่อนจะพยักหน้ารับไหว้ นักฟุตบอลคนเก่ง

     

    "เจอกันครับพี่ เตรียมเซิ้งไว้ได้เลย" โบกมือลารุ่นพี่แล้ว ชายหนุ่มก็รับโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทันที ชายหนุ่มยิ้มๆนิดๆเมื่อเห็นชื่อที่ขึ้นโชว์

     

     

    ....เซเรน่า....

     

     

    คชาเสร็จจากการคุยงานสำหรับซิงเกิ้ลใหม่ที่จะเริ่มทำทั้งที่ซิงเกิ้ลปัจจุบันยังไม่หมดช่วงเดินสายโปรโมทด้วยซ้ำ เนื่องจากทางต้นสังกัดเห็นว่าเพลงของเขาไปรวดเร็ว เวลาไม่ถึงเดือนดีก็ขึ้นอันดับหนึ่งชาร์ทยอดนิยมระดับประเทศได้ จึงรีบดำเรนินการเรื่องซิงเกิ้ลต่อไปทันที เพื่อตามกระแสไม่ให้หยุดลง

     

     โดยซิงเกิ้ลนี้ โปรดิวเซฮร์ให้โจทร์กับคชาอยากให้ลองแต่งเพลงเองดู เพราะเห็นว่าชอบ ซึ่งตัวเขาเองก็ดีใจ เพราะอยากลองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คงต้องหาแรงบันดาลใจจากช่วงโปรโมนี่ละนะ

     

    ตุบ! ตุบ!

     

     เสียงลูกบาสสีส้มอิฐกระทบพื้นปูนเป็นจังหวะ เรียกสายตาของคนที่เดินเอื่อยให้หันไปมอง ร่างสูงขาวจัด รูปร่างสมเป็นนักกีฬา กำลังเลี้ยงลูกและชู๊ค ลงแป้นบาสที่ตั้งอยู่ตรงทางเดินสวนอย่างสวยงาม

    แป้นบาสนี้จะตั้งไว้ประดับเท่านั้นไม่ได้หวังเป็นสนามจริงจังเพราะมีด้านเดียวและตั้งระหว่างทางเดินของสวนในบริษัท เพราะช่วงกำแพงที่ตันหลังผ่านทางแยกไปลานจอดรถ

    คชาหยุดเดินแล้วหันไปยืนเมองก่อนจะอมยิ้มน้อยๆ  เวลาอาจเปลี่ยนไป แต่บางคนไม่เคยเปลี่ยน  ชายหนุ้มยังคงรักกีฬาเป็นชีวิตจิตใจและมักจะทำได้ดีทุกอย่าง..ไม่ว่าจะลองเล่นกีฬาชนิดใด แม้กระทั่งศิลปะการต่อสู้ก็ยังทำได้ดีท่วงท่าการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มผิวชาวจัดนั้นดูสง่างามจนแทบไม่อยากละสายตา

    ปากบางเปิดยิ้มกว่างขึ้นเมื่อเห็นคนที่ยืนชู๊ตลุกไกลอยู่ขอบสนามชู๊ตเข้าสวยงาม แล้วยืนกระโดดดีใจเป็นเด็กๆ ก่อนที่คนตัวสูงจะเงยหน้าขึ้นมาเห็นคนที่ยืนเกาะระเบียงชั้น1มองอยู่

    มือขาวยกขึ้นโบกให้พร้อมรอยยิ้ม ร่างบางจึงพยักหน้าให้แล้วโบกตอบไปน้อยๆ ก่อนจะเดินลงจากตึกเพื่อไปยังลานจอดรถ ในหัวใจเต้นแรง ใบหน้าเนียนเอิบซ่านด้วยสีระเรื่อ ครั้งนี้มือใหญ่แข็งแรงนั้นโบกให้เขาแน่นอน ไม่ใช่ใครอื่นเหมือนที่ผ่านมา แม้จะจำกันไม่ได้ แต่รอยยิ้มนั้นยังคงอบอุ่น เหมือนเคย

    เล่นด้วยกันไหมคุณเสียงห้าวหันมาเอ่ยถามอย่างร่าเริง

    ไม่ไหวครับ ผมเล่นไม่เป็นคนตัวบางที่เดินกอดแฟ้มงานมาเพื่อจะไปลานจอดรถยิ้มให้แล้วแล้วตอบ

     

    ลองแค่ ชู๊ตเล่นสนุกๆเรียกเหงื่อดูไหมชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดสีเหลืองสกรีนลายกราฟฟิคกับกางขาสั้นแค่เข่าสีขาวเดินถือลูกบาสเข้ามาหา มือใหญ่มีการหมุนควงลูกบาสเล่นอย่างคนชำนาญการ

     

    ไม่ดีกว่าครับ วันนี้คุณไม่มีแข่งเหรอคชาหยุดเดินแล้วเอ่ยถาม

     

    คุณรู้ด้วยเหรอ ว้าแย่จังผมยังไม่รู้จักเพลงคุณเลยชายหนุ่มเอ่ยปนหัวเราะก่อนจะ ดั๊งลูกบาสลงกับพื้นแก้เขิน

     

    คุณอินทรีย์หิมะ ผมเคยไปดูคุณกับพี่ตี๋ครั้งนึง เมื่อแมทต์ที่แข่งกับ เดอะแร๊บบิท เอาจริงถ้าพี่ตี๋ไม่ลากไปผมก็ไม่รู้จักหรอกคชาตอบพลางยิ้มจนตาปิด

     

    อ้าว เราก็หลงดีใจ นึกว่าดัง เศรษฐพงศ์แกล้งทำหน้าผิดหวังเกินเหตุเรียกรอยยิ้มใสได้ทันที

    ถึงแบบนั้นตอนนี้ผมก็รู้จักคุณแล้วนะ

    งั้นเดี๋ยวผมคงต้องไปหาเพลงคุณมาฟังบ้างแล้วละ คุณนักร้องเต๋ายิ้มล้อเลียน

     

    ตกลงตามนั้น ผมขอตัวนะครับขาเรียวก้าวเดินอีกครั้ง แม้จะอาวรณ์ช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันเท่าไหร่ แต่เขากลัวจะเก็บความรู้สึกไว้ไม่ไหว หากยังยืนอยู่ตรงนี้นานเกินไป

     

    ผมก็จะกลับพอดี เดี๋ยวมีซ้อมที่สนามตอนเย็น ร่างสูงเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินเคียงกันเอื่อยมายังลานจอดรถ

     

    รถคุณจอดอยู่ที่ไหน   เต๋าถาม และมองตามปลายนิ้วเรียวยาวที่ชี้ไปยังรถมินิคูเปอร์สีน้ำเงินขอบขาวที่จอดอยู่

    ชายหนุ่มแอบคิดในใจว่ารถช่างเหมาะกับเจ้าของเหลือเกิน มินิ  น่ารักเหมือนกันเลย รอยยิ้มเกิดขึ้นที่ใบหน้าโดยไม่รู้ตัวจนอดขำไม่ได้ นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้ยิ้มพร่ำพรื่อแบบนี้

     

    แมทต์หน้าคุณจะไปดูไหมเศรษฐพงศ์เอ่ยถามขณะเดินมาหยุดพิงรถโตโยต้า ฟอจูนเนอร์สีขาวคันใหญ่ที่จอดอยู่ข้างรถสีน้ำเงินของคชา

     

    คนที่ก้มลงเก็บของในรถเงยหน้ามอง ไม่ได้ตอบอะไร เพียงยิ้มให้น้อยๆก่อนจะเปิดประตูเข้าประจำที่นั่งคนขับแล้วสตาร์ทรถ คนที่ยังยืนกอดอกนิ่งพิงรถสีขาวโดยมีลูกบาสเหยียบที่ปลายเท้ามองมายังรถคันเล็กที่ถอยออกไปจนกระทั่งตั้งลำได้

     

    ผมรอเซิ้งอยู่นะ กระจกใสของรถถูกเปิดออก เสียงใสร้องบอกคนที่ยืนกอดอกอยู่ พร้อมยกมือขึ้นแตะข้างคิ้วแทนการโบกมือลา และได้รับการยกมือบอกว่าแน่นอนส่งกลับมา  ก่อนที่คชาจะขับรถตัวเองออกไปพร้อมรอยยิ้ม 

     

    แค่นี้ก็พอแล้วคชา....

    แค่ได้เจอ ได้พูดคุย ...พี่เต๋าไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเขาคือใคร

    คชารู้คนเดียวก็พอ....พอแล้วจริงๆ..........................

     

     

    เศรษฐพงศ์ก้าวขึ้นรถของตัวเองบ้าง เพื่อจะไปยังสนามซ้อมที่อยู่ไม่ไกลจากบริษัทเท่าใดนัก ชายหนุ่มยิ้มเมื่อนึกถึงคนตัวเล็กที่พึ่งเจอกันวันนี้ ใบหน้าน่ารักนั้นน่าเอ็นดู เขาคิดว่าถ้ามีน้องชายน่ารักแบบนี้สักคนก็คงดี เหมือนที่เคยมีมา

     

    สนามเด็กเล่นขนาดไม่กว้างนัก พร้อมโกลฟุตบอลเก่าๆอันเล็กที่ตั้งอยู่ โครงเล็กนั้นสีเดิมหลุดลอกออกหมด เหลือเพียงสีเหล็กเข้ม ตาข่ายที่เคยมีอยู่ก็ขาดเป็นรู ประหนึ่งว่าถ้าเตะฟุตบอลเข้ามาแรง ก็คงทะลุตาข่ายออกหลังเป็นแน่

     

    เด็กชายผิวขาวจัด หากมอมแมมจากการเล่นคลุกดินทรายทั้งวัน ยืนเตะลูกฟุตบอลเข้าโกลเล็กๆครั้งแล้วครั้งเล่า แทบว่าจะไม่มีพลาด บางครั้งก็เลี้ยงลูกฟุตบอลสลับผ่านหลักที่เจ้าตัวเอาไม้ ยาวๆมาปัก เป็นแนวสลับกัน อย่างที่เคยเห็นโรงเรียนฝึกทำ หากค่าเรียนที่แพงเกินกว่าทางบ้านจะส่งได้ ทำให้เขาได้แต่คอยแอบมอง และลักจำเอา

     

    เด็กชายฝึกเลี้ยงลูกบอลและเตะเข้าโกลที่ไม่มีผู้รักษาประตูอย่างสวยงาม คล่องแคล่วด้วยฝึกมานาน เพราะใจรักกีฬาชนิดนี้นักหนา แม้วันนี้เพื่อนเล่นรุ่นเดียวกันไม่อยู่กันหมด เขาก็ไม่ใส่ใจ เพราะสามารถเล่นคนเดียวได้

     

    ร่างเล็กสะอาดเอี่ยมในชุดเสื้อยืดตัวจ้อยลายลูกเป็ดฉีกยิ้มสีเหลืองอ๋อย กับกางขาสั้นอยู่บ้านสีแดงใบหน้าเล็กปะแป้งลายพร้อย เดินมายืนมองเขาตาเป็นประกายอยู่ข้างสนาม

     

    อยากเล่นไหมเต๋าหยุดวิ่ง แล้วกลิ้งบอลมาตรงข้ามสนามที่มีคนตัวเล็กยืนมองอยู่

    พี่จ๋าจะให้ คชาเล่นด้วยเหรอร่างจ้อยเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายยิ้มประจบจนตายิบหยี

    ให้สิ พี่จะสอนคชาเองเอาไหมเด็กชายเริ่มรู้สึกสนุก ที่จะได้ลองเล่นบทครูฝึก

    เอาสิ เอาคชา อยากเก่งเหมือนพี่จ๋า คชาจะได้ไปเตะกับแลมพาร์ดเด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้ว

    ได้ แต่ต้องเชื่อฟังพี่นะ พี่บอกให้ทำอะไรก็ต้องทำรู้ไหม เป็นนักเรียนที่ดี

    คชาจะเชื่อฟังพี่จ๋ายิ้มประจบถูกส่งมาให้พี่ชายตัวโตอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าจนผมเส้นเล็กกระจาย

    …………………

     

    …………………………………………………….

     

    ไอพี่เต๋าบ้า ใจร้าย คชาเหนื่อยแล้วเสียงเล็กตะโกนต่อว่าครูฝึกที่ยืนกอดอกดูข้างสนาม

    พูดแบบนี้ได้ไง ไหนว่าจะเชื่อฟังพี่ เรียกพี่ว่าไอ้เหรอเต๋าดุน้องตัวเล็กทันที เพราะพูดไม่เพราะ

     

    ก็พี่เต๋าให้คชาวิ่ง วิ่ง มาเป็นล้านรอบแล้ว ขาจะหักอยู่แล้วนะปากตะโกนเถียงหากแต่ขาเล็กที่ป้อแป้ก็ยังวิ่งต่อ

     

    ก็ต้องฝึกร่างกายให้แข็งแรงก่อน เวลาวิ่งในสนามจะได้ไม่เหนื่อยง่าย วิ่งแค่สามรอบเองนะ

     

    ขาจะหักอยู่แล้วโว้ย โชคร้ายของคนพูดไม่เพราะ จังหวะตะโกนวิ่งผ่านหน้าครูฝึกจอมโหด จึงถูกดึงเอาไว้

     

    อย่าพูดโว้ยอีกนะ ไม่งั้นพี่จะตี ตีจริงนะ

     

    ไม่กลัว ก็เราเหนื่อย พี่เต๋าแกล้งเรา ไอคนใจร้าย รังแกเด็กตัวจ้อยแหกปากลั่นจนมือป้อมขาวของพี่ต้องยกขึ้นมาปิดปากไว้

     

    ไม่ได้แกล้ง ถ้าดื้อแบบนี้ พี่จะไม่เล่นด้วย พูดจบก็ปล่อยเด็กน้อยออก

     

    ครูฝึกจำเป็นก็หันหน้าหนีแบบงอนๆ ไปเก็บลูกฟุตบอลมาวิ่งเล่นคนเดียว ไม่สนคนที่ยืนหอบหายใจค้อนตาคว่ำอยู่ข้างสนาม ปากบางยื่นออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ แถมยังเอามือกอดอก ถอนใจเลียนแบบผู้ใหญ่เฮือกๆ และวิ่งหายเข้าบ้านไป

     

    แต่สุดสุดท้าย

     

     คนขี้งอนก็เป็นฝ่ายแพ้ เมื่อพี่ชายดูท่าจะเอาจริงไม่สนใจเลย

     

    พี่เต๋าจ๋า เหนื่อยไหม คชาเอาน้ำมาให้กินคนตัวเล็กลงทุนวิ่งไปขอน้ำใส่กระติกลายเบ็นเทนสีเขียวของตัวเองวิ่งมาหาพี่ชายที่ไปนั่งพักเหนื่อยริมต้นไม้

     

    ไม่มีเสียงตอบรับ คชานั่งพับขาลงข้างๆพี่ชายก่อนมือเล็กจะเปิดน้ำจากกะติกแล้วรินใสฝาขวดส่งให้พี่ชาย ซึ่งก็ยอมรับไปแต่โดยดี ก่อนใบหน้าเล็กจะนั่งยิ้มแป้นแล้น เพื่อประจบเอาใจอย่างเคย

     

    พี่เต๋าจ๋า น้องชาขอโทษมือเล็กๆยกขึ้นเกาะแขนมอมๆของพี่ชาย เอียงคอยิ้มให้

     

    ยามง้อพี่ชาย ก็จะแทนตัวเองว่าน้องชา และพี่จ๋าที่เรียกเสมอ ก็จะเป็นพี่เต๋าจ๋า พร้อมรอยยิ้มประจบซึ่งมักได้ผลทุกครั้ง เพียงไม่นานพี่ชายก็จะยอมให้เล่นด้วยเหมือนเคย

     

    ต่อไปน้องชาจะไม่ดื้อ จะเชื่อฟังพี่เต๋านะ

     

    แม้จะให้สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ หากเมื่อถูกขัดใจ เจ้าตัวเล็กก็ยังคงโวยวายเสียงลั่น จนพี่ชายโกรธแล้วกลับมายิ้มประจบ งอนง้อจนพี่ชายใจอ่อนเหมือนๆเคย คนที่ทำท่าจะโกรธน้อง ก็ไม่อาจโกรธได้จริง ไม่อาจดุได้นาน ดังใจ เพียงยิ้มประจบ กับตาใสๆที่มองมาอย่างเว้าวอน ก็ทำให้ใจอ่อนเสมอ

     

     

     

    Talk wiz me

    สวัสดีคืนส่งท้ายปี จะมีใครมาอ่านคิกออฟไหมเนี่ย

    ไม่รู้ว่าไปเที่ยวกันหมดหรือเปล่า ส่งคิกออฟไปของขวัญท้ายปีนะคะ
    สำหรับเพลงประกอบของตอนนี้เราแปลเองนะ ด้วยภาษาอันแสนง่อยและ
    และพยามเกลาความหมายของเพลงให้เข้ากับเรื่อง แต่ไม่ได้เปลี่ยนความหมายเนื้อเพลงน้า

    ปีหน้าพบกันใหม่ คิกออฟอาจจะช้าหน่อย เพราะต้องการลุยเลิฟ ออลัทให้จบ

    เนื่องจาก เนื้อเรื่องต่างกันมากๆ ไม่สามารถแยกโสตประสาทได้ ยังไงก็ฝากด้วยนะคะทุกคน

    ปีใหม่นี้ขออวยพรให้ คนอ่านมีความสุข จิ้น อิน ฟิน กับ เต๋าคชา ไปด้วยกันอีกปีนะคะ

    รักกันไปนานๆนะคะทุกคน   รักคนอ่าน แคร์คนเม้นท  เลิฟเต๋าคชาที่สุด

     ปล. อย่าลืมโหวตเม้นท์ แชร์ คู่จิ้นกันด้วยนะคะ  ^^

    ฝากด้วยครับ^^

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×