คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : My I dol : : chapter 2 (Kyuhyun) 100%
ตอนที่ 2
Kyuhyun
ผมก็แค่ผู้ชายคนนึงที่อยู่ในที่ที่สูงเกินกว่าจะกลับลงไปบนพื้นดินธรรมดาได้ก็แค่นั้น ผมชื่อคยูฮยอนผู้ชายที่หลายๆคนต้องการ แต่ตอนนี้ผมเป็นดวงดาวที่สูง ผมมองไม่เห็นพื้นดินหรอก…
“อย่าทำสร้อยหายนะครับ กระต่ายน้อยของพี่” หลังจากจบประโยคนี้ออกไป คงนึกกันออกใช่มั้ยครับว่าเสียงที่ตามมาคืออะไร แน่นอนมันต้องเป็นเสียงกรี๊ดจากกลุ่มคนที่เสียตังค์ตั้งมากมายเพื่อมาเจอผม หึผมก็แค่เซอร์วิสคำพูดเล็กน้อยเท่านั้น นี่มันงานแค่งานที่ไม่ใช่ชีวิตหรือนิสัยที่แท้จริงของผม
หลังจากจบมีตติ้ง ผมกับไทงเฮและไอเยซองก็เตรียมตัวกลับบ้านเพราะพรุ่งนี้มีคิวงานต่อ แต่ก่อนกลับผมก็ต้องติดต่อเรื่องไปดินเนอร์กับแฟนคลับที่โชคดีคนนึง น้องเค้าก็น่ารักดีครับ แต่ก็เท่านั้นแหล่ะครับ ดวงดาวอย่างผมไม่ลงไปคลุกดินให้เปื้อนตัวเองหรอก
ทีมงานบอกผมถึงรายละเอียดว่าค่ำคืนดินเนอร์ของผมจะมีขึ้นในวันมะรืนที่ร้านอาหารฝรั่งเศสแสนหรูของครอบครัวผม
ครอบครัวของผมมีฐานะร่ำรวยถือว่ามากเลยก็ได้ แม่ก็เปิดร้านอาหารฝรั่งเศสอิตาลีหลากหลายสาขา แถมยังควบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีกเยอะพ่อของผมก็เป็นคนควบคุมอำนาจบริษัทไว้เยอะทั้งในและนอกประเทศเพราะฉะนั้นชีวิตของผมจึงแสนสบายมีทุกอย่างตามที่ต้องการ มีคนรักผมมากมายจากหน้ากากที่ผมสวมทุกครั้งก่อนขึ้นเวที ส่วนเพื่อนของผมก็ไม่ใช่จะสุภาพบุรุษอะไรนักหรอก มันก็เจ้าชู้ไปทั่วเหมือนกันยิ่งพวกผมเป็นคนที่ใครๆต่างรู้จัก พวกผมจึงเปลี่ยนคู่ควงกันเป็นว่าเล่น
“นี่คยูฮยอนช่วงนี่ข่าวนายกับผู้หญิงมีออกมามากเกินไปแล้วนะ ชื่อเสียงจะลดลงถ้านายยังทำตัวเปลี่ยนคนนู้นคนนี้ไปเรื่อย ซักวันเถอะ นายจะไม่เหลือใครมาคอยสนับสนุน ถ้านายยังไม่เปลี่ยนนิสัยแบบนี้”
เสียงที่น่ารำคาญสำหรับผมอย่างมากก็คือผู้จัดการวงของผม บ่นมันได้ทุกวันก็รู้อยู่ว่าบ่นไปผมก็ไม่เปลี่ยนนิสัย
“เรื่องของผม” ผมตอบแค่นั้นก่อนจะเดินผ่านเพื่อนสนิทที่ยืนส่ายหัวจากเสียงบ่นเดิมๆจากผู้จัดการ
“ดีนิซักวันนึงเถอะ นายจะไม่เหลือใครถ้ายังอวดเก่งปากดีไม่ฟังใคร”
ผมเป็นดวงดาว
ผมมีคนรักเป็นล้าน
ผมมีคนสนับสนุนเสมอ
และผมจะกลัวการตกจากท้องฟ้าทำไม
“พี่จำไว้นะ ถึงวันนึงผมตกลงไป ผมก็ยังมีแฟนคลับที่รองรับผมอยู่ เท้าของผมไม่มีวันแตะดิน”
ผมพูดตัดบทแค่นั้นก่อนเดินออกไปพร้อมไอเพื่อนตัวดีทั้งสอง
“มึงกลับเลยป่ะวะไอคยู” ไอเย่มันถามผมขนาดที่มันกำลังขึ้นรถสปอร์ตคันหรูของมัน ผมพยักหน้าให้มันทีแล้วเคลื่อนรถออกทันที
ที่ผมมาเป็นนักร้องได้อย่างตอนนี้ไม่ใช่ว่าผมหลงรักมันมากหรอก ผมกับไอเยซองและไอทงเฮเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ ผมกับมันตั้งวงดนตรีเพื่อความเด่นดั่งในตอนนั้น และมันก็ได้ผลตอบรับที่ดี จนมีค่ายเพลงยักษ์ใหญ่มาติดต่อพวกเรา ผมกับพวกมันจึงได้มาเป็นนักร้องแบบนี้แหล่ะ
แต่บางทีผมก็เหนื่อยที่ต้องมาใส่หน้ากากคนแสนดีพูดเพราะเอาอกเอาใจแฟนคลับ แต่ก็นั่นแหล่ะครับเค้าบอกว่าเป็นการตลาด ใช้คำพูดที่ไม่ได้จริงใจในการซื้อใจคน ผมไม่เห็นว่ามันจะเข้าท่าตรงไหน
แต่เมื่อผมมาเป็นแล้ว และในตอนนี้ผมเดินขึ้นมาสูงแล้ว ผมก็ไม่คิดที่จะกระโดดลงไปที่เดิม ผมจะอยู่ตรงนี้คอยมองคนมากหน้าหลายตาที่เงยหน้ามองผมและส่งยิ้มมาให้ผมส่งเสียงมาให้ผม ผมมองดูพวกเค้าที่มีสิทธิ์ทำได้แค่นั้น
พวกเค้าเป็นใครผมไม่รู้จัก
ผมจำเป็นที่ต้องสนใจพวกเค้าด้วยหรือ?
ผมขับรถเรื่อยมาจนใกล้ถึงบ้านหลังใหญ่ของผม และแน่นอนสิ่งที่ผมเห็นคือ
แฟนคลับหลายคนที่นั่งหน้าหงอยอยู่ตามริมรั้วบ้านของผม
เหนื่อยมาก มาทุกวันแต่ทำไรไม่ได้ ผมเพียงแค่ต้องใส่หน้ากากและลงไปหาพวกเค้า
ผมเปิดประตูรถลงไป และทันทีที่ท้าวแตะพื้นเสียงกรี๊ดและเสียงมากมายก็ประดังเข้าโสตประสาทของผม ผมเพียงแค่ยิ้มและมองพวกเค้าทุกคนก่อนจะเอ่ยบางคำออกที่ใช้พูดในทุกๆครั้งกับเหตุการณ์เช่นนี้
“กลับบ้านกันเถอะครับ กลับบ้านดึกเดี๋ยวผู้ปกครองเป็นห่วงนะครับ ฝันดีนะครับ” ผมยิ้มให้พวกเค้าอีกเล็กน้อยแล้วเดินขึ้นรถขับเข้าสู่ตัวบ้าน
เฮ้อมันน่าเบื่อมากใช่มั้ยล่ะ
แต่มันคืองานหรือไม่ก็เป็นแค่สิ่งที่ผมต้องทำ ทั้งๆที่ถ้าผมไม่เป็นนักร้องผมก็รวยล้นฟ้าที่มาพร้อมอำนาจมากมายอยู่แล้ว แต่นั่นแหล่ะผมเดินมาทางตรงนี้ และผมก็แค่เดินไปเรื่อยๆ เดินขึ้นสูงไปเรื่อยๆ ให้คนนับแสนนับล้านเงยหน้ามองผมเรื่อยๆอย่างนี้
อย่างที่ผมพูดไป ผมจะมีวันให้เท้าของผมแตะพื้นในเมื่อผมขึ้นมาสูงถึงขนาดนี้แล้ว
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
วันนี้วันที่ผมต้องไปดินเนอร์ใต้แสนเทียนกับแฟนคลับของผม น้องเค้าน่ารักดีครับ แก้มสีขาวอมชมพูที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มที่ดูสดใสบริสุทธิ์ เรียกได้ว่าใบหน้าครั้งแรกของน้องเค้าก็ดึงดูดความสนใจของผมได้เหมือนกัน
“อืม ห้าโมงเย็นใช่มั้ย แค่นี้นะ” ผมตอบรับทีมงานที่โทรมาคอนเฟิร์มเวลาและสถานที่ แค่ทานอาหารผมควรรีบๆทำให้มันจบ
ผมยังเหลือเวลาอีกราวหนึ่งชั่วโมงก่อนถึงเวลานัด ผมแต่งตัวและคว้ารถสปอร์ตคันหรูคู่ใจเพื่อเดินทางไปสถานที่ที่ได้นัดไว้ ตึกนัมซานที่ที่รู้ดีว่ามนสวยและโรแมนติกขนาดไหน คู่รักมากมายที่นัดทานข้าวหรือเดทกันที่นี่ แต่ถึงจะโรแมนติกแค่ไหนก็ไม่สำคัญมากนักหรอก เพราะผมไปทำงาน แค่งานที่ผมต้องปั้นยิ้ม แค่นั้น..
RRRRRRRRRRrrr
“อืม”
[คุณคยูฮยอนครับ คุณชเวซูยอนมายืนโวยวายอยู่ที่หน้าตึกโจวกรุ๊ปครับ เธอบอกว่าจะเจอคุณให้ได้]
ชเวซูยอนหรือ..
“แล้วเรื่องแค่นี้มึงโทรมาทำไม จัดการไปสิ แต่ถ้าเรื่องมันใหญ่หรือมีสื่อได้ภาพข่าวแม้แต่นิดเดียว ก็น่าจะรู้นะ” ผมบอกเสียงเข้มใส่ลูกน้องผู้โชคร้ายที่โทรหาเพื่อบอกข่าวให้ผมฟัง แต่มันคงคิดผิดที่โทรมาพูดในสิ่งที่ไม่น่าฟัง
[ตะ..แต่ว่า มีสื่อเริ่มทยอยมากันแล้วนะครับ]
สิ้นเสียงจากลูกน้องในสาย มือใหญ่บีบโทรศัพท์แน่นเพื่อข่มอารมณ์โกรธของตนไว้ ถึงอย่างไรเค้าก็ใกล้จะถึงที่นัดหมาย นั่นแสดงว่าเค้าต้องแสดงสีหน้าที่ดูยิ้มแย้มไม่ใช่สีหน้าที่ประหนึ่งมัจจุราชดังเช่นตอนนี้
“จัดการไป ถ้าข่าวกระจายไปเมื่อไหร่ มึงรู้ดีนะว่าจะเกิดอะไร”
สิ้นคำจากลูกน้องที่ดูไม่ได้เรื่องผมก็กดตัดสายโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้เปิดปากพูดอะไรมากกว่านี้
ชเวซูยอน ผมเตือนเธอแล้วว่าเมื่อคืนนั้นผ่านพ้นไปเรื่องของเราต้องจบ แต่เธอไม่ทำตามคำสั่ง ในวันถัดมายังเลือกที่จะโทรตามจนถึงวันนี้ ผมไม่เคยแยแส แต่ถ้าคิดจะทำให้ผมเดือดร้อนละก็ เธอน่าจะได้รู้ว่าผมไม่เพื่อนเล่นที่จะมาต่อกรได้
ผมเดินทางมาถึงตึกนัมซานด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวเหตุเพราะข่าวที่ผมได้ฟังมา ผมเกลียดจริงๆกับการที่ถูกประกาศว่าเป็นเจ้าของผม หรือมาแสดงว่าตนเองมีอิทธิพลกับผม การที่ผมนอนหรือเข้าไปยุ่งในทางๆใด ไม่ได้แปลว่าผมให้คนนั้นมาอยู่เหนือผมหรอกนะ
เพราะฉะนั้นคนบนโลกที่ผมเข้าได้มากที่สุด คงมีแค่ทงเฮและเยซองก็เป็นได้
แต่ก็ยังมีอีกคนที่ผมไว้ใจ..
ผมปัดความคิดทั้งหลายทิ้ง พร้อมกับบอกตนเองให้พร้อมต่อการทำงาน ปรับสีหน้าที่ไม่ได้ยิ้มแย้มให้ถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่แฟนคลับของผม บอกว่าเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่น รอยยิ้มที่ทำให้แฟนคลับหลงใหล ผมเดินเข้ามาในตัวตึก เจอทีมงานที่สงสัยคงนั่งรอน้องแฟนคลับอยู่
ผมเดินผ่านทีมงานขึ้นปั้นบนสุดของตึกนัมซาน ดินเนอร์ที่จะถูกบันทึกภาพและถือว่าเป็นการถ่ายทำรายการเลยก็ว่าได้ ผมแต่งตัวเรียบร้อยจนถึงเวลาอีกราวสามสินนาที ก่อนที่จะเริ่มงาน แต่ผมก็ยังไม่เห็นน้องแฟนคลับที่นัดไว้เลย
ซองมิน ลีซองมินใช่มั้ย
“อ้าวมาแล้วหรอคะ คุณน้องมาช้าไปนิดนะคะ ไปๆรีบไปแต่งตัวก่อนค่ะ” เสียงของทีมงานดังเข้าในโสตประสาทของผมพร้อมปรากฏหน้าตาสดใสและแก้มอมชมพูที่ดูเพิ่มความโดดเด่นในใบหน้าให้แก่น้องเค้า
มันจะแปลกมั้ย ถ้าผมจะบอกว่า อาการณ์หงุดหงิดที่ผมเพิ่งเผชิญมา มันดูอ่อนลงถึงแม้จะไม่มากจนหมดสิ้น แต่ก็รู้สึกได้ เพียงแค่เห็นซองมินมอบยิ้มแย้มสดใสต่อทีมงานทุกคน แค่นั้น?
“พะ..พี่คะ..คยูฮยอน สะ..สวัสดีฮะ อะ..เอ่อ” เสียวตะกุกตะกักพร้อมหน้าตาที่ดูทำท่าไม่ถูก ไม่แม้กระทั่งเงยหน้าขึ้นมามองผมเลย ร่างบางก้มหน้าให้ผมนิดหน่อยก่อนจะรีบหลบสายตาและเดินตามทีมงานไป
น่ารักดี
ผมนั่งรอไม่เกินสิบนาที ทุกอย่างก็พร้อมที่จะเริ่มการดินเนอร์ที่ดูเป็นทางการและเป็นพิธีมากทีเดียว
เสียงทีมงานสั่งเริ่มพร้อมกับกล้องที่เริ่มถ่ายสถานที่รอบๆข้าง จนแพลนมาที่ผม และเมื่อกล้องจับมา สิ่งเดียวผมไม่เคยลืมคือบทบาทที่ผมต้องทำ และตอนนี้สิ่งที่ผมต้องทำคือการทำตัวให้เป็นธรรมชาติที่สุด
“เกร็งหรือครับ” ผมถามร่างบางที่นั่งตรงหน้าโดยไม่มีปฏิกิริยาที่จะดูสนใจอาหารจานหรูด้านหน้าของตน
“อ่ะ..เอ่อ นิดหน่อยฮะ”
“ไม่เป็นไรนะครับ ทานกันดีกว่าเนอะ” ผมว่าพลางหั่นเนื้อสเต็กตรงหน้าให้พอดีกับคำ พร้อมยื่นจานของผมที่พร้อมรับประทานให้ร่างบางตรงหน้า ซองมินเงยหน้ามาสบตาผมนิดหน่อย ก่อนจะหลุบตากลับลงที่เดิม
“ขะ..ขอบคุณฮะพี่คยู” เสียงใสวว่าพลางยื่นมือมารับจานอาหารโดยที่สายตาหลบต่ำเหมือนกับว่าผ้าปูโต๊ะอาหาร ดูน่ามองเสียกว่าใบหน้าของผม
ผมยื่นมือไปหยิบจานสเต็กของซองมินที่ยังไม่ได้ถูกแตะต้องแม้แต่นิดเดียวมาไว้ที่ถาดของตนเอง
“แล้วในวง น้องซองมินชอบใครมากที่สุดครับ” ผมเริ่มบทสนทนาที่ดูเหมือนจะเป็นการถามเรื่อยเปื่อยเพื่อไม่ให้บรรยากาศอึดอัดไปมากกว่านี้
“เอาจริงๆนะฮะ ผมชอบพี่คยูที่สุดเลย ผมนะมีเพื่อนสนิทคนนึง ผมกับเค้าอ่ะตามพวกพี่ไปทุกที่เลยนะฮะ เพื่อนผมเค้าชอบพี่ทงเฮพี่สุดเลยล่ะฮะ” เสียงใสของซองมินดังยาวอย่างต่อเนื่อง นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินร่างบางตรงหน้าพูดประโยคที่ยาวขนาดนี้ได้
“ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มน้อยๆให้ซองมิน
“แล้วก็…ชอบพี่ไปนานๆนะครับ ห้ามไปชอบวงอื่นแล้วนะครับ” ผมพูดติดตลกเล่นคำหยอดให้คนตรงหน้า และมันก็ได้ผล ซองมินแสดงอารมณ์ขวยเขินออกมาจนเห็นชัด พลางกดหน้าลงที่คงให้ความหมายแก่ผมว่า ตกลง
ผมยกยิ้มกับท่าทีนั้นของซองมิน ท่าทีที่แสดงออกมาของซองมินแสดงให้เห็นว่าความรักที่มอบให้กับผมดูบริสุทธิ์ และก็ดูน่าค้นหา แต่ผมก็แค่รู้สึกแค่นั้นไม่ได้คิดจะเข้าไปยุ่งไปมากกว่านี้ มากกว่าหน้าที่ของศิลปินที่ต้องเอาอกเอาใจแฟนคลับ
การดินเนอร์ดำเนินเรื่อยมา โดนที่เกิดบทสนทนานิดหน่อยไม่มากเกินไปแต่ก็ไม่ได้เงียบจนได้ยินเสียงนกเสียงกา จานสเต็กของซองมินแทบไม่ได้ลดลงไปมากนัก ถึงแม้ว่าผมจะหั่นให้พอดีคำพร้อมทาน แต่ซองมินกลับหั่นให้มันเล็กกว่านั้นและจึงค่อยทาน ราวต้องการที่ปกปิดและปัดอารมณ์ขวยเขินของตนเองโดยการหาอะไรทำไปเรื่อยๆ
ผมจิ้มเนื้อสเต็กจากจานของตนเองพร้อมยื่นไปที่เรียวปากบางของซองมิน เพราะท่าผมไม่ป้อน ซองมินคงจะไม่แตะอะไรเลย
“อ้าปากครับ พี่เห็นซองมินไม่ค่อยทานเลย”
ร่างบางเงยหน้ามาเล็กน้อย พร้อมหลบสายตาอย่างที่ทำตลอดเวลา เรียวปากยกยิ้มพร้อมรับเนื้อชิ้นเล็กที่ผมยื่นให้ โดยที่ใบหน้าก็ไม่ได้มองมาที่ผมเลย
“ขอบคุณนะฮะพี่คยู” ซองมินพูดพลางยิ้มให้ผมจนตาเป็นรูปเสี้ยวพระจันทร์ราวกับว่าจะยิ้มมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
จริงๆไม่ต้องขอบคุณผมที่ทำให้ ที่เซอร์วิสขนาดนี้ ผมบอกแล้วที่ผมทำก็แค่ทำตามหน้าที่ของผม แค่นั้น..
100%
คยูฮยอนไม่ใช่คนดีซักเท่าไหร่นะคะ เราพยายามจะแต่งให้เรื่องนี้เน้นไปทางความรู้สึกของแฟนคลับหน่อยนะคะ แต่ก็แอบมาแสดงมุมโหดบ้างไรบ้าง
คือหายไปนานมากชนิดที่เรียกได้ว่าตัวเองยังนึกจว่าตัวเองปิดไปแล้ว เพราะหลายๆเรื่องค่ะ แต่มาแล้วค่ะกลับมาแล้ว กลับมาอ่านกันด้วยนะคะ TvT ถ้ายังมีคนหลงเข้ามาอ่านขอบคุณหลายๆค่ะ (_ /\_)
ความคิดเห็น