ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Laflora Secret ไขปมความรักกับสายลับ 5 สาว

    ลำดับตอนที่ #36 : ตอนที่ 25 : ถ้าฉันหึงแล้วมันจะทำไม?

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.พ. 64


    TB

    25

    ถ้าฉันหึงแล้วมันจะทำไม?


    ทางด้านของไลลา

    หลังจากที่องค์กรโลกได้จับตัวลูกทีมของไลลาไปหมดแล้ว เธอจึงค่อยๆแง้มประตูทางลับขึ้นเพื่อดูลาดเลาว่ามีใครอยู่แถวนั้นมั้ย เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่จึงออกมาจากทางลับ หญิงสาวรีบสาวเท้าไปทางประตูทางออกทันที แต่ก็พบว่ามันถูกล็อค เธอกดรหัสลงไปกี่ครั้งประตูก็ไม่ตอบสนองจนหญิงสาวหัวเสีย เอาจอบที่วางอยู่แถวๆนั้นมาฟาดใส่ประตูด้วยความเลือดร้อน เสียงของเหล็กกระทบกันดังก้องไปทั่วสวนพร้อมกับรูปร่างของจอบที่ค่อยๆงอทุกครั้งที่ไลลาฟาดไปที่ประตูอย่างแรง

    “หนอย!!! ไอ้พวก***นี่!!! อย่าให้ฉันออกไปได้นะ!!!!” โทสะของไลลาถูกระเบิดออกมาดังลั่นจนแมลงที่บินอยู่แถวนั้นถึงกับต้องอุดหู ดวงตาสีฟ้าสดใสบัดนี้กลับหม่นหมองลง เธอถลึงตาไปยังประตูตรงหน้าพร้อมกับปาจอบลงพื้นก่อนจะกดโทรศัพท์โทรหาใครบางคน

    “ฉันติดอยู่ในสวน พาพี่ไอบ้ามาช่วยฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ!!”


    ครึ่งชั่วโมงต่อมา


    [The door has opened] 


    เสียงประตูดังขึ้นพร้อมกับร่างของบุคคลผู้มาเยือนใหม่สองคน พวกเขาเดินเข้าไปที่ต้นมะฮอกกานี หนึ่งในสองคนนั้นใช้ส้นตีนเคาะที่ประตูทางลับสามทีด้วยความสมเพชในใจ ไม่นานผู้ที่หลบซ่อนอยู่ข้างใต้ก็เผยตัวขึ้นมา

    “มากันสักทีนะคุณราเควล พี่อ๊อตโต้!”

    “ถามจริงเถอะไปทำอะไรทำไมถึงโดนขังอยู่ในนี้” อ๊อตโต้ยืนกอดอกมองลงต่ำที่น้องสาวของตนด้วยสายตาที่ไม่สบอารมณ์สุดขีด เพราะตอนนี้มันเป็นเวลาที่ลูกค้าจะมาทานอาหารเย็นเยอะที่สุดน่ะสิ เท่ากับเขาต้องทิ้งร้านมาเพื่อมาหาไลลาโดยเฉพาะ

    “ก็ลูกน้องหนูน่ะสิ ดันโดนพวกองค์กรโลกจับกุม มีแต่หนูที่รอด”

    “เธอนี่มันโง่จริงๆ กำลังคนก็น้อยอยู่แล้วยังจะไปหาเรื่องคนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้าอีก ตอนนี้ก็เสียลูกน้องไปสามแล้วจะทำไง สร้างปัญหาเก่งจริงๆ”

    “รู้ได้ไงว่าหนูไปหาเรื่องคนอื่นก่อน”

    “ราเควลเล่าให้ฉันฟังแล้วแหละ” อ๊อตโต้ใช้นิ้วโป้งชี้ไปด้านหลังของตนที่มีราเควลยืนยิ้มให้อยู่

    “เออว่าแต่ ทำไมพวกพี่ใส่ชุดนี้อะ” สายตาของไลลาเพิ่งมาจับสังเกตได้ว่าทั้งสองคนใส่ชุดภารโรงแทนที่จะเป็นชุดปกติ แถมในมือของลูกน้องของเธอยังมีไม้ถูพื้นและถังเปล่าอยู่ด้วย

    “โง่ซ้ำโง่ซากนะเธอน่ะ ก็ไอ้ห้องนี้ถ้าไม่ใช่นักเรียน อาจารย์หรือคนทำความสะอาดก็เข้ามาไม่ได้น่ะสิ พวกฉันเลยต้องลำบากไปวางยาสลบภารโรงพวกนี้เพื่อจะเอาชุดกับลายนิ้วมือของพวกนั้นแล้วขังไว้ในห้องน้ำแล้วมาช่วยเธอเนี่ย -_-”

    “เนี่ยดูดิ ฝีมือทำเรื่องแบบนี้ก็ยังดีอยู่ แทนที่จะเสียเวลาขายขนมไปวันๆ มาช่วยน้องขโมยของไปขายในตลาดมืดไม่ดีกว่ารึไง”

    “พูดกี่ครั้งแล้วว่าไม่วะ ปากเปียกปากแฉะหมดแล้วเนี่ย”

    “เถอะนะพี่! ฝีมือปลอมตัวพี่ก็เก่งกาจ ช่วยน้องเถอะ นะนะนะ”

    ไลลากุมมือทั้งสองข้างแล้วทำหน้าวิงวอน หญิงสาวพูดขอร้องซ้ำไปซ้ำมาหลายสิบรอบจนอ๊อตโต้ทนกับความตื๊อไม่เลิกไม่ไหว เขาตบหน้าผากตัวเองอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจเสียงตะโกนไล่หลังของน้องสาวตัวเองเลยสักนิด

    “พี่จะไปไหน!!!!!”

    “โอ๊ยอีไลลาพูดมากจริงๆ!!!! ตั้งแต่คืนนี้ไม่ต้องโผล่มาให้เห็นหน้าอีกนะ ไม่ต้องมาใช้ทางลับซุกหัวนอนด้วย ไปนอนกับลูกน้องของเธอไป จะได้เลิกสร้างปัญหาบนเรือนี้สักที!!!”

    “ไล่งี้กันเลยเหรอห๊ะ!!??”

    .

    .

    .

    สุดท้ายไลลาก็ทำตามคำไล่ของอ๊อตโต้อย่างเลี่ยงไม่ได้ เธอขอใช้ห้องราเควลเป็นที่ซุกหัวนอนชั่วคราวแลกกับการทำความสะอาดให้ทั้งห้อง แต่ราเควลเกรงใจเพราะไลลามีศักดิ์เป็นหัวหน้าของเธอด้วย เธอจึงให้ไลลาช่วยทำครึ่งนึงแทน

    หลังจากที่สองสาวได้มาถึงห้องพัก ไลลาก็ถือวิสาสะลงไปนั่งกับเตียงด้วยความโมโหทันที

    “โธ่เว้ย!!! หงุดหงิด!! เธอรู้มั้ยตอนนี้ฉํนโคตรอยากจะตามไปฆ่าพวกองค์กรโลกหน้าโง่พวกนั้นมากเลย!!”

    ราเควลที่เดินไปหยิบน้ำชาในครัวเดินออกมากับถาดในมือ กาน้ำชาและแก้วชาสองใบ เธอค่อยๆรินใส่แก้วทีละใบพร้อมกับพูดให้ไลลาสงบสติอารมณ์

    “ใจเย็นๆก่อนนะคะคุณบลองค์ชาร์ด พวกนั้นทำอะไรให้คุณถึงหัวร้อนขนาดนี้ล่ะคะ”

    “ก็พวกมันยิงหนึ่งในสามคนนั้นน่ะสิ! ฉันไม่แน่ใจหรอกนะว่าเป็นแบรตหรือแจ็คเกอรีน แต่เสียงที่เขาร้องออกมามันโหยหวนมาก ฉันเลยอยากตามไปฆ่าแล้วฟังเสียงโหยหวนของพวกองค์กรโลกบ้าง โทษฐานมาทำร้ายพวกของฉัน!”

    “แต่ฉันมองกลับกันนะคะ ฉํนว่าคุณไลลาควรโฟกัสกับเป้าหมายหลักของเราก่อนดีกว่า”

    ไลลาที่ได้ยินเสียงคัดค้านที่สุภาพของลูกน้องตัวเองก็หันขวับแล้วทำตาเขียวใส่ประมาณว่า ‘ทำไม!?’

    “ถ้าจะตามไปช่วยซะเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวแผนที่กำลังทำมันจะไม่สำเร็จนะคะ แถมจุดมุ่งหมายขององค์กรเราอาจจะเปลี่ยนไป เราอย่าทำให้มือเราเปื้อนเลือดเลยดีกว่าค่ะ เราควรโฟกัสกับการเอาของไปขายแล้วได้เงินดีๆ แต่ถ้าจบเรื่องแล้วยังอยากฆ่าอยู่ ก็ฆ่าเอาตอนนั้นก็น่าจะยังไม่สายนะคะ” ราเควลอธิบายด้วยเหตุผลและความคิดของเธออย่างใจเย็นด้วยน้ำเสียงๆ ทำให้ท่าทางแข็งกระด้างของไลลาพอทุเลาลงบ้าง ไลลาเริ่มกลับมามีอารมณ์ที่คงที่ เธอจิบชาที่ราเควลเอามาให้พลางคิดตาม


    ‘มันก็จริงที่เราตามมาฆ่าทีหลังก็ยังได้ เพราะตอนนั้นเราอาจจะได้ทั้งเงินทั้งพรรคพวกมาเยอะแล้วมารุมฆ่าพวกนั้นได้ แบบนั้นน่าจะสนุกกว่าเยอะ’


    “แถมอีกอย่าง...” ราเควลทิ้งช่วงไปครู่นึงก่อนจะเอ่ยต่อพลางหรี่ตาลงแล้วมองหัวหน้าของตนอย่างมีเลศนัย “คุณบลองค์ชาร์ดก็ได้ที่อยู่ของ ‘สิ่งนั้น’ มาแล้วไม่ใช่เหรอคะ?”

    “เออใช่! ฉันลืมไปได้ไงเนี่ย เอาตามที่คุณราเควลบอกก็ได้ค่ะ งั้นเรามาเตรียมแผนอันสุดยิ่งใหญ่ของเราที่ค้างไว้วันก่อนกันเลยดีมั้ยคะ”

    “ได้เลยค่ะ ส่วนแผน นี่คือของทุกอย่างที่คุณได้มอบหมายให้พวกเราไปสั่งซื้อมา คาดว่าอีกหนึ่งอาทิตย์ทุกอย่างจะพร้อมค่ะ” ราเควลหยิบเอกสารที่เตรียมไว้ให้ไลลา ในนั้นมีทั้งคำสั่งซื้ออาวุธ เฮลิคอปเตอร์ แม้กระทั่งการจ้างวานกองกำลังชั่วคราว และแน่นอนว่าทุกอย่างได้มาอย่างผิดกฏหมายและราคาถูกจนไม่สมเหตุสมผลกับปริมาณที่ได้มา

    “ดีมากค่ะ จำนวนประมาณนี้ก็น่าจะพอให้สถานกาณ์สนุกขึ้นเยอะเลยนะคะ ทำดีมากค่ะคุณราเควล”

    “ด้วยความยินดีค่ะ”

    ไลลาที่เห็นแผนการของตัวเองกำลังไปได้สวยถึงแม้จะต้องแลกกับการเสียลูกทีมไปก็กระตุกยิ้มมุมปาก สองมือของเธอกำกระดาษในมือแน่นจนกระดาษยับยู่ยี่ไม่เป็นรูป หญิงสาวยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาไขว่ห้างแล้วพึมพัมกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่พึงพอใจต่างจากเมื่อไม่กี่นาททีก่อนลิบลับ

    “หึ ไอพวกองค์กรโลก อยากสู้กันแบบนี้ใช่มั้ย ได้ อีกหนึ่งอาทิตย์เจอกัน


    สองวันก่อนจะถึงพิธีจบการศึกษาของคลาสดุ๊ก หรือพิธีย้ายเรือ

    [Giyul]

    “สำหรับวันนี้ทำได้ดีมากครับ ขอบคุณพวกน้องๆทุกคนนะ สำหรับใครที่จะอยู่ทำต่อก็ตามสบายเลยนะครับ พี่ขอตัวก่อน”

    “ขอบคุณครับท่านประธาน!”

    เสียงขอบคุณของรุ่นน้องปี 2 ดังขึ้นในขณะที่ผมขอตัวลา ผมยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะหันตัวเดินไปยังจุดหมายต่อไปที่สามารถจะเติมพลังให้ผมได้

    ใช่ครับ ผมกำลังเดินกลับไปหาทิวา

    วันนี้เป็นอีกวันที่เหนื่อยมากๆแต่ถือว่าน่าประทับใจพอสมควรเพราะงานที่พวกผมกำลังเตรียมใกล้เสร็จหมดแล้ว เหลือแค่เก็บรายละเอียดเท่านั้น ถ้ามีกอดอุ่นๆให้เติมพลังตอนกลับถึงห้องก็คงดีไม่น้อย

    ตอนแรกผมกะว่าจะเดินกลับห้องเลย แต่นึกขึ้นได้ว่าลืมตรวจเช็คอะไรบางอย่างเลยแวะที่ชั้น 6 ซึ่งเป็นชั้นหอพักของพวกเพื่อนผม ที่มาเช็คไม่ใช่อะไร จะมาดูว่าพวกนั้นเก็บของกันเสร็จยัง

    เนื่องจากอีกสองวันข้างหน้าเป็นพิธีจบการศึกษาของพวกผม พวกผมจึงต้องเตรียมตัวย้ายที่เรียนจากเรือคลาสดุ๊กเป็นเรือคลาสคิง และแน่นอนว่าของของพวกผมก็ต้องถูกย้ายไปด้วย แต่ว่าทางโรงเรียนจะทยอยขนของไปให้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ยกเว้นสิ่งของจำเป็นไม่กี่อย่างที่ต้องเก็บไว้กับตัวเช่นเสื้อผ้า หรือของสำคัญ เพราะหลังจากจบพิธีไปไม่กี่วัน นักเรียนทุกคนก็ต้องขึ้นเครื่องบินกลับบ้านของตัวเองไปในช่วงปิดเทอม ผมเลยจะมาดูว่าพวกเพื่อนๆตัวดีเก็บของกันเสร็จยัง

    ส่วนวิธีดูก็ง่ายๆ ไม่ยาก เพียงแค่เดินไปที่จุดวางกุญแจสำรองของห้องพักแล้วนับจำนวนดู ก็พอรู้ได้บ้างแล้วล่ะว่าเก็บของเสร็จกันไปเท่าไหร่แล้ว

    อาจจะงงว่ากุญแจสำรองมันทำไม อย่างที่ผมกล่าวไปข้างต้น ทางโรงเรียนจะเป็นคนขนย้ายสิ่งของให้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องมีกุญแจสำหรับแต่ละห้องเพื่อขนของออก และไม่ต้องกังวลว่าของจะถูกขโมยโดยเจ้าหน้าที่ เพราะทางเรามีคุณครูที่เชื่อถือได้คอยคุมอยู่หลายสิบคนและนักเรียนผู้เสียหายสามารถฟ้องคนขโมยได้ถ้าเกิดกรณีแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ

    การฟ้องศาลเคยเกิดขึ้นแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลายสิบปีก่อน เนื่องจากที่ทางเจ้าหน้าที่คนนึงพยายามจะขโมยของมีค่าของนักเรียนคนนึง เขาถูกจับได้และโดนฟ้องค่าเสียหายหลายล้านดอลล่าร์ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครทำอีกเลย

    “ดูท่าจะเก็บกันได้เยอะละ” ผมพึมพัมกับตัวเองในใจก่อนจะเดินขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 7 ที่เป็นที่พักของผม อยากจะเจอทิวาใจจะขาดอยู่แล้ว ทำไมห้องผมต้องอยู่ไกลด้วยนะไม่เข้าใจ


    แอ๊ด…


    “เมี้ยว~” เจ้านิลวิ่งจากที่นอนของมันมาคลอเคลียเพื่อทักทายผม ขี้อ้อนจริงๆนะเรา

    “ว่าไงเจ้านิล แล้วเจ้าของของแกอยู่มั้ย”

    “เมี้ยว~” เจ้านิลร้องแล้วกัดชายกางเกงผมเพื่อดึงไปทางห้องทำงาน

    ไอแมวนี่ก็ฟังภาษาเกาหลีออกแฮะ สุดยอดว่ะ =_=

    ผมถอดเสื้อนอกและรองเท้าออก ก่อนจะเดินไปล้างมือล้างหน้าแล้วตามเจ้านิลไป พอผมเปิดประตูออกก็พบกับทิวาที่นั่งเอาขาห้อยกับที่วางแขนฝั่งนึงและใช้ที่วางแขนอีกฝั่งเป็นที่หนุนหัว เธอนั่งเหมือนกับลูกลิงที่ขดตัวอยู่ในบีนแบ็กเลย ให้ตายสิ

    “เฮ้อ” ผมถอนหายใจออกมาเบาๆด้วยความเอ็นดูยัยนี่ ผมว่าเธอคงเบื่อนั่งทำงานแบบเดิมแล้วเลยนั่งท่าประหลาดนี่

    “อ๊ะ กียุลกลับมาแล้วเหรอ” หญิงสาวที่ได้ยินเสียงเปิดประตูก็หันมาทางผมแล้วเรียกชื่อผมทันใด

    “ดีใจรึไงที่ได้เห็นหน้าฉัน”

    “จะบ้ารึไง! ไม่ใช่สักหน่อย จะหาคนมาช่วยงานต่างหาก”

    แน่ะ มีตอบเบี่ยงประเด็นซะด้วย

    “ขอให้มันจริงละกัน ทำถึงไหนละ”

    “ถึงอเมริกา”

    “ถ้ากวนจะไม่ช่วยแล้วนะยัยลิง -*-”

    “ล้อเล่นน่า ทำถึงหน้านี้ แป๊บนะ” ทิวาวางกระดาษในมือไว้บนโต๊ะแล้วพยายามดันตัวขึ้นจากเก้าอี้ แต่ดันเท่าไหร่ก็ดันไม่ขึ้นเพราะเหมือนตัวเธอจะจมลงไปกับเก้าอี้แล้ว คุณเธอยันตัวขึ้นลงหลายทีจนผมอดหัวเราะกับท่าทางโก๊ะนั่นไม่ได้

    ผมนึกออกละว่าจะช่วยยังไง


    ฟึบ!


    “เอ๊ะ!? O////O”

    “เอ๊ะอะไรฮะยัยลิง”

    ทิวาอุทานเสียงหลงในขณะที่ผมช้อนตัวหญิงสาวขึ้นจากเก้าอี้ ทำให้ตอนนี้ผมอุ้มเธอในท่าเจ้าหญิง ใบหน้าของเธอเริ่มขึ้นสีพร้อมกับแรงดิ้นที่จะดิ้นทำไมเนี่ยยัยบ๊อง!!

    “นายทำบ้าอะไรเนี่ย!?”

    “อย่าดิ้นได้มั้ย เดี๋ยวก็ตกหรอก”

    “นายก็ปล่อยฉันสิ!!”

    “เธอก็หยุดดิ้นก่อน!!”

    ทิวาหยุดดิ้นแต่โดยดี ผมจึงค่อยๆวางตัวเธอบนโซฟาตัวกว้างในห้องทำงาน ต่อมาผมทิ้งตัวลงจนอยู่ในท่าที่เหมือนผมกำลังคร่อมทิวา(เอาจริงๆก็คร่อมแหละ (-<_-; ))โดยไม่ปล่อยให้เธอได้มีโอกาสลุกขึ้น ส่วนเธอคงตกใจไม่น้อยจนทำตาโตแล้วรีบดันผมออกแล้วโวายวายใหญ่

    “อะ อะไรของนายเนี่ยย มานอนทับฉันทำไม!?”

    “เขาเรียกว่าคร่อม ไม่ใช่นอนทับ”

    “เออเหมือนกันนั่นแหละ ฉันแค่ไม่อยากใช้คำนั้น แล้วก็ออกไปได้แล้ว -////-”

    “ไม่ออก จะทำไม”

    “แล้วจะมาคร่อมทำบ้าอะไรล่ะยะ!”

    “อยากกอดอะ ขอกอดหน่อยได้มั้ย”

    “ห๊ะ?”

    ทิวามองหน้าผมอย่างงงๆพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น ไม่นานตัวเธอน่าจะประมวลผลในหัวเสร็จ เธอเลยยิ้มออกมาแล้วถอนหายใจให้ผมเบาๆก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปกอด

    “เฮ้อ นายนี่น้า อยากกอดก็บอกกันดีๆก็ได้ คงเหนื่อยมากสินะวันนี้”

    “อือ...” ผมตอบรับอยู่ในลำคอแล้วเอาหัวซุกลงไปที่คอข้างซ้ายของเธอ ทิวาไม่ได้ว่าอะไรแล้วนอนลูบหัวผมไปมา 

    ไออุ่นที่ได้จากตัวทิวามันโคตรจะดีชนิดที่หาที่ไหนจากโลกนี้ไม่ได้อีกแล้ว ผมจึงเสพติดการชาร์จพลังงานในรูปแบบนี้เอามากๆ 

    เสียงหัวใจที่เต้นรัวของเธอมันดังซะจนผมได้ยิน แถมบางทียังสัมผัสได้ถึงมันอีกต่างหาก มันยิ่งทำให้หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นเช่นกัน สองมือผมโอบร่างของทิวาแน่น ถึงแม้ผมจะไม่เห็นใบหน้าของเธอก็ตาม แต่ผมก็รู้ได้ว่าตอนี้คุณเธอคงเขินจนหน้าแดงเป็นมะเขือเทศอยู่แน่ๆ

    ไม่คิดเลยว่าจากวันนั้น ที่เรากัดกันจะเป็นจะตายจนทุกคนต้องปวดหัว กลายมาเป็นวันนึงผมดันรักยัยลิงนี่เข้าให้เต็มเปา ผมไม่แน่ใจว่าความรู้สึกผมเปลี่ยนไปตอนไหน แต่อาจจะเป็นตอนที่ผมได้ช่วยเหลือยัยนี่ล่ะมั้ง ยอมรับตรงๆช่วงแรกก็มีปวดหัวเพราะตัวเธอดูจะไม่เก่งเลยสักด้าน แต่พอได้เรียนรู้เกี่ยวกับทิวามากขึ้น เลยได้รู้ว่าทิวาเป็นคนที่ชอบคิดถึงแต่คนอื่นก่อนและมีจิตใจดีมากๆ ดีจนบางทีผมยังสงสัยเลยว่าครูไอริณเลี้ยงมายังไงให้จิตใจดีขนาดนี้ ไม่ทันไรผมก็คอยช่วยเหลือยัยลิงนี่โดยอัตโนมัติไปแล้ว

    เอาจริงๆผมก็กลัวๆเหมือนกันนะว่ายัยลิงจะไม่ได้คิดกับผมเหมือนที่ผมคิดกับเธอ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นอาจจะถึงขั้นตัดเพื่อนกันเลยก็ได้ แถมเวลาคุยแชทกันก็มีแต่เถียงกันเกือบทุกครั้ง แต่ผมก็ยังพยายามทักไปคุยตลอด(ก็มันอยากคุยนี่นา -3-) แต่พอผมต้องไปอยู่ลาฟลอร่าชั่วคราวแล้วเจอกับทิวาจริงๆ มันทำให้ผมแน่ใจว่า ผมไม่น่าจะชอบอยู่ฝ่ายเดียว

    และก็ใช่จริงๆ ผมกับทิวา เราคิดเหมือนกัน

    ดีใจมากๆจนอยากจะกอดยัยนี่ไปนานเท่านานเลย :)

    ผมอยู่ในท่านี้กับทิวาสักพักใหญ่ แต่เพราะกลัวว่าเธอจะหนักและอึดอัด ผมจึงเป็นฝ่ายคลายกอดออกแล้วดึงตัวเธอให้ลุกขึ้นนั่งตามปกติ แต่ผมก็ยังไม่วายกอดยัยลิงซ้ำอีกรอบ ก็คนมันมันเขี้ยวอะ

    “อะไรเนี่ยนายตี๋ กอดอีกแล้วเหรอ!?”

    “คนมันคิดถึงนี่นา”

    “แหม ตั้งแต่ที่นายเมาวันนั้นนายก็ดูปากตรงกับใจขึ้นเยอะเลยนะ”

    “ทำไมอะ ไม่ชอบเหรอ”

    “ไม่อะ”

    “พูดงี้ฉันเสียใจนะ :(”

    “ไม่ต้องกลับไปซึนแล้ว นิสัยแบบนี้ฉันชอบ วันหลังก็ฟังคนอื่นพูดให้จบก่อนสิยะ”

    “อะแฮ่ม!” เสียงของบุคคลที่สามดังขึ้นแถวๆประตู ทำให้ผมต้องหันไปดูว่าต้นเสียงที่มาขัดการกอดของผมคือใคร -*- และก็พบว่าไอคนนั้นก็คือเพื่อนสนิทตัวดีของผมนี่แหละ ไอบ้ากัปตัน C.L.O.C.K.

    “มีอะไรไอ้หัวส้ม”

    “อะไรเนี่ยโอปป้า ทักทายเพื่อนฝูงให้มันดีๆหน่อยสิ”

    “แล้วอยากมาขัดตอนฉันสวีทกับยัยลิงทำไมล่ะ -*-” ผมจ้องไปที่คริสเขม็งแล้วพูดความจริง ทำให้ทิวาหันขวับมามองผมตาโตทันทีว่ากล้าพูดออกมาแบบนั้นได้ยังไง

    ขอโทษครับผมมันไม่มียางอาย :P

    Sorry for interrupting y’all then, but are you free right now Oppa?” คริสหน้าแดงเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพที่ผมยังนั่งกอดทิวาแน่น มันเกาหัวแกรกๆสองสามทีแก้เขินแล้วมองผม

    “ทำไม”

    “ไปช่วยดูงานของพวกยูริจังหน่อยดิ เห็นว่าตอนนี้ปั่นป่วนกันมาก”

    “เกิดอะไรขึ้นล่ะ”

    “ก็ทางโรงเรียนดันอยากได้รายชื่อนักเรียนทุกคนภายในวันนี้ แถมต้องการให้เรียงตามตัวอักษรอีก เด็กปีเราก็ไม่ใช่น้อยๆ พวกนั้นเลยกลัวว่าจะทำไม่ทันแล้วกำลังหาคนช่วยน่ะ”

    “เออก็ได้ ที่ไหนล่ะ”

    “ร้านกาแฟ xxx ที่มันเปิด 24 hr. จะไปเลยมั้ย จะได้ไปกับไอ”

    “นายอยู่นี่แหละ อยู่ทำงานส่วนของฉันไป อีกแปบเดี๋ยวมา ทิวาเดี๋ยวฉันมานะ”

    “อะ อื้ม”

    ผมพูดจบก็รีบคว้าเสื้อตัวนอก ใส่รองเท้าแล้วรีบเดินไปหาพวกผู้หญิงทันทีโดยไม่สนใจคริสที่ร้องโอดโอยกับคำสั่งของผม

    “นี่ยู!! งานยูก็ไม่ใช่น้อยๆนะ!!”

    .

    .

    .

    ผมมาถึงร้านกาแฟร้านที่พวกผู้หญิงบอกแล้วเดินเข้าไป มองซ้ายมองขวาจนไปเจอโรซารี่ที่นั่งโบกมือให้อยู่ตรงโต๊ะตัวในๆของร้าน

    “ว่าไงกียุล แล้วคริสล่ะ?” โรซารี่ถามผม

    “อ่อ ฉันให้มันทำส่วนของฉันที่ห้องน่ะ ว่าแต่พวกเธอมีอะไรให้ฉันช่วยเหรอ”

    “นายไปสั่งอะไรกินก่อนก็ได้นะ แล้วเราค่อยมาคุยกัน เผื่อนายหิว”

    “โอเค งั้นพวกเธอเอาอะไรมั้ย”

    “ไม่เอาๆ พวกฉันซื้อกันมาหมดแล้ว” โรซารี่ตอบผม ส่วนอีกสามคนก็พยักหน้าให้ผมเป็นคำตอบ

    “งั้นเดี๋ยวฉันมานะ”

    ผมเดินออกจากโต๊ะเพื่อไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาเตอร์ ไม่นานนักผมก็ได้กาแฟเข้มๆมาหนึ่งแก้ว ไม่ใส่น้ำตาลแต่ใส่นมจืดแทน แบบนี้แหละผมชอบ ( -w-b ) รสชาติของกาแฟร้านนี้ก็ดีเหมือนกันแฮะ แต่ผมชอบอีกร้านมากกว่า ถ้าไม่ติดว่าร้านนั้นมีผู้หญิงอันตรายที่ชื่อ ‘ไลลา’ ทำงานอยู่ล่ะก็ ผมคงไปซื้อกินทุกวันแล้วล่ะนะ

    “แล้วมีอะไรให้ฉันช่วยเหรอ” ผมนั่งลงข้างๆโรซารี่แล้วถาม

    “อะนี่ ฝากนายช่วยตรงนี้หน่อยนะ แค่เอารายชื่อเด็กทั้งหมดมาเรียงตามตัวอักษรก็พอ” โรซารี่ยื่นไอแพดมาให้ผม หน้าจอของมันเปิดไฟล์ที่มีตารางเปล่าๆกับทะเบียนรายชื่อนักเรียนที่มีประมาณเกือบสามร้อยรายชื่อ 

    “แค่นี้ใช่มั้ย”

    “ใช่ ส่วนที่เหลือเดี๋ยวพวกฉันจะทยอยทำ”

    “ฝากด้วยนะเจ้าคะ” ยูริพูดกับผมด้วยความเกรงใจ ผมเลยส่ายหน้าให้นิดหน่อยเพื่อบอกกับหญิงสาวว่าไม่ต้องเกรงใจ

    หลังจากที่ผมได้เครื่องดื่มมาในมือ ทุกคนก็เริ่มทำงานกันโดยไม่มีใครพูดอะไรเลย บรรยากาศเงียบๆที่มีเพียงเสียงพลิกกระดาษ เสียงเขียนปากกาและเสียงดูดน้ำ มันดูตึงเครียดแต่ก็เป็นบรรยากาศที่ผมชอบนะ มันทำให้ผมมีสมาธิ ถ้าเกิดอยู่กับพวกคริสนะ อย่าหวังว่าจะได้ทำงานสงบๆเหมือนกันพวกผู้หญิงเลย

    .

    .

    .

    “อ้อใช่ ทุกคนเจ้าคะ” เสียงยูริดังขึ้นทำให้ทุกคนเงยหน้าไปมองต้นตอของเสียงรวมถึงผมด้วย “ตอนนี้ยูริกำลังจัดการเรื่องแขกของงาน เลยนึกขึ้นได้ว่าทุกคนได้เป็นแขกของใครในงานนี้รึเปล่าเจ้าคะ”

    “อั๊วเป็นแขกของอาฮอรัสน่อ”

    “ฉันเป็นแขกของอเล็กเซน่ะ”

    “ส่วนฉันก็ตาดันเต้นั่นแหละ ยูริเธอเป็นแขกของคริสโตเฟอร์ใช่มั้ย”

    “ใช่เจ้าคะ แล้วคุณกียุลล่ะเจ้าคะ แขกเป็นใคร?”

    เดี๋ยวนะ แขกเหรอ? 

    เห้ย!!!! ผมลืมไปซะสนิทเลยว่าผมต้องเชิญแขกมาวันจบด้วยนี่หว่า เอาจริงๆนะ อย่าว่าแต่ทิวาเลย พ่อแม่ผมผมก็ยังไม่ได้บอก ทำไงดีฟะ จะถึงวันแล้วด้วย T^T

    “ทำหน้าอย่างนั้นอย่าบอกนะว่านายไม่มีแขกน่ะ!?” นาซิสซ่าลุกพรวดแล้วตะโกนถามผมทันที ทำให้ทั้งร้านหันมามองจนเหมยฮัวต้องรีบดึงที่เธอนั่งลง

    “เอ่อ… ฉันมัวแต่ทำงานจนลืมน่ะ”

    “โอ๊ย! นายนี่มัน เรื่องอื่นไม่ลืมแต่เรื่องสำคัญกลับมาลืมกันเนี่ยนะ ละตอนนี้นายเชิญใครมาแล้วบ้าง?”

    “ไม่ได้เชิญใครเลย พ่อแม่ฉันก็ลืมบอก”

    “ไอ้หยา แบบนี้ไม่ทันแน่น่ออากียุล อั๊วว่าลื้อรีบไปบอกพ่อแม่ลื้อเดี๋ยวนี้เลยน่อ มันวันสำคัญของลื้อนะ”

    “จริงด้วยเจ้าค่ะ แถมเดินทางมาหาเราก็ไม่ได้ใช้เวลาแค่แป๊บเดียว”

    “เดี๋ยวเสร็จงานนี้ฉันจะโทรหาพ่อแม่ ไม่ต้องกังวลนะ”

    “เจ้าค่ะ แล้วคุณจะชวนคุณทิวาด้วยมั้ยเจ้าคะ” ยูริถามคำถามผมที่คำตอบมันมีแต่ ‘ใช่’ อยู่แล้ว แต่เอาเข้าจริงๆมันมีความกังวลภายในใจบางอย่างทำให้ผมไม่สามารถพูดว่า ‘ใช่’ ออกไปได้ในทันที

    “ฉันอยากชวนนะ แต่ฉันมีเรื่องที่กังวลอยู่น่ะ คือถ้าสมมติทิวามางานในฐานะแขกของฉัน มันจะไม่เป็นการเปิดเผยต่อพวกคนที่ลาฟลอร่าเหรอว่าทิวาหายไปแต่ทำไมมาโผล่ที่นี่”

    คำถามของผมทำให้ทุกคนตกอยู่ในภวังค์ ผมว่าพวกเธอก็คงไม่ได้สังเกตในจุดๆนี้เหมือนกัน อาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองได้หายจากลาฟลอร่าไปนานเลยทีเดียว

    แต่ท่าทีของยูริดูไม่มีความตกใจอยู่เลย มิหนำซ้ำเจ้าตัวยังกระตุกยิ้มให้ผมอย่างกับรู้อะไรบางอย่างแน่ะ

    “ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะคุณกียุล เพราะว่าทั้งคุณทิวา และพวกยูริเอง ไม่ได้หายไปไหนหรอกเจ้าค่ะ ^^”

    “หมายความว่ายังไงน่ะยัยยูริ!?” นาซิสซ่าถาม สองคิ้วเธอขมวดเข้าหากันแล้วมองเพื่อนตัวเองด้วยสายตาจับผิด ซึ่งเอาจริงตอนนี้คิ้วผมก็ขมวดเหมือนกัน

    “คุณนาซิสซ่าอย่าลืมสิเจ้าคะว่ายูริอยู่ชมรมนักข่าวนะ เรื่องราวของชาวบ้าน เราทันทุกสถานการณ์!”

    “มันใช่เรื่องน่าภูมิใจไหมน่ะ -_-;” โรซารี่เหงื่อตก

    “ที่ยูริบอกว่าพวกเราไม่ได้หายไปไหน เพราะทางคุณครูไอริณและผอ.ไนติงเกลจัดการเรื่องให้พวกเราแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้คนที่ลาฟลอร่าเค้าเข้าใจว่าพวกเราตามไปเป็นผู้ช่วยของครูมารีในการประชุมโรงเรียนที่ 20 ปีจะเกิดขึ้นสักครั้งที่ต่างประเทศน่ะเจ้าคะ”

    “อ่อ งานนั้น เดี๋ยวนะ เหมือนเพิ่งจัดไปเมื่อ 4 ปีก่อนไม่ใช่เหรอน่อ?”

    “ใช่แล้วเจ้าค่ะ”

    “แล้วแบบนี้มันจะเนียนเหรอน่อ”

    “เห็นผอ.อ้างไว้ว่าเป็นอีกงานนึงน่ะเจ้าคะ คล้ายๆงานเดียวกับเมื่อ 4 ปีก่อนเลย เพียงแค่งานที่พวกเรา’กำลังประชุม’กับครูมารีมันทางการกว่าเจ้าค่ะ”

    “สุดท้ายผอ.พวกเธอก็หาเรื่องอ้างจนได้สินะ” ผมพูดขึ้น

    “เจ้าค่ะ เพราะฉะนั้นสามารถเชิญคุณทิวาให้เป็นแขกตามสบายเลยเจ้าค่ะ สู้ๆนะเจ้าคะคุณกียุล”

    “ขอบคุณสำหรับข้อมูลมากนะยูริ”

    “ยินดีเสมอเจ้าค่ะ :)”

    .

    .

    .

    “เฮ้อ กว่าจะเสร็จ” ผมถอนหายใจออกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย เอาเข้าจริงๆไองานเรียงรายชื่อนี่กินเวลาไปเป็นชั่วโมงเหมือนกันนะ แต่ในที่สุดก็เสร็จสักที! ผมล่ะดีใจสุดๆ! T^T

    “เหนื่อยหน่อยนะน่อ” เหมยฮัวพูดปลอบผมแล้วตบบ่าสองที

    “พวกเธอก็เหมือนกัน ไม่ใช่งานของเธอแท้ๆ งั้นเดี๋ยวฉันขอตัวก่อนนะ” ผมขอตัวกลับแล้วกำลังจะลุกออกจากร้าน แต่ก็มีเสียงเรียกของยูริดึงผมไว้

    “คุณกียุลเจ้าคะ อย่าลืมสคริปต์ที่จะพูดวันงานด้วยนะเจ้าคะ แล้วก็ฝากบอกคุณฮอรัสด้วย”

    “หืม สคริปต์? สคริปต์ทำไม?” ผมมองหน้ายูริแบบงงๆ เพราะถ้าเป็นสคริปต์ที่ประธานนักเรียนต้องกล่าวตามงานต่างๆผมก็แค่เอาอันเก่ามารียูสเฉยๆ ไม่จำเป็นต้องเขียนใหม่ให้ยุ่งยาก

    “ก็พวกคุณเป็น Valedictorian ของปีนี้นี่เจ้าคะ! อย่าบอกนะว่าลืมอีกแล้ว?”

    What the heck นี่ตูจะลืมเรื่องสำคัญถึงสองเรื่องเลยเหรอ!? ผมว่าเสร็จงานนี้ผมต้องไปเช็คสมองผมแล้วแหละว่าเสื่อมตรงไหนบ้างมั้ย ทำไมถึงจำอะไรไม่ได้เล้ย

    “ไม่ลืมหรอกน่า” ผมรีบปฏิเสธเพื่อหยุดการบ่นจากแก๊งสาวๆก่อนจะรีบขอตัวกลับห้อง “ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันไปก่อนนะ!”

    แล้วผมก็รีบวิ่งหายไปในอากาศทันที


    ทางฝั่งของแก๊งสาวๆทั้ง 4 คน

    “อะไรของหมอนั่นเนี่ย นอกจากจะขี้เก๊กแล้วยังจะขี้ลืมอีกเหรอ? =_=” นาซิสซ่าบ่นพลางทำหน้าเบื่อหน่ายก่อนจะหันมาสนใจกับงานตรงหน้าต่อเมื่อกียุลเดินลับสายตาไปแล้ว

    “เรื่องขี้เก๊กก็เห็นๆกันจนชินแล้วล่ะนะ แต่ฉันเห็นด้วยกับที่กียุลขี้ลืมขึ้น กลายเป็นปลาทองไปแล้วรึไง” โรซารี่เสริม

    “อืมอืม/เห็นด้วยเจ้าค่ะ (- -)(_ _)” ส่วนเหมยฮัวและยูริก็พยักหน้าและตอบเป็นเสียงเดียวกัน


    กลับมาทางด้านกียุล

    ตอนนี้มันก็เป็นเวลาประมาณทุ่มครึ่งแล้ว ตั้งแต่ที่ผมเลิกคุมงาน จนไปช่วยงานพวกสาวๆ ยังไม่มีอาหารใดใดลงท้องผมเลยนอกจากกาแฟเข้มๆแก้วนั้น หิวจะตายแล้ว ที่ห้องจะมีอะไรกินมั้ยนะ

    พอผมคิดได้อย่างนั้น สองเท้าผมมันก็ก้าวเร็วขึ้นโดยอัตโนมัติ เหมือนผมจะเริ่มติดนิสัยยัยลิงมานิดๆแล้วสิ ไอนิสัยที่หิวแล้วเท้าจะเดินเร็วกว่าปกติเพื่อที่จะได้กินข้าวเร็วๆ

    ร่างของผมกำลังยืนไขประตูห้องตัวเอง ในที่สุดผมก็มาถึงสักที ผมหวังว่าไอคริสยังไม่พาทิวาพังห้องเละไปก่อนนะ แต่ไม่ทันที่ผมจะได้เปิดประตูเข้าไป เสียงของเพื่อนสนิทคนดีคนเดิมก็เล็ดลอดออกมาจากห้อง

    “ช่วยไปเป็นแขกของไอในงานได้มั้ย” 

    หืม? ไอคริสมันถามใครน่ะ ก็ในนั้นมีแต่ทิวา หรือว่า?

    “ได้แน่นอน”


    ปัง!


    “เฮ้ย!!??” ทั้งสองคนตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจ คริสที่นั่งอยู่ข้างๆทิวารีบลุกขึ้นมาแล้วถอยห่างจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว แต่จะเร็วแค่ไหนมันก็ไม่ทันเว้ย!! ผมเห็นหมดแล้ว!!

    อะไรวะ! ภาพที่ผมคิดไว้ในหัวคือคริสนั่งทำงานส่วนของผมไม่ใช่เหรอ แล้วไหงมาพูดคุยกับทิวาสบายใจเฉิบขนาดนี้ แถมตัวเธอก็ดันยิ้มกลับให้ไอคริสมันด้วยนี่สิ!!

    “อะ เอ่อ… ยู กลับมาไวจัง” คริสทักผมด้วยประโยคที่โคตรจะไม่เนียน แถมเหงื่อแตกพลั่กๆบวกกับสายตาที่เลิ่กลั่กมองซ้ายมองขวาแต่ไม่มองหน้าผมมันยิ่งทำให้ผมอยากหักคอไอ้นี่มากขึ้นไปอีก

    “จะสองทุ่มอยู่แล้ว ไวตรงไหนไอหัวส้ม =*=”

    “เอ่อ… นั่นสิ งะ งั้นไอขอตัวก่อนนะ!” คริสพูดจบแล้วรีบวิ่งออกนอกห้อง แต่เสียใจด้วยนะเพราะผมคว้าคอเสื้อมันไว้ทันจนคอเสื้อมันรัดคออย่างแรง “แอ้ก!!!!” 

    “จะไปไหน.. ยังไม่ได้คุยกันเลยนะเจ้าเพื่อนตัวดี”

    “จะคุยอะไรล่ะคร้าบบบ T[]T”

    “อย่ามาทำไก๋ ก็ที่เมื่อกี้ที่นายคุยกับทิวาไง” ไม่รอช้าผมรัดคอเสื้อมันให้แรงขึ้น แต่ไม่ต้องห่วงว่าผมจะทำแรงเกินไปหรอกนะ เพราะไอ้นี่ก็เคยทำแบบนี้กับผมเวลาหยอกล้อ(?)กันเหมือนกัน

    “กียุลใจเย็นๆ! คริสจะหายใจไม่ออกตายแล้วเนี่ย!” ทิวาที่เห็นคริสจะตายคามือผมก็รีบวิ่งมาดันพวกผมทั้งสองให้ออกจากกันทำให้คริสได้กลับมามีอากาศหายใจอีกครั้ง อย่าเพิ่งสิยังไม่หนำใจเลย!

    “อ่อก! Thank you so much เลดี้ทิวา ไอเกือบตายแล้วมั้ยล่ะ ส่วนกียุล ไออธิบายได้!”

    “งั้นก็รีบอธิบายมา”


    กร๊อบ!


    “อย่าเพิ่งหักนิ้วขู่สิฟะ!! กลัวนะเว้ย อะไรมันจะหึงโหดขนาดนั้น!! T[]T”

    “ถ้าฉันหึงแล้วมันจะทำไม ก็ดูที่นายพูดกับทิวาสิ ทั้งๆที่นายมียูริอยู่แล้ว” ผมหักนิ้วแล้วเดินเข้าไปประจันหน้ากับคริส ถึงแม้ตอนนี้ผมจะใส่แว่นอยู่มันก็สามารถรับรู้ได้ว่าผมกำลังถลึงตาใส่มันอย่างแรงด้วยความไม่พอใจสุดขีด! รังสีอำมหิตแผ่กระจายไปรอบห้องจนทำให้ทั้งทิวาและคริสถึงกับสะดุ้ง

    เออกูหึงว่าที่แฟนของกู แล้วมันจะทำไม

    “ไอแค่เล่าให้เลดี้ทิวาฟังเฉยๆว่าตอนที่ไอไปขอยูริให้มาเป็นแขก ไอพูดไปว่าอะไร ใช่มั้ยทิวาจางง ช่วยไอทีเถอะพลีสส” คริสร้องคร่ำครวญแล้ววิ่งไปหลบหลังทิวาพลางจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอแน่น

    ปล่อยนะเฟ้ย! จะถึงเนื้อถึงตัวมากไปละไอ้นี่ =*=

    “จริงเหรอทิวา?”

    “จริงๆ คริสไม่ได้มาขอฉันหรอก เขาแค่เล่าให้ฟังเฉยๆ นายก็รู้นี่ว่าคริสเขาไม่โกหกเพื่อนตัวเอง”

    ก็จริงอย่างที่ทิวาว่า ถึงคริสมันจะบ้าบอแต่ข้อดีของมันก็คือความซื่อสัตย์นี่แหละ ครั้งนี้ผมถึงเชื่อสองคนนี้ได้ง่ายๆ แต่ถ้ามีครั้งต่อไป ผมไม่รับประกันชีวิตคริสมันแน่

    “...”

    “จริงๆๆๆๆๆๆนะยู ไอสาบานต่อหน้าข้าวกล่องเลย!”

    “อะไรเนี่ย!! มาป่วนห้องคนอื่นไม่พอยังมาขโมยข้าวฉันกินอีกเรอะ!?”

    “ก็คนมันหิววว พ้มขอโทษโอปป้าสุดที่รัก T^T”

    “ออกไปจากห้องเลยไป๊ป๊ป๊ป๊” ผมสุดจะทนกับมันแล้ววว 

    “เลดี้ทิวาไว้ค่อยคุยกันต่อนะคร้าบบ ผมจะโดนฆ่าแล้ว T0T”

    “ยังไม่หยุดอีก!!!”

    ผมจัดการเตะไอคริสออกจากห้องพร้อมข้าวที่มันขโมยกินแล้วล็อคห้องทันที ไม่คิดจะเข็ดเลยใช่มั้ยเนี่ยเพื่อนคนนี้

    หลังจากที่ผมล็อคทุกกลอนที่มีตรงประตูเสร็จ ผมก็พบว่าทิวาได้ยืนอึ้งมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างรวดเร็วด้วยสายตาประมาณว่า ‘นี่พวกนายใช้ชีวิตกันแบบนี้จริงดิ?’

    ไม่ตกใจล่ะสิแปลก ผมเล่นหึงยัยลิงต่อหน้าเจ้าตัวแล้วไปรัดคอเพื่อนตัวเองจนเกือบตาย มิหนำซ้ำยังเตะเพื่อคนนั้นออกจากห้องพร้อมข้าว ไม่มีคนสติดีคนไหนเขาทำหรอกครับ -_-

    เฮ้อ สุดท้ายเย็นนี้คงต้องทำไข่ต้มที่เหลืออยู่กินสินะ ทำไมชีวิตผมมันอนาถได้ขนาดนี้นะ

    [End-Giyul]


    _________________________________________________________________________________


    สวัสดีค่าผู้อ่านทุกท่านนน มาพบกันอีกตอนนะคะ ตอนนี้เราพยายามเล่าในมุมมองกียุลค่ะ ยังเขียนไม่ถนัดมาก ถ้าอ่านแล้วติดขัดตรงไหนบอกได้นะคะ T T

    เกร็ดความรู้เล็กๆสำหรับผู้อ่านค่ะ Valedictorian เปรียบเสมือนนักเรียนคนที่ทำผลการเรียนได้ดีที่สุดในรุ่นนั้น และในวันจบการศึกษา คนที่เป็น Valedictorian จะได้พูด speech บนเวทีด้วยค่ะ ส่วนในที่นี้ก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากกียุลและฮอรัส สองเพื่อนรักนั่นเอง

    ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์และกำลังใจนะคะ พบกันใหม่ในตอนหน้าค่า


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×