คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ..2.. (100%)
คิมฮีชอลถึงกับตกใจสะดุ้งโหยง เมื่อเปิดไฟในคอนโดแล้วพบว่าเจสสิก้านั่งหน้าถมึงทึงอยู่บนโซฟารับแขกที่ตั้งอยู่กลางห้อง ยิ่งเมื่อสายตาของเขาและเธอปะทะกัน คิมฮีชอลก็รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ
“มานั่งทำอะไรอยู่คนเดียวมืดๆ ถ้าฉันนึกว่าเป็นผีบ้านผีเรือนมาหลอก แล้วฉันช็อคตายไป เธอจะทำยังไง”
“ฉันก็จะสับศพนายให้เป็นชิ้นๆ แล้วโยนให้หมู หมา กา ไก่มันกินน่ะสิ” เจสสิก้าตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเหวี่ยงๆ
“เป็นบ้าอะไรของเธอฮะ”
“ฉันไม่ได้บ้า แต่ฉันมันโง่ โง่ที่เชื่อผู้ชายปัญญาอ่อนอย่างนาย”
“ฉันเริ่มจะงงแล้วนะ พูดให้เคลียร์หน่อยได้ไหม ทำไมชะนีน้อยนี่ถึงได้เข้าใจยากแบบนี้นะ” คิมฮีชอลเริ่มบ่นนิดๆ เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เจสสิก้าพูด ทำไมเธอถึงต้องพูดเหมือนเขาไปหลอกอะไรเธอทำนองนั้น
“ไอ้บ้าคิมฮีชอล ฉันไม่ได้ท้อง ได้ยินไหมว่า ไม่-ได้-ท้อง ฮือๆ” คำประกาศของเจสสิก้าเล่นเอาฮีชอลตะลึงงั้นไปหลายวินาที กว่าจะได้สติ คิมฮีชอลเดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเจสสิก้าบนโซฟา พลางหันไปมองหน้าเธอ
“เธอไม่ได้ท้องจริงๆหรอ แล้วที่เธอตื่นมาอาเจียนตอนเช้าวันนั้น มันหมายความว่ายังไง”
“มันก็หมายความว่าฉันแฮงค์ไง นายมันโง่ ไม่รู้เรื่องอะไรเลยคิมฮีชอล”
“แล้วถ้าเธอฉลาด ทำไมไม่คิดได้ตั้งแต่ตอนนั้น”
“ฉันถึงได้บอกไงว่าฉันมันโง่ที่เชื่อคนบ้าอย่างนาย ไอ้ตุ๊ดประหลาด ทำไมฉันต้องมาแต่งงานกับนายด้วย”
“พูดเหมือนฉันอยากแต่งงานกับเธอตายเลย แล้วสรุปว่าเธอแน่ใจนะว่าเธอไม่ได้ท้อง” คิมฮีชอลยังคงถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่นอน
“ล้านเปอร์เซนต์ เพื่อนฉันที่เป็นหมอแทบจะดึงเอามดลูกของฉันออกมาตรวจข้างนอกด้วยซ้ำ”
“เฮ้ออ” คิมฮีชอลถอนหายใจ ลึกๆรู้สึกเสียดายอยู่เหมือนกันที่เจสสิก้าไม่ได้ท้องจริงๆ เพราะตัวเขาเองก็คิดมาตลอดว่าอยากจะมีลูกสักคน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเขาไม่สามารถท้องได้ และเขาก็ไม่มีทางจะไปทำให้ใครท้องเช่นกัน แต่เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นกับเขาและเจสสิก้า ความหวังที่จะมีลูกของเขาก็ถูกจุดประกายขึ้นมาอีกครั้ง แต่สุดท้ายมันก็ถูกดับไปอยู่ดี
“พรุ่งนี้ นายต้องไปหย่าให้ฉันนะ แล้วต้องป่าวประกาศบอกทุกคนด้วยว่าฉันกับนาย เราพ้นจากการเป็นสามีภรรยากันแล้ว”
เช้าวันต่อมา เจสสิก้าตื่นมานั่งรอฮีชอลแต่เช้าตรู่ แต่จนแล้วจนรอดเกือบจะสิบโมงแล้ว ฮีชอลก็ยังไม่โผล่ออกจากห้องมาเสียที เจสสิก้าจึงเคาะประตูเรียกอยู่สองสามครั้ง แต่เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ เธอจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปเอง
และสิ่งที่เจสสิก้าเห็นคือคิมฮีชอลกำลังนอนหลับสบายอยู่ในชุดนอนลายการ์ตูนสีชมพู ทำให้อารมณ์ของเจสสิก้าเดือดปุดๆขึ้นมาทันที
“คิมฮีชอล!!!” เจสสิก้าแผดเสียงเล็กๆแหลมๆ ดังลั่นห้อง ทำให้ฮีชอลสะดุ้งตื่น และลุกขึ้นมามองหน้าอย่างงงๆ
“โวยวายอะไรแต่เช้าฮะ ใครเหยียบหางเธอหรือยังไง”
“ไม่มีใครเหยียบอะไรฉันทั้งนั้น แต่ฉันจะเหยียบนาย ถ้านายยังไม่รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วไปหย่าให้ฉันภายในยี่สิบนาที”
“นี่ ตั้งสติหน่อยได้ไหมยัยชะนีน้อย”
“ฉันมีสติดีทุกอย่าง ตอนที่ฉันแต่งงานกับนายต่างหากเป็นตอนที่ฉันไร้สติที่สุดในชีวิต”
“นั่งลงก่อน แล้วฟังที่ฉันพูด”
“ฉันไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ฉันต้องการหย่า และนายต้องไปหย่าให้ฉันวันนี้ด้วย” เมื่อเจสสิก้าดื้อดึงไม่ยอมฟัง ฮีชอลจึงต้องดึงตัวเธอให้ล้มลงมา ตอนนี้สภาพของเจสสิก้าคือหน้าคว่ำลงไปกับเตียง ในขณะที่ฮีชอลจับแขนเธอล็อคไว้ข้างหลัง และกดตัวเธอไว้ไม่ให้เธอลุกขึ้นมา
“ปล่อยฉันนะ ไอ้ตุ๊ดบ้า ทำไมนายถึงได้แรงควายขนาดนี้เนี่ย”
“ถ้าเธอไม่เงียบแล้วฟังที่ฉันพูด ฉันจะบิดแขนเธอให้หักไปเลย จะเงียบไม่เงียบ” คิมฮีชอลเริ่มขู่ แล้วก็ได้ผล คนที่ขี้กลัวไปซะทุกอย่างอย่างเจสสิก้าเงียบกริบทันที
“เออ เงียบแล้ว จะพูดอะไรก็พูดมาสิ”
“เราสองคนเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่ถึงอาทิตย์ด้วยซ้ำ ไอ้ข่าวการแต่งงานสายฟ้าแล่บนั่นยังถูกเม้าท์ไม่เสร็จเลย เธอจะสร้างข่าวใหม่ว่าเราหย่ากันอีกแล้วหรอ แล้วฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ฉันเป็นคนดังของวงการนะ ไม่ใช่โนบอดี้อย่างเธอ ถึงจะได้ทำอะไรตามใจ โดยไม่แคร์อะไรเลย”
“ใครบอกว่าฉันเป็นโนบอดี้ย่ะ ฉันน่ะเป็นเจ้าแม่แฟชั่นของวงการนะ โอ้ยย” เจสสิก้าร้องขึ้นมา เมื่อฮีชอลบิดแขนเธอ แม้จะเจ็บไม่มาก แต่ขอเธอโวยวายเสียงดังไว้ก่อน
“ฉันบอกให้เงียบแล้วฟัง ไม่ใช่ให้เสนอหน้าพูดแทรก เอาเป็นว่าระหว่างนี้ เราก็ใช้ชีวิตแบบนี้กันไปก่อน อีกสักปีสองปีค่อยว่ากันว่าจะเอายังไงต่อไป”
“จะให้ฉันตัดโอกาสตัวเองในการหาผู้ชายดีๆมาอยู่กับตุ๊ดเนี่ยนะ มันเป็นอะไรที่ไม่เข้าท่าเลย”
“การที่เธออยากจะหย่าตอนนี้ มันก็เป็นอะไรที่ไม่เข้าท่าเหมือนกัน คนเขาจะมองเธอยังไงว่าแต่งงานไม่เท่าไหร่ก็ถูกผัวทิ้ง แล้วชาตินี้ทั้งชาติ ผู้ชายดีๆที่ไหนเขาจะเข้ามาหาเธอฮะ เขาก็ต้องสงสัย คลางแคลงใจในตัวเธอกันทั้งนั้นแหละ เอาน่า เราก็ทนๆอยู่กันไปก่อน ระหว่างนี้เธอก็มองหาผู้ชายดีๆเอาไว้สักคน ส่วนฉันก็จะมองหาผู้ชายแซ่บๆเอาไว้หลายๆคน โอเคนะ”
คิมฮีชอลปล่อยตัวเธอแล้วเดินคว้าผ้าเช็ดตัวเขาไปในห้องน้ำ ทิ้งให้เจสสิก้าได้แต่นั่งเงียบอย่างใช้ความคิด ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ฮีชอลพูดมาถูกต้องทุกอย่าง ถ้าเธอหย่าตอนนี้เธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน คนอื่นจะมองเธอยังไง และปัญหาต่างๆมากมายสารพัดที่จะตามมา โอ้ย นี่มันเวรกรรมอะไรของ เจสสิก้า จอง กันนะ
เช้าวันนี้ทิฟฟานี่ถูกปลุกให้อาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่เช้า และถูกคุณแม่ใหญ่ของเธอสั่งไว้ว่าวันนี้ไม่ต้องไปทำงาน ตอนแรกทิฟฟานี่ออกจะแปลกใจอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อลงมาที่ห้องรับแขกของบ้านจึงได้รู้ว่า วันนี้คุณแม่ใหญ่ของเธอนัดดีไซเนอร์ และบริษัทออแกไนเซอร์ชื่อดังไว้
“มาแล้วหรอฟานี่ มานั่งข้างๆแม่สิ แม่กำลังเลือกชุดให้เราอยู่พอดีเลย”
ทิฟฟานี่เหลือบไปมองท็อปที่กำลังถูกวัดตัวอยู่เพื่อดูปฏิกิริยาของเขา และเพื่อหาหนทางที่จะทำให้เธอไม่ต้องแต่งงาน แต่เขาก็มีสีหน้าเรียบเฉยซะจนเธอไม่รู้ว่าภายในใจของเขาคิดอะไรอยู่
“แม่ลองมองๆดูไว้สองสามชุด ฟานี่ล่ะชอบชุดไหน” คุณแม่ใหญ่ของเธอเลื่อนแบบชุดมาไว้ตรงหน้า ทิฟฟานี่ไม่ได้เปิดดูภาพทั้งหมด เพียงแต่ดูชุดที่คุณแม่ใหญ่ของเธอคั่นไว้เท่านั้น
“ฟานี่เลือกไม่ถูกหรอกค่ะ มันสวยทั้งสามชุดเลย คุณแม่ใหญ่เลือกให้ฟานี่ก็แล้วกันนะคะ”
ในที่สุดมารดาของท็อปก็เลือกชุดเกาะอกสีขาว ช่วงบนเข้ารูปเผยให้เห็นสัดส่วน ทรวงทรงองค์เอวของผู้ใส่ ส่วนช่วงล่างลากยาวเล็กน้อย ที่ชุดประดับด้วยคริสตัลให้พองดงาม เพื่อเสริมให้ชุดดูหรูหรามากยิ่งขึ้น ท็อปที่วัดตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วมองดูชุดที่มารดาของตนเองเลือกให้ทิฟฟานี่ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างพอใจ แต่ก็ไม่วายปากเสีย
“แม่ครับ ชุดแบบนี้เขามีไว้ให้คนหุ่นดีใส่นะครับ ถ้ามิยองใส่ คนอื่นเขาก็รู้หมดสิครับว่ามิยองน่ะ 29-32-38”
“นั่นปากหรอที่ใช้พูดน่ะ” คุณนายชเวจัดการบิดหูลูกชายตัวดี ก่อนจะบอกให้ดีไซเนอร์มาวัดตัวหญิงสาว พร้อมกับแจ้งแบบที่ต้องการ ทิฟฟานี่ยืนเป็นหุ่นให้ดีไซเนอร์วัดตัวสักพักก็กลับมานั่งลงบนโซฟาข้างๆกับท็อปที่ว่างอยู่
“คุณท็อปกับคุณทิฟฟานี่อยากให้ธีมงานเป็นแบบไหนคะ” ออแกไนเซอร์เริ่มทำหน้าที่ของตัวเองบ้าง
“ฟานี่แล้วแต่คุณแม่ใหญ่แล้วกันค่ะ” ทิฟฟานี่พูดแบบปัดๆไป ในเมื่อยังไงงานมันก็ไม่ได้เกิดจากความเต็มใจของเธอตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เธอก็ขี้เกียจจะไปออกความคิดเห็นอะไร
“แม่ว่าเอาเป็นธีมงานในสวนดีไหมลูก แล้วก็เอาดอกไม้สีชมพูที่ฟานี่ชอบมาประดับไว้ในงาน”
“แม่จะไม่ถามความเห็นของลูกชายแม่หน่อยหรอครับ” ท็อปเอ่ยขัดขึ้นมาเมื่อคุณแม่ของตนเองดูจะใส่ใจความพอใจของทิฟฟานี่มากกว่าลูกชายอย่างเขา
“แล้วแกจะออกความเห็นอะไรไม่ทราบ”
“ผมคิดว่าไม่ไหวถ้าแม่จะให้ธีมงานเป็นสีชมพูหวานแหววตุ๊ดแตกแบบนั้น ผมเป็นมาเฟียนะครับ มาทำอะไรแบบนี้น่าอายแย่ มีหวังถูกไอ้พวกศัตรูเอามาหยามได้อีกต่างหาก”
“แล้วไง แล้วแกจะให้ฉันใช้ธีมงานเป็นสีดำหรือไง ฉันจัดงานแต่งงานนะย่ะ ไม่ได้จะมาจัดงานไว้อาลัยให้ใคร”
“โธ่แม่ครับ”
“หยุดพูดเลย เอาเป็นว่าเป็นธีมงานในสวนคะ ขอประดับด้วยดอกไม้สีชมพูเยอะๆหน่อย แล้วดิฉันอยากให้เอาภาพของทิฟฟานี่กับท็อปตั้งแต่เด็กๆมาโชว์ไว้ด้วย จะได้แสดงว่าสองคนนี้รักใคร่ชอบพอกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย”
“น่าอิจฉาจังเลยนะคะ” ออแกไนเซอร์พูดอย่างอิจฉา โดยไม่ได้สังเกตว่าหลังจากที่มารดาของท็อปพูดจบ ทิฟฟานี่ก็หันไปเบ้หน้าใส่ท็อปทันที
“รักกันมาตั้งแต่เด็ก โอ้ย ฉันอยากจะบ้า เกลียดกันจะตายล่ะสิไม่ว่า” ทิฟฟานี่เอ่ยกับปลายสายอย่างเซ็งๆ หลังจากที่การคุยเรื่องงานแต่งงานของเธอกินเวลาไปเกือบครึ่งวัน
“ฮ่าๆ ฉันเคยบอกแกแล้วว่าเกลียดอะไรจะได้อย่างนั้น” ยุนอาเอ่ยอย่างขบขัน แม้ทิฟฟานี่จะไม่เห็นหน้าของอีกฝ่าย แต่ก็พอจะเดาได้ว่ายุนอาต้องกำลังยิ้มล้อเลียนเธออยู่แน่ๆ
“เหมือนแกน่ะหรอ เกลียดผู้ชายเจ้าชู้ ก็เลยได้เองซะเลย แถมยังเป็นอดีตรักวัยเด็กซะด้วย” ทิฟฟานี่ย้อนกลับไปบ้าง
“แกหยุดพูดเรื่องน่าอับอายนั่นเดี๋ยวนี้นะ” ยุนอาเอ่ยขึ้นมาอย่างรับไม่ได้ เธอพลาดเองที่สมัยเรียนเธอเมาจนเผลอพูดเรื่องน่าอับอายนี้ให้เพื่อนสนิททั้งสองคนฟัง
“ไม่ดีหรือไง ได้แต่งงานทั้งทีก็ได้แต่งกับรักครั้งแรกด้วยนะ”
“อ๊ายยยย หยุดเดี๋ยวนี้นะแก”
“ตลกจังเลยคุณหนูอิม ว่าแต่ว่าแกเตรียมเรื่องการป้องกันตัวไปถึงไหนแล้วเนี่ย” ทิฟฟานี่เอ่ยถามถึงเรื่องที่ยุนอาพูดว่าจะเตรียมหาสิ่งของไว้เพื่อป้องกันตัวเองจากผู้ชายหื่นกามอย่างโจวคยูฮยอน
“ฉันสั่งซื้อของพวกนั้นไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ฉันก็กำลังศึกษาเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายอยู่ว่าจะมีทางเอาผิดได้ไหมถ้าฉันโดนสามีตัวเองทำมิดีมิร้าย”
“ถามจริงว่าแกจะมีหน้าไปฟ้องตำรวจหรือไงว่าแกโดนสามีจึ๊กกะดึ่ยมาน่ะ”
“ฉันยอมอาย ดีกว่าให้หมอนั่นได้ฉันไปฟรีๆ แต่รับรองได้เลยว่ามันจะไม่มีทางเกิดขึ้น หมอนั่นไม่มีทางจะได้เห็นแม้แต่ขาอ่อนของฉันอย่างแน่นอน”
“แล้วจะคอยดู”
“มิยองงงง มิยองงงงงงงง” ทิฟฟานี่เหมือนได้ยินเสียงเรียกใกล้ๆที่ข้างหู แถมยังรู้สึกเหมือนมีอะไรยุกยิกๆอยู่บนใบหน้าของเธอ จึงปรือตาขึ้นมามองอย่างขัดใจ
“เฮ้ยยยย” พอลืมตาขึ้นมาเห็นว่าปลายจมูกของท็อปกำลังสาละวนอยู่บนใบหน้าของเธอ ทิฟฟานี่ก็ร้องขึ้นมาอย่างตกใจ และยกขาขึ้นถีบคนตรงหน้าโดยอัตโนมัติ
“โอ้ยย” ท็อปที่ไม่ทันระวังตัวร้องขึ้นเมื่อถูกประเคนฝ่าเท้าจนลงไปกองอยู่กับพื้น ทิฟฟานี่กำลังจะลุกขึ้นมาแวดใส่ แต่พอเห็นสีหน้าของท็อป บวกกับการที่เขานั่งกุมแขนของตัวเองอยู่ ทำให้เธอต้องรีบลงไปดูด้วยความตกใจ
“คุณซึงฮยอนเป็นอะไรหรือเปล่า” ทิฟฟานี่จับแขนข้างที่ใส่เผือกของท็อปขึ้นมาดูอย่างพิจารณา ท็อปจึงได้ที ใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้เป็นอะไรรวบตัวหญิงสาวมานั่งบนตัก พร้อมกอดรัดไว้แน่น
“นั่นแน่ แอบห่วงฉันใช่ไหมล่ะ”
“ใครบอกว่าฉันห่วงคุณ ฉันกลัวโดนคุณแม่ใหญ่ว่าต่างหากที่มาทำให้ลูกชายสุดที่รักเจ็บตัว นี่ แล้วก็ปล่อยฉันได้แล้ว”
“ไม่ปล่อยหรอก แบร่” ท็อปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ จนทิฟฟานี่นึกอยากจะหาอะไรมาฟาดแขนข้างที่เจ็บของเขาจริงๆ แต่ก็ทำไม่ได้ ความเป็นหมอทำให้เธอทำอะไรแบบนี้กับคนเจ็บไม่ได้จริงๆ และกว่าท็อปจะยอมปล่อยเธอได้ ก็ต้องนั่งกันอย่างนั้นราวๆสิบนาทีโดยไม่มีใครพูดอะไร
“มิยองไปกินข้าวเย็นกันเหอะ ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจกินเธอแทน” ท็อปพูดขึ้นก่อนจะปล่อยหญิงสาวให้เป็นอิสระ เมื่อรู้ตัวหากอยู่นานกว่านี้ตัวเองอาจจะอดใจไม่ไหวก็ได้ ก็เนื้อตัวของว่าที่เจ้าสาวมันหอม ซะจนอยากลิ้มลอง
“อ๋อ แล้วก็อย่ากินเยอะ ตัวเธอหนักชะมัด ขาฉันเป็นตะคริวหมดแล้ว”
“สมน้ำหน้า ใครใช้ให้คุณมาทำแบบนี้กับฉันล่ะ” ทิฟฟานี่เอ่ยก่อนจะสะบัดหน้าเดินออกจากห้องไปทันที โดยไม่สนใจท็อปที่เกิดอาการตะคริวกินขึ้นมาจริงๆ ก็แหม ฮวังมิยองน่ะ ตัวเล็กๆซะที่ไหนกันล่ะ
“คุณหนูคะ มีกล่องพัสดุส่งถึงคุณหนูค่ะ” แม่บ้านวัยห้าสิบตอนปลายเอ่ยบอกหญิงสาวที่นั่งอ่านนิตยสารอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก ด้านหลังเป็นคนงานหนุ่มในบ้านที่ยกกล่องพัสดุใหญ่ๆกล่องนึงมาวางไว้ตรงหน้าของยุนอา
“ในที่สุดก็มาแล้ว ขอบคุณมากค่ะป้า”
ยุนอาเอื้อมมือไปเปิดกล่อง สิ่งของที่อยู่ข้างในนั้นทำให้เธอยิ้มกว้างอย่างพอใจ ต่างกับคุณแม่บ้านที่ยังยืนอยู่ในห้องรับแขกด้วยอีกคน
“ว้าย ตายแล้วคุณหนู ใครช่างส่งของพวกนี้มาให้คะ มาๆ ป้าเอาไปทิ้งให้”
“อย่าค่ะป้า ยุนเป็นคนสั่งของพวกนี้มาเอง” ยุนรีบยกมือห้าม เมื่อคุณป้าแม่บ้านทำท่าจะยกของทั้งหลายที่เธอสั่งมาไปทิ้งจริงๆ
“สั่งมาทำไมกันคะคุณหนู”
“เอาไว้ป้องกันตัวเองจากพวกเจ้าชู้ มั่วไม่เลือกค่ะ”
ยุนอาค่อยๆหยิบของในกล่องออกมาทีละอย่าง ทั้งสเปรย์พริกไทย เครื่องช็อตไฟฟ้า กรรไกรตัดหญ้า ไม้เบสบอล ปืนอัดลม กุญแจมือ และแส้
“นี่คุณหนูกะจะฆาตกรรมคุณคยูฮยอนเลยหรือไงคะ” คุณแม่บ้านร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นอุปกรณ์ทั้งหมด ถ้าคนที่ไม่รู้จักมองมาคงจะคิดว่าคุณหนูของเธอเข้าขั้นโรคจิตอย่างแน่นอน
“ยุนไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นซะหน่อย เอ๊ะ แต่ก็ไม่แน่นะคะ ถ้าหมอนั่นดันหื่นไม่เลือกที่ขึ้นมา ยุนก็อาจจะไม่เอาไว้ก็ได้”
“ป้าชักเริ่มสงสารคุณคยูฮยอนขึ้นมาทีละนิดแล้วสิคะ” คุณแม่บ้านบอก ก่อนจะปลีกตัวเดินออกไป ทิ้งให้ยุนอานั่งอมยิ้มอยู่คนเดียว เมื่อนึกภาพคยูฮยอนถูกจัดการด้วยอุปกรณ์แต่ละอย่าง
ร้านอาหารบรรยากาศดีในโรงแรมสุดหรู คือที่ที่คยูฮยอนเลือกพายุนอามาดินเนอร์ตามคำสั่งของบิดา แต่ดูเหมือนว่าบรรยากาศรอบตัวจะไม่ทำให้คยูฮยอนรู้สึกดีเอาเสียเลย เมื่อมองคนตรงหน้า
“อะไร มองหน้าฉันแล้วยิ้มหมายความว่าไง” คยูฮยอนเอ่ยปากถาม เมื่อว่าที่เจ้าสาวเอาแต่มองหน้าเขาแล้วก็ยิ้ม แต่มันช่างเป็นรอยยิ้มที่น่าสยดสยองยังไงก็ไม่รู้
“เปล่า ก็แค่คิดว่าชีวิตหลังแต่งงานคงจะสนุกน่าดู” ยุนอาตอบก่อนจะตักอาหารเข้าปาก ไม่สนใจอาการงงของอีกฝ่ายเลยสักนิด
“เธอคิดจะทำอะไรของเธอยัยคุณหนูผี”
“ไม่บอกหรอก เดี๋ยวไม่สนุก แต่รับรองว่านายไม่มีทางลืมการแต่งงานครั้งนี้ลงแน่ๆ เผลอๆอาจจะทำให้นายไม่อยากแต่งงานอีกเลยไปตลอดชีวิต”
“ยัยปีศาจ ถ้าเธอทำอะไรฉัน ฉันก็จะไม่ปล่อยเธอไว้เหมือนกัน ระวังเวอร์จิ้นของเธอไว้ให้ดีเถอะ ทำเกรียนมาก ฉันจะจัดการซะให้เข็ด” คยูฮยอนเอ่ยขู่ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ยุนอารู้สึกกลัวเลยสักนิด ตรงข้ามกลับจุดประกายรอยยิ้มที่มุมปากของเธอซะอีก
“ถ้าคิดว่าจะได้แอ้มฉันง่ายๆ ก็ลองดูแล้วกัน โจวคยูฮยอน”
© Tenpoints !
ความคิดเห็น