ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Laflora Secret ไขปมความรักกับสายลับ 5 สาว

    ลำดับตอนที่ #46 : ตอนที่ 35 : You are Hotter than Thailand

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ค. 66


    35

    You are Hotter than Thailand


    ‘We have now landed at Suvarnabhumi Airport. Please keep your seatbelts fastened until the "Fasten Seat Belt Sign" has been turned off. Welcome to Thailand. Thank you for flying with us’


    “ว้าว! ถึงไทยแล้ว!!” เสียงใสของทิวาดังขึ้นเมื่อสองเท้าของเธอสัมผัสพื้นของสนามบิน ถึงแม้บรรยากาศโดยรอบจะคล้ายกับสนามบินในประเทศอื่น แต่ความรู้สึกอันคุ้นเคยที่เธอสัมผัสได้มันบ่งบอกว่าเธอได้กลับมายัง ‘บ้าน’ แล้วจริงๆ

    “ฮะๆ ดีใจขนาดนั้นเลยเหรอลูก” ไอริณหัวเราะเล็กน้อยให้กับท่าทางดี๊ด๊าของลูกสาว

    “ดีใจสิคะ ไม่ได้กลับมาตั้งนานแน่ะ”

    “หือ? ลื้อไม่ได้กลับนานแล้วเหรอน่อ อั๊วนึกว่าเทอมที่แล้วลื้อเพิ่งกลับไปเอง” เหมยฮัวในชุดลำลองพร้อมกางเกงช้างสีดำถามขึ้น

    “อ๋อ ตอนแรกก็ว่าจะกลับนั่นแหละ แต่พ่อแม่ฉันบอกจะบินมาหาพอดี ก็เลยอยู่ลาฟลอร่าต่อน่ะ”

    “อ๋อ ก็ว่า”

    “วันนี้แม่โทรให้พ่อกับน้ามารับ ไปรอหน้าประตูทางออกกันมั้ยจ๊ะ” ไอริณเอ่ยขึ้น

    “ได้ค่ะ/ได้ครับ”

    ทั้งสิบสองชีวิตพร้อมกระเป๋าเดินทางประจำตัวเดินทางมาจนถึงประตูทางออก ในตอนแรกพวกเขารู้สึกตื่นเต้นที่ได้มาเที่ยวบ้านเกิดของทิวา แต่ในวินาทีที่ประตูเลื่อนเปิดออก ไอร้อนดั่งนรกก็กระโหมหน่ำเข้าร่างราวกับสึนามิจนผิวแทบไหม้ ทำพวกเขาแสบร้อนไปทั้งตัว

    “Oh shit…” คริสโตเฟอร์สบถออกมาด้วยความอึ้ง เขาแทบจะสาวเท้าถอยหลังกลับแทบไม่ทัน

    “โอ๊ย!! ทำไมมันร้อนอย่างนี้!?” นาซิสซ่าโวยวายเสียงดังลั่นก่อนจะวิ่งกลับไปข้างในสนามบิน โดยไม่ลืมที่จะลากกระเป๋าสุดรักของเธอมาด้วย

    “เข้าข้างในกันเถอะขอรับ”

    “ป่ะๆๆ”

    ทุกคนรีบกลับไปยังสนามบินเพื่อหลีกหนีความร้อน ยกเว้นชาวไทยสามคนที่ยืนงุนงงอยู่ตรงประตูทางออก

    “เอ่อ… มันร้อนขนาดนั้นเลยเหรอ” ทิวาทักขึ้น

    “คงงั้นแหละ ประเทศอะไรไม่รู้ทั้งร้อนทั้งชื้นตลอดปี พวกเขาไม่ชินก็ไม่แปลก” อาทิตย์ตอบก่อนจะปาดเหงื่อที่ไหลจากหน้าผากออก “ร้อนชะมัด”

    “ก็จริง ฉันเองยังไม่ชินเลย”

    “งั้นเราเข้าไปรอกับเพื่อนๆกันมั้ย? เดี๋ยวพ่อมาถึงเขาคงโทรมาเองแหละ”

    “ก็ได้ค่ะ/ได้ครับ”

    .

    .

    .

    “ฮัลโหลที่รัก”

    [ผมมาถึงแล้วนะ พวกคุณอยู่ไหนเหรอ] เสียงปลายสายดังขึ้น เป็นเสียงที่คุ้นเคยกับทิวาเป็นอย่างมาก เพราะเธอมักจะได้ยินเสียงนี้เวลาอยู่บ้านเป็นประจำ ทำให้เธอรีบวิ่งมาหาไอริณที่กำลังคุยโทรศัพท์ทันที

    “พ่อ!!! หวัดดีค่า!!!”

    [อ้าว ทิวา หวัดดีลูก แล้วก็อย่าตะโกนสิ แก้วหูพ่อจะแตก]

    “ถ้าไม่ตะโกนพ่อก็ไม่ได้ยินน่ะสิ!!”

    [ได้ยินแล้วลูกรัก ได้ยินชัดแจ๋ว]

    “แล้วจะให้พวกฉันไปเจอที่ไหนเหรอ?” ไอริณถาม

    [ตรงตึกจอดรถน่ะ ถ้าคุณกับเด็กๆออกประตู 8 มันจะมีทางเดินเชื่อมมาตรงตึกจอดรถ ผมจะรอคุณตรงนั้นแหละ]

    “โอเค งั้นเดี๋ยวไปแล้ว รอแปบนึงนะที่รัก”

    [ครับ รักนะ]

    “รักเหมือนกัน”


    -Call ended-


    “เด็กๆ พ่อของทิวามารับแล้ว ไปกันเถอะ เอ๊ะ?” 

    “อ้าว ทุกคนหายไปไหนกันหมดอะกียุล?” ทิวาที่ได้ยินแม่ของตนอุทานเลยหันหลังกลับมา พบว่าที่นั่งที่เคยมีเหล่าเจ้าหญิงและเจ้าชายนั่งอยู่ เหลือแค่อาทิตย์กับกียุลที่รับหน้าที่เฝ้ากระเป๋าเพียงสองคน

    “ไปช้อปปิ้ง duty free กันหมดแล้วล่ะ” หนุ่มเกาหลีเงยหน้าขึ้นมาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ ซึ่งมันก็ปกติสำหรับแก๊งนี้จริงๆ

    “แม่ ทำไงดีอะ”

    “งั้นแม่ขอโทรบอกพ่อก่อนนะ”


    [ว่าไงที่รัก?]

    “ขอเวลาอีก 30 นาทีได้มั้ย”

    [ได้ แต่ทำไมเหรอ]

    “ฉันต้องไปตามหาเด็กๆน่ะสิ โดนดูดไปกับ duty free กันหมดละ”

    [อ้าว ฮ่าๆๆ ไม่เป็นไรๆ ผมไม่รีบ ไปตามหาเด็กๆเถอะ การดูแลเด็กสิบกว่าคนนี่มันไม่ง่ายเลยนะ]

    “ก็ใช่น่ะสิ ไม่ง่ายเลยสักนิด เฮ้อ…”

    .

    .

    .

    2.17 pm, Marrier Hotel Bangkok

    “เดี๋ยวพ่อรอพวกหนูข้างล่างนะ เก็บของเสร็จกระโดดขึ้นรถได้เลย เดี๋ยวพาไปหาอะไรกินกัน!” เมื่อล้อหมุนถึงจุดหมาย ผู้เป็นพ่อของทิวาปลดล็อครถก่อนจะหันหลังมาคุยกับเด็กๆในรถด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว ขนาดทิวายังสับสนว่าพ่อพูดได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ 

    “ได้ครับ/ได้ค่า”

    ทุกคนยกเว้นไอริณ ทิวาและอาทิตย์ก้าวลงจากรถ ในขณะเดียวกันรถของแอริณที่พาเพื่อนๆที่เหลือก็ถึงที่หมายแล้วเช่นกัน

    “พ่อรู้นะว่าลูกคิดอะไร” เขาหันมาจ้องลูกสาวด้วยสายตาจับผิด

    “แหะๆ หน้าหนูฟ้องขนาดนั้นเลยเหรอ” เธอเกาแก้มแก้เขิน

    “ก็ใช่น่ะสิ พ่อเก่งใช่มั้ยล่ะ”

    “หมายถึงจับผิดเก่ง?”

    “พูดอังกฤษเก่ง!”

    “อ๋ออออ เก่งค่า เก่งขึ้นเยอะเลย แต่เก่งไม่เท่าแม่หรอก”

    “ไปอยู่กับแม่แล้วเข้าข้างแม่บ่อยขึ้นนะเรา” ศิลาหยิกแก้มลูกสาวอย่างหมั่นเขี้ยว จนแก้มเธอแทบยืดเป็นโมจิ

    “โอ๊ย เจ็บๆๆ”

    “แล้วเราจะไปกินข้าวที่ไหนกันคะคุณ” ไอริณถามขึ้น

    “อืม… ตอนแรกอยากพาไปร้านของเพื่อนที่อยู่แถวเกษตร แต่ว่ารถมันติด คงหาร้านกินแถวนี้แหละ”

    “เพื่อนหนูมันขี้ร้อนอะ ขอรีเควสเป็นร้านติดแอร์ได้มั้ย”

    “เอาสิ งั้นแม่ขอหาร้านแปบนึง”

    “งั้นเดี๋ยวระหว่างนี้หนูขอไปโทรหาราตรีแปบนึงนะคะ หนูว่าจะนัดราตรีมาเที่ยวด้วย”

    “ได้ๆ”

    หญิงสาวลงจากรถก่อนจะกวาดสายตาหาสถานที่ที่เหมาะกับการโทรหาใครสักคน แต่เนื่องด้วยอากาศภายนอกค่อนข้างร้อน เธฮจึงตัดสินใจไปนั่งที่ล็อบบี้ของโรงแรมที่โรซารี่กับอเล็กเซนั่งอยู่

    “โรซารี่ ขอนั่งด้วยนะ”

    “เอาสิ” เพื่อนชาวอังกฤษผายมือไปยังโซฟาตรงข้าม เธฮจึงนั่งลงที่ตรงนั้น

    “โทรหาใครเหรอ”

    “ราตรีน่ะ ฉันว่าจะชวนมาเที่ยว แล้วก็ถามเรื่องเบาะแสของที่หายไปด้วย”

    “เออใช่ ราตรีชอบของโบราณนี่ บางทีเธออาจจะรู้อะไรที่เราไม่รู้ก็ได้”

    “จริง อ๊ะ ราตรีรับสายละ”


    [สวัสดีทิวา]

    “ราตรี! เป็นไงบ้าง?”

    [ฉันสุขสมดีอย่างเคย ขอบใจที่ถาม แล้วทิวาล่ะ?]

    “สบายดี วันนี้ฉันกับเพื่อนๆมาไทยน่ะ เลยจะถามว่ามาเจอกันมั้ย?”

    [จริงเหรอ ใยเจ้าไม่บอกฉันให้เร็วกว่านี้?]

    “แหะๆ มันบินกะทันหันน่ะ เลยไม่มีเวลาได้บอก เธอว่างรึเปล่า ฉันขับรถไปรับเธอได้นะ”

    [อ่า… ฉันยินดีอย่างยิ่ง แต่เกรงว่าตอนนี้ไม่สะดวก]

    “งั้นเหรอ… ไม่เป็นไรๆ ไว้ค่อยเจอกัน-” 

    [ตอนนี้ฉันไม่สะดวกที่จะไปเพราะกำลังเก็บเสื้อผ้าอยู่ คาดว่าอีกสองชั่วโมงเราคงได้พบกัน]

    “อ้าว!? ราตรี ทำไมแกล้งฉันแบบนี้เล่าาา” ในตอนแรกทิวาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย แต่พอได้รู้ว่ามันเป็นเพียงการแกล้งของราตรี เธอก็กลับมาดี๊ด๊าอีกครั้ง

    [ฮ่าๆๆ ฉันอยากหยอกล้อทิวาบ้าง เป็นยังไง มุกตลกของฉันใช้ได้ไหม?]

    “ใช้ได้มากๆเลยแหละ หลอกฉันจนเชื่อสนิทเลย”

    [ดีใจที่ได้ยินเยี่ยงนั้น งั้นฉันขอตัวไปเก็บข้าวของก่อนล่ะ]

    “ให้ฉันไปรับมั้ย?”

    [มิเป็นไร ให้คุณพ่อของฉันขับไปส่งก็ได้ วันนี้คุณพ่อว่างอยู่พอดี]

    “ได้เลย งั้นมาเจอกันที่โรงแรมที่พวกฉันนอนละกัน”

    [เข้าใจแล้ว ส่งที่อยู่มาให้ฉันในไลน์ด้วยนะ]

    “โอเค!”


    -Call ended-


    “เรียบร้อย ฉันนัดราตรีมาเจอที่โรงแรมนี่แหละ คิดว่าอีกสองชั่วโมงน่าจะถึง”

    “ผมไม่ได้เจอคุณราตรีนานแล้ว อยากเจอจังเลยฮะ” อเล็กเซเอ่ยขึ้น

    “งั้นเดี๋ยวกินข้าวเสร็จเราค่อยมารอราตรีที่โรงแรมก็ได้” โรซารี่เผยยิ้มให้คนด้านข้างก่อนจะจิบชาเอิร์ลเกรย์ในมือ

    “ไม่ได้!” ร่างปริศนาโผล่มาจากข้างหลังของสาวไทยกะทันหัน ทำให้ทั้งสามตกใจ หัวใจแทบหล่นไปที่ตาตุ่ม

    “ว้าย!?”

    “กรี๊ด!! ผีเหรอ!?”

    “จะบ้าเหรอ! ฉันต่างหากเล่า!” เขากระโดดจากด้านหลังมานั่งข้างทิวาโดยไม่ลืมที่จะใช้มือพาดพนักพิงโซฟา

    “ไออาทิตย์!?”

    “เรียกไอแล้วเหรอเดี๋ยวนี้??”

    “เออดิ! เล่นบ้าอะไรไม่รู้ หัวใจวายหมด” ทิวาต่อยเข้าที่ท้องของเพื่อนวัยเด็กไปหนึ่งครั้ง เขาไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไรทั้งนั้น เพียงแค่ทำท่าเจ็บเพื่อกวนโอ๊ยเฉยๆ

    “อุ๊ย เจ็บจัง”

    แต่เนื่องด้วยบทสนทนาถูกพูดในภาษาไทย ทำให้คู่รักชาวต่างชาติที่นั่งอยู่ตรงข้ามจับจุดไม่ถูกว่าพวกเขาพูดอะไรกัน

    “อันนี้แปลว่าอะไรอะอเล็กเซ” โรซารี่ถามพลางใช้นิ้วชี้ไปทางทิวาและอาทิตย์

    “แปลว่า อากาศวันนี้แจ่มใสกว่าที่เคย”

    “แล้วอันนี้อะ”

    “ฉันอยากไปดูละครลิงจะแย่แล้ว ลิงที่มันต่อยท้องเพื่อนแบบนี้ไง นี่แน่ะ”

    “ฉันว่านายมั่วแล้วแหละ”

    “เพิ่งรู้เหรอครับที่รัก”

    ในขณะเดียวกัน ทิวาถูกดึงความสนใจไปยังโทรศัพท์ของเพื่อนตัวแสบที่กำลังเปิดอะไรบางอย่างให้ดู

    “คนนี้ไงที่ฉันบอกว่าฉันจะไปงานเปิดตัว collection ใหม่ของเขาวันนี้ตอน 5 โมงเย็น”

    “ฉันเคยเห็นหน้าเขาผ่านๆในทีวีนะ แต่ไม่รู้จักอะ”

    “เดี๋ยวเธอก็รู้จัก”

    “ทำไมอะ”

    “ก็เพราะว่า…” อาทิตย์ปิดโทรศัพท์ลงก่อนจะใส่มันเข้าไปในกระเป๋ากางเกง “เธอกับแม่ของเธอต้องไปงานนี้กับฉัน”

    “ห๊ะ!? จริงอะ??”

    “จริงๆ อย่าตกใจดิ”

    “แต่นายบอกว่างานนี้จะเชิญแต่บุคคลที่มีชื่อเสียงไปไม่ใช่เหรอ”

    “Aka ดารานั่นแหละ ใช้ศัพท์ยุ่งยากทำไม และใช่ ฉันไง” นิ้วชี้ถูกชี้เข้าตัวอาทิตย์อย่างอวดดี

    “คือรู้ว่าเป็นนายเว่ย แต่ทำไมฉันได้ไปด้วยอะ อธิบาย”

    “เพราะงานนี้คนที่ถูกเชิญสามารถเชิญแขกไปได้ ฉันเลยอยากลองพาเธอออกงานบ้าง ตอนเด็กๆเธอเคยบอกไม่ใช่เหรอว่าถ้าฉันดัง ฉันต้องพาเธอออกงานด้วย”

    “ยังจะอุตส่าห์จำได้อีกนะ”

    “ผมความจำแม่นอยู่แล้วครับคนสวย แล้วก็อยากพาเธอเปลี่ยนบรรยากาศด้วย เป็นสายลับมันเครียดใช่มั้ยล่ะ แถมในงานมีอาหารฟรีด้วยน้า”

    “จริงอะ ไป!!”

    “ฮ่าๆๆ เธอนี่ยังเห็นแก่กินวันยันค่ำจริงๆ”

    “ปกติย่ะ! แล้วเรื่องชุดล่ะ ฉันไม่มีใส่ไปหรอกนะ”

    “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันบอกให้ manager ฉันเตรียมให้ มันเป็นลุค casual ด้วยแหละ เลยไม่ต้องใส่ชุดอะไรอลังการ”

    “ฟิ้ว โชคดีไป” หญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอก “แล้วไปกันตอนไหนอะ”

    “อืม…” ชายหนุ่มก้มลงดูนาฬิกาที่ข้อมือตัวเอง “บ่ายสามครึ่ง”

    “โอเค งั้นเดี๋ยวฉันไปบอกกียุลก่อนนะ”

    “อืม แต่ยังไงซะหมอนั่นก็รู้แล้วแหละ” เขานั่งไขว่ห้างก่อนจะมองไปทางทิวาด้วยสายตาเฉยเมย

    “รู้ได้ไงอะ กียุลแอบติดเครื่องดักฟังเหรอ”

    “จะบ้าเรอะ ฉันบอกเขาเอง” 

    “นายบอกเองแล้วด้วย?”

    “ก็ใช่น่ะสิ ฉันกลัวว่าเขาจะไม่ให้เธอไป เลยชิงถามก่อนเลย”

    “แล้วให้ไปมั้ย”

    “เห็นหมอนั่นขี้หวง เขาก็มีเหตุผลและ respect privacy and personal space ของเธอนะ ตราบใดที่เธอไปกับคนที่เขารู้จัก เขาก็ให้ไปอยู่แล้วล่ะ” ถึงแม้จะเป็นประโยคธรรมดา แต่ก็ทำให้หัวใจของหญิงสาวพองโตขึ้นได้ เพราะถ้าเป็นเธอ เธอคงไม่อยากให้กียุลไปกับคนอื่นแน่ๆ

    “เหมือนพ่อฉันเลย”

    “เออดิ เธอได้แฟนหรือได้พ่อวะ สงสัยมาก ฮ่าๆๆ”

    “Daddy รึเปล่า daddy ที่ไม่ได้แปลว่าพ่อ”

    “ยัยลิง! เธอไปเรียนคำพวกนี้มาจากไหนเนี่ย??” อาทิตย์ถึงกับแปลกใจในภาษาพูดของเพื่อนสนิทที่มันชักจะทะเล้นขึ้นทุกวัน

    “ในเน็ตไง! ฮ่าๆๆๆ”


    จึ้ก จึ้ก


    หญิงสาวสัมผัสได้ถึงแรงจิ้มเบาๆที่หัวไหล่สองครั้ง เมื่อเธอหันไปก็พบกับกียุลที่ยืนอยู่ข้างหลัง กับเพื่อนๆทุกคนที่เหลือ

    “อ้าว ตาตี๋ เสร็จแล้วเหรอ?”

    “เสร็จแล้ว ไปกินข้าวกันเลยมั้ย เดี๋ยวพ่อเธอรอนาน”

    “เอาสิ ไปกันเถอะ” 

    มือหนายื่นไปด้านหน้าของหญิงสาว เพื่อช่วยพยุงตัวเธอให้ลุกขึ้นยืนได้สะดวก เขาระบายยิ้มให้แฟนสาวอย่างอ่อนโยน แต่ไม่วายส่งสายตาอาฆาตไปให้อาทิตย์ที่อยู่ข้างๆอยู่ดี

    “โว้วๆ ใจเย็นๆพ่อหนุ่ม อย่าฆ่าอย่าแกงกันเลย ผมกลัวแล้ว”

    .

    .

    .

    3.25 pm, Thai restaurant, somewhere in Bangkok

    “I’m so full! Everything is delicious. Thank you so much!” คริสโตเฟอร์ลูบท้องตัวเองอย่างพึงพอใจก่อนจะหันไปขอบคุณศิลาที่นั่งอยู่ไม่ไกล

    “ขอบคุณมากเลยนะคะ”

    “ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ครับ”

    ทุกคนหันไปขอบคุณเป็นเสียงเดียวกัน มื้ออาหารครั้งนี้อร่อยจริงๆ เพราะจานทุกจานแทบไม่หลงเหลืออาหารให้เห็นเลยสักชิ้น

    “ยินดีครับ เห็นพวกหนูทานอาหารได้อย่างมีความสุขพ่อก็ดีใจแล้ว”

    “เด็กๆจ๊ะ” มือคู่สวยของไอริณวางแก้วน้ำลงก่อนจะเอ่ยเรียกทุกคน “เดี๋ยวครู ทิวาและอาทิตย์มีธุระต้องทำตอนเย็นนี้ พวกเธอไปเที่ยวพักผ่อนกันตามสบายเลยนะ”

    “ไปไหนกันเหรอคะ” นาซิสซ่าเอ่ยถาม

    “พาอาทิตย์ไปงานเปิดตัวของแบรนด์นึงที่เขาได้รับเชิญน่ะจ้ะ”

    “อ๋อค่ะ งั้นหนูต้องรอพวกครูตรงไหนเหรอคะ จะได้กลับโรงแรมพร้อมกัน”

    “ไม่เป็นไรจ้ะ พวกหนูไปเที่ยวกันเถอะ เดี๋ยวเงินจะฝากไว้ที่กียุลนะ พวกค่ารถค่าอาหารเอาที่เขาได้เลย” หญิงสาวผายมือไปยังหนุ่มเกาหลีที่กำลังถือซองจดหมายหนาสีขาว พวกเขาตาลุกวาวที่ได้ pocket money ก้อนโต แต่ต้องทำเป็นนิ่งเฉยก่อนจะกลับไปพูดคุยต่อ

    “แล้วเรื่องเบาะแสที่เราจะมาหาล่ะคะ” โรซารี่ถาม

    “เรื่องนั้นครูกับอาทิตย์จะจัดการเอง ถ้าพวกเธอมาช่วยครูโกรธนะ” ไอริณแกล้งทำหน้ามุ่ยใส่โรซารี่ก่อนจะหยอกล้อเธอด้วยการแลบลิ้นใส่

    “โธ่ ครูไอริณคะ จะไม่ให้พวกหนูช่วยจริงๆเหรอ”

    “จริงๆ ครูพาพวกหนูมาเพื่อมาเที่ยวนี่แหละ เพราะฉะนั้นพวกเธอก็ต้องเที่ยว หรือถ้าเบื่อๆไปนั่งเล่นที่บ้านครูได้นะ มีสวนให้พวกหนูเล่นแบตกับนั่งจิบชาด้วย”

    “ก็ได้ค่ะ”

    “งั้นเดี๋ยวพวกครูไปก่อนนะ” ไอริณลุกขึ้นก่อนจะสะกิดให้ทิวากับอาทิตย์ออกเดินทาง

    “พวกเธอ เดี๋ยวฉันมานะ ฝากกินด้วยล่ะ” 

    “ฝากแต่เรื่องกินนะลื้อเนี่ย”

    “แหะๆ” สาวไทยโบกมือหยอยๆก่อนจะวิ่งตามแม่ของเธอไปข้างนอกร้าน

    “งั้น…” ศิลาเอ่ยขึ้นหลังจากทั้งสามคนออกจากร้านแล้ว “เดี๋ยวพ่อไปส่งพวกหนูที่ BTS มั้ย แล้วถ้าอยากกลับโรงแรมเมื่อไหร่ก็โทรบอกได้นะ”

    “รบกวนด้วยนะครับ” กียุลโค้งหัวให้ศิลาเป็นการขอบคุณ “แต่หลังจากที่ส่งพวกผมแล้ว คุณพ่อกลับไปพักผ่อนที่บ้านดีกว่าครับ เดี๋ยวพวกผมหาทางกลับโรงแรมเอง”

    “เอ… เอางั้นก็ได้นะ งั้นไปขึ้นรถกันเถอะ”

    .

    .

    .

    4.00 p.m., BTS Chongnonsi station

    “ป้ายนี้อ่านว่าอะไรเนี่ย ชะ ชอง… นอง… ซคี้?” นาซิสซ่ายืนเท้าสะเอวอยู่ตรงแผนที่การเดินทางของรถไฟฟ้า คิ้วของเธอขมวดเป็นปมในขณะที่เธอกำลังอ่านออกเสียงชื่อของสถานี มันต้องออกเสียงยังไงเนี่ย เธอยังไม่รู้เลย

    “เธออย่าเอาวิธีออกเสียงภาษาฝรั่งเศสมาใส่สิ มันอ่านว่า ชองนอนซี ต่างหาก!” สาวอังกฤษเถียงกลับ

    “อั๊วว่ามันไม่น่าใช่ทั้งคู่นะ เดี๋ยวค่อยถามอาทิวาก็ได้มั้งน่อ แล้วตอนนี้เราจะไปไหนกันต่อ?” เหมยฮัวปรามทั้งสองไม่ให้เถียงกันไปมากกว่านี้ ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อมาเป็นจุดหมายปลายที่จะไปในวันนี้

    “อีกชั่วโมงกว่ากว่าคุณราตรีจะมาถึง ระหว่างนี้เราหาที่เดินเล่นดีมั้ยขอรับ” ฮอรัสที่ก้มมองนาฬิกาในโทรศัพท์ของตนก็ถามคำถามขึ้น

    “ก็ดีนะ ฉันอยากไปหากาแฟกินสักแก้ว” กียุลพูดขึ้น

    “แล้วพอคุณราตรีมาเราจะไปไหนต่อเหรอเจ้าคะ?” ยูริถามด้วยความสงสัย

    “ตอนแรกเรานัดราตรีไว้ที่โรงแรม เราจะเปลี่ยนที่นัดมาเป็นห้างสักห้างดีมั้ย จะได้เจอกันง่ายๆ” หนุ่มเกาหลีเสนอไอเดีย

    “ก็ดีนะเจ้าคะ เป็นห้างไหนดี”

    “อืม…” ทั้งเก้าชีวิตครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง คริสโตเฟอร์และดันเต้ต่างช่วยกันเสิร์ชหาสถานที่ที่ต้องการในอินเทอร์เน็ต ไม่นานพวกเขาก็ได้ตัวเลือกมาสองอย่าง

    “พวกยูอยากไปไหน ระหว่าง paragon กับ central world?”

    “อันไหนเดินทางสะดวกกว่า” กียุลถาม

    “ส่วนตัวไอนะ คิดว่า paragon เพราะแค่ลงจากรถไฟฟ้าก็สามารถเดินเข้าห้างได้เลย แต่อีกที่นึงต้องเดินต่อไปอีกหน่อย”

    “งั้นเอาที่แรกนี่แหละย่ะ ง่ายสุดละ” นาซิสซ่านำพัดมาป้องปากเช่นเดิมอย่างที่เธอเคยทำ “ยัยหมวย ฝากบอกราตรีด้วยนะว่านัดเจอกันที่ห้าง… ชื่ออะไรนะ?”

    “พา-รา-กอน น่อ” เหมยฮัวตอบ

    “นั่นแหละๆ ฝากหน่อยนะเธอ”

    “ได้น่อ รอสักครู่”

    สองนิ้วของสาวหมวยพิมพ์ข้อความอย่างชำนาญ กดปุ่มสามเหลี่ยมรูปร่างคล้ายเครื่องบินกระดาษเพื่อส่งข้อความไปยังอีกฝ่าย ไม่นานนักเธออีกคนก็ตอบกลับมา


    ‘ได้เลย อีกประเดี๋ยวเจอกัน’


    “เรียบร้อยน่อ!”

    “งั้นเราไปเลยมั้ยเจ้าคะ?”

    .

    .

    .

    “พวกเธอไปเดินเล่นกันได้เลยนะ เดี๋ยวฉันขอตัวก่อน” เมื่อรถไฟฟ้าเดินทางมาถึงจุดหมาย กียุลก็รีบขอตัวแยกไปสถานที่หนึ่งคนเดียว

    “ไปไหนเหรอขอรับ?”

    “ร้านกาแฟน่ะ ฉันไม่ค่อยชอบเดินเที่ยวเท่าไหร่ พวกนายก็รู้”

    “ก็จริง…”

    “งั้นถ้าราตรีมาถึงแล้ว อย่าลืมโทรเรียกฉันด้วยนะ จะได้ไปพิพิธภัณฑ์พร้อมกันเลย”

    “ได้ขอรับ งั้นไว้เจอกันนะ”

    “อื้ม”

    หลังจากหันหลังให้กับกลุ่มเพื่อน หนุ่มเกาหลียืนเลือกร้านที่จะเข้าไปนั่งครู่หนึ่ง ส่วนตัวเขามักจะเลือกเข้าไปนั่งในร้านที่เป็น small business มากกว่า เพราะเขาชอบในบรรยากาศร้านที่มักจะมีกลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์ต่างจากร้านที่มีสาขาเยอะและพบเห็นได้ทั่วไป

    “ร้านนี้ละกัน”

    ถึงแม้ตัวร้านจะตั้งอยู่ท่ามกลางเมืองกรุงที่หนาแน่นไปด้วยผู้คนและสิ่งปลูกสร้าง ทว่ากลับมีร้านกาแฟเล็กๆร้านหนึ่งที่ไร้ซึ่งผู้คนเยี่ยมเยือน เขามองว่าเป็นสถานที่ที่ดี สองเท้าจึงรีบก้าวไปยังจุดหมายอย่างรวดเร็ว


    กริ๊ง~


    ระฆังสีทองเล็กที่ผูกกับประตูถูกกระทบจนเกิดเสียงใสกังวานขึ้นเป็นสัญญาณว่าได้มีแขกมาเยือน

    “สวัสดีครับคุณลูกค้า”

    “Yes?” เนื่องด้วยกียุลไม่รู้ภาษาไทย จึงถามกลับไปเป็นภาษาอังกฤษแทน

    “โอ้ คนต่างชาติเหรอ H..Hello!” เขาตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เสมือนคนที่พูดอังกฤษไม่คล่อง แต่กียุลก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะมันทำให้เขานึกถึงตอนเด็กๆที่เขาพูดอังกฤษไม่ได้เหมือนกัน

    “Hello. Um… Can I have vanilla cold brew and one coffee cake please?”

    “เอ่อ…” พนักงานคนนั้นลุกลี้ลุกลนขึ้นเป็นหลายเท่าตัวเมื่อกียุลสั่งอาหาร เขาหันซ้ายขวาแต่ไม่เจอใครที่สามารถช่วยเขาได้ตอนนี้เพราะทั้งร้านมีเพียงแค่พวกเขาทั้งสองคน

    “It’s okay. It’s okay. Then…” กียุลนึกอะไรบางอย่างออก เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วรีบกดเข้าแอพๆหนึ่ง  แต่ก่อนที่เขาจะกดแปลภาษา ก็มีสายเรียกเข้าดังขึ้นพอดี

    “ยอโบเซโย”

    [ตาตี๋ ราตรีมาถึงยัง]

    “ยังเลย เธอโทรมาเพื่อแค่นี้เหรอ”

    [ช่ายยย ทำไมเหรอ คิดว่าฉันคิดถึงนายเลยโทรมารึไง]

    “เปล่าสักหน่อย ฉันไม่ได้พูดอย่างนั้น” เขาปฎิเสธเสียงนิ่ง ถึงแม้ในใจจะร้องกระวนกระวายอยู่

    [แต่ฉันก็คิดถึงนายจริงๆนั่นแหละ แค่นิ้ดดดดดเดียว]

    “ฮ่าๆๆ เชื่อแล้วครับ เอ้อ เธอช่วยอะไรหน่อยได้มั้ย”

    [ว่า]

    “สั่งกาแฟให้ฉันหน่อย พอดีฉันพูดไทยไม่ได้น่ะ เอา vanilla cold brew and one coffee cake”

    [อ๋อ ได้สิ เปิด speaker ให้หน่อย]

    “อะ เปิดละ”

    ชายหนุ่มกดเปิดลำโพงก่อนจะยื่นไปทางพนักงาน เขาพยักหน้าแล้วเอื้อมตัวไปใกล้ๆโทรศัพท์

    “พี่คะ เอา… กาแฟ cold brew ใส่วนิลากับเค้กกาแฟหนึ่งชิ้นค่ะ”

    “ได้เลยครับ! รับอะไรเพิ่มเติมมั้ยครับ”

    [ไม่แล้วค่า]

    “ทั้งหมด 245 บาทครับ”

    [ขอบคุณมากค่า เดี๋ยวหนูบอกตาคนนี้แปบนะคะ]

    “ได้ครับ ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะครับ”

    [ค่า นี่ตาตี๋]

    “หื้ม”

    [245 บาท จ่ายซะด้วย]

    “โอเค งั้นแค่นี้นะ”

    [แค่นี้แหละ บ๊ายบาย]


    -Call ended-


    กียุลยื่นเงินค่ากาแฟเพื่อชำระเงิน ไม่นานพนักงานคนเดิมก็ยื่นเงินทอนพร้อมขอบคุณ เขาขอบคุณอีกฝ่ายเช่นเดียวกันก่อนจะเดินไปยังโต๊ะว่างที่ไม่ไกลจากเค้าเตอร์ทำกาแฟ

    “ไหนดูซิ ได้อะไรมาบ้าง” มือหนาหยิบไอแพดคู่ใจออกมาจากกระเป๋าก่อนจะเปิดเข้าไปในไฟล์ไฟล์หนึ่ง ที่มีชื่อผู้ส่งว่า ‘Aditaya Mai-ngarm’

    เขาใช้นิ้วปัดขึ้นลงเพื่อแสกนเนื้อหา คิดว่าตรงไหนสำคัญก็ไฮไลท์สีเหลืองสว่างไว้ เขาทำอย่างนี้อยู่นาน กาแฟใส่วนิลาที่อยู่เป็นเพื่อนคู่ใจข้างๆถูกดื่มครั้งแล้วครั้งเล่าจวนจะหมดแก้ว เขาก็ยังไม่พบเจอกับอะไรที่มันน่าสงสัยเลยสักนิด

    “มันให้มาถูกไฟล์จริงมั้ยเนี่ย”

    .

    .

    .

    ประมาณ 2 ชั่วโมงที่แล้ว

    “เฮ้ย ตี๋” 

    “?” ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมามองด้วยหางตา เขามองค้างผู้บุกรุกอยู่สองวิแล้วก้มลงอ่านหนังสือในมือต่อ

    “ฉันมาดีนะ” ผู้บุกรุกคนนั้นยืนพิงขอบประตู สองมือกอดอก พักขาหนึ่งข้าง ก่อนจะยิ้มแสยะ

    “แต่นายพูดไม่ดี ทำไมฉันต้องฟัง แถมเข้ามาในห้องพักฉันโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก” กียุลตอบโดยที่ไม่หันไปมองคู่สนทนา

    “หึ” อาทิตย์เค้นหัวเราะในลำคอ เขาไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ฉันมีเรื่องจะถาม”

    “ฉันไม่ใช่กูเกิ้ล”


    ‘ไอ้เวรนี่!!!’ อาทิตย์ได้แต่ด่าอยู่ในใจ


    “เออน่า คำถามนี้มีแต่นายที่ตอบได้”

    “?”

    “วันนี้ ฉันจะพาทิวาไปออกงาน ได้มั้ย”

    “งานอะไร”

    “งานหนังสือมั้ง งานเปิดตัว collection ใหม่ของแบรนด์ FloraxTears เลยนะ”

    “อือ จะไปก็ไป”

    “ขอบคุณ ห๊ะ!? จริงอะ!?”

    “เออดิ ตกใจอะไร”

    “ก็ฉันคิดว่านายคงไม่ได้ แล้วคัดค้านเสียงแข็งแน่ๆ”

    “เห็นฉันเป็นคนยังไงกันนะนายเนี่ย” กียุลพับหนังสือในมือลงแล้ววางไว้บนโต๊ะ เขาถอดแว่นก้นหอยแล้วโยนไปบนเตียงก่อนจะเดินไปตรงหน้าอาทิตย์ “ฉันแยกแยะได้ เพื่อนไม่เจอกันนานก็อยากไปเที่ยวด้วยกันอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ”

    “ก็ใช่ งั้นขอบคุ-”

    “แต่!” หนุ่มเกาหลีขัดเสียงดัง

    “โอ๊ย! พูดเบาๆก็ได้ ตกใจหมด!”

    “นายรู้อะไรเกี่ยวกับคดีนี้บ้าง ต้องบอกฉันให้หมด”

    “ห๊ะ?” 

    “ได้ยินแล้วนี่ ฉันรู้ว่านายกับพวกครูไอริณรู้อะไรมากกว่านี้ แต่ไม่ได้บอกกับพวกฉัน”

    “…” อาทิตย์เงียบไปครู่หนึ่ง “นายจะอยากรู้ไปทำไม”

    “ฉันก็อยากรู้เรื่องพวกนั้นเพื่อจะได้จับคนร้ายเร็วๆนะ”

    “นายไม่รู้เหรอว่าที่พวกเขาไม่บอกเพราะเป็นห่วงพวกนาย แค่นี้พวกนายก็พัวพันมามากพอแล้ว”

    “ฉันรู้” กียุลกอดอก “แต่พัวพันมาแล้ว ก็เอาให้สุดดิวะ บางทีพวกฉันอาจจะช่วยได้จริงๆนะ”

    “ไม่ล่ะ นายขออย่างอื่นเถอะ”

    “งั้นนายก็พาคนอื่นไปงานเปิดตัวเถอะ”

    “…”


    ‘ไอ้ตี๋เวร!!!’


    “ว่าไง? จะให้ไม่ให้?”

    “ฮึ่ย… ก็ได้วะ เอาอีเมลมา!”

    “อย่างนี้ค่อยพูดรู้เรื่องหน่อย” กียุลเขียนอีเมลตัวเองลงบนกระดาษก่อนจะส่งให้อาทิตย์ด้วยความดีใจ

    “บอกไว้ก่อนนะ ฉันจะบอกเท่าที่ฉันรู้ เพราะฉันก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ระดับสูง แล้วไม่ต้องมาเค้นอีก”

    네 알겠습니다 :) (ครับ รับทราบครับผม)”

    .

    .

    .

    ปัจจุบัน


    กริ๊ง~


    เสียงระฆังสีทองกังวานขึ้นอีกครั้งเมื่อมีแขกใหม่มาเยือน เขาเดินปรี่ไปที่เค้าเตอร์แล้วสั่งเมนูประจำอย่างเคย ภายใต้แว่นสายตาทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ดวงตาสีทับทิมที่มีรอยตีนกาเล็กๆสะดุดกับร่างของหนุ่มเกาหลีที่นั่งอยู่ในร้าน ไม่ต้องยืนพิจารณานาน เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าเด็กคนนี้คือคนที่เขารู้จักแน่ๆ

    “กียุล?”

    “หืม? อ้าว” กียุลเงยหน้าตามเสียงที่เรียก เขาพบว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ใครที่ไหนเลย “คุณพ่อศิลาเหรอครับ? คุณพ่อมาทำอะไรที่นี่เหรอครับ”

    “อ๋อ พ่อมาซื้อกาแฟกินน่ะ ร้านนี้ร้านโปรดพ่อเลยนะ” ในระหว่างที่ตอบคำถาม ศิลาทำมือชี้ไปทางที่นั่งตรงข้ามกียุลเชิงขอนั่งด้วย กียุลที่เข้าใจก็พยักหน้าตอบ

    “ชอบดื่มอะไรเหรอครับ”

    “ง่ายๆแบบอเมริกาโน่น่ะ ต้องเย็นด้วยนะ แต่เมื่อก่อนพ่อโคตรชอบคาราเมลมัคคิอาโต้แฟรปเป้เลย แต่กลัวเป็นเบาหวานเลยเปลี่ยนมากินอันนี้น่ะ” ศิลาพูดเจื้อยแจ้ว ทำให้กียุลเผลอเห็นภาพของทิวาซ้อนทับขึ้นมา


    ‘ทิวานี่ถอดแบบคุณพ่อมาเป๊ะเลยแฮะ’


    “แล้วกียุลมาทำอะไรที่นี่ล่ะลูก ไม่ไปเที่ยวกับเพื่อนๆเหรอ”

    “อ่อ… ผมชอบนั่งสงบๆมากกว่าน่ะครับ ไม่ค่อยชอบเที่ยวเท่าไหร่”

    “แต่เดี๋ยวได้อดใช้ชีวิตกับเพื่อนๆน้า” ศิลาแซว

    “ฮ่าๆ แต่ถ้าอยู่กับพวกนั้น ไม่มีทางเลยที่จะไม่ได้ใช้ชีวิตครับ” กียุลหัวเราะ มันเป็นเรื่องจริงที่อยู่กับพวกนั้นทีไร ชีวิตของเขาแทบจะไม่สงบสุขเลยสักวินาทีเดียว แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าเขาก็ชอบที่จะอยู่กับพวกเขา

    เพียงแต่ตอนนี้มีบางสิ่งทำให้เขาว้าวุ่นใจจนต้องขอตัวออกมาอยู่เงียบๆคนเดียวก็เท่านั้นเอง

    “จริงเหรอเนี่ย งั้นเล่าให้พ่อฟังหน่อยได้มั้ยว่าชีวิตพวกหนูที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง ดูน่าสนุกดีนะ” หนุ่มวัยกลางคนร้องขอด้วยความตื่นเต้น 

    “ได้ครับ แต่ว่าคุณพ่อพอมีเวลาสักสองวันรึเปล่า ผมจะเล่าวีรกรรมของพวกผมอย่างจัดเต็มให้เลย”

    “สองเดือนก็ยังไหว!”

    กียุลดื่มกาแฟอึกสุดท้าย เช็ดรอยเลอะตามมุมปากด้วยหลังมือ เขาวางไอแพดลงบนโต๊ะก่อนจะเริ่มการบรรยายวีรกรรมของราชาทั้ง 5 แบบหมดเปลือก

    .

    .

    .

    “มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นด้วยเหรอเนี่ย!?” ดวงตาสีทับทิมเบิกโพลง ปากอ้ากว้างด้วยความตกใจกับเรื่องราวที่ได้ยิน เขาไม่คิดจริงๆว่ามันจะเป็นไปได้!

    “จริงๆครับ ตั้งแต่ที่มันไปลบหลู่เอเลี่ยนเผ่าพันธุ์นึง มันก็ถูกสาปให้สลับร่างกับเพื่อนคนนึงในชมรมเดียวกัน หาทางแก้เป็นเดือนกว่าจะกลับร่างเดิมได้ หลังจากนั้นดันเต้ก็ยิ่งเชื่อเรื่องเหนือจักรวาลและสิ่งมีชีวิตนอกโลกหนักไปอีกสิบเท่า”

    “สุดยอด! ชีวิตพวกหนูดูวุ่นวายมากเลยนะ”

    “จริงครับ เล่าให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อแน่ๆ แล้วยังมีอีกเรื่องนะครับ-” 


    ครืด—


    “ขอรับสายสักครู่นะครับ” กียุลโค้งหัวเป็นเชิงขออนุญาตเมื่อเห็นโทรศัพท์ของตนสั่นอยู่บนโต๊ะ ซึ่งศิลาก็พยักหน้ารับรู้ทันที

    “เอาเลย เราค่อยมาคุยกันต่อก็ได้”


    “ยอโบเซโย”

    [อากียุล อาราตรีมาแล้วน้า] เหมยฮัวตอบรับด้วยน้ำเสียงใส

    “จริงเหรอ แล้วจะให้ฉันไปเจอพวกเธอที่ไหน”

    [ห้างพารากอนได้มั้ยน่อ แถวๆทางออกตรงรถไฟฟ้า]

    “ได้สิ งั้นรอแปบนะ”

    [ได้เลยน่อ รีบมานะ]


    -Call ended-


    “คุณพ่อศิลาครับ” กียุลเรียกชายหนุ่มที่กำลังจดจ่อกับโทรศัพท์

    “คุยเสร็จแล้วเหรอลูก”

    “ครับ พอดีว่าราตรีมาถึงแล้ว เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ” กียุลเก็บของทุกย่างใส่กระเป๋า เขาโน้มตัวลงเป็นการบอกลา 

    “ได้เลย ไว้เจอกันนะ”

    “ครับผม ไว้เจอกันครับ”

    สายตาของชายวัยกลางคนทอดมองไปยังเด็กหนุ่มที่สาวเท้าไปยังจุดมุ่งหมายอย่างเป็นห่วง ด้วยความที่เขาเป็นแพทย์ ทำให้มีนิสัยที่ชอบสังเกตสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมมนุษย์และรับรู้ความผิดปกติได้ไวกว่าคนธรรมดา 

    และสายตาเจ้ากรรมก็ดันไปเห็นบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล ศิลาจึงพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของกียุลด้วยการชวนคุย แต่ในระหว่างนั้นก็พยายามอ่านสิ่งที่อยู่บนไอแพดไปด้วย

    โชคดีที่กียุลยังไม่ทันเห็นหน้าถัดไปของไฟล์ที่เขาเปิด แต่คาดว่าอีกไม่นานเขาคงรับรู้ถึง ‘สิ่งนั้น’ อยู่ดี

    “การเปลี่ยนสภาพจิตและการสะกดจิตย้อนอดีต?


    ตอนนี้พวกไอริณกำลังเผชิญกับอะไรอยู่วะเนี่ย”


    To be continue

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×