ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Laflora Secret ไขปมความรักกับสายลับ 5 สาว

    ลำดับตอนที่ #39 : ตอนที่ 28 : คำขอของชายหนุ่มในค่ำคืนพิธีย้ายเรือ

    • อัปเดตล่าสุด 18 ก.ย. 65


    TB
    TB

    28

    คำขอของชายหนุ่มในค่ำคืนพิธีย้ายเรือ


    หัวใจของกียุลเต้นตึกตักแรงกว่าครั้งไหนๆ เขาพอใจกับของขวัญที่ได้รับมากๆ ถึงแม้จะมีดอกไม้ช่อเบ้อเริ่มอยู่ในอ้อมแขน แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการกอด เขาเอื้อมแขนข้างที่เป็นอิสระไปโอบกอดยัยลิงของเขา ไม่นานเธอก็ตอบรับอ้อมกอดของเขา

    “หัวใจนายเต้นแรงมากเลยนะ”

    “เป็นเพราะจุ๊บของใครกันล่ะ”

    “ฮะๆ นั่นสิ ของใครกันน้า”

    “เออใช่” กียุลทำท่าเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ เขาใช้มือที่ไม่ได้ถือช่อดอกไม้คว้ามือของทิวาไว้แล้วดึงๆเธอเหมือนกับว่าจะให้ไปไหนสักที่ “ไหนๆทุกคนก็ไปกันหมดแล้ว เราก็ไปบ้างมั้ย”

    “ไปไหนอะ”

    “ไม่บอก ตามฉันมาก็พอ”

    “เฮ้ย!? อย่าออกตัววิ่งสิ ฉันตามไม่ทัน!”

    .

    .

    .

    “ที่บอกจะมาพาก็คือ มาห้องนายเนี่ยนะ?” ทิวายืนทำหน้าตายอยู่ตรงโซฟาในขณะที่กียุลกำลังเก็บของขวัญที่เขาได้มาเข้ากล่อง เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าแค่จะขึ้นห้องมาทำไมต้องวิ่งกันขนาดนี้

    “ใช่ ฉันจะมาเปลี่ยนชุดด้วย ชุดนี้มันอึดอัด”

    “แล้วนายไม่ต้องไปฉลองกับพวกเพื่อนเหรอ”

    “ขี้เกียจน่ะ ไหนๆตอนกลางคืนก็มีนัดฉลองกันอีกรอบอยู่แล้ว ค่อยไปตอนนั้น”

    “อ่อ...” ทิวาลากเสียงยาวก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟาตัวเดิม เธอนั่งมองไปที่กองภูเขาของขวัญที่กียุลได้รับมาก็เกิดความอิจฉาในใจเล็กๆ บางทีถ้าเกิดเธอเรียนจบบ้าง จะมีใครให้ของขวัญบ้างมั้ยนะ

    แต่ความคิดฟุ้งซ่านก็อยู่ได้ไม่นานเพราะสายตาดันเหลือบไปเห็นกียุลที่ยืนหันหลังกำลังยืนถอดเสื้อเชิ้ตของตนอยู่ ทำให้หญิงสาวร้องเสียงดังออกมาทันที

    “เดี๋ยว!!!!! นายมาถอดเสื้ออะไรตรงนี้!!??”

    “แล้วเธอจะมาดูทำไมล่ะยัยลิงบ๊อง” 

    “ยัง ยังไม่หยุดอีก หยุดถอดกระดุมได้แล้ว!!” 

    “เห~? โวยวายเสียงดัง แต่ก็ยังนั่งมองฉันอยู่ตรงนี้ หรือว่าเคยเห็นแล้วแล้วอยากเห็นอีกงั้นเหรอ?” กียุลหยอกล้อทิวาด้วยการโน้มตัวลงแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆใบหน้าของหญิงสาว จนเธอลนลานทำอะไรไม่ถูก จะหลบสายตาลงล่างไม่ได้ก็เพราะว่าจะไปป๊ะกับเหล่ามัดกล้ามของร่างสูง


    ‘มองไปทางไหนดีเนี่ย โอย กล้ามแน่นจังเลย เห้ยไม่ใช่ คิดอะไรอยู่เนี่ย!!’


    “พะ เพ้อเจ้อ!! ฉันไปเคยเห็นของนายตอนไหน”

    “ถ้าจะให้บอกว่าตอนไหนก็คงตอนนี้ล่ะมั้ง เห็นเธอชอบแวบมองมาที่ฉันบ่อยๆนะ”

    “ก็มันดึงดูดสายตานี่!! รีบเปลี่ยนเสื้อได้แล้ว!”

    “ไม่อะ” กียุลทิ้งตัวลงข้างๆทิวาแล้วดึงร่างของเธอเข้าไปกอด “เธอโคตรน่ารักเลยเวลาเขิน รู้ตัวป่ะ”

    “เอ๋!? อย่ามาพูดบ้าๆน่า ฉันอายจะตายแล้วเนี่ย”

    “พูดจริงนะ น่ารักซะจนอยากทำให้เธอเป็นของฉันคนเดียวเลย” 

    “...”

    หญิงสาวนิ่ง ไม่ได้ตอบอะไร ทำให้ในใจของชายหนุ่มคิดแล้วว่าเขาไม่น่าพูดประโยคบ้าๆนี่ออกมาเลย เพราะไม่ใช่ทุกคนที่ชอบที่ได้ยินอะไรแบบนี้ เขาก่นด่าตัวเองในใจก่อนจะคลายกอดออก

    “แต่ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอกถ้าเธอไม่ยินยอม แถมเราก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงนะ” กียุลยิ้มอ่อนๆให้หญิงสาวก่อนจะลุกออกจากโซฟา แต่ไม่ทันไรก็มีมือเล็กคว้าที่เสื้อของเขาไว้ เมื่อเขาหันกลับไปก็เห็นทิวาที่นั่งมองเขาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำอยู่

    “เอ่อ… ที่นายบอกว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกันน่ะ… ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอกนะ”

    “...”

    “ที่ผ่านมา ฉันทบทวนหัวใจตัวเองหลายครั้งมากๆ และฉันก็แน่ใจแล้วว่า...”

    “...”

    “ฉันรักนายนะ เอ่อ… จะว่าอะไรมั้ย ถ้าฉันถามว่า เป็นแฟนกันมั้-” 


    ฟึบ!


    “เอ๊ะ!?” ไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดจบ ชายหนุ่มก็พุ่งไปกอดเธออีกรอบ แต่คราวนี้มันต่างกันออกไป ความรู้สึกหลายอย่างถาโถมเข้ามาภายในจิตใจเขาอย่างรวดเร็ว ทั้งเขิน ทั้งดีใจ ทั้งมีความสุข โล่งอก และอีกหลายๆความรู้สึก ไม่ทันไรเขาก็โหยหาความอบอุ่นนี้จนไม่สามารถละออกจากหัวใจได้แล้ว

    “ฉันตกลง! ทิวา ฉันตกลง!” 

    “ฮะๆ ฉันนึกว่านายจะปฏิเสธฉันแล้วซะอีก” ทิวายิ้มแล้วกอดร่างสูงตอบ ทั้งสองกอดกันแน่นจนสามารถสัมผัสถึงหัวใจที่เต้นรัวของกันและกันได้

    “จะบ้าเหรอยัยบ๊อง ฉันรอคำๆนี้มานานมากเลยนะ ฉันจะปฏิเสธเธอลงได้ยังไงกันล่ะ”

    “อย่างนี้นี่เอง อ้อใช่” ทิวาถอนกอดจากชายหนุ่มแล้วทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ด้วยความเขินทำให้เธออึกอักที่จะพูดจนเขาเริ่มกังวล

    “มีอะไรรึเปล่าทิวา”

    “เอ่อ… เรื่องที่นายบอกเมื่อกี้น่ะ ที่นายบอกว่าไม่ต้องห่วงอะไรนั่น”

    “อ่าฮะ”

    “ฉันก็ไม่ได้ไม่ยินยอมอะไรหรอกนะ.. แค่ถามกันดีๆฉันก็โอเคแล้ว เพราะเราก็เป็นแฟนกันแล้วนี่” ทิวาเกาแก้มแก้เขินแล้วเสมองไปทางอื่น แต่ท่าทางเคอะเขินนั่นมันทำให้หัวใจของชายหนุ่มแทบจะระเบิดออกมา ไหนจะประโยคที่ชวนใจเต้นนั่นอีก ทำให้เขาดีใจจนลืมตัวพุ่งไปหาทิวาแล้วกุมมือทั้งสองของหญิงสาวแน่น

    “จริงเหรอ!? เธอพูดจริงแน่นะ!?” ดวงตาหมาน้อยของกียุลกำลังเว้าวอนแฟนสาวตรงหน้า จนทำให้เธอไปไม่ถูก 

    “เอ่อ.. ไม่น่าพูดเลยฉัน แต่ก็นั่นแหละ! แต่ถ้านายโหดกับฉันเมื่อไหร่ เจอดีแน่!”

    “ครับที่รัก ผมจะอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้เลย :)”

    ไม่ทันที่หญิงสาวจะได้ทักท้วงอะไร ชายหนุ่มก็ประทับจูบลงมาที่ริมฝีปากอันร้อนผ่าวของเธอ รสจูบที่หวานราวกับน้ำผึ้งแต่ก็อ่อนนุ่มราวกับปุยเมฆชวนให้เขายิ่งต้องการมากกว่านี้ ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดถี่ขึ้นเรื่อยๆในขณะที่ชายหนุ่มถือวิสาสะใช้ลิ้นรุกเล้าเข้าไปในโพรงปากของหญิงสาวแล้วเกี่ยวหวัดหยอกล้อกับลิ้นของเธอ ทำให้ร่างกายของเธอร้อนวูบวาบราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัว

    ด้วยความรู้สึกที่กระตุกวูบ ทำให้สองแขนบางของเธอโอบกอดเข้าที่ท้ายทอยของคนตัวสูงโดยไม่รู้ตัว เธอดึงร่างของเขาลงพร้อมกับทิ้งร่างของตนลงบนโซฟา ทำให้ชายหนุ่มอยู่ในท่าคร่อมอยู่บนร่างบางและสามารถรุกล้ำเธอได้ง่ายดายยิ่งขึ้น

    ร่างสูงละริมฝีปากออกจากคนใต้ร่างเพื่อพักหายใจ แต่ก็ผ่านไปแค่สองวิเท่านั้น ไม่ทันที่หญิงสาวจะสูดอากาศเข้าเต็มปอด ริมฝีปากของเธอก็ถูกประกบลงอีกครั้ง คราวนี้ชายหนุ่มใช้สองแขนแกร่งของเขาช้อนเอวเล็กของเธอขึ้น แล้วทิ้งตัวลงที่อีกฝั่งของโซฟา ทำให้ตอนนี้กลายเป็นหญิงสาวที่อยู่บนร่างของชายหนุ่มแทน

    “ทิวา..”

    “...”

    “จูบครั้งนี้รู้สึกดีกว่าครั้งไหนๆเลย เธอรู้สึกเหมือนกันมั้ย”

    “อื้ม”

    ทั้งสองค่อยๆโน้มตัวเข้าหากันและประทับริมฝีปากกันอีกครั้ง สัมผัสที่นุ่มลึกชวนให้สมองของพวกเขาขาวโพลน แทบจะไม่รับรู้อะไรแล้วนอกจากคนรักตรงหน้า

    ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขนแน่นจนร่างบางแนบติดกับแผ่นอกแกร่งของเขา ทำให้ทิวาแทบจะสัมผัสได้ถึงมัดกล้ามที่ได้รับการออกกำลังกายมาอย่างดีแทบทุกตาราางนิ้ว

    สองแขนแกร่งที่โอบร่างของหญิงสาวเริ่มอยู่ไม่สุก เขาเริ่มดึงเสื้อไหมพรมสีเขียวมิ้นต์ของเธอที่สวมทับอยู่ในกระโปรงออก มือหนาสอดเข้าใต้เสื้อและลูบไล้ไปตามแผ่นหลังนวลของเธออย่างช้าๆจนเขาสัมผัสกับตะขอบรา สองมือจึงค่อยๆพยายามปลดมันออกด้วยอารมณ์ที่พาไป

    “กียุล ไม่ได้นะ อือ..” เสียงใสของทิวาทักท้วงได้ไม่ทันไร ก็ถูกกลืนหายไปอีกครั้งด้วยแรงกดจากริมฝีปากของชายหนุ่ม

    มือเล็กๆพยายามขัดขืนโดยการดันแขนของเขาออกจากตัว แต่ด้วยแรงต่อต้านจากคนตัวสูงทำให้ไม่เป็นผล มือข้างนึงของเขาลูบไล้ไปที่เอวบาง ส่วนมือซนๆอีกข้างก็กำลังปลดตะขอจนมันหลุดออกจากกัน

    “กียุล! หยุดก่อน!” ทิวาเรียกชื่อของชายหนุ่มเสียงดังทันทีที่รู้สึกได้ว่าบราของตนได้หลุดออกไปแล้ว

    “ไหนเธอบอกว่าทำได้ไง” กียุล(แกล้ง)ทำสายตาเศร้าปนผิดหวังที่จู่ๆแฟนสาวของเขาบอกให้หยุดกะทันหัน

    “คือมันก็ใช่.. แต่ไม่ใช่วันนี้ได้มั้ย ฉันกลัวจะมองหน้าพ่อแม่นายไม่ได้”

    “จะกลัวทำไม มันเรื่องปกติของคนรักกันไม่ใช่เหรอ”

    “ก็ฉันอายนี่นา! ไว้ให้พ่อแม่นายกลับก่อนไม่ได้เหรอ”

    “ไม่อะ ฉันรอไม่ไหวหรอก”

    “นายนี่มัน อ๊ะ...” ทิวาเผลอร้องออกมาในขณะที่กียุลลูบหน้าท้องแบนราบของเธอพลางลิ้มรสหวานที่คอขาวเนียนของคนตัวเล็ก

    “นายนี่มันอะไรเหรอ :)”

    “อือ… หยุดแกล้งฉัน… ได้แล้ว” เสียงของเธอเริ่มแหบพร่าขาดช่วงเพราะสองมือของชายหนุ่มที่เล่นซนไปทั่วร่าง 


    กริ๊งงง!


    “มะ มีคนโทรมานะ ไม่รับเหรอ”

    “เดี๋ยวเขาก็วางไปเองแหละ”


    กริ๊งงงง!! กริ๊งงงง!!


    “ทิวา เธอน่ารักมากเลย อย่าเอาแต่ปิดหน้าอย่างนั้นสิ”

    “เอาอะไรมาพูดว่าฉันน่ารักยะ! เพ้อเจ้อไปแล้วรึไง”

    “พูดความจริงยังมาบอกเพ้อเจ้อกันอีก อะไรของเธอเนี่ย”


    กริ๊งงงงงงงงงง!!!!


    “โว้ย!! ใครมันโทรมาตอนนี้ฟะ” กียุลที่ทนต่อเสียงรบกวนไม่ไหวถึงกับสบถออกมาจนทิวาต้องบอกให้ใจเย็น มือหนาเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ของตนบนโต๊ะแต่ก็ไม่วายโอบรอบเอวของหญิงสาวด้วยมืออีกข้าง

    “ฮัลโหล! นายมีอะไร!?”

    [โอ้ ยู ทำไมน้ำเสียงโมโหขนาดนั้นล่ะโอปป้า โกรธใครมา]

    “โกรธนายนั่นแหละคริส! โทรมาไม่ดูเวลาเลย”

    [ว้อทเดอะ.. แค่นี้ก็โกรธเหรอ หรือว่าไอขัดจังหวะตอนยูอยู่กับเลดี้ทิวาอีกแล้ว]

    “ใช่ ขัดอีกแล้ว”

    [Oops, sorry -_-;]

    “แล้วโทรมามีอะไร”

    [ไอจะถามว่า ไม่ได้ลืมที่เรานัดกันใช่มั้ย]

    “ไม่อะ แต่ฉันอยากจะเทนัด ฉันไม่อยากไป”

    [ไม่ได้นะยู! ทุกคนรอที่จะฉลองกับยูเลยนะ มาด้วยล่ะ อีก 5 นาที!]

    “เดี๋ยว-” 

    ไม่ทันที่จะได้อ้าปากปฏิเสธ เพื่อนตัวแสบหัวส้มก็ตัดสายไปเรียบร้อย ทำให้กียุลถึงกับหัวเสียแล้วร้องชิออกมา

    “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

    “ก็ไอคริสน่ะสิ จะให้ฉันไปงานฉลองกับพวกเพื่อนๆห้อง A ให้ได้ เห็นบอกว่าจะเริ่มแล้ว”

    “อ้าว นายก็ไปสิ วันจบทั้งทีนะ”

    “...”

    “...”

    “ก็ฉันอยากอยู่กับเธอนี่นา” ร่างสูงกระชับร่างบางให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดแล้วกอดแน่น หัวของเขาซุกไปที่ไหล่ข้างขวาของเธอราวกับไม่อยากจะไปจากที่นี่เลย

    “ไม่งอแงสิ เพื่อนๆเขาอยากใช้เวลากับนายนะ ยังไงเย็นนี้เราก็ไปกินข้าวด้วยกันอยู่แล้ว นายไปเถอะ” ทิวาลูบหัวกียุลแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มจนเขาต้องเงยหน้าขึ้นมามอง ใบหน้าของเขาแสดงถึงความน้อยใจนิดๆแต่ก็เข้าใจแล้วถอนกอดออก

    “ก็ได้ งั้นฉันจะรีบไปรีบมา”

    “ได้เลย เดี๋ยวฉันรอที่นี่แหละ”

    “ทิวา หันหลังมา”

    “หันทำไม?” หญิงสาวงงงวยกับคำสั่งกะทันหันของชายหนุ่ม เธอถึงกับถามซ้ำเพื่อเช็คให้แน่ใจว่าไม่ได้หูฝาดใช่มั้ย

    “หันมาเถอะน่า”

    เมื่อแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้หูฝาด เธอจึงหันหลังให้แต่โดยดี กียุลค่อยๆเลิกเสื้อไหมพรมของเธอขึ้นแล้วติดตะขอบราที่เขาเป็นคนถอดมันออกให้เรียบร้อยก่อนจะจัดเสื้อของทิวาให้เข้าที่เข้าทาง

    “เอ่อ… นายไม่จำเป็นต้องทำให้ก็ได้นะ ฉันทำเองได้”

    “ไม่ได้หรอก ฉันเป็นคนถอดออก ฉันก็ต้องใส่กลับให้เรียบร้อยด้วยสิ ส่วนที่เหลือเธอจัดทรงเอาเองนะ”

    “อื้ม” 

    “หรือจะให้ฉันช่วยด้วย?”

    “ไม่ต้องย่ะ! ฉันทำเองได้อันนั้นอะ!” ทิวาตะโกนเสียงหลงแล้วรีบกอดหน้าอกตัวเองทันที

    “ฮ่าๆ งั้นฉันขอไปแต่งตัวแล้วไปก่อนนะ แล้วจะรีบกลับมาครับที่รัก” กียุลลุกขึ้นแล้วจุ๊บที่หน้าผากมนของทิวาก่อนจะไปแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วออกจากห้องไป 

    หญิงสาวที่หัวใจเต้นระส่ำระส่ายเอามือสัมผัสไปตรงหน้าผากที่โดนจูบไปเมื่อกี้พร้อมกับยิ้มขึ้นมา แล้วเธอก็ล้มลงไปพร้อมกับเอาหมอนที่วางอยู่แถวนั้นมากอดแน่นแล้วกรี๊ดอัดหมอนแก้เขิน


    ‘กรี๊ดดดด!! นี่ฉันเป็นแฟนกับตานั่นแล้วเหรอ แถมตานั่นก็ยังเทคแคร์ดีสุดๆ ไม่นึกว่าจะติดตะขอให้ด้วย ถึงจะน่าอายแต่ฟินมากค่าาาา ลูกช้างคงใช้บุญที่ทำมาไปหมดแล้วสินะ ลูกช้างมีความสุขมากค่าา’


    ทางด้านของหนุ่มเกาหลีที่โดนเพื่อนเซ้าซี้ให้ไปร่วมงานปาร์ตี้หลังเรียบจบก็ได้แต่บ่นกับตัวเองในใจแล้วตรงไปยังที่ที่เพื่อนเขาอยู่ทันที ลงลิฟต์ กดไปที่ชั้น 5 สองเท้าก้าวออกมา เจอก็เหล่านักเรียนโนอาห์เดินถือแก้วในมือไปมารอบเรือ บางแก้วมีเครื่องดื่มสีแดงองุ่น บางแก้วมีสีใสและมีฟองซ่าๆ บางแก้วก็มีเครื่องดื่มที่คล้ายกับน้ำเก๊กฮวยเสีย 

    เพื่อนสุดซี้ชาวอเมริกันที่เห็นว่ากียุลมาถึงพอดี ก็หยิบแก้วมาแก้วนึงพร้อมกับถือขวดโซจูรสองุ่นอันเป็นที่รักของหนุ่มเกาหลีไปหาเขา

    “ขอเถอะ เข้าใจว่าอายุถึงกันหมดแล้ว แต่จะดื่มกันตั้งแต่หัววันกันเนี่ยนะ” กียุลทำหน้าตายแล้วปฏิเสธแก้วน้ำจากคริสโตเฟอร์

    “หัววันอะไรกันยู นี่มันบ่ายสามแล้วนะ”

    “ก็ยังหัววันอยู่มั้ยล่ะ”

    “โห ไม่กินจริงเหรอ ขวดนี้ดันเต้ไปหามาให้เลยนะ โซจูคุณภาพดีที่สุด! หมักด้วยข้าวสามชนิดที่ปลูกในสถานที่ที่ควบคุมดินน้ำลมไฟให้ออกมาเป็นเม็ดสวยและอวบอิ่ม ไหนจะหมักในถังไม้โอ๊คที่ผลิตมาอย่างเนี้ยบเพื่อหมักโซจูโดยเฉพาะ!”

    “นายเมาละ ดันเต้มันไม่มีวันซื้อของดีๆให้ฉันกินหรอก และก็หยุดเอาโซจูจ่อปากได้แล้วเฟ้ย!” กียุลปัดมือหนาของคริสไปให้ไกลๆเพราะเขาเอาแต่คะยั้ยคะยอให้ชายหนุ่มกินให้ได้ “ฉันต้องไปกินข้าวกับที่บ้านคืนนี้ ตอนนี้ฉันจะเมาไม่ได้”

    “ก็อย่ากินให้เมาสิคร้าบ” คราวนี้หนุ่มอิตาลีหัวทองโผล่จากข้างหลังมาเสริมคริสโตเฟอร์อีกคน ในมือถือวอดก้า มาร์ตินี่แบบที่ไม่กลัวหกเลยสักนิด

    “ไม่เป็นไรๆ”

    “งั้นเหรอครับ เสียดายจัง โอ๊ะ..” สายตาเฉียบคมของดันเต้ไปสะดุดเข้ากับบางสิ่งแปลกๆบนหน้าของกียุล ใบหน้าของเขาค่อยๆเคลื่อนไปใกล้ๆจนกียุลทำอะไรไม่ถูก

    “หน้าฉันมีอะไร! อย่ามาเมาแล้วจูบฉันนะไอ้บ้า!!”

    “ผมไม่จูบคุณหรอกครับ ผมจูบคุณแนสซี่คนเดียวเท่านั้น ว่าแต่รอยตรงนี้มันคืออะไรเหรอ” ดันเต้จิ้มไปที่มุมริมฝีปากของเพื่อนตัวเอง เมื่อกียุลนำมือมาแตะก็พบว่า มันเป็นรอยลิปสติกของทิวา

    โชคดีที่ทิวาไม่ได้เป็นคนแต่งหน้าจัด ที่ติดมาก็เป็นแค่รอยบางๆจนเขาแทบจะไม่ได้สังเกต แต่ถึงเป็นแค่รอยบาง สายตาหมาป่าของเหล่าราชาก็มองออกอยู่ดี

    “โห เล่นซะปากช้ำเลยนะครับโอปป้า” คริสโตเฟอร์แซวแล้วส่งสายตาเจ้าเล่ห์มาให้

    “หา!? ปากฉันช้ำเหรอ!?”

    “ก็เออน่ะสิ ปากยูแดงยิ่งกว่านาซิสซ่าตอนเมื่อเช้าอีก แถมยังมีรอยลิปสติกอีก อย่าบอกนะว่าตอนไอโทรไปยูกำลังมีเซ็-”

    “จูบเฉยๆเว้ย!!! เงียบไปเลยนะ!!” กียุลรีบแย้งเสียงดังทันทีเมื่อรู้ว่าคำต่อไปที่จะออกจากปากของคริสโตเฟอร์เป็นคำว่าอะไร

    “อย่ามาว่าคุณแนสนะ!!” จังหวะเดียวกันที่กียุลแย้งคริสโตเฟอร์ ดันเค้ที่ได้ยินว่าไอ้หัวส้มแซวแฟนของเขาก็แตะเข้าให้ที่บั้นท้ายสุดแน่นขอเขาอย่างจัง!


    ปั้ก!!


    “อ๊ากกก!!!! ไอ้ดันเต้!!” คริสโตเฟอร์ทำท่าจะต่อยดันเต้คืน แต่เขาก็ไหวตัวทันแล้ววิ่งหนีไปทางฝูงชนซะแล้ว คริสโตเฟอร์จึงกลับมาคุยกับกียุลต่อ

    “ไอก็ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย เรื่องปกตินี่นา แต่ยูก็แอบแซ่บเหมือนกันน้า เอาซะปากช้ำ แถมปลายแขนเสื้อยังมีรอยลิปอยู่อีก”


    ‘โอโห จะติดให้ทุกที่เลยใช่มั้ยเนี่ย เมื่อกี้คงรุนแรงไปจริงๆนั่นแหละ =_=;’


    “ชิบละ ละมีตรงไหนอีกป่ะ” ชายหนุ่มถามพลางหมุนตัวให้เพื่อนของเขาดูฃ

    “Nope พับแขนเสื้อขึ้นกับเช็ดปากก็คงพอแล้วล่ะ”

    หลังจากได้ยินคำตอบ กียุลก็รีบจัดการกับตัวเองให้ไม่เหลือร่องรอยความรัก(?)ของเขากับทิวาแล้วเดินเข้างานไปกับคริสโตเฟอร์ โดยที่เขาพยายามยัดเยียดโซจูให้กียุลตลอดทาง


    2 ชั่วโมงต่อมา

    กียุลเดินกลับห้องอย่างโซซัดโซเซกับเพื่อนชาวอเมริกันเจ้าเก่าอย่างคริสโตเฟอร์ ไม่ใช่เพราะเขาเมาหรอกนะ เป็นเพราะต้องแบกร่างที่ทั้งหนาและหนัก (ไอ้นี่มันบึกบึนที่สุดในราชาทั้ง 5 ละ //กียุล) กลับห้อง มือข้างขวาของกียุลไขกุญแจห้องพักของพวกเขา เมื่อกลอนถูกไข เขาก็ใช้เท้าถีบประตูอย่างจังจนทิวาที่นั่งดูหนังอยู่ในห้องนั่งเล่นรวมสะดุ้งจนหัวใจแทบวาย

    “อะไรของนายเนี่ยตาตี๋!?”

    “ฉันขอโทษ พอดีไอคริสหนักมาก ฉันจะไม่ไหวแล้ว เธอช่วยไปเปิดประตูห้องมันทีสิ” กียุลแบกคริสโตเฟอร์ไปหยุดที่หน้าห้องนอนของเขา ทิวาที่เห็นอย่างนั้นจึงรีบไปช่วยกียุล หลังจากที่ทั้งสองช่วยกันลากสังขารหนุ่มเจ้าปัญหามาถึงเตียงได้แล้ว พวกเขาถึงกับถอนหายใจเพราะความเหนื่อยยกใหญ่ ในขณะที่คริสโตเฟอร์นอนหลับตาพริ้มเพราะฤทธิ์เหล้า

    “โอโห คริสไปโดนตัวไหนมา” ทิวาที่รับสภาพของเพื่อนตัวเองไม่ได้ถึงกับเอ่ยถาม

    “หลายตัวเลยแหละ บางตัวก็กินเพียวด้วยนะ”

    “ยูรี๊จางงงง” เสียงสุดอ้อนที่แสบแก้วหูของคริสโตเฟอร์ดังขึ้นจนทั้งสองต้องรีบออกจากห้อง

    “ฝันดีคริส ฉันไปล่ะ!”

    “รอฉันด้วย! บายนะคริส เดี๋ยวฉันเรียกยูริจังมาให้!”

    หลังจากที่ทั้งสองคนเสร็จสิ้นภารกิจเก็บของเข้าที่(?) พวกเขาก็ออกมายืนในห้องนั่งเล่นรวมแบบงงๆ เหมือนกำลังรวบรวมความคิดอะไรสักอย่าง

    “...”

    “...”

    รวบรวมกันสักพักเลยแฮะ…

    “เดี๋ยวฉันไปเปลี่ยนชุดแปบนึง เสร็จแล้วก็ไปกินข้าวกันเลยนะ”

    “เปลี่ยนทำไมอะ ไม่เห็นมีอะไรให้เปลี่ยนเลย” ทิวาถามด้วยความสงสัย เพราะชุดที่ชายหนุ่มใส่อยู่มันแทบไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไปเลยในสายตาของหญิงสาว ยกเว้นรอยยับหลังเสื้อตอนที่จูบกับเธอ

    “ที่ปลายแขนเสื้อมีรอยลิปของเธออยู่ จะให้ฉันใส่เสื้อตัวนี้ไปเจอพ่อแม่เหรอ ฉันโดนแซวจนลูกบวชพอดี”

    “หา!? ไปโดนตอนไหนเนี่ย” หน้าของหญิงสาวแดงทันทีที่ได้ยิน ไม่ใช่อะไรนะ อาย! ไม่คิดว่าพวกเขาจะจูบกันแรงขนาดนั้น

    “อยากโดนอีกรอบมั้ยล่ะ?”

    “ยังไม่ใช่ตอนนี้ย่ะ เดี๋ยวยาว”

    “ฮะๆ โอเคครับ รอแปบนะ”

    กียุลรีบวิ่งเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ ไม่นานเขาก็ออกมาพร้อมกับฮู้ดหนาตัวโคร่งสีเทาดำ ภายในสวมเสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงขายาวทรงสุภาพสีดำตัวเดิมกับเมื่อเช้าและรองเท้าสนีคเกอร์ลายม้าลายราคาแพง

    “เธอไม่เปลี่ยนบ้างเหรอ ข้างนอกหนาวนะ”

    “ฉันก็อยากเปลี่ยนอยู่หรอก แต่ไม่มีชุดใส่นี่นา” ทิวาทำปากยู่แล้วบ่นงุบงิบ เพราะเสื้อผ้าส่วนใหญ่ของเธออยู่ที่ลาฟลอร่าหมดเลย ทำให้เธอไม่มีอะไรใส่นอกจากชุดที่ใส่อยู่ปัจจุบัน

    “ยืมชุดฉันก่อนมั้ยล่ะ”

    “ได้เหรอ”

    “ได้สิ เดี๋ยวไปหาตัวดีๆมาให้แปบนึง” พูดจบกียุลก็หายไปในห้องเก็บเสื้อผ้าอยู่ครู่นึง หญิงสาวที่นั่งรออยู่ก็แอบใจเต้นเบาๆคนเดียวพลางคิดไปว่า มันเหมือนกับที่คู่รักเขาทำกันเวลายืมเสื้อแฟนเลย

    “ชุดนี้ได้มั้ย กางเกงนี้ฉันเคยใส่ช่วงคลาสเคาท์ปี 1 เธออาจจะใส่ได้ก็ได้นะ” กียุลวิ่งออกมาพร้อมชุดในมือ ทั้งเสื้อคอเต่าผ้านุ่มสีขาว แจ๊คเก็ตโอเวอร์ไซส์สีขาวมุกพร้อมกางเกงยีนส์ที่มีรอยขาดหน่อยๆตรงหน้าแข้ง

    “โห เซ้นส์การแต่งตัวนายก็ดีเหมือนกันนะเนี่ย”

    “แน่นอนสิครับ แม่ฉันให้มาเยอะ”

    “อะๆ เพราะเป็นแม่นาย ฉันไม่ว่าอะไรก็แล้วกัน” ทิวารับเสื้อผ้าจากมือกียุลแล้วเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำ น่าแปลกใจเหมือนกันที่เสื้อผ้าที่กียุลเลือกมามันดูเข้ากับหญิงสาวได้ดีมากอย่างกับเป็นเสื้อผ้าของเธอเอง กียุลควรไปเป็นดีไซน์เนอร์เถอะ ไม่ต้องมาเรียนธุรกิจอะไรนั่นแล้ว

    หญิงสาวออกมาจากห้องน้ำแล้วยืนกางแขนให้ชายหนุ่มดู

    “แถ่นแท้นนน!! เป็นงายยย”

    “ดูดีเหมือนเจ้าของเลย”

    “แหวะ จะอ้วก”

    “ฮ่าๆ ใส่ได้มั้ย”

    “มันก็ได้นะ แต่...” ทิวาลากเสียงยาวก่อนจะจับกางเกงยีนส์ไว้ “กางเกงมันหลวมอะ ทำไงดี”

    “ใช้เข็มกลัดติดไปก่อนละกัน มาเดี๋ยวฉันทำให้”

    “มะ ไม่ต้อง!” หญิงสาวรีบถอยหลังหนีทันทีที่ชายหนุ่มเดินมาหาตน


    ‘จะให้นายตี๋รู้ไม่ได้ว่าพุงเริ่มยื่นเพราะเมื่อกี้กินขนมมากไป อ๊ากก!!’


    “อะไรของเธอเนี่ย ฉันทำให้จะได้เสร็จเร็วๆแล้วรีบไปกัน”

    “ฉันทำเองได้น่า”

    “ไม่ต้องเลย!” กียุลไม่ฟังคำร้องของทิวาแล้วจับตัวเธอให้หันหลัง ทิวาจึงยอมหุบปากแล้วยกแจ๊กเก็ตขึ้นให้

    “ถึงฉันจะรู้อยู่แล้วว่าเธอผอม แต่ก็เพิ่งเคยเห็นจริงๆนี่แหละว่าเอวเธอก็คอดกับเขาเหมือนกันนะ” กียุลจัดการติดเข็มกลัดที่ข้างหลังกางเกงให้ทิวาจนเสร็จแล้วพูดขึ้น


    ‘ฟิ้ว พุงยังไม่ออก โล่งอกไปที’


    “พูดงี้หมายความว่าไงยะ”

    “เปล่านะ ฉันแค่พูดความจริง เพราะฉันก็เคยจับของเธอหลายครั้งแล้วนี่”

    “หยุดพูดเลย! เดี๋ยวคนอื่นมาได้ยินจะทำไงยะ” ทิวารีบหยุดคำพูดสองแง่สองง่ามของชายหนุ่มตรงหน้าทันที 

    “ฉันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นซะหน่อย แต่ในอนาคตก็ไม่แน่นะ ;)”

    “เงียบไปเลยนายตี๋! ไปกันได้แล้ว!” หญิงสาวรีบเดินหนีออกไปจากห้องเพราะทนเขินต่อไปไม่ได้ ชายหนุ่มที่ถูกทิ้งก็หัวเราะให้กับการกระทำของเธอเล็กน้อยก่อนจะวิ่งตามไป

    ทั้งสองนั่งรถกอล์ฟของเกาะจนมาถึงร้านอาหารซีฟู้ดแห่งหนึ่งของเกาะที่อยูริมทะเล ภายในร้านตกแต่งด้วยโคมไฟห้อยเพดานทรงครึ่งวงกลมสีโรสโกลด์ห้อยสลับกับโคมไฟสีใสในขนาดและรูปทรงเดียวกัน ผนังร้านทาด้วยสีขาว ด้วยไฟในร้านที่เป็นสีส้มทำให้บรรยากาศภายในร้านดูอบอุ่น โต๊ะหินอ่อนสีพีชขนาดสี่และหกที่นั่งถูกจัดเป็นระเบียบอยู่ในร้านพร้อมเก้าอี้เบาะกำมะหยี่นุ่มสีแดงเข้าเซ็ต ในขณะที่ภายนอกร้านถูกวางด้วยโต๊ะแก้วใสที่ภายใต้โต๊ะมีเหล่าเปลือกหอยและทรายถูกประดับอยู่เป็นชั้นล่าง และเก้าอี้เหล็กสีทองซึ่งเป็นสีเดียวกับขาโต๊ะพร้อมเบาะนั่งเพื่อความสบาย

    พวกเขาเดินเข้าไปในร้านโดยที่กียุลได้บอกชื่อของแม่เขาที่เป็นคนจองไว้ พนักงานหนุ่มพาพวกเขาไปยังที่นั่งแห่งนึงภายนอกร้านที่ติดกับชายหาด ไม่นานพนักงานคนเดินได้นำเมนูมาให้พวกเขาทั้งสอง

    ไม่ทันไรทิวาก็เปิดไปหน้าของหวานซะแล้ว กียุลที่นั่งอยู่ข้างๆจึงดุไปเล็กน้อยว่าให้สั่งมื้อหลักมาทานกันก่อน เมื่อพวกเขาสั่งอาหารเสร็จ พ่อแม่ของกียุลและมุนอาก็มาถึงร้านกันพอดี

    “ขอโทษที่ให้รอนะลูก มาถึงกันนานรึยัง” พ่อกียุลเอ่ยถาม

    “เพิ่งถึงเองครับ นอนสบายมั้ยที่นี่”

    “ไม่ได้นอนน่ะสิ ก็แม่ลูกเล่นยึดไปทั้งเตียง พ่อต้องไปนั่งโซฟาเลย”

    “ก็คุณช้าเองนี่คะ แบร่!” แม่ของกียุลแลบลิ้นใส่สามีตัวเองทีนึง ทำให้ทั้งโต๊ะหัวเราะกันกับความตลกของพวกเขาทั้งสอง

    มุนอาที่นั่งอยู่ข้างๆทิวาก็ชวนหญิงสาวคุยต่อที่คุยค้างไว้เมื่อเช้า ส่วนกียุลก็นั่งคุยกับพ่อแม่ของตน จนอาหารของทุกคนมาเสิร์ฟ แต่ละจานส่งกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ชวนน้ำลายสอออกมาแต่ก็ไม่สามารถหยุดการพูดคุยของครอบครัวนี้ได้

    ทั้งห้าพูดคุยเรื่องสัพเพเหระด้วยกันอย่างสนุกสนาน แทบไม่เหมือนกันที่สาวชาวไทยคิดไว้เลยสักนิด เพราะตนคิดไปว่าอาจจะอึดอัดเพราะการนั่งกินข้าวกับผู้ใหญ่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะยากสำหรับสาวแก่นอย่างเธอ แต่ด้วยความน่ารักและการชวนคุยที่เก่งของครอบครัวกียุลทำให้ความกังวลใจของเธอหายเป็นปลิดทิ้ง

    “หนูทิวาจ๊ะ แม่มีอะไรจะบอกหนูด้วย” แม่ของกียุลพูดขึ้นในขณะที่กำลังม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ของตน

    “อะไรเหรอคะ?”

    “ความจริงแม่ของหนูกับแม่เป็นเพื่อนกันตอนมหาลัยด้วยจ้ะ ไม่รู้ว่าไอริณเคยเล่าให้ฟังรึเปล่า”

    “จริงเหรอคะ!? โลกกลมมากเลย” ดวงตาของทิวาเบิกกว้างทันทีเมื่อรับรู้ว่าแม่ของตนและแม่ของกียุลเป็นเพื่อนกัน

    “จริงจ้ะ แต่ว่าเราเรียนคนละสาขากัน”

    “แม่เคยเล่านิดหน่อยค่ะว่าแม่มีเพื่อนที่สนิทต่างสาขาคนนึง ที่เรียนเกี่ยวกับเวชศาสตร์เครื่องสำอาง เป็นคุณแม่กียุลรึเปล่าคะ?”

    “ใช่แล้ว ไอริณเรียนอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ใช่รึเปล่า”

    “ใช่แล้วค่ะ แสดงว่าคุณแม่กียุลก็จบลาฟลอร่าเหรอคะ?”

    “ถูกต้องเลย! ^^”

    “แล้วทำไมแม่ไม่ค่อยเล่าอะไรเกี่ยวกับมหาลัยให้ฟังกันบ้างเลย แอบน้อยใจเหมือนกันนะคะเนี่ย”

    “ถ้างั้นแม่จะเล่าให้ฟังแทนเอามั้ยล่ะจ๊ะ”

    “ได้สิคะ”

    แล้วบทสนทนาหลังจากนั้นก็เต็มไปด้วยเรื่องเผาไอริณตั้งแต่สมัยเรียนตลอดจนจบมื้ออาหาร (หนอยยัยจีฮโย เจอดีแน่ -*-//ไอริณ)

    หลังจากที่พ่อของกียุลอาสาเลี้ยงมื้ออาหารมื้อนั้น ทุกคนก็ขอตัวลา โดยที่กียุลสวมกอดลาครอบครัวของเขา เนื่องจากทั้งสามคนต้องขึ้นเครื่องกลับเกาหลีตอนพรุ่งนี้สายๆ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พวกนักเรียนต้องย้ายของเข้าเรือคลาสคิง จึงทำให้กียุลไปส่งครอบครัวของเขาไม่ได้ มุนอาที่ยังทำใจไม่ได้จึงกอดกับกียุลและทิวาอีกรอบ ก่อนจะยื่นถุงสีน้ำตาลใบใหญ่ให้พี่ชายตัวเองโดยบอกว่ามันคือของขวัญวันเรียนจบ

    “เดินทางปลอดภัยนะครับ ถึงแล้วบอกด้วย”

    “เดินทางปลอดภัยนะคะทุกคน”

    “ไว้เจอกันนะจ๊ะทั้งสอง”

    “โอปป้าอย่าทำร้ายออนนี่นะคะ ออนนี่หนูจะคิดถึงออนนี่นะ!”

    สุดท้ายกียุลและทิวาตัดสินใจเดินไปส่งทั้งสาม เมื่อถึงโรงแรม พวกเขาก็สวมกอดลากันอีกครั้ง เมื่อทั้งสามกลับขึ้นห้องไปแล้ว กียุลจึงชวนทิวาไปเดินเล่นกันให้อาหารย่อยก่อนจะกลับขึ้นเรือ

    “เดินเล่นกันมั้ยทิวา”

    “เอาสิ แล้วจะไปเดินแถวไหนเหรอ”

    “อืม… แถวนั้นดีมั้ย” นิ้วเรียวยาวของชายหนุ่มชี้ไปทางชายหาดที่ใกล้กับท่าเรือที่มีเรือคลาสดุ๊กจอดอยู่ “คนน้อยดี เพราะถ้าเข้าไปเดินเล่นกลางเกาะ คงเจอพวกเพื่อนๆเยอะ ฉันไม่ชอบ”

    “ได้นะ เอาที่นายสะดวก”

    “เออใช่ เธอเอามือมานี่ ฉันมีอะไรจะให้” กียุลหันมาพูดกับทิวาแล้วยืนกำมือข้างนึง ส่วนหญิงสาวยืนมองมือของชายหนุ่มอย่างงงๆก่อนจะแบมือไปรับอย่างว่าง่าย

    มือหนาที่กุมอยู่ค่อยๆคลายออกแล้วประสานไปที่มือบางของคนตรงหน้า ก่อนที่จะกุมมือนั้นแน่น ในวินาทีที่กียุลส่งยิ้มให้ทิวา ใบหน้านวลก็ขึ้นสีระเรื่อในทันที กียุลจึงเริ่มออกเดินก่อนที่หญิงสาวจะยืนเขินไปมากกว่านี้

    “ไปกันเถอะ!”


    ณ ชายหาดเกาะส่วนตัวแห่งหนึ่ง

    ทั้งสองเดินจูงมือกันมาจนถึงชายหาด เม็ดทรายสีน้ำตาลอ่อนเรียงตัวสวยบนพื้นพร้อมกับเปลือกหอยที่ถูกคลื่นซัดมาวางอยู่บนทรายเป็นระยะ เมื่อเดินเล่นสักพักพวกเขาจึงไปเดินเล่นที่ท่าเรือต่อ โชคดีที่ละแวกนั้นไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน ทำให้พวกเขาเดินจับมือกันได้สะดวกใจ 

    ถึงแม้ทางเดินที่ท่าเรือจะทำด้วยไม้ แต่มันก็แข็งแรงมากๆโดยที่คนเดินไปมาไม่ต้องกังวลว่าจะตกลงไปในน้ำเลย รั้วของท่าเรือสร้างด้วยเหล็กสีเงิน ที่ปลายท่าเรือมีเกาะกลางที่ถูกเจาะเป็นรูขนาดใหญ่พร้อมรั้วกระจกที่ล้อมรอบไม่ให้คนตกลงไป รอบๆเกาะกลางมีม้านั่งสีวนิลากระจายรอบๆ 

    ทั้งสองหยุดยืนอยู่ตรงปลายสุดของท่าเรือพลางพูดคุยเรื่องเก่าๆด้วยกัน ลมทะเลอ่อนๆพัดพาความเย็นมาปะทะกับร่างของทั้งสอง เส้นผมที่ปลิวไปเบาๆตามแรงลม ดวงตาคู่สวยที่เมื่อมองลงไปก็จะเห็นแสงสะท้อนระยิบระยับจากดาวบนฟ้า หญิงสาวแทบจะละสายตาออกไปจากใบหน้าของชายหนุ่มไม่ได้เลยราวกับถูกมนต์สะกดเอาไว้

    “นี่จะจ้องหน้าฉันไปอีกนานแค่ไหนกันหืม?”

    “มะ ไม่ได้จ้องซักหน่อย!” เมื่อทิวาถูกจับได้เธอก็รีบหันหน้าหนี แต่ชายหนุ่มไม่ได้ว่าอะไร กลับกันเขามองว่าการกระทำนนี้มันน่ารักไม่น้อย

    แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดจะหันหน้าไปทางอื่นเพราะเขาดันชอบที่ถูกทิวาจ้อง แต่ถ้าเป็นคนอื่นคงทำหน้าบูดใส่ไปแล้วล่ะ

    “ว่าแต่ เธอจำวันแรกที่เราเจอกันได้มั้ย”

    “โอ้โห ใครมันจะลืมลง!”

    “ฮ่าๆๆ ฉันก็ลืมไม่ลงเหมือนกัน ยังรู้สึกเหมือนเจ็บๆที่หลังอยู่จนถึงทุกวันนี้อยู่เลย” พูดจบกียุลก็ทำท่าลูบหลังจนทิวาต้องตีแขนไปหนึ่งที

    “เลิกเวอร์!”

    “ฮ่าๆๆ ล้อเล่นน่า ตอนนั้นเป็นเพราะครูฌาแนตต์ใช่มั้ยล่ะ”

    “ใช่ แรงของครูเค้าน่ากลัวมากเลยนะ แต่ไหงเป็นฉันที่ลงหนังสือพิมพ์ได้ล่ะเนี่ย”

    “พาดหัวข่าวซะใหญ่โต ‘ลิงกังพังงานต้อนรับโรงเรียนเจ้าชายโนอาห์’ เธอนี่มันสุดจริงๆ”

    “เลิกย้ำเถอะน่า แต่ถ้าไม่เกิดเรื่องวันนั้น เราก็คงไม่ได้รู้จักกันจนถึงวันนี้หรอก” ทิวาเบือนหน้าไปทางทะเล เธอรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะถ้าไม่ได้ครูฌาแนตต์ ก็คงไม่มีวันที่เธอจะได้มายืนกับกียุลตรงนี้ ดีไม่ดี ที่ตรงนี้ก็อาจจะเป็นผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่เธอก็ได้

    หญิงสาวกัดปากของตัวเองแน่นเพื่อให้สมองหยุดคิดอะไรแย่ๆแบบนั้น แต่ยิ่งอดกลั้น มันยิ่งทำให้เธฮคิดมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆจนอยากจะร้องไห้ออกมา

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทิวาคิดแบบนี้ ในช่วงเวลาที่เธออยู่คนเดียว เธอเคยคิดหลายรอบแล้ว ว่าที่ที่เธออยู่ตรงนี้มันใช่ที่ของเธอจริงๆใช่มั้ย ยิ่งความรักที่กียุลมีให้ มันยิ่งตอกย้ำว่าเหมือนเธอไปแย่งที่ของใครบางคนมาอย่างนั้นแหละ


    ‘ถ้าไม่มีเธอสักคน ทุกอย่างคงจะเป็นของฉัน เธอแย่งทุกๆอย่างของฉันไป!’


    “อึก!” จู่ๆคำพูดของศัตรูในอดีตอย่างไลลาก็พุ่งเข้ามาในหัว เป็นประโยคที่เธอไม่เคยกำจัดมันออกจากชีวิตได้เลยซักนิดไม่ว่าจะทำวิธีไหนก็ตาม เสียงนั้นดังก้องราวกับเพิ่งได้ยินมันมาสดๆร้อนๆเมื่อวาน

    “ทิวาเธอเป็นอะไร!?” กียุลรีบเข้าไปคว้าตัวทิวาที่กำลังจะล้มลงทันที สองแขนแกร่งพยุงให้เธอยืนขึ้นน แต่หญิงสาวกลับไม่เงยหน้ามองชายหนุ่ม ร่างของเธอสั่น มือทั้งสองกุมเสื้อฮู้ดของคนตัวสูงแน่นราวกับกำลังยับยั้งอารมณ์ขุ่นมัวภายในใจตัวเอง

    “... ฮึก”

    “ฉันอยู่นี่แล้ว ไม่เป็นไรนะ” มือของกียุลลูบหัวทิวา ความอบอุ่นที่ได้รับทำให้เธอค่อยๆใจเย็นลง แต่เธอก็ยังคงซุกหน้าที่อกแกร่งของชายหนุ่มเหมือนเดิม

    “บางทีฉันก็คิดนะ ว่ามันดีจริงๆแล้วเหรอ ที่ฉันได้รู้จักกับนาย”

    “ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ”

    “ก็… ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ฉันก็คอยเอาแต่สร้างปัญหาให้นายตลอด ขนาดบางทีนายเรียนอยู่โนอาห์ นายยังต้องถ่อมาช่วยฉันเลย แถมฉันก็ไม่ผู้หญิงที่สวยเก่งอะไร เรียบร้อยก็ไม่เรียบร้อย บางทีตอนนี้นายอาจจะเจอคนที่ดีกว่าฉันก็ไ-”

    “คนที่ดีสำหรับฉันคือเธอทิวา!”

    กียุลแย้งทิวาเสียงดัง ดวงตาที่หนักแน่นของเขาจ้องลึลงไปในดวงตาของหญิงสาวพร้อมกับจับมือของเธอแน่น

    “...”

    “ฉันดีใจมากที่ได้รู้จักกับเธอ ถึงแม้วันนั้นเราอาจจะไม่ได้เจอกัน แต่เชื่อเถอะว่าในวันข้างหน้าเราก็ต้องเจอกันอยู่ดี เธอจำฮันนี่แรลลี่ไม่ได้เหรอ ที่พวกเราต้องแข่งกัน ตอนนั้นเราก็สนิทกันมากขึ้น ถึงเธอจะไม่ได้เรียบร้อยอะไร แต่คนที่คอยทำให้แต่ละวันของฉันสดใสก็มีแต่เธอเท่านั้นทิวา”

    “...”

    “ฉันไม่อยากให้เธอคิดอย่างนั้น ฉันอยากให้เธอมองแค่ฉัน คิดถึงแค่ฉันเท่านั้น เพราะฉันคิดถึงแต่เธอ”

    “กียุล...”

    “ไม่มีใครที่มาแทนที่เธอได้หรอก ถึงคนอื่นจะวิเศษมาจากไหน แต่คนที่ทำให้ใจฉันเต้นแรงก็มีแต่เธอเท่านั้น” กียุลดึงมือของทิวาไปแนบที่กลางอก มือบางสัมผัสได้ถึงกล้ามเนื้อภายในที่สูบฉีดไปมาระรัว เมื่อเธอเงยไปมองหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง ก็เห็นใบหน้าของเขาที่ขึ้นสีพอๆกับใบหน้าของเธอ


    ‘อา… นี่ฉันพูดบ้าอะไรออกไปนะ ไม่น่าพูดออกไปเลย’ ทิวานึกโทษตัวเองในใจ ที่เอาแต่พูดในแง่ลบ ทั้งๆที่คนตรงหน้าไม่ได้คิดไปแบบที่เธอคิดมากไปเองเลยด้วยซ้ำ


    “ขอบคุณนะ”

    “เพราะฉะนั้น ห้ามคิดแบบนั้นอีกนะ”

    “อื้ม”

    ทั้งสองสวมกอดกัน แลกเปลี่ยนความอบอุ่นท่ามกลางหัวใจที่เต้นเร็ว 

    “เธอยังจำครั้งแรกที่เราเต้นรำกันได้มั้ย” เสียงทุ้มต่ำแต่ก็อ่อนนุ่มเอ่ยขึ้นขณะที่ใบหน้าเขากำลังซุกอยู่ที่ไหล่ของหญิงสาว

    “จำได้สิ เป็นคืนที่สนุกมากเลยนะ ฮ่าๆ”

    “แล้วเธออยากเต้นรำกับฉันต่อไปมั้ย”

    “หมายความว่าไงอะ”

    กียุลค่อยๆคลายกอดอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะทำท่าโค้ง มือข้างหนึ่งไขว้หลัง ส่วนอีกข้างจับมือของหญิงสาวขึ้นมา

    “ผมคิม กียุล อยากจะถามกับหญิงสาวผู้เป็นที่รักของผมตรงหน้าว่า รบกวนคุณผู้หญิงเต้นรำกับผมไปตลอดจนแก่เฒ่าเลยได้มั้ยครับ”

    ในท่ามกลางบรรยากาศที่เหล่าหมู่ดาวและดวงจันทร์สาดแสงส่องลงมายังพวกเขา ชายหนุ่มโค้งตัวลงแล้วจุมพิตไปที่หลังมือของหญิงสาว คำถามที่เธอไม่เคยคิดว่าในชีวิตนี้จะได้รับมันสร้างความประหลาดใจและดีใจให้ทิวาเป็นอย่างมาก น้ำตาของหญิงสาวไหลรินลงมาทันทีที่ตอบรับคำขอแล้ววิ่งเข้าไปสววมกอดชายหนุ่มทันที

    “ตกลง!”

    มือหนาของกียุลเช็ดน้ำตาที่รินรดบนหน้าของทิวาก่อนจะประคองหน้าหญิงสาวแล้วประกบริมฝีปากของเขาลง จุมพิตครั้งนี้นุ่มลึกและหวานชวนฝันยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ไม่ได้มีการหยอกเล่นอย่างร้อนแรงเช่นครั้งก่อน กลับกันมีแต่สัมผัสอันอ่อนโยนที่ตราตรึงพวกเขาทั้งสอง ราวกับว่ามันจะเป็นพยานแห่งความรักของพวกเขาในค่ำคืนนี้ 

    “อย่างนี้ก็เรียกยัยลิงไม่ได้แล้วสิ”

    “เอ๋ ทำไมล่ะ ชื่อนั้นก็ไม่ได้แย่นะ”

    “ต้องเรียกว่าที่รักน่ะสิ ถึงจะถูก”


    “รักนะครับ ที่รักของกียุล :)


    ทางฝั่งของพ่อแม่กียุล

    “เอ้อแม่ ตอนที่แม่ไปคุยกับเพื่อนน่ะ ซุบซิบกันว่าอะไรเหรอ” พ่อของกียุลเอ่ยขึ้นขณะเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยเปื่อย

    “อ๋อ นั่นน่ะเหรอ”

    “...”

    “ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่


    ไอริณเขาก็แค่บอกว่า อีกหน่อยเราก็ต้องเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ เธอโอเคมั้ย ;)


    ______________________________________________________________________


    (กรี๊ดดดดดเขาเป็นแฟนกันแล้วค่ะแม่!!!) สวัสดีค่าผู้อ่านทุกท่าน ตอนนี้ค่อนข้างยาวหน่อยนะคะเพราะเป็นตอนที่พิเศษมากๆ (แต่งเพลินด้วยค่ะ555) ใจแฟนคลับขี้ชิปคนนี้แทบละลายเลยค่ะ แง เป็นแฟนกันในนิยายก็ยังดี TwT

    และรูปของตอนนี้นั่นคืออออ รูปของพระเอกนางเอกของเราในวันจบนั่นเองค่า (คุณแม่กียุลเป็นคนถ่ายรูปนี้ด้วยแหละ :D)


    ตอนแรกเรากะจะลงสีด้วยค่ะ แต่ว่าเกิดข้อผิดพลาดอย่างหนัก เลยคิดว่าค่อยเอามาลงให้ผู้อ่านได้ชมกันวันหลังดีกว่าา T___T

    ทรงผมนี้ของทิวาเป็นไอเดียของพี่เบล นักวาดลาฟลอร่าคนปัจจุบันนั่นเองค่ะ เพราะวันก่อนเราดูไลฟ์ที่พี่ๆทีมงานตอบคำถามกับทิวาและเห็นพี่เบลวาดทิวาตอนโตไว้ เห็นว่าน่ารักมากๆเลยเอามาเป็นเรฟค่ะ

    ตอนนี้เราใส่ความพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ได้ตอนที่พิเศษและหวานๆค่ะ นอนกลิ้งหลายรอบมากว่าแต่ละฉากควรเป็นยังไงต่อไปดีนะ XD หวังว่าทุกคนจะชอบกันนะคะ

    สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านเหมือนเดิมนะคะ ดีใจที่ชอบนิยายของไรท์ พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ ^^


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×