ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พ่อเล่าให้ลูกฟัง

    ลำดับตอนที่ #1 : เรื่องเล่าในวัยเด็ก

    • อัปเดตล่าสุด 13 พ.ย. 48


                    พ่อเล่าให้ลูกฟัง

                                       ก๊าบ... ก่าบ... ก๊าบ... ก่าบ... ก่าบ...

                                   กะต๊าค... กะต๊าค... กะต๊าค... กะต๊าค...

                             กาบ...ก๊าบ... ก่าบ... ก๊าบ... ก๊าบ... ก๊าบ... ก๊าบ...

                                          มอ...มอ...มอ...มอ...มอ...มอ...

                                 เจี๊ยบ...เจี๊ยบ...เจี๊ยบ...เจี๊ยบ...เจี๊ยบ...เจี๊ยบ...

                                   แว๊ะ...แว๊ะ...แฮ...แว๊ะ...แฮ...แว๊ะ...แว๊ะ...

        เสียง จ๊อก แจ๊ค จอแจ ในยามเช้า จากสัตว์เลี้ยงนานาชนิดเป็นเรื่องปรกติของชาวบ้านในแถบนี้ เพราะในทุกบ้าน  จะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงหลาย ๆ ชนิด  แบบผสมผสานหรือแบบไร่นาสวนผสมตามแนวพระราชดำริ  ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในปัจจุบัน  เพราะหลายคนในแถบนี้เลี้ยงไว้  ทั้งเพื่อเป็นอาหาร เพื่อใช้งาน เพื่อเป็นกีฬาพื้นบ้าน และเพื่อไว้ดูเล่น ความเป็นอยู่ อยู่อย่างเรียบง่าย เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน ความทุกข์ของเพื่อนบ้านถือเสมือนหนึ่งความทุกข์ของตัวเอง

                                 “พี่ทิม  เมื่อคืนมีคนมาขโมยไก่ในเล้าฉันไปสามตัว”  ตาเสริฐซึ่งเป็นญาติสนิทของคุณย่าได้หยุดและเดินเข้ามาเกาะขอบประตูโรงสีข้าวพูดให้คุณปู่ฟัง  ในขณะที่กำลังจะเดินผ่านหน้าโรงสีข้าวเล็ก ๆ ของคุณปู่ ซึ่งคุณปู่กำลังง่วนอยู่ในโรงสีข้าวเพื่อทำการสีข้าวให้แก่ลูกค้า  และคุณย่ากำลังเด็ดยอดผักหวานซึ่งปลูกเป็นลักษณะเสมือนรั้วเตี้ย ๆ เป็นแนวหน้าบ้าน ซึ่งผลพลอยได้จากการปลูกยอดผักหวานเหล่านั้นไว้เพื่อรัปประทานมันยังเป็นเขตคั่นลานหน้าบ้านและแนวหญ้า  ซึ่งเป็นธรรมชาติของพี่น้องแถบนี้ที่หน้าบันไดบ้านจะต้อง  ถากถางเป็นลานกว้างและใช้ทรายมาถมให้เป็นบริเวณหน้าบ้านอย่างชัดเจน  ต้นผักหวานที่คุณย่ากำลังเด็ดอยู่เป็นเสมือนไม้ประดับที่ปลูกเป็นแถวเป็นแนวเสมือนรั้ว แต่นั่นคืออาหารที่แสนวิเศษสำหรับผู้ที่เรียนรู้ถึงหลักโภชนาการ เน้นคุณค่าทางอาหารของคนเมืองในปัจจุบันเลยทีเดียว   ทั้งที่คนโบราณแบบคุณพ่อซึ่งเห็นความสำคัญของผักพวกนี้มาตลอดเพราะหากไม่มีผักพวกนี้คุณพ่อก็อาจจะไม่มีความเป็นคนครบทุกประการเช่นในปัจจุบันก็ได้ ผักที่ปลูกเป็นแนวรั้วส่วนมากจะเป็นผักหวานผักชนิดนี้  รสชาติอร่อยสามารถทำอาหารได้หลายประเภทเป็นผักที่นิยมรับประทานทุกภาคทั่วประเทศ  ลำต้นมีมีแนวตรง ขนาดที่สวยงาม ดูสะอาดยิ่งบ้านใดได้ตัดตกแต่งให้เป็นแถวเป็นแนวอย่างมีระเบียบด้วยแล้วก็จะน่าดูยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคุณพ่อดูจะเป็นอาหารประจำเลยทีเดียว  เพราะคุณทวดคล้ายท่านแกงเลียงแสนอร่อยสำหรับพ่อจริง ๆเพราะผักชนิดนี้เมื่อแกงเลียงจะเป็นตัวเสริมให้น้ำแกงมีรสเข้มข้น  ถึงแม้น้ำแกงที่ปรุงใส่แต่กะปิเพียงอย่าวเดียวโดยไม่มีกุ้งหรือปลาแกงใส่ไปด้วยเลยก็ตาม             

                           “ เฮ้า ?...ตั้งสามตัวเลยหรือ... ” คุณปู่ถามแบบไม่ต้องการคำตอบ  แต่แฝงไปด้วยความเสียใจในน้ำเสียงที่เอื้ออาทร

                “ เมื่อคืนฉันก็ได้ยินหมาเห่าตั้งนาน  แถวนั้นแหละ  แต่ฉันคิดว่ามันเห่าฝูงวัว...แต่ฟังแล้วมันเห่านานผิดปกติ ”     คุณปู่พูดกับตาเสริฐแบบแสดงความสงสัย  และดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อตัวเองในสิ่งที่เกิดขึ้น  เพราะเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นน้อยมาก  จนในรอบห้าหรือสิบปีจึงจะมีสักครั้ง  แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่หายไปโดยไร้ร่องรอย  หรือโดยไม่สามารถสืบทราบได้              

                            “ นั่นนะซิมันเห่าจนฉันรำคาญแต่ฉันก็ไม่ได้ลุกขึ้นออกมาดู  เพราะฉันคิดว่ามันเห่าวัว  เห่าควายแบบพี่ทิมว่านั่นแหละ   ฉันเลยนอนฟังเฉย ๆ  ” ตาเสริฐอธิบายให้คุณปู่ฟังแบบลอย ๆ ไม่ต้องการผลตอบรับในการอธิบายเพราะรู้สึกกังวลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  นี่มันแสดงให้เห็นถึงความเดือดร้อนอาจกำลังจะเกิดขึ้นในหมู่บ้านก็ได้ในอีกไม่ช้า  การที่ขโมยกล้ามาขโมยต้องตั้งใจมาขโมยจริง จริง จึงจะสามารถกระทำได้

      ซึ่งโดยปกติการสร้างบ้านในหมู่บ้านแถบนี้จะสร้างกันแบบ  ยกเสาสูงอย่างน้อยสองเมตร  โดยที่ธรรมชาติก็มีส่วนช่วยกำหนดโครงสร้างในการปลูกที่อยู่อาศัยก็ได้  คือจากสาเหตุที่ฝนตกบ่อย ๆ พื้นโดยทั่ว ทั่วไป เฉอะแฉะและหากบ้านไหนมีการเลี้ยงเป็ด  ไก่  หมู หมา  ด้วยแล้ว  เมื่อฝนตก แดดออก สัตว์ที่เลี้ยงต้องการหลบแดดหลบฝนก็ได้พอขออาศัยแอบ ๆ หลบบริเวณใต้ถุนบ้านได้บ้าง  อีกทั้งคอกไก่ก็เช่นกันในสมัยนั้นสัตว์ป่าที่อันตราย ๆ ที่ชอบขโมยไก่ไปกินเป็นอาหารก็ยังคงมีอยู่หลายชนิดคอกไก่จึงนิยมยกสูงพอ ๆ กับระดับความสูงของบ้าน  สัตว์ป่าหรือโจรจะมาขโมยไก่ก็ต้องใช้ความพยายามมากเป็นพิเศษ  ต้องปีนหรือต้องใช้บันไดถึงจะสามารถมาเอาไก่ออกจากเล้าไปได้  เมื่อตาเสริฐวิเคราะห์ถึงเจตนาของขโมยแล้วจึงรู้สึกกังวลกับเหตุการณ์ดังกล่าว  

      ส่วนฝาบ้านจะกั้นกันตามฐานะและกำลังทรัพย์ของเจ้าของบ้านแต่ละคน  คนที่มีฐานะที่ดีหน่อยก็จะสร้างบ้านที่มีเสาบ้านหลายเสา  ฝาบ้านกั้นด้วยไม้กระดานแผ่นยาว ๆ ตามแบบนิยมของท้องถิ่น  พื้นบ้านก็จะปูด้วยไม้ที่ขัดเรียบ  สม่ำเสมออย่างเป็นระเบียบที่พบเห็นบ้านทั่ว ๆ ของไทยเรา  หลังคามุงกระเบื้องซึ่งทำมาจากปูนซิเมนต์ทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนหลาย ๆ แผ่นมาวางเรียงกันอย่างมีระเบียบจนกันฝนได้อย่างดีเยี่ยมและทนทานอายุการใช้งานยาวนานใช้ได้ถึงยี่สิบสามสิบปีเช่นกัน  

       หลายบ้านที่กั้นด้วยฝาไม้ไผ่ที่ใช้ลายสานแบบลายสอง  ฝาบ้านแบบนี้ส่วนมาจะเป็นลายเดียวกันเกือบทุกหลังหากใช้วัสดุเช่นนี้ในการก่อสร้างทางภาคใต้  บ้านแบบนี้ส่วนมากพื้นปูด้วยฟากไม้ไผ่  ซึ่งไม้ฟากเหล่านี้ทำมาจากไม้ไผ่ตงขนาดประมาณหนึ่งนิ้ว โดยนำหวายที่เหลาลักษณะคล้ายเชือกมาผูกเรียงกันอย่างเป็นแถวเป็นแนวขนานกันโดยเว้นช่องไว้ประมาณเศษหนึ่งส่วนสามนิ้ว  ให้เป็นช่องขนาดเท่า ๆกันอย่างเป็นระเบียบ  หลังคาของบ้านลักษณะแบบนี้โดยส่วนมากจะมุงด้วยจาก  จากในที่นี้หมายถึง  ใบไม้ที่เย็บเรียงติดกันอย่างมีระเบียบกับไม้คล้ายไม้ระแนงหนาประมาณหนึ่งนิ้วยาวประมาณหนึ่งเมตร  เมื่อเย็บเสร็จจะกว้างประมาณสามสิบเซนติเมตรเรียกว่าหนึ่งตับ  มาใช้เป็นวัสดุที่ใช้มุงหลังคา  ใบไม้ชนิดนี้คือใบของต้นสาคูตามภาษาทางใต้  ซึ่งมีลักษณะคล้ายใบมะพร้าว  แต่มีใบและลำต้นที่โตกว่าลักษณะใบเรียวยาวเหมือนใบมะพร้าวแต่ลักษณะใบไม่ลื่นเหมือนใบมะพร้าว ริมใบและจะมีหนามเล็ก ๆ แต่ไม่ถึงกับสากมือ  อีกทั้งลำต้นเมื่อโตมาก ๆ คล้ายต้นมะพร้าวแต่ลำต้นอูม  ผิวเรียบไม่มีรอยนูนซึ่งเกิดจากการผลัดใบแบบต้นมะพร้าวลำต้นโตกว่าสีเข้มกว่า  ซึ่งชาวบ้านทางปักษ์ใต้เรียกว่าต้นสาคูสามารถใช้เลี้ยงสัตว์ได้  เพราะลำต้นภายนอกมีเปลือกแข็งหนาประมาณหนึ่งนิ้วภายในลำต้นมีเนื้อนุ่มรสหวานเป็นอาหารอันโอชะของเหล่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยทั้งหลาย  ที่กินธัญญพืชเห็นอาหารหากวันไหนลำต้นล้มลงหากลำต้นแตกออกมาจะมีสัตว์หลายชนิดมารุมกันแทะกิน  อีกทั้งมีตัวด้วงชนิดหนึ่งที่ชอบลำต้นสาคูใช้ขยายพันธุ์เป็นอย่างมาก มาวางไข่และออกลูกมาเป็นตัวด้วงคล้ายหนอนตัวใหญ่ขนาดแม่โป้ง กลายเป็นอาหารอันโอชะของคนที่ชอบกินอาหารประเภทนี้เลยทีเดียว  การเย็บจากทำได้โดยนำใบสาคูที่ตัดเป็นก้านยาว ๆ คล้าย ๆ ก้านมะพร้าวมาตัดแยกออกเป็นใบ ๆ  และนำใบแต่ละใบมาเรียงร้อยเย็บรวมกันอย่างเป็นระเบียบเรียกว่าตับ  แล้วนำจากแต่ละตับมาใช้มุงหลังคาโดยจัดวางทับเรียงกันอย่างเป็นระเบียบระยะเท่า ๆ กันจนมีความแน่นหนากระทั่งสามารถทานแรงลมแรงฝนได้เป็นอย่างดี  บ้านบางบ้านมีอายุการใช้งานนับสิบสิบปีเลยเช่นกัน

                “ เสริฐ  บอกใครไปมั่งแล้วยังนอกจากฉัน... ” คุณปู่ถามตาเสริฐแบบต้องการคำตอบเพราะจะได้วางแผนเพื่อการสืบเสาะต่อไป

                “  ฉันบอกพี่ทิมเป็นคนแรก เพราะเมื่อตะกี้ฉันเอาข้าวเปลือกให้ไก่กิน  แต่บังเอิญไก่ตัวที่เณรรุณลูกน้าปั้นให้พ่อมาเพื่อมาทำพ่อไก่มันหายไป  ฉันถึงได้นับจำนวนตัวอื่นดูด้วย  นับไปนับมามันหายไปตั้งสามตัว ”   ตาเสริฐคุยอย่างครุ่นคิด  และแววตารู้สึกกังวล

                 “แน่ใจนะ...หาดูจนทั่วแล้วใช่ไหม ?  ตามบริเวณบ้านในคอกอะไรดูหมดแล้วนะ  หากหายไปจริง ๆ ก็ไม่เป็นไรค่อย ๆ ถามไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวรู้เอง ” คุณปู่ถามย้ำเพื่อให้แน่ใจอีกทั้งแนะนำในแนวสืบ  เพื่อให้ทราบตัวผู้กระทำผิดจะได้แก้ปัญหากันต่อไป  ตาเสริฐยืนคุยกับคุณปู่สักพักในกรรมวิธีที่จะสืบเสาะเพื่อจะหากลุ่มโจรที่มาโขมยไก่  คุณปู่ก็แนะนำกรรมวิธีต่าง ๆ หลาย ๆ อย่างตามประสบการณ์ที่คุณปู่เคยเจอมาสักพักตาเสริฐก็ลากลับไป  

    คุณปู่เป็นคนโอบอ้อมอารี  ไม่เห็นแก่ตัว  เข้ากับทุกคนในหมู่บ้านได้เป็นอย่างดี  คุณปู่จึงเป็นที่รักใคร่ของทุกคนในหมู่บ้าน  อีกทั้งคุณปู่เป็นคนขี้เล่น  พูดจาหยอกเย้าอย่างสนุกสนานกับผู้สนทนาด้วยทำให้ผู้ที่มาสนทนาด้วยไม่เคยเบื่อ  คุณปู่สนทนาได้ทุกเรื่องกับทุกคน  หากเป็นเรื่องจริงจัง  คุณปู่ก็สนทนาแบบจริงจังน่าเลื่อมใสและการพูดก็จะได้จริงอย่างที่คุณปู่พูด  เพราะก่อนที่คุณปู่จะพูดคูณปู่ใคร่ครวญในคำพูดก่อนเสมอ  คุณปู่ไม่นิยมให้คำพูดของท่านมาเป็นนายท่าน  แต่ท่านจะเป็นนายของคำพูดของท่านเสมอ แต่หากเป็นเรื่องไม่จริงจังคุณปู่ก็คุยสนุกสนานจนทุกคนแม้กระทั่งเด็กตัวเล็ก ๆ ก็ชอบที่จะมาคุยเล่นด้วยกับคุณปู่

    ครั้งหนึ่งที่คุณพ่อจำจนติดใจคือตาประสิทธิ์ซึ่งเป็นญาติคุณย่าที่เป็นขาประจำที่ร้านคุณปู่เกือบทุกวัน ตาประสิทธิ์ซึ่งตอนนั้นยังไม่แต่งงานจะมานั่งที่ร้านคราวละนาน ๆ สั่งน้ำแข็ง ชา กาแฟมาดื่มไปเรื่อย ๆ วันนั้นเป็นวันเสาร์ประมาณ 10 โมงเช้าคุณพ่อไม่ได้ไปโรงเรียนตาประสิทธิ์มาที่ร้านคุณปู่ตามปกติ คุณปู่กำลังต้มน้ำหวานเพื่อทำน้ำแข็งขายตามปกติ ตาประสิทธิ์คงหิวน้ำมากก็ได้เมื่อมาถึงที่ร้านคุณปู่จึงบริการตัวเองตักน้ำแข็งใส่แก้วแล้วนำน้ำหวานที่คุณปู่เพิ่งปรุงเสร็จใหม่ ๆ มาใส่แล้วก็ดูดกินไปด้วยความกระหาย

                     “พี่สิทธิ์รสชาติเป็นไงบ้างได้ไหม ?” คุณปู่หันไปถามตาประสิทธิ์ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแบบคนที่อารมย์ดีทั่ว ๆ ไป

                     “ฮึ ! ไม่ถึงเคยที่ทิมเฮ้อ” คุณตาประสิทธิ์ตอบแบบกระเซ้าเย้าแหย่ตามปกติโดยสำเนียงใต้พื้นบ้าน

                     “เออ...เมื่อเช้าฉันลืมใส่ไปจริง ๆ ไม่รู้เป็นไงเดี๋ยวนี้ตั้งแต่เริ่มแก่ตัวลง ชอบลืมบ่อยจังเลย” คุณปู่พูดกลั้วไปด้วยเสียงหัวเราะแบบทีเล่นทีจริง เพราะโดยปกติการเคี่ยวน้ำหวานเพื่อทำหวานเย็นหรือน้ำแข็งไม่มีผู้ใดใส่กะปิไปด้วยอย่างแน่นอน

                     “เฮ้ย...บ้าจริงน้องทิมนี่ ฉันก็ไม่เห็นเลย กินเกือบหมดแล้วเกือบหมดแล้ว” คุณตาประสิทธิ์บ่นเมื่อเห็นก้อนกะปิก้อนกลมเล็กที่ก้นแก้วซึ่งคุณปู่แอบเอามาใส่หลังจากคุณตาประสิทธิ์พูดกระเซ้าเล่นว่าไม่ถึงกะปิ

    นี่คืออุปนิสัยอันเป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไปของคุณปู่ คุณปู่ไม่ได้กระทำกับทุกคนแบบนี้แต่คุณปู่จะแยกแยะว่าจะกระทำแบบใดกับใครอย่างเหมาะเจาะ ไม่เกินพอดี จึงทำให้เป็นที่รักใคร่เกือบทุกคนที่ได้มาสัมผัสกับคุณปู่ ความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่นี่อยู่กันอย่างสมานฉันเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน  

    หากวันใดผู้ใด ได้เข้าป่าจะเพื่อทำสวนถางป่า  บังเอิญจับสัตว์ป่าที่หากินได้ยากมาได้  หากได้มามากพอที่จะแบ่งปันให้ผู้อื่นได้แบบแล่แจกกันสด ๆ ได้ก็จะแบ่งปันให้กันและกัน   เอาไปปรุงกันเองตามความชอบในรสชาติตามแบบที่ครอบครัวและตัวเองชอบ  คนละนิดคนละหน่อยตามแต่จะสามารถที่จะแบ่งปันกันได้  แต่หากวันใดจับสัตว์ป่าที่หากินได้ยากมาได้น้อย  ก็จะนำสัตว์ที่จับมาได้มาทำกินร่วมกันโดยจะมีบ้านหลังใดหลังหนึ่งอาสาเป็นเจ้าภาพในการตัมยำตำแกงเนื้อสัตว์ที่จับมาได้มาทำกินร่วมกัน  โดยบางส่วนนำไปเป็นกับข้าวและบางส่วนก็จะทำกับแกล้มที่แสนอร่อย  โดยหากผู้ใดมีกำลังทรัพย์พอหาซื้อเหล้าขาวในขวดแรกมากินกันได้ก็หาซื้อมาเพื่อได้มาร่วมสังสรรค์ ต่อจากนั้นขวดต่อ ๆ ไปก็ช่วยกันออกช่วยกันแชร์เพื่อได้นั่งเสวนากันอย่างสนุกสนาน   บางเรื่องอาจจะเป็นเรื่องที่มีสาระ  บางเรื่องอาจไม่มีสาระตามประสาคนกินเหล้าทั่ว ๆ ไป  

    “ พี่เณรพัว  ขอร้องเถอะพี่อย่ากินให้มากนักกินพอประมาณ  ได้ข่าวเมื่อ

    วานทะเลาะกับพี่สุทินอีกใช่ไหม ? ตบเอาพี่สุทินกี่ครั้งละ  เลือดถึงได้ออกจากหู  เกือบตายอีกละซิ ”  คุณย่าบ่นกับตาพัว  ซึ่งเป็นพี่ชายแท ๆ ของคุณย่าด้วยความหมดอาลัยตายอยาก  ตาพัวท่านเป็นนักพนันตัวยง  อีกทั้งเป็นคนขี้เมาหยำเปตลอดทั้งวัน  จนพี่น้อง ๆ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้แกด้วยซ้ำไป  

                บ้านตาพัวอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งที่ไม่ไกลกันมากนักเพราะสมัยคุณพ่อยังตัวเล็ก ๆ อยู่ ก็ยังเคยเดินไปเที่ยวบ้างเป็นครั้งคราว  แต่ก็คิดว่าไกลพอดูสำหรับเด็กรุ่นพ่อในตอนนั้นคืออายุประมาณ  8-9  ขวบ  เพราะระยะทางจากบ้านคุณย่าไปถึงบ้านตาพัวประมาณเจ็ด-แปดกิโลเมตรไปกลับก็เกือบยี่สิบกิโลเมตร

    ครั้งหนึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ฝังใจคุณพ่อมาจนปัจจุบันคือ  วันนั้นคุณพ่อเดินไปเล่นไปกับลูกตาพัวชื่อลุงบุญฤทธิ์และลุงณรงค์  เพื่อไปบ้านตาพัวกว่าจะถึงก็เวลาประมาณบ่ายสองบ่ายสาม  จากการที่เดินไปเล่นไปตามประสาเด็กมื้อเที่ยงก็ยังไม่ได้กินหิวมากจนแสบท้อง แต่เมื่อถึงบ้านตาพัวแล้วความหิวก็ต้องเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณเพราะไม่มีใครอยู่บ้านเลยสักคน  คุณพ่อรีบวิ่งเข้าไปในครัวเพื่อจะหาข้าวกิน  แก้หิวสักหน่อย แต่...หม้อหุงข้าวถ้วยชามวางไว้อย่างระเกะระกะเต็มครัวไปหมด  คงเป็นร่องรอยความรุนแรงที่ตาพัวอาละวาด ตบตียายสุทินอีกเป็นแน่แท้  เมื่อข้าวก็ไม่มีใครหุงไว้เลยหิวก็หิวจนแสบท้องไปหมด จะมีก็เพียงแต่ข้าวก้นหม้อที่แข็งเม็ดร่วงคล้าย ๆ ข้าวเสาไห้ที่เราเคยซื้อมากิน และหุงทิ้งไว้จนเย็น  แต่ข้าวที่คุณพ่อกินในวันนั้นมันแข็งกว่าคือแข็งแบบจะแห้งแล้วหละแต่ไม่เหม็นบูดมีเหลือประมาณสักสองกำมือ  ด้วยความหิวคุณพ่อคิดในใจว่า “มีข้าวแล้วจะเอาอะไรเป็นตัวลากข้าวอันแสนแข็งลงกะเพาะเพื่อแก้หิวไปได้หนอ”  คุณพ่อพยายามหาแต่หาเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่เจออะไรเลย  จะมีก็เพียงแต่กระปุกกะปิซึ่งทำมาจากกระปุกกระเทียมดองที่ใช้แล้วนำมาใส่กะปิ ที่ก้นกะปุกมีกะปิเป็นเม็ดร่วงเล็ก ๆ ลักษณะเม็ดเป็นเล็ก ๆ คล้ายลูกปืนอัดลมกลม ๆ ของลูกรูทในตอนนี้แหละประมาณสิบกว่าเม็ด  เราทั้งสามเลยแบ่งข้าวที่เหลืออยู่นั่นกินกับกะปิในกระปุกอันนั้นคนละคำสองคำ คุณพ่อคิดว่ามันแสนอร่อยมากเลยจริง ๆ

    “ โธ่เอ๋ย  น้องนุ้ย  กูกินเหล้ากูรู้  อย่าไปเชื่อมันนักกับอ้ายคนที่ชอบพูดเรื่อง

    เพื่อนนะ  ที่มันพูด มันพูดเพื่อต้องการให้กูเสียคนก็มีเยอะ  กูจะเมายังไงก็ตามกูก็ไม่ถึงกับจำบ้านตัวเองไม่ได้หรอก  เย็...แม๊...กูกิน...เงินก็เงินกู ปากก็ปากกู  อ้ายคนที่ชอบมาพูดมันต้องการอะไรวะ ? ” ตาพัวพูดอธิบายตัวโอนไปเอนมากับคุณย่าเพื่อจะอธิบายแบบคนขี้เมาทั่ว ทั่วไป  

                “ ไป ๆ ๆ ... อีตัวนุ้ยไป...เย็... แม๊...มึงอย่าไปยุ่งกับมัน  อย่าไปพูดกับมันเลย  คนแบบนี้  คนอื่นเขาดูแลลูกเขาดูแลเต้าบ้างว่า  มันจะกินกันยังไง  มันจะอยู่กันยังไง  เย็...แม๊...มึงเปล่าเลย  นาก็ไม่ทำ  ยางก็ไม่ตัด กินแต่เหล้า เล่นแต่พ่าย  เล่นแต่ปอ  โอ้ย... กูไม่อยากเห็นหน้ามึงเลย...ไป... ไป...มึงไปให้พ้นบ้านกูเดี๋ยวนี้  วันหลังมึงไม่ต้องมาเข้าบ้านกูอีกนะถ้ามึงยังเมาบ้าอยู่แบบนี้  เย็...แม๊...”   คุณทวดสิงห์ซึ่งเป็นคุณพ่อของตาพัวและคุณย่าบ่นอย่างอารมย์เสีย  เพราะตาพัวเป็นลูกชายที่แสนรักของคุณทวดสิงห์มาก่อน  อยากได้อะไรเอาอะไรคุณทวดสิงห์จะหาให้หมด  ท่านจึงผิดหวังโกรธและเกลียดมาก  เมื่อเห็นตาพัวยังคงปฏิบัติตัวแบบนี้

        ตาพัวเป็นบุตรคนที่สามของคุณทวดสิงห์และคุณทวดคล้าย  ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ชายของคุณย่า  ตาพัวเป็นบุตรที่คุณทวดรักมากที่สุด  เป็นบุตรชายคนโปรดของครอบครัว  แต่โชคชะตาเป็นผู้กำหนดและชี้นำ  จากคนที่เรียบร้อยนิสัยอ่อนโยนสุภาพน่ารัก  เป็นที่รักใคร่ของทุกคนครอบครัว  นับว่าท่านเป็นคนโชคดีมากที่ได้ไปแต่งงานกับลูกสาวของเศรษฐีหรือคนค่อนข้างมีฐานะที่ดีประจำหมู่บ้านซึ่งอยู่ใกล้ ใกล้กัน  แต่สภาพแวดล้อมในหมู่บ้านแห่งนั้นเป็นสภาพแวดล้อมที่ผิดกับครอบครัวที่ท่านและพวกเราเคยอาศัยอยู่ราวฟ้ากับดิน  เพราะที่นั่นมีแหล่งอบายมุขรอบด้าน  ดงอิทธิพล  แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน  สาเหตุจากสมาชิกในหมู่บ้านที่มาอยู่ร่วมกันนั้นไม่ได้เป็นสมาชิกดั้งเดิมซึ่งอยู่กันในลักษณะเครือญาติ  แต่มาอาศัยอยู่รวมกันแบบร้อยพ่อพันแม่  เป็นแหล่งที่มีความเจริญค่อนข้างมากในสมัยนั้น  

        เมื่อตาพัวไปอาศัยอยู่ที่นั่นอย่างถาวรหลังจากการแต่งงาน  และมีลูกได้สองคนตามที่คุณย่าเล่าให้คุณพ่อฟังทำให้ตาพัวเริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป  เพราะจากคนที่ไม่เคยเล่นการพนัน  ไม่เคยดื่มเหล้า  กลับกลายเป็นนักการพนันตัวยง  นักดื่มเหล้าตัวฉกาจเมาหยำเปตลอดวัน  ไม่ยอมทำการงานใด ๆ เช้าออกจากบ้านไปบ่อน  จากบ่อนเข้าร้านเหล้าตกเย็นหรือมืด ๆ ก็เมากลับมาบ้านทุบตีคุณยายสุทินซึ่งเป็นภรรยาเป็นเกือบทุกวัน  จนเป็นที่เอือมระอาของชาวบ้านแถบนั้นไป  จากเศรษฐีกลายเป็นเสมือนยาจก  เรือกสวนไร่นาจำนองจำนำไปขายไปจนเกือบหมด  จึงทำให้คุณทวดสิงห์ซึ่งเมื่อก่อนคาดการณ์ไว้ว่าจะฝากผีฝากไข้ไว้กับลูกรักคนนี้ด้วย  แต่ความคิดเช่นนั้นก็ต้องมลายหายไปเพราะพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปราวฟ้ากับดิน  จากหน้ามือเป็นหลังมือ

    หมู่บ้านที่คุณปู่และคุณย่าและคุณพ่ออาศัยอยู่นั้น  หากผู้ใดมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก เช่น ข้าวของวัวควายเป็ดไก่ของใครโดนขโมยก็จะช่วยกันตามหา สืบเสาะจนกว่าจะเจอและเมื่อเจอแล้วทราบแน่ชัดว่าใครเป็นคนขโมยเอาไป  ก็จะช่วยกันเจรจาให้เอาของที่ขโมยไปมาคืนหรือไม่ก็ต้องมาชดใช้ให้ตามราคาที่เป็นจริงเสมอ  หากขโมยคนนั้นดื้อไม่ยอมก็จะต้องได้รับการกระทำที่สาสมกับความผิดที่ได้ทำขึ้นตามตำราเกลือจิ้มเกลือในไม่ช้า  เป็นที่ขึ้นชื่อของคนในอำเภอและอำเภอใกล้เคียง ฉะนั้นโจรขโมยจะไม่ค่อยย่ำกรายเข้ามาในแถบนี้  อีกทั้งบารมีของลุงถิ้ง  ตาเหวียน  ซึ่งเป็นนักเลงหัวไม้ที่คุ้มครองพี่น้องได้เกือบทั้งตระกูล  ยิ่งทำให้หมู่บ้านนี้ยิ่งมีความเข้มแข็งในความรู้สึกของพี่น้องมากขึ้น

                “ น้าเสริฐ  เป็นไงวันก่อน  ได้ข่าวว่าใครขโมยไก่ไปสักตัวสองตัว เหรอ ...”  ลุงถิ้งซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ของคุณพ่อซึ่งเป็นลูกคนที่สองของตาพันซึ่งเป็นพี่ชายคนโตของคุณย่า ถามตาเสริฐด้วยความอยากรู้

                “ เมื่อเช้าพี่ทิมบอกฉันว่าลูกน้าเนียมบ้านเกาะยิ้ว...อ้ายชานั่นแหละเอาไป  ได้ข่าวว่าว่ามันมากับเด็กนาปราน ก็เด็กแถวบ้านมึงนั้นแหละ  มึงลองไปถาม ๆ ดูหน่อยนะแล้วช่วยจัดการให้กูที  ถ้าเป็นอ้ายพวกนี้จริงแล้วกูว่ามันแย่จริง ๆ ...? ” ตา เสริฐพูดกับลุงถิ้งแบบเอาจริงเอาจัง  เพราะปัญหาแบบนี้นานนานถึงจะเกิดขึ้นสักครั้ง

                “ เย็...แม๊...ยิงมันให้ตายโหง...”  ลุงถิ้งพูดเสียงดังแบบมีอารมย์ฉุนเฉียวอย่างรุนแรง  

                 เพราะลุงถิ้งเป็นนักเลงหัวไม้  ที่บารมีคุ้มครองชาวบ้านในแถบนี้ได้  ทุกคนล้วนแล้วแต่เกรงใจ  เพราะลุงถิ้งเป็นคนตรงไปตรงมาเด็ดขาดไม่ยอมใคร รักพี่น้องเป็นชีวิตจิตใจ  เพราะในสมัยนั้นกฎหมายคือปลายกระบอกปืนที่สามารถกำหนดให้ใครเป็นก็ได้ให้ใครตายก็ได้  ความเป็นอยู่สมัยนั้นหากกลุ่มใดไม่มีนักเลงหัวไม้ในเครือญาติอยู่สักคน  กลุ่มนั้นก็จะอยู่กันอย่างหวาดระแวงเพราะจะไม่มีใครเกรงใจใคร  โจรผู้ร้ายจะชุกชุมอาละวาดในหมู่บ้านนั้นบ่อย ๆ  เป็นค่านิยม ประเพณีหรือวัฒนธรรมคุณพ่อก็ยังมิเคยได้ถามใครเลย  

    อีกอย่างเท่าที่คุณพ่อเคยสังเกตไม่ใช่เฉพาะแถวบ้านคุณย่าหรือใกล้ ๆ บ้านคุณย่าเพียงแหล่งเดียว  แต่ในภาคใต้เกือบทุกจังหวัดที่คุณพ่อมีเพื่อน ๆ อยู่  เขาจะเล่าให้คุณพ่อฟังคล้าย ๆ กันว่าในกรณีที่มีผู้ใดมาทำร้ายใคร ? หรือฆ่าใครตายสักคนในเครือญาติหรือลูก ๆ หลาน ๆ ก็จะไม่นิยมไปแจ้งความดำเนินคดีกับคู่กรณีตามกฎหมาย  แต่จะนิยมล้างแค้นกันเองเพราะถึงแม้จะไปแจ้งความดำเนินคดีก็มักจะไม่สามารถจะจัดการดำเนินคดีตามกฎหมายได้  เพราะหากมีผู้ใดหาญกล้าไปเป็นพยานถึงแม้เหตุการณ์จะเกิดขึ้นซึ่งหน้าก็ตาม  บุคคลผู้นั้นก็จะต้องตกเป็นคู่พยาบาทของฝ่ายตรงข้ามทันที  ฉะนั้นในการต่อสู้กันทางกฎหมายไม่สามารถจะผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรมได้  ฉะนั้นหากที่ใดเกิดคดีขึ้นจึงนิยมล้างแค้นกันเองเป็นหลัก  เช่น  หากมีใครฆ่าญาติสนิทคุณพ่อตายคุณพ่อและเครือญาติที่สนิทก็จะร่วมกันดังนี้คือ  บุคคลใดมีเงินก็ให้เงินไป  บุคคลใดมีอาวุธก็ให้ยืมอาวุธไป  บุคคลใดกล้าพอสามารถทำการฆ่าผู้อื่นได้ก็ไปฆ่า  เมื่อเหตุการณ์ฆ่าเกิดขึ้นคู่กรณีจะต้องเตรียมการณ์ให้พร้อม  ความพร้อมในที่นี้มิใช่เพื่อต่อสู้กันทางกฎหมาย  แต่จะต่อสู้กันในการล้างแค้นให้ซึ่งกันและกัน  เหตุการณ์ดังนี้มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  มันฝังลึกไปแล้วสำหรับสังคมคนใต้เกือบทั่วไป  ซึ่งรวมทั้งหมู่บ้านที่คุณย่าและคุณปู่อาศัยอยู่จนปัจจุบัน

                “ เดี๋ยวก่อน...เพราะพี่ทิมให้น้องจบไปพูดกับอ้ายชาแล้ว  ว่าให้มันเอาไก่มาคืนหรือไม่ก็เอาค่าเสียหายมาชดใช้  ถ้าหากไก่ที่มันมาขโมยไปมันเอาไปต้มหรือแกงเสียแล้วมึงว่ากูควรเรียกมันเท่าไหร่ดี ?…”  ตาเสริฐพูดกับลุงถิ้ง  ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทราบผลที่ชัดเจนมากนัก  เพราะรู้นิสัยลุงถิ้งดีหากลุงถิ้งโมโหโกรธมากขึ้นมาเมื่อไหร่ใคร ๆ ก็ไม่สามารถห้ามได้

                “ เย็...แม๊... เรียกมันสักห้าพันเลย...น้าเสริฐ... ” ลุงถิ้งด่าแบบชาวใต้ผู้มีอำนาจทั่วไปใช้กัน

                “ ฉันนั่งพูดกับพี่ทิมแล้ว  พี่ทิมบอกว่าต้องเรียกมันหนัก ๆ หน่อยเพราะมันจะได้เข็ดหลาบไปซ๊ะบ้าง...แต่ฉันว่าให้มันเอาไก่มาคืนให้ฉันก็พอ...ถ้าไม่ได้อย่างไรก็ค่อยว่ากัน”  ตา  เสริฐพูดพร้อมอธิบายถึงความต้องการ

                “ เรื่องนั้นแล้วแต่น้าเสริฐแล้วกัน...” ลุงถิ้งพูดแบบให้เกียรติในฐานะตัวเองเป็นหลาน

                “ น้องเหวียนละ...กูเห็นมึงมาหลายหนแต่กูไม่เห็นน้องเหวียนมาเลย ” ตาเสริฐถามลุงถิ้งแบบต้องการคำตอบจริง ๆ

                  ตาเหวียนเป็นอีกคนหนึ่งที่ใคร ๆ ในละแวกนี้เกรงใจกันมากเพราะท่านเป็นคนพูดจริงทำจริง  ไม่เกรงใจใคร  หากผู้ใดมารังแกใครในเครือญาติแล้วละก็ภายในสามวันเจ็ดวัน  ผู้นั้นจะต้องได้รับการกระทำอันสาสมกับการมารังแกเครือญาติท่าน  ท่านเป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวกับลุงถิ้งทั้งที่มีศักดิ์เป็นหลานอย่างกลมกลืนเสมือนเพื่อนกันเลยทีเดียว  ทั้งสองหากมาที่บ้านคุณย่า  เมื่อไหร่จะต้องมากันเป็นพวก อย่างน้อยสี่ถึงห้าคนเป็นอย่างต่ำ  ทุกคนล้วนแล้วแต่หน้าตาจะเหี้ยมเกรียมและทุกคนต้องมีปืนพร้อมกระสุนเต็มอัตรา  พร้อมให้ลุงถิ้งและตาเหวียนสั่งการให้กระทำการอันใดได้ทุกเมื่อ

                “ น้าเหวียนไปหน้าเหมนกับน้าหวิดไปสืบเรืองเณรพร้อยโดนแอบยิงเมื่อวานซืน ”  ลุงถิ้งตอบพร้อมอธิบายเหตุผลคร่าว ๆ ให้ฟัง

                “ เออ ... น้าเสริฐ  ถ้ามันไม่ยอม  งอแงไม่คืนให้  หรือไม่ยอมจ่ายชดใช้ให้น้า    เสริฐส่งข่าวให้ผมรู้เร็ว ๆ น่ะ  แย็..แม๊...กูยิงให้ตาหลุดจากเบ้าสักที  มันอวดเบ่งกันมากเกินไปแล้วพวกนี้ ” ลุงถิ้งพูดอย่างหนักแน่น  พร้อมทั้งคาดโทษไว้เสร็จสรรพ

                “ เออ...เป็นไงกูคอยส่งข่าวให้รู้ให้เร็วที่สุด  หรือไม่กูค่อยตามไปบอกมึงไห้รู้...ด้วยตัวเอง เดินทางให้ปลอดภัยนะ  จะไปแวะเที่ยวที่บ้านกูก่อน ไหม ?...” ตาเสริฐพูดพร้อมอวยพรในการเดินทาง  พร้อมชวนให้ไปเที่ยวที่บ้านก่อนตามประเพณีทั้ง ๆ ที่รู้ว่าลุงถิ้งไม่ค่อยไปบ้านใครง่าย ง่ายยกเว้นมีงานสำคัญ ๆ ที่เลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ถึงจะไป  และจะไปอย่างระวังตัวตลอดเวลา  ยกเว้นบ้านคุณย่า เพราะบ้านคุณย่าก็เสมือนบ้านของลุงถิ้งเองแท้ ๆ

                “ ไปก่อน...”  ตาถิ้งพูดและออกเดินไปพร้อมกับพวกสี่ห้าคนโดยไม่ร่ำลาใครเป็นพิเศษตามนิสัยที่เคยปฏิบัติตลอดมา

            ปัง...ปัง...ปัง...ปัง...ปัง...ปัง...เสียงปืนลูกโม่จุดสามแปดแบบหกนัดที่นิยมใช้กันทั่ว  ทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐบาลและโจรผู้ร้ายทางภาคใต้นิยมใช้กันดังกึกก้องราวหกครั้ง  หลังจากลุงถิ้งเดินออกจากบ้านย่าไปได้ประมาณห้าร้อยเมตร   เพื่อเตือนให้รู้ว่ามันผู้ใดที่บังอาจมารังแกพี่น้องเครือญาติข้า ฯ มึงน่าจะรู้ว่าเสียงนี้คืออะไร...  

                               ตรงนี้สถานที่นี้เป็นที่ตั้งรกรากของคุณทวดสิงห์มาตั้งแต่สมัยยังเป็นป่าดึกดำบรรพ์  ต้นตระกูลผู้ให้กำเนิดคุณย่าก็กำเนิดจากตรงนี้  ฉะนั้น ชาวบ้านจึงอยู่กันด้วยความรักความสามัคคีกลมเกลียวกัน  จะยึดมั่นในระเบียบประเพณีอย่างเคร่งครัด  ให้เกียรติเคารพนับถือผู้อาวุโสกว่าทั้งต่อหน้าและลับหลังซึ่งทั้งที่ยังคงมีชีวิตอยู่และรวมทั้งที่ได้ล่วงลับไปแล้ว ( ตายจากไปแล้ว )  ซึ่งประเพณีดังกล่าวได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษหลายชั่วอายุคน  โดยเฉพาะวันสงกรานต์ คือวันที่  13-15 เมษายน ( ซึ่งชาวบ้านแถบนี้เรียกว่าวันว่าง ) จากตามความหมายที่เล่าสืบต่อกันมาหรือตามความเชื่อซึ่งเชื่อกันว่าเป็นวันที่ว่างเทวดา ( ตามความเชื่อมาแต่โบราณว่าชาวบ้านทุกคนจะมีเทวดาคอยคุ้มครองดูแลเพื่อคอยปกป้องภัยอันตรายทั้งหลายหากไม่เกินกำลังจริง ๆ ท่านเทวดาจะคุ้มครองปกป้องไว้เสมอ ) ในวันนี้ชาวบ้านทุกคนห้ามทำงานใด ๆ ที่ต้องใช้ความเสี่ยง หรืองานหนักต่าง ๆ เพราะถือว่าวันนี้เป็นวันที่ปราศจากการคุ้มครองจากเทวดา  ผู้ใดทำการณ์ ใด ๆ ในวันนี้จะไม่มีเทวดามาคอยคุ้มครอง  วันนี้จะเป็นวันร่วมกันทำบุญรำลึกถึงผู้มีพระคุณทั้งหลาย  ลูกหลานจะหุงข้าวปลาอาหารมาให้ผู้ใหญ่ที่ตนเคารพนับถือจะมากันพร้อมทั้งครอบครัวคือทั้งลูกทั้งผัวทั้งเมีย  เพื่อลูกหลานและครอบครัวจะได้เจอกันรู้จักกัน  ซึ่งนับเป็นการสานต่อ สานสัมพันธ์ ระหว่างเครือญาติอย่างดีที่สุดวันหนึ่งเลยทีเดียว  

    อีกวันที่สำคัญที่สุดไม่แพ้กันก็คือวันเดือนสิบ  จะเป็นวันทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับญาติผู้ใหญ่ที่ได้ล้มหายตายจากไปแล้ว ลูกหลานก็ต้องมาร่วมกันทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว  ลูก ๆ หลาน ๆ ก็จะมาพร้อมกันเช่นเดียวกับวันสงกรานต์ โดยเฉพาะที่บ้านปู่ทิมและคุณย่าพาน  ลูกหลานของคุณทวดจะหลั่งไหลกันมาไม่ขาดสาย    ฉะนั้นคุณปู่จึงต้องเป็นภาระที่จะต้องตระเตรียมทุก ๆ อย่างให้พร้อมในการต้อนรับลูกหลาน ๆ        ทั้งสองฝ่ายคือทั้งญาติฝ่ายคุณปู่และญาติฝ่ายคุณย่าจาการสังเกตญาติฝ่ายคุณปู่จะมีน้อยมากหรือแทบไม่มีเลยก็ว่าได้ที่จะมาเพื่อเยี่ยมคุณปู่

    อย่างวันนี้คุณปู่ก็จะมีการตระเตรียมน้ำมันเพื่อใช้ทอดขนมพอง  ขนมลา ขนมสะบ้า  ขนมทอดมัน  และขนมอื่น ๆ อีกหลายอย่างเพื่อจะได้เป็นของฝากลูกหลานตอนลากลับไปบ้างและใช้เพื่อเอาไปทำบุญให้ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือด้วย  ซึ่งของหลายอย่างล้วนแต่ต้องใช้น้ำมันมะพร้าวเพื่อทอดและเจียว  น้ำมันมะพร้าวจะต้องมีมากพอ  ในสมัยนั้นน้ำมันที่ใช้สำหรับทอดและเจียว  จะไม่สามารถหาได้ง่าย ๆ เช่นปัจจุบัน  เพราะการสัญจรไปมาแสนลำบาก  จะซื้อของจากตลาดแต่ละครั้งต้องเดินทางด้วยเท้าเปล่าระยะทางเป็นสิบกว่ายี่สิบกิโลเมตร  อีกทั้งมาจากความเชื่อด้วยว่าหากนำน้ำมันที่ซื้อมาจากตลาดมาทอดเจียวขนมเพื่อทำบุญ  บรรพบุรุษจะไม่ชอบเพราะของที่ซื้อมาจากตลาดไม่บริสุทธิ์พอ  ดังนั้นก่อนถึงวันที่คุณย่าและเครือญาติจะมาร่วมทำขนมเพื่ออุทิศส่วนกุศล

    ประมาณ  4-5 วันก่อนวันทำบุญซึ่งลูกหลานจะมาพร้อมกัน  ที่บ้านปู่ทิมจะมีการไหว้วานกันขึ้นเก็บสอยลูกมะพร้าวสำหรับบุคคลที่สามารถขึ้นต้นมะพร้าวได้ก็จะช่วยกันขึ้นเก็บลูกมะพร้าวทุกต้นที่มีอยู่ในบ้าน  เพื่อนำเอาลูกที่สุกได้ที่นำมาขูดและคั้นเพื่อเคี่ยวเอาน้ำมันเพื่อนำไปใช้ทำขนม หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ต้องใช้น้ำมันเป็นปัจจัยในการปรุง  ในขบวนการทุกขั้นตอนดังกล่าวนั้นดูเป็นการยุ่งยากน่าดู เพราะต้องไหว้วานเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงที่สนิทสนมมาช่วยกันเก็บกันขูดมะพร้าว  ช่วยกันคั้นมะพร้าว  โดยแต่ละคนหากที่บ้านไม่มีกระต่ายก็ต้องหยิบยืมกระต่ายจากเพื่อนบ้านมาด้วยหลาย ๆ ตัว  เพื่อมาช่วยกันขูดมะพร้าวจะได้เสร็จเร็ว ๆ เมื่อช่วยกันขูดเสร็จก็จะต้องช่วยกันคั้น  เมื่อคั้นเสร็จจะเหลือก็แต่ผู้ใหญ่ที่มีฝีมือเพียง 2-3 คนมาช่วยกันเคี่ยว  จากมะพร้าวซึ่งเป็นน้ำกะทิสด ๆ ให้เป็นน้ำมันซึ่งต้องใช้เวลานานมากพอสมควร  ต้องนั่งคอยใช้ตะพายหรือจวักขนาดใหญ่กวนเรื่อย ๆ ทุก  ห้าถึงสิบนาทีเพื่อกันท้องกะทะไหม้ซึ่งหากท้องกะทะไหม้จะทำให้เกิดกลิ่นเหม็นไหม้ขึ้นได้

    ในการไหว้วานจะมีการต้มยำตำแกง  และเหล้ายาปลาปิ้งก็หามากินร่วมกินกันอย่างสนุกสนาน  ส่วนลูกเด็กเล็กแดงจะมารวมกลุ่มกันเล่นและกินอาหารร่วมกันอย่างสนุกสนานตามประสาเด็ก  จนเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวจนคุณพ่อจำฝังใจจนถึงปัจจุบัน  จากนั้นเมื่อเคี่ยวจากน้ำกะทิสดจนเป็นน้ำมันเรียบร้อยแล้วสิ่งที่เด็ก ๆ รุ่นคุณพ่อรอคอย ของหวานอันโอชะสำหรับพ่อและเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้องในสมัยนั้นเป็นที่สุดคือขี้มัน ( เป็นภาษาทางใต้ที่ใช้เรียกของสิ่งหนึ่งที่เหลือจากการเคี่ยวกะทิสดเป็นน้ำมันแล้ว  ส่วนที่เหลือจะเป็นตะกอนเล็ก ๆ อยู่ที่ก้นกะทะ  เมื่อตักนำมาคั้นเอาน้ำมันออกไปหมดแล้วส่วนที่เหลือจะมีสีน้ำตาลไหม้กลิ่นหอม  รสหวานอ่อน ๆ  ชวนน้ำลายไหลสำหรับผู้ที่มีความเคยชิน )    นำมาคลุกกับข้าวร้อน ๆ โดยใช้ปริมาณมากน้อยตามความชอบของแต่ละคน  ซึ่งมีไม่เท่ากัน แต่สำหรับเด็ก ๆ อย่างคุณพ่อแล้วนับว่าเป็นอาหารอันโอชะ  เพราะในรอบปีจะมีให้กินกันเพียงครั้งเดียว  อีกทั้งในการกินกันนั้นมีเด็ก ๆ มากมายที่เรารักและในเครือญาติมากหน้าหลายตามา  ร่วมแย่งกันกิน  แย่งกันเล่นด้วยแล้วลูกลองนึกดูมันจะสนุกสนานกันขนาดไหน

        ยิ่งตอนคุณปู่พร้อมเพื่อนบ้านและเครือญาติกำลังจัดเตรียมในการเคี่ยวน้ำมันด้วยแล้ว  พวกเด็ก ๆ ก็ถูกใช้ให้หาฟืน ( ฟืนในที่นี้คือทางมะพร้าวที่อยู่ตรงโคนทางมะพร้าวในส่วนที่ไม่มีใบยาวประมาณหนึ่งเมตร ) มาเพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการเคี่ยวน้ำมันด้วยแล้วยิ่งสนุก เพราะในขณะที่พวกคุณพ่อไปลากทางมะพร้าวมาเพื่อเป็นเชื้อเพลิงด้วยแล้วนั้นยิ่งสนุกสนานมาก เพราะเด็ก ๆ แต่ละคนต่างคนต่างแกล้งกระโดดเหยียบทางมะพร้าวของคนอื่นที่กำลังลากไปกองรวมไว้  เพื่อแกล้งเล่นกันตลอดทางจนกว่าจะถึง คนไหนใจน้อยหน่อยก็ร้องไห้กระจองอแงไปตามระเบียบของการซนตามประสาเด็ก  คนไหนเข้มแข็งและเกเรหน่อยก็แกล้งคนอื่นเรื่อยไป  โดยขณะเดินหาทางมะพร้าวนั้น  พวกเราเด็ก ๆ บางคนก็วิ่งเล่นตี่จับไปพลาง  บ้างก็เล่นซ่อนแอบไปพลางเป็นที่ทราบของผู้ใหญ่ถ้าหากใช้เด็กอย่างพวกคุณพ่อทำงานต้องให้เวลาพอสมควรเพราะนาน ๆ จะได้มาเจอกันสักครั้ง  

                อย่างเช่นวันนี้ ตาเนื่องใช้พวกเราตั้งแต่เช้าให้พวกเราช่วยกันจัดหาทางมะพร้าว  นี่เกือบบ่ายสามแล้วพวกเรายังหาได้ไม่พอตามที่เขาต้องการเลย พวกเราเล่นกันไปพลางวิ่งหาทางมะพร้าวกันไปพลาง  การเล่นไม่ต้องมีการตระเตรียมอุปกรณ์เหมือนเช่นเด็ก ๆ ในชุมชนเมืองเขากระทำกันแต่ความสนุกสนานสามัคคีมีมากกว่าที่ชุมชนเมืองเขามีกัน  ทำไมละ  เพราะชุมชนเมืองเล่นด้วยความแก่งแย่งเพื่อเอาชนะเพียงอย่างเดียว  แต่การละเล่นของพวกคุณพ่อในสมัยนั้นเราต้องมาร่วมใจกัน เอื้ออาทรกัน จึงจะสามารถได้มาร่วมเล่นกันได้  หากไม่ร่วมเอื้อกันแล้วเราก็จะไม่มีวันที่จะได้เล่น  เพราะเราจะไม่มีอุปกรณ์สำเร็จรูปดั่งปัจจุบันจะเล่น  

                  ดังเช่นเราจะเล่นกระดานลื่นพวกเราก็ต้องร่วมกันหาสถานที่ว่า  จอมปลวกหรือสถานที่ใดซึ่งไม่ไกลจากบ้านมากเกินไปเหมาะสำหรับการละเล่นแบบนี้  พวกเราก็จะแบ่งหน้าที่กันออกสำรวจเมื่อผู้ใดเจอเราก็ต้องมาร่วมกันตกแต่งสถานที่  โดยใครมีจอบก็นำจอบมา  ใครมีมีดพร้าก็ต้องนำมีดพร้ามาเพื่อจะได้ถากถางให้เหมาะกับการเล่น  โดยจอมปลวกดังกล่าวจะต้องแต่งให้มีลักษณะคล้ายกระดานลื่นในปัจจุบัน ทางขึ้นก็ทำเป็นขั้นบันได  แต่การลื่นจะลื่นได้ก็ต่อเมื่อต้องใช้ทางมะพร้าวส่วนหัวหรือส่วนที่โตที่สุดที่ติดอยู่กับลำต้น  นำมาดัดแปลงให้เหมาะสำหรับการเล่นโดยใช้ไม้กลม ๆ ขนาดเท่าหัวแม่โป้งคุณพ่อในปัจจบัน ยาวประมาณสี่ห้าคืบเด็ก ๆ เหลาปลายให้แหลมหาที่เหมาะ ๆ ส่วนที่โหนกตรงโคนทางมะพร้าวเพื่อเจาะให้ทะลุสำหรับไว้จับยึด แต่ต้องไม่ลืมตัดปลายแหลมออกด้วยเมื่อเจาะทะละได้เสร็จ เพราะเคยมีเพื่อนคุณพ่อเคยโดนไม้นี้ตำจนต้องหอบหิ้วกันไปโรงพยาบาลที่แสนไกลมาแล้ว  ตอนลื่นลงมาจากยอดจอมปลวกเสมือนใช้ก้นลื่นที่กระดานลื่นในปัจจุบัน  แต่ที่จอมปลวกนั้นหากเป็นหน้าแล้งหากไม่ใช้ทางมะพร้าวมารองก้นก็ไม่สามารถลื่นลงมาจากจอมปลวกได้ แต่ถ้าเป็นหน้าฝนฝนตกลงมาซักหน่อยจนดินบริเวณนั้นพองอุ้มน้ำจนลื่นได้ที่หรือไม่ก็ใช้น้ำราดให้เปียกชุ่มก็สามารถเล่นใช้เป็นกระดานลื่นได้เลยโดยไม่ต้องใช้ส่วนหัวของทางมะพร้าวนั่งขี่ลงมา  เพราะโดยธรรมชาติดินที่จอมปลวกจะเป็นดินที่เหนียวเนื้อละเอียด  เมื่อโดนน้ำจะลื่นเป็นมันเงา  การเล่นกระทำได้เช่นกระดานลื่นในปัจจุบันทั่ว ๆ      ไปโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ทางมะพร้าวช่วย แต่พวกเราต้องยอมเลอะเทอะตามระเบียบ  

                  แต่ถ้าหากเป็นหน้าแล้งหรือไม่ช่วยกันเอาน้ำไปราดให้เปียกแล้ว พื้นก็สากไม่สามารถจะลื่นลงมาได้หากไม่ใช้ทางมะพร้าวดังที่คุณพ่อบอก  เพื่อใช้ขี่แบบม้ากระดกรองที่ก้นโดยมือสองข้างจับไม้ที่ตอกไว้ตรงโคนทางมะพร้าวดังที่ได้เตรียมไว้  ลื่นลงมาจากยอดจอมปลวกหรือจากที่สูงลักษณะคล้ายจอมปลวกที่พวกเด็ก ๆ ในกลุ่มนั้นได้ร่วมกันตระเตรียมเอาไว้แล้วอย่างสนุกสนาน  การเล่นจะวนไล่กันลื่นลงมาตามคิวที่จัดกัน  เสียงเฮจะดังเป็นระยะ ๆ ตามจังหวะการลื่นลงของแต่ละคนและแย่งกันวิ่งขึ้นไปลื่นลงมาตามคิว

                  “แม๊ค  เดี๋ยวซีคิวผมนะแม๊คเล่นรอบเมื่อตะกี้เองผมเล่นบ้างซี” ตาเชียรซึ่งเป็นลูกของน้องชายคุณทวดสิงห์  มีอายุแก่กว่าคุณพ่อหนึ่งปี  พูดทักท้วงเมื่อคุณพ่อกำลังจะเดินขึ้นไปลัดคิวที่ท่านกำลังรอต่อจากเพื่อน ๆหลาย ๆ คนด้วยเสียงอันดัง

                “เอ้า...คิดว่าคิวผม” คุณพ่อแกล้งอำตาเชียรเล่น ๆ

                “คิวมึงได้ไง...มึงเพิ่งขึ้นไปเมื่อตะกี้นี่เอง” เสียงพูดเสียงอ้อแอ้...แบบน้อยใจของตาเชียรซึ่งเป็นลูกคนสุดท้องของน้องชายคุณทวด

                “ขึ้นไปซิ...  ผมล้อเล่นเฉย ๆ ไปเถอะ... ไปเถอะน่า...ทำน้อยใจไปได้” คุณพูดว่าเขาอีกทั้ง ๆ ที่คุณพ่อไปแกล้งแย่งเขาจริง ๆ

        ตาเชียรคนนี้แหละเมื่อคุณพ่อนึกถึงเขาทีไรก็ทำให้นึกถึง  เรื่องที่คุณพ่อกำลังจะเล่าให้ลูกฟังทุกครั้ง  เรื่องอะไรลูกรู้ไหม ? อาจจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ สำหรับลูกในตอนนี้แต่สำหรับคุณพ่อแล้วมันเป็นเรื่องที่ฝังใจมาตลอดคือเรื่องการหาปลาโดยใช้เบ็ดตาโต ๆ ซึ่งทางภาคใต้หรือภาษาถิ่นตรงนั้นเรียกว่า การยั่วเบ็ด  ตาเชียรกับคุณพ่อชอบหาปลาวิธีนี้กันมากที่สุด  ทำไมละก็เพราะวิธีนี้สนุกที่สุด  ท้าทายความสามารถในการคาดการณ์  ท้าทายความอดทน คือเราต้องเดินกระดกคันเบ็ดไปเรื่อย ๆ ตามสถานที่ที่เราเป็นผู้คาดการณ์เอาเองว่าสถานที่แบบใดควรจะมีปลาอยู่  โดยการคาดคะเนเอาเองตามประสบการณ์ของตัวเองว่าตรงไหน  สถานที่แบบใด  ที่ปลาชอบอยู่หลบอยู่  หรือคอยแอบรอเหยื่ออยู่  ตรงนั้นสถานที่นั้นก็เหมาะสำหรับคุณพ่อและตาเชียรจะไปล่า  วันใดคาดการณ์ผิดเราก็ต้องกลับบ้านมือเปล่า  เราจะทำแบบนี้กันตอนไหนละ  ลูกอาจจะถามก็ได้  ก็ตอนฤดูทำนาที่ชาวบ้านในแถบนั้นปลูกข้าวเสร็จไปแล้วประมาณสองถึงสามเดือน  ตอนนั้นข้าวในนาก็เริ่มเขียวชอุ่ม  น้ำในนาขังเต็มแปลงนาทุกแปลง  เพราะข้าวในนาตอนนั้นเป็นตอนที่ชาวนาต้องดูแลเป็นพิเศษ  เพราะเป็นช่วงที่กำหนดผลผลิตว่าจะได้มากน้อยเพียงใด  ช่วงนี้เป็นช่วงที่เหมาะที่สุดสำหรับคุณพ่อและตาเชียร  เพราะปลากำลังโตเต็มที่  ทุกวันหยุดและหลังจากกลับมาจากโรงเรียนเราก็จะนัดแนะกันว่าวันนี้เราจะไปที่นาแปลงใด  นาแปลงไหนบ้างที่มีปลาอยู่เยอะเราก็จะไปที่นั่น  

                    การหาปลาโดยวิธีการนี้ ( การยั่วเบ็ด ) เราต้องเสมือนเป็นการกำหนดว่า  เราต้องการเพียงปลาช่อนเพียงอย่างเดียว  เพราะปลาอื่นไม่สามารถกินเบ็ดได้  เพราะตาเบ็ดโตกว่าตาเบ็ดปกติ  อีกทั้งเหยื่อก็เป็นเหยื่อเฉพาะของปลาช่อน  คือใช้ตัวเขียดขนาดหัวแม่โป้งคุณพ่อเป็นเหยื่อล่อ  คุณพ่อกับตาเชียรเมื่อไปถึงที่ ๆ เราต้องการจะล่อปลาเราก็กระดกคันเบ็ดขึ้นลง  เพื่อให้ปลาสำคัญผิดว่าเป็นตัวเขียดกำลังกระโดดหากมีปลาอยู่บริเวณนั้นปลาก็จะกระโดดเข้าอุปเหยื่อ  เราก็กระดกคันเบ็ดทันทีปลาก็จะติดเบ็ดเรามา  เราเดินล่อไปเรื่อย ๆ ตามใต้ร่องน้ำไหลทุก ๆ ร่อง  ตามที่เราคาดการณ์ว่าปลาน่าจะอยู่ที่นั่น  ซึ่งปลาช่อนมักจะมาหากินอยู่ตรงใต้ร่องน้ำไหลและใต้เงาพุ่มไม้กลางนา  เพราะใต้ร่องน้ำไหลจะมีเหยื่อมาให้ปลาช่อนกินหลายชนิดเช่นเดียวกัน ปลาช่อนก็หาทำเลซุ่มซ่อนเพื่อจะจับเหยื่อเช่นเดียวกัน  อาจจะเป็นลูกปลาเล็ก ๆ ลูกกบ ตัวเขียดหรือแมลงต่าง ๆ ชอบมาออกันอยู่ใต้ร่องน้ำไหล  ทุกวันหากเป็นช่วงฤดูนี้คุณพ่อและตาเชียรเราจะหาปลามาเป็นกับข้าวได้เกือบทุกวัน

                    “อ้ายแม็ค...อ้ายเชียร...อ้ายวรเฮ้ย...ไปไหนกันหมดแล้วว๊ะ  กูใช้ให้หาทางมะพร้าวตั้งแต่เช้าตอนนี้จะติดไฟเพื่อเคี่ยวน้ำมันแล้วทางมะพร้าวยังไม่พออีก  ฮึ...ไม่ไหวจริง ๆ”ตาเนื่องตะโกนเรียกบ่นอย่างอารมย์เสียเมื่อจะทำการติดไฟเพื่อเริ่มเคี่ยวกะทิที่ได้ทำการคั้นเสร็จเรียบร้อย

                    “ฮึ...กูเห็นมันเล่นขี่หัวพร้าวที่จอมปลวกข้างบ้านมึง...โน่นเสียงดังลั่นอยู่นั่นไง” ตาจาบซึ่งเป็นญาติของคุณย่าอีกคนที่เพิ่งเดินทางจากบ้านเพื่อจะมาช่วยงานกันตระเตรียมเคี่ยวน้ำมันมะพร้าว  ได้เดินผ่านที่เล่นกระดานลื่นสุดโปรดของพวกคุณพ่อเห็นพวกเรากำลังง่วนเล่นกันอยู่ท่านได้หยุดยืนดูสักครู่  เมื่อตาเนื่องถามจึงทราบและได้บอกให้ตาเนื่องไปว่าว่าตอนนี้พวกเราอยู่กันที่ไหน ?

                    “เฮอ...ฉันให้พวกมันช่วยกันหาหัวพร้าวเพื่อใช้เป็นฟืนในการเคี่ยวน้ำมันตั้งแต่เช้าได้กี่อันก็ไม่รู้  พี่ดูซิ...” ตาเนื่องอธิบายพร้อมชี้ให้ตาจาบดูกองทางมะพร้าวที่พวกเราช่วยกันลากมากองไว้ประมาณสิบทางเห็นจะได้

                    “ไม่ได้ยินหรอกเพราะกำลังไล่กันไถลลงมาจากจอมปลวกข้างบ้านพี่อย่างเอาเป็นเอาตายไม่ได้ยินหรอก”  ตาจาบบอกตาเนื่องเพื่อไม่ต้องเรียกให้เปลืองแรง  เพราะถึงยังไงคุณพ่อก็คงไม่ได้ยินจริง ๆ ก็กำลังแย่งคิวเถียงแบบล้อเล่นกันสองสามคู่บางคู่ถึงกับร้องไห้กระจองอแงกันแบบนั้นใครเรียก จะได้ยินกันยังไง

                    “พี่ยองไปไหน...ถ้าไปทางบ้านฉันช่วยบอกเด็ก ๆ พวกนั้นด้วยว่าช่วยลากทางมะพร้าวมาเพิ่มอีกเท่านี้ไม่พอหรอกสงสัยลืมแล้ว...พี่ช่วยบอกด้วยนะ...” ตาเนื่องสั่งยายลำยองซึ่งเป็นภรรยาตาเสริฐที่ไก่เพิ่งหายไปซึ่งกำลังเดินผ่านตาเนื่องที่กำลังนั่งจุดไฟเพื่อเคี่ยวน้ำมัน

                    “ของฉันอยู่ที่นั่นด้วยมั้ง  เดี๋ยวฉันบอกให้เอง” ยายลำยองพยักหน้าและเดินผ่านไป

                    “เฮ้ย...แม็ค...อ้ายนันท์...ทางมะพร้าวยังไม่พอเลย  ไป ไป  ไปหาให้เขาก่อนเดี๋ยวมืดหาไม่เห็น  ไป...ไป...” ป้าลำยองพูดกับคุณพ่อและลูกอนันต์หรือนายสมศักดิ์ รัตนพันธุ์ของท่านด้วย  เพื่อเตือนพวกเราตามที่ตาเนื่องสั่งมา

                    “เออ...ทางมะพร้าวยังไม่พอจริง ๆ ไปเชียร  อ้ายเหมีย  อ้ายรินทร์...ไป”คุณพ่อพูดชักชวนเพื่อน ๆ ที่กำลังสนุกเพื่อไปช่วยทำงานต่อ

                    “ไป...ไป...ไป...ลุงวินัยเพื่อนพ่ออีกคนที่กำลังควบม้าตัวโปรดที่ทำด้วยก้านกล้วยวิ่งนำหน้าไปที่กลุ่มต้นมะพร้าวเพื่อช่วยกันลากทางมะพร้าวกันต่อ

                    “พรึ้น...พรึ้น...พรึ้น..............” คุณพ่อพร้อมตาวิเชียรกำมือสองข้างแบบขับรถมอร์เตอร์ไซด์วิ่งชูมือนำหน้าและบิดตามจังหวะเสียงร้องพรึ้น ๆ ไล่ตามกันไป

                    “บ้านน้าสร้วงทางมะพร้าวกองเต็มหมดเลย...มา...มา...มา...ไปเอากันแป้บเดียวก็เสร็จเดียวเรามาเล่นกันต่อ...” ลุงเหมียแนะนำพร้อมออกวิ่งนำไปหลายคนก็วิ่งตามไปเพราะยังคงเป็นห่วงการเล่นที่ยังไม่เต็มอิ่ม  ประมาณครึ่งชั่วโมงงานที่ทำก็เสร็จ

                    “พอแล้ว...พอแล้ว...เยอะแยะไปหมดแล้ว  อย่าหลับกันเสียก่อนน๊ะพอดึก ๆ จะได้มากินขี้มันกัน” ตาเนื่องตะโกนบอกพร้อมทั้งย้ำบอกของหวานพิเศษที่จะได้กินกันในรอบปีที่มีครั้งเดียว  ที่เด็ก ๆ เหล่านี้รู้กันดี

                    “เฮ...” หลายคนตะโกนด้วยเสียงอันดังเพร้อมชูมือเกือบพร้อมกันยังกะนัดกันไว้หลังตาเนื่องพูดจบ

        หลังจากนั้นพวกเราก็รีบวิ่งไปเล่นกันต่ออย่างสนุกสนานตามประสา  โดยพ่อแม่แต่ละคนเปิดโอกาสให้พวกเราเล่นกันอย่างเต็มที่โดยไม่มาทำให้พวกเราเด็ก ๆ ได้กวนใจเลยพวกเราเล่นกันเกือบมืดและได้พากันกลับไปที่บ้านคุณย่าเพื่อกินข้าวพร้อมกันเพราะมีผู้ใหญ่ใจดีหลาย ๆ คนมาคอยบริการพวกเราเพราะอย่างน้อยพวกเราก็ได้มีส่วนร่วมในการช่วย  ผู้ใหญ่ให้ทำงานอันอย่างสะดวกได้

        หลายคนสาละวนอยู่กับการจัดเก็บและจัดเตรียมเพื่อให้ของที่หยิบยืมมาเข้าที่  และเอาของที่ต้องการใช้งานออกมาวางเตรียมเพื่อจะได้ทำกันต่อไปด้วยความรู้สึกเต็มใจและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง  ส่วนผู้ที่จัดเตรียมเรื่องอาหาร  ก็สาละวนกันคนละไม้คนละมืออย่างน่ายกย่องเป็นอย่างยิ่ง  เพราะในสมัยนั้นรู้สึกว่าความรักความจริงใจที่ทุกคนให้กันและทุกคนให้กันนั้นล้วนแล้วมาจากความจริงใจจริง จริงใบหน้าอันอิ่มเอิบยิ้มแย้มแจ่มไส  เมื่อคุณพ่อรำลึกถึงสมัยนั้นแล้วอยากจะย้อนกลับไปอีกครั้งจริง จริงเพราะชีวิตมันแสนสุข  ชิวิตมันแสนบริสุทธิ์  มันสุขใจเหลือเกิน

                    “แม๊ค...แม็ค...แม็คเฮ้ย...ลุกขึ้น...ลุกขึ้น...มากินขี้มัน...มา...” คุณทวดคล้ายมาปลุกคุณพ่อที่ในครัวซึ่งคุณพ่อซึ่งเหนื่อยจากการวิ่งเล่นมาตลอดทั้งวันไปนอนแอบหลับ  โดยนอนหลับในชุดวิ่งเล่นตัวเดิมทั้งที่น้ำก็ยังไม่ได้อาบแม้แต่น้อยคงจะเหม็นหึ่งน่าดู  

                    “ครับ...ครับ...ผมกะจะนอนพักสักงีบเดียวก็พอ...”  คุณพ่อพูดกับคุณทวดแบบขอความเห็นใจ  คุณทวดคล้ายซึ่งเป็นคุณยายของคุณพ่อ  ท่านหวงและห่วงคุณพ่อมากที่สุดในบรรดาหลาน ๆ ทุกคน ดูเหมือนคุณพ่อจะได้รับความกรุณาจากคุณทวดมากที่สุดมาตั้งแต่ตัวเล็กๆเป็นผู้คอยดูแลคุณพ่ออย่างไม่คลาดสายตาเลยทีเดียว

                    “ถ้าหลับแบบนี้ละก็ไม่ต้องห่วงแล้วหละคงไม่ลุกขึ้นมาแล้วแน่  อ้ายเขียวไปมึงไปปลุกมันที  ไป ๆ ปลุกให้มันไปอาบน้ำแล้วแล้วขึ้นไปนอนเลยนะ” คุณทวดทราบดีเพราะหากคุณพ่อหลับแบบนั้นละก็คงจะตื่นได้ยาก  แต่ถ้าหากลุงเขียวเป็นผู้ปลุกคุณพ่อจะต้องรีบตื่นเพราะดังที่คุณพ่อเคยเล่าให้ฟัง  คุณลุงเขียวตีเจ็บมาก

                    “แม็ค...ลุกขึ้นไปอาบน้ำแล้วขึ้นไปนอน...ไป” ลุงเขียวเอามือเขย่าคุณพ่อเบา ๆ พูดสั้น ๆ ด้วยเสียงอันดัง  คุณพ่อลุกขึ้นนั่งขยี้ตาด้วยความงัวเงียพยายามมองให้ชัดว่าผู้พูดเป็นใคร  เพราะตาไม่อยากจะตื่นเลย

                    “ลุกขึ้น...ไป...” ลุงเขียวเรียกซ้ำ

                    “ครับ...” คุณพ่อรีบลุกขึ้นตาใสแจ๋วขึ้นมาทันทีเมื่อแน่ชัดว่าคนเรียกคือลุงเขียวรีบลุกเดินตรงไปยังบ่อน้ำข้าง ๆ บ้านป้าพาที่ลูกเคยเห็นในปัจจุบันโดยทันที  วันนี้ดูจะดีหน่อยเพราะมีคนอยู่กันมากไฟก็สว่างเพราะคุณปู่ได้จุดตะเกียงเจ้าพายุ  ลูกอาจจะงงคำว่าตะเกียงเจ้าพายุคืออะไร  อาจจะคิดไปว่าเป็นตะเกียงที่ลูกเคยเห็นคือลักษณะแบบกระป๋องเติมน้ำมันก๊าดใส่ใส้จุดไฟสีแดงซึ่งสว่างแบบมืด ๆ เหมือนตะเกียงทั่วไปที่ลูกเคยเห็น  แต่ตะเกียงเจ้าพายุมีชื่อนำด้วยตะเกียงก็จริงแต่มันความสว่างขนาดประมาณ  150-200 วัตต์ ของหลอดไฟธรรมดา  สีนวลขาวดังหลอดนีออนหรือหลอด ฟลูเรสเซ้นต์ในปัจจุบัน  ตะเกียงเจ้าพายุใช้นำมันก๊าดเป็นเชื้อเพลิง ใช้แรงลมเป็นตัวอัดพ่นหัวฉีดให้น้ำมันพุ่งออกมาเป็นฝอยสู่ใส้ตะเกียงบาง ๆ ตรงกลางแล้วจุดไฟ  มีกระจกกันลมคล้ายโคมไฟหัวรั้วประตูบ้านผู้มีอันจะกินบางคนในปัจจุบัน  บ้านคุณปู่มีอยู่หนึ่งดอกเท่าที่คุณพ่อจำได้ในรอบหนึ่งเดือนจะมีคนเอามาคืนและวางไว้ที่บ้านไม่เกินสิบวัน  เพราะหากที่ใดมีการจัดงานต้องใช้แสงสว่างมาก ๆ ที่นั่นก็ต้องมาหยิบยืมคุณปู่ไปใช้โดยตลอด

    “โอ้ย ! แม่เฒ่า...แม่เฒ่า...แม่เฒ่า...” คุณพ่อก็วิ่งพลางปากก็ตะโกนไป

    พลางอย่างตกใจอย่างสุดขีด  เพราะตอนเด็ก ๆ คุณพ่อเป็นคนที่กลัวผีเป็นที่สุด

    “ทำไม... ทำไม...ทำไม...อ้ายสุคนธ์มานี่” คุณทวดคล้ายรีบวิ่งออกมาหา

    คุณพ่อโดยพลันปากก็ตะโดนด่าไปพลาง

    “เย็...แม๊...อ้ายไหร...อ้ายไหร...เย็...แม๊...มาทักมาทอเด็กทำไม ?” คุณ

    ทวดวิ่งมากอดคุณพ่ออย่างเอาใจเป็นที่สุดเพราะคุณพ่อขณะนั้นตกใจเป็นที่สุด  ตัวสั่นกอดคุณทวดไม่ยอมปล่อย  คุณทวดก็ใช้มือก็ลูบหัวไปพลางปากก็บ่นก่นด่าไปพลาง   คุณพ่อตกใจสุดขีดทำไมลูกรู้ไหม ? เพราะลุงชัยรู้ว่าคุณพ่อกลัวผีจึงแอบขึ้นไปต้นมะม่วงใกล้บ่อน้ำที่คุณพ่อกำลังเดินไปเพื่อจะอาบน้ำและเขย่าอย่างแรงเพื่อหลอกคุณพ่อทำให้คุณพ่อคิดว่าผีหลอก

                ก็ลูกลองคิดดูบ้านป้าคร  บ้านป้าพาตอนที่ลูกย้ายจากกรุงเทพ ฯ ไปใหม่ ๆ ไปอยู่ที่นั่นก็หลายวันพอสมควร  ปัจจุบันมีไฟฟ้าเข้าไปถึงทุกครัวเรือนแล้วแต่ลูกก็คงจะเห็นแม้ว่าไฟฟ้าสว่างในบ้านในปัจจุบันแต่ในตอนกลางคืนก็เงียบเชียบแบบชนบททั่วไป  ลูกลองคิดดูสมัยนั้นในขณะที่คุณพ่อยังคงเล็ก เล็กอยู่นั้นบ้านที่ปลูกเรียงรายที่ลูกเห็นหลาย ๆ หลังในปัจจุบันนั้นไม่มีเลย  ภายในหมู่บ้านที่คุณย่าอยู่นั้นสมัยนั้นจะมีบ้านเพียงประมาณ 20 หลังเท่านั้นเอง  คนในหมู่บ้านก็ไม่เยอะเช่นปัจจุบันเสียงสัตว์ร้องส่งเสียงยามวิกาลดังขึ้นก็น่ากลัวไม่เบาแล้วลูกลองคิดดูจะไม่ทำให้กลัวได้อย่างไร คุณพ่อกล้าออกไปอาบน้ำตรงนั้นได้ก็นับว่ากล้าเกินพอแล้วสำหรับเด็กวัยนั้น เพราะเด็กชนบทเกือบทุกคนจะได้รับข้อมูลเรื่องผีสางนางไม้มาตั้งแต่เล็ก เป็นความปลูกฝังที่ผู้ใหญ่ให้เรามาโดยไม่รู้ตัว

                คุณยายเข้ามากอดคุณพ่อพร้อมทั้งปลอบว่าไม่ต้องกลัวคุณยายอยู่ทั้งคนปากก็ด่าไปพลางอย่างคนแก่ทั่วไปแถบนั้นกระทำหากคิดว่าเป็นการโดนผีหลอก

                                “เย็...แม็...ไปผุดไปเกิดเสียเถอะอย่ามาทักมาทอเด็กให้เสียขวัญอยู่ทำไม” คุณยายด่าไปพลางเอามือลูบหัวคุณพ่อไปพลางอย่างเอ็นดู

                                               “แม่เฒ่า...ผมเองนี่ ผมหลอกน้องแม็คมันเพราะมันขี้ขลาดเหลือเหตุผมแกล้งขึ้นไปเขย่าต้นมะม่วงเพื่อให้มันคิดว่าผีหลอก” ลุงชัยกระโดดลงมาจากต้นมะม่วงเมื่อเป็นว่าการกระทำของตัวเองรู้สึกสร้างความวุ่ยวายให้กับกลายคนด้วยความสำนึกผิด

                                               “มา...มา...มึงมานี่” คุณยายกวักมือเรียกลุงชัยให้เข้ามาใกล้ ๆ                               เพี๊ยะ...เพี๊ยะ...เพี๊ยะ...เพี๊ยะ...ลุงชัยโดนทุบด้วยมือที่ก้นโดยไม่ยั้งมือเพราะถือว่าลุงชัยได้ทำผิดเกินกว่าเหตุเพราะตามความเชื่อคนโบราณการกระทำแบบนี้ไม่ควรเป็นอย่างยิ่งเพราะอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นมาจริง ๆ ได้ตามความเชื่อโบราณ

                                               “กูห้ามมึงกี่ครั้งแล้ว ว่าอย่าเล่นพิเรนพิเรนแบบนี้ ไป ไปอาบน้ำแล้วไปนอนไป” คุณยายตวาดด้วยความโกรธ                      

                                “พี่ทิม...วันนี้ไม่ไปในนาหรือ... ”  ตาเนื่องถามปู่ทิมด้วยสำเนียงทางใต้ในขณะที่แบกคันไถเดินผ่านหน้าบ้าน

                “ไป…สงสัยวันนี้จะไปนาตก  น้องเนื่องเอ๋ย”   ปู่ทิมตอบไปอย่างสุภาพ  แบบสำเนียงทางใต้เสมือนทุก ๆ ครั้งที่ตาเนื่องเดินผ่านหน้าบ้านจะต้องถามคุณปู่ทุกครั้ง  

                “เนื่อง ล่ะไปไถนาไหนละ นาออกเสร็จแล้วเฮ้อ  เมื่อวานได้คนไปช่วยกันกี่คนล่ะ ขอโทษทีเมื่อวานอีแดงนุ้ยมันปวดท้อง ฉานต้องพามันไปหาหมอสมพร มันถึงหาย มันร้องเกือบทั้งคืนเลย บอกน้องถิ้งกันน่ะว่าวันพระคงมีวันเดียวแน่ ๆ   หึ  หึ  หึ  หึ”  ปู่ทิมพูดอธิบายถึงความจำเป็นที่ไม่สามารถไปช่วยงานไหว้วานของตาเนื่องเมื่อวานได้ด้วยสำเนียงชาวบ้านทางใต้และหัวเราะเบา ๆในลำคอ          

                                “ไม่เป็นไร  ก็มากันหลายคนแหละประมาณสิบคนคนได้มั้ง ” ตาเนื่องที่เป็นญาติสนิท บ้านก็อยู่รั้วติดกันตอบอย่างสุภาพด้วยความเกรงใจ  ซึ่งการช่วยเหลือกันแบบนี้เป็นปรกติของชาวบ้านแถบนี้หากถึงฤดูกาลใดมักจะไหว้วานช่วยเหลือซึ่งกันและกันเสมอตั้งแต่บรรพบุรุษที่เคยมาอยู่ร่วมกัน จนถึงปัจจุบัน

                 “เออ! ฉานปีนี้ก็ไม่รู้จะทำไหวสักกี่ไร่ เพราะรู้สึกปีนี้ ร่างกายไม่ค่อยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เนื่องเอ้ย มันปวดตัวไปหมดเลย  วันนี้เอาอีแดงนุ้ยไปหาหมอสมพรเลยขอให้คุณหมอแกตรวจฉันให้ด้วยเลย หมอสมพรบอกว่าต้องพักผ่อนเสียมั่งอย่าโหมทำงานให้มากจนเกินไป ” ปู่ทิมบอกถึงสาเหตุที่ไม่สามารถจะไปช่วยงานไหว้วานของตาเนื่องได้

                “ไปก่อน ถิ้งมันคอยอยู่ในนาแล้วล่ะ”  ตาเนื่องบอกลาเพื่อไปไถนาต่อ หรือไม่ก็เพราะอาจจะเมื่อยเพราะขณะที่คุยก็ไม่ได้วางกันไถจากบ่า

                       บ้านนาชุมเห็ดซึ่งเป็นบ้านเกิดของคุณพ่อเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ซึ่งระยะทางจากตัวเมือง ทุ่งสงซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่มีทุกสิ่งทุกอย่างให้บริการอย่างพอเพียงตามความต้องการของชาวบ้านประมาณ 25 กิโลเมตร  การเดินทางไปตลาดทุ่งสงแสนลำบากเพราะมีถนนสายเล็ก ๆ เพียงสายเดียวที่ต้องใช้ร่วมกันไม่ว่าจะเป็นรถจักรยาน รถจักรยานยนต์  เกวียนหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ต้องใช้เส้นทางก็ต้องใช้ทางเส้นนี้ร่วมกัน จึงเป็นถนนสายสำคัญมาก แต่ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อตลอดทาง  ยิ่งตอนหน้าฝนด้วยแล้วรถยนต์ที่บรรทุกผู้โดยสารไปยังตลาดทุ่งสงผู้โดยสารที่ไปต้องพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจเพราะหากวันใดคนขับรถประมาทหรือพลั้งเผลอไปตกหลุมหรือเรียกว่ารถติดหล่มไม่สามารถเดินทางต่อได้  ผู้โดยสารต้องลงไปช่วยกันเข็นช่วยกันดันเพื่อให้รถหลุดจากหลุมโคลนอันนั้นไปได้  กว่าจะเดินทางไปถึงตลาดได้ก็ทุลักทุเลขนาดไหนลูกลองคิดดู

                       แต่ตลาดที่คุณทวดสิงห์ คุณปู่ทิมและหลายคนในหมู่บ้านมักจะใช้บริการอยู่บ่อย ๆ  อีกทั้งคนจีนที่อพยพมาอย่างไร้จุดหมายจากเมืองจีนบางคนในตลาดแห่งนี้ ก็เคยมาอาศัยอยู่ที่บ้านคุณทวดมาก่อน  ระยะทางจากบ้านคุณทวดหรือคุณปู่ไปตลาด ก็ไม่ไกลมากนักตลาดแห่งนี้คือตลาดนาบอน  ซึ่งมีระยะทางประมาณ 12 กิโลเมตร  ตลาดนาบอนเป็นตลาดหลักของพี่น้องชาวบ้านนาชุมเห็ดมานมนาน  ตลาดแห่งนี้มีตำนานเล่าขานกันมาเป็นที่น่าสนใจ เพราะประชากรส่วนใหญ่ในตลาดนาบอนล้วนแล้วแต่จะเป็นคนจีนที่อพยพมาจากเมืองจีนโดยตรงกือบทั้งสิ้น  คนจีนในตลาดนี้บางคนก็เคยอาศัยบ้านคุณทวดมาก่อน  คนจีนในตลาดแห่งนี้ส่วนใหญ่เป็นคนจีนฮกเกี้ยน ยึดถือธรรมเนียมจีนดั้งเดิมจนเป็นที่ลือเลื่องของภาคใต้ เพราะถ้าได้พูดว่า “คุณเหมือนคนจีนนาบอน” ก็เป็นอันที่รู้กันว่า การพูดของคนคนนั้นเสียงจะดังชัดเจนอย่างไม่เกรงใจใคร กินข้าวเสียงดังแบบคนจีน  เพราะคนจีนที่มาอาศัยอยู่ที่เป็นจีนมาจากประเทศจีนโดยตรง  เดินทางเสี่ยงตายมาโดยทางเรือลอยลำมาแบบไร้จุดหมายปลายทางโดยจะมาขึ้นที่ริมฝั่งแถว ๆ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช  จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นจังหวัดที่มีชายฝั่งยาวร่วมร้อยกิโลเมตรทางภาคใต้ฝั่งตะวันออกของไทยและเป็นจังหวัดของอำแภอทุ่งสง  อำเภอนาบอน  และคนจีนพวกนี้ก็จะเดินทางไปของานทำจากคนใจดีทั่วไปด้วยความมุ่งมั่น มุมานะพยายามอดมื้อกินมื้อก็ไม่เคยบ่น  ทำไมพ่อทราบตรงนี้ดีล่ะเพราะคนจีนเหล่านี้บางคนก็เคยมาอาศัยร่มใบบุญจากคุณทวดของลูก มารับใช้ช่วยขุดนา ทำนา ถางป่าเพื่อปลูกยางพาราให้คุณทวด ปัจจุบันคนจีนพวกนี้เขาร่ำรวยกว่าคุณทวดและคนไทยดั้งเดิมในหมู่บ้านเกือบทุกคน จนกระทั่งความฝังใจในส่วนนี้เกิดขึ้นกับคุณพ่อ  ทุกอย่างทุกการกระทำของคนจีนพ่ออยากรู้พ่ออยากดู พ่ออยากสัมผัส  เพื่อนพ่อที่เป็นคนจีนสมัยพ่อเป็นนักเรียนพ่อแอบดูแอบสังเกตุพฤติกรรมและเลียนแบบเขามาตลอด  คนจีนพวกนี้ส่วนใหญ่จะประสพความสำเร็จในชีวิต  เพราะหากเขามาเรียนเขาจะตั้งใจเรียน  มุมานะพยายามทุกอย่างจนกระทั่งสำเร็จเด็กจีนเพื่อนพ่อเหล่านี้ล้วนเรียนเก่ง ๆ ทั้งสิ้น ความประทับใจอันนี้มันฝังใจคุณพ่อมานานนัก

                                   “ เจ๊กจีนต่างเมือง  แดนไกล                 เสื่อผืน หมอนใบ ใจมั่น                                                                                                                        

                            อุปสรรคนานาฝ่าฟัน                                      มุ่งมั่นบากบั่นเต็มที่

            อดมื้อ กินมื้อ ก็ช่าง                                      ทำอย่าง ไม่คิดแหนงหนี

            ทั้งแรง ทั้งกาย ยอมพลี                                 เพื่อมี ที่พัก พึ่งพิง

            ตื่นก่อน นอนหลัง เจ้าบ้าน                        มุงาน ยอมทำทุกสิ่ง

                    คุณสมบัติเยี่ยงนี้ดีจริง                                    เป็นสิ่งน่าเชิดชูบูชา

            ค่าแรงหากเขามีให้                           จะเก็บไว้มิเคยถามหา

            คอยเก็บผักหอยปูปลา                                   เพื่อมาประทังชีวี

            น้ำอดน้ำทนแสนขื่นขม              น่าชื่นชมได้มีวันนี้

                    ลูกหลานจึงได้เปรมปรีดิ์                      บัดนี้พวกเขามีชัย

            น้ำเหงื่อน้ำไคลไหลหยด                    ทั้งหมดคือความยิ่งใหญ่

            ธุรกิจเกือบทั้งสิ้นในไทย                    ล้วนใช่เชื้อสายคนจีน

    แบบนี้ เยี่ยงนี้ ซิใช่                                    ควรใช้เป็นแบบทั้งสิ้น

                อยากมั่งคั่งต้องขยันทำกิน             ความจนสิ้นความทุกข์หายมลายไป

                                                                          พ่อแต่งกลอนนี้ขึ้นมาเพื่อบอกลูกว่านี่คือสัจจธรรมของผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต    

                                                                                                                                    และพ่ออยากให้ลูกพ่อเอาเยี่ยงเขา  โดยไม่ต้องเอาอย่างก็ได้      20  กันยายน  2546                                                                                                                                    



        อีกทั้งคนจีนที่เคยมาอาศัยบ้านคุณทวดลูกอยู่ในปัจจุบันเขามีฐานะร่ำรวยมีสวนยางเป็นร้อยเป็นพันไร่ ลูกหลานล้วนประสพความสำเร็จในชีวิตเกือบทุกคน ทำไมล่ะ ?  นี่ล่ะคือสิ่งที่คุณพ่อต้องการให้ลูกได้นำจุดดีของเขาเล่านั้นมาเป็นแบบในการต่อสู้ชีวิต เพราะขบวนการการต่อสู้ชีวิตทุกรูปแบบต้องมี เป้าหมาย แบบแผน ที่ชัดเจนลูกจึงจะประสพความสำเร็จที่หวังไว้โดยไม่ต้องไปกังวลเลย เพราะงานทุกอย่างเรื่องทุกเรื่องหากเรา วางเป้าหมายให้ชัดเจน ค่อย ๆ ทำด้วยความมุมานะพยายาม ด้วยน้ำอดน้ำทนอย่างชาญฉลาดจากการอ่านหนังสือหรือสอบถามผู้มีประสพการณ์  และกระทำอย่างตั้งใจที่จะให้สำเร็จ ความสำเร็จในงานนั้นก็จะสำเร็จไปแล้วครึ่งหนี่งเลยทีเดียว

          หมู่บ้านของพ่อเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ล้อมรอบไปด้วยทุ่งนา มีถนนสายหลักผ่านเพียงหนึ่งสาย  พูดคำว่าถนนลูกรังลูกก็อาจจะวาดมโนภาพเปรียบเทียบกับถนนลูกรังที่ลูกเคยใช้อยู่ในปัจจุบันคืออย่างน้อยก็เป็นถนนลูกรังสีแดง ๆ หรือเหลืองแกมแดงเช่นปัจจุบันที่ราบเรียบที่มีหลุบบ่อบ้างแต่เป็นเพียงเล็กน้อย  แต่ลูกเอ๋ยนั่นเป็นถนนที่วิเศษที่สุดของชาวบ้านของพ่อสมัยนั้นแล้วละ ทำไมละหรือ เพราะถนนที่ว่าคือคันนาที่กั้นน้ำในนาในปัจจุบันดี ๆ นี่เอง เพียงแต่คันนาสายนั้นชาวบ้านช่วยกันทำให้มันใหญ่ขึ้นกว่าปกตินิดหน่อยคือกว้างประมาณ 1.5-2 เมตร อ้าว! ลูกอาจจะค้าน ไม่จริงถ้างั้นรถยนต์จะวิ่งได้อย่างไรล่ะ ใช่ซิถนนขนาดนี้รถยนต์ก็วิ่งไม่ได้น่ะซิ  เพราะในละแวกบ้านพ่อไม่มีรถยนต์เลยสักคันจะมีก็เพียงแต่รถมอร์เตอร์ไซด์ ของลุงจบและลุงเชยเพียงสองคันเท่านั้น  ซึ่งเป็นมอร์เตอร์ไซด์รับจ้างที่พอจะคอยบริการรับจ้างขนส่งชาวบ้านไปกลับตลาด  เพื่อซื้อของอุปโภคบริโภคเท่านั้น  และถนนเส้นนี้ขนาดมอร์เตอร์ไซด์ยังคงวิ่งอย่างลำบากต้องคอยลงเข็นกันเรื่อย ๆ กว่าจะออกถึงเส้นทางสายหลักได้ก็ทุลักทุเล เต็มที  ทางสายหลักก็คือทางสายหน้าศูนย์เพาะเนื้อเยื่อซึ่งลูกคงเคยได้ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้นไง ซึ่งถนนเส้นนี้จะไปทุ่งสง นาบอน คลองจัง บ้านบนควน บ้านในยวน ไปกระบี่ได้  แต่ก็เป็นถนนสายเล็ก ๆ แบบที่ลูกเห็นในปัจจุบันนั่นแหละ รถที่วิ่งสวนทางกันต้องชลอหรือต้องจอดให้อีกคันผ่านไปก่อนจึงขับต่อไปได้                                              

          ชาวบ้านมีอาชีพทำนาทำสวนกันเป็นส่วนใหญ่  ชาวบ้านทำนาเพื่อรับประทานทุกบ้านที่เหลือก็จะขายแต่ที่เหลือได้ขายมีน้อยรายมาก ๆ เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ปลูกข้าวเพียงเพื่อไช้กินเองภายในครอบครัวในรอบระยะเวลาหนึ่งปีหลัก การทำนาจึงทำกันน้อยครอบครัวละเก้าไร่สิบไร่  แต่จะปลูกยางเพื่อนำมาขายเป็นรายได้หลักของครอบครัว  ค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวไม่มากนักเพราะชาวบ้านอยู่กันอย่างเศรษฐกิจพอเพียงเป็นไปอย่างแนวพระราชดำหริของในหลวงปัจจุบันนี้  เพราะทุกบ้านจะปลูกผักพืชสวนครัวเพี่อใช้บริโภคกันเกือบทุกบ้าน  กุ้งหอยปูปลาก็หากินกันอย่างง่าย ๆ ตามบึง ตามบ่อ ลำคลองส่งน้ำที่เป็นแอ่งน้ำเล็ก ๆ ก็จะมีปลามาอาศัย ชาวบ้านก็จะนัดวันกันมาจับกินกันในฤดูแล้ง  ซึ่งอาหารหลักประเภทปลาจะหากินได้ยากสักหน่อย  บางบ้านก็จะขุดบ่อปลาภายในนาเพื่อเป็นแหล่งกักต้อนปลาเก็บไว้กินในฤดูแล้งซึ่งสามารถใช้กินได้จนตลอดฤดูแล้งเลยทีเดียว  ภาระหนักที่สุดของชาวบ้านในแถบนี้ที่ค่อนข้างจะเป็นรายจ่ายประจำคือการส่งเสียให้ลูกได้ไปศึกษาต่อ เพราะการศึกษาถือเป็นหน้าตาของชาวบ้านแถบนั้นเลยทีเดียว  หากผู้ใดได้ส่งเสียให้ลูกได้ศึกษาได้ถึงระดับปริญญาตรีถือว่าครอบครัวนั้นเก่งมากชาวบ้านจะยกย่องนับถือ  ภายในหมู่บ้านที่ลูกได้เล่าเรียนก็มีเพียงไม่กี่บ้าน  หนึ่งในนั้นก็คือบ้านคุณย่า  รายได้เสริมของชาวบ้านส่วนใหญ่นอกจากสวนยางก็คือ  การปลูกถั่วปลูกแตงกวาในหน้าแล้ง ทำหมากตากแห้งเพราะที่นี่เป็นแหล่งใหญ่ในการปลูกหมากเพราะหากที่ไหนหาหมากกินไม่ได้ก็ให้มาหาแถวนี้จะมีกินตลอด  หมากดูจะเป็นพืชเศรษฐกิจรองจากยางพาราเลยทีเดียว  การเลี้ยงสัตว์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น  เป็ด ไก่ หมู วัว ควาย ที่ลูกเคยเห็นก็เป็นเพียงเพื่อเป็นไปตามประเพณีปฏิบัติเท่านั้น  วัวและควายเพื่อใช้ไถนา  หมูก็เพื่อได้กินเศษอาหารที่เหลือจากการรับประทานและรำข้าวที่นำข้าวเปลือกไปสีแล้วหากทิ้งเปล่าก็เสียดายจึงนำหมูมาเลี้ยง  เป็ดไก่ก็เลี้ยงอาจจะเป็นการกระทำเพื่อสนองคำสอนของบรรพบุรุษก็ได้ว่าบ้านแต่ละบ้านต้องเลี้ยงหมูเห็ดเป็ดไก่ไว้บ้างเท่านั้นเพราะมีทุกบ้านแต่ไม่ได้เลี้ยงกันแบบจริงๆจังๆอะไร  มีงานไหว้วาน งานประเพณีต่าง ๆ ก็นำหมู เป็ด ไก่  มาฆ่าเลี้ยงกันตามประสา

                                        “อ้ายแม็ค อ้ายมนต์ อ้ายสุคนธ์ อ้ายมนตรี เย็...แม็... ปานี้แล้ววัวในคอกยังไม่ได้เอาออกไปที”  เสียงคุณทวดสิงห์ตะโกนด่าเสียงขรม  หลังจากเดินกลับจากทุ่งนาที่อยู่หน้าบ้าน เพราะคุณทวดเป็นคนขยันมากทำงานไม่เคยหยุดวันทั้งวัน จะหยิบโน่นทำนี่ตลอดเวลา  คุณทวดจะไม่ยอมให้ลูกหลานนอนหลับในเวลากลางวันเป็นอันขาดใครบังเอิญนอนหลับกลางวันหากไม่เจ็บไข้ได้ป่วยละก็เป็นเรื่อง  คุณทวดจะเอาไม้ยี่หร่า(ภาษาใต้หากเป็นภาษากรุงเทพฯจะเรียกไม้อะไรพ่อก็ยังไม่ทราบเป็นเพราะเป็นต้นไม้ที่มีมากและจะขึ้นได้ทุกที่ในแถวภาคใต้ กลิ่นใบและลำต้นจะฉุนเหม็นจนกลิ่นจะติดมือหากไปหักลำต้นและรูดใบ)มาตีจนลุกหนีไม่ค่อยจะทัน

                   ครอบครัวพ่อเป็นครอบครัวดั้งเดิมที่คุณทวดให้มรดกแก่คุณย่าซึ่งคนภายในครอบครัวมีด้วยกันหลายคน มีทั้งคุณทวดผู้หญิงและคุณทวดผู้ชาย คุณทวดผู้หญิงชื่อว่าคุณทวดคล้าย  สุภาพ คุณทวดผ้ชายชื่อว่าคุณทวดสิงห์ สุภาพ คุณปู่คุณย่า มีลูกทั้งหมดเจ็ดคนคือ  ลุงยุทธ ลุงเขียว ลุงชัย ป้าพา ป้าคร คุณพ่อและอามนตรี  แต่โดยส่วนมากที่บ้านคุณย่าจะมีลูกหลานมาอาศัยอยู่ตลอดไม่เคยขาด  หลานคนโน้นบ้างหลานคนนี้บ้าง  หรือบางครั้งก็มาอาศัยอยู่พร้อม ๆ กัน เพราะบ้านคุณย่าเป็นบ้านเดิมที่  พี่ ๆ น้อง ๆ คุณย่าก็เกิดที่นี่  เมื่อแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาไปก็แยกย้ายกันออกไปก่อร่างสร้างตัวกัน  แต่เมื่อมีลูกโตนิดหน่อยก็ให้กลับมาเยี่ยมคุณทวดแล้วก็ให้อยู่เพื่อจะได้สนิทสนมกับเครือญาติคราวละนานเพราะตอนนั้นหากเด็กอายุไม่ครบเจ็ดขวบก็ไม่สามารถจะเข้าเรียนในโรงเรียนได้ ครอบครัวคุณย่าจึงเป็นครอบครัวใหญ่พอดู  คุณทวดคล้าย  เป็นคนโอบอ้อมอารีย์เสมอต้นเสมอปลายมาตลอด  ชาวบ้านในแถบนั้นรักเคารพนับถือคุณทวดคล้ายมาก  ใครเดือดร้อนเรื่องอันใดมาหากช่วยเหลือได้จะช่วยเหลือแม้กระทั่งบางคราวตัวท่านเองจะเดือดร้อนก็ตาม  ส่วนคุณทวดสิงห์ จะเป็นคนพูดมากด่าเก่งแต่เป็นที่ยกย่องของลูกหลาน  ในคำด่าของท่านมาจนปัจจุบัน  เพราะท่านมีจิตใจบริสุทธ์ไม่เคยอิจฉาริษยาใคร  พูดตรงไปตรงมาใครชอบหรือไม่ชอบคุณทวดไม่เคยแคร์  แต่คุณทวด  จะดุด่าก็ต่อเมื่อบุคคลคนนั้นเป็นลูกเป็นหลานเท่านั้น  บุคคลอื่นคุณทวดไม่เคยไปข้องแวะกับใครพูดด้วยเหตุด้วยผล  ไม่รู้จริงไม่พูด  สมัยตอนเป็นหนุ่มคุณทวดเคยเป็นนักพนันตัวยงค์แต่เมื่ออายุมากขึ้นคุณทวดก็เลิกยุ่งเกี่ยวทั้งหมดโดยเด็ดขาดไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันอีกเลย  ท่านเป็นบุคคลที่คนจีนตลาดนาบอนให้ความนับถือเป็นอย่างมาก  คุณทวดไม่เคยกลัวอะไรในวันนี้  คุณทวดกลัวที่สุดคือเหตุการณ์ในวันข้างหน้า  อย่างเช่นก่อนจะตายคุณทวดยังคำนึงสภาพลูกแต่ละคนว่าจะมีความพร้อมกันขนาดไหน ? ท่านจึงตระเตรียมเก็บเงินไว้ทำงานศพ  ทำหีบศพไว้เพื่อบรรจุศพตัวเองเมื่อยามตายไม่ให้ลูกหลานต้องเดือดร้อน  เพราะสมัยนั้นการคมนาคมไม่สดวกการตระเตรียมของเพื่อจะเนินการอะไรก็ตามจะมีความยุ่งยากเป็นอย่างมาก  เช่นการทำหีบศพมีความยากลำบากหากไม่เตรียมกว่าจะเอาศพใส่หีบได้ก็ต้องใช้เวลานานมากพอสมควร  คุณทวดจึงได้ตระเตรียมไว้หมด  แม้กระทั่งหีบศพใส่ตัวเอง

            “พี่แม็ค  พ่อเฒ่าเรียก” อามนตรีซึ่งเป็นลูกคนสุดท้องของคุณย่า เป็นน้องและน้องชายเพียงคนเดียวชองพ่อ เข้ามาสะกิดและกระซิบข้างหูพ่อ

            พ่อนิ่งเงียบและพยายามแอบเพื่อไม่ให้คุณทวดได้มองเห็นเพราะหากคุณทวดได้เห็นล่ะก็คงจะต้องโดนด่ายาวอีกหลายนาที  เพราะคุณทวดเป็นบุคคลเข้าตำราปากร้ายแต่ใจดี วันนี้เป็นวันเสาร์คุณพ่ออยากจะหลับยาวตามประสาเด็กบ้างแต่เมื่อได้ยินเสียงคุณทวดก็ต้องรับตื่นวิ่งลงไปแอบ    

            “แหมมันเดินกูเห็นอยู่หลัด”  คุณทวดเดินบ่นไปใกล้ ๆ พ่อท่านก็มองไม่เห็นพ่อเพราะพ่อแอบซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้หนา ด้วยความสงบนิ่งจนแทบไม่หายใจ

            “อ้ายเด็กคนนี้กูต้องตีมันให้เจ็บสักที  มันขี้คร้านจริง”  คุณทวดสิงห์เดินบ่นด้วยความโกรธอย่างงุ่นง่านเต็มประดา

            พ่อไม่อยากมาจากพุ่มไม้นั้นเลยเพราะรู้สึกกลัวคุณทวดเป็นยิ่งนักเพราะเมื่อวานคุณทวดได้คาดโทษคุณพ่อเอาไว้แล้วว่าหากทำผิดอีกวันพ่อจะต้องถูกลงโทษ  คุณทวดไม่เคยลืมในสิ่งที่ใครได้สัญญากับท่านไว้  หากผิดก็จะลงโทษไปตามผิดจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้  บางครั้งใครก็ตามได้ให้คำมั่นกับท่านไว้แล้วและได้การทำผิดอีกหากแม้นท่านได้ไปทำธุระกลับมาจนดึกท่านก็จะเรียกมาลงโทษจนได้  คุณทวดจึงเป็นผู้ที่น่าเกรงขามของหลาน ๆ ทุกคน

            ฤดูนี้เป็นฤดูฝนชาวบ้านตื่นเช้าก็ละวนอยู่กับการจัดเตรียมออกไปทำไร่ไถนา  บางคนที่ไม่มีคนเฝ้าบ้าก็หอบลูกจูงหลานพากันไปกลางทุ่งโดยเอาลูกหลานไปนั่งคอยและวิ่งเล่นกันอยู่บนขนำนาเล็กๆที่ทำขึ้นในฤดูทำนาเพื่อจะได้พักยามฝนตก  และยามแดดร้อนจ้าเกินไป  หรือไม่ก็ไว้สำหรับทานอาหารมื้อเที่ยงด้วยกัน  เด็ก ที่ออกไปกลางทุ่งด้วยกันก็เล่นกันตามประสา

            “แม็ค...แม็ค...แม็ค...แม็คเอ้ย  ”  ตาเชียรวิ่งมาเรียกคุณพ่ออย่างเอาจริงเอาจัง

            “โอ้ย...เบา ๆ หน่อยซิ  เดี๋ยวพ่อเฒ่าได้ยิน” พ่อพูดพร้อมยกมือเป็นสัญญลักษณ์ให้พูดเบา ๆ

            “พ่อเฒ่า  เที่ยวหาผมอยู่อย่างจ้าละหวั่นเมื่อครู่นี่เอง” พ่อพูดกับตาเชียรเบา ๆ

            “เอ้า ! ขอโทษที  เพราะผมอยากชวนไปจับปลาที่หนองศรีแก้วด้วยกัน” ตาเชียรหรือตาวิเชียรเป็นคนที่หาปลาเก่งในเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันละก็เป็นอันต้องยอมยกนิ้วให้  ในวัยสี่ขวบโดยเฉพาะการใช้เบ็ดไม่ว่าโดยวิธีการใดดูแกจะมีความสามารถพิเศษเฉพาะตัวโดยเฉพาะการตกเบ็ดในขณะที่ใช้เวลาเท่ากันสถานที่เดียวกัน  แต่ปลาจะกินเบ็ดของตาเชียรเสียมากว่าใครอื่น  จนเป็นที่กล่าวขานกันทั่วว่าตาเชียรเป็นลูกสังข์ทองในวรรณคดีเรื่องสังข์ทองเลยทีเดียว

            “เดี๋ยวไปเอาเจ้ย  ข้องและเอาสุ่มที่บ้านกันดีกว่า”  ตาเชียรบอกพ่อให้ช่วยกันไปเอาอุปกรณ์สำหรับจับปลาที่บ้านของท่านเพื่อจะได้ไปถึงบ่อเป็นคนแรก การไปจับปลาลูกรู้ไหมมันสนุกขนาดไหนเพราะมันเป็นที่รวมการละเล่นของเด็กๆ เช่นวิ่งตี่จับ แข่งจับปลาหมอ ดำน้ำอึด ว่ายน้ำแข่งกัน ฯลฯ อะไรอีกหลาย ๆ อย่างตามที่เด็กจะคิดค้นกันมาเอง  อุปกรณ์จับปลาบางอย่างลูกคงไม่เคยได้ยินชื่อเพราะเป็นภาษาทางใต้ที่พ่อก็ยังไม่ทราบว่า เจ้ย  ข้อง  และสุ่ม  ภาษาหนังสือหรือภาษากลางเขาเรียกว่าอย่างไร

            เราสองคนหลังจากไปเอาอุปกรณ์เพื่อจับปลาที่บ้านตาเชียรคือบ้านที่มีรั้วติดกับบ้านป้าพาทางด้านตะวันตกในปัจจุบันมาได้แล้วก็รีบตรงไปยังหนองศรีแก้วตามเป้าหมายที่วางไว้ด้วยกันทันที  ซึ่งหนองศรีแก้วก็อยู่เลยบ้านที่ติดกับบ้านป้าพาไปทางทิศตะวันออกเพียงนิดเดียวจากบ้านป้าพาก็ประมาณหนึ่งกิโลเมตร  พวกเราเดินการกันมาเดี๋ยวเดียวก็ถึงแต่เด็ก ๆ รุ่นราวคราวเดียวกับคุณพ่อและตาเชียรอยู่กันเต็มไปหมด  บ้างก็ว่ายน้ำเล่น บ้างก็เดินเก็บหอยขมที่เมื่อถึงฤดูทำนาฝนตกหนัก ๆ สักสองสามวัน  ดินก็จะนิ่มทั้ง กุ้ง หอยขม ปู ปลาที่ฝังตัวอยู่ในดินตอนหน้าแล้งก็จะโผล่ขึ้นมาเพื่อขยายพันธุ์ตามวงจรชีวิตของมันเต็มไปหมด  เด็กอย่างพวกคุณพ่อก็พลอยสนุกสนานกับการรังแกพวกมันเช่นปู พวกเราก็จะวิ่งไล่กันตัวไหนมุดลงรูไม่ทันก็จะโดนพวกคุณพ่อเตะเล่นอย่างสนุกสนานแต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นการทำร้ายพวกมันอย่างมากเลยทีเดียวเพราะฤดูนี้เป็นฤดูเริ่มวงจรชีวิตเพื่อผสมพันธุ์ขยายพันธุ์ตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติเขากำหนดมาให้  แต่เด็กรุ่นคุณพ่อกลับมารังแกพวกมันแบบสนุกสนานไปและอีกทั้งยังจับมันมาเป็นอาหารเสียอีกเมื่อเล่นกันจนสนุกหนำใจ

            อึ !  เดี๋ยวพ่อจะเล่าบรรยากาศในตอนย่างเข้าฤดูฝนให้ละเอียดกว่าเดิมหน่อย  ปรกติในสมัยตอนพ่อเด็ก ๆ นั้นฟ้าฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล  ประมาณเดือนหกหรือเดือนตามปฏิทินสมัยใหม่ก็คือต้นเดือนพฤษภาคมหรือปลายเดือนเมษายนฝนก็จะเริ่มตกแล้วละ  ตอนเช้าท้องฟ้าจะแจ่มใสในตอนต้นเดือนหกแต่พอช่วงบ่ายท้องฟ้าก็จะเริ่มมืดครึ้มแล้วจะตกไปเกือบตลอดคืน  เป็นอากาศที่พ่อชอบมากเพราะอากาศเย็นสบายเสียงกบอึ่งอ่างคางคกและเสียงตะเขียดตัวเล็ก ๆ จะเป็นเสียงดนตรีที่กล่อมพ่อให้ประทับใจและฝังมาจนถึงปัจจุบัน  เมื่อพ่อกลับไปนอนที่บ้านป้าพาตอนฝนตกคราใดในเสี้ยวหนึ่งแห่งความหลังอีกทั้งบรรยากาศก็ไม่ได้เปลี่ยนแหลงไปมากนักพ่อนอนหลับอย่างมีความสุขมากลูกเอ๋ย  เสียงกบ เขียด อึ่งอ่าง คางคก ตัวอึ่งและตัวอะไรหลาย ๆ อย่างที่ร้องเพื่อจะออกมาหาคู่ผสมพันธุ์ ขยายวงจรชีวิตของมันดังระงมไปทั่วทุ่ง  อีกนั่นแหละเราเป็นมนุษย์เราก็ได้เปรียบสัตว์พวกนี้อยู่วันยังค่ำ เพราะเรามีสมอง เราวางแผนการในชีวิตไว้อย่างมีระบบ กระทำการอย่างมีแบบแผนไขว่คว้าศึกษาด้วยประสพน์การ ทำให้เราดีกว่าพวกสัตว์เหล่านี้มากมายนัก  อย่างเช่นคุณพ่อและเพื่อน ๆ หลาย ๆ คนที่มาจากบ้านนอกที่แสนลำบากแต่ปัจจุบันเขาประสบความสำเร็จอย่างสูงในชีวิตเลยทีเดียวลูกเอ๋ย  แต่พวกกบ เขียด อึ่งอ่าง คางคก เหล่านี้ตอนคุณพ่อเล็ก ๆ มีเสียงร้องเช่นไร ความเป็นอยู่อย่างไรมันก็คงสภาพอย่างเก่าทุกประการเลยลูกเอ๋ย  แต่ปริมาณที่มีลดน้อยลงกว่าเก่า  จากเดิมเคยมีมากมายปัจจุบันบางอย่างก็สูญพันธุ์ไปเลยลูกเอ๋ย  ทำไมละ ? ก็เพราะชีวิตพวกมันขาดการพัฒนา  หรือไม่ก็พัฒนาการช้ากว่ามนุษย์มากเกินไป คุณพ่อเชื่ออีกไม่กี่ปีบางอย่างก็อาจสูญพันธุ์ไป

              ลุงเขียวซึ่งเป็นพี่ชายคนที่สองของคุณพ่อถัดจากลุงยุทธซึ่งเป็นคนโต  เป็นคนขยันขันแข็งทำงานหนักเอาเบาสู้  ไม่ชอบเอารักเอาเปรียบใครตรงไปตรงมาพูดคำไหนคำนั้น  เด็ดขาดจนน้อง ๆ ทุก ๆ คนล้วนกลัวลุงเขียว  เพราะหากใครทำผิดจะตีแล้วสั่งสอนอย่างชนิดลืมไม่ลงเลยทีเดียว  เพราะรุนแรง หนักแน่น และเด็ดขาดเหมือนว่า  ลุงเขียวถนัดในการหากินทางด้านนี้เมากก็เฮี่ยหูฟังว่าคืนนี้เสียงกบจะร้องมากน้อยแค่ใดจะไปหาเวลาตอนไหนและจะไปในทุ่งนาใครดี  เพราะดังที่ลูกเห็นบ้านคุณพ่อดั้งเดิมก็คือบ้านป้าพาในปัจจุบันนั่นเอง  มันจะมีทุ่งนาขนาบทั้งสองข้างคือทั้งทางทิศเหนือและทางทิศใต้  ทางทิศใต้ก็คือที่นาของคุณปู่และคุณย่านั่นเอง

            “แม็ค ไปเอาข้องบ่าพ่อที่ในครัวมา ไปหากบมาแกงสักหม้อดีกว่า”  ลุงเขียวตะโกนเบา ๆ ให้คุณพ่อไปเอาอุปกรณ์เพื่อเตรียมใส่กบหากจับกบได้ตอนไปตีกบ  ซึ่งอยู่ในครัวเพราะบ้านในชนบทในสมัยนั้นห้องครัวจะใหญ่พอจะเก็บของ นั่งกินข้าวและเพื่อทำครัวได้ด้วยเกือบทุกบ้าน

            “มืดจะตาย  พี่เขียวไปเอาเองซิ”  พ่อพูดพร้อมทั้งอธิบาย

            “ไป ! เข้าไปเอามา”  ลุงเขียวตวาดพร้อมทั้งออกคำสั่งอย่างดัง  เพราะลุงเขียวทราบว่าคุณพ่อเป็นคนกลัวผีที่สุดภายในบ้าน  เพราะหากค่ำและมืดลงเมื่อไหร่หากตัองการให้คุณพ่อออกจากกลุ่มไม่ว่าจะให้ไปที่ใดก็ตามจะไม่ค่อยกล้าไปคนเดียว  ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ล่ะ คุณพ่อจะเล่าให้ฟังก็เพราะคุณพ่อเป็นหลานคนโปรดของทวดคล้าย  ไปไหนท่านต้องเอาคุณพ่อไปด้วยตลอดกลางคืนก็นอนด้วยกัน  คุณทวดสิงห์ก็นอนสวดมนต์ดังลั่นก่อนนอนทุกคืน  เป็นเสมือนเสียงดนตรีกล่อมให้พวกเราหลับทุกคืน  คุณทวดคล้ายก็เป็นหมอตำแยประจำหมู่บ้าน  การเป็นหมอตำแยก็ต้องนับถือผีตามความเชื่อของคนในสมัยนั้นคุณพ่อจึงถูกปลูกฝังในความเชื่อเรื่องผีมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก  อีกทั้งการเล่านิทาน ประสบการณ์ของผู้ใหญ่เกี่ยวกับเรื่องผีและการที่มีการทำพิธีทางไสยศาสตร์บ่อย ๆ ที่เกี่ยวกับผีจนทำให้คุณพ่อซึมซาบและเชื่อในเรื่องเหล่านี้จึงทำให้คุณพ่อกลัว

                 แต่ลุงเขียวสั่งจะกลัวอะไรก็ช่างต้องไม่มีความกลัวเหลืออยู่เพราะลุงเขียวเป็นคนเด็ดขาด ใจดี แต่ตีเจ็บที่สุด จะอย่างไรก็ตามพ่อก็ต้องกัดฟันเดินเข้าไปในครัวเพื่อไปหาในสิ่งที่ลุงเขียวต้องการมาให้ได้ปากก็ตะโกนถามไปพลาง เพื่อใช้เสียงกลบความกลัว

    “ไหน ไหนอยู่ตรงไหน  ๆ  ๆ  ๆ  ไม่เห็นเลย”  ปากก็พูดมือก็คลำไปเรื่อย ๆ

                      สมัยนั้นกลางคืนมันมืดจริง ๆ อีกทั้งหน้าฝนด้วยแล้วท้องฟ้ามืดสนิทเพราะยังไม่มีไฟฟ้าใช้  ทุกบ้านใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดเป็นแสงสว่างแต่ความสว่างก็มีค่อนข้างจำกัด  คนสายตาดี ๆ ระยะการมอง  จะมองเห็นไม่เกินสองเมตรในเวลากลางคืน  ฉะนั้นลูกลองหลับตาคิดดูมันจะมืดทะมึนแค่ไหน   อีกทั้งบ้านก็ล้อมรอบไปด้วยป่ารกทึบ  ในยามค่ำคืนบรรยากาศเงียบสนิทเพราะบ้านแต่ละหลังอยู่ไกลกันพอดู  ได้ยินก็เพียงเสียงสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยต่าง ๆ ที่พากันตะเบ็งเสียงแข่งกันดังเซ็งแซ่เท่านั้น

            “ไม่เห็นเลย  พี่ครมาช่วยดูทีซิ”  คุณพ่อพยายามมองหาด้วยสายตาลุกลี้ลุกลนด้วยความกลัว  ส่วนปากก็บ่นไปเรื่อย ๆ เพราะจะได้มีเสียงเป็นเพื่อน

            “เนี๊ยะ  นี่อยู่นี่เอง  หากับปากจะเจอได้ไง”  คุณพ่อสะดุ้งโหยงเพราะป้าครเดินย่องเงียบเข้าไปเมื่อไหร่  คุณพ่อก็มิทันรู้ตัวเพราะมัวแต่กลัวลนลาน  หาได้สังเกตุสิ่งใดอีกแล้วไม่

            “อยู่ตรงไหน ? อย่าหลอกผมเลย  เมื่อตะกี้ผมก็มองหาไปทั่วแล้ว”  พ่อถามแบบงง ๆ เพื่อแก้เก้อ ชนิดที่ไม่ต้องการคำตอบและพูดแบบต่อว่าป้าครไปด้วย

            “ไป ไป ไปได้แล้วอย่าเสียเวลา กว่าเราจะไปถึงเพื่อนก็เอาไปกินหมดกันพอดี ”  ลุงเขียวตะคอกดัง ๆ

            “พี่คร  ไปด้วยได้ไหม”  พ่อถามลุงเขียวเพราะใจพ่อเองอยากจะให้ป้าครไปด้วยใจแทบขาดเพราะหากพ่อไปกับลุงเขียวเพียงแค่สองคนลุงเขียวก็ให้พ่อเดินตามหลังแน่ ๆ มืด ๆ อย่างเนี๊ยะลูกลองคิดดูมันน่ากลัวสำหรับเด็กวัยสามสี่ขวบขนาดไหน เดินข้างหากผีมาสะกิดแล้วคุณพ่อจะทำอย่างไร  ยิ่งนึกทำให้คุณพ่อยิ่งเสียววูบวาบเลยทีเดียว

            “เมื่อคืนน้องคอนก็ไปกับพี่แล้ว คืนนี้ไม่ต้อง  น้องแม็คคนเดียวก็พอ” ลุงเขียวพูดเสมือนจะเชือดเฉือนจิตใจคุณพ่อให้ตายคามือ ให้ตายเถอะนั่นแหละเป็นคำพูดที่แสนเลวร้ายที่สุดเลยในความรู้สึกของพ่อ เพราะน้องๆทุกคนในบ้านลุงเขียวพูดคำใดพวกเราไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อเพราะลุงเขียวเป็นคนพูดน้อยและเด็ดขาดเสมอ  น้องๆทุกคนกลัวกันหมด  ในเมื่อพี่เขียวลั่นวาจาแบบนั้นแล้วหามีผู้ใดกล้าแย้งอีกไม่ พ่อก็จับตะข้องสะพายบ่าตะข้องยังลากพื้นเพราะความสูงน้อยกว่าความยาวของเชือกสะพายบ่า

            “น้องพา ผูกเชือกให้น้องทีซิ”  ลุงเขียวบอกให้ป้าพาช่วยผูกเชือกให้พอดีกับความสูงของคุณพ่อ

            “อ้ายเขียว มึงอย่าเอาน้องไป  น้องตัวตัวเล็กนิดเดียวสะพายตะข้องยังไม่ถึงเลยมึงจะใช้มันทำงานแล้ว” คุณทวดคล้ายซึ่งเป็นคนที่โอบอ้อมอารีย์แต่โดยเฉพาะกับพ่อแล้วก็คุณทวดจะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรได้ง่ายๆเพราะพ่อคือหลานในดวงใจของคุณทวดคล้ายเลยทีเดียว

            “ไปนายายแจ นาน้าเสริฐ นาเราหน้าบ้านก็กลับแล้วแม่เฒ่าเอ๋ย  ใช้มันเสียบ้างเดี๋ยวโตขึ้นจะทำงานไม่เป็นซ๊ะ” ลุงเขียวพูดกับคุณทวดคล้ายเบาๆ

            “เออ ! มึงจะไปไปกับใครก็ได้แต่อย่าให้แม็คไป เพราะตัวมันเล็กเกินเกินไป” คุณทวดพูดห้ามลุงเขียวไม่ให้นำพ่อไปด้วย  พ่อสุดแสนจะดีใจเพราะอากาศเย็นสบาย เสียงฟ้าก็ร้องโครมๆบรรยากาศน่าหลับเต็มทนจะให้พ่อต้องเดินสะพายตะข้องลากดินตามหลังเพื่อจะใส่กบเมื่อลุงเขียวตีมันได้  หากได้กบมากหลายตัวยิ่งหนักขึ้นไปอีก คิดดูมันน่าขี้เกียจขนาดไหน  อีกทั้งยามเดินก็ต้องเดินตามหลังด้วยแล้วให้ลองคิดดูผีจะมาสะกิดข้างหลังเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ในใจคุณพ่อขอบคุณคุณทวดเป็นร้อยเท่าแล้วล่ะ

            “ไป...น้องคอนไป... งั้นเราไปสองคนดีกว่า คืนนี้สักห้าสิบตัวก็พอนะ” ลุงเขียวพูดกับป้าคอนเบาๆก่อนทั้งสองจะออกไปจากบ้าน

            “แม็ค  ไปนอนไป”คุณทวดคล้ายหันมาสั่งพ่อให้ไปนอน จริงๆแล้วพ่อก็นอนกับทวดคล้ายเป็นประจำทุกคืนนั่นแหละเพราะขณะที่เรานั่งคุยกันเราก็นั่งคุยกันตรงปลายเท้าของที่นอนของพ่อและคุณทวดอยู่แล้วเพราะลักษณะที่นอนของแถวชนบทโบราณในทางภาคใต้นั้น แต่ละบ้านมักจะไม่มีห้องนอนเป็นสัดส่วนจะมีก็เฉพาะของลูกสาวสักเพียงห้องเดียว  โดยแบ่งกันนอนตามความเหมาะสมไม่ต้องกางมุ้งนอนเหมือนเช่นปัจจุบันเพราะสมัยนั้นไม่มียุง นานๆจึงจะเห็นมันสักตัวซึ่งผิดกับปัจจุบันเป็นอันมาก

            “ไปเยี่ยวเสียก่อน เดี๋ยวจะเยี่ยวใส่ผ้าอีก ไม่ไหวแล้วเมื่อคืนก็เยี่ยววันนี้ยังไม่ได้เอาออกไปตากแดดเลย  ได้กลิ่นฤาเปล่าเหม็นคลุ้งอยู่เลย  เฮ้ย....ไม่ค่อยไหวแล้ว  ตัวแค่นี้ยังนอนเยี่ยวใส่ผ้า”  คุณทวดคล้ายบ่นพึมพำ  หลังจากไม่  อนุญาตให้แม็คออกไปช่วยแบกกระชอนใส่กบให้กับลุงเขียว

        คุณพ่อเดินไปนั่งยองๆ ที่ตรงช่องฟากเล็กๆหน้าประตูเข้าห้อง รีบฉี่อย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าคุณทวดจะเอาตะเกียงออกไปจากที่ที่วางอยู่จะทำให้มืดเพราะบอกแล้วไงคุณพ่อเป็นนักกลัวผีตัวยงในบ้านเลยทีเดียว  ไม่กล้านอนคนเดียว ไม่กล้าลงข้างล่างหากมืดสนิท ไม่กล้าออกไปไหนโดยไม่มีตะเกียงแม้กระทั่งจะเป็นบนบ้านก็ตาม  พอฉี่เสร็จคุณพ่อก็รีบวิ่งตรงไปยังที่นอนซึ่งเป็นที่นอนของคุณทวดทันทีเพราะคุณพ่อนอนกับคุณทวดมาโดยตลอดทุกคืน  กับคุณทวดคล้ายคุณพ่อไม่ได้นอนด้วยกันเพียงอย่างเดียวก็ตอนที่คุณย่าต้องจำเป็นไปธุระสำคัญที่ไหนเท่านั้น

                วันไหนเป็นวันพระคุณพ่อก็ไปวัดกับคุณทวดคล้ายทุกวันพระด้วย  คุณพ่อเริ่มรู้จักและคุ้นเคยกับวัด สนิทกับวัดจนกระทั่งคำที่พระท่านเทศนา ท่านสวดพระคาถา ท่านให้ศีลให้พร คุณพ่อสามารถท่องคำให้ศีลให้พรไปพร้อมๆพระที่กำลังท่องพระคาถาหรือให้ศีลให้พรได้จนคล่องแคล่วเลยทีเดียว  พ่อมีความผูกพันกับพระ มีความคุ้นเคยกับคนที่มาทำบุญที่วัดบ่อยๆซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่หลายๆคนของคุณพ่อ  ซึ่งรักและหวงแหนคุณพ่อพอๆกับคุณทวดก็มีหลายคนเลยทีเดียว  วัดที่คุณทวดและคุณพ่อมักจะไปเสมอๆคือวัดเทวสิทธิ์ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่สมัยใดพ่อก็ไม่อาจทราบได้  ซึ่งวัดจะอยู่ห่างจากบ้านป้าคอน-ป้าพาประมาณ 4-5 กิโลเมตร อีกนั่นแหละการคมนาคมในสมัยนั้นแสนลำบากยากเข็ญกว่าสมัยนี้มากมายนักพ่อและคุณทวดจะไปวัดกันซักครั้งเสมือนกับการไปผจญภัยให้พูดว่าทางเดินไปวัดดีกว่า เพราะหากพูดว่าเป็นถนนคงไม่ใช่แน่เพราะมันคือคันนาที่มีลักษณะพอคนสองคนเดินสวนกันไปมาได้แค่นั้นเองหากเป็นหน้าแล้งก็จะดีหน่อยเพราะชาวบ้านเกี่ยวข้าว  เราสามารถจะเดินผ่าลงไปกลางทุ่งนาได้เลยโดยไม่ต้องเดินไปตามคันนาอ้อมไปอ้อมมาให้เสียเวลา  แต่ลูกเอ๋ยถ้าเป็นฤดูทำนาและตอนข้าวออกรวงด้วยแล้วพวกเราต้องเดินผ่าดงยักไย่ของแมงมุมไปตลอดทางตอนเช้าน้ำค้างเกาะยักใย่จนใบหน้าเปียกไปหมด  เพราะทางเดินเป็นคันนาเล็กๆโดยทั่วไป แต่จะไม่เหมือนกันตรงที่คันนานี้จะมีผู้ใช้บ่อยจนมีรอยเป็นทางเดินโดยตลอด   และทางสายนี้เป็นทางเส้นหนึ่งที่ชาวบ้านใช้สัญจรไปมา  ระหว่างหมู่บ้านมาตั้งแต่สมัยใดคุณพ่อมิอาจทราบได้  แต่มันก็ใช้มาตลอดจนกระทั่งคุณพ่อเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯก็ยังคงใช้ทางเส้นนี้

        คุณพ่อชอบไปวัดกับคุณทวดมากเพราะหากได้ไปวัดพ่อจะได้เห็น ของเล่นที่ลูกหลานของคนที่ไปทำบุญที่วัดเขานำไปเล่นหรือซื้อของเล่นจากในวัด  เขารวมกลุ่มกันเล่นในขณะที่ผู้ใหญ่ที่มาด้วยต่างก็เข้าฟังเทศน์ฟังธรรมจากหลวงพ่อกัน  ในขณะที่คุณพ่อก็ได้แต่ไปคอยเฝ้าดูเด็กพวกนี้เขาเล่นกันอย่างสนุกสนานจนพ่อแอบอิจฉาเขา  และพ่อก็เคยคิดเสมอๆว่า เอ!ทำไมคนเราช่างไม่เหมือนกันเอาเสียเลยในขณะที่อีกคนหนึ่งเขาสามารถทำอะไรได้แต่คนอีกคนหนึ่งไม่เคยได้ทำอะไรได้ดังใจเลยสักครั้ง  ถึงแม้คุณพ่อจะพยายามบอกพยายามอธิบายในสิ่งที่เราอยากทำเราอยากได้ ในสิ่งที่เราต้องการ  แต่นั่นแหละคุณย่าก็ไม่ค่อยให้อะไรง่ายๆเหมือนกับพ่อให้ลูกหรอกเพราะย่าเป็นคนขี้เหนียวมาตั้งแต่อดีตอะไรก็ตามย่าจะให้ยากมาก  คุณพ่อไม่ค่อยจะได้ในสิ่งที่ตัวเองหวังในสิ่งที่ตัวเองต้องการมาตลอด  หรือพูดง่าย ๆ ก็คือแทบไม่เคยได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการหรือตัดสินใจจะได้เลยก็ได้ ว่างั้นเถอะ

    ในวัดเรื่องอาหารการกินก็นับว่าสุดยอดของเด็ก ๆ อย่างพวกเราเพราะแต่ละคนก็พยายามเอาสิ่งที่ดีที่สุดมาถวายพระ  หากมีอาหารอะไร ๆ แปลก ๆ ใหม่ ๆ ชาวบ้านมักจะต้องนำมาถวายพระท่านก่อนเสมอ  ฉะนั้นเมื่อพระท่านฉัน ( รับประทาน ) เสร็จแต่ละคนก็จะนำอาหารที่เหลือจากพระท่านฉันเสร็จแล้วมากินร่วมกัน  ซึ่งคุณพ่อยังจำฝังใจมาตลอดเพราะอาหารแต่ละอย่างล้วนแล้วแต่ผ่านการปรุงอย่างสุดฝีมือมาทั้งสิ้น  เพราะตามความเชื่อมาตั้งแต่โบราณว่าการทำบุญจะต้องคัดสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดไปถวายพระ  รสชาติอาหารที่นำมาถวายพระจึงดีมากเพราะอาหารทุกอย่าว สด ใหม่ ผ่านการคัดเลือกมาอย่างดี  การได้มีโอกาสกินอยู่ร่วมกันแม้จะเป็นระยะช่วงสั้น ๆ ก็ดูจะมีความหมายมากเพราะขณะที่กินร่วมกันก็นั่งคุยถามไถ่ถึงความสุข ความทุกข์ซึ่งแต่ละคนกำลังมีแต่ละคนกำลังเผชิญอะไรบ้าง  บางคนที่มีเรื่องสนุกสนานอะไรก็จะมาเล่าสู่กันฟังอย่างเป็นกันเอง  เพราะทุกคนที่มาล้วนแล้วแต่จะเป็นเครือญาติที่สามารถจะนับญาติกันได้เกือบทุกคน  เพราะบ้านคุณปู่เห็นบ้านเกิดของคุณย่าซึ่งเป็นชุมชนดั้งเดิมที่บรรพบุรุษมาร่วมสร้างด้วยกัน  การอยู่ร่วมจึงอยู่แบบพี่น้องเอื้ออาทรกันซึ่งสถานการณ์ผิดกับในปัจจุบันเป็นอย่างมาก  เมื่อร่วมรับประทานอาหารด้วยกันแล้วเสร็จแต่ละคนก็เดินเตร็จเตร่เพื่อเดินดูการละเล่น  บางคนก็เดินซื้อของเพื่อฝากลูกฝากหลานซึ่งคอยู่ที่บ้านกันตามประสา  เพราะสมัยนั้นการหาตลาดเพื่อจะซื้อของหาได้ไม่ง่าย ๆ นักซึ่งผิดกับปัจจุบันตลาดนัดมีมากเสียจนคิดอยากได้อะไร  ซื้ออะไรสามารถนั่งรอได้  ในสมัยนั้นต้องหาซื้อเอาตามงานวัด  หรือไม่ก็ตลาดซึ่งเป็นการยากมากสำหรับเด็กอย่างพ่อหรือชาวบ้านทั่วไปจะมีโอกาสไปตลาด  เพราะตลาดก็คือสถานที่ ๆ ต้องอยู่ในชุมชนเมือง  ชุมชนเมืองจึงมีระยะทางไกลจากบ้านคุณย่าและเด็กละแวกนั้นมากเพราะหากไปตลาดต้องเดินกันไประยะเป็นสิบ ๆ กิโลเมตรสำหรับเด็กรุ่นคุณพ่อด้วยแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยที่จะมีโอกาสไป  ถึงแม้นผู้ใหญ่อนุญาตให้ไปและอยากเอาไปตลาดด้วยก็ไม่อยากไปเลย  เพราะการไปตลาดต้องเดินและต้องเดินทั้งไปและกลับด้วย  ตอนขาไปใช่เลยไม่ค่อยเหนื่อยมากเท่าไหร่  เพราะเรามีเป้าหมายและความหวังอยู่ข้างหน้าว่าจะกินโน่นซื้อนี่  แต่ตอนขากลับนี่ซิแสนทรมารความต้องที่ต้องการหลาย ๆ อย่างหมดไปแล้ว  ความคิดหนักใจเพียงอย่างเดียวคือการเดินทางกลับบ้าน เพราะเด็กวัยสี่ห้าขวบต้องเดินทางระยะนั้นและการเดินต้องเดินด้วยเท้าเปล่าถ้าหากถนนช่วงไหนเป็นลูกรังด้วยแล้วเท้าทั้งสองก็ต้องระบมไปตามระเบียบ หลังจากเดินดูของที่วางขายการละเล่นที่มีภายในวัดแล้วเสร็จพวกเราก็เดินทางกลับบ้านกันตอน   ขากลับค่อยดีหน่อยเพราะจะมีเพื่อนร่วมทางมากกว่าตอนขาไป  ความเร่งรีบมีน้อยลงเด็ก ๆ ก็จะวิ่งเล่นหยอกล้อกันไปพลาง  เดินกันไปพลางอย่างสุกสนาน

        คุณพ่อดูเสมือนส่วนเกินของครอบครัวเพราะคุณพ่อเป็นน้องรองจากคนสุดท้องคืออามนตรี  อามนตรีเป็นน้องคนสุดท้องที่ทุกคนต่างรักต่างหวงกันทุกคน  คุณพ่อจะได้อะไรก็แล้วแต่ต้องหลังจากอามนตรีได้ก่อนเสมอ ยกเว้นคุณปู่เพราะคุณปู่จะมีใจเป็นธรรมเสมอทำอะไรก็ตามคุณปู่จะกระทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่เลือกที่รักมักที่ชังโดยเสมอต้นเสมอปลาย โดยเฉพาะป้าพารักอามนตรีมากที่สุด ป้าพาเป็นพี่สาวทุกคนรวมทั้งคุณย่าและคุณปู่ตั้งความหวังที่จะฝากผีฝากไข้ไว้ด้วย  คุณย่าและคุณปู่ต้องการให้ป้าพาได้มีเวลาอยู่กับบ้านดูแลทุก ๆ อย่างที่ต้องดูแลโดยให้ป้าพาออกจากโรงเรียนเมื่อจบชั้น ป.4 เพราะต้องการให้ป้าพาอยู่กับท่านดูแลท่านยามชรา  ป้าพาเลยเรียนจบแค่ชั้น ป.4  ในสมัยนั้นบ้านคุณปู่ดูจะเป็นบ้านที่มีฐานะดีมากในหมู่บ้าน  คุณปู่มีโรงสีข้าว  เปิดร้านค้าเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน  มีฟาร์มหมูเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน  สวนยางก็มีหลายไร่  เพราะทั้งคุณปู่และคุณย่าเป็นคนขยันขันแข็งมาตลอด  มีงานมโหรสพที่ใกล้ ๆ พอจะไปขายได้คุณปู่และคุณย่าจะนำของไปขายเสมอเพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว  คุณพ่อภูมิใจมากที่ได้เกิดมาเป็นลูกคุณปู่และคุณย่า

    คุณปู่เคยเล่าให้คุณพ่อฟังว่าสมัยที่คุณปู่เข้ามาอยู่ที่บ้านคุณย่าตอนแต่งงานใหม่ ๆ นั้นคุณปู่ทำอะไรไม่ค่อยจะได้เลย  เพราะคุณปู่เป็นลูกชายคนสุดท้องเรียนหนังสือจบถึงชั้นมัธยมปีที่ 6 ซึ่งในสมัยนั้นนับว่าเรียนจบสูงมากสำหรับชาวชนบทอย่างคุณปู่  เมื่อคุณปู่เรียนจบคุณทวดที่เป็นพ่อของคุณปู่จะให้คุณปู่เข้าทำงานรถไฟ ซึ่งในสมัยนั้นผู้ที่เรียนจบมัธยมปีที่ 6 จะทำงานอะไรก็ได้เพราะสมัยนั้นมีคนเรียนหนังสือกันน้อยมากแต่คุณปู่ไม่ยอมทำ  วันหนึ่งคุณปู่ก็ได้มาเที่ยวบ้านตาเทพ ซึ่งเป็นพี่ชายของคุณปู่(บ้านป้าดาในปัจจุบัน)บังเอิญมาเห็นคุณย่าเข้า  ที่บ้านตาเทพคุณย่าเข้าไปทำสวนยางซึ่งสวนยางคุณทวดหลายแปลงอยู่ใกล้บ้านตาเทพ  จากระยะทางจากบ้านคุณทวด(บ้านป้าพาในสมัยนี้)ไปถึงบ้านตาเทพ(บ้านป้าดาในสมัยนี้)นั้นค่อนข้างไกล ยิ่งเป็นสมัยก่อนการเดินทางก็ไม่สะดวกสบายเช่นปัจจุบันไม่มีถนนการเดินต้องเดินข้ามทุ่งนา  ลัดเลาะไปตามป่า ลัดเลาะไปตามสวนยางพาราอันรกทึบไป  และยิ่งเป็นหน้าแล้งแล้วละก็เหงื่อตกหลายหยดเลยทีเดียวกว่าจะเดินทางไปถึงได้  ฉะนั้นหากใครไปทำสวนที่นั่นก็จะต้องมีบ้านพัก (ขนำ) หรือไม่ก็หากใครมีญาติสนิทอยู่แถวนั้นก็มาพักกินอาหารและนั่งพักผ่อนสักพักเพื่อทำงานต่อได้  คุณทวดมีญาติสนิทอยู่ใกล้ ๆ บ้านตาเทพคุณทวดและทุกคนที่ไปทำงานด้วยกันจึงพากันไปพักที่บ้านยายอัด  ที่เป็นญาติสนิทของคุณทวด  คุณปู่ก็ได้เห็นคุณย่าเข้าเพราะคุณย่าในสมัยนั้นจากคำบอกเล่าจากหลาย ๆ คนที่เป็นญาติ ๆ คุณพ่อบอกว่าคุณย่าสวยมาก  อีกทั้งคุณย่าก็ยังเป็นลูกสาวคนเดียวของคุณทวดอีกด้วย  ซึ่งเป็นไปตามความต้องการหาคู่ของผู้หลักผู้ใหญ่ในสมัยนั้น  คุณปู่ก็เลยคิดจะแต่งงานกับคุณย่าให้ได้คุณปู่ให้ตาเทพช่วยเป็นพ่อสื่อช่วยทาบทามคุณย่าให้ตามประเพณีในสมัยนั้น  คุณปู่ก็ได้แต่งงานตามความต้องการของเด็กในวัยหนุ่มสมัยนั้น  

    แต่ด้วยที่คุณปู่เป็นลูกคนเล็กของคุณทวดการงานต่าง ๆ ก็ไม่เคยทำเหมือนเด็กหนุ่มตามชนบททั่วไปประสบการณ์ด้านการทำงานก็ไม่มีมากเท่าที่ควร  ซึ่งพูดง่าย ๆ ก็เป็นบุคคลที่ยังไม่พร้อมในการมีครอบครัวเลย  แต่เมื่อตัดสินใจแล้วจากความรักแรกพบหรือจากการเป็นคนเด็ดเดี่ยวของคุณปู่  คุณปู่ก็เลยต้องก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างหนักเมื่อมาอยู่ที่บ้านคุณย่า  เพราะที่บ้านคุณย่าเป็นบ้านดั้งเดิมที่มีพี่ ๆ น้อง ๆ ของคุณย่าอยู่ร่วมกันหลายคนซึ่งน้อง ๆ คุณย่าแต่ละคนซึ่งคุณปู่เคยเล่าให้ฟังมาบ้างก็ล้วนแล้วแต่ไม่มีความรับผิดชอบที่เพียงพอ  ชอบเที่ยวเตร่ไปตามประสาวัยรุ่นทั่ว ๆ ไป  ซึ่งบ้านคุณย่าเป็นบ้านที่ห่างไกลจากความเจริญมากกว่าบ้านคุณปู่ดั้งเดิมมาก  อีกทั้งสภาพสิ่งแวดล้อมทั้งบุคคลและตามสภาพธรรมชาติที่บ้านเดิมของคุณย่าก็ยังป่าเถื่อนทั้งแนวคิดและสภาพความเป็นอยู่      แต่คุณปู่ก็สามารถปรับตัวเข้าได้อย่างกลมกลืนและเป็นที่รักที่เกรงใจของคุณทวดและเครือญาติเกือบทุกคน  

    คุณปู่ก่อนที่จะมาแต่งงานกับคุณย่า คุณปู่เป็นคนที่มีการศึกษาคนหนึ่งซึ่งคุณปู่เป็นลูกชายคนสุดท้องของคุณทวด คุณปู่โดนตามใจตัวเองมาตลอดด้านการทำงานต่าง ๆ คุณปู่จะทำไม่ค่อยเก่งไหร่นัก  เพราะเด็กนักเรียนสมัยนั้น  ยิ่งเป็นเด็กบ้านนอกด้วยแล้วหากไปเรียน  เด็กจะทำงานบ้านทุกอย่างไม่ค่อยจะเก่งเหมือนคนทั่วไป เพราะเวลามักจะไม่ค่อยเอื้อให้เด็กที่เรียนหนังสือไปทำงานหนักแบบชาวบ้านทั่ว ๆ ไปมากนัก  เพราะในการเดินทางไปกลับต้องใช้เวลามาก  กว่าจะกลับถึงบ้านก็หมดแรงกันพอดีคุณปู่ก็เช่นกัน  แต่ถึงแม้จะมีเวลามากเท่าใดก็เถอะพ่อแม่ก็จะให้โอกาสเป็นกรณีพิเศษสำหรับเด็กเรียนเสมอ  ในการทำนาคุณปู่ก็ไม่เคยใช้จอบทำนามาก่อนทั้ง ๆ ที่เห็น ๆ กันอยู่ว่าเขาทำกันยังไง  แต่จากการที่ไม่เคยใช้จอบในการทำมาก่อนคุณปู่จึงใช้จอบทำนาไม่เป็น คนแก่สมัยนั้นได้เล่าให้คุณพ่อฟังเสมอ ๆ ว่าคุณปู่หลังจากแต่งงานเข้ามาอยู่บ้านคุณย่าลำบากมากเลย  เพราะจากหนุ่มหน้ามลคนหน้าใสต้องมากรำงานแสนหนัก  ยิ่งต้องมาเจอพี่น้องคุณย่าซึ่งพฤติกรรมที่กล่าวมาด้วยแล้ว  คุณปู่ก็ยิ่งต้องทำงานหนักมากขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นกี่เท่าลูกก็ลองคำนวณดูเล่น ๆ ได้  แต่เพื่อครอบครัวที่คุณปู่ต้องเข้ามารับผิดชอบกับคุณย่าโดยงานหนักก็ต้องเอา งานเบาก็ต้องสู้  คุณปู่เป็นบุคคลที่น่ายกย่องเป็นอย่างยิ่ง  

    ลูกลองคิดดูคุณปู่ไม่เคยทำนามาก่อนแต่เมื่อเข้ามาอยู่ที่บ้านคุณย่าต้องทำและต้องทำให้ได้ด้วย  ไม่เช่นนั้นครอบครัวของคุณปู่ในภายภาคหน้า  ซึ่งหนึ่งในส่วนของครอบครัวนั้นคือคุณพ่อด้วยจะอยู่กันได้อย่างไร  ลูกรู้ไหม ? บ้านป้าพาที่ลูกเห็นในปัจจุบัน  ก็เป็นฝีมือจากการทำงานอันแสนหนักของคุณปู่นั่นแหละเป็นผู้หาเงินมาปลูกสร้างจนเสร็จ  เป็นที่ภูมิใจของคุณปู่และคุณย่าเป็นอย่างมาก  เพราะจากบ้านหลังเก่าที่มีฝาบ้านกั้นด้วยไม้ไผ่หลังคามุงจาก  คุณปู่ก็สร้างเป็นบ้านบ้านไม้หลังที่ค่อนข้างใหญ่มากในสมัยนั้นเลยทีเดียวหลังคาก็ใช้กระเบื้องแบบสมัยใหม่ คือแบบสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนที่ทำจากปูนซิเมนต์  ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นบ้านที่ทันสมัยมาก ๆ

    การทำนาเมื่อถึงฤดูทำนาหลังจากฝนตกน้ำขังดินพองตัวจนได้ที่ ชาวบ้านที่ต้องการจะทำนาต้องเพาะพันธุ์ต้นกล้าของต้นข้าว ซึ่งก่อนจะถึงฤดูทำนาชาวบ้านที่ต้องการทำนาต้องหาสถานที่ที่ต้องเพาะพันธุ์ต้นกล้า โดยการถากถางเลาะเอาหญ้าออกจนเหลือเฉาะผิวหน้าดินแล้วใช้ไม้สองอันเรียกว่าไม้สัก  ทิ่มดินที่ถากเตรียมไว้ให้เป็นรูเพื่อใส่เม็ดข้าวที่คัดเลือกไว้เพื่อจะปลูกในปีนั้นลงไปรูละประมาณรูละสิบเม็ดกว่า ๆ ในการใช้ไม้สักทิ่มรูเพื่อใส่เมล็ดข้าวนั้นต้องทิ่มให้เป็นแถวเป็นแนวเดียวกัน เพื่อเหมาะในการถอนต้นกล้าไปดำนา ในการทิ่มดินให้เป็นรูเพื่อใส่เมล็ดข้าวนั้นเรียกว่าการฉุนกล้า

    เมื่อคุณพ่อเล่ามาถึงตรงนี้หากไม่เล่าให้หมดก็คุณพ่อถือว่าตัวเองบกพร่องอีก คือดั่งที่คุณพ่อเคยกล่าวถึงในเรื่องความรักความกลมเกลียวของชาวบ้านในแถบนี้มาให้ฟังข้างต้นแล้วว่า ที่นี่มีอะไรต้องช่วยเหลือกัน ฉะนั้นในการฉุนกล้าก็เช่นเดียวกันดูจะเป็นงานใหญ่สำหรับเด็ก ๆ อย่างคุณพ่อเลยทีเดียวเพราะหากมีการฉุนกล้ากันเมื่อไหร่คุณปู่ คุณย่า ต้องทำขนมหวาน ข้าวเหนียว(เหมือนข้าวเหนียวที่กินกับมะม่วงในกรุงเทพฯ) แกงไก่ที่เลี้ยงไว้สองสามตัวจนพอดีกับผู้มาช่วยในงานไหว้วาน พวกเด็ก ๆ อย่างคุณพ่อก็พลอยดีใจไปด้วยเพราะจะได้กินอาหารดี ๆ มีขนมหวานเช่นข้าวเหนียวได้พลอยอิ่มไปด้วย  พวกเด็กจึงชอบกัน  และต่างคนต่างมาช่วยกันเอาเม็ดข้าวใส่หลุม หากใครใส่หลุมไม่หมดหลาย ๆ หลุมก็ต้องโดนไล่ออกจากการหยอดหลุมไป เมื่อหยอดหลุมหมดทั้งแปลง ผู้ใหญ่คนใดคนหนึ่งก็ต้องใช้ไม้เพื่อกวาดกลบหลุมกันไม่ให้นกเป็ดไก่มากินพันธ์เม็ดข้าวไปได้หมด  

    หลังฝนตกประมาณเดือนครึ่งเดือนชาวบ้านที่ต้องการจะทำนาก็ต้องไถเพื่อพรวนดินเที่ยวแรกให้เสร็จ และทุกคนที่ทำนาจะต้องตกแต่งคันนาให้ดี เพราะคันนาแต่ละสายมีความสำคัญในการควบคุมน้ำในนาแต่ละแปลงเป็นอย่างมากเพราะพื้นนาแต่ละแปลง ระดับของที่นาจะไม่เท่ากันคันนาจึงเป็นตัวควบคุมน้ำในแต่ละแปลงไม่ให้ไหลออกไปไหนได้ตามที่เจ้าของนาแปลงนั้นต้องการ อีกทั้งเป็นทางใช้สัญจรไปมาเพื่อการทำนาไม่ต้องเดินลุยโคลน และคันนาบางสายยังสามารถใช้เป็นเส้นทางคมนาคมดังเช่นถนนในปัจจุบันได้ด้วย  เพราะถ้าหากคันนาสายนั้นสามารถใช้เป็นเส้นทางลัดเพื่อจะไปยังสถานที่สาธารณะอื่นได้ด้วยแล้วคันนาสายนั้นก็ใช้เป็นถนนเส้นเล็ก ๆ เหมือนเช่นถนน  ตรอก   ซอก  ซอยในปัจจุบัน  ฉะนั้นเจ้าของที่นานั้นก็ต้องดูแลเป็นรักษาเป็นพิเศษ  เพื่อให้เพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงได้ร่วมใช้ด้วยถือเป็นกุศลอันใหญ่หลวง

    คุณปู่ก็เช่นกันคุณปู่ก็ต้องทำนา  แต่ลูกลองคิดดูคนไม่เคยทำนาแต่ต้องไปทำนา  ผลมันจะสำเร็จลงได้ต้องเป็นอย่างไร  การตกแต่งคันนาไม่ใช่เองง่ายสำหรับคนที่ยังไม่เคย  ยากตั้งแต่การฟันตกแต่งเพื่อจะให้ผิวเรียบสม่ำเสมอไปเป็นแนวตามคันนาเดิมก็ยากไม่ใช่เล่นซะแล้ว  ไหนจะต้องปะตกแต่งให้สม่ำเสมออีกด้วยการปะตกแต่งเพื่อให้มีสภาพคงเดิม  ตรงนี้เองที่คุณพ่ออยากจะเล่าให้ลูกฟังเป็นที่สุดเพราะปกติคนที่เขาทำกันเป็นทำกันได้  เขาทำได้โดยใช้จอบฟันดินที่เหลวหลังการไถแปรตักขึ้นมาแล้วไปวางที่คันนาที่เราฟันตกแต่งไว้เสร็จแล้วและก็ใช้เท้าถีบเบา ๆ ตกแต่งให้ผิวสม่ำเสมอไปตามแนวที่ได้ฟันตกแต่งไว้ก่อนหน้านี้  แต่คุณปู่ของลูกจากที่ท่านไม่เคยทำมาก่อน  ท่านพยายามใช้จอบฟันและตักดินขึ้นมาเพื่อจะวางที่คันนาที่ฟันตกแต่งไว้แล้วและใช้เท้าถีบเบา ๆ เพื่อตกแต่งให้สวยงามตามเหมือนคนอื่นเขาทำกันและทำตามที่ตัวเองคิดไม่ได้  คุณปู่เลยต้องใช้มือเปล่าสองมือตักดินขึ้นมาและใช้มือลูบปะแทนเท้า  กว่าจะเสร็จเรียบร้อยเหมือนคนอื่น ลูกลองคิดดูต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ? แต่คุณปู่ก็ทำได้จนประสพความสำเร็จ  และต่อมาคุณปู่ก็สามารถทำทุกอย่างได้เหมือนคนอื่นและบางอย่างคุณปู่ทำได้เก่งกว่าคนอื่นที่เคยทำเก่งมาแล้วเสียด้วยซ้ำไป  จนกระทั่งคนในหมู่บ้านต้องยอมรับคุณปู่อย่างไม่มีข้อกังขา



    สำหรับเด็ก ๆ อย่างพวกคุณพ่อด้วยแล้วอีกช่วงหนึ่งของชีวิตที่รู้สึกประทับใจและฝังใจมาจนกระทั่งปัจจุบันคือช่วงหลังเก็บเกี่ยว  ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ดีที่สุดสำหรับเด็กบ้านนอกเด็กชนบทอย่างคุณพ่อ เพราะเป็นวันปิดเทอมใหญ่เป็นวันหยุดยาวไม่ต้องไปโรงเรียนซึ่งเด็ก ๆ พวกเราต่างก็ต้องการเป็นอย่างมากเพราะความรู้สึกของพวกเรา  โรงเรียนคือสถานที่ที่น่ากลัวเพราะที่นั่นมีกฎระเบียบ การกระทำต่าง ๆ ต้องอยู่ภายในกรอบกติกาไม่อิสระเหมือนที่บ้านที่พวกเขาอยู่กันตามประสาชนบททั่วไป คุณครูแต่ละตนล้วนแล้วแต่น่ากลัวที่สุดในสายตาของเด็ก ๆ เพราะคุณครูสมัยนั้นไม่มีความเป็นกันเองแบบคุณครูในสมัยนี้ หากมีเด็กคนใดสามารถเข้าใกล้ชิดคุณครูพูดคุยกับคุณครูอย่างสนิทสนมได้ถือว่าวิเศษที่สุด อีกทั้งนักเรียนคนนั้นก็จะเป็นที่ยำเกรงของเพื่อนฝูงนักเรียนด้วยกันมากเลยทีเดียว และอีกทั้งนักเรียนคนใดไม่เชื่อฟังคามที่คุณครูบอกคุณครูสอนไม่ค่อยสนใจในการเรียน การลงโทษจะการทำการรุนแรงแบบเจ็บ ๆ เช่นโดนเตะ โดนตบ ตีด้วยไม้เรียวแบบไม่มีการยั้งมือการลงโทษก็ยังกระทำแบบตามใจตัวเอง คุณครูเกือบทุกคนจะมีไม้เรียวเป็นของตัวเองวางไว้ที่โต๊ะ  การเรียนการสอนในสมัยนั้นผิดกับสมัยนี้มากเพราะคุณครูแต่ละคนจะมาเป็นครูได้ต้องมีสามารถสอนนักเรียนได้ทุกวิชา ตามตารางสอนที่คุณครูเป็นผู้กำหนดและสอนโดยครูคนคนเดียวกัน นักเรียนโดยส่วนมากกลัวคุณครู ลูกลองคิดดูการหยุดยาว ๆ แบบนี้มันจะไม่มีความสุขที่สุดสำหรับนักเรียนได้อย่างไรและอีกทั้งวันหยุดยาวอย่างนี้ด้วยแล้วจะมีการจัดงานมโหสพณ์ต่าง ๆ กันบ่อย ๆ โดยใช้สนามโรงเรียนเป็นหลักในการจัดงาน

    ช่วงฤดูหลังเก็บเกี่ยวนี่แหละ ตอนนั้นเรามีผลไม้ที่แปลก ๆ กินกันซึ่งผลไม้พวกนั้นคือลูกหว้า  ลูกกำซำ  ผลไม้ลูกเล็ก ๆ เหล่านี้จะออกลูกและสุกให้พวกเด็ก ๆ อย่างคุณพ่อและเพื่อน ๆ คุณพ่อได้กินกันเป็นประจำทุกปี  อีกทั้งผลไม้พวกนี้เป็นอาหารโปรดของนกนา ๆ ชนิด  การละเล่นที่เพิ่มเติมมาให้พวกเราอีกคือการยิงนกด้วยหนังสติค  โดยการแอบอยู่ใต้ต้นไม้เหล่านี้  คุณพ่อก็ฝีมือไม่เลวเลยเพราะหากวันใดตั้งใจจะยิงให้ได้สักตัวสองตัวก็ไม่เคยพลาด  

    อีกอย่างหลังจากเกี่ยวข้าวเสร็จซึ่งเด็ก ๆ แถวนี้รอคอยกันมากนานเกือบตลอดฤดูคือการได้มีโอกาสเล่นกีฬาฟุตบอล  ตอนบ่าย ๆ ซึ่งเด็ก ๆ พวกเราส่วนมากต้องออกไปเลี้ยงวัวกลางทุ่งมีโอกาสได้พบปะกันเกือบทุกวันกลุ่มใหญ่ จัดแบ่งทีมกันเล่นฟุตบอลอย่างสนุกสนานโดยไม่หวังแพ้ชนะหวังเพียงได้เล่นกีฬาที่สมัยนั้นดูแล้วจะเป็นกีฬาคนเมืองสำหรับเด็ก ๆ อย่างพวกคุณพ่อ ซึ่งซังข้าวจะเป็นอุปสรรคสำหรับการเล่นฟุตบอลเป็นอย่างมากเพราะลูกเอ๋ยอย่าว่าแต่มีสนามฟุตบอลให้พวกเราได้มีเล่นเลยขอเพียงไปโรงเรียนขอให้พวกเรามีถนนหนทางที่สะดวกในการเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวกเป็นพอ ดังนั้นพวกเราก็ช่วยกันเผาช่วยกันตัดซังต้นข้าวที่ต้องการทำสนามฟุตบอลชั่วคราวสนามนี้ บางคนมีจอบก็เอาจอบมาเพื่อปรับสนามให้สม่ำเสมอเหมาะสำหรับการเล่นฟุตบอล  คนไหนที่พ่อแม่ไม่ดุนักก็เสียสละต้นหมากพวกเราก็ไปช่วยกันโค่นไปช่วยกันตัดเพื่อนำมาทำประตูฟุตบอล  แต่ลูกเชื่อไหมลูกฟุตบอลที่พวกเราจะนำมาเล่นนั้นมันแสนหายากมากเสียเต็มประดา  ลูกอาจจะคิดในสมัยนี้นั้นดูมันจะง่าย ๆ เพียงนิดเดียวเพราะหากเพียงลูกบอกคุณพ่อเพียงคำเดียวคุณพ่อก็จะหาซื้อมาให้แล้ว

    แต่สำหรับคุณพ่อแล้วยากมากเพราะคุณย่ามีลูกถึง 7 คนความรับผิดชอบมากกว่าที่คุณพ่อรับผิดชอบมากมายนัดนัก  จะจับจ่ายใช้สอยแต่ละบาทแต่ละสตางค์ต้องคิดแล้วคิดอีกต้องให้คุ้มค่าที่สุด  อีกอย่างเพราะสมัยก่อนนั้นของแบบนี้นั้นมันหายากมากการกีฬงการกีฬาอะไรเล่านี้ชาวบ้านธรรมดา ๆ อย่างพวกเราไม่เข้าใจหรอกเพราะการออกกำลังกายพวกชาวนาอย่างคุณพ่อทำกันทุกวันจนกล้ามเนื้อขึ้นมาเป็นมัด ๆ อย่างกะนักเพาะกายในปัจจุบันได้กระทำกัน  แต่ลูกฟุตบอลดังกล่าวพวกเราได้เล่นกันก็เพราะบ้านของป้านายายน้อมบ้านหลังที่อยู่ถัดจากบ้านป้าพาไปทางด้านทิศตะวันออกนั่นเอง  เพราะสมัยก่อนตาสร้วงเป็นนักการพนันตัวยงค์แกเล่นการพนันเป็นอาชีพร่ำรวยมากในสมัยนั้นเพราะอาจจะเป็นโชควาสนาห้วงหนึ่งสำหรับนักการพนันเช่นท่าน  ชาวบ้านแต่ละคนเกรงใจตาสร้วงมากที่สุด  เพราะเป็นไปตามธรรมชาติผู้มีเงินย่อมต้องมีอำนาจตามมาด้วยเสมอ  เมื่อตาสร้วงมีเงินลูก ๆ ต้องการอะไรจึงได้ตามต้องการเสมอ  พวกเราจึงต้องยกให้ลุงมั่งเป็นฮีโร่  ซึ่งปัจจุบันลุงมั่งมาซื้อบ้านอยู่ที่ซอยนวลจันทร์ใกล้ ๆ ออฟฟิศบริษัทลุงศิริวัฒน์เพื่อนพ่อในตอนนี้  ซึ่งลุงมั่งก็เป็นคนโอบอ้อมอารีย์กับเพื่อน ๆ มากเช่นเดียวกัน  ตาสร้วงซึ่งเป็นพ่อลุงมั่งแกก็หามาให้พวกเราและลุงมั่งได้เล่นกันเกือบทุกปีเช่นกัน  แต่ตอนหลังชีวิตของลุงมั่งก็น่าสงสารเพราะตาสร้วงที่เป็นคนที่เคยมีฐานะดีที่สุดในหมู่บ้าน  กลับมีฐานะแย่ที่สุดในหมู่บ้านผลจากอาชีพการพนันที่พ่อได้เล่ามา  การเงินจากเมื่อก่อนมีมากกว่าใครอื่น  กลับไม่มีแม้กระทั่งจะซื้อข้าวสารมากรอกหม้อ  ชีวิตท่านน่ารันทดโดยแท้เพราะการพนัน  เอาหละคุณพ่อเล่าเรื่องนี้จนกระทั่งเกือบลืมการเล่าเรื่องการเล่นฟุตบอล  หลังจากการปรับสนามเสร็จเด็ก ๆ วัยเดียวกันก็จะมารวมกันที่สนามเสมือนมีการนัดกันไว้อย่างแม่นมั่นเกือบทุกวันหากมีการเล่นฟุตบอลก็จะเล่นกันในเวลาประมาณสี่โมงเย็น  ในการเล่นเวลานั้นเด็ก ๆ พวกเราไม่ใช่มาเล่นกันเพียงอย่างเดียวโดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยนะ  ที่พวกเรามารวมกลุ่มกันมาเล่นฟุตบอลตรงสนามฟุตบอลแห่งนี้กันนั้นพวกเราก็ต้องตั้งให้เอื้อกับการได้เฝ้าดูแลฝูงวัวฝูงควายที่พ่อแม่แต่ละคนได้มอบหมายให้รับผิดชอบด้วย การเล่นฟุตบอลต้องยุติตามเวลาที่ต้องนำสัตว์เลี้ยงคือวัวควายกลับบ้านเพื่อนำสัตว์ไปเข้าคอกตามประเภทที่รับผิดชอบ

                             หากวันใดไม่มีการเล่นฟุตบอลพวกเราก็ต้องหาวิธีเล่นกันได้ตามประสาเด็กตามชนบททั่วไป  เช่นการเล่นซ่อนแอบ  การไล่ต้อนนกที่หลงบินเข้ามาใกล้กลุ่มเด็กวัยคะนองอย่างพวกเราในกลางทุ่งนา  ถึงแม้นกจะเป็นสัตว์ปีกที่บินได้  แต่หากออกมาบินแถวทุ่งโล่งที่มีต้นไม้เพื่อให้เกาะหลบภัยได้มีน้อยด้วยแล้ว  เป็นการดีมากเลยสำหรับพวกคุณพ่อและเพื่อน ๆ มาเพราะการไล่มันสนุกเพราะนกบินได้แต่พวกเราก็ใช้แผนโอบไล่ให้ตกใจในรูปวงกลมเข้าหา  เพราะเป็นไปตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตทั่วไปหากตกใจกลัวการสูบฉีดโลหิตในร่างกายจะรวดเร็วทำให้เหนื่อยเร็วกว่าปกติ  พวกคุณพ่อและเพื่อน ๆ ไม่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์กันหรอก  แต่เรารู้เพียงอย่างเดียวว่าหากพวกเราใช้วิธีการอย่างนั้นจะได้ผลและสนุกมาก  เพราะการไล่ ผู้ไล่ต้องไล่ด้วยสมาธิและความตั้งใจอย่างสูง  สายตาต้องคอยจ้องไม่ให้นกตัวนั้นสามารถละจากสายตาไปได้  ส่วนเท้าก็วิ่งปากต้องตะโกนคอยบอกเพื่อนให้ช่วยกันดักทางใดกันบ้าง  ซึ่งกว่านกตัวนั้นจะเหนื่อยพวกเราก็เหงื่อตกกันทุกคน  มันเป็นงานละเล่นที่ท้าทายสนุกสนานมากสำหรับคุณพ่อและเพื่อน ๆ นกที่พวกเราได้ช่วยกันจับช่วยกันล่ามาส่วนมากพวกเราก็เอามาทิ้งส่วนน้อยมากที่พวกเราจะนำมาทำกินกันเพราะนกมีตัวขนาดเล็กมากเกินไปไม่สามารถนำมาทำเป็นอาหารได้  หากนำไปกินได้ก็เพียงนำไปปิ้งหรือย่างกินเล่นตามประสาเด็ก  การไล่ล่าเป็นเพียงเกมที่พวกเราสามารถเล่นได้เท่านั้น  ความสุขตามประสาเด็กบ้านนอกอย่างคุณพ่อช่างไร้เดียงสานัก  ปริสุทธิ  จริงใจ  มีความรักหมู่คณะ  เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไม่ทำให้พ่อแม่ได้ทุกข์ใจเช่นปัจจุบัน  เรื่องปัญหายาเสพติดไม่เคยมี  ไม่เคยรู้จัก  

    สังคมที่แปลกไปสำหรับพวกเราก็มีอยู่บ้างคือในรอบปีก็มีประมาณสองสามครั้งคือวันขึ้นปีใหม่  วันสงกรานต์  วันงานเดือนสิบ  ในวันสำคัญเหล่านี้ส่วนมากจะมีนักจัดรายการสมัครเล่นจะจัดงานให้มีการแสดงมโนราห์  หนังตะลุง  วงดนตรีลูกทุ่ง ภาพยนตร์กลางแปลง  รำวง  และหากบางครั้งงานไหนที่ผู้จัดค่อนข้างใจถึงหน่อยก็จะจัดให้มีภาพยนต์กลางแปลง เพราะสมัยนั้นภาพยนต์ถือเป็นวิทยาการสมัยใหม่การจัดฉายภาพยนต์จึงต้องใช้เงินค่อนข้างสูง หากคราวใดมีรายการภาพยนต์มาฉายด้วยแล้วสำหรับเด็กๆอย่างพวกพ่อด้วยแล้วรู้สึกมันวิเศษมาก การเก็บค่าชมจะเก็บรวมหรือแยกเก็บแล้วแต่รายการนั้น ๆ จะใหญ่เล็กขนาดไหน การเก็บรวมหมายถึงผู้ชมเหมาจ่ายครั้งเดียวสามารถชมรายการต่าง ๆ ได้ทุกประเภทสามารถชมรายการต่าง ๆ ได้ตามความพอใจของผู้ชม แต่หากมีรายการดี ๆ ผู้จัดจะใช้ผ้ากั้นเพื่อไม่ให้มองเห็นได้จากภายนอก เพื่อผู้ใดอยากดูก็ต้องไปซื้อตั๋วตามรายการที่ตัวเองชอบได้อีกชั้นหนึ่ง เช่นหากมีรายการวงดนตรีลูกทุ่งก็จะจัดเก็บแบบนี้

    มันวิเศษสำหรับเด็กอย่างพวกคุณพ่ออย่างมากเพราะนั่นคือวันสุดยอดแห่งความสนุก  คุณพ่อจะเฝ้าดูหน้าโรงหนังตะลุงตลอดคืนบางครั้งก็นอนหลับหน้าโรงหนังตะลุง  ตื่นขึ้นมาตอนเช้าเสื้อผ้า เส้นผมเปียกน้ำค้างฉ่ำเลยทีเดียว  หนังตะลุงสนุกมากหากลูกได้นั่งดูและติดตามเนื้อเรื่อง อย่างตั้งใจเพราะมีครบเครื่องสำหรับความบันเทิง  เพราะนายหนังตะลุงที่เก่ง ๆ เป็นบุคคลพิเศษที่มีความจำเป็นเยี่ยม  เป็นคนไหวพริบดี  เป็นคนมีมุขตลกตลอดเวลา  ความรู้และประสบการณ์ทั้งการบ้าน  การเมือง  การดำรงค์ชีวิต  สรุปว่านายหนังตะลุงที่เก่ง ๆ แต่ละคนจะหาได้ยากมากเพราะเขาคือคนที่เสมือนหนึ่งคนสิบคนเข้ามารวมอยู่ในคนคนเดียวกัน  ลูกอาจจะถามว่าทำไมจึงสำคัญขนาดนั้น  ก็เพราะในการแสดงหนังตลุงที่มีตัวละครยี่สิบสามสิบตัวทั้งนำเสียงและลีลา  นายหนังตะลุงเป็นคนพฤกษ์น้ำเสียง  ใส่อา รมย์  ลีลาการเชิด  บทบาทของตัวละครแต่ละตัว  ลูกคิดดูว่าเราจะทำได้แบบเขาไหมคนสิบคนยี่สิบคนเอามาใส่สมองตัวเองไว้เพียงคนเดียว  อีกทั้งหนังตะลุงคณะใดที่มีชื่อเสียงอีก การแสดงจะต้องกระทำแทบทุกคืน  ซึ่งในการแสดงจะแสดงได้ดีก็ต้องมีการซ้อมมาอย่างหนัก  คุณพ่อถึงอยากบอกลูกให้ทราบว่าไม่ว่าสิ่งไหนจะประสบความสำเร็จได้  ก็ต้องมีความพยายามเป็นพิเศษ  ความพิเศษจึงจะเข้ามาหาเรา  ดังบทร้อยกรองที่คุณพ่อได้กล่าวมาแล้วข้างต้น

            แต่มีงานที่สนุกทีไรก็ต้องมีงานที่มีทุกข์ที่สุดสำหรับคุณพ่อและอาร์มนตรีเช่นกัน  เพราะพวกเราต้องทำงานอย่างหนักคือไม่ว่ามีงานที่ไหน  คุณย่าแสนขยันของลูกก็จะนำของไปขายทุกครั้งที่ขายเป็นประจำก็คือขายชากาแฟ  ข้าวแกง  ขนมหวาน  ลูกลองนึกดูให้ดีซิว่าต้องใช้อุปกรณ์มากมายขนาดไหน  ลูกคงเคยเห็นคุณแม่เคยขายอาหารตามสั่ง ชากาแฟอยู่ที่บ้านลูกลองคิดดูว่ามันยุ่งยากขนาดไหน  ในการจัดเตรียมเพื่อขายในตอนเช้า  ซึ่งปัจจุบันด้วยแล้วมีโต๊ะพับ  เก้าอี้พลาสติก  อุปกรณ์ทุกอย่างเบา  แต่สมัยนั้นต้องใช้เก้าอี้ม้ายาวภาษาอังกฤษก็คือ Bench วัสดุที่ใช้ประกอบเป็นม้านั่ง ใช้ไม้หนา ๆ ทั้งตัวม้านั่งและขาทั้งสี่ขานั่นเอง ลูกลองคิดดูว่าน้ำหนักมันขนาดไหนที่เด็กวัยห้าหกขวบเช่นคุณพ่อกับอาร์มนตรีจะต้องแบกมันไปทีละตัวเพื่อให้ลูกค้าได้นั่งทานอาหารกัน ระยะประมาณสามสี่กิโลเมตรบนทางเดินที่แสนลำบากสายนี้นั้นให้ลองนึกสภาพดู ทั้งน้ำเหงื่อและน้ำตามันจะขนาดไหน? กว่าจะมีโอกาสได้นั่งดูหนังตะลุงที่คุณพ่อชื่นชอบได้สักครั้งให้ลูกลองคิดดู เมื่อไปนั่งดูหนังก็เพลียหลับหน้าโรงหนังตะลุงเกือบทุกครั้งจนน้ำค้างพรมลงมาโดนเสื้อและหัวจนเปียกโชกและในบางครั้งตื่นมาก็เช้าแล้วเพราะหนังตะลุงสมัยนั้นเขาแสดงกันจนสว่าง หากคณะใดแสดงไม่สว่างหรือเลิกก่อนเวลากำหนดชาวบ้านจะด่าถึงกับสาบแช่งหนังตะลุงและนักจัดรายการผู้นั้นให้เสียชื่อเสียงและขาดความเชื่อถือจากประชาชนแบบปากต่อปากไปเนิ่นนานเลยทีเดียว

        มโหรสพส่วนมากที่จะนำมาแสดงให้ชาวบ้านได้รื่นเริงกันก็แล้วแต่ละงานที่จะใหญ่หรือเล็กแต่ส่วนใหญ่แล้วหนังตะลุงมโนราห์ดูจะเป็นศิลปินประจำทุกเทศกาลไม่ว่าจะมีงานรื่นเริงที่ใดก็ตาม เพราะนั่นคือเอกลักษณ์สำหรับงานรื่นเริงของพวกเราชาวใต้เกือบทุกท้องที่ อีกเช่นกันหนุ่มสาวจะเกี้ยวพาราศีกันก็ในงานแบบนี้เอง เพราะหากใครชอบใครก็จะนัดเจอกัน นัดคุยกันที่งานเทศกาลเช่นนี้

        แต่สำหรับคุณพ่อแล้วงานแบบนี้ไม่อยากให้มีเลย เพราะนั่นคือความเหนื่อยที่จะเกิดขึ้นสำหรับคุณพ่ออีกสำหรับชีวิตคุณพ่อด้วยแล้วเรื่องการใช้ชีวิตเป็นอิสระเสเพลแทบไม่มีเอาเสียเลย เพราะคุณย่าไม่เคยปล่อยให้พวกเรา ( หมายถึงทุกคนภายในบ้าน ) ได้อิสระสำมะเลเทเมาเหมือนครอบครัวอื่นเลย คุณย่ามีกฎเหล็กสำหรับลูก ๆ ทุกคน ห้ามเด็ดขาดเรื่องการไปนอนค้างบ้านเพื่อนยกเว้นเหตุจำเป็นจริง ๆ ที่ได้แจ้งให้ทราบก่อนล่วงหน้าเท่านั้นจึงจะกระทำได้ พี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคนจึงอยู่กับร่องกับรอยไม่มีใครเกเร ลักเล็กขโมยน้อยอย่างคนอื่นทั่วไปในละแวกนั้น

              
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×