ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Laflora Secret ไขปมความรักกับสายลับ 5 สาว

    ลำดับตอนที่ #35 : ตอนที่ 24 : สิ่งพิเศษที่ซ่อนอยู่ในตัว

    • อัปเดตล่าสุด 25 ส.ค. 65


    TB

    24

    สิ่งพิเศษที่ซ่อนอยู่ในตัว


    หลังจากที่ไอริณไปทำแผลที่ห้องพักของตัวเองเสร็จก็มุ่งหน้าไปยังห้องของกียุลและทิวา ตอนแรกเธอไม่ค่อยอยากจะไปเนื่องจากบาดแผลที่ได้รับมาเพราะกลัวลูกสาวของตนจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากกว่าเดิม แต่ฮอรัสก็มาย้ำอีกรอบมาอยากให้ไปเจอให้ได้เลยตัดสินใจมา

    ก๊อก ก๊อก

    “ขออนุญาตเข้าไปนะจ๊ะ” ไอริณเคาะที่ประตูสองทีเป็นการขออนุญาตแล้วเดินเข้ามาในห้อง ทันทีที่ประตูเปิดออก ทิวาที่นั่งช่วยงานกียุลอยู่ที่โต๊ะทำงานก็รีบวิ่งมาหาแม่ของตนทันที

    “เป็นไงบ้างคะแม่ เอ๊ะ? แม่ไปโดนอะไรมา!?” ร่างบางรีบทักขึ้นทันทีที่เห็นผ้าก๊อซสีขาวชิ้นยาวแปะอยู่บนแก้มของไอริณด้วยสีหน้ากังวล


    ‘ว่าแล้วเชียว’ ไอริณคิดในใจ


    “แค่โดนลูกหลงนิดหน่อยน่ะจ้ะ ไม่ต้องกังวลนะ ส่วนอื่นไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนหรอก” 

    “จริงเหรอคะ ดีจังที่แม่ไม่เป็นอะไรมาก” ทิวาถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เข้ามานั่งก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวหนูเอาขนมมาให้กินนะ แม่น่าจะเหนื่อยน่าดู” หญิงสาวจูงมือแม่ของตนให้มานั่งโซฟาแล้วเดินไปเอาขนมในครัว ในขณะเดียวกันกียุลก็ละมือจากงานแล้วมานั่งกับไอริณ

    “งานยังเยอะอยู่มั้ยจ๊ะ”

    “พอตัวเลยครับ ได้ทิวามาช่วยด้วยเลยเบาภาระไปเยอะเลย”

    “ตายจริง เดี๋ยวนี้ทิวาช่วยงานสภาได้แล้วเหรอ เจ้าลูกคนนี้มาไกลจริงๆ”

    “แต่ก็ยังคงคอนเซ็ปต์ลิงกังอยู่บางครั้งนะครับ ฮ่าๆ”

    “อะแฮ่ม! ทั้งสองคนนินทาหนูอยู่เหรอ?” ทิวาที่ถือแยมโรลกับน้ำอยู่ข้างหลังทั้งสองคนกระแอมเบาๆเมื่อได้ยินชื่อของตนอยู่ในบทสนทนา

    “ใช่ ทำไมเหรอยัยลิง” กียุลหันไปแลบลิ้นใส่ทิวาอย่างกวนๆ

    “อย่าให้ฉันได้นินทานายบ้างนะตาตี๋” หญิงสาวนั่งลงข้างๆแม่ตัวเองอย่างหัวเสียแล้วยื่นแยมโรลให้คนข้างๆ

    “รสโปรดแม่นี่นา! ขอกินล่ะนะ”

    หลังจากไอริณพูดจบ ทั้งเธอและทิวาก็หยิบแยมโรลเข้าปากกันคนละชิ้นพร้อมกันแล้วเคี้ยวตุ้ยๆจนแก้มป่องเหมือนกัน กียุลที่นั่งอยู่ก็รู้สึกเอ็นดูและขำออกมานิดๆกับความเหมือนกันอย่างกับซิงค์กันได้ของแม่ลูกคู่นี้

    “อ้อใช่ พวกคนที่ทำร้ายอเล็กเซโดนจับไปหมดแล้วนะจ๊ะ” ไอริณเคี้ยวเสร็จแล้วพูดขึ้นกับกียุล

    “กำลังจะถามพอดีเลยครับ”

    “แม่รู้ไงว่าหนูจะถาม เจ้าลูกเขย”

    “แม่!!!!!”

    “ผมชอบชื่อนั้นครับ เรียกผมด้วยชื่อนั้นบ่อยๆนะครับคุณแม่”

    “นายตี๋ก็ด้วยเหรอ!!!!”

    “ได้เลยจ้ะลูกเขยที่รัก”

    “ฮึ่ย…” ทิวาได้แต่นั่งหน้าแดงกับสิ่งที่กียุลและไอริณได้พูดไปเมื่อกี้ ไอดีใจมันก็ดีใจอยู่หรอกที่อย่างน้อยแม่ก็ไฟเขียวให้กียุล แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นก็ได้ “แล้วสรุปสามคนนั้นใช่กลุ่มคนที่แฝงตัวเข้ามามั้ยอะแม่”

    “รีบเปลี่ยนเรื่องเชียวน้าลูก”

    “ตอบๆมาน่าแม่”

    “จ้าๆ สามคนนั้นคือกลุ่มนั้นแหละ แล้วน้าก็จะจัดการต่อจากแม่อีกที”

    “ดีจัง อย่างน้อยก็จับฝั่งนั้นไปได้บ้างแล้ว” 

    “น้าเหรอครับ?” กียุลที่ดูงงๆกับเรื่องราวพูดขึ้น

    “อ้อใช่ กียุลไม่รู้จักนี่นา น้าที่ว่าคือน้าสาวของทิวาเองจ้ะ ชื่อแอริณ เป็นฝาแฝดกับแม่เอง เป็นเจ้าหน้าที่องค์กรโลกเหมือนกัน เขาคอยดูแลเกี่ยวกับพวกคนร้ายที่ถูกจับได้น่ะ”

    “แถมก่อนหน้านี้ก็เคยแฝงตัวเป็นครูห้องพยาบาลตอนฉันอยู่คลาสพริ้นเซสด้วย แล้วก็เอ่อ.... ช่างมันเถอะไม่อยากพูดถึง” ทิวาที่ตอนแรกเล่าเรื่องอย่างร่าเริงก็ห่อเหี่ยวทันทีที่นึกถึงเหตุการณ์ที่ตัวเองโดนจับเป็นตัวประกันโดยแก๊งฟักทองรุ่นก่อน (เหตุการณ์ในลาฟลอร่าภาคแรกเล่ม 10)

    “ทำไมเหรอ”

    “เดี๋ยวแม่เล่าเองจ้ะ คือก่อนหน้าที่จะมีการแข่งฮันนี่แรลลี่ แก๊งฟักทองเคยแฝงตัวเข้ามาเป็นนักเรียนคลาสควีนเพราะต้องการที่อยู่สมบัติของโลกจากแม่ ทิวาก็เลยโดนลูกหลงจับเป็นตัวประกันกับครูฮีโร่โดตุส แล้วน้าแอริณก็มาช่วยโดยอ้างตัวว่าเป็นแม่เพราะเราหน้าเหมือนกันเปี๊ยบ อ้อใช่ ทิวาถูกมัดแล้วตกลงมาจากหอคอยลาฟลอร่าที่ตั้งอยู่กลางเกาะด้วยนะ” ไอริณเล่าด้วยใบหน้าที่เบิกบานต่างกับทิวาที่กำลังสยองกับเหตุการณ์ในอดีตจนทำหน้าเหยเกออกมา

    “โห… ชีวิตเธอก็สมบุกสมบันดีนะ” 

    “นั่นแหละ ฉันเลยไม่อยากนึกถึงอีก เกือบตายเลยนะตอนนั้น”

    ทั้งสามคนพูดคุยและหัวเราะด้วยกันอย่างสนุกสนานจนลืมความตึงเครียดที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันไปชั่วขณะ ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มยิ่งกว่าเก่าแต่ในขณะเดียวกันก็มีแสงอ่อนๆจากดวงดาวส่องประกายไปทั่วฟ้า เสี้ยวของดวงจันทร์กำลังเฉิดฉายบนท้องฟ้าประจวบกับความงัวเงียที่เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ไอริณสังเกตเห็นทิวาที่ขยี้ตาไปมาก็เพิ่งรู้ตัวว่านั่งคุยกับเด็กๆจนจะห้าทุ่มแล้ว เธอจึงบอกลาทั้งสองและให้เวลาพวกเขาได้พักผ่อน

    “แม่รบกวนเวลาพวกหนูมากแล้ว เดี๋ยวแม่กลับก่อนนะจ๊ะ”

    “ค่า กลับดีๆนะคะ”

    “จ้า ทิวาไม่กังวลอะไรแล้วนะ”

    “ตอนนี้สบายใจขึ้นเลยค่า” พูดจบทิวาก็สวมกอดกับไอริณ หญิงสาวกอดตอบ ทั้งสองตักตวงความอบอุ่นชั่วเวลานึงจึงค่อยๆคลายกอด

    “ฝันดีนะจ๊ะทั้งสองคน”

    “ฝันดีค่า รักแม่นะ!”

    “ฝันดีครับ”

    หลังจากที่ไอริณออกจากห้องไป ทิวาก็หาวแล้วบิดขี้เกียจสองสามทีก่อนจะตรงกลับไปที่โต๊ะทำงาน กียุลที่เห็นอย่างนั้นจึงดึงไหล่ของหญิงสาวไว้

    “จะกลับไปทำงานเหรอ”

    “อืม ยังไม่เสร็จเลยหนิ”

    “ไม่เป็นไร ของวันนี้ก็พอแค่นี้เถอะ เดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง เธอไปนอนเถอะ”

    “แปลกแฮะ ไหงวันนี้ปล่อยฉันไปนอนเร็วได้ ปกตินี่เข้มงวดขนาดที่ไม่เข้มข้นเราไม่นอนไม่ใช่เหรอ”

    “ก็วันนี้เครียดมาทั้งวันแล้วนี่นา แถมเมื่อกี้เธอก็ได้ผ่อนคลายกับแม่ของเธอ ฉันเลยไม่อยากให้เธอเครียดเพิ่ม”

    “งั้นฉันไม่ปฏิเสธนะ ฮี่ๆ” ทิวายิ้มชอบใจแล้วกำลังจะเดินไปที่เตียง แต่เธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงหันมาหาชายหนุ่มอีกรอบ “ถ้างั้นนายก็ไปนอนด้วยกันสิ”

    “เอ๋? แต่ฉันยังทำงานไม่เสร็จเลย”

    “เดี๋ยวฉันช่วยพรุ่งนี้เช้า มาเถอะ!” หญิงสาวจัดการดึงมือของชายหนุ่มไปที่เตียงทันที แต่ก็ไม่ลืมแวะไปปิดไฟแล้วไปเปิดไฟอ่อนๆที่โคมไฟหัวเตียงแทน

    “เฮ้อ เอางั้นก็ได้” ถึงจะถอนหายใจ แต่กียุลก็เดินตามไปแต่โดยดีครับท่านผู้ชม~

    ทิวาเดินไปนอนที่เตียงก่อนแล้วเล่นโทรศัพท์ไปพลางๆ ส่วนกียุลจัดการเก็บของที่อยู่บนโต๊ะทำงานให้เรียบร้อยแล้วเดินตามไปทีหลัง

    “นี่ คลุมโปงทำไมฮะ” กียุลที่เห็นว่าตัวของหญิงสาวจมมิดไปกับผ้าห่มสีเทาผืนใหญ่ก็ดึงผ้าห่มออก

    “ฉันคุยแชทอยู่ อย่าเพิ่งมาชวนคุย ลืมแล้วเนี่ยจะพิมพ์ว่าอะไร” ทิวาพลิกตัวหันหลังให้กียุลแล้วพิมพ์แชทต่อโดยไม่สนใจคนข้างๆ

    “คุยกับใคร คนคุยใหม่เหรอ?”

    “ใช่ น่ารักมากด้วย”

    “พูดจริงพูดเล่น?” 

    “พูดจริง”

    “ห๊ะ!?” กียุลอุทานออกมาเสียงดัง ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่าคนตัวแสบข้างๆกำลังคุยกับคนคุยใหม่เนี่ยนะ

    “ชื่อเหมยฮัว”

    “หนอย… ยัยลิงแสบนี่!” ทันทีที่ได้ยินชื่อเพื่อนสาวชาวจีนก็รีบหยิกแก้มทิวาทันที

    “โอ๊ยยยยย!! นายตี๋ฉันเจ็บนะ!”

    “แล้วใครใช้ให้พูดเล่นล่ะ”

    “ขอโทษ จะไม่หยอกเล่นแล้ว” ทิวาทำหน้ารู้สึกผิด กียุลเลยคลายมือจากการหยิกแก้มแล้วเปลี่ยนลูบเบาๆที่แก้มแทน

    “ถ้าครั้งหน้าเธอนอกใจฉันจริงๆ เธอเจอดีแน่”

    “เจออะไรยะ?”

    “ก็จะลงโทษเธอจนเธอไม่อยากไปหาคนอื่นนอกจากฉันเลยล่ะ :)”

    “เกินไป” ทิวาพูดไปงั้นๆแต่จริงๆเธอรู้ถึงความหมายแฝงในประโยคนี้ ไม่มีทางที่จะไม่มีนัยอะไรแน่ๆเพราะคนพูดนั้นเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าสุนัขจิ้งจอก

    หญิงสาวหยิบตุ๊กตาที่วางอยู่ข้างๆมากอดแล้วซุกหน้าลงไปหวังจะซ่อนใบหน้าที่แดงกว่าปกติ แต่ถึงยังไงชายหนุ่มก็รู้ทันและไม่ได้ว่าอะไร เขาล้มตัวลงนอนแล้วดึงผ้าห่มให้คลุมทั้งตัวเขาและหญิงสาว มือหนาค่อยๆดึงร่างบางเข้ามากอด ส่วนร่างบางก็ค่อยๆเขยิบตัวให้อยู่ใกล้ๆชายหนุ่มตามแรงดึง

    “ฉันดีใจนะที่วันนี้เธอหัวเราะได้บ้าง”

    “ฉันเงียบขนาดนั้นเลยเหรอ” 

    “ถ้าให้พูดตรงๆก็ใช่ มันดูไม่เป็นเธอเลย เธอคงเป็นห่วงอเล็กเซมาก”

    “อืม แถมฉันยังรู้สึกผิดต่ออเล็กเซมากๆ ถ้าวันนั้น วันที่พวกนายขึ้นเรือ ฉันไม่ไปโชคร้ายเจอพวกคนร้าย อเล็กเซคงไม่ต้องเจอกับอะไรแบบนี้” ทิวาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นจนกียุลใจหาย เขาลูบหัวของทิวาเบาๆเป็นการปลอบใจ

    “ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องนั้นเลย ฉันว่าเรานอนกันดีกว่านะ”

    “อือ..” ทิวาตอบรับแล้วซุกใบหน้าเข้าที่แผ่นอกของกียุล

    กียุลเปิดเพลย์ลิสต์เปียโนในโทรศัพท์แล้ววางไว้ที่โต๊ะข้างๆเตียง เสียงเปียโนที่อ่อนนุ่มและชวนหลับฝันกำลังคลอไปทั่วห้องราวกับขนนกที่ปลิวไปตามแรงลม เนื่องจากทิวาเป็นคนที่ไม่หลับถ้ารอบข้างเงียบเกินไป กียุลจึงเห็นว่าเปียโนเป็นตัวช่วยที่ดี แถมเขาเองก็ชอบเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว

    ผ่านไปไม่นาน กียุลสัมผัสได้ถึงร่างบางในอ้อมอกที่เงียบลงและการหายใจที่เป็นจังหวะชัดเจน บ่งบอกว่าเจ้าตัวได้หลับลงแล้ว ในตอนแรกชายหนุ่มวางแผนไว้ว่าหลังจากที่ทิวานอน เขาจะลุกขึ้นไปทำงานต่อให้เสร็จ แต่ในตอนนี้อาจจะไม่ได้แล้วเพราะว่าเขาไม่กล้าขยับมาก กลัวทิวาตื่น เนื่องจากหญิงสาวได้ใช้แขนของชายหนุ่มเป็นหมอนหนุนนอน กียุลจึงตัดสินใจไม่ลุกไปไหน เขาจุมพิตเบาๆที่หน้าผากของทิวาก่อนจะหลับตาลงแล้วเข้าสู่่ความฝัน


    ‘งานไว้ค่อยทำพรุ่งนี้ก็แล้วกัน’


    วันต่อมา

    ถึงแม้วันรุ่งขึ้นจะเป็นวันปิดเทอมของนักเรียนชั้นปีที่ 3 แต่ว่าไม่ใช่สำหรับสภานักเรียนและราชาทั้ง 5 กียุลเรียกรวมตัวทุกคนที่เกี่ยวข้องให้มาประชุมกันตอนเก้าโมง ยกเว้นแต่โรซารี่และอเล็กเซที่พักฟื้นอยู่ที่ห้องและทิวาที่ไม่ได้มาด้วยเพราะหญิงสาวไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของนักเรียนโนอาห์ (พักรักษาตัวจนไม่ได้ปลอมตัวกับเพื่อนๆนั่นเอง) หลังจากที่ทุกคนมาถึงห้องประชุม กียุลผู้เป็นประธานนักเรียนและเฮดของงานก็รีบเข้าเรื่องทันที

    “งานชิ้นนี้ที่เราจะต้องรับผิดชอบก็คืองานจบการศึกษาของนักเรียนคลาสดุ๊กปี 3 ต่อไปนี้ฉันจะขอเรียกว่าพิธีย้ายเรือแล้วกัน
    ซึ่งงานนี้จะจัดขึ้นที่เกาะส่วนตัวของผอ. แถวๆฮาวายเหมือนทุกปีที่ผ่านมา และชั้นปี 2 จะทำหน้าที่หลักๆเกือบทั้งหมดในการจัดงานนี้ ทางนั้นจึงขอให้ทางสภานักเรียนช่วยดูแลความเรียบร้อยของงาน ฉันขอมอบหมายให้คริสโตเฟอร์ เพลโต และฝ่ายดูแลกิจกรรมไปคุยกับหัวหน้าห้องปี 2 ทุกคนเรื่องธีมของงานด้วยนะ”

    “Yes Sir!”

    “ไว้ใจได้เลยครับ”

    “ส่วนฮอรัส ดันเต้ กับฝ่ายระเบียบ เดี๋ยวตอนบ่ายจะมีการประชุมงานของชั้นปี 2 ฝากพวกนายดำเนินงานในส่วนนี้ด้วยนะ”

    “ได้เลยฮะ”

    “ได้ขอรับ”

    “ส่วนฝ่ายวิชาการ พวกนายจะคอยช่วยฉันเรื่องงานเอกสาร ซึ่งกำลังรอพวกนายอยู่นู่นแล้ว” พูดจบกียุลก็ผายมือไปทางโต๊ะที่ติดอยู่กับประตูห้องประชุมที่มีกองเอกสารหนาปึกวางซ้อนกันอยู่ประมาณหกกองที่แทบจะเอามาต่อเป็นประตูชัยที่ฝรั่งเศสได้แล้ว

    ทั้งห้องถึงกับกลืนน้ำลายดังเอื๊อกทันที โดยเฉพาะนักเรียนฝ่ายวิชาการที่น่าจะหัวปั่นที่สุด คริสโตเฟอร์แอบถอนหายใจอย่างลับๆแล้วกระซิบกับดันเต้ว่า

    “โห ดีนะที่ไอโดนทำให้อย่างอื่น ไม่งั้นตาย”

    “จริงด้วย ผมแอบสงสารพวกนั้นเหมือนกันนะ แต่ผมก็ไม่อยากทำเหมือนกัน”

    “งานทั้งหมดก็จะมีประมาณนี้แหละ หลังจากที่ประชุมกับรุ่นน้องเสร็จแล้ว ก็ให้แยกย้ายกันตามหน้าที่เลยนะ ส่วนเรื่องงบอุปกรณ์ บอกไปเลยว่า ไม่อั้น”

    “โห กียุลใจป้ำสุดๆ” กรรมการนักเรียนคนนึงพูดขึ้น

    “คนที่ใจป้ำมันผอ.ต่างหากล่ะ ถ้างั้นก็จบการประชุมได้” สิ้นเสียงบอกเลิกงานของกียุล ทุกคนก็ทยอยลุกออกจากห้อง โดยที่คริสโตเฟอร์รีบวิ่งออกไปคนแรกแล้วลากเพลโตออกไปด้วย จนเหลือแค่ฝ่ายวิชาการที่นั่งอยู่ในห้องกับกียุล

    “ฝากพวกนายจัดการส่วนนี้ด้วยนะ” กียุลยกกองเอกสารสี่กองมาให้คนนึงในฝ่าย สร้างความสงสัยให้กับทุกคนว่าทำไมแบ่งงานมาแค่นั้น

    “แล้วอีกสองกองล่ะ นายทำคนเดียวเหรอ?”

    “อือ ทำไมเหรอ”

    “ไม่ให้พวกฉันช่วยอีกหน่อยเหรอ มันเยอะมากเลยนะ แถมพวกเราก็มีตั้งเจ็ดคน” นักเรียนคนนั้นพูดขึ้น ทุกคนที่เหลือก็พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย

    “ไม่เป็นไรหรอก ฉันมีเวลาทำยาวๆ แต่พวกนายต้องออกไปดูแลหน้างานด้วย พวกนี้ให้ฉันทำอะดีละ”

    “เฮ้อ ยังหักโหมเหมือนเดิมเลยนะ พูดกี่ครั้งก็ไม่ยอมฟัง” นักเรียนคนเดิมพูดแล้วต่อยแขนที่กียุลเบาๆ กียุลจึงต่อยแขนเขาคืนแล้วยิ้มให้

    “ถ้าฉันไม่ตายคากองเอกสารก็อย่าเรียกฉันว่าคิมกียุลเลย”

    “ฮ่าๆๆๆ ฉันว่าสักวันนายได้ตายคากองงานจริงๆแน่ งั้นกองพวกนั้นพวกฉันจะเอาไปที่ห้องนายให้ละกัน”

    “ขอบใจนะ นี่กุญแจ เสร็จแล้วเอามาคืนด้วยละกัน เดี๋ยวฉันทำงานรอในนี้”

    “ครับผมท่านประธานสุดหล่อ!” นักเรียนฝ่ายวิชาการทุกคนแบกกองกระดาษหนาปึกไปที่ห้องกียุลทันที ส่วนชายหนุ่มที่ยังไม่รู้สึกอะไรก็นั่งจัดการงานตัวเองต่อจนไม่นานเขาก็เริ่มเอะใจ


    ‘เดี๋ยวนะ ห้อง.. เอาของไปไว้ที่ห้อง? ชิ-หายแล้ว!!!!!’


    กียุลลืมไปสนิทเลยว่ายัยลิงกังของเขากำลังนั่งนอนเล่นอยู่ที่ห้อง ถ้าเกิดพวกเพื่อนๆไปเห็นน่าจะเกิดเรื่องใหญ่โตร้อยเปอร์เซ็นต์ คิดได้อย่างนั้นเขาจึงรีบใส่สปีด 4x100 ตรงไปที่พวกฝ่ายวิชาการพอดี 

    “เดี๊ยววว!!!!”

    “ห๊ะ? กียุลมีอะไร” นักเรียนคนนึงกำลังจะเปิดประตูเข้าห้องแต่ก็ชะงักเพราะเสียงเรียกของเพื่อนตัวเอง

    “เดี๋ยวฉันเอาเข้าไปเอง”

    “ทำไมนายดูเลิ่กลั่กจัง ซ่อนอะไรไว้ในนั้นรึไง”

    “เออดิ!”

    “เออน่ะฉันไม่อยากดูความลับสิบแปดบวกอะไรของนายหรอก เพราะห้องฉันก็มี ขอฉันเข้าไปก่อนนะ”

    “ไม่ใช่ๆๆ คือ.. ฉันเลี้ยงแมวน่ะ!” กียุลที่คิดอะไรไม่ออกจึงใช้เจ้านิลมาอ้าง “แมวตัวนี้มันไม่ค่อยชอบคนแปลกหน้าน่ะ มันจะกลัวม๊ากกก แล้วก็จะไม่ยอมออกมาเลย”

    “เพิ่งรู้นะเนี่ยว่านายเลี้ยงแมว - -”

    “ช่วงนี้พอดีสนใจน่ะ งั้นขอฉันเข้าไปจับแมวแปบนึง” พูดจบกียุลก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องทันที และก็เป็นอย่างที่คิด ทิวากำลังนั่งเล่นเกมอยู่ตรงโซฟาพร้อมเจ้านิล

    “นี่ยัยลิง ไปซ่อนสักที่ก่อนนะ แล้วฉันขอยืมเจ้านิลหน่อย!” กียุลรีบลากทิวาไปที่ห้องน้ำแล้วสั่งให้หญิงสาวรออยู่ในนี้ หญิงสาวที่กำลังสับสนอยู่กับเหตุการณ์ก็นั่งรอเงียบๆ (แต่ออกไปเจอดีแน่นายตี๋! บังอาจให้ฉันมานั่งรอในห้องน้ำ!)

    กียุลวิ่งไปเปิดประตูให้เพื่อนๆเข้ามาพร้อมกับเจ้านิลในอ้อมแขน เจ้านิลร้องต้อนรับเพื่อนๆของกียุลด้วยเสียงที่ออดอ้อน

    “เมี้ยว~ว

    “โง้ยยยย เจ้าเหมียวน่ารักจังเลยย” ทาสแมวคนหนึ่งในฝ่ายวิชาการวิ่งเข้ามาน้วยเจ้านิลทันทีที่เห็นมัน “เจ้านี่ชื่ออะไรเหรอ?”

    “เอ่อ เจ้านิลน่ะ”

    “ชื่อน่ารักม้ากกก ไม่เห็นกลัวคนแปลกหน้าแบบที่นายบอกเลย”

    “เจ้านี่ไบโพลาร์น่ะ ว่าแต่พวกนายวางของเสร็จแล้วใช่มั้ย ออกไปได้แล้ว”

    “อะไรเนี่ย รีบไล่กันเลยเหรอ เพิ่งได้เล่นกับมันแปบเดียวเอง”

    “ออกไปได้แล้วเฟ้ยยย” กียุลดันให้เพื่อนทุกคนออกจากห้องไป ส่วนทาสแมวคนนั้นก็เอาแต่โอดโอยจะอยู่ต่อให้ได้จนโดนเพื่อนอีกคนลากออกจากห้องไป เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าทุกคนออกไปกันหมดแล้วก็รีบวิ่งไปหาทิวาที่ห้องน้ำ และพบว่าหญิงสาวยืนหน้าบึ้งพิงอ่างล้างหน้าอยู่

    “เอ่อทิวา ฉันขอโทษ”

    “ทำไมต้องเอาฉันมาซ่อนในนี้ด้วยยะ!?”

    “ฉันคิดไม่ทัน ขอโทษจริงๆนะครับ”

    “เชอะ ห้องทำงานก็มีไม่พาไปซ่อนนะ” ทิวากอดอกแล้วใช้นิ้วโป้งชี้ไปยังห้องทำงานของกียุลที่มีประตูปิดแยกส่วนกับห้องนอน

    “ขอโทษครับ”

    “ช่างเถอะ ขอไก่ทอดเกาหลีกับไช้เท้าดองชุดใหญ่ก็พอ” ทิวารีบตัดบทเพราะไม่อยากทำให้บรรยากาศเสียไปมากกว่านี้ “อ้อ เมื่อเช้าประชุมเป็นไงบ้าง”

    “ผ่านไปด้วยดี ตอนนี้ทุกคนกำลังทำงานกัน ส่วนไก่ทอดเดี๋ยวตอนเย็นไปซื้อให้นะ”

    “ทำงานกันแล้วเหรอ!? เดี๋ยวฉันช่วยด้วยนะ”

    “ไม่ต้องเลย” กียุลรีบห้าม ทำให้ทิวาที่กำลังจะเดินหันมามองหน้าเขาเป็นนัยว่า ‘ทำไม?’

    “เรื่องนี้ปล่อยให้คนอื่นจัดการไป เธอน่ะต้องไปซ้อมต่อสู้กับฉัน”

    “ห๊ะ!? ไม่เอา ไม่อาวววว ฉันไม่ชอบบบ”

    “ไม่ได้!! เธอเป็นคนเดียวที่ยังไม่ได้ซ้อมเลย เธอต้องไปซ้อมเดี๋ยวนี้!”

    “ม่ายยยยยยย”

    ทั้งสองดึงกันไปมาก่อนที่ทิวาจะยอมแพ้แล้วให้กียุลลากไปที่โรงยิมพิเศษแต่โดยดีเพราะเธอนั้นสู้แรงยักษ์ของเขาไม่ไหว


    ‘คนบ้าอะไรแรงเยอะยิ่งกว่าคิงคอง!’


    ณ โรงยิมพิเศษ

    “เธอเคยเรียนพวกศิลปะการต่อสู้มาบ้างมั้ย”

    “เคยหลายอย่างเลยล่ะ แถมโดนซะน่วมเลยด้วย” (เหตุการณ์ในลาฟลอร่าภาคแรกเล่มที่เก้า)

    “ถ้างั้นก็พอจะรู้มูฟเม้นต์บ้างสินะ งั้นให้ฝึกกับอาวุธเลยละกัน” กียุลพาทิวามาที่โต๊ะไม้ยาวที่มีผ้ากำมะหยยี่สีแดงคลุมอยู่ บนโต๊ะมีอาวุธหลากหลายชนิดวางเรียงรายให้ใช้ฝึก มีทั้งที่คุ้นหน้าคุ้นตาและที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

    “โห… เพิ่งรู้ว่ายิมพวกนายจะมีอะไรน่ากลัวแบบนี้ด้วย”

    “ของแม่เธอนั่นแหละ พวกฉันไม่เก็บของอันตรายไว้กับตัวหรอก”

    ทิวาพยักหน้าตอบรับแล้วหันไปเลือกอาวุธ เธอชั่งใจอยู่นานว่าจะเอาอะไรดี จนสายตาเธอไปสะดุดกับเคียวเกี่ยวข้าวคู่ใจดันเต้ที่วางอยู่ขอบโต๊ะ

    “อะไรฟะเนี่ย เคียวเกี่ยวข้าวเนี่ยนะ?”

    “เห็นอย่างนี้ดันเต้ก็ expert มากเลยนะ อย่าดูถูกไป”

    “จริงอะ วันหลังฉันคงต้องมาดูดันเต้ซ้อมหน่อยแล้ว”

    “ไม่มีปัญหา ว่าแต่เธอเถอะเลือกได้ยัง”

    “ได้ละๆ” หญิงสาวตัดสินใจเลือกปืนมาซ้อมเป็นอย่างแรก เพราะเธอคิดว่าขอเริ่มจากอันที่คุ้นมือสุดก่อนละกัน

    “โอเค งั้นใส่พวกอุปกรณ์ป้องกันเสร็จก็เข้าห้องเลยนะ เธอต้องสู้กับพวกหุ่น เดี๋ยวฉันจะคอยกำกับเธออยู่ข้างนอก”

    “โอเค”

    เพื่อต้องการให้ทิวาได้เรียนรู้การต่อสู้ให้เร็วที่สุด กียุลจึงตัดสินใจไม่เป็นคู่ซ้อมให้แล้วให้หญิงสาวซ้อมกับหุ่นแทน เพราะตนรู้ว่าถ้าหญิงสาวต้องต่อสู้กับตัวเอง เธอคงต้องใจอ่อนจนไม่ยอมทำอะไรแน่ๆ ส่วนอีเหตุผลก็คือทิวาต้องการมีคนประเมิน performance ของเธออยู่ตลอด จะได้พัฒนาได้เร็วขึ้น

    หญิงสาวจัดการใส่กระสุนให้พร้อมแล้วเล็งไปที่เป้าหมายทันที แต่มันจะดูไม่เหมือนที่หญิงสาวคิดเอาไว้ เป้าหมายที่ควรจะอยู่นิ่งๆไม่ก็ขยับซ้ายขวาไปมากลับพุ่งตรงเข้ามาหาร่างของเธอพร้อมมีดยางในมือ หญิงสาวจึงกระโดดหลบไปด้านข้างแล้วรีบยิงใส่หุ่นทันที

    แต่กระสุนก็บินไปฝังอยู่ตรงกำแพงแทนแทนที่จะฝังในตัวหุ่น ทั้งสองพุ่งเข้าหาและวิ่งหลบไปมาจนกระสุนหมดแม็กไปสามรอบ แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าทิวาจะยิงโดนสักนิด กียุลเลยหยุดหุ่นไว้แล้วเรียกทิวาออกมา

    “เป็นไงบ้างอะนายตี๋” ทิวาหยิบน้ำที่กียุลยื่นมาให้แล้วกระดกดื่มก่อนจะยืนหอบรอคำตอบจากชายหนุ่ม

    “ดูเธอไม่ค่อยถนัดเลยนะ ลองอย่างอื่นมั้ย”

    “ก็ดีเหมือนกัน งั้นคราวนี้ฉันขอกระบองสองท่อน”

    “ได้ แต่วันหลังเธอต้องไปฝึกยิงปืนนอกรอบด้วยนะ เพราะอย่างน้อยเธอก็ต้องใช้ปืนให้เป็นเผื่อฉุกเฉิน”

    “ค่าๆคุณพ่อ เดี๋ยวไปซ้อมละ”

    “พ่อของลูกน่ะเหรอ?”

    “เงียบไปเลย!!” ทิวาหันมาตวาดด้วยความเขินแล้วรีบวิ่งเข้าไปในห้องซ้อม 

    “ฮะๆ ยัยลิงเอ๊ย” กียุลหัวเราะกับตัวองเบาๆด้วยความเอ็นดูหญิงสาวก่อนจะเปิดให้หุ่นทำงานต่อ

    ทิวากระชับกระบองสองท่อนในมือข้างขวาให้แน่นแล้วรอการโจมตีจากหุ่น เนื่องจากแพทเทิร์นการต่อสู้ของหุ่นเปลี่ยนไปทำให้หญิงสาวเกือบอ่านการเคลื่อนไหวไม่ทัน แต่ก็ยังโชคดีที่สามารถหลบได้ทุกครั้ง แต่พอถึงคราวที่เธอจะฟาดกระบองลงไปที่ตัวหุ่น กระบองมักจะหลุดมือไม่ก็โซ่พันแขนหรือกระบองกระเด็นโดนหน้าตลอด จนทำให้เธอต้องขอเวลานอกชั่วคราว

    “โอยยย… เจ็บๆๆ”

    “ไม่ระวังตัวเลยเธอเนี่ย” กียุลเอาผ้าเย็นประคบในส่วนที่ช้ำให้ทิวา

    “ฉันว่ากระบองก็ไม่เวิร์คอะ งั้นเปลี่ยนเป็นดาบละกัน” ทิวาเลือกหยิบดาบสั้นที่น้ำหนักไม่มากและถือถนัดมือมาอันหนึ่ง “แต่ว่าอันนี้ก็น่าใช้แฮะ ไออันใหญ่ๆอะ”

    “ดาบเคลย์มอร์เนี่ยนะ? มันหนักเท่ากับเจ้านิลยี่สิบตัวเลยนะ เอาจริงดิ”

    “หวา ถ้าหนักขนาดนั้นก็ขอผ่านอะ แค่เจ้านิลตัวเดียวก็หนักพอแล้ว”

    ทิวากระชับดาบในมือแล้วเดินเข้าห้องฝึกไปอีกรอบ การซ้อมเริ่มไปนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แต่จนแล้วจนเล่าเธอก็ยังสร้างรอยให้กับหุ่นตัวนั้นไม่ได้สักนิด ยิ่งเธอตวัดดาบสั้นมากเท่าไหร่ ก็มองเห็นได้ชัดว่าเธอไม่ถนัดมือและรู้สึกหงุดหงิดที่ใช้มัน

    กียุลจึงตัดสินใจให้ทิวาได้ลองใช้อาวุธทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะรวมทั้งเคียวเกี่ยวข้าวสุดฮอต ปรับหุ่นให้เป็นหุ่นนิ่งเพื่อจะได้ดูทักษะของหญิงสาวได้ชัดเจน

    เวลาล่วงเลยมาหลายชั่วโมง แต่การฝึกซ้อมก็ยังไม่เป็นไปตามที่หวังสักที หลังจากที่ได้ลองทุกอาวุธแล้ว ทั้งสองก็ได้ข้อสรุปว่าตัวทิวาน่าจะไม่เหมาะกับอาวุธอะไรเลย

    หญิงสาวรู้สึกท้อและเหนื่อยมากๆจึงเดินมานั่งพักที่ม้านั่ง กียุลจึงเดินมานั่งข้างๆพร้อมขวดน้ำ ยาดมและผ้าเย็นในมือ

    ทิวาเอนหัวซบลงที่ไหล่กียุลอย่างอ่อนแรง ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงเหงื่อของหญิงสาวที่ซึมลงบนเสื้อได้เป็นอย่างดี เขายื่นยาดมให้ทิวาและเช็ดหน้าหญิงสาวให้เรียบร้อย ทั้งสองคนนั่งพักโดยไม่พูดอะไร จึงทิวาเป็นคนทำลายบรรยากาศเงียบขึ้นมา

    “ตอนแรกฉันคิดว่าฉันมีความสามารถมากขึ้นแล้วนะ แต่พอตอนนี้ ฉันรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเมื่อก่อนที่เป็นตัวถ่วงคนอื่นคอยให้คนอื่นช่วยตลอดเลย”

    “...”

    “จำที่ฉันเล่าเมื่อคืนได้มั้ย ฉันยังรู้สึกผิดไม่หายตั้งแต่ที่เกิดเรื่องแล้ว ถ้าฉันไม่ไปยุ่งกับของในห้องผอ.แล้วรีบเอานิลออกมา ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ ครูมารี ครูฌาแนตต์ อเล็กเซกรวมถึงแม่ก็คงไม่โดนทำร้ายแบบนี้”

    “เธอไม่ผิดอะไรเลยทิวา อย่าโทษตัวเองเลย ฉันไม่เคยคิดว่าเธอเป็นตัวถ่วงหรืออะไรเลยนะ”

    “...”

    “ถ้าเธอรู้สึกผิดอย่างนั้น มันควรเป็นฉันไม่ใช่เหรอที่ควรจะรู้สึกผิดมากกว่า ถ้าวันนั้นฉันตะหงิดใจให้เร็วกว่านี้ไม่กี่นาทีเธอคงไม่โดนยิงจนเจ็บขนาดนั้น โรซารี่กับครูไอริณก็คงรู้สึกผิดไม่แพ้กันนะ โรซารี่คงกำลังโทษตัวเองที่ทำให้เธอต้องมารับกระสุนแทน ส่วนแม่ของเธอคงกำลังโกรธตัวเองที่เข้าไปช่วยลูกสาวสุดที่รักของเธอได้ไม่ทันเวลา”

    “...”

    “ทุกคนล้วนรู้สึกผิดและมีตราบาปในใจกันทั้งนั้น แต่เธอลองสังเกตดูสิ ทำไมทุกคนยังยิ้มได้และพยายามทำให้เธอยิ้มได้ เพราะทุกคนตัดสินใจไม่เก็บอดีตมาคิดมากแล้วตั้งใจใช้ชีวิตตรงหน้าอย่างเต็มที่ไง 

    ที่ผ่านมาตั้งแต่ที่เราทุกคนรู้จักกัน เธอมักจะเป็นคนที่คิดถึงคนอื่นเสมอและชอบทำให้คนอื่นยิ้มได้ มีความสุข หัวเราะได้และเป็นห่วงตลอด แต่มันก็ทำให้ทุกคนคิดไม่ผิดที่เลือกที่จะได้มีเธอในชีวิต ดังนั้นนับจากนี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่พวกฉันได้ทำให้เธอมีความสุขได้บ้างนะ”

    “กียุล...”

    “แถมลองคิดในแง่ดีนะ ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์นั้น ฉันคงต้องเฉาตายเพราะไม่ได้เห็นหน้าเธอแล้วกอดเธอทุกวันแบบนี้แน่ๆ แต่ตอนนี้เราได้อยู่ด้วยกันทั้งวันทุกวันเลยนะ เธอไม่ดีใจเหรอ?”

    “ดีใจสิ” คำตอบสั้นๆที่แสนจะธรรมดาของทิวาทำให้หัวใจของกียุลพองโตขึ้นมา เขาก้มลงมองหญิงสาวแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน และเชื่อว่าเธอก็คงกำลังยิ้มอยู่แน่ๆ

    “หลังจากจบเรื่องนี้แล้วฉันจะพาเธอทัวร์กินรอบโลกเลย สนใจมั้ย”

    “เอ๋!? จริงอะ!?” ทิวาลุกพรวดจากไหล่ของกียุลทันทีที่ได้ยินคำว่าทัวร์กินรอบโลก

    “ฉันสัญญาเลย แต่ว่าตอนนี้เราต้องซ้อมกันก่อนนะ”

    “บู่ว”

    “เอ้อใช่ ฉันมีเรื่องจะบอกด้วย” กียุลทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้แล้วหยิบกระดานจดที่วางไว้ข้างม้านั่งขึ้นมา 

    “ฉันประเมินแล้วล่ะ ทักษะของเธอ”

    “เป็นไง แย่มากมั้ย”

    “ไม่หรอก แต่ฉันสังเกตว่า ในการที่เธอไม่ถนัดอาวุธอะไรเลย มันมีสิ่งนึงที่โดดเด่นออกมา ชนิดที่ฉันยังทำไม่ค่อยได้”

    “อะไรอะ เรื่องการกินเหรอ”

    “จะบ้าเหรอยัยลิง เธอเคยได้ยินคำว่า ‘กลยุทธ์โจมตีจุดเดียว’ ป่ะ”

    “เหมือนจะเคย.. ในคลาส Business นะ”

    “นั่นแหละ ไอเดียเดียวกัน จากที่ฉันสังเกตมา เธอมักจะหลบคู่ต่อสู้ได้แทบตลอด และทุกครั้งที่เธอจะโจมตี เธอจะเล็งไปที่จุดอ่อนตลอด พูดกันง่ายๆคือเธอมีทักษะการหลบหลีกที่ยอดเยี่ยม ขนาดฉันกับเหมยฮัวยังไม่ได้ขนาดเธอเลย”

    “กล้าเปรียบตัวเองกับเหมยฮัวด้วยเหรอ”

    “ยัยลิง!!”

    “อุ๊ป คิคิ”

    “จบเรื่องนี้เจอดีแน่ ต่อก่อนละกัน ฉันเลยคิดว่าเธอเหมาะกับการโจมตีที่ระยะประชิด และโจมตีที่จุดอ่อนตามร่างกายเป็นหลัก ถ้าเราฝึกด้านนี้ไปเรื่อยๆเธอน่าจะ stealth ได้ดีด้วยเลยล่ะ”

    “โห ฟังแล้วดูโคตรยากเลยอะ แต่ฉันจะลองดู” ทิวามองไปยังโต๊ะที่มีอาวุธเรียงรายนับสิบก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้แล้วดีดนิ้วดังเป๊าะ! “นายตี๋! ฉันนึกออกละ”

    “นึกอะไรออก”

    “ฉันยังไม่เคยลองใช้อาวุธที่มันฟาดๆเลยอะเช่นไม้หน้าสามหรือไม้เบสบอลที่เค้าไว้ฟาดหัวคนกัน”

    “ใจเย็น ไม้เบสบอลมีไว้เล่นเบสบอลเฟ้ย”

    “ฉันว่าถ้าลองใช้ของพวกนั้น ฉันน่าจะทำได้ดีไม่แพ้คนอื่นนะ”

    “ลองดูก็ได้นะ บอกแล้ว เธอไม่เป็นตัวถ่วงหรอก แถมยังมีสกิลขี้โกงติดตัวด้วยเนี่ย อิจฉาชะมัด” กียุลเกิดความมันเขี้ยวจึงยีผมหญิงสาวไปเต็มแรงจนผมเสียทรงไปหมด

    “โอ๊ยยย ผมยุ่งหมดแล้วตาบ้า!”

    “ผมยุ่งก็น่ารักดีออก”

    “อะไรของนายอีกเนี่ย”

    “เอ้าๆๆไปซ้อมได้แล้ว ไม่งั้นอดกินไก่ทอดนะ”

    “ไม่ไป”

    “ชุดใหญ่สุด แถมซุปกิมจิด้วยนะ”

    “ให้ตายก็ไม่ไป”

    “ไอติมมิ้นต์ช็อคก็รอเสิร์ฟด้วย”

    “ไปก็ได้ย่ะ!! เลิกเอาของกินมาล่อได้แล้ว!!” ทิวาตะโกนอย่างหัวเสียแล้วยอมเข้าไปฝึกแต่โดยดี เพราะเมนูแต่ละอย่างที่กียุลพูดมาคือของโปรดทิวาทั้งนั้นเลย

    “ดีมากเด็กดี :)”


    _______________________________________________________________________________________


    สวัสดีค่าผู้อ่านทุกท่าน เข้าสู่เดือนกุมภากันแล้ว ขอให้เป็นเดือนที่ดีสำหรับทุกคนนะคะ! ในตอนนี้จะยังไม่มีภาพน่ารักๆของคู่ที่เหลือ เพราะว่าเรามีภาพพิเศษที่อยากเอามาให้ได้ยลโฉมกันในอีกไม่กี่ตอนข้างหน้าค่า ไม่บอกว่าเป็นอะไรแต่ก็น่าจะได้ดูในช่วงกลางๆเดือนนี้ค่ะ อย่าลืมติดตามกันด้วยนะ

    สำหรับคำว่า stealth ในที่นี้เผื่อผู้อ่านบางคนไม่รู้จักคำนี้นะคะ คำนี้แปลว่าการลอบฆ่าค่ะ อารมณ์เหมือนย่องไปเงียบๆแล้วพุ่งโจมตีจากด้านหลัง

    สุดท้ายนี้ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านและแรงซัพพอร์ตทุกแรงค่ะ ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่า!


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×