คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #39 : ตอนที่ 28 : คำขอของชายหนุ่มในค่ำคืนพิธีย้ายเรือ
28
คำขอของชายหนุ่มในค่ำคืนพิธีย้ายเรือ
หัวใจของกียุลเต้นตึกตักแรงกว่าครั้งไหนๆ เขาพอใจกับของขวัญที่ได้รับมากๆ ถึงแม้จะมีดอกไม้ช่อเบ้อเริ่มอยู่ในอ้อมแขน แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการกอด เขาเอื้อมแขนข้างที่เป็นอิสระไปโอบกอดยัยลิงของเขา ไม่นานเธอก็ตอบรับอ้อมกอดของเขา
“หัวใจนายเต้นแรงมากเลยนะ”
“เป็นเพราะจุ๊บของใครกันล่ะ”
“ฮะๆ นั่นสิ ของใครกันน้า”
“เออใช่” กียุลทำท่าเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ เขาใช้มือที่ไม่ได้ถือช่อดอกไม้คว้ามือของทิวาไว้แล้วดึงๆเธอเหมือนกับว่าจะให้ไปไหนสักที่ “ไหนๆทุกคนก็ไปกันหมดแล้ว เราก็ไปบ้างมั้ย”
“ไปไหนอะ”
“ไม่บอก ตามฉันมาก็พอ”
“เฮ้ย!? อย่าออกตัววิ่งสิ ฉันตามไม่ทัน!”
.
.
.
“ที่บอกจะมาพาก็คือ มาห้องนายเนี่ยนะ?” ทิวายืนทำหน้าตายอยู่ตรงโซฟาในขณะที่กียุลกำลังเก็บของขวัญที่เขาได้มาเข้ากล่อง เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าแค่จะขึ้นห้องมาทำไมต้องวิ่งกันขนาดนี้
“ใช่ ฉันจะมาเปลี่ยนชุดด้วย ชุดนี้มันอึดอัด”
“แล้วนายไม่ต้องไปฉลองกับพวกเพื่อนเหรอ”
“ขี้เกียจน่ะ ไหนๆตอนกลางคืนก็มีนัดฉลองกันอีกรอบอยู่แล้ว ค่อยไปตอนนั้น”
“อ่อ...” ทิวาลากเสียงยาวก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟาตัวเดิม เธอนั่งมองไปที่กองภูเขาของขวัญที่กียุลได้รับมาก็เกิดความอิจฉาในใจเล็กๆ บางทีถ้าเกิดเธอเรียนจบบ้าง จะมีใครให้ของขวัญบ้างมั้ยนะ
แต่ความคิดฟุ้งซ่านก็อยู่ได้ไม่นานเพราะสายตาดันเหลือบไปเห็นกียุลที่ยืนหันหลังกำลังยืนถอดเสื้อเชิ้ตของตนอยู่ ทำให้หญิงสาวร้องเสียงดังออกมาทันที
“เดี๋ยว!!!!! นายมาถอดเสื้ออะไรตรงนี้!!??”
“แล้วเธอจะมาดูทำไมล่ะยัยลิงบ๊อง”
“ยัง ยังไม่หยุดอีก หยุดถอดกระดุมได้แล้ว!!”
“เห~? โวยวายเสียงดัง แต่ก็ยังนั่งมองฉันอยู่ตรงนี้ หรือว่าเคยเห็นแล้วแล้วอยากเห็นอีกงั้นเหรอ?” กียุลหยอกล้อทิวาด้วยการโน้มตัวลงแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆใบหน้าของหญิงสาว จนเธอลนลานทำอะไรไม่ถูก จะหลบสายตาลงล่างไม่ได้ก็เพราะว่าจะไปป๊ะกับเหล่ามัดกล้ามของร่างสูง
‘มองไปทางไหนดีเนี่ย โอย กล้ามแน่นจังเลย เห้ยไม่ใช่ คิดอะไรอยู่เนี่ย!!’
“พะ เพ้อเจ้อ!! ฉันไปเคยเห็นของนายตอนไหน”
“ถ้าจะให้บอกว่าตอนไหนก็คงตอนนี้ล่ะมั้ง เห็นเธอชอบแวบมองมาที่ฉันบ่อยๆนะ”
“ก็มันดึงดูดสายตานี่!! รีบเปลี่ยนเสื้อได้แล้ว!”
“ไม่อะ” กียุลทิ้งตัวลงข้างๆทิวาแล้วดึงร่างของเธอเข้าไปกอด “เธอโคตรน่ารักเลยเวลาเขิน รู้ตัวป่ะ”
“เอ๋!? อย่ามาพูดบ้าๆน่า ฉันอายจะตายแล้วเนี่ย”
“พูดจริงนะ น่ารักซะจนอยากทำให้เธอเป็นของฉันคนเดียวเลย”
“...”
หญิงสาวนิ่ง ไม่ได้ตอบอะไร ทำให้ในใจของชายหนุ่มคิดแล้วว่าเขาไม่น่าพูดประโยคบ้าๆนี่ออกมาเลย เพราะไม่ใช่ทุกคนที่ชอบที่ได้ยินอะไรแบบนี้ เขาก่นด่าตัวเองในใจก่อนจะคลายกอดออก
“แต่ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอกถ้าเธอไม่ยินยอม แถมเราก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงนะ” กียุลยิ้มอ่อนๆให้หญิงสาวก่อนจะลุกออกจากโซฟา แต่ไม่ทันไรก็มีมือเล็กคว้าที่เสื้อของเขาไว้ เมื่อเขาหันกลับไปก็เห็นทิวาที่นั่งมองเขาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำอยู่
“เอ่อ… ที่นายบอกว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกันน่ะ… ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอกนะ”
“...”
“ที่ผ่านมา ฉันทบทวนหัวใจตัวเองหลายครั้งมากๆ และฉันก็แน่ใจแล้วว่า...”
“...”
“ฉันรักนายนะ เอ่อ… จะว่าอะไรมั้ย ถ้าฉันถามว่า เป็นแฟนกันมั้-”
ฟึบ!
“เอ๊ะ!?” ไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดจบ ชายหนุ่มก็พุ่งไปกอดเธออีกรอบ แต่คราวนี้มันต่างกันออกไป ความรู้สึกหลายอย่างถาโถมเข้ามาภายในจิตใจเขาอย่างรวดเร็ว ทั้งเขิน ทั้งดีใจ ทั้งมีความสุข โล่งอก และอีกหลายๆความรู้สึก ไม่ทันไรเขาก็โหยหาความอบอุ่นนี้จนไม่สามารถละออกจากหัวใจได้แล้ว
“ฉันตกลง! ทิวา ฉันตกลง!”
“ฮะๆ ฉันนึกว่านายจะปฏิเสธฉันแล้วซะอีก” ทิวายิ้มแล้วกอดร่างสูงตอบ ทั้งสองกอดกันแน่นจนสามารถสัมผัสถึงหัวใจที่เต้นรัวของกันและกันได้
“จะบ้าเหรอยัยบ๊อง ฉันรอคำๆนี้มานานมากเลยนะ ฉันจะปฏิเสธเธอลงได้ยังไงกันล่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง อ้อใช่” ทิวาถอนกอดจากชายหนุ่มแล้วทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ด้วยความเขินทำให้เธออึกอักที่จะพูดจนเขาเริ่มกังวล
“มีอะไรรึเปล่าทิวา”
“เอ่อ… เรื่องที่นายบอกเมื่อกี้น่ะ ที่นายบอกว่าไม่ต้องห่วงอะไรนั่น”
“อ่าฮะ”
“ฉันก็ไม่ได้ไม่ยินยอมอะไรหรอกนะ.. แค่ถามกันดีๆฉันก็โอเคแล้ว เพราะเราก็เป็นแฟนกันแล้วนี่” ทิวาเกาแก้มแก้เขินแล้วเสมองไปทางอื่น แต่ท่าทางเคอะเขินนั่นมันทำให้หัวใจของชายหนุ่มแทบจะระเบิดออกมา ไหนจะประโยคที่ชวนใจเต้นนั่นอีก ทำให้เขาดีใจจนลืมตัวพุ่งไปหาทิวาแล้วกุมมือทั้งสองของหญิงสาวแน่น
“จริงเหรอ!? เธอพูดจริงแน่นะ!?” ดวงตาหมาน้อยของกียุลกำลังเว้าวอนแฟนสาวตรงหน้า จนทำให้เธอไปไม่ถูก
“เอ่อ.. ไม่น่าพูดเลยฉัน แต่ก็นั่นแหละ! แต่ถ้านายโหดกับฉันเมื่อไหร่ เจอดีแน่!”
“ครับที่รัก ผมจะอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้เลย :)”
ไม่ทันที่หญิงสาวจะได้ทักท้วงอะไร ชายหนุ่มก็ประทับจูบลงมาที่ริมฝีปากอันร้อนผ่าวของเธอ รสจูบที่หวานราวกับน้ำผึ้งแต่ก็อ่อนนุ่มราวกับปุยเมฆชวนให้เขายิ่งต้องการมากกว่านี้ ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดถี่ขึ้นเรื่อยๆในขณะที่ชายหนุ่มถือวิสาสะใช้ลิ้นรุกเล้าเข้าไปในโพรงปากของหญิงสาวแล้วเกี่ยวหวัดหยอกล้อกับลิ้นของเธอ ทำให้ร่างกายของเธอร้อนวูบวาบราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัว
ด้วยความรู้สึกที่กระตุกวูบ ทำให้สองแขนบางของเธอโอบกอดเข้าที่ท้ายทอยของคนตัวสูงโดยไม่รู้ตัว เธอดึงร่างของเขาลงพร้อมกับทิ้งร่างของตนลงบนโซฟา ทำให้ชายหนุ่มอยู่ในท่าคร่อมอยู่บนร่างบางและสามารถรุกล้ำเธอได้ง่ายดายยิ่งขึ้น
ร่างสูงละริมฝีปากออกจากคนใต้ร่างเพื่อพักหายใจ แต่ก็ผ่านไปแค่สองวิเท่านั้น ไม่ทันที่หญิงสาวจะสูดอากาศเข้าเต็มปอด ริมฝีปากของเธอก็ถูกประกบลงอีกครั้ง คราวนี้ชายหนุ่มใช้สองแขนแกร่งของเขาช้อนเอวเล็กของเธอขึ้น แล้วทิ้งตัวลงที่อีกฝั่งของโซฟา ทำให้ตอนนี้กลายเป็นหญิงสาวที่อยู่บนร่างของชายหนุ่มแทน
“ทิวา..”
“...”
“จูบครั้งนี้รู้สึกดีกว่าครั้งไหนๆเลย เธอรู้สึกเหมือนกันมั้ย”
“อื้ม”
ทั้งสองค่อยๆโน้มตัวเข้าหากันและประทับริมฝีปากกันอีกครั้ง สัมผัสที่นุ่มลึกชวนให้สมองของพวกเขาขาวโพลน แทบจะไม่รับรู้อะไรแล้วนอกจากคนรักตรงหน้า
ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขนแน่นจนร่างบางแนบติดกับแผ่นอกแกร่งของเขา ทำให้ทิวาแทบจะสัมผัสได้ถึงมัดกล้ามที่ได้รับการออกกำลังกายมาอย่างดีแทบทุกตาราางนิ้ว
สองแขนแกร่งที่โอบร่างของหญิงสาวเริ่มอยู่ไม่สุก เขาเริ่มดึงเสื้อไหมพรมสีเขียวมิ้นต์ของเธอที่สวมทับอยู่ในกระโปรงออก มือหนาสอดเข้าใต้เสื้อและลูบไล้ไปตามแผ่นหลังนวลของเธออย่างช้าๆจนเขาสัมผัสกับตะขอบรา สองมือจึงค่อยๆพยายามปลดมันออกด้วยอารมณ์ที่พาไป
“กียุล ไม่ได้นะ อือ..” เสียงใสของทิวาทักท้วงได้ไม่ทันไร ก็ถูกกลืนหายไปอีกครั้งด้วยแรงกดจากริมฝีปากของชายหนุ่ม
มือเล็กๆพยายามขัดขืนโดยการดันแขนของเขาออกจากตัว แต่ด้วยแรงต่อต้านจากคนตัวสูงทำให้ไม่เป็นผล มือข้างนึงของเขาลูบไล้ไปที่เอวบาง ส่วนมือซนๆอีกข้างก็กำลังปลดตะขอจนมันหลุดออกจากกัน
“กียุล! หยุดก่อน!” ทิวาเรียกชื่อของชายหนุ่มเสียงดังทันทีที่รู้สึกได้ว่าบราของตนได้หลุดออกไปแล้ว
“ไหนเธอบอกว่าทำได้ไง” กียุล(แกล้ง)ทำสายตาเศร้าปนผิดหวังที่จู่ๆแฟนสาวของเขาบอกให้หยุดกะทันหัน
“คือมันก็ใช่.. แต่ไม่ใช่วันนี้ได้มั้ย ฉันกลัวจะมองหน้าพ่อแม่นายไม่ได้”
“จะกลัวทำไม มันเรื่องปกติของคนรักกันไม่ใช่เหรอ”
“ก็ฉันอายนี่นา! ไว้ให้พ่อแม่นายกลับก่อนไม่ได้เหรอ”
“ไม่อะ ฉันรอไม่ไหวหรอก”
“นายนี่มัน อ๊ะ...” ทิวาเผลอร้องออกมาในขณะที่กียุลลูบหน้าท้องแบนราบของเธอพลางลิ้มรสหวานที่คอขาวเนียนของคนตัวเล็ก
“นายนี่มันอะไรเหรอ :)”
“อือ… หยุดแกล้งฉัน… ได้แล้ว” เสียงของเธอเริ่มแหบพร่าขาดช่วงเพราะสองมือของชายหนุ่มที่เล่นซนไปทั่วร่าง
กริ๊งงง!
“มะ มีคนโทรมานะ ไม่รับเหรอ”
“เดี๋ยวเขาก็วางไปเองแหละ”
กริ๊งงงง!! กริ๊งงงง!!
“ทิวา เธอน่ารักมากเลย อย่าเอาแต่ปิดหน้าอย่างนั้นสิ”
“เอาอะไรมาพูดว่าฉันน่ารักยะ! เพ้อเจ้อไปแล้วรึไง”
“พูดความจริงยังมาบอกเพ้อเจ้อกันอีก อะไรของเธอเนี่ย”
กริ๊งงงงงงงงงง!!!!
“โว้ย!! ใครมันโทรมาตอนนี้ฟะ” กียุลที่ทนต่อเสียงรบกวนไม่ไหวถึงกับสบถออกมาจนทิวาต้องบอกให้ใจเย็น มือหนาเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ของตนบนโต๊ะแต่ก็ไม่วายโอบรอบเอวของหญิงสาวด้วยมืออีกข้าง
“ฮัลโหล! นายมีอะไร!?”
[โอ้ ยู ทำไมน้ำเสียงโมโหขนาดนั้นล่ะโอปป้า โกรธใครมา]
“โกรธนายนั่นแหละคริส! โทรมาไม่ดูเวลาเลย”
[ว้อทเดอะ.. แค่นี้ก็โกรธเหรอ หรือว่าไอขัดจังหวะตอนยูอยู่กับเลดี้ทิวาอีกแล้ว]
“ใช่ ขัดอีกแล้ว”
[Oops, sorry -_-;]
“แล้วโทรมามีอะไร”
[ไอจะถามว่า ไม่ได้ลืมที่เรานัดกันใช่มั้ย]
“ไม่อะ แต่ฉันอยากจะเทนัด ฉันไม่อยากไป”
[ไม่ได้นะยู! ทุกคนรอที่จะฉลองกับยูเลยนะ มาด้วยล่ะ อีก 5 นาที!]
“เดี๋ยว-”
ไม่ทันที่จะได้อ้าปากปฏิเสธ เพื่อนตัวแสบหัวส้มก็ตัดสายไปเรียบร้อย ทำให้กียุลถึงกับหัวเสียแล้วร้องชิออกมา
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“ก็ไอคริสน่ะสิ จะให้ฉันไปงานฉลองกับพวกเพื่อนๆห้อง A ให้ได้ เห็นบอกว่าจะเริ่มแล้ว”
“อ้าว นายก็ไปสิ วันจบทั้งทีนะ”
“...”
“...”
“ก็ฉันอยากอยู่กับเธอนี่นา” ร่างสูงกระชับร่างบางให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดแล้วกอดแน่น หัวของเขาซุกไปที่ไหล่ข้างขวาของเธอราวกับไม่อยากจะไปจากที่นี่เลย
“ไม่งอแงสิ เพื่อนๆเขาอยากใช้เวลากับนายนะ ยังไงเย็นนี้เราก็ไปกินข้าวด้วยกันอยู่แล้ว นายไปเถอะ” ทิวาลูบหัวกียุลแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มจนเขาต้องเงยหน้าขึ้นมามอง ใบหน้าของเขาแสดงถึงความน้อยใจนิดๆแต่ก็เข้าใจแล้วถอนกอดออก
“ก็ได้ งั้นฉันจะรีบไปรีบมา”
“ได้เลย เดี๋ยวฉันรอที่นี่แหละ”
“ทิวา หันหลังมา”
“หันทำไม?” หญิงสาวงงงวยกับคำสั่งกะทันหันของชายหนุ่ม เธอถึงกับถามซ้ำเพื่อเช็คให้แน่ใจว่าไม่ได้หูฝาดใช่มั้ย
“หันมาเถอะน่า”
เมื่อแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้หูฝาด เธอจึงหันหลังให้แต่โดยดี กียุลค่อยๆเลิกเสื้อไหมพรมของเธอขึ้นแล้วติดตะขอบราที่เขาเป็นคนถอดมันออกให้เรียบร้อยก่อนจะจัดเสื้อของทิวาให้เข้าที่เข้าทาง
“เอ่อ… นายไม่จำเป็นต้องทำให้ก็ได้นะ ฉันทำเองได้”
“ไม่ได้หรอก ฉันเป็นคนถอดออก ฉันก็ต้องใส่กลับให้เรียบร้อยด้วยสิ ส่วนที่เหลือเธอจัดทรงเอาเองนะ”
“อื้ม”
“หรือจะให้ฉันช่วยด้วย?”
“ไม่ต้องย่ะ! ฉันทำเองได้อันนั้นอะ!” ทิวาตะโกนเสียงหลงแล้วรีบกอดหน้าอกตัวเองทันที
“ฮ่าๆ งั้นฉันขอไปแต่งตัวแล้วไปก่อนนะ แล้วจะรีบกลับมาครับที่รัก” กียุลลุกขึ้นแล้วจุ๊บที่หน้าผากมนของทิวาก่อนจะไปแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วออกจากห้องไป
หญิงสาวที่หัวใจเต้นระส่ำระส่ายเอามือสัมผัสไปตรงหน้าผากที่โดนจูบไปเมื่อกี้พร้อมกับยิ้มขึ้นมา แล้วเธอก็ล้มลงไปพร้อมกับเอาหมอนที่วางอยู่แถวนั้นมากอดแน่นแล้วกรี๊ดอัดหมอนแก้เขิน
‘กรี๊ดดดด!! นี่ฉันเป็นแฟนกับตานั่นแล้วเหรอ แถมตานั่นก็ยังเทคแคร์ดีสุดๆ ไม่นึกว่าจะติดตะขอให้ด้วย ถึงจะน่าอายแต่ฟินมากค่าาาา ลูกช้างคงใช้บุญที่ทำมาไปหมดแล้วสินะ ลูกช้างมีความสุขมากค่าา’
ทางด้านของหนุ่มเกาหลีที่โดนเพื่อนเซ้าซี้ให้ไปร่วมงานปาร์ตี้หลังเรียบจบก็ได้แต่บ่นกับตัวเองในใจแล้วตรงไปยังที่ที่เพื่อนเขาอยู่ทันที ลงลิฟต์ กดไปที่ชั้น 5 สองเท้าก้าวออกมา เจอก็เหล่านักเรียนโนอาห์เดินถือแก้วในมือไปมารอบเรือ บางแก้วมีเครื่องดื่มสีแดงองุ่น บางแก้วมีสีใสและมีฟองซ่าๆ บางแก้วก็มีเครื่องดื่มที่คล้ายกับน้ำเก๊กฮวยเสีย
เพื่อนสุดซี้ชาวอเมริกันที่เห็นว่ากียุลมาถึงพอดี ก็หยิบแก้วมาแก้วนึงพร้อมกับถือขวดโซจูรสองุ่นอันเป็นที่รักของหนุ่มเกาหลีไปหาเขา
“ขอเถอะ เข้าใจว่าอายุถึงกันหมดแล้ว แต่จะดื่มกันตั้งแต่หัววันกันเนี่ยนะ” กียุลทำหน้าตายแล้วปฏิเสธแก้วน้ำจากคริสโตเฟอร์
“หัววันอะไรกันยู นี่มันบ่ายสามแล้วนะ”
“ก็ยังหัววันอยู่มั้ยล่ะ”
“โห ไม่กินจริงเหรอ ขวดนี้ดันเต้ไปหามาให้เลยนะ โซจูคุณภาพดีที่สุด! หมักด้วยข้าวสามชนิดที่ปลูกในสถานที่ที่ควบคุมดินน้ำลมไฟให้ออกมาเป็นเม็ดสวยและอวบอิ่ม ไหนจะหมักในถังไม้โอ๊คที่ผลิตมาอย่างเนี้ยบเพื่อหมักโซจูโดยเฉพาะ!”
“นายเมาละ ดันเต้มันไม่มีวันซื้อของดีๆให้ฉันกินหรอก และก็หยุดเอาโซจูจ่อปากได้แล้วเฟ้ย!” กียุลปัดมือหนาของคริสไปให้ไกลๆเพราะเขาเอาแต่คะยั้ยคะยอให้ชายหนุ่มกินให้ได้ “ฉันต้องไปกินข้าวกับที่บ้านคืนนี้ ตอนนี้ฉันจะเมาไม่ได้”
“ก็อย่ากินให้เมาสิคร้าบ” คราวนี้หนุ่มอิตาลีหัวทองโผล่จากข้างหลังมาเสริมคริสโตเฟอร์อีกคน ในมือถือวอดก้า มาร์ตินี่แบบที่ไม่กลัวหกเลยสักนิด
“ไม่เป็นไรๆ”
“งั้นเหรอครับ เสียดายจัง โอ๊ะ..” สายตาเฉียบคมของดันเต้ไปสะดุดเข้ากับบางสิ่งแปลกๆบนหน้าของกียุล ใบหน้าของเขาค่อยๆเคลื่อนไปใกล้ๆจนกียุลทำอะไรไม่ถูก
“หน้าฉันมีอะไร! อย่ามาเมาแล้วจูบฉันนะไอ้บ้า!!”
“ผมไม่จูบคุณหรอกครับ ผมจูบคุณแนสซี่คนเดียวเท่านั้น ว่าแต่รอยตรงนี้มันคืออะไรเหรอ” ดันเต้จิ้มไปที่มุมริมฝีปากของเพื่อนตัวเอง เมื่อกียุลนำมือมาแตะก็พบว่า มันเป็นรอยลิปสติกของทิวา
โชคดีที่ทิวาไม่ได้เป็นคนแต่งหน้าจัด ที่ติดมาก็เป็นแค่รอยบางๆจนเขาแทบจะไม่ได้สังเกต แต่ถึงเป็นแค่รอยบาง สายตาหมาป่าของเหล่าราชาก็มองออกอยู่ดี
“โห เล่นซะปากช้ำเลยนะครับโอปป้า” คริสโตเฟอร์แซวแล้วส่งสายตาเจ้าเล่ห์มาให้
“หา!? ปากฉันช้ำเหรอ!?”
“ก็เออน่ะสิ ปากยูแดงยิ่งกว่านาซิสซ่าตอนเมื่อเช้าอีก แถมยังมีรอยลิปสติกอีก อย่าบอกนะว่าตอนไอโทรไปยูกำลังมีเซ็-”
“จูบเฉยๆเว้ย!!! เงียบไปเลยนะ!!” กียุลรีบแย้งเสียงดังทันทีเมื่อรู้ว่าคำต่อไปที่จะออกจากปากของคริสโตเฟอร์เป็นคำว่าอะไร
“อย่ามาว่าคุณแนสนะ!!” จังหวะเดียวกันที่กียุลแย้งคริสโตเฟอร์ ดันเค้ที่ได้ยินว่าไอ้หัวส้มแซวแฟนของเขาก็แตะเข้าให้ที่บั้นท้ายสุดแน่นขอเขาอย่างจัง!
ปั้ก!!
“อ๊ากกก!!!! ไอ้ดันเต้!!” คริสโตเฟอร์ทำท่าจะต่อยดันเต้คืน แต่เขาก็ไหวตัวทันแล้ววิ่งหนีไปทางฝูงชนซะแล้ว คริสโตเฟอร์จึงกลับมาคุยกับกียุลต่อ
“ไอก็ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย เรื่องปกตินี่นา แต่ยูก็แอบแซ่บเหมือนกันน้า เอาซะปากช้ำ แถมปลายแขนเสื้อยังมีรอยลิปอยู่อีก”
‘โอโห จะติดให้ทุกที่เลยใช่มั้ยเนี่ย เมื่อกี้คงรุนแรงไปจริงๆนั่นแหละ =_=;’
“ชิบละ ละมีตรงไหนอีกป่ะ” ชายหนุ่มถามพลางหมุนตัวให้เพื่อนของเขาดูฃ
“Nope พับแขนเสื้อขึ้นกับเช็ดปากก็คงพอแล้วล่ะ”
หลังจากได้ยินคำตอบ กียุลก็รีบจัดการกับตัวเองให้ไม่เหลือร่องรอยความรัก(?)ของเขากับทิวาแล้วเดินเข้างานไปกับคริสโตเฟอร์ โดยที่เขาพยายามยัดเยียดโซจูให้กียุลตลอดทาง
2 ชั่วโมงต่อมา
กียุลเดินกลับห้องอย่างโซซัดโซเซกับเพื่อนชาวอเมริกันเจ้าเก่าอย่างคริสโตเฟอร์ ไม่ใช่เพราะเขาเมาหรอกนะ เป็นเพราะต้องแบกร่างที่ทั้งหนาและหนัก (ไอ้นี่มันบึกบึนที่สุดในราชาทั้ง 5 ละ //กียุล) กลับห้อง มือข้างขวาของกียุลไขกุญแจห้องพักของพวกเขา เมื่อกลอนถูกไข เขาก็ใช้เท้าถีบประตูอย่างจังจนทิวาที่นั่งดูหนังอยู่ในห้องนั่งเล่นรวมสะดุ้งจนหัวใจแทบวาย
“อะไรของนายเนี่ยตาตี๋!?”
“ฉันขอโทษ พอดีไอคริสหนักมาก ฉันจะไม่ไหวแล้ว เธอช่วยไปเปิดประตูห้องมันทีสิ” กียุลแบกคริสโตเฟอร์ไปหยุดที่หน้าห้องนอนของเขา ทิวาที่เห็นอย่างนั้นจึงรีบไปช่วยกียุล หลังจากที่ทั้งสองช่วยกันลากสังขารหนุ่มเจ้าปัญหามาถึงเตียงได้แล้ว พวกเขาถึงกับถอนหายใจเพราะความเหนื่อยยกใหญ่ ในขณะที่คริสโตเฟอร์นอนหลับตาพริ้มเพราะฤทธิ์เหล้า
“โอโห คริสไปโดนตัวไหนมา” ทิวาที่รับสภาพของเพื่อนตัวเองไม่ได้ถึงกับเอ่ยถาม
“หลายตัวเลยแหละ บางตัวก็กินเพียวด้วยนะ”
“ยูรี๊จางงงง” เสียงสุดอ้อนที่แสบแก้วหูของคริสโตเฟอร์ดังขึ้นจนทั้งสองต้องรีบออกจากห้อง
“ฝันดีคริส ฉันไปล่ะ!”
“รอฉันด้วย! บายนะคริส เดี๋ยวฉันเรียกยูริจังมาให้!”
หลังจากที่ทั้งสองคนเสร็จสิ้นภารกิจเก็บของเข้าที่(?) พวกเขาก็ออกมายืนในห้องนั่งเล่นรวมแบบงงๆ เหมือนกำลังรวบรวมความคิดอะไรสักอย่าง
“...”
“...”
รวบรวมกันสักพักเลยแฮะ…
“เดี๋ยวฉันไปเปลี่ยนชุดแปบนึง เสร็จแล้วก็ไปกินข้าวกันเลยนะ”
“เปลี่ยนทำไมอะ ไม่เห็นมีอะไรให้เปลี่ยนเลย” ทิวาถามด้วยความสงสัย เพราะชุดที่ชายหนุ่มใส่อยู่มันแทบไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไปเลยในสายตาของหญิงสาว ยกเว้นรอยยับหลังเสื้อตอนที่จูบกับเธอ
“ที่ปลายแขนเสื้อมีรอยลิปของเธออยู่ จะให้ฉันใส่เสื้อตัวนี้ไปเจอพ่อแม่เหรอ ฉันโดนแซวจนลูกบวชพอดี”
“หา!? ไปโดนตอนไหนเนี่ย” หน้าของหญิงสาวแดงทันทีที่ได้ยิน ไม่ใช่อะไรนะ อาย! ไม่คิดว่าพวกเขาจะจูบกันแรงขนาดนั้น
“อยากโดนอีกรอบมั้ยล่ะ?”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้ย่ะ เดี๋ยวยาว”
“ฮะๆ โอเคครับ รอแปบนะ”
กียุลรีบวิ่งเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ ไม่นานเขาก็ออกมาพร้อมกับฮู้ดหนาตัวโคร่งสีเทาดำ ภายในสวมเสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงขายาวทรงสุภาพสีดำตัวเดิมกับเมื่อเช้าและรองเท้าสนีคเกอร์ลายม้าลายราคาแพง
“เธอไม่เปลี่ยนบ้างเหรอ ข้างนอกหนาวนะ”
“ฉันก็อยากเปลี่ยนอยู่หรอก แต่ไม่มีชุดใส่นี่นา” ทิวาทำปากยู่แล้วบ่นงุบงิบ เพราะเสื้อผ้าส่วนใหญ่ของเธออยู่ที่ลาฟลอร่าหมดเลย ทำให้เธอไม่มีอะไรใส่นอกจากชุดที่ใส่อยู่ปัจจุบัน
“ยืมชุดฉันก่อนมั้ยล่ะ”
“ได้เหรอ”
“ได้สิ เดี๋ยวไปหาตัวดีๆมาให้แปบนึง” พูดจบกียุลก็หายไปในห้องเก็บเสื้อผ้าอยู่ครู่นึง หญิงสาวที่นั่งรออยู่ก็แอบใจเต้นเบาๆคนเดียวพลางคิดไปว่า มันเหมือนกับที่คู่รักเขาทำกันเวลายืมเสื้อแฟนเลย
“ชุดนี้ได้มั้ย กางเกงนี้ฉันเคยใส่ช่วงคลาสเคาท์ปี 1 เธออาจจะใส่ได้ก็ได้นะ” กียุลวิ่งออกมาพร้อมชุดในมือ ทั้งเสื้อคอเต่าผ้านุ่มสีขาว แจ๊คเก็ตโอเวอร์ไซส์สีขาวมุกพร้อมกางเกงยีนส์ที่มีรอยขาดหน่อยๆตรงหน้าแข้ง
“โห เซ้นส์การแต่งตัวนายก็ดีเหมือนกันนะเนี่ย”
“แน่นอนสิครับ แม่ฉันให้มาเยอะ”
“อะๆ เพราะเป็นแม่นาย ฉันไม่ว่าอะไรก็แล้วกัน” ทิวารับเสื้อผ้าจากมือกียุลแล้วเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำ น่าแปลกใจเหมือนกันที่เสื้อผ้าที่กียุลเลือกมามันดูเข้ากับหญิงสาวได้ดีมากอย่างกับเป็นเสื้อผ้าของเธอเอง กียุลควรไปเป็นดีไซน์เนอร์เถอะ ไม่ต้องมาเรียนธุรกิจอะไรนั่นแล้ว
หญิงสาวออกมาจากห้องน้ำแล้วยืนกางแขนให้ชายหนุ่มดู
“แถ่นแท้นนน!! เป็นงายยย”
“ดูดีเหมือนเจ้าของเลย”
“แหวะ จะอ้วก”
“ฮ่าๆ ใส่ได้มั้ย”
“มันก็ได้นะ แต่...” ทิวาลากเสียงยาวก่อนจะจับกางเกงยีนส์ไว้ “กางเกงมันหลวมอะ ทำไงดี”
“ใช้เข็มกลัดติดไปก่อนละกัน มาเดี๋ยวฉันทำให้”
“มะ ไม่ต้อง!” หญิงสาวรีบถอยหลังหนีทันทีที่ชายหนุ่มเดินมาหาตน
‘จะให้นายตี๋รู้ไม่ได้ว่าพุงเริ่มยื่นเพราะเมื่อกี้กินขนมมากไป อ๊ากก!!’
“อะไรของเธอเนี่ย ฉันทำให้จะได้เสร็จเร็วๆแล้วรีบไปกัน”
“ฉันทำเองได้น่า”
“ไม่ต้องเลย!” กียุลไม่ฟังคำร้องของทิวาแล้วจับตัวเธอให้หันหลัง ทิวาจึงยอมหุบปากแล้วยกแจ๊กเก็ตขึ้นให้
“ถึงฉันจะรู้อยู่แล้วว่าเธอผอม แต่ก็เพิ่งเคยเห็นจริงๆนี่แหละว่าเอวเธอก็คอดกับเขาเหมือนกันนะ” กียุลจัดการติดเข็มกลัดที่ข้างหลังกางเกงให้ทิวาจนเสร็จแล้วพูดขึ้น
‘ฟิ้ว พุงยังไม่ออก โล่งอกไปที’
“พูดงี้หมายความว่าไงยะ”
“เปล่านะ ฉันแค่พูดความจริง เพราะฉันก็เคยจับของเธอหลายครั้งแล้วนี่”
“หยุดพูดเลย! เดี๋ยวคนอื่นมาได้ยินจะทำไงยะ” ทิวารีบหยุดคำพูดสองแง่สองง่ามของชายหนุ่มตรงหน้าทันที
“ฉันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นซะหน่อย แต่ในอนาคตก็ไม่แน่นะ ;)”
“เงียบไปเลยนายตี๋! ไปกันได้แล้ว!” หญิงสาวรีบเดินหนีออกไปจากห้องเพราะทนเขินต่อไปไม่ได้ ชายหนุ่มที่ถูกทิ้งก็หัวเราะให้กับการกระทำของเธอเล็กน้อยก่อนจะวิ่งตามไป
ทั้งสองนั่งรถกอล์ฟของเกาะจนมาถึงร้านอาหารซีฟู้ดแห่งหนึ่งของเกาะที่อยูริมทะเล ภายในร้านตกแต่งด้วยโคมไฟห้อยเพดานทรงครึ่งวงกลมสีโรสโกลด์ห้อยสลับกับโคมไฟสีใสในขนาดและรูปทรงเดียวกัน ผนังร้านทาด้วยสีขาว ด้วยไฟในร้านที่เป็นสีส้มทำให้บรรยากาศภายในร้านดูอบอุ่น โต๊ะหินอ่อนสีพีชขนาดสี่และหกที่นั่งถูกจัดเป็นระเบียบอยู่ในร้านพร้อมเก้าอี้เบาะกำมะหยี่นุ่มสีแดงเข้าเซ็ต ในขณะที่ภายนอกร้านถูกวางด้วยโต๊ะแก้วใสที่ภายใต้โต๊ะมีเหล่าเปลือกหอยและทรายถูกประดับอยู่เป็นชั้นล่าง และเก้าอี้เหล็กสีทองซึ่งเป็นสีเดียวกับขาโต๊ะพร้อมเบาะนั่งเพื่อความสบาย
พวกเขาเดินเข้าไปในร้านโดยที่กียุลได้บอกชื่อของแม่เขาที่เป็นคนจองไว้ พนักงานหนุ่มพาพวกเขาไปยังที่นั่งแห่งนึงภายนอกร้านที่ติดกับชายหาด ไม่นานพนักงานคนเดินได้นำเมนูมาให้พวกเขาทั้งสอง
ไม่ทันไรทิวาก็เปิดไปหน้าของหวานซะแล้ว กียุลที่นั่งอยู่ข้างๆจึงดุไปเล็กน้อยว่าให้สั่งมื้อหลักมาทานกันก่อน เมื่อพวกเขาสั่งอาหารเสร็จ พ่อแม่ของกียุลและมุนอาก็มาถึงร้านกันพอดี
“ขอโทษที่ให้รอนะลูก มาถึงกันนานรึยัง” พ่อกียุลเอ่ยถาม
“เพิ่งถึงเองครับ นอนสบายมั้ยที่นี่”
“ไม่ได้นอนน่ะสิ ก็แม่ลูกเล่นยึดไปทั้งเตียง พ่อต้องไปนั่งโซฟาเลย”
“ก็คุณช้าเองนี่คะ แบร่!” แม่ของกียุลแลบลิ้นใส่สามีตัวเองทีนึง ทำให้ทั้งโต๊ะหัวเราะกันกับความตลกของพวกเขาทั้งสอง
มุนอาที่นั่งอยู่ข้างๆทิวาก็ชวนหญิงสาวคุยต่อที่คุยค้างไว้เมื่อเช้า ส่วนกียุลก็นั่งคุยกับพ่อแม่ของตน จนอาหารของทุกคนมาเสิร์ฟ แต่ละจานส่งกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ชวนน้ำลายสอออกมาแต่ก็ไม่สามารถหยุดการพูดคุยของครอบครัวนี้ได้
ทั้งห้าพูดคุยเรื่องสัพเพเหระด้วยกันอย่างสนุกสนาน แทบไม่เหมือนกันที่สาวชาวไทยคิดไว้เลยสักนิด เพราะตนคิดไปว่าอาจจะอึดอัดเพราะการนั่งกินข้าวกับผู้ใหญ่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะยากสำหรับสาวแก่นอย่างเธอ แต่ด้วยความน่ารักและการชวนคุยที่เก่งของครอบครัวกียุลทำให้ความกังวลใจของเธอหายเป็นปลิดทิ้ง
“หนูทิวาจ๊ะ แม่มีอะไรจะบอกหนูด้วย” แม่ของกียุลพูดขึ้นในขณะที่กำลังม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ของตน
“อะไรเหรอคะ?”
“ความจริงแม่ของหนูกับแม่เป็นเพื่อนกันตอนมหาลัยด้วยจ้ะ ไม่รู้ว่าไอริณเคยเล่าให้ฟังรึเปล่า”
“จริงเหรอคะ!? โลกกลมมากเลย” ดวงตาของทิวาเบิกกว้างทันทีเมื่อรับรู้ว่าแม่ของตนและแม่ของกียุลเป็นเพื่อนกัน
“จริงจ้ะ แต่ว่าเราเรียนคนละสาขากัน”
“แม่เคยเล่านิดหน่อยค่ะว่าแม่มีเพื่อนที่สนิทต่างสาขาคนนึง ที่เรียนเกี่ยวกับเวชศาสตร์เครื่องสำอาง เป็นคุณแม่กียุลรึเปล่าคะ?”
“ใช่แล้ว ไอริณเรียนอาชญาวิทยาและนิติวิทยาศาสตร์ใช่รึเปล่า”
“ใช่แล้วค่ะ แสดงว่าคุณแม่กียุลก็จบลาฟลอร่าเหรอคะ?”
“ถูกต้องเลย! ^^”
“แล้วทำไมแม่ไม่ค่อยเล่าอะไรเกี่ยวกับมหาลัยให้ฟังกันบ้างเลย แอบน้อยใจเหมือนกันนะคะเนี่ย”
“ถ้างั้นแม่จะเล่าให้ฟังแทนเอามั้ยล่ะจ๊ะ”
“ได้สิคะ”
แล้วบทสนทนาหลังจากนั้นก็เต็มไปด้วยเรื่องเผาไอริณตั้งแต่สมัยเรียนตลอดจนจบมื้ออาหาร (หนอยยัยจีฮโย เจอดีแน่ -*-//ไอริณ)
หลังจากที่พ่อของกียุลอาสาเลี้ยงมื้ออาหารมื้อนั้น ทุกคนก็ขอตัวลา โดยที่กียุลสวมกอดลาครอบครัวของเขา เนื่องจากทั้งสามคนต้องขึ้นเครื่องกลับเกาหลีตอนพรุ่งนี้สายๆ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พวกนักเรียนต้องย้ายของเข้าเรือคลาสคิง จึงทำให้กียุลไปส่งครอบครัวของเขาไม่ได้ มุนอาที่ยังทำใจไม่ได้จึงกอดกับกียุลและทิวาอีกรอบ ก่อนจะยื่นถุงสีน้ำตาลใบใหญ่ให้พี่ชายตัวเองโดยบอกว่ามันคือของขวัญวันเรียนจบ
“เดินทางปลอดภัยนะครับ ถึงแล้วบอกด้วย”
“เดินทางปลอดภัยนะคะทุกคน”
“ไว้เจอกันนะจ๊ะทั้งสอง”
“โอปป้าอย่าทำร้ายออนนี่นะคะ ออนนี่หนูจะคิดถึงออนนี่นะ!”
สุดท้ายกียุลและทิวาตัดสินใจเดินไปส่งทั้งสาม เมื่อถึงโรงแรม พวกเขาก็สวมกอดลากันอีกครั้ง เมื่อทั้งสามกลับขึ้นห้องไปแล้ว กียุลจึงชวนทิวาไปเดินเล่นกันให้อาหารย่อยก่อนจะกลับขึ้นเรือ
“เดินเล่นกันมั้ยทิวา”
“เอาสิ แล้วจะไปเดินแถวไหนเหรอ”
“อืม… แถวนั้นดีมั้ย” นิ้วเรียวยาวของชายหนุ่มชี้ไปทางชายหาดที่ใกล้กับท่าเรือที่มีเรือคลาสดุ๊กจอดอยู่ “คนน้อยดี เพราะถ้าเข้าไปเดินเล่นกลางเกาะ คงเจอพวกเพื่อนๆเยอะ ฉันไม่ชอบ”
“ได้นะ เอาที่นายสะดวก”
“เออใช่ เธอเอามือมานี่ ฉันมีอะไรจะให้” กียุลหันมาพูดกับทิวาแล้วยืนกำมือข้างนึง ส่วนหญิงสาวยืนมองมือของชายหนุ่มอย่างงงๆก่อนจะแบมือไปรับอย่างว่าง่าย
มือหนาที่กุมอยู่ค่อยๆคลายออกแล้วประสานไปที่มือบางของคนตรงหน้า ก่อนที่จะกุมมือนั้นแน่น ในวินาทีที่กียุลส่งยิ้มให้ทิวา ใบหน้านวลก็ขึ้นสีระเรื่อในทันที กียุลจึงเริ่มออกเดินก่อนที่หญิงสาวจะยืนเขินไปมากกว่านี้
“ไปกันเถอะ!”
ณ ชายหาดเกาะส่วนตัวแห่งหนึ่ง
ทั้งสองเดินจูงมือกันมาจนถึงชายหาด เม็ดทรายสีน้ำตาลอ่อนเรียงตัวสวยบนพื้นพร้อมกับเปลือกหอยที่ถูกคลื่นซัดมาวางอยู่บนทรายเป็นระยะ เมื่อเดินเล่นสักพักพวกเขาจึงไปเดินเล่นที่ท่าเรือต่อ โชคดีที่ละแวกนั้นไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน ทำให้พวกเขาเดินจับมือกันได้สะดวกใจ
ถึงแม้ทางเดินที่ท่าเรือจะทำด้วยไม้ แต่มันก็แข็งแรงมากๆโดยที่คนเดินไปมาไม่ต้องกังวลว่าจะตกลงไปในน้ำเลย รั้วของท่าเรือสร้างด้วยเหล็กสีเงิน ที่ปลายท่าเรือมีเกาะกลางที่ถูกเจาะเป็นรูขนาดใหญ่พร้อมรั้วกระจกที่ล้อมรอบไม่ให้คนตกลงไป รอบๆเกาะกลางมีม้านั่งสีวนิลากระจายรอบๆ
ทั้งสองหยุดยืนอยู่ตรงปลายสุดของท่าเรือพลางพูดคุยเรื่องเก่าๆด้วยกัน ลมทะเลอ่อนๆพัดพาความเย็นมาปะทะกับร่างของทั้งสอง เส้นผมที่ปลิวไปเบาๆตามแรงลม ดวงตาคู่สวยที่เมื่อมองลงไปก็จะเห็นแสงสะท้อนระยิบระยับจากดาวบนฟ้า หญิงสาวแทบจะละสายตาออกไปจากใบหน้าของชายหนุ่มไม่ได้เลยราวกับถูกมนต์สะกดเอาไว้
“นี่จะจ้องหน้าฉันไปอีกนานแค่ไหนกันหืม?”
“มะ ไม่ได้จ้องซักหน่อย!” เมื่อทิวาถูกจับได้เธอก็รีบหันหน้าหนี แต่ชายหนุ่มไม่ได้ว่าอะไร กลับกันเขามองว่าการกระทำนนี้มันน่ารักไม่น้อย
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดจะหันหน้าไปทางอื่นเพราะเขาดันชอบที่ถูกทิวาจ้อง แต่ถ้าเป็นคนอื่นคงทำหน้าบูดใส่ไปแล้วล่ะ
“ว่าแต่ เธอจำวันแรกที่เราเจอกันได้มั้ย”
“โอ้โห ใครมันจะลืมลง!”
“ฮ่าๆๆ ฉันก็ลืมไม่ลงเหมือนกัน ยังรู้สึกเหมือนเจ็บๆที่หลังอยู่จนถึงทุกวันนี้อยู่เลย” พูดจบกียุลก็ทำท่าลูบหลังจนทิวาต้องตีแขนไปหนึ่งที
“เลิกเวอร์!”
“ฮ่าๆๆ ล้อเล่นน่า ตอนนั้นเป็นเพราะครูฌาแนตต์ใช่มั้ยล่ะ”
“ใช่ แรงของครูเค้าน่ากลัวมากเลยนะ แต่ไหงเป็นฉันที่ลงหนังสือพิมพ์ได้ล่ะเนี่ย”
“พาดหัวข่าวซะใหญ่โต ‘ลิงกังพังงานต้อนรับโรงเรียนเจ้าชายโนอาห์’ เธอนี่มันสุดจริงๆ”
“เลิกย้ำเถอะน่า แต่ถ้าไม่เกิดเรื่องวันนั้น เราก็คงไม่ได้รู้จักกันจนถึงวันนี้หรอก” ทิวาเบือนหน้าไปทางทะเล เธอรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะถ้าไม่ได้ครูฌาแนตต์ ก็คงไม่มีวันที่เธอจะได้มายืนกับกียุลตรงนี้ ดีไม่ดี ที่ตรงนี้ก็อาจจะเป็นผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่เธอก็ได้
หญิงสาวกัดปากของตัวเองแน่นเพื่อให้สมองหยุดคิดอะไรแย่ๆแบบนั้น แต่ยิ่งอดกลั้น มันยิ่งทำให้เธฮคิดมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆจนอยากจะร้องไห้ออกมา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทิวาคิดแบบนี้ ในช่วงเวลาที่เธออยู่คนเดียว เธอเคยคิดหลายรอบแล้ว ว่าที่ที่เธออยู่ตรงนี้มันใช่ที่ของเธอจริงๆใช่มั้ย ยิ่งความรักที่กียุลมีให้ มันยิ่งตอกย้ำว่าเหมือนเธอไปแย่งที่ของใครบางคนมาอย่างนั้นแหละ
‘ถ้าไม่มีเธอสักคน ทุกอย่างคงจะเป็นของฉัน เธอแย่งทุกๆอย่างของฉันไป!’
“อึก!” จู่ๆคำพูดของศัตรูในอดีตอย่างไลลาก็พุ่งเข้ามาในหัว เป็นประโยคที่เธอไม่เคยกำจัดมันออกจากชีวิตได้เลยซักนิดไม่ว่าจะทำวิธีไหนก็ตาม เสียงนั้นดังก้องราวกับเพิ่งได้ยินมันมาสดๆร้อนๆเมื่อวาน
“ทิวาเธอเป็นอะไร!?” กียุลรีบเข้าไปคว้าตัวทิวาที่กำลังจะล้มลงทันที สองแขนแกร่งพยุงให้เธอยืนขึ้นน แต่หญิงสาวกลับไม่เงยหน้ามองชายหนุ่ม ร่างของเธอสั่น มือทั้งสองกุมเสื้อฮู้ดของคนตัวสูงแน่นราวกับกำลังยับยั้งอารมณ์ขุ่นมัวภายในใจตัวเอง
“... ฮึก”
“ฉันอยู่นี่แล้ว ไม่เป็นไรนะ” มือของกียุลลูบหัวทิวา ความอบอุ่นที่ได้รับทำให้เธอค่อยๆใจเย็นลง แต่เธอก็ยังคงซุกหน้าที่อกแกร่งของชายหนุ่มเหมือนเดิม
“บางทีฉันก็คิดนะ ว่ามันดีจริงๆแล้วเหรอ ที่ฉันได้รู้จักกับนาย”
“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ”
“ก็… ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ฉันก็คอยเอาแต่สร้างปัญหาให้นายตลอด ขนาดบางทีนายเรียนอยู่โนอาห์ นายยังต้องถ่อมาช่วยฉันเลย แถมฉันก็ไม่ผู้หญิงที่สวยเก่งอะไร เรียบร้อยก็ไม่เรียบร้อย บางทีตอนนี้นายอาจจะเจอคนที่ดีกว่าฉันก็ไ-”
“คนที่ดีสำหรับฉันคือเธอทิวา!”
กียุลแย้งทิวาเสียงดัง ดวงตาที่หนักแน่นของเขาจ้องลึลงไปในดวงตาของหญิงสาวพร้อมกับจับมือของเธอแน่น
“...”
“ฉันดีใจมากที่ได้รู้จักกับเธอ ถึงแม้วันนั้นเราอาจจะไม่ได้เจอกัน แต่เชื่อเถอะว่าในวันข้างหน้าเราก็ต้องเจอกันอยู่ดี เธอจำฮันนี่แรลลี่ไม่ได้เหรอ ที่พวกเราต้องแข่งกัน ตอนนั้นเราก็สนิทกันมากขึ้น ถึงเธอจะไม่ได้เรียบร้อยอะไร แต่คนที่คอยทำให้แต่ละวันของฉันสดใสก็มีแต่เธอเท่านั้นทิวา”
“...”
“ฉันไม่อยากให้เธอคิดอย่างนั้น ฉันอยากให้เธอมองแค่ฉัน คิดถึงแค่ฉันเท่านั้น เพราะฉันคิดถึงแต่เธอ”
“กียุล...”
“ไม่มีใครที่มาแทนที่เธอได้หรอก ถึงคนอื่นจะวิเศษมาจากไหน แต่คนที่ทำให้ใจฉันเต้นแรงก็มีแต่เธอเท่านั้น” กียุลดึงมือของทิวาไปแนบที่กลางอก มือบางสัมผัสได้ถึงกล้ามเนื้อภายในที่สูบฉีดไปมาระรัว เมื่อเธอเงยไปมองหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง ก็เห็นใบหน้าของเขาที่ขึ้นสีพอๆกับใบหน้าของเธอ
‘อา… นี่ฉันพูดบ้าอะไรออกไปนะ ไม่น่าพูดออกไปเลย’ ทิวานึกโทษตัวเองในใจ ที่เอาแต่พูดในแง่ลบ ทั้งๆที่คนตรงหน้าไม่ได้คิดไปแบบที่เธอคิดมากไปเองเลยด้วยซ้ำ
“ขอบคุณนะ”
“เพราะฉะนั้น ห้ามคิดแบบนั้นอีกนะ”
“อื้ม”
ทั้งสองสวมกอดกัน แลกเปลี่ยนความอบอุ่นท่ามกลางหัวใจที่เต้นเร็ว
“เธอยังจำครั้งแรกที่เราเต้นรำกันได้มั้ย” เสียงทุ้มต่ำแต่ก็อ่อนนุ่มเอ่ยขึ้นขณะที่ใบหน้าเขากำลังซุกอยู่ที่ไหล่ของหญิงสาว
“จำได้สิ เป็นคืนที่สนุกมากเลยนะ ฮ่าๆ”
“แล้วเธออยากเต้นรำกับฉันต่อไปมั้ย”
“หมายความว่าไงอะ”
กียุลค่อยๆคลายกอดอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะทำท่าโค้ง มือข้างหนึ่งไขว้หลัง ส่วนอีกข้างจับมือของหญิงสาวขึ้นมา
“ผมคิม กียุล อยากจะถามกับหญิงสาวผู้เป็นที่รักของผมตรงหน้าว่า รบกวนคุณผู้หญิงเต้นรำกับผมไปตลอดจนแก่เฒ่าเลยได้มั้ยครับ”
ในท่ามกลางบรรยากาศที่เหล่าหมู่ดาวและดวงจันทร์สาดแสงส่องลงมายังพวกเขา ชายหนุ่มโค้งตัวลงแล้วจุมพิตไปที่หลังมือของหญิงสาว คำถามที่เธอไม่เคยคิดว่าในชีวิตนี้จะได้รับมันสร้างความประหลาดใจและดีใจให้ทิวาเป็นอย่างมาก น้ำตาของหญิงสาวไหลรินลงมาทันทีที่ตอบรับคำขอแล้ววิ่งเข้าไปสววมกอดชายหนุ่มทันที
“ตกลง!”
มือหนาของกียุลเช็ดน้ำตาที่รินรดบนหน้าของทิวาก่อนจะประคองหน้าหญิงสาวแล้วประกบริมฝีปากของเขาลง จุมพิตครั้งนี้นุ่มลึกและหวานชวนฝันยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ไม่ได้มีการหยอกเล่นอย่างร้อนแรงเช่นครั้งก่อน กลับกันมีแต่สัมผัสอันอ่อนโยนที่ตราตรึงพวกเขาทั้งสอง ราวกับว่ามันจะเป็นพยานแห่งความรักของพวกเขาในค่ำคืนนี้
“อย่างนี้ก็เรียกยัยลิงไม่ได้แล้วสิ”
“เอ๋ ทำไมล่ะ ชื่อนั้นก็ไม่ได้แย่นะ”
“ต้องเรียกว่าที่รักน่ะสิ ถึงจะถูก”
“รักนะครับ ที่รักของกียุล :) ♥”
ทางฝั่งของพ่อแม่กียุล
“เอ้อแม่ ตอนที่แม่ไปคุยกับเพื่อนน่ะ ซุบซิบกันว่าอะไรเหรอ” พ่อของกียุลเอ่ยขึ้นขณะเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยเปื่อย
“อ๋อ นั่นน่ะเหรอ”
“...”
“ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่
ไอริณเขาก็แค่บอกว่า อีกหน่อยเราก็ต้องเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ เธอโอเคมั้ย ;)”
______________________________________________________________________
(กรี๊ดดดดดเขาเป็นแฟนกันแล้วค่ะแม่!!!) สวัสดีค่าผู้อ่านทุกท่าน ตอนนี้ค่อนข้างยาวหน่อยนะคะเพราะเป็นตอนที่พิเศษมากๆ (แต่งเพลินด้วยค่ะ555) ใจแฟนคลับขี้ชิปคนนี้แทบละลายเลยค่ะ แง เป็นแฟนกันในนิยายก็ยังดี TwT
และรูปของตอนนี้นั่นคืออออ รูปของพระเอกนางเอกของเราในวันจบนั่นเองค่า (คุณแม่กียุลเป็นคนถ่ายรูปนี้ด้วยแหละ :D)
ตอนแรกเรากะจะลงสีด้วยค่ะ แต่ว่าเกิดข้อผิดพลาดอย่างหนัก เลยคิดว่าค่อยเอามาลงให้ผู้อ่านได้ชมกันวันหลังดีกว่าา T___T
ทรงผมนี้ของทิวาเป็นไอเดียของพี่เบล นักวาดลาฟลอร่าคนปัจจุบันนั่นเองค่ะ เพราะวันก่อนเราดูไลฟ์ที่พี่ๆทีมงานตอบคำถามกับทิวาและเห็นพี่เบลวาดทิวาตอนโตไว้ เห็นว่าน่ารักมากๆเลยเอามาเป็นเรฟค่ะ
ตอนนี้เราใส่ความพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ได้ตอนที่พิเศษและหวานๆค่ะ นอนกลิ้งหลายรอบมากว่าแต่ละฉากควรเป็นยังไงต่อไปดีนะ XD หวังว่าทุกคนจะชอบกันนะคะ
สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านเหมือนเดิมนะคะ ดีใจที่ชอบนิยายของไรท์ พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ ^^
ความคิดเห็น