ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My husband ช่วยบอกทีผู้ชายคนนี้สามีฉัน (SNSD-BB-SJ)

    ลำดับตอนที่ #5 : ..1.. (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 31 ม.ค. 55


     บทที่ 1
      

          ภายในโบสถ์อันเงียบสงบบนเกาะเชจู หญิงสาวร่างบางในชุดเดรสสั้นสีชมพูอ่อนกำลังยืนอยู่ต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า และบาทหลวงเคียงข้างกับชายหนุ่มในชุดสูทสีดำเรียบง่าย รอบๆตัวไม่มีครอบครัวของทั้งสองฝ่าย เพื่อนเจ้าบ่าว เพื่อนเจ้าสาว รวมไปถึงไม่มีแขกรับเชิญที่จะมาเป็นสักขีพยานในที่นี้สักคน


    “หลวงพ่อครับ จะเริ่มได้หรือยัง” ฝ่ายชายเอ่ยถามขึ้นเมื่อบาทหลวงยังไม่ยอมเริ่มพิธีซักที มัวแต่เหลียวซ้ายแลขวาเหมือนกำลังรออะไรสักอย่างอยู่


    “ไม่รอคนอื่นๆก่อนหรอลูก”


    “ไม่ต้องรอหรอกครับ งานนี้มีแค่เราสองคนเท่านั้นแหละ เริ่มพิธีเลยดีกว่าครับหลวงพ่อ ป่านนี้ลูกผมเมื่อยแย่แล้ว” บาทหลวงยิ่งงงกับคำพูดของฝ่ายชายเข้าไปใหญ่ว่าเขากำลังพูดถึงลูกของใครที่ไหน ในเมื่อในที่นี้ไม่มีใครสักคน อย่าว่าแต่เด็กเลย แม้แต่ผู้ใหญ่สักคนก็ยังไม่มี


    “เอาล่ะ เริ่มก็เริ่ม”


    คิมฮีชอล และจองซูยอน ลูกทั้งสองมาที่นี่โดยไม่ถูกบังคับ แต่มาด้วยความสมัครใจอย่างแท้จริงเพื่อเข้าพิธีสมรสหรือ” เจสสิก้า และฮีชอลหันหน้าเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปคนละทาง


    “ครับ
    / ค่ะ”


    “เมื่อเข้าสู่ชีวิตสมรสเช่นนี้แล้ว ลูกทั้งสองพร้อมที่จะรักและยกย่องให้เกียรติกันและกันจนตลอดชีวิตหรือ”


    “ครับ / ค่ะ”


    “ลูกทั้งสองพร้อมที่จะน้อมรับบุตรซึ่งพระเป็นเจ้าประทานให้ และอบรมเลี้ยงดูตามกฎของพระคริสตเจ้าและศาสนจักรหรือ” นาทีนั้นฮีชอลก้มลงไปมองหน้าท้องของสาวร่างบางที่มีลูกของเขาอาศัยอยู่ก่อนจะตอบรับอย่างชัดเจน


    “ครับ / ค่ะ”


    “โดยที่ลูกทั้งสองมีเจตนาที่จะสมรสกัน ขอให้จับมือขวาของกันและกัน และแสดงความสมัครใจต่อหน้าพระเป็นเจ้าและพระศาสนจักรของพระองค์”


          ทั้งเจสสิก้าและฮีชอลต่างจับมือขวาของกันและกันเอาไว้ ฮีชอลถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเริ่มกล่าวคำสาบานต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า


    “ผม คิมฮีชอล ขอรับ จองซูยอน เป็นภรรยา นับแต่นี้เป็นต้นไป และขอสัญญาว่า จะซื่อสัตย์ต่อคุณทั้งยามสุขและยามทุกข์ ทั้งในเวลาป่วยและเวลาสบาย เพื่อรักและยกย่องให้เกียรติคุณจนกว่าชีวิตจะหาไม่”


    “ฉัน จองซูยอน ขอรับ คิมฮีชอล เป็นสามี นับแต่นี้เป็นต้นไป และขอสัญญาว่า จะซื่อสัตย์ต่อคุณทั้งยามสุขและยามทุกข์ ทั้งในเวลาป่วยและเวลาสบาย เพื่อรักและยกย่องให้เกียรติคุณจนกว่าชีวิตจะหาไม่”


          หลังจากกล่าวคำสาบานจบ ทั้งสองก็สวมแหวนมอบให้กันและกัน ต่อด้วยจูบสาบานต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า เป็นอันเสร็จพิธี

          
          หลังจากบาทหลวงเดินออกไปไม่นาน เจสสิก้าก็ทำท่าเหมือนจะอาเจียนพลางถูริมฝีปากตัวเองไปมาอย่างแรง ฮีชอลเข้าใจว่านั่นคืออาการแพ้ท้องของหญิงสาวจึงเดินเข้าไปประคองอย่างเป็นห่วง


    “นี่เธออยากอ้วกอีกแล้วหรอ อาการแพ้เธอคงหนักมากเลยสินะ” ฮีชอลพูดอย่างรู้สึกผิด เขาไม่น่าปล่อยให้เหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นเลย


    “แพ้บ้าแพ้บออะไร ฉันจะอ้วกที่ต้องมาจูบตุ๊ดอย่างนายต่างหาก อี๊ ขนลุกชะมัด” เจสสิก้าด้วยสีหน้าขยะแขยงเต็มกลืน ฮีชอลจึงปล่อยมือออกจากหญิงสาวพลางแอบกัดเบาๆ


    “คิดว่าฉันรู้สึกดีตายล่ะที่ได้จูบเธอ ยัยชะนีต่างด้าว ไม่เป็นไรก็ดีล่ะ มานี่ มาถ่ายรูป ฉันจะได้เอาไปโพสต์ลงทวิตเตอร์ซักที”


          ฮีชอลและเจสสิก้าตกลงที่จะจัดงานแต่งงานกันอย่างเงียบๆ และโพสต์รูปลงสื่อออนไลน์ให้สาธารณชนได้รับทราบ เพราะไม่อยากจะเผชิญกับกองทัพนักข่าวที่คงจะแห่กันมาสัมภาษณ์ถึงวิวาห์สายฟ้าแล่บถึงในงานแต่งงาน

     


          ทิฟฟานี่นั่งสงบจิตสงบใจรอเพื่อนรักสองคนในร้านอาหารอิตาเลี่ยนใกล้กับโรงพยาบาลที่เธอทำงานอยู่ พาดหัวข่าวที่เพื่อนรักคนหนึ่งกำลังจะแต่งงาน และเพื่อนรักอีกคนที่แอบหนีไปแต่งงานแล้ว ทำให้ทิฟฟานี่ยิ่งกว่าช็อค


          เจสสิก้าและยุนอามาถึงในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน สามสาวต่างสั่งอาหารของตัวเอง ก่อนที่ทิฟฟานี่จะเป็นคนเปิดบทสนทนา


    “เรื่องมันเป็นไงมาไง ทำไมอยู่ดีๆพวกแกถึงได้..”


    “ก็ฉันมันดันซวยไปแกล้งอำนายคยูฮยอนว่าท้องต่อหน้าคนทั้งผับจนเป็นข่าวใหญ่โต คุณป๊าก็เลยได้โอกาสบังคับให้ฉันแต่งงานตามคำสัญญาของคุณปู่ทั้งสองตระกูล” ยุนอาตอบก่อนที่ทิฟฟานี่จะถามจบด้วยน้ำเสียงบึ้งตึง และไม่พอใจในโชคร้ายของตัวเอง


    “แล้วแกล่ะสิก้า แกไปแต่งงานสายฟ้าแล่บได้ยังไง”


    “ไอ้ยุนน่ะมันแกล้งอำว่าท้อง แต่ฉันน่ะสิดันท้องจริงๆ จนต้องรีบไปแต่งงานแทบไม่ทัน แกดูรูปสิ ชุดแต่งงานฉันไม่ได้ส่งตรงมาจากฝรั่งเศส สภาพโบสถ์ก็อย่างกับโบสถ์ร้าง ดอกไม้สักช่อฉันยังไม่มีถือในมือเลยแกดูสิ”


    “แกท้องหรอ” ทิฟฟานี่และยุนอาหันมาถามเจสสิก้าพร้อมกัน ด้วยระดับความตกใจที่เท่ากัน


    “อือ เบาๆหน่อยได้ไหมแก แค่นี้ก็มีคนเตรียมรอนับเดือนเกิดลูกฉันเยอะจะแย่อยู่แล้ว แกไม่ต้องไปช่วยเขาคอนเฟิร์มหรอกว่าฉันท้องก่อนแต่งจริงๆ”


    “แกไปจ้ำจี้มะเขือเปาะแปะกับเขาตอนไหน ตอนนั้นแกยังเล่าให้ฉันฟังอยู่เลยว่านายนี่เป็นชู้กับแฟนแกไม่ใช่หรอ” ยุนอาถามอย่างงงๆ ก็เมื่อไม่นานมานี้เจสสิก้าเพิ่งเล่าให้เธอฟังหยกๆว่า นายคิมฮีชอลนั่นเป็นพวกรักร่วมเพศกับอดีตแฟนของเธอนี่หน่า


    “ก็สามวันก่อนจะแต่งงานนั่นแหละ ฉันเมา เขาก็เมา มันก็เลยพลาด”


    “เดี๋ยวนะ แกรู้ว่าท้องตั้งแต่เมื่อไหร่” ทิฟฟานี่ถามเพื่อนเมื่อสังเกตถึงความแปลกในคำพูดของเพื่อนสาว


    “ก็วันรุ่งขึ้นหลังจากที่มีอะไรกันน่ะ ฉันอ้วกออกมาซะหมดไส้หมดพุงเลย เราก็เลยฟันธงว่าท้องชัวร์”


    “ไอ้บ้า แก แกนี่มัน ฉันไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าแกดี หรือจะเคาะกระโหลกแกเอาขี้เลื่อยออกมาก่อนดี”


    “แกทำอย่างนั้นกับฉันไม่ได้นะฟานี่ เดี๋ยวมันไปกระทบกระเทือนลูกในท้องฉันขึ้นมา แกจะหาสามีที่ไหนมาผลิตลูกใช้คืนฉัน”


    “นี่แกยังไม่หยุดเรื่องลูกอะไรนั่นอีกหรอ แกไปโรงพยาบาลกับฉันเลย ไปตรวจให้มันรู้กันไปเลยว่าแกน่ะป่องจริง หรือว่าท้องลมกันแน่”



    “ว่าแล้วจริงๆด้วย แกท้องลมชัดๆ” ทิฟฟานี่นั่งอ่านผลตรวจของเจสสิก้า งานนี้เธอเป็นคนลงมือตรวจเพื่อนสาวด้วยตัวเอง เนื่องจากฮีชอลเป็นคนดัง ถ้าเกิดมีใครรู้ว่าเจสสิก้ามาตรวจครรภ์ล่ะก็ คงได้เป็นข่าวใหญ่หน้าหนึ่งอย่างแน่นอน


    “แกตรวจดีหรือเปล่าทิฟฟานี่ บางทีลูกฉันอาจจะไปหลบอยู่มุมไหนสักมุมก็ได้นะ แกถึงได้หาไม่เจอ” เจสสิก้ายังคงพยายามค้าน


    “ฉันตรวจดีมากทุกซอกทุกมุม แทบอยากจะควักเอามดลูกของแกมาตรวจข้างนอกด้วยซ้ำ แต่มันไม่มีจริงๆ แกไม่ได้ท้อง”


    “ไม่ได้ท้องงั้นหรอ แล้วฉันจะแต่งงานกับไอ้ตุ๊ดนั่นไปเพื่ออะไร” เจสสิก้าโวยวายดังลั่น จนทิฟฟานี่กลัวว่าคนข้างนอกจะได้ยิน แล้วแห่กันมาจับเพื่อนสนิทส่งไปแผนกจิตเวชเหลือเกิน


    “ก็ใครใช้ให้แกบ้าเชื่อตามหมอนั่นฮะ คนบ้าอะไรจะปั่มปั๊มกันปุ๊ป ตื่นเช้ามาก็รู้ว่าท้องปั๊ป”


    “ฉันมันโง่มากเลยใช่ไหมแก ฉันน่าจะรู้สิว่าไอ้ที่ตื่นเช้ามาแล้วอ้วกน่ะมันเป็นเพราะว่าแฮงค์ ไม่ใช่ท้อง”


    “เออจริง แกมันโง่มากเจสสิก้า” ทิฟฟานี่พยักหน้ายืนยันกับคำพูดของเพื่อน นั่นยิ่งทำให้เจสสิก้าร้องโฮเข้าไปใหญ่


    “ฉันต้องการคำปลอบใจนะเว้ย ไม่ใช่ให้แกมาซ้ำเติมฉัน แกนี่มันมีจิตวิทยาของการเป็นหมอบ้างมั้ย”


    “อ้าว ก็ฉันพูดตามความจริงนี่หน่า”

     


          ยุนอานั่งมองนาฬิกาเป็นรอบครั้งที่สามภายในเวลาครึ่งชั่วโมง เธออยู่ในร้านเวดดิ้งสตูดิโอชื่อดัง วันนี้เธอมีนัดมาเลือกชุด รวมไปถึงการ์ด และของชำร่วยที่จะแจกในงานแต่งงาน จึงทำให้ไม่ได้ตามเจสสิก้ากับทิฟฟานี่ไปโรงพยาบาลด้วย แต่นั่งรอจนครึ่งชั่วโมงแล้วว่าที่เจ้าบ่าวของเธอก็ยังไม่โผล่หัวมาสักที ทำเอายุนอาหัวเสียไม่น้อย หน้าสวยๆเริ่มจะบูดบึ้ง จนพนักงานอดจะกลืนน้ำลายลงคอด้วยความกลัวนิดๆไม่ได้


    “คุณคยูฮยอนยังไม่มาอีกหรอคะน้องยุนอา” นั่นไม่ใช่คำถามที่ดีสักนิด ยุนอาตวัดสายตามามองคนพูดก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ


    “แล้วพี่เห็นใครตรงนี้นอกจากยุนไหมล่ะคะ”


    “เอ่อ ไม่เห็นค่ะ”


    “งั้นคำถามของพี่ ยุนคงไม่จำเป็นต้องตอบแล้วมั่งคะ”


    “เอ่อค่ะ น้องยุนอาคะ พี่ว่าน้องยุนอาเลือกแบบการ์ดแล้วก็ของชำร่วยระหว่างรอคุณคยูฮยอนไปพลางๆก่อนดีไหมคะ”


    “ก็ดีค่ะ”


          ยุนอาตัดสินใจเลือกการ์ดสีเงิน เรียบๆ แต่หรูหรา พร้อมกับเขียนข้อความที่ตนเองต้องการจะใส่ลงไปในการ์ดให้กับพนักงาน ทางด้านของชำร่วยยุนอาเลือกเป็นคริสตัลรูปหัวใจที่สลักอักษรตัว
    K และตัว Y เอาไว้ พนักงานสาวชื่นชมกับความมีรสนิยมของเธอมาก ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรดูเหมือนเธอจะเลือกเฉพาะสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองเท่านั้นจริงๆ


    “ลองดูชุดต่อเลยไหมค่ะ” พนักงานสาวถามยุนอาที่เริ่มจะไม่พอใจอีกรอบ เพราะจนถึงตอนนี้แล้วเจ้าบ่าวของเธอยังไม่มาซักที


    “ก็ดีค่ะ ถ้าอย่างนั้นพี่ช่วยคัดมาแต่ชุดที่เพอร์เฟคที่สุด ดีที่สุด เริ่ดที่สุดมาให้ยุนหน่อยนะคะ”


    “ได้ค่ะ” พนักงานสาวแอบลอบถอนหายใจ พร้อมเดินหายเข้าไปเตรียมชุดที่ลูกค้าสาวกิตติมศักดิ์ต้องการไว้ให้

     


    “เธอนี่มันคงคอนเซปต์ยัยจอมเว่อร์จริงๆ” คยูฮยอนที่เดินเข้ามาทันได้ยินที่ยุนอาสั่งพนักงานเมื่อครู่พูดกระแหนะกระแหน ยุนอาหันมาเบ้ปากใส่เขาน้อยๆ ก่อนจะโต้ตอบไปบ้าง


    “แน่นอน อิมยุนอาคนนี้จะแต่งงานทั้งที ทุกอย่างมันจะต้องเพอร์เฟคที่สุดอยู่แล้ว แต่เสียอย่างเดียวที่เจ้าบ่าวดัน...” ยุนอาแกล้งไล่สายตามองคยูฮยอนตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เล่นเอาคยูฮยอนถึงกับเดือดปุดๆ


    “ดันอะไร เธอโชคดีแค่ไหนรู้ตัวไหมที่จะได้ฉันเป็นสามี มีคนเข้าคิวรออยากแต่งงานกับฉันยาวเป็นขบวน แต่เธอกลับใช้ทางลัด แกล้งทำเป็นไปประกาศปาวๆ สุดท้ายก็ได้ฉันไปแบบง่ายๆ”


    “นี่นายคิดว่าฉันอยากได้นายมาก ถึงขนาดต้องทำอะไรบ้าๆหรือยังไง จะบอกให้นะ ฉันไม่เคยต้องการอยากได้ผู้ชายที่ผ่านการใช้งานมาโชกโชนอย่างนายเลยสักนิดเดียว”


    “หรอ แต่ฉันรับรองได้เลยนะว่าผู้ชายที่มีประสบการณ์อย่างฉัน จะทำให้เธอติดใจจนลืมไม่ลงเชียว” คยูฮยอนเดินไปกระซิบข้างหูยุนอา ก่อนจะเดินไปหาพนักงานที่กำลังเดินมาทางพวกเขาพอดี


    “ผมขอดูชุดที่ตัดโดยคนเกาหลี เอาแบบเรียบๆ สบายๆ ใส่แล้วดูไม่เว่อร์จนเกินไปน่ะครับ”


    “ได้ค่ะคุณคยูฮยอน” พนักงานสาวยิ้มให้กับคยูฮยอน ก่อนจะเดินเข้าไปเตรียมชุดตามที่เขาสั่ง


    “ไร้รสนิยม
    !

     


          ยุนอาหายไปเข้าไปลองชุดในห้องลองเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ ในขณะที่คยูฮยอนเข้าไปเพียงยี่สิบนาที ก็ออกมาด้วยชุดทักซิโด้สีดำที่ดูเรียบ แต่ก็มีสไตล์ ด้วยความที่เจ้าตัวเป็นผู้ชายหุ่นดี และหน้าตาดีอยู่แล้ว ยิ่งเสริมให้คยูฮยอนดูเป็นเจ้าบ่าวที่ดูดีมากเลยทีเดียว


          คยูฮยอนยังคงต้องนั่งรอยุนอาต่อไปอีก ร่วมชั่วโมงครึ่งกว่าผ้าม่านจะเปิดออก คยูฮยอนลุกขึ้นเตรียมตัวโวยวายใส่ยุนอาอย่างเต็มที่ แต่ภาพหญิงสาวในชุดแต่งงานเกาะอกสีขาวราวกับเทพธิดาตรงหน้า ก็สะกดสายตา สะกดปากของเขาให้หยุดนิ่งทันที


    “สวยมากเลยใช่ไหมคะคุณคยูฮยอน น้องยุนอานี่ตาถึงมากๆเลยนะคะ ชุดนี้นำเข้ามาจากอิตาลี ออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ชื่อดังด้วย เหมาะกับน้องยุนอามากๆเลยค่ะ”


    “ครับ เหมาะมาก สวยมาก” คยูฮยอนยังเหมือนคนเพ้อ ไม่รู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรออกมา ส่วนยุนอาพอเห็นปฏิกิริยาจากคยูฮยอนแล้ว ถึงกับอมยิ้มอย่างเหนือกว่า



          ทิฟฟานี่ทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างคนหมดแรง สาเหตุก็มาจากแม่เพื่อนสาวตัวดีที่กว่าจะหยุดโวยวายได้ ก็เล่นเอาเหนื่อย ทิฟฟานี่ปิดเปลือกตาลงเพื่อต้องการพักสายตา พลางคิดอะไรในหัวไปเรื่อย ทั้งเรื่องของเจสสิก้า ยุนอา และตัวเธอเอง อะไรจะบังเอิญที่จะต้องมาแต่งงานในเวลาไล่เลี่ยกันขนาดนี้ ยิ่งเรื่องของเจสสิก้ายิ่งแล้วใหญ่ แต่งงานกันปุ๊ปปั๊ปเพราะคิดว่าท้อง ทั้งๆที่มีอะไรกันแค่วันเดียว อะไรมันจะดูบ้าได้ปานนั้น ทิฟฟานี่หลับตาคิดนั่นคิดนี่ได้ไม่นาน เธอก็รู้สึกถึงแรงสะกิดที่ต้นแขนของเธอ จึงต้องลืมตาขึ้นมามอง


    “มีอะไรคะ คุณซึงฮยอน” ทิฟฟานี่แอบลอบถอนหายใจเมื่อพบว่าคนที่มาก่อกวนเธอคือชเวซึงฮยอนที่ตอนนี้ย้ายตัวเองออกจากโรงพยาบาลกลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว


    “มิยอง ฉันหิวข้าว” ท็อปนั่งลงข้างๆทิฟฟานี่ ก่อนจะเอามือกอดอก แล้วทำหน้างอ นั่นยิ่งทำให้ทิฟฟานี่สงสัยมากขึ้นว่าเขามาบอกเธอทำไม แล้วที่นั่งทำหน้าเหมือนตูดข้างๆเธอนี่เป็นเพราะอะไร


    “แล้วยังไงคะ คุณมาบอกฉันทำไม”


    “เธอเห็นมั้ยว่าแขนฉันเข้าเฝือกอยู่แบบนี้ แล้วฉันจะมีปัญญาไปกินเองได้ยังไง”


    “โอเค เดี๋ยวฉันจะไปเรียกพี่ชองโฮให้แล้วกันนะคะ” ทิฟฟานี่กำลังจะลุกไปตามบอดี้การ์ดคนสนิทของเขา แต่ท็อปก็ยืนขามาขวางทางไม่ให้เธอเดินไปได้ เธอจึงหันไปมองเขาอย่างสงสัยอีกรอบ


    “เธอจะไปตามมันมาทำไม”


    “ก็ไปตามให้เขามาให้อาหาร เอ๊ย ป้อนข้าวคุณซึงฮยอนไงคะ”


    “นี่มิยอง ถ้าหน้าที่พวกนี้ฉันต้องไปเรียกบอดี้การ์ดมาทำให้ แล้วฉันจะมีว่าที่เมียอย่างเธอเอาไว้ทำไมไม่ทราบ อาหารอยู่ในครัวนู้น เธอไปเอามาด้วยล่ะกัน”


    “ฉันไปบอกตอนไหนว่าจะแต่งงานกับคุณ” ทิฟฟานี่ได้แต่บ่นฮึดฮัด แต่ก็ต้องยอมเดินไปหยิบอาหารให้ตามที่เขาสั่ง

     



    “นี่ข้าวต้มของคุณซึงฮยอนใช่ไหมคะคุณแม่นม”


    “ใช่ค่ะคุณหนู นี่ป้าจะเอาไปให้ทานตั้งนานแล้ว แต่คุณชายเธอก็ไม่ยอม บอกว่าจะรอคุณหนูก่อน พอได้ยินเสียงรถคุณหนูกลับมา ป้าถึงได้เอาไปอุ่นให้อีกรอบ” แม่นมซึ่งเป็นคนเลี้ยงทั้งท็อปและทิฟฟานี่บอกอย่างยิ้มๆ ซึ่งทิฟฟานี่ก็เดาออกว่าคุณแม่นมของเธอกำลังคิดอะไร เธอจึงพูดดักไว้ก่อน


    “สงสัยคุณชายของคุณแม่นมคงจะอยากแกล้งฟานี่แน่ๆเลยค่ะ”


    “ป้าว่าสงสัยอยากจะอ้อนว่าที่ภรรยามากกว่าล่ะมั้งคะ”


    “คุณแม่นมอย่าพูดแบบนี้อีกนะคะ ฟานี่ขนลุก บรึ่ยย” ทิฟฟานี่พูดพลางรีบยกถาดอาหารออกไป ด้วยไม่ต้องการทนกับสายตาล้อเลียนของคนอื่นๆ

     


    “อะอ้ามมมมมม”


    “เลิกทำเสียงแบบนี้ซักทีได้ไหม คุณเป็นเด็กห้าขวบหรือยังไงฮะ” ทิฟฟานี่โวยเมื่อท็อปแกล้งเธอด้วยการส่งเสียงน่ารำคาญก่อนจะรับอาหารจากเธอเข้าปาก


    “แหม ก็นานๆจะมีคุณหมอสาวๆ ถึงจะไม่ค่อยสวยมาป้อนให้สักที ฉันก็ต้องทำตัวน่ารักสักหน่อยสิ เผื่อคุณหมอจะหลงฉัน”


    “จะต่อยให้ปากแตกตามหัวไปล่ะซิไม่ว่า” ทิฟฟานี่ว่าแล้วยกกำปั่นขึ้นขู่ แต่มีหรือที่มาเฟียอย่างท็อปจะกลัว ซึ่งนอกจากไม่กลัวแล้ว ท็อปยังส่งยิ้มหน้าเป็นมาให้เธออีกซะด้วย

     


    “อิ่มล่ะ”


    “แน่สิ ไม่เหลืออะไรแล้วนิ ถ้ายังไม่อิ่มก็คงต้องกินชามเปล่าๆเข้าไปแล้วแหละ” ทิฟฟานี่แอบค่อนขอดคุณชายมาเฟียเบาๆ ตอนนี้ข้าวต้มในชามของเขาหมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่น้ำด้วยซ้ำ


    “เอ้านี่ยา ทานเข้าไปซะ”


          ท็อปรับยาจากทิฟฟานี่ไปทานอย่างว่าง่าย เมื่อเห็นเขาทานยาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทิฟฟานี่จึงลุกเพื่อจะเอาชามและแก้วน้ำไปเก็บ แต่คุณชายตัวดีก็เอาขามาขวางเธอไว้อีกครั้ง ทิฟฟานี่หันไปถลึงตามอง แต่ดูเหมือนคนถูกมองจะไม่สะทกสะท้านอะไรเท่าไหร่


    “คราวนี้อะไรอีกล่ะคุณ”


    “ยังไม่ต้องเอาไปเก็บหรอก นั่งลงก่อน” แม้จะอยากทำอะไรขัดใจเขาบ้าง แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เธอไม่เคยขัดใจเขาได้หรอก ก็เขาเป็นคุณชายของบ้านนี่หน่า เธอจึงนั่งลงอย่างเดิม


    “พอกินเสร็จแล้วก็ง๊วงง่วงเน๊อะ” ท็อปเอาตัวลงนอนลงบนโซฟา โดยเอาศีรษะมาวางไว้บนตักของทิฟฟานี่ สองมือประสานกันวางไว้บนหน้าอกของตัวเอง


    “ง่วงก็ขึ้นไปนอนสิ มานอนอะไรตรงนี้เล่า”


    “ขี้เกียจเดินแล้ว นี่อยู่นิ่งๆเถอะน่า ดีดดิ้นไปให้ได้อะไรขึ้นมาฮะ ฉันไม่ได้พิศวาสอะไรเธอหรอกน่า ไว้ใจได้” คนบอกว่าไม่ได้พิศวาสนอนหลับตาพริ้ม มีรอยยิ้มแต้มอยู่บนริมฝีปากเล็กน้อย ต่างจากอีกคนที่ยังคงนั่งบ่นพึมพัมๆหน้าบึ้งอยู่คนเดียว


    ฉันจะไว้ใจผู้ชายที่แอบดูฉันอาบน้ำตั้งแต่อายุสิบห้าได้ยังไง ไอ้มาเฟียน่าโหดจอมหื่น

















    © Tenpoints !

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×