คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #32 : ตอนที่ 21 : อีกเบาะแสสำคัญ
21
อีกเบาะแสสำคัญ
“อือ...” เสียงสะลึมสะลือดังจากลำคอของชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาล เขาลืมตาพร้อมกับความแสบและแห้งในลำคอก่อนจะพบว่าเขานอนอยู่ที่โซฟา และตักนุ่มๆที่เขาหนุนอยู่หายไป
“ทิวา… เธออยู่ไหน”
“โอโห เสียงแหบขนาดนี้ยังจะพูดอีกเหรอยะ -_- แต่ก็ตื่นได้แล้วแหละ บ่ายโมงครึ่งแล้ว” เจ้าของชื่อยืนเท้าสะเอวดูสารรูปที่ไม่สู้ดี(เข้าขั้นย่ำแย่)ของประธานนักเรียนหนุ่มอยู่ด้านหลังโซฟา
“ก็ฉันแฮงค์อะ ขอน้ำหน่อย เจ็บคอจะตายแล้ว”
“แหงสิ ใครใช้ให้ซัดโซจู 5 ขวดกับเบียร์ 7 กระป๋องล่ะ นอกจากจะแฮงค์แล้วอ้วนด้วย”
“เงียบไปเลย ฉันไม่มีแรงจะเถียงเธอหรอกนะวันนี้”
“จ้าๆ งั้นนายหิวมั้ย”
“หิว..”
“งั้นรอแปบนะ” ทิวาหายไปในครัวสักครู่แล้วออกมาพร้อมกับข้าวต้มหมูสับหอมกรุ่นที่ดูน่ากิน
หญิงสาวนั่งลงบนพื้นใกล้ชายหนุ่มที่นอนอยู่ ใบหน้าของพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกันเพื่อความสะดวกต่อการป้อนข้าวนายตี๋คนนี้ กียุลที่สังเกตเห็นว่าทิวายังอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินอ่อนของตนก็สงสัยว่าเจ้าตัวยังไม่ได้อาบน้ำเหรอ
“เธอยังไม่ได้อาบน้ำ?”
“อาบแล้วย่ะ ตัวนี้ตัวใหม่ เอ้ากิน”
ทิวาจัดการป้อนข้าวต้มให้กียุล ชายหนุ่มกินอย่างสงบเสงี่ยมจนข้าวต้มหมดชาม ทิวาจึงเอาถ้วยไปเก็บในครัวแล้วกลับมานั่งที่เดิมพร้อมขวดน้ำสองขวด
“เอ้อนี่ นายจำอะไรจากเมื่อคืนได้บ้างป่ะ”
“เมื่อคืน?”
“...” หญิงสาวนั่งนิ่งรอคำตอบอย่างคาดหวัง แต่คำตอบที่ได้กลับมามันไม่น่าฟังเอาซะเลย
“ไม่อะ จำไม่ค่อยได้..”
“ห๊ะ!? จะบอกว่าเมื่อคืนก็จำไม่ได้แม้กระทั่งพูดอะไรไปอะนะ!?” ทิวาเผลอขึ้นเสียงด้วยความหงุดหงิด
“ขอโทษ..”
“พอเลย นายนอนไปเถอะ” ร่างบางกระแทกเสียงด้วยความไม่พอใจก่อนจะลุกเดินหายไปที่ระเบียงก่อนจะเอาเก้าอี้จากโต๊ะทำงานกียุลมาวางไว้ข้างหน้าเป็นที่กั้น ประมาณว่า อย่าได้เข้ามาในนี้เชียวนะ!
กียุลหัวเราะเบาๆกับการงอนของทิวา ใครมันจะจำไม่ได้กันล่ะ ก็เมื่อคืนหญิงสาวเล่นทำตัวซะน่ารักน่าจูบขนาดนั้น :)
ร่างสูงเดินไปหาหญิงสาวที่ยืนกอดอกแก้มป่องแล้วทำท่าฟึดฟัดไปมาพลางบ่นอุบอิบว่าทำไมต้องเป็นเธอคนเดียวที่จำได้ด้วย ไม่รอช้ากียุลรีบสวมกอดทิวาจากด้านหลังก่อนที่เธอจะรู้ตัวแล้วล็อคเธอไม่ให้ไปไหน
“ปล่อยนะนายตี๋! ฉันไม่อยากคุยกับนาย!”
“นี่ ฉันบอกว่าจำได้ไม่หมด ไม่ได้หมายความว่าจะจำไม่ได้เลยนะ”
“เหรอ งั้นเมื่อคืนนายทำอะไรบ้างล่ะ” หญิงสาวดีใจนิดหน่อยที่ชายหนุ่มยังจำได้บ้าง แต่ก็ต้องแสดงเป็นโกรธไว้ จะเสียฟอร์มไม่ได้
“ก็แบบนี้” กียุลพูดจบก็จับมือทิวาขึ้นมาวางบนหัวแล้วทำสีหน้าออดอ้อน “ขออยู่แบบนี้ต่ออีกนิดได้มั้ยครับ”
“อะ เออ ก็จำได้นี่หว่า ( -////-)”
‘ทิวานี่เมื่อไหร่ก็ชอบเบือนหน้าหนีตอนเขินตลอดเลยแฮะ น่ารักอีกแล้ว’
“แล้วก็แบบนี้” ร่างสูงดึงมือของร่างบางให้เดินตามเขาไปที่เตียงแล้วจัดการดึงลงมานั่งที่ตักเหมือนเมื่อคืนแล้วโอบเอวของอีกฝ่ายแน่นจนหญิงสาวหน้าแดงอย่างกับมะเขือเทศ
“อะ อะไรของนายเนี่ย!! ไหนบอกจำไม่ค่อยได้ นี่มันจำได้หมดเลยนี่หว่า!!”
“แถมฉันยังจำได้ด้วยนะว่ารอยจูบนี้ก็เป็นของฉันเหมือนกัน :)” กียุลยิ้มอย่างพอใจแล้วใช้นิ้วของเขาสัมผัสรอบๆรอยจูบที่เขาประทับตราไว้เมื่อคืนไปมาอย่างแผ่วเบา ยิ่งทวีคูณความเขินให้หญิงสาวที่อยู่ในตัก
“เงียบไปเลย! แสดงว่านายก็จำได้ทุกอย่างอะดิ!?”
“ครับผม”
“นายนี่มัน!”
เพี๊ยะ!
ด้วยความโมโหปนเขิน ทิวาจึงซัดเข้าที่แขนของกียุลเต็มๆหนึ่งสี ทำให้ชายหนุ่มหน้าหยีแทบจะทันทีเพราะความเจ็บแสบ
“โอ้ยย!! ยัยลิงนี่! อึก--” ไม่ทันที่กียุลจะปริปากว่าคนตรงหน้า จู่ๆอาการคลื่นไส้และแก๊สในหน้าอกก็พุ่งขึ้นกะทันหันจนเขาต้องรีบปิดปากตัวเอง
“กียุลเป็นอะไรไป เกิดไรขึ้น?”
“ฉะ ฉันไม่ไหวแล้ว” เขารีบวิ่งไปที่ห้องน้ำทันที ตอนแรกทิวากะจะนั่งรอนิ่งๆเพราะไม่อยากไปก่อกวนอะไรเจ้าตัวเขาอีก แต่เสียงที่ดังออกมาจากห้องน้ำมันทำให้เธอต้องวิ่งไปหากียุลด้วยความเร็วเต็มสปีดพร้อมด้วยความแพนิคสุดขีด
“โอ้กกก!!!!!!”
“กียุล!!!!!!”
กียุลอ้วกครับท่านผู้ชม ดูท่าวันนี้ของพวกเขาทั้งสองน่าจะวุ่นกันอีกยาว =__=;;
ทางฝั่งของพวกฮอรัส ณ ห้องประชุมของราชาทั้ง 5
“สรุปเราเอาตามที่คุยกันไว้เมื่อวานนะขอรับ ส่วนนี่คือฐานข้อมูลที่กียุลบอกเมื่อวาน เรื่องนี้ต้องรบกวนคุณสองคนด้วยนะขอรับ” ฮอรัสเอ่ยพลางยื่นเอกสารจำนวนหนึ่งให้ดันเต้และนาซิสซ่า
“ขอบคุณ ไว้ใจได้เลย” นาซิสซ่ารับมาแล้วเอาเอกสารอีกชุดให้ดันเต้ที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ฮอรัสเชื่อพวกผมได้เลย!”
“กระผมเชื่อคุณนาซิสซ่าอยู่แล้วขอรับ แต่ไม่เชื่อคุณ” หนุ่มอียิปต์ส่งสายตาจับผิดไปที่เพื่อนของเขา และเขาก็ไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด
“บู่ว -3-”
“งั้นพวกเราแยกย้ายกันเลยมั้ยฮะ” หนุ่มรัสเซียที่ยืนข้างๆโรซารี่พูด
“เดี๋ยวก่อนน่อ อั๊วมีอะไรอยากถาม” เหมยฮัวขัดก่อนจะลุกขึ้นยืนจากที่เมื่อกี้เจ้าตัวนั่งอยู่ตรงขอบโซฟา “เรื่องเด็กปี 1 คนนั้นที่เห็นเจ้าหน้าที่ขนเฟืองน่ะ จะไปถามรายละเอียดจากเขาตอนไหนน่อ”
“เอาให้จบงานนี้แล้วค่อยถามดีกว่า” มิเอเล่พูดขึ้น
“ทำไมเราไม่ไปรีบถามกันตั้งแต่วันนี้เลยล่ะน่อ ถ้ายิ่งช้าอาจจะมีบางอย่างไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้”
“ฉันรู้ว่าเธอกังวล แต่ว่าตอนนี้ทุกคนก็กำลังวุ่นกับการสำรวจเรืออยู่นะ วันนี้ก็เข้าวันที่ 5 ครึ่งทางเข้าไปแล้วแต่ยังไม่มีข้อมูลอะไรคืบหน้านอกจากเรื่องคาเฟ่ไลลากับเด็กปี 1 คนนั้น”
“ที่ลื้อพูดก็ถูกน่อ แต่ว่าถ้าเกิดเด็กคนนั้นเอาไปพูดที่ไหนขึ้นมาแล้วเรื่องไปถึงหูพวกแก๊งฟักทองล่ะน่อ”
“แล้วเธอจะเอาเวลาที่ไหนไปถาม พวกเธอก็ต้องคุมพวกปี 3 จนถึงสี่ห้าโมง ตกเย็นก็ต้องรีบมาหาน้าไอริณแล้วก็ซ้อมต่อสู้ ส่วนเด็กปี 1 ก็สอบกันอยู่ช่วงนี้ แถมยังไม่ให้มีการไปพื้นที่ที่ไม่ใช่ชั้นปีตัวเองอีก”
“ก็ปลีกตัวเอาตอนเที่ยงก็ได้น่อ พวกราชาเป็นถึงสภานักเรียนเลยนะ แค่นี้ทำไมจะทำไม่ได้”
“ปลีกตัวไปหาแถมยังเป็นสภาอีก มันดูไม่ใช้สิทธิ์ที่เหนือกว่าคนอื่นไปหน่อยเหรอ ทำไมไม่เป็นห่วงการสอบของน้องๆบ้าง”
“แล้วความปลอดภัยของน้องๆที่ถ้าเกิดเรื่องมันหลุดออกไปแล้วเกิดโดนลูกหลงล่ะ ลื้อไม่เป็นห่วงเลยเหรอน่อ”
“เป็นห่วงสิ แต่ว่าเรามีคนขององค์กรโลกรอรับมือตลอดเวลาเลยนะ เพราะฉะนั้นถึงจะเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ไม่น่าโดนลูกหลง”
“ลื้อคิดว่ามันจะสามารถปกป้องคนอื่นได้ตลอดงั้นรึไง”
“จะบอกว่าองค์กรโลกไม่น่าไว้ใจงั้นเหรอ”
“อั๊วยังไม่ได้พูดว่าไม่น่าไว้ใจเลยสักนิดน่อ แค่บอกว่าถ้าเกิดข้อผิดพลาดล่ะ”
“นั่นแหละที่แปลว่าไม่ไว้ใจน่ะ”
ทั้งเหมยฮัวและมิเอเล่ต่างเถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใคร อีกนิดก็มีสายฟ้าออกมาจากสายตาที่เต็มไปด้วยความโมโหของทั้งสองแล้ว เอาจริงๆสิ่งที่พวกเธอพูดมามันก็มีเหตุผลที่ฟังขึ้นทั้งคู่ พวกเพื่อนๆที่เหลือโดยเฉพาะสาวๆก็เลยปล่อยให้การดีเบตกันครั้งนี้ดำเนินต่อไปโดยไม่ไปห้าม เพราะรู้ๆอยู่ว่าถ้าผู้หญิงเถียงกันแล้วเข้าไปห้าม คนที่จะโดนด่ากลับมาคือคนห้ามและอาจจะโดนต่อว่าว่าอย่ามายุ่งเรื่องคนอื่น
บรรยากาศในห้องตึงเครียดยิ่งกว่าสอบปลายภาคกับครูมารี หนุ่มอียิปต์ที่ทนไม่ได้จึงเดินไปกลางวงดีเบตเพื่อสงบสติสองสาวอย่างใจเย็น(แต่ในใจนี่น่าจะกำลังด่าว่ามาทะเลาะกันอะไรตอนนี้ฟะ)
“พอเลยครับทั้งสองคน! กระผมขอสั่งให้ทุกคนสงบสติอารมณ์เดี๋ยวนี้!”
เสียงทุ้มต่ำที่แสดงถึงความรำคาญของฮอรัสดังขึ้นพร้อมกับดวงตาเขียวปั้ด ทำให้ทั้งสองรีบเงียบลงก่อนจะถูกรองประธานนักเรียนคนนี้ฉีกเป็นชิ้นๆ
“-x-”
“คุณเหมยฮัวขอรับ กระผมแนะนำว่าทำตามอย่างที่คุณมิเอเล่พูดดีกว่า เพราะก็จริงอย่างที่เธอว่า พวกน้องๆกำลังสอบอยู่ แถมทางสภานักเรียนก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปหาสุ่มสี่สุ่มห้าด้วยขอรับ ยกเว้นจะมีคำสั่งจากผอ.”
“...” เหมยฮัวเลิกคิ้วอย่างหงุดหงิดและไม่พอใจ แต่พอได้ยินเหตุผลที่อีกฝ่ายให้มาก็ไม่ได้แย้งอะไร
“เดี๋ยวกระผมจะรีบจัดการขออนุญาตผอ.ให้พบกับเด็กคนนั้นเร็วๆขอรับ ส่วนเราก็ตั้งใจสืบต่อไปจนครบเก้าวันก็พอ”
“อืม… ก็ได้น่อ”
“งั้นเป็นอันตกลงตามนี้นะขอรับทุกคน แยกย้ายได้ อีก 20 นาทีจะถึงเวลาแล้วขอรับ”
“Yes sir! Good luck everyone!” คริสโตเฟอร์บอกลาแล้วรีบจูงยูริหายไปจากห้อง มิเอเล่เดินตามสองคนนั้นไปก่อนจะหันกลับมามองสาวหมวยด้วยสายตานิ่งๆ พลางคิดในใจว่าเพื่อนคนนี้ก็ยังเถียงด้วยไม่ชนะเหมือนเดิมเลย ส่วนคนที่เหลือก็ทยอยออกจากห้องจนเหลือแต่เหมยฮัวกับฮอรัส ทั้งสองเงียบไม่พูดอะไร ฮอรัสที่จับสังเกตเหมยฮัวได้จึงพูดขึ้นก่อน
“ขอโทษนะขอรับคุณเหมยฮัว กระผมรู้ว่าคุณต้องไม่พอใจแน่ๆ แต่นั่นคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว”
“อั๊วเข้าใจน่อ แค่รู้สึกไม่ดีว่าอาจจะมีอะไรแย่ๆเกิดขึ้น” เหมยฮัวพูดเสียงเบา ยืนก้มหน้ามองเท้าตัวเองโดยไม่มองหน้าคู่สนทนาตัวเองสักนิด
“ไม่เครียดนะขอรับ กระผมสัญญาว่าจะปกป้องคุณด้วยชีวิต”
“อาฮอรัส..”
คำพูดที่อ่อนโยนทำให้สาวหมวยเงยหน้าขึ้นมามองคนตรงหน้า ร่างสูงยิ้มบางๆให้ก่อนจะดึงตัวคนตัวเล็กเข้าไปกอด เธอไม่พูดอะไรแล้วกอดตอบ ทั้งสองยืนให้ความอบอุ่นกันละกันสักพักใหญ่ก่อนที่ฮอรัสจะวางคางของตนลงบนหัวเหมยฮัวเบาๆ
“กระผมรักคุณเหมยฮัวนะขอรับ กระผมเชื่อว่าเราทุกคนจะจบเรื่องนี้ได้ด้วยดี แล้วกลับมามีความสุขเหมือนเมื่อก่อนให้ได้”
“รักลื้อเหมือนกันอาฮอรัส เรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะสาย”
“ได้เลยขอรับ”
ทางฝั่งของนาซิสซ่าและดันเต้ ชั้น 6 Hot n’ Cold Café
“อุนอาอิดอ้าอั๊บ (คุณนาซิสซ่าครับ)” ดันเต้เรียกหญิงสาว(ที่ตอนนี้ปลอมตัวเป็นชายหนุ่ม)ที่นั่งตรงหน้าพร้อมกับของหวานที่อัดแน่นเต็มปาก
“จะกินหรือจะพูดก็เลือกมาซักอย่างสิยะ เลอะเทอะหมดแล้ว แล้วฉันก็ย้ำหลายรอบแล้วนะว่าให้เรียกฉันว่านาร์เซส -*-” นาซิสซ่าบ่นแล้วยื่นทิชชู่ไปให้ดันเต้ เนื่องจากพวกเขาทั้งสองอยู่ข้างนอก จึงทำตัวเหมือนคู่รักไม่ได้ ต้องทำตัวให้เหมือนเพื่อนกัน
“แหะๆ ขอโทษครับ คือผมมีเรื่องสงสัยอะ”
“เรื่อง?”
“ที่คุณมิเอเล่พูดว่าเด็กแต่ละชั้นไปเข้าไปชั้นของปีอื่นไม่ได้ช่วงนี้ แล้วแผนเราที่จะให้พวกปี 3 ช่วยสำรวจจะทำยังไงล่ะครับ เหลืออีกตั้ง 4 วัน”
“อ๋อ เรื่องนั้นน่ะเหรอ เห็นอเล็กเซบอกว่าเข้าได้แค่โซนที่เป็นพวกร้านค้ากับสถานที่พักผ่อนน่ะ แต่ถ้าเป็นหอพักกับชั้นเรียนไปไม่ได้ บางชั้นเลยถูกยกเลิก”
“อ้าว แล้วอย่างนี้จะสำรวจได้ทั่วเหรอครับ”
“โชคดีที่หลายวันที่ผ่านมา ชั้นที่เป็นชั้นเรียน (ชั้น 1 ของปี 1 ชั้น 3 ของปี 2 และชั้น 5 ของปี 3//เป็นการสมมติขึ้นของผู้เขียนเท่านั้น) ไม่มีอะไรน่าสงสัย คิดว่าพวกนั้นคงลอบเข้ามาทำอะไรไม่ได้เพราะก่อนจะเข้าชั้นนั้นๆ ก็ต้องมีการแสกนลายนิ้วมือนักเรียนด้วย จึงไม่น่าเป็นห่วงมากเท่าชั้นที่ไม่ใช่ชั้นเรียนนี่แหละ”
“อ๋อออ เก็ทแล้วครับ แล้วคุณนาร์เซสไม่กินเหรอ”
“ไม่ล่ะ ฉันกำลังตรวจดูคนในร้านนี้อยู่”
“ผมนึกออกละ!” ดันเต้ทำท่าปิ๊งไอเดียก่อนจะหยิบเอกสารที่ฮอรัสปริ้นมาให้ขึ้นมา “เราทำเป็นอ่านหนังสือสอบกันมั้ยครับ คนจะได้ไม่สงสัยด้วยว่าทำไมเราถึงก้มๆเงยๆ”
“ก็ดีเหมือนกันนะ ไหนๆ ขอดูหน่อยข้อนี้ตอบอะไร” นาซิสซ่าเล่นไปตามน้ำ
ทั้งสองตรวจรายละเอียดในเอกสารกันสักพักใหญ่ก่อนจะพบว่าคาเฟ่ในชั้นที่พวกตนอยู่ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าสงสัยแม้แต่น้อย จึงได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินไปคิดเงินที่แคชเชียร์
“ทั้งหมด xxx ค่ะ”
“นี่ครับ” ดันเต้ยื่นบัตรเครดิตให้กับพนักงาน
“อ้อ คุณลูกค้าคะ” พนักงานคนนั้นเอ่ยเรียกทั้งสองคนระหว่างคิดเงิน “ตอนนี้คาเฟ่เรากำลังมีโปรโมชั่นเมนูอาหารพิเศษอยู่ แต่ว่าเมนูนี้จะอยู่ที่อีกสาขานึงในชั้น 4 ถ้าคุณลูกค้าสนใจสามารถไปลองทานได้นะคะ”
“แล้วทำไมสาขานี้ไม่มีล่ะครับ” ดันเต้ถาม
“พอดีว่าชั้นนี้ตัวร้านค่อนข้างเล็ก แถมมีลูกค้าเข้าน้อย เลยเอาโปรโมชั่นนี้ไปอยู่ที่สาขาที่มีคนเข้าเยอะกว่าน่ะค่ะ ส่วนนี่บัตรของคุณลูกค้าค่ะ”
“อ่อ โอเคครับ ขอบคุณมากครับ”
“ขอบคุณที่ใช้บริการค่ะ”
ทั้งสองเดินออกจากร้านก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปยังลิฟต์ทันทีก่อนที่พวกเพื่อนๆปี 3 จะเห็นพวกเขา
“เฮ้! ดันเต้ นาร์เซส พวกนายจะไปไหนเหรอ?”
เอ่อ… ไม่ทันซะแล้วมั้ง
‘ชิบหายละ ทำไงดีครับคุณนาร์เซส’ ดันเต้กระซิบเบาๆขณะยืนโบกมือทักทายเพื่อนที่ทักไม่ดูเวล่ำเวลา
‘ตอบๆไปก่อน เราวิ่งหนีไม่ได้อยู่แล้ว’
“เอ่อ พอดีนาร์เซสเขาลืมโทรศัพท์ไว้บนห้องน่ะ เลยกะจะขึ้นไปเอา ใช่มั้ยครับ” ดันเต้ตอบพลางส่งซิกให้นาซิสซ่าตามน้ำไปกับเขา
“ใช่ๆๆ”
“อ๋อ ห้องของพวกนายอยู่อีกชั้นนี่นา ว่าแต่มีเรื่องจะขอหน่อยน่ะ” ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ดันเต้แล้วทำท่ากระซิบไม่ให้คนอื่นได้ยิน “ขอฉันไปหารุ่นน้องปี 2 หน่อยได้ป่ะ ฉันไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่าจู่ๆฉันก็ออกไปจากชั้นนี้”
“ได้สิครับ เสร็จแล้วก็กลับมาก่อนจะถึงเวลาเลิกด้วยนะ”
“อื้ม”
“รุ่นน้องหน้าสวยคนนั้นน่ะเหรอ” อยู่ๆนาซิสซ่าก็ถามชายตรงหน้าขึ้นพร้อมกอดอก
“นะ นายรู้ได้ไง!? 0///0”
“โฮ่~ ฉันเห็นนะเวลาเที่ยงทีไรก็ชอบวิดีโอคอลหากันตลอด สวีทกันเชียว” คำพูดของนาซิสซ่ายิ่งทำให้เพื่อนคนนั้นหน้าแดงขึ้นเป็นเท่าตัว พลอยทำให้ดันเต้ที่ก็เห็นเหตุการณ์พร้อมกับนาซิสซ่าอมยิ้มตาม
“อะ เออน่ะ อย่าเอาไปบอกคนอื่นละกัน ฉันไม่อยากโดนดูถูกว่าชอบผู้ชายด้วยกันเอง”
“ฉันว่านักเรียนที่นี่ได้รับการศึกษามาดีพอที่จะรู้ได้ว่าความรักมันไม่มีการแบ่งเพศนะ”
“...” ชายหนุ่มอึ้งนิดๆกับคำพูดของนาซิสซ่า แต่ก็ไม่ได้แย้งอะไรแล้วฟังสิ่งที่เธอจะพูดต่ออย่างเงียบๆ
“พวกนายน่ะน่ารักจะตายไป ไม่ได้ดูแปลกแยกจากคู่รักส่วนใหญ่ที่เป็นชายหญิงเลย มั่นใจเข้าหน่อย” นาซิสซ่าตบที่แขนของเพื่อนชายตรงหน้าเบาๆ หวังว่าเขาจะมีความมั่นใจมากขึ้น
“นาร์เซส..”
“และฉันก็เชื่อว่าเพื่อนๆจะไม่ดูถูกนายแน่นอน แถมยังเชียร์ด้วย อย่างน้อยก็ฉันกับดันเต้ที่เชียร์นายอยู่นะ”
“ขอบคุณนะพวกนาย” เขาขอบคุณพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือ “ฉันไปก่อนล่ะ น้องคนนั้นจะสอบในอีกสิบนาที ฉันต้องรีบไปให้กำลังใจ ขอบคุณพวกนายมากนะ เจอกัน!” เขาพูดจบก็วิ่งไปที่ลิฟต์ตัวหนึ่งแล้วกดลงไปที่ชั้น 3 ทันที
“เราไปกันบ้างมั้ยครับคุณนาร์เซสสุดหล่อ?” ดันเต้หันมาแซวร่างบางข้างๆ
“เงียบไปเลยย่ะ ก็ฉันพูดจริงนี่นา นี่มันยุคไหนแล้วจะยังมีการดูถูกเรื่องแบบนี้อยู่อีกเหรอ”
“ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลยคร้าบ แถมอยากบอกด้วยว่าคุณนี่เท่ชะมัด!”
“ขอบคุณย่ะ”
“ว่าแต่..” หนุ่มอิตาลีทิ้งช่วงไปสักครู่หนึ่งแล้วหันมาส่งสายตาหวานให้คนข้างๆ “ผมอยากคอลแบบนั้นกับคุณบ้างจัง”
“จะคอลทำไมยะ ตอนนี้เราก็อยู่ด้วยกันตลอดหนิ”
“ก็เผื่อในวันข้างหน้าที่เราอาจจะต้องห่างกันบ้างไงครับ ไม่งั้นผมก็คิดถึงคุณแย่ :)”
“เอ่อ… ถ้าถึงเวลานั้นก็คอลได้นั่นแหละ เลิกทำให้ฉันเขินสักที! ( -///-)”
“ไม่-มี-ทาง-ครับ เชิญขึ้นลิฟต์ได้เลยครับเจนเทิลแมน” ชายหนุ่มกดประตูลิฟต์ค้างไว้แล้วผายมือเป็นเชิงว่าให้เธอเดินเข้าไปก่อน หลังจากที่หญิงสาวเข้าไปแล้ว เขาจึงรีบเข้าปในลิฟต์เช่นกัน แล้วกดไปที่ชั้น 4
“เอ้อดันเต้ ฉันสงสัยว่าทำไมพนักงานคนนั้นถึงบอกเราว่ามีโปรโมชั่นอยู่อีกร้านล่ะ ไม่ใช่ว่าอยากให้เราไปติดกับอะไรหรอกนะ”
“ตอนแรกผมก็คิดอย่างนั้นครับ แต่กลับไม่รู้สึกว่ามันมีอันตรายอะไรเลย เหมือนแค่อยากแนะนำตามสไตล์พนักงานเฉยๆ”
“เอาจริงๆฉันก็รู้สึกแบบนายนะ เพราะปกติเวลาจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ฉันจะมีลางสังหรณ์แปลกๆ แต่นี่ไม่มีเลย เหมือนเธอแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น”
“ผมว่าเราอย่าเพิ่งคิดมากเลยครับ เราอาจจะเจอเบาะแสจากร้านในชั้นอื่นก็ได้นะ”
ติ๊ง!
“ชั้น 4 แล้วครับ เราไปกันเถอะ” ดันเต้จูงปลายแขนเสื้อนาซิสซ่าแล้วเดินไปโซนที่มีร้านอาหาร ถึงแม้ในใจเขาอยากจะจับมือหญิงสาวมากก็เถอะ แต่ ณ เวลานั้นเขาทำไม่ได้ (เศร้าใจยิ่งนักครับ T^T//ดันเต้)
ทั้งสองรีบเดินไปที่คาเฟ่ ระหว่างทางบังเอิญเจอคริสโตเฟอร์และยูริที่เป็นเวรคุมชั้น 4 วันนี้ ทั้งสี่โบกมือทักทายกันก่อนที่คริสโตเฟอร์และยูริส่งสัญญาณมาบอกว่า ‘สู้ๆนะ’
ชั้น 4 Hot n’ Cold Café
“สั่งอะไรกินกันดีครับ ผมยังอิ่มจากเมื่อกี้อยู่เลย”
“งั้นคราวนี้ฉันสั่งแล้วกัน นายก็จับตาดูเด็กเสิร์ฟไว้นะ” นาซิสซ่าพูดพลางใช้สายตากวาดไปรอบๆร้านและเมนูอย่างรวดเร็ว
“ครับ”
“สวัสดีครับคุณลูกค้า รับอะไรดีครับ”
‘มาพอดีเลยแฮะ’ นาซิสซ่าคิด
“เอา Orange Americano กับคุกกี้ข้าวโอ๊ตครับ”
“ได้ครับ กรุณารอสักครู่นะครับ” พนักงานคนนั้นจดเมนูลงกระดาษ เก็บเมนูแล้วเดินหายไปในครัว
พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวๆที่นั่งของตนแล้ว นาซิสซ่าจึงปริปากเอ่ยขึ้น
“ว่าไง สงสัยอะไรมั้ย”
“ครับ”
“จริงอะ!?”
“ผมรู้สึกคุ้นๆคนนี้อย่างแปลกประหลาดครับ เหมือนเคยเจอกันมาก่อน แบบไม่ได้แค่เดินผ่าน แต่มีการเผชิญหน้ากันเลย แต่ผมนึกไม่ออกว่าเป็นใคร” ดันเต้ทำหน้าเครียดแล้วใช้นิ้วนวดขมับข้างขวาของตนเอง พูดกันง่ายๆเลยคือดันเต้เป็นคนประเภทจำหน้าคนเก่งมาก ถึงไม่เจอกันหลายปีหรือเจอกันแค่ไม่กี่วัน ดันเต้ก็จะจำได้
ยิ่งนาซิสซ่าที่รู้ด้านที่จำคนเก่งของดันเต้ยิ่งเพิ่มความวิตกกังวลให้หญิงสาว แสดงว่าหนึ่งในแก๊งฟักทองอาจจะเป็นคนที่ดันเต้รู้จักก็ได้
“ขอผมดูเอกสารหน่อยนะครับ”
“อื้ม ได้สิ”
ชายหนุ่มรับเอกสารมาจากนาซิสซ่าแล้วไล่หาหน้าตาของพนักงานคนนั้นจนเกือบจะทุกหน้า จนเขาหยุดอ่านกระดาาแผ่นสุดท้ายนานปกติ นาซิสซ่าที่จับสังเกตได้จึงถาม
“เป็นไง หาเจอแล้วเหรอ”
“ผมว่า… น่าจะเป็นคนนี้ครับ” ดันเต้พลิกหน้ากระดาษให้นาซิสซ่าดู ดวงตาของเธอเบิกกว้างเมื่อเห็นกับรูปของพนักงานตรงหน้า
“อ๊อตโต้เนี่ยนะ!?” หญิงสาวตะโกนแบบกระซิบเบาๆใส่ดันเต้ เขาไม่พูดอะไรเพียงแค่พยักหน้าด้วยสีหน้าที่จริงจัง ความกังวลของหญิงสาวจึงทวีคูณเข้าไปอีก
“แต่ผมนึกไม่ออกว่าเจอที่ไหน”
“ฮันนี่แรลลี่ไงเล่า! จำไม่ได้รึไง! ไอ้คนที่ใส่หน้ากากขับเฮลิคอปเตอร์คนนั้นอะ”
“อ๋อ! จริงด้วย แต่ครูไอริณบอกว่าคนนั้นไม่ได้อยู่ในแก๊งฟักทองแต่หันมาทำงานบริสุทธิ์แล้วนี่ครับ แถมเขาก็มีชื่อมีรูปอยู่ในฐานข้อมูลของเรือครบถ้วนด้วย”
“นั่นมันก็ใช่ แต่ถ้าสมมติพวกนั้นแฮคข้อมูลแล้วแอบใส่ข้อมูลลงไปล่ะ!?”
“ไม่มีทางครับ ระบบของโรงเรียนเราขนาดอเล็กเซเคยลองแฮคยังไม่ได้เลย”
“ถ้าอเล็กเซคนที่ฉลาดสุดๆด้านคอมพิวเตอร์ยังทำไม่ได้ งั้นแสดงว่าเจ้าอ๊อตโต้คนนี้ก็ทำงานที่คาเฟ่อย่างสุจริตจริงๆน่ะสิ”
“ครับ..”
ความเครียดยังไม่หายไปจากใบหน้าของพวกเขา ดวงตาทั้งสองคู่กำลังจับจ้องภาพของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่เคยเป็นถึงหนึ่งในแก๊งโจรระดับโลก ดวงตาสีดำหางตาตกและผมสีเดียวกับดวงตานี้ ถึงแม้จะเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้เห็นหน้าเต็มๆเขาโดยปราศจากหน้ากาก แต่ความรู้สึกของดันเต้ก็บอกได้ว่าอ๊อตโต้ก็คือคนนี้แหละ
ทั้งดันเต้และนาซิสซ่าไม่ปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปมากกว่านี้ พวกเขารีบตรวจสอบคนในร้ายโดยการแกล้งทำเป็นอ่านหนังสือเหมือนเดิม คราวนี้พวกเขาได้ข้อมูลมาเพิ่ม ทำให้พอคืบหน้าได้บ้าง
หลังจากตรวจสอบเสร็จพวกเขาก็ไปคิดเงินตามปกติเพื่อที่จะไปชั้นต่อไป โดยพนักงานคิดเงินก็เป็นอ๊อตโต้เช่นเดิม
“ทั้งหมด xxx ครับ”
“นี่ครับ”
“นี่บัตรของคุณลูกค้าครับ ขอบคุณที่ใช้บริการครับ”
ทั้งสองพยักหน้าเป็นการตอบรับก่อนจะเดินไปที่ลิฟต์เพื่อจะไปตรวจสอบชั้นต่อไป
.
.
.
.
ชั้นท้องเรือ
“ฟู่ว กว่าจะตรวจสอบเสร็จ เล่นเอาอิ่มเลยนะครับ” ดันเต้เดินออกมาจาก Hot n’ Cold Café สาขาที่อยู่ชั้นท้องเรือที่เป็นศูนย์รวมของอควาเรียม ลานสเก็ต โรงยิม โรงหนัง และร้านอาหารอีกมากมาย ชายหนุ่มเดินตัวงอเป็นกุ้งพลางลูบท้องของตนไปมาเนื่องด้วยอาการจุกจากกินเยอะเกินขนาด
“เดินให้เป็นผู้ดีหน่อย หลังค่อมแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน” นาซิสซ่าจัดการตีหลังดันเต้ไปหนึ่งที
ป้าบ!
“โอ้ย! คุณนาร์เซสอะ T^T”
“หึ ว่าแต่เราจะกลับกันเลยมั้ย ได้เวลาเลิกพอดี”
“ผมต้องไปหาพวกปี 3 ก่อนน่ะครับ ส่วนคุณก็ขึ้นไปรอก่อนได้นะ”
“งั้นฉันขอขึ้นไปรอที่ดาดฟ้าละกัน อยากสูดอากาศสักหน่อย” พูดจบสาวเจ้าก็เดินไปที่ลิฟต์ ทั้งสองแยกกันตรงลิฟต์ชั้น 6 ดันเต้เดินไปหากลุ่มเพื่อนๆเพื่อที่จะสรุปวันนี้แล้วปล่อยให้กลับหอ ส่วนนาซิสซ่าก็มุ่งหน้าไปยังชั้น 8 ที่เป็นดาดฟ้าเรือ
ชั้น 8 ดาดฟ้าเรือ
‘ทำไมตาบ้ามนุษย์ต่างดาวมาช้าจังนะ’ นาซิสซ่าคิดพลางยืนเท้าคางกับขอบเรือ ดวงตาสีอะเมทิสต์คู่สวยมองไปยังทะเลอย่างไร้จุดหมาย นภายามเย็นที่ถูกย้อมดวงแสงอาทิตย์สีแดงทำให้ท้องฟ้ากลายเป็นสีชมพูแซมฟ้า พร้อมด้วยก้อนเมฆสีชมพูอ่อนเคลื่อนไหวช้าๆราวกับไอศกรีมรสคอตตอนแคนดี้
ในช่วงเวลาที่หญิงสาวขึ้นมาถึงดาดฟ้าเรือ เจ้าตัวเห็นซิงซิง เพื่อนหนุ่มผมยาวชาวเวียดนามผู้ที่มักจะฮาร์ดเซลอยู่เสมอกำลังรวมพลเพื่อนๆเพื่อปล่อยให้กลับเข้าหอเนื่องจากวันนี้เป็นเวรของเขาที่คุมชั้นดาดฟ้านี้ ทั้งสองทักทายกันและคุยกันไม่มาก เนื่องจากนาซิสซ่าต้องทำตัวให้เป็น ‘นาร์เซส’ เนื่องจากซิงซิงไม่รู้เรื่องที่เธอปลอมตัวเป็นผู้ชาย
เวลาล่วงเลยผ่านไป จนหญิงสาวขี้เกียจอดทนรอ จึงตัดสินใจกลับไปยังห้องพัก เพราะคิดว่าตาบ้ามนุษย์ต่างดาวคนนั้นอาจจะลืมว่าเธอขึ้นมาดาดฟ้าแล้วไปรอที่ห้องก็ได้
ในขณะที่นาซิสซ่าหันหลัง สายตาของเธอก็ไปปะทะกับชายหนุ่มผมบลอนด์ทองที่มีแว่นตาส่องทางไกลอยู่บนหัวคนหนึ่งยืนจับเข่าหอบแฮ่กๆอยู่ตรงประตูทางเข้าเรือพร้อมกับถุงกระดาษสีน้ำตาลใหญ่ในมือ เขาลุกขึ้นเช็ดเหงื่อที่หน้าสองสามทีก่อนจะเดินมาหาหญิงสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“นายหายไปไหนมาตั้งนาน ฉันรอจนเบื่อแล้วเนี่ย”
“ขอโทษครับ พอดีผมลืมไปว่าช่วงเวลานี้พวกนักเรียนจะใช้ลิฟต์กันเยอะมาก ทำให้ผมวุ่นหาบันไดหนีไฟวิ่งขึ้นมาหาคุณตั้งนาน”
“ถ้างั้นก็แล้วไป แล้วในถุงนั้นคืออะไรเหรอยะ” นาซิสซ่าชี้ไปที่ถุงสีน้ำตาลในมือของดันเต้
“อ๋อ อันนี้” ดันเต้เอ่ยพลางยิ้มอ่อนๆ “ของคุณน่ะครับ”
“ของฉัน?”
“ครับ หลับตาสิ”
“เอ่อ.. ก็ได้ ห้ามแกล้งกันนะ” ถึงแม้หญิงสาวจะพูดอย่างนั้น แต่เธอก็ยอมหลับตาลงแต่โดยดี
เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าหลับตาลงแล้ว ดันเต้ก็รีบเอาของที่อยู่ในถุงกระดาษออกมาอย่างเบามือก่อนจะถือมันไว้ตรงหน้านาซิสซ่า
“ลืมตาได้ครับ”
“อือ เอ๊ะ?” ดวงตาที่เบิกกว้างพร้อมกับใบหน้าที่ตกใจมันทำให้ดันเต้พึงพอใจเป็นอย่างมาก หญิงสาวรับมันมาถือในอ้อมอกก่อนจะสัมผัสมันด้วยความดีใจ
“ช่อดอกไลแลค ให้คุณครับ :)”
“ไลแลคเหรอ” นาซิสซ่ารำพึงชื่อของดอกไม้เบาๆก่อนจะก้มลงไปดูช่อดอกไม้ในมือตัวเอง ดอกไม้ดอกเล็กๆที่เติบโตและอยู่รวมกันเป็นพุ่ม กลีบสีม่วงรูปหัวใจยิ่งเพิ่มความน่ารักให้กับตัวดอก กลิ่นหอมอ่อนๆเฉพาะตัวของดอกไลแลคชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย กลับกันมันทำให้ภายในใจของทั้งสองคนมันเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม
“ครับ หลังจากที่เราทำงานกลุ่มวิชาประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับดอกไม้ ผมก็ศึกษาหาข้อมูลเพิ่ม จนมาเจอดอกไม้ชนิดนี้ ที่ผมคิดว่ามันเหมาะกับคุณมากเลยครับ”
“...”
“เพราะว่าความหมายของดอกไลแลคสีม่วงคือ ‘ความรักครั้งแรกที่หวานฉ่ำ’ และสีดอกของมันก็สีม่วงเหมือนกับดวงตาของคุณด้วยครับ”
“โห.. นี่นายลึกซึ้งกับเค้าเป็นด้วยเหรอเนี่ย”
“คุณนาซิสซ่า!! -////-;” ดันเต้อายมากกับคำพูดติดตลกของคนตรงหน้า
“ฮ่าๆ ฉันล้อเล่น ไม่กวนแล้วๆ”
“โธ่ งั้นผมขอพูดต่อนะครับ” ดันเต้สูดหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะทำใจให้สบายแล้วมองคนตรงหน้าด้วยสายตามุ่งมั่น
“คุณคือความรักครั้งแรกของผม แล้วผมก็อยากให้ความรักของเราหวานฉ่ำอย่างเช่นเจ้าดอกไลแลคพุ่มนี้ ครั้งก่อนที่ผมไปช้อปปิ้งกับคุณ ผมพูดไว้ว่าผมอยากจะช่วยคุณถือถุงช้อปปิ้งไปตลอดชีวิต แต่ผมก็คิดว่ามันยังไม่ทางการพอ วันนี้ผมจึงขอถามอีกครั้งนะครับ”
“...”
“ให้ผมเป็นคนเดียวที่ถือถุงช้อปปิ้งของคุณได้มั้ยครับ”
“ไม่”
“...” ดันเต้หน้าถอดสีทันทีที่ได้ยินคำปฏิเสธจากหญิงที่เขาชอบ ดวงใจของเขาแทบตกลงไปที่ตาตุ่ม
“ไม่ยอมให้คนอื่นมาถือให้หรอก นอกจากนาย”
“คุณนาซิสซ่า!! โฮฮฮ ผมใจหายหมดเลยยยย” เมื่อชายหนุ่มรับรู้ได้ว่าคำว่า ‘ไม่’ เมื่อกี้มันไม่ใช่คำปฏิเสธ เขาก็รีบโผกอดหญิงสาวอย่างดีใจ นาซิสซ่าได้แต่ขำกับความเด็กน้อยที่โดนหลอกได้ง่ายๆของเขา แต่ไม่ได้ว่าอะไรแล้วกอดตอบแล้วลูบหัวดันเต้ปลอบใจจนเจ้าตัวหยุดร้องไห้
‘เหมือนลูกหมาเลย ให้ตายสิ :)’
ห้องพักของราชาทั้ง 5
“วันนี้ที่พวกหนูสำรวจได้ ที่คาเฟ่ชั้น 6 ไม่มีคนน่าสงสัยค่ะ ส่วนคาเฟ่ที่อยู่ชั้น 4 2 และท้องเรือ มีพนักงานที่ไม่มีข้อมูลอยู่ในระบบชั้นละ 2 คนรวมแล้ว 6 คนค่ะ” นาซิสซ่าสรุปข้อมูลที่ได้ก่อนจะนำภาพคนน่าสงสัย 6 คนที่แอบถ่ายไว้ในโทรศัพท์ให้ไอริณดู
“แล้วเจอคนที่ชื่อไลลามั้ย” ไอริณถาม
“ไม่ค่ะ”
“อืม..” ไอริณขมวดคิ้วแล้วมองรูปภาพของคนน่าสงสัยไปมา ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ รอเพียงแต่สิ่งที่ไอริณจะพูดต่อจากนี้
“ดูทรงแล้ว คนพวกนี้น่าจะแฝงตัวเข้ามาสักพักแล้วล่ะ น่าจะอาศัยช่วงชุลมุนที่มีงานกิจกรรมวันเดียวกับที่ทิวาโดนยิง”
“แล้วคนพวกนี้อันตรายขนาดไหนเหรอคะ”
“น่าจะเข้าขั้นอันตรายหนักเลยล่ะจ้ะ เพราะว่ากลุ่มคนพวกนี้ เป็นหนึ่งในสมาชิกหลักๆของแก๊งเลยก็ว่าได้ กลุ่มนี้เคยถูกจับ แล้วหนีจากคุกออกมาได้ มีฝีมือการต่อสู้ที่ค่อนข้างโหด
แถมยังเป็นกลุ่มคนที่ถ้าจะฆ่าฝ่ายตรงข้ามขึ้นมาล่ะก็ สามารถทำได้ในทันทีโดยไม่ต้องคิด
เพราะฉะนั้น น่าจะใกล้ได้เวลาบู๊กันแล้ว”
__________________________________________________________________________________________
ความคิดเห็น