คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #36 : ตอนที่ 25 : ถ้าฉันหึงแล้วมันจะทำไม?
25
ถ้าฉันหึงแล้วมันจะทำไม?
ทางด้านของไลลา
หลังจากที่องค์กรโลกได้จับตัวลูกทีมของไลลาไปหมดแล้ว เธอจึงค่อยๆแง้มประตูทางลับขึ้นเพื่อดูลาดเลาว่ามีใครอยู่แถวนั้นมั้ย เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่จึงออกมาจากทางลับ หญิงสาวรีบสาวเท้าไปทางประตูทางออกทันที แต่ก็พบว่ามันถูกล็อค เธอกดรหัสลงไปกี่ครั้งประตูก็ไม่ตอบสนองจนหญิงสาวหัวเสีย เอาจอบที่วางอยู่แถวๆนั้นมาฟาดใส่ประตูด้วยความเลือดร้อน เสียงของเหล็กกระทบกันดังก้องไปทั่วสวนพร้อมกับรูปร่างของจอบที่ค่อยๆงอทุกครั้งที่ไลลาฟาดไปที่ประตูอย่างแรง
“หนอย!!! ไอ้พวก***นี่!!! อย่าให้ฉันออกไปได้นะ!!!!” โทสะของไลลาถูกระเบิดออกมาดังลั่นจนแมลงที่บินอยู่แถวนั้นถึงกับต้องอุดหู ดวงตาสีฟ้าสดใสบัดนี้กลับหม่นหมองลง เธอถลึงตาไปยังประตูตรงหน้าพร้อมกับปาจอบลงพื้นก่อนจะกดโทรศัพท์โทรหาใครบางคน
“ฉันติดอยู่ในสวน พาพี่ไอบ้ามาช่วยฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ!!”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
[The door has opened]
เสียงประตูดังขึ้นพร้อมกับร่างของบุคคลผู้มาเยือนใหม่สองคน พวกเขาเดินเข้าไปที่ต้นมะฮอกกานี หนึ่งในสองคนนั้นใช้ส้นตีนเคาะที่ประตูทางลับสามทีด้วยความสมเพชในใจ ไม่นานผู้ที่หลบซ่อนอยู่ข้างใต้ก็เผยตัวขึ้นมา
“มากันสักทีนะคุณราเควล พี่อ๊อตโต้!”
“ถามจริงเถอะไปทำอะไรทำไมถึงโดนขังอยู่ในนี้” อ๊อตโต้ยืนกอดอกมองลงต่ำที่น้องสาวของตนด้วยสายตาที่ไม่สบอารมณ์สุดขีด เพราะตอนนี้มันเป็นเวลาที่ลูกค้าจะมาทานอาหารเย็นเยอะที่สุดน่ะสิ เท่ากับเขาต้องทิ้งร้านมาเพื่อมาหาไลลาโดยเฉพาะ
“ก็ลูกน้องหนูน่ะสิ ดันโดนพวกองค์กรโลกจับกุม มีแต่หนูที่รอด”
“เธอนี่มันโง่จริงๆ กำลังคนก็น้อยอยู่แล้วยังจะไปหาเรื่องคนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้าอีก ตอนนี้ก็เสียลูกน้องไปสามแล้วจะทำไง สร้างปัญหาเก่งจริงๆ”
“รู้ได้ไงว่าหนูไปหาเรื่องคนอื่นก่อน”
“ราเควลเล่าให้ฉันฟังแล้วแหละ” อ๊อตโต้ใช้นิ้วโป้งชี้ไปด้านหลังของตนที่มีราเควลยืนยิ้มให้อยู่
“เออว่าแต่ ทำไมพวกพี่ใส่ชุดนี้อะ” สายตาของไลลาเพิ่งมาจับสังเกตได้ว่าทั้งสองคนใส่ชุดภารโรงแทนที่จะเป็นชุดปกติ แถมในมือของลูกน้องของเธอยังมีไม้ถูพื้นและถังเปล่าอยู่ด้วย
“โง่ซ้ำโง่ซากนะเธอน่ะ ก็ไอ้ห้องนี้ถ้าไม่ใช่นักเรียน อาจารย์หรือคนทำความสะอาดก็เข้ามาไม่ได้น่ะสิ พวกฉันเลยต้องลำบากไปวางยาสลบภารโรงพวกนี้เพื่อจะเอาชุดกับลายนิ้วมือของพวกนั้นแล้วขังไว้ในห้องน้ำแล้วมาช่วยเธอเนี่ย -_-”
“เนี่ยดูดิ ฝีมือทำเรื่องแบบนี้ก็ยังดีอยู่ แทนที่จะเสียเวลาขายขนมไปวันๆ มาช่วยน้องขโมยของไปขายในตลาดมืดไม่ดีกว่ารึไง”
“พูดกี่ครั้งแล้วว่าไม่วะ ปากเปียกปากแฉะหมดแล้วเนี่ย”
“เถอะนะพี่! ฝีมือปลอมตัวพี่ก็เก่งกาจ ช่วยน้องเถอะ นะนะนะ”
ไลลากุมมือทั้งสองข้างแล้วทำหน้าวิงวอน หญิงสาวพูดขอร้องซ้ำไปซ้ำมาหลายสิบรอบจนอ๊อตโต้ทนกับความตื๊อไม่เลิกไม่ไหว เขาตบหน้าผากตัวเองอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจเสียงตะโกนไล่หลังของน้องสาวตัวเองเลยสักนิด
“พี่จะไปไหน!!!!!”
“โอ๊ยอีไลลาพูดมากจริงๆ!!!! ตั้งแต่คืนนี้ไม่ต้องโผล่มาให้เห็นหน้าอีกนะ ไม่ต้องมาใช้ทางลับซุกหัวนอนด้วย ไปนอนกับลูกน้องของเธอไป จะได้เลิกสร้างปัญหาบนเรือนี้สักที!!!”
“ไล่งี้กันเลยเหรอห๊ะ!!??”
.
.
.
สุดท้ายไลลาก็ทำตามคำไล่ของอ๊อตโต้อย่างเลี่ยงไม่ได้ เธอขอใช้ห้องราเควลเป็นที่ซุกหัวนอนชั่วคราวแลกกับการทำความสะอาดให้ทั้งห้อง แต่ราเควลเกรงใจเพราะไลลามีศักดิ์เป็นหัวหน้าของเธอด้วย เธอจึงให้ไลลาช่วยทำครึ่งนึงแทน
หลังจากที่สองสาวได้มาถึงห้องพัก ไลลาก็ถือวิสาสะลงไปนั่งกับเตียงด้วยความโมโหทันที
“โธ่เว้ย!!! หงุดหงิด!! เธอรู้มั้ยตอนนี้ฉํนโคตรอยากจะตามไปฆ่าพวกองค์กรโลกหน้าโง่พวกนั้นมากเลย!!”
ราเควลที่เดินไปหยิบน้ำชาในครัวเดินออกมากับถาดในมือ กาน้ำชาและแก้วชาสองใบ เธอค่อยๆรินใส่แก้วทีละใบพร้อมกับพูดให้ไลลาสงบสติอารมณ์
“ใจเย็นๆก่อนนะคะคุณบลองค์ชาร์ด พวกนั้นทำอะไรให้คุณถึงหัวร้อนขนาดนี้ล่ะคะ”
“ก็พวกมันยิงหนึ่งในสามคนนั้นน่ะสิ! ฉันไม่แน่ใจหรอกนะว่าเป็นแบรตหรือแจ็คเกอรีน แต่เสียงที่เขาร้องออกมามันโหยหวนมาก ฉันเลยอยากตามไปฆ่าแล้วฟังเสียงโหยหวนของพวกองค์กรโลกบ้าง โทษฐานมาทำร้ายพวกของฉัน!”
“แต่ฉันมองกลับกันนะคะ ฉํนว่าคุณไลลาควรโฟกัสกับเป้าหมายหลักของเราก่อนดีกว่า”
ไลลาที่ได้ยินเสียงคัดค้านที่สุภาพของลูกน้องตัวเองก็หันขวับแล้วทำตาเขียวใส่ประมาณว่า ‘ทำไม!?’
“ถ้าจะตามไปช่วยซะเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวแผนที่กำลังทำมันจะไม่สำเร็จนะคะ แถมจุดมุ่งหมายขององค์กรเราอาจจะเปลี่ยนไป เราอย่าทำให้มือเราเปื้อนเลือดเลยดีกว่าค่ะ เราควรโฟกัสกับการเอาของไปขายแล้วได้เงินดีๆ แต่ถ้าจบเรื่องแล้วยังอยากฆ่าอยู่ ก็ฆ่าเอาตอนนั้นก็น่าจะยังไม่สายนะคะ” ราเควลอธิบายด้วยเหตุผลและความคิดของเธออย่างใจเย็นด้วยน้ำเสียงๆ ทำให้ท่าทางแข็งกระด้างของไลลาพอทุเลาลงบ้าง ไลลาเริ่มกลับมามีอารมณ์ที่คงที่ เธอจิบชาที่ราเควลเอามาให้พลางคิดตาม
‘มันก็จริงที่เราตามมาฆ่าทีหลังก็ยังได้ เพราะตอนนั้นเราอาจจะได้ทั้งเงินทั้งพรรคพวกมาเยอะแล้วมารุมฆ่าพวกนั้นได้ แบบนั้นน่าจะสนุกกว่าเยอะ’
“แถมอีกอย่าง...” ราเควลทิ้งช่วงไปครู่นึงก่อนจะเอ่ยต่อพลางหรี่ตาลงแล้วมองหัวหน้าของตนอย่างมีเลศนัย “คุณบลองค์ชาร์ดก็ได้ที่อยู่ของ ‘สิ่งนั้น’ มาแล้วไม่ใช่เหรอคะ?”
“เออใช่! ฉันลืมไปได้ไงเนี่ย เอาตามที่คุณราเควลบอกก็ได้ค่ะ งั้นเรามาเตรียมแผนอันสุดยิ่งใหญ่ของเราที่ค้างไว้วันก่อนกันเลยดีมั้ยคะ”
“ได้เลยค่ะ ส่วนแผน นี่คือของทุกอย่างที่คุณได้มอบหมายให้พวกเราไปสั่งซื้อมา คาดว่าอีกหนึ่งอาทิตย์ทุกอย่างจะพร้อมค่ะ” ราเควลหยิบเอกสารที่เตรียมไว้ให้ไลลา ในนั้นมีทั้งคำสั่งซื้ออาวุธ เฮลิคอปเตอร์ แม้กระทั่งการจ้างวานกองกำลังชั่วคราว และแน่นอนว่าทุกอย่างได้มาอย่างผิดกฏหมายและราคาถูกจนไม่สมเหตุสมผลกับปริมาณที่ได้มา
“ดีมากค่ะ จำนวนประมาณนี้ก็น่าจะพอให้สถานกาณ์สนุกขึ้นเยอะเลยนะคะ ทำดีมากค่ะคุณราเควล”
“ด้วยความยินดีค่ะ”
ไลลาที่เห็นแผนการของตัวเองกำลังไปได้สวยถึงแม้จะต้องแลกกับการเสียลูกทีมไปก็กระตุกยิ้มมุมปาก สองมือของเธอกำกระดาษในมือแน่นจนกระดาษยับยู่ยี่ไม่เป็นรูป หญิงสาวยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาไขว่ห้างแล้วพึมพัมกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่พึงพอใจต่างจากเมื่อไม่กี่นาททีก่อนลิบลับ
“หึ ไอพวกองค์กรโลก อยากสู้กันแบบนี้ใช่มั้ย ได้ อีกหนึ่งอาทิตย์เจอกัน”
สองวันก่อนจะถึงพิธีจบการศึกษาของคลาสดุ๊ก หรือพิธีย้ายเรือ
[Giyul]
“สำหรับวันนี้ทำได้ดีมากครับ ขอบคุณพวกน้องๆทุกคนนะ สำหรับใครที่จะอยู่ทำต่อก็ตามสบายเลยนะครับ พี่ขอตัวก่อน”
“ขอบคุณครับท่านประธาน!”
เสียงขอบคุณของรุ่นน้องปี 2 ดังขึ้นในขณะที่ผมขอตัวลา ผมยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะหันตัวเดินไปยังจุดหมายต่อไปที่สามารถจะเติมพลังให้ผมได้
ใช่ครับ ผมกำลังเดินกลับไปหาทิวา
วันนี้เป็นอีกวันที่เหนื่อยมากๆแต่ถือว่าน่าประทับใจพอสมควรเพราะงานที่พวกผมกำลังเตรียมใกล้เสร็จหมดแล้ว เหลือแค่เก็บรายละเอียดเท่านั้น ถ้ามีกอดอุ่นๆให้เติมพลังตอนกลับถึงห้องก็คงดีไม่น้อย
ตอนแรกผมกะว่าจะเดินกลับห้องเลย แต่นึกขึ้นได้ว่าลืมตรวจเช็คอะไรบางอย่างเลยแวะที่ชั้น 6 ซึ่งเป็นชั้นหอพักของพวกเพื่อนผม ที่มาเช็คไม่ใช่อะไร จะมาดูว่าพวกนั้นเก็บของกันเสร็จยัง
เนื่องจากอีกสองวันข้างหน้าเป็นพิธีจบการศึกษาของพวกผม พวกผมจึงต้องเตรียมตัวย้ายที่เรียนจากเรือคลาสดุ๊กเป็นเรือคลาสคิง และแน่นอนว่าของของพวกผมก็ต้องถูกย้ายไปด้วย แต่ว่าทางโรงเรียนจะทยอยขนของไปให้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ยกเว้นสิ่งของจำเป็นไม่กี่อย่างที่ต้องเก็บไว้กับตัวเช่นเสื้อผ้า หรือของสำคัญ เพราะหลังจากจบพิธีไปไม่กี่วัน นักเรียนทุกคนก็ต้องขึ้นเครื่องบินกลับบ้านของตัวเองไปในช่วงปิดเทอม ผมเลยจะมาดูว่าพวกเพื่อนๆตัวดีเก็บของกันเสร็จยัง
ส่วนวิธีดูก็ง่ายๆ ไม่ยาก เพียงแค่เดินไปที่จุดวางกุญแจสำรองของห้องพักแล้วนับจำนวนดู ก็พอรู้ได้บ้างแล้วล่ะว่าเก็บของเสร็จกันไปเท่าไหร่แล้ว
อาจจะงงว่ากุญแจสำรองมันทำไม อย่างที่ผมกล่าวไปข้างต้น ทางโรงเรียนจะเป็นคนขนย้ายสิ่งของให้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องมีกุญแจสำหรับแต่ละห้องเพื่อขนของออก และไม่ต้องกังวลว่าของจะถูกขโมยโดยเจ้าหน้าที่ เพราะทางเรามีคุณครูที่เชื่อถือได้คอยคุมอยู่หลายสิบคนและนักเรียนผู้เสียหายสามารถฟ้องคนขโมยได้ถ้าเกิดกรณีแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ
การฟ้องศาลเคยเกิดขึ้นแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลายสิบปีก่อน เนื่องจากที่ทางเจ้าหน้าที่คนนึงพยายามจะขโมยของมีค่าของนักเรียนคนนึง เขาถูกจับได้และโดนฟ้องค่าเสียหายหลายล้านดอลล่าร์ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครทำอีกเลย
“ดูท่าจะเก็บกันได้เยอะละ” ผมพึมพัมกับตัวเองในใจก่อนจะเดินขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 7 ที่เป็นที่พักของผม อยากจะเจอทิวาใจจะขาดอยู่แล้ว ทำไมห้องผมต้องอยู่ไกลด้วยนะไม่เข้าใจ
แอ๊ด…
“เมี้ยว~” เจ้านิลวิ่งจากที่นอนของมันมาคลอเคลียเพื่อทักทายผม ขี้อ้อนจริงๆนะเรา
“ว่าไงเจ้านิล แล้วเจ้าของของแกอยู่มั้ย”
“เมี้ยว~” เจ้านิลร้องแล้วกัดชายกางเกงผมเพื่อดึงไปทางห้องทำงาน
ไอแมวนี่ก็ฟังภาษาเกาหลีออกแฮะ สุดยอดว่ะ =_=
ผมถอดเสื้อนอกและรองเท้าออก ก่อนจะเดินไปล้างมือล้างหน้าแล้วตามเจ้านิลไป พอผมเปิดประตูออกก็พบกับทิวาที่นั่งเอาขาห้อยกับที่วางแขนฝั่งนึงและใช้ที่วางแขนอีกฝั่งเป็นที่หนุนหัว เธอนั่งเหมือนกับลูกลิงที่ขดตัวอยู่ในบีนแบ็กเลย ให้ตายสิ
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจออกมาเบาๆด้วยความเอ็นดูยัยนี่ ผมว่าเธอคงเบื่อนั่งทำงานแบบเดิมแล้วเลยนั่งท่าประหลาดนี่
“อ๊ะ กียุลกลับมาแล้วเหรอ” หญิงสาวที่ได้ยินเสียงเปิดประตูก็หันมาทางผมแล้วเรียกชื่อผมทันใด
“ดีใจรึไงที่ได้เห็นหน้าฉัน”
“จะบ้ารึไง! ไม่ใช่สักหน่อย จะหาคนมาช่วยงานต่างหาก”
แน่ะ มีตอบเบี่ยงประเด็นซะด้วย
“ขอให้มันจริงละกัน ทำถึงไหนละ”
“ถึงอเมริกา”
“ถ้ากวนจะไม่ช่วยแล้วนะยัยลิง -*-”
“ล้อเล่นน่า ทำถึงหน้านี้ แป๊บนะ” ทิวาวางกระดาษในมือไว้บนโต๊ะแล้วพยายามดันตัวขึ้นจากเก้าอี้ แต่ดันเท่าไหร่ก็ดันไม่ขึ้นเพราะเหมือนตัวเธอจะจมลงไปกับเก้าอี้แล้ว คุณเธอยันตัวขึ้นลงหลายทีจนผมอดหัวเราะกับท่าทางโก๊ะนั่นไม่ได้
ผมนึกออกละว่าจะช่วยยังไง
ฟึบ!
“เอ๊ะ!? O////O”
“เอ๊ะอะไรฮะยัยลิง”
ทิวาอุทานเสียงหลงในขณะที่ผมช้อนตัวหญิงสาวขึ้นจากเก้าอี้ ทำให้ตอนนี้ผมอุ้มเธอในท่าเจ้าหญิง ใบหน้าของเธอเริ่มขึ้นสีพร้อมกับแรงดิ้นที่จะดิ้นทำไมเนี่ยยัยบ๊อง!!
“นายทำบ้าอะไรเนี่ย!?”
“อย่าดิ้นได้มั้ย เดี๋ยวก็ตกหรอก”
“นายก็ปล่อยฉันสิ!!”
“เธอก็หยุดดิ้นก่อน!!”
ทิวาหยุดดิ้นแต่โดยดี ผมจึงค่อยๆวางตัวเธอบนโซฟาตัวกว้างในห้องทำงาน ต่อมาผมทิ้งตัวลงจนอยู่ในท่าที่เหมือนผมกำลังคร่อมทิวา(เอาจริงๆก็คร่อมแหละ (-<_-; ))โดยไม่ปล่อยให้เธอได้มีโอกาสลุกขึ้น ส่วนเธอคงตกใจไม่น้อยจนทำตาโตแล้วรีบดันผมออกแล้วโวายวายใหญ่
“อะ อะไรของนายเนี่ยย มานอนทับฉันทำไม!?”
“เขาเรียกว่าคร่อม ไม่ใช่นอนทับ”
“เออเหมือนกันนั่นแหละ ฉันแค่ไม่อยากใช้คำนั้น แล้วก็ออกไปได้แล้ว -////-”
“ไม่ออก จะทำไม”
“แล้วจะมาคร่อมทำบ้าอะไรล่ะยะ!”
“อยากกอดอะ ขอกอดหน่อยได้มั้ย”
“ห๊ะ?”
ทิวามองหน้าผมอย่างงงๆพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น ไม่นานตัวเธอน่าจะประมวลผลในหัวเสร็จ เธอเลยยิ้มออกมาแล้วถอนหายใจให้ผมเบาๆก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปกอด
“เฮ้อ นายนี่น้า อยากกอดก็บอกกันดีๆก็ได้ คงเหนื่อยมากสินะวันนี้”
“อือ...” ผมตอบรับอยู่ในลำคอแล้วเอาหัวซุกลงไปที่คอข้างซ้ายของเธอ ทิวาไม่ได้ว่าอะไรแล้วนอนลูบหัวผมไปมา
ไออุ่นที่ได้จากตัวทิวามันโคตรจะดีชนิดที่หาที่ไหนจากโลกนี้ไม่ได้อีกแล้ว ผมจึงเสพติดการชาร์จพลังงานในรูปแบบนี้เอามากๆ
เสียงหัวใจที่เต้นรัวของเธอมันดังซะจนผมได้ยิน แถมบางทียังสัมผัสได้ถึงมันอีกต่างหาก มันยิ่งทำให้หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นเช่นกัน สองมือผมโอบร่างของทิวาแน่น ถึงแม้ผมจะไม่เห็นใบหน้าของเธอก็ตาม แต่ผมก็รู้ได้ว่าตอนี้คุณเธอคงเขินจนหน้าแดงเป็นมะเขือเทศอยู่แน่ๆ
ไม่คิดเลยว่าจากวันนั้น ที่เรากัดกันจะเป็นจะตายจนทุกคนต้องปวดหัว กลายมาเป็นวันนึงผมดันรักยัยลิงนี่เข้าให้เต็มเปา ผมไม่แน่ใจว่าความรู้สึกผมเปลี่ยนไปตอนไหน แต่อาจจะเป็นตอนที่ผมได้ช่วยเหลือยัยนี่ล่ะมั้ง ยอมรับตรงๆช่วงแรกก็มีปวดหัวเพราะตัวเธอดูจะไม่เก่งเลยสักด้าน แต่พอได้เรียนรู้เกี่ยวกับทิวามากขึ้น เลยได้รู้ว่าทิวาเป็นคนที่ชอบคิดถึงแต่คนอื่นก่อนและมีจิตใจดีมากๆ ดีจนบางทีผมยังสงสัยเลยว่าครูไอริณเลี้ยงมายังไงให้จิตใจดีขนาดนี้ ไม่ทันไรผมก็คอยช่วยเหลือยัยลิงนี่โดยอัตโนมัติไปแล้ว
เอาจริงๆผมก็กลัวๆเหมือนกันนะว่ายัยลิงจะไม่ได้คิดกับผมเหมือนที่ผมคิดกับเธอ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นอาจจะถึงขั้นตัดเพื่อนกันเลยก็ได้ แถมเวลาคุยแชทกันก็มีแต่เถียงกันเกือบทุกครั้ง แต่ผมก็ยังพยายามทักไปคุยตลอด(ก็มันอยากคุยนี่นา -3-) แต่พอผมต้องไปอยู่ลาฟลอร่าชั่วคราวแล้วเจอกับทิวาจริงๆ มันทำให้ผมแน่ใจว่า ผมไม่น่าจะชอบอยู่ฝ่ายเดียว
และก็ใช่จริงๆ ผมกับทิวา เราคิดเหมือนกัน
ดีใจมากๆจนอยากจะกอดยัยนี่ไปนานเท่านานเลย :)
ผมอยู่ในท่านี้กับทิวาสักพักใหญ่ แต่เพราะกลัวว่าเธอจะหนักและอึดอัด ผมจึงเป็นฝ่ายคลายกอดออกแล้วดึงตัวเธอให้ลุกขึ้นนั่งตามปกติ แต่ผมก็ยังไม่วายกอดยัยลิงซ้ำอีกรอบ ก็คนมันมันเขี้ยวอะ
“อะไรเนี่ยนายตี๋ กอดอีกแล้วเหรอ!?”
“คนมันคิดถึงนี่นา”
“แหม ตั้งแต่ที่นายเมาวันนั้นนายก็ดูปากตรงกับใจขึ้นเยอะเลยนะ”
“ทำไมอะ ไม่ชอบเหรอ”
“ไม่อะ”
“พูดงี้ฉันเสียใจนะ :(”
“ไม่ต้องกลับไปซึนแล้ว นิสัยแบบนี้ฉันชอบ วันหลังก็ฟังคนอื่นพูดให้จบก่อนสิยะ”
“อะแฮ่ม!” เสียงของบุคคลที่สามดังขึ้นแถวๆประตู ทำให้ผมต้องหันไปดูว่าต้นเสียงที่มาขัดการกอดของผมคือใคร -*- และก็พบว่าไอคนนั้นก็คือเพื่อนสนิทตัวดีของผมนี่แหละ ไอบ้ากัปตัน C.L.O.C.K.
“มีอะไรไอ้หัวส้ม”
“อะไรเนี่ยโอปป้า ทักทายเพื่อนฝูงให้มันดีๆหน่อยสิ”
“แล้วอยากมาขัดตอนฉันสวีทกับยัยลิงทำไมล่ะ -*-” ผมจ้องไปที่คริสเขม็งแล้วพูดความจริง ทำให้ทิวาหันขวับมามองผมตาโตทันทีว่ากล้าพูดออกมาแบบนั้นได้ยังไง
ขอโทษครับผมมันไม่มียางอาย :P
“Sorry for interrupting y’all then, but are you free right now Oppa?” คริสหน้าแดงเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพที่ผมยังนั่งกอดทิวาแน่น มันเกาหัวแกรกๆสองสามทีแก้เขินแล้วมองผม
“ทำไม”
“ไปช่วยดูงานของพวกยูริจังหน่อยดิ เห็นว่าตอนนี้ปั่นป่วนกันมาก”
“เกิดอะไรขึ้นล่ะ”
“ก็ทางโรงเรียนดันอยากได้รายชื่อนักเรียนทุกคนภายในวันนี้ แถมต้องการให้เรียงตามตัวอักษรอีก เด็กปีเราก็ไม่ใช่น้อยๆ พวกนั้นเลยกลัวว่าจะทำไม่ทันแล้วกำลังหาคนช่วยน่ะ”
“เออก็ได้ ที่ไหนล่ะ”
“ร้านกาแฟ xxx ที่มันเปิด 24 hr. จะไปเลยมั้ย จะได้ไปกับไอ”
“นายอยู่นี่แหละ อยู่ทำงานส่วนของฉันไป อีกแปบเดี๋ยวมา ทิวาเดี๋ยวฉันมานะ”
“อะ อื้ม”
ผมพูดจบก็รีบคว้าเสื้อตัวนอก ใส่รองเท้าแล้วรีบเดินไปหาพวกผู้หญิงทันทีโดยไม่สนใจคริสที่ร้องโอดโอยกับคำสั่งของผม
“นี่ยู!! งานยูก็ไม่ใช่น้อยๆนะ!!”
.
.
.
ผมมาถึงร้านกาแฟร้านที่พวกผู้หญิงบอกแล้วเดินเข้าไป มองซ้ายมองขวาจนไปเจอโรซารี่ที่นั่งโบกมือให้อยู่ตรงโต๊ะตัวในๆของร้าน
“ว่าไงกียุล แล้วคริสล่ะ?” โรซารี่ถามผม
“อ่อ ฉันให้มันทำส่วนของฉันที่ห้องน่ะ ว่าแต่พวกเธอมีอะไรให้ฉันช่วยเหรอ”
“นายไปสั่งอะไรกินก่อนก็ได้นะ แล้วเราค่อยมาคุยกัน เผื่อนายหิว”
“โอเค งั้นพวกเธอเอาอะไรมั้ย”
“ไม่เอาๆ พวกฉันซื้อกันมาหมดแล้ว” โรซารี่ตอบผม ส่วนอีกสามคนก็พยักหน้าให้ผมเป็นคำตอบ
“งั้นเดี๋ยวฉันมานะ”
ผมเดินออกจากโต๊ะเพื่อไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาเตอร์ ไม่นานนักผมก็ได้กาแฟเข้มๆมาหนึ่งแก้ว ไม่ใส่น้ำตาลแต่ใส่นมจืดแทน แบบนี้แหละผมชอบ ( -w-b ) รสชาติของกาแฟร้านนี้ก็ดีเหมือนกันแฮะ แต่ผมชอบอีกร้านมากกว่า ถ้าไม่ติดว่าร้านนั้นมีผู้หญิงอันตรายที่ชื่อ ‘ไลลา’ ทำงานอยู่ล่ะก็ ผมคงไปซื้อกินทุกวันแล้วล่ะนะ
“แล้วมีอะไรให้ฉันช่วยเหรอ” ผมนั่งลงข้างๆโรซารี่แล้วถาม
“อะนี่ ฝากนายช่วยตรงนี้หน่อยนะ แค่เอารายชื่อเด็กทั้งหมดมาเรียงตามตัวอักษรก็พอ” โรซารี่ยื่นไอแพดมาให้ผม หน้าจอของมันเปิดไฟล์ที่มีตารางเปล่าๆกับทะเบียนรายชื่อนักเรียนที่มีประมาณเกือบสามร้อยรายชื่อ
“แค่นี้ใช่มั้ย”
“ใช่ ส่วนที่เหลือเดี๋ยวพวกฉันจะทยอยทำ”
“ฝากด้วยนะเจ้าคะ” ยูริพูดกับผมด้วยความเกรงใจ ผมเลยส่ายหน้าให้นิดหน่อยเพื่อบอกกับหญิงสาวว่าไม่ต้องเกรงใจ
หลังจากที่ผมได้เครื่องดื่มมาในมือ ทุกคนก็เริ่มทำงานกันโดยไม่มีใครพูดอะไรเลย บรรยากาศเงียบๆที่มีเพียงเสียงพลิกกระดาษ เสียงเขียนปากกาและเสียงดูดน้ำ มันดูตึงเครียดแต่ก็เป็นบรรยากาศที่ผมชอบนะ มันทำให้ผมมีสมาธิ ถ้าเกิดอยู่กับพวกคริสนะ อย่าหวังว่าจะได้ทำงานสงบๆเหมือนกันพวกผู้หญิงเลย
.
.
.
“อ้อใช่ ทุกคนเจ้าคะ” เสียงยูริดังขึ้นทำให้ทุกคนเงยหน้าไปมองต้นตอของเสียงรวมถึงผมด้วย “ตอนนี้ยูริกำลังจัดการเรื่องแขกของงาน เลยนึกขึ้นได้ว่าทุกคนได้เป็นแขกของใครในงานนี้รึเปล่าเจ้าคะ”
“อั๊วเป็นแขกของอาฮอรัสน่อ”
“ฉันเป็นแขกของอเล็กเซน่ะ”
“ส่วนฉันก็ตาดันเต้นั่นแหละ ยูริเธอเป็นแขกของคริสโตเฟอร์ใช่มั้ย”
“ใช่เจ้าคะ แล้วคุณกียุลล่ะเจ้าคะ แขกเป็นใคร?”
เดี๋ยวนะ แขกเหรอ?
เห้ย!!!! ผมลืมไปซะสนิทเลยว่าผมต้องเชิญแขกมาวันจบด้วยนี่หว่า เอาจริงๆนะ อย่าว่าแต่ทิวาเลย พ่อแม่ผมผมก็ยังไม่ได้บอก ทำไงดีฟะ จะถึงวันแล้วด้วย T^T
“ทำหน้าอย่างนั้นอย่าบอกนะว่านายไม่มีแขกน่ะ!?” นาซิสซ่าลุกพรวดแล้วตะโกนถามผมทันที ทำให้ทั้งร้านหันมามองจนเหมยฮัวต้องรีบดึงที่เธอนั่งลง
“เอ่อ… ฉันมัวแต่ทำงานจนลืมน่ะ”
“โอ๊ย! นายนี่มัน เรื่องอื่นไม่ลืมแต่เรื่องสำคัญกลับมาลืมกันเนี่ยนะ ละตอนนี้นายเชิญใครมาแล้วบ้าง?”
“ไม่ได้เชิญใครเลย พ่อแม่ฉันก็ลืมบอก”
“ไอ้หยา แบบนี้ไม่ทันแน่น่ออากียุล อั๊วว่าลื้อรีบไปบอกพ่อแม่ลื้อเดี๋ยวนี้เลยน่อ มันวันสำคัญของลื้อนะ”
“จริงด้วยเจ้าค่ะ แถมเดินทางมาหาเราก็ไม่ได้ใช้เวลาแค่แป๊บเดียว”
“เดี๋ยวเสร็จงานนี้ฉันจะโทรหาพ่อแม่ ไม่ต้องกังวลนะ”
“เจ้าค่ะ แล้วคุณจะชวนคุณทิวาด้วยมั้ยเจ้าคะ” ยูริถามคำถามผมที่คำตอบมันมีแต่ ‘ใช่’ อยู่แล้ว แต่เอาเข้าจริงๆมันมีความกังวลภายในใจบางอย่างทำให้ผมไม่สามารถพูดว่า ‘ใช่’ ออกไปได้ในทันที
“ฉันอยากชวนนะ แต่ฉันมีเรื่องที่กังวลอยู่น่ะ คือถ้าสมมติทิวามางานในฐานะแขกของฉัน มันจะไม่เป็นการเปิดเผยต่อพวกคนที่ลาฟลอร่าเหรอว่าทิวาหายไปแต่ทำไมมาโผล่ที่นี่”
คำถามของผมทำให้ทุกคนตกอยู่ในภวังค์ ผมว่าพวกเธอก็คงไม่ได้สังเกตในจุดๆนี้เหมือนกัน อาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองได้หายจากลาฟลอร่าไปนานเลยทีเดียว
แต่ท่าทีของยูริดูไม่มีความตกใจอยู่เลย มิหนำซ้ำเจ้าตัวยังกระตุกยิ้มให้ผมอย่างกับรู้อะไรบางอย่างแน่ะ
“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะคุณกียุล เพราะว่าทั้งคุณทิวา และพวกยูริเอง ไม่ได้หายไปไหนหรอกเจ้าค่ะ ^^”
“หมายความว่ายังไงน่ะยัยยูริ!?” นาซิสซ่าถาม สองคิ้วเธอขมวดเข้าหากันแล้วมองเพื่อนตัวเองด้วยสายตาจับผิด ซึ่งเอาจริงตอนนี้คิ้วผมก็ขมวดเหมือนกัน
“คุณนาซิสซ่าอย่าลืมสิเจ้าคะว่ายูริอยู่ชมรมนักข่าวนะ เรื่องราวของชาวบ้าน เราทันทุกสถานการณ์!”
“มันใช่เรื่องน่าภูมิใจไหมน่ะ -_-;” โรซารี่เหงื่อตก
“ที่ยูริบอกว่าพวกเราไม่ได้หายไปไหน เพราะทางคุณครูไอริณและผอ.ไนติงเกลจัดการเรื่องให้พวกเราแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้คนที่ลาฟลอร่าเค้าเข้าใจว่าพวกเราตามไปเป็นผู้ช่วยของครูมารีในการประชุมโรงเรียนที่ 20 ปีจะเกิดขึ้นสักครั้งที่ต่างประเทศน่ะเจ้าคะ”
“อ่อ งานนั้น เดี๋ยวนะ เหมือนเพิ่งจัดไปเมื่อ 4 ปีก่อนไม่ใช่เหรอน่อ?”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ”
“แล้วแบบนี้มันจะเนียนเหรอน่อ”
“เห็นผอ.อ้างไว้ว่าเป็นอีกงานนึงน่ะเจ้าคะ คล้ายๆงานเดียวกับเมื่อ 4 ปีก่อนเลย เพียงแค่งานที่พวกเรา’กำลังประชุม’กับครูมารีมันทางการกว่าเจ้าค่ะ”
“สุดท้ายผอ.พวกเธอก็หาเรื่องอ้างจนได้สินะ” ผมพูดขึ้น
“เจ้าค่ะ เพราะฉะนั้นสามารถเชิญคุณทิวาให้เป็นแขกตามสบายเลยเจ้าค่ะ สู้ๆนะเจ้าคะคุณกียุล”
“ขอบคุณสำหรับข้อมูลมากนะยูริ”
“ยินดีเสมอเจ้าค่ะ :)”
.
.
.
“เฮ้อ กว่าจะเสร็จ” ผมถอนหายใจออกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย เอาเข้าจริงๆไองานเรียงรายชื่อนี่กินเวลาไปเป็นชั่วโมงเหมือนกันนะ แต่ในที่สุดก็เสร็จสักที! ผมล่ะดีใจสุดๆ! T^T
“เหนื่อยหน่อยนะน่อ” เหมยฮัวพูดปลอบผมแล้วตบบ่าสองที
“พวกเธอก็เหมือนกัน ไม่ใช่งานของเธอแท้ๆ งั้นเดี๋ยวฉันขอตัวก่อนนะ” ผมขอตัวกลับแล้วกำลังจะลุกออกจากร้าน แต่ก็มีเสียงเรียกของยูริดึงผมไว้
“คุณกียุลเจ้าคะ อย่าลืมสคริปต์ที่จะพูดวันงานด้วยนะเจ้าคะ แล้วก็ฝากบอกคุณฮอรัสด้วย”
“หืม สคริปต์? สคริปต์ทำไม?” ผมมองหน้ายูริแบบงงๆ เพราะถ้าเป็นสคริปต์ที่ประธานนักเรียนต้องกล่าวตามงานต่างๆผมก็แค่เอาอันเก่ามารียูสเฉยๆ ไม่จำเป็นต้องเขียนใหม่ให้ยุ่งยาก
“ก็พวกคุณเป็น Valedictorian ของปีนี้นี่เจ้าคะ! อย่าบอกนะว่าลืมอีกแล้ว?”
What the heck นี่ตูจะลืมเรื่องสำคัญถึงสองเรื่องเลยเหรอ!? ผมว่าเสร็จงานนี้ผมต้องไปเช็คสมองผมแล้วแหละว่าเสื่อมตรงไหนบ้างมั้ย ทำไมถึงจำอะไรไม่ได้เล้ย
“ไม่ลืมหรอกน่า” ผมรีบปฏิเสธเพื่อหยุดการบ่นจากแก๊งสาวๆก่อนจะรีบขอตัวกลับห้อง “ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันไปก่อนนะ!”
แล้วผมก็รีบวิ่งหายไปในอากาศทันที
ทางฝั่งของแก๊งสาวๆทั้ง 4 คน
“อะไรของหมอนั่นเนี่ย นอกจากจะขี้เก๊กแล้วยังจะขี้ลืมอีกเหรอ? =_=” นาซิสซ่าบ่นพลางทำหน้าเบื่อหน่ายก่อนจะหันมาสนใจกับงานตรงหน้าต่อเมื่อกียุลเดินลับสายตาไปแล้ว
“เรื่องขี้เก๊กก็เห็นๆกันจนชินแล้วล่ะนะ แต่ฉันเห็นด้วยกับที่กียุลขี้ลืมขึ้น กลายเป็นปลาทองไปแล้วรึไง” โรซารี่เสริม
“อืมอืม/เห็นด้วยเจ้าค่ะ (- -)(_ _)” ส่วนเหมยฮัวและยูริก็พยักหน้าและตอบเป็นเสียงเดียวกัน
กลับมาทางด้านกียุล
ตอนนี้มันก็เป็นเวลาประมาณทุ่มครึ่งแล้ว ตั้งแต่ที่ผมเลิกคุมงาน จนไปช่วยงานพวกสาวๆ ยังไม่มีอาหารใดใดลงท้องผมเลยนอกจากกาแฟเข้มๆแก้วนั้น หิวจะตายแล้ว ที่ห้องจะมีอะไรกินมั้ยนะ
พอผมคิดได้อย่างนั้น สองเท้าผมมันก็ก้าวเร็วขึ้นโดยอัตโนมัติ เหมือนผมจะเริ่มติดนิสัยยัยลิงมานิดๆแล้วสิ ไอนิสัยที่หิวแล้วเท้าจะเดินเร็วกว่าปกติเพื่อที่จะได้กินข้าวเร็วๆ
ร่างของผมกำลังยืนไขประตูห้องตัวเอง ในที่สุดผมก็มาถึงสักที ผมหวังว่าไอคริสยังไม่พาทิวาพังห้องเละไปก่อนนะ แต่ไม่ทันที่ผมจะได้เปิดประตูเข้าไป เสียงของเพื่อนสนิทคนดีคนเดิมก็เล็ดลอดออกมาจากห้อง
“ช่วยไปเป็นแขกของไอในงานได้มั้ย”
หืม? ไอคริสมันถามใครน่ะ ก็ในนั้นมีแต่ทิวา หรือว่า?
“ได้แน่นอน”
ปัง!
“เฮ้ย!!??” ทั้งสองคนตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจ คริสที่นั่งอยู่ข้างๆทิวารีบลุกขึ้นมาแล้วถอยห่างจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว แต่จะเร็วแค่ไหนมันก็ไม่ทันเว้ย!! ผมเห็นหมดแล้ว!!
อะไรวะ! ภาพที่ผมคิดไว้ในหัวคือคริสนั่งทำงานส่วนของผมไม่ใช่เหรอ แล้วไหงมาพูดคุยกับทิวาสบายใจเฉิบขนาดนี้ แถมตัวเธอก็ดันยิ้มกลับให้ไอคริสมันด้วยนี่สิ!!
“อะ เอ่อ… ยู กลับมาไวจัง” คริสทักผมด้วยประโยคที่โคตรจะไม่เนียน แถมเหงื่อแตกพลั่กๆบวกกับสายตาที่เลิ่กลั่กมองซ้ายมองขวาแต่ไม่มองหน้าผมมันยิ่งทำให้ผมอยากหักคอไอ้นี่มากขึ้นไปอีก
“จะสองทุ่มอยู่แล้ว ไวตรงไหนไอหัวส้ม =*=”
“เอ่อ… นั่นสิ งะ งั้นไอขอตัวก่อนนะ!” คริสพูดจบแล้วรีบวิ่งออกนอกห้อง แต่เสียใจด้วยนะเพราะผมคว้าคอเสื้อมันไว้ทันจนคอเสื้อมันรัดคออย่างแรง “แอ้ก!!!!”
“จะไปไหน.. ยังไม่ได้คุยกันเลยนะเจ้าเพื่อนตัวดี”
“จะคุยอะไรล่ะคร้าบบบ T[]T”
“อย่ามาทำไก๋ ก็ที่เมื่อกี้ที่นายคุยกับทิวาไง” ไม่รอช้าผมรัดคอเสื้อมันให้แรงขึ้น แต่ไม่ต้องห่วงว่าผมจะทำแรงเกินไปหรอกนะ เพราะไอ้นี่ก็เคยทำแบบนี้กับผมเวลาหยอกล้อ(?)กันเหมือนกัน
“กียุลใจเย็นๆ! คริสจะหายใจไม่ออกตายแล้วเนี่ย!” ทิวาที่เห็นคริสจะตายคามือผมก็รีบวิ่งมาดันพวกผมทั้งสองให้ออกจากกันทำให้คริสได้กลับมามีอากาศหายใจอีกครั้ง อย่าเพิ่งสิยังไม่หนำใจเลย!
“อ่อก! Thank you so much เลดี้ทิวา ไอเกือบตายแล้วมั้ยล่ะ ส่วนกียุล ไออธิบายได้!”
“งั้นก็รีบอธิบายมา”
กร๊อบ!
“อย่าเพิ่งหักนิ้วขู่สิฟะ!! กลัวนะเว้ย อะไรมันจะหึงโหดขนาดนั้น!! T[]T”
“ถ้าฉันหึงแล้วมันจะทำไม ก็ดูที่นายพูดกับทิวาสิ ทั้งๆที่นายมียูริอยู่แล้ว” ผมหักนิ้วแล้วเดินเข้าไปประจันหน้ากับคริส ถึงแม้ตอนนี้ผมจะใส่แว่นอยู่มันก็สามารถรับรู้ได้ว่าผมกำลังถลึงตาใส่มันอย่างแรงด้วยความไม่พอใจสุดขีด! รังสีอำมหิตแผ่กระจายไปรอบห้องจนทำให้ทั้งทิวาและคริสถึงกับสะดุ้ง
เออกูหึงว่าที่แฟนของกู แล้วมันจะทำไม
“ไอแค่เล่าให้เลดี้ทิวาฟังเฉยๆว่าตอนที่ไอไปขอยูริให้มาเป็นแขก ไอพูดไปว่าอะไร ใช่มั้ยทิวาจางง ช่วยไอทีเถอะพลีสส” คริสร้องคร่ำครวญแล้ววิ่งไปหลบหลังทิวาพลางจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอแน่น
ปล่อยนะเฟ้ย! จะถึงเนื้อถึงตัวมากไปละไอ้นี่ =*=
“จริงเหรอทิวา?”
“จริงๆ คริสไม่ได้มาขอฉันหรอก เขาแค่เล่าให้ฟังเฉยๆ นายก็รู้นี่ว่าคริสเขาไม่โกหกเพื่อนตัวเอง”
ก็จริงอย่างที่ทิวาว่า ถึงคริสมันจะบ้าบอแต่ข้อดีของมันก็คือความซื่อสัตย์นี่แหละ ครั้งนี้ผมถึงเชื่อสองคนนี้ได้ง่ายๆ แต่ถ้ามีครั้งต่อไป ผมไม่รับประกันชีวิตคริสมันแน่
“...”
“จริงๆๆๆๆๆๆนะยู ไอสาบานต่อหน้าข้าวกล่องเลย!”
“อะไรเนี่ย!! มาป่วนห้องคนอื่นไม่พอยังมาขโมยข้าวฉันกินอีกเรอะ!?”
“ก็คนมันหิววว พ้มขอโทษโอปป้าสุดที่รัก T^T”
“ออกไปจากห้องเลยไป๊ป๊ป๊ป๊” ผมสุดจะทนกับมันแล้ววว
“เลดี้ทิวาไว้ค่อยคุยกันต่อนะคร้าบบ ผมจะโดนฆ่าแล้ว T0T”
“ยังไม่หยุดอีก!!!”
ผมจัดการเตะไอคริสออกจากห้องพร้อมข้าวที่มันขโมยกินแล้วล็อคห้องทันที ไม่คิดจะเข็ดเลยใช่มั้ยเนี่ยเพื่อนคนนี้
หลังจากที่ผมล็อคทุกกลอนที่มีตรงประตูเสร็จ ผมก็พบว่าทิวาได้ยืนอึ้งมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างรวดเร็วด้วยสายตาประมาณว่า ‘นี่พวกนายใช้ชีวิตกันแบบนี้จริงดิ?’
ไม่ตกใจล่ะสิแปลก ผมเล่นหึงยัยลิงต่อหน้าเจ้าตัวแล้วไปรัดคอเพื่อนตัวเองจนเกือบตาย มิหนำซ้ำยังเตะเพื่อคนนั้นออกจากห้องพร้อมข้าว ไม่มีคนสติดีคนไหนเขาทำหรอกครับ -_-
เฮ้อ สุดท้ายเย็นนี้คงต้องทำไข่ต้มที่เหลืออยู่กินสินะ ทำไมชีวิตผมมันอนาถได้ขนาดนี้นะ
[End-Giyul]
_________________________________________________________________________________
สวัสดีค่าผู้อ่านทุกท่านนน มาพบกันอีกตอนนะคะ ตอนนี้เราพยายามเล่าในมุมมองกียุลค่ะ ยังเขียนไม่ถนัดมาก ถ้าอ่านแล้วติดขัดตรงไหนบอกได้นะคะ T T
เกร็ดความรู้เล็กๆสำหรับผู้อ่านค่ะ Valedictorian เปรียบเสมือนนักเรียนคนที่ทำผลการเรียนได้ดีที่สุดในรุ่นนั้น และในวันจบการศึกษา คนที่เป็น Valedictorian จะได้พูด speech บนเวทีด้วยค่ะ ส่วนในที่นี้ก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากกียุลและฮอรัส สองเพื่อนรักนั่นเอง
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์และกำลังใจนะคะ พบกันใหม่ในตอนหน้าค่า
ความคิดเห็น