คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : My Boss :: note02
(note 02)
[Luhan Part]
ผมกำลังนั่งอยู่บนรถที่มีหุ่นยนต์เท่าตัวคนจริงๆหรืออาจจะสูงกว่าผมสักหน่อยเป็นคนขับรถไปส่งที่บริษัทให้
“ชานยอล นี่คุณกะจะให้ผมนั่งเป็นใบ้ตายอยู่ในรถใช่ไหม” ชวนคุยกันหน่อยก็ได้ ฮัลโหล
“ท่านประธานต้องการอะไรหรอครับ”
“พูดน่ะพูด ชวนผมคุยหน่อยก็ได้ คุณคงจะไม่อยากให้ผมนั่งเงียบไปจนถึงบริษัทหรอกใช่ไหม”
“อยากครับ”
อ่าว เห้ย! เดี๋ยวๆ
“หึ แล้วท่านประธานจะให้ผมชวนคุยเรื่องอะไรล่ะครับ” สายตาเรียบเฉยใต้แว่นสายตานั้นนั่งมองผมผ่านกระจกสลับกับถนนตรงหน้าไปมาอย่างยิ้มๆพร้อมกับสองมือนั้นที่คอยประคองพวมาลัยรถไปเรื่อยๆ
นั่งดูอยู่ตรงเบาะหลังตรงนี้แล้วก็ขัดใจไอเลขาคนนี้นอกจากมันชอบทำตัวนิ่งๆสุขุมและวิชาการแล้วมันยังชอบทำตัวหล่อเกินหน้าเกินตาอีก นี่ถ้าเกิดเป็นคนไม่มีมารยาทนะป่านนี้ผมตบกระบาลมันไปนานแล้ว แต่ไม่ทำไง ไม่ใช่เพราะมีมารยาทไรหรอก แต่แขนมันยาวกว่าถ้าเอื้อมมาตบกลับนี่เห็นดาวอ่ะ
“เคยมีแฟนไหม?” เห็นมันนิ่งๆแบบนี้ ผมเองก็อยากจะรู้ละเกินว่าคนอย่างปาร์ค ชานยอลจะเคยมีแฟนกับเขาหรือเปล่า ที่ว่าเจ๋งจริงเนี่ยจะเคยมีประสบการณ์เหมือนกับผมป่าวเหอะ นี่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ และ…เสียไปเยอะเหมือนกัน..
“นึกยังไงท่านประธานถึงถามเรื่องนี้ล่ะครับ”
“ไม่มีอะไร ตอบๆมาเหอะน่า คุยฆ่าเวลาไง” แล้วมันก็เงียบไปสักพักนึง จนผมกำลังจะถามย้ำอีกรอบเพราะจะได้ให้คำปรึกษา หน้าตาอย่างมันนี่หาแฟนยากแน่ๆ นี่อยากช่วยล้วนๆไม่มีเสือกผสม แต่พอขับมาถึงไฟแดงเท่านั้นแหละมันถึงยอมพูดออกมา
“ไม่มีครับ”
เห็นมั้ยลู่หานว่าล๊าววววววววววววววว
“แล้วท่านประธานล่ะครับ”
นั่นไงเข้าตัวเลยมั้ยล่ะ
ถามอย่างเดียวไม่พอนะ ยังอุตสาห์หันมารอคำตอบอีก นี่ถ้าไม่ติดว่าตัวเลขบนสัญญาณไฟจราจรมันยังอยู่ประมาณแปดสิบกว่าๆนะ ป่านนี้หาเรื่องให้มันขับรถออกไปแล้ว แต่ ลู่หานคนแมนเขาต้องไม่ทำแบบนั้นว่ะครับคุณ มันต้องแมนๆ
“มี แต่เลิกแล้ว”
ɷ
ใช้เวลาสักพักเลยทีเดียวกว่าจะมาถึงบริษัท แต่ก็นั่นแหละหาเรื่องคุยฆ่าเวลาไง สรุปผมนี่แหละนอยด์แดกคนแรกพอตอบไอเลขาหุ่นยนต์นั่นก็นั่งหงอยอยู่เบาะหลัง นี่ก็ไม่รู้เหมือนกันจะไปนอยด์หงอยห่าทำขี้เกลืออะไร หงิดละเนี่ย เดี๋ยวประชุมอีก โหหห
เห้ย! ประชุม เท่ากับ เจอไอหน้าหล่อ
หยุดเดินอย่างพึ่งคิดได้ ก่อนจะพยักหน้าส่งๆให้มนุษย์หุ่นยนต์(ฉายาชานยอลอย่างเป็นทางการ)ที่หันมามองให้เดินเข้าไปก่อน เชี่ยยยย นี่จะต้องเจอไอนั่นจริงๆหรอวะ
“พี่ลู่หาน!?”
หยุดคิดอยู่แค่นั้นแล้วหันไปตามเสียงเรียกก็เจอกับเด็กผู้ชายที่คุ้นเคยกำลังชี้หน้าผมด้วยท่าทางตกใจ นี่มัน!
ตัวดำ
หน้าเหมือนคนเมาง่วง
และ.. ถุงกระดาษสีน้ำตาลใบนั้น..
“จะ..จงอิน!”
เหยดแหม่ นี่มันน้องชายมินซอก
เจ้าของชื่อที่ผมเรียกฉีกยิ้มกว้างก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ผมอย่างทึ่งๆ อย่าว่าแต่มันทึ่งเลยผมนี่ก็ทึ่ง เมื่อวานเจอพี่วันนี้เจอน้อง ขำแรง
“ไม่เจอกันแปปเดียว โตขึ้นเยอะเลยนะเรา” ผมยื่นมือไปตบไหล่น้องมันหนักๆ “ตอนนั้นจำได้ว่ายังเด็กๆอยู่เลยว่ะ”
“ตอนนั้นนี่ตอนที่เป็นแฟนกับพี่ผมน่ะหรอ”
ฉึ่กก
“แล้ว.. แปปเดียวของพี่นี่สำหรับใครบางคนพี่ไม่คิดว่ามันโครตนานบ้างหรอ”
ฉึ่กก
“หึ ผมพูดถึงโดยภาพรวมแล้วน่ะครับ สองปีมันนานจะตายน่า” น้องมันแค่นยิ้มและก้มหน้าดูดน้ำในแก้วที่มันถืออยู่ “ดีใจนะที่พี่กลับมา มาตั้งแต่เมื่อวานหรอ”
“อ่าห้ะ รู้ได้ไงเนี่ย จิตสัมผัสหรอเรา”
“จิตสัมผัสบ้านพี่ดิ ผมอยู่กับพี่มินซอกพี่เขาก็ต้องบอกผมดิ”
ถ้าจะพูดขนาดนี้เรียกพี่ว่าควายก็ได้จงอิน
“แล้วนี่พี่มาทำไรที่นี่อ่ะ”
“มาทำงาน ” นั่นทำหน้างงแดกอีก กำลังสงสัยอยู่สินะทำไมมาเกาหลีวันเดียวกูมีงานทำ คืองี้ไอน้อง.. “พี่เป็นประธานของที่นี่
“อ๋อ.. ห้ะ!อะไรนะ” จู่ๆน้องมันก็พูดขึ้นเสียดังอย่างตกใจ จนพนักงานบริษัทผมที่ผ่านไปผ่านมาอยู่แถวนั้นหันมามองกันเป็นตาเดียว แล้วก็ละความสนใจจากเราสองคน
“ก็.. ตามที่ได้ยินเลย ฮ่าๆ แล้วนายล่ะมาทำอะไรที่นี่” ผมถาม แต่ไอเด็กคนนี้มันก็ยังอ้าปากค้างทำตาเหลือกจ้องผมขึ้นลงๆอยู่ท่าเดิม เห้ย นี่ถ้าไม่พูดอีกนี่ผมจะนึกว่ามันช็อคตายไปแล้วนะ แต่เออ มันช้อคไรวะ หล่องง ผมยืนโบกไม้โบกมืออยู่ข้างหน้ามันอยู่สองสามครั้ง แล้วมันก็ได้สติ
“อาหารหมา!”
“ห้ะ?” อย่าบอกว่าน้องที่กูรู้จักมานานเกิดอาการเสียสติอยากทดลองแดกอาหารหมา อาเมน..
“อะ.. อ๋ออออ ผมหมายถึงจะมาซื้ออาหารหมาให้มงกูน่ะ”
“ซื้ออาหารหมา? ที่นี่?” บริษัทผมขายอาหารหมาด้วยหรอ นี่พึ่งรู้กลยุทธ์ทางการขายแบบใหม่งี้เหรอ หรือน้องมันเมาแดดหรืออะไรยังไงเอาดีๆ
“ที่นี่แหละ.. เอ้ย! ไม่ใช่พี่” กูว่ามันเมาแดดดูสิดำหมดแล้วเนี่ย “มัน.. มันอยู่แถวนี้แหละ แต่ผมจำทางผิดอ่ะ เอ~ อยู่ไหนวะ” มันทำท่าสอดส่องมองตึกนู้นตึกนี้ไปเรื่อยๆ แต่นี่แอบเหลือบไปเห็นมือข้างที่มันกำลังถือถุงกระดาษอยู่เลื้อยไปล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป่ากางเกง
“ให้พี่ช่วยหาไหม”
“ไม่ๆ ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวผมโทรถามหมามันดูก็ได้ ไว้เจอกันนะพี่ ผมไปละ” ยกมือข้างที่ถือแก้วน้ำโบกมือลาผมลวกๆก่อนมันจะรีบสับเท้าเดินออกไปจากตรงนี้ เห็นหลังมันแวบๆก็เดินเลี้ยวหายไปไหนแล้วไม่รู้..
รู้ตัวอีกทีนี่ก็หงิดใจกับคำพูดมัน ‘โทรถามหมา’ โหยย จากเกาหลีไปสองปีนี่ก็ไม่นึกว่าวิทยาการด้านเทคโนโลยีมันจะล้ำหน้าขนาดทำให้หมาคุยโทรศัพท์กับคนได้
สงสัยจะใช้วุ้นแปลภาษา มึงยื้มโดเรม่อนมาใช่มั้ยล่ะ
ถุ้ย! ขนาดใช้ตีนยกโทรศัพท์มันยังทำไม่ได้เล้ย
ɷ
[Minseok Part]
“เดี๋ยวเรานั่งรอสัมพาทย์อยู่ตรงนี้นะ พี่จะไปประชุมก่อน” รอยยิ้มหวานผุดขึ้นมาบนหน้าของพี่อี้ฟาน และผมเองก็พยักอย่างเข้าใจก่อนมือหนาของพี่เขาก็ยกขึ้นมายีหัวเบาๆ “อย่าซนล่ะ”
“รู้แล้วน่า พี่รีบไปประชุมเถอะเดี๋ยวจะสายเพราะผม” ผมดันอีกคนพร้อมกับทำมือปัดๆไล่ให้อีกคนไปได้สักทีอยู่ตรงนี้ๆนานมันไม่ดีหรอกนะ ทั้งเรื่องประชุมแล้วก็เรื่องสมัครงานของผมเอง ก็เดี๋ยวคนเขาจะหาว่า คิม มินซอกคนนี้ใช้เส้นส่ายของซีอีโอเขามาใช้เพื่อเข้าที่นี่ไง เหอะ นั่นมันไม่ใช่นิสัยผมสักหน่อยที่จะต้องให้คนอื่นมานั่งนินทาตัวเอง
“มีไล่กันด้วย ฮ่าๆ พี่ไปล่ะสู้ๆนะ” ชูสองนิ้วขึ้นมาให้แล้วพี่เขาก็เดินออกไปอย่างยิ้มๆ
Rrrr
เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น
ผมโค้งหัวเล็กน้อยให้คนข้างๆที่กำลังนั่งซ้อมสัมพาทย์อย่างตั้งใจ และผมดันไปทำเสียงดังเข้า นั่นทำให้พวกเขาต้องไม่มีสมาธฺไปช่วงนึงแน่ๆ ผมเลยเลือกที่จะไปรับตั้งแต่ตรงนั้นแต่เดินห่างออกมาจากที่นั่นอีกหน่อยก่อนจะล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาดูชื่อของคนที่โทรมา
‘คุณชายจงอิน’
“ว่าไง” ผมถามปลายสายที่พึ่งมาส่งผมเมื่อเช้านี้
(พี่! นั่นอยู่ไหนอ่ะ)
“อยู่ในบริษัทไง รอสัมพาทย์อยู่”
(เห้ย! พี่คิดให้ดีๆก่อนนะ จะสมัครที่นั่นจริงๆหรอ)
“ก็จริงอ่ะดิ พี่อี้ฟานอุตสาห์หางานให้ฉันนะโว้ย)
(หาที่อื่นทำดูไหม เชื่อเถอะว่าถ้าพี่รู้ว่าผมไปรู้อะไรมาพี่จะไม่อยากทำ)
“จะบ้าหรอห้ะ! แกก็รู้ว่างานสมัยนี้หายากแค่ไหน แล้วนี่ไปรู้อะไรมาอ่ะ” ผมเริ่มเหลืออด
(คืองี้นะพี่--)
“ขอโทษนะครับ” ยังไม่ทันที่ผมกำลังจะได้ฟังน้องมันพูดจบ ก็มีผู้ชายคนนึงเดินเข้ามาและนั่นทำให้ผมบอกกับจงอินไปก่อนว่า ‘ค่อยคุยกันทีหลังนะ’ และหันมาให้ความสนใจกับผู้ชายที่เดินเข้ามาทักผมตรงหน้า เขาดูอายุน้อยกว่าผมสองสามปีแต่หน้าเขาจัดได้ว่าดูดีๆทีเดียว
“ครับ มีอะไรหรอครับ?”
“คือผมจะมาถามทางน่ะครับ แหะ” คนตรงหน้าผมพูดพลางยิ้มจนตาปิดพร้อมกับเกาท้ายทอยตัวเองราวกับว่าการถามผมแบบนี้เป็นเรื่องน่าเขินอาย แต่ดูเหมือนเขาจะสังเกตุเห็นบัตรที่ให้สำหรับคนที่มาสัมพาทย์งาน ห้อยอยู่ที่คอผมเข้า และของเขาก็มีเหมือนกัน “มาสัมพาทย์งานเหมือนกันหรอครับเนี่ย”
“อ่าครับ ฮ่าๆจะถามทางไปห้องสัมพาทย์ใช่ไหมครับ”
“รู้ทันด้วย”
“ห้อยบัตรเดียวกันแบบนี้ก็พอจะเดาออกน่ะครับ ทางนี้ครับ” ผมพยักเพยิดหน้าให้เขาเดินตามมา
เราสองคนเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องสัมพาทย์เดิมก่อนจะนั่งลงข้างๆกัน เพื่อรอเรียกเข้าไปในห้อง แต่ตอนนี้ยังไม่มีใครถูกเรียกชื่อสักคนเพราะคนที่จะมาสัมพาทย์เราดันติดประชุมเหมือนกับพี่อี้ฟาน พวกเราทั้งหมดเลยได้แต่นั่งซ้อมกันอยู่นอกห้อง
“ชื่ออะไรหรอครับ?” เสียงคนข้างๆผมที่เจอกันเมื่อครู่นี้ถามผมขึ้น แต่ไม่รู้จะหูฝาดไปเองรึเปล่าน่ะสิ ไม่ค่อยมีใครอยากจะคุยกับผมเท่าไรหรอก เพราะปัญหาเดียวคือ ผมคุยไม่เก่ง
“ครับ?” ผมหันมองซ้ายขวา “ถามผมใช่ไหม”
“อื้อ คุณนั่นแหละ” เขาเว้นระยะ “คือ ยังไงๆเราก็อาจจะได้ทำงานด้วยกันอยู่แล้ว ก็ควรทำความรู้จักกันไว้เนิ่นๆไม่ใช่หรอครับ”
“ก็ถูกของนายนะ ผมชื่อ คิม มินซอก จะเรียกพี่ก็ได้เพราะดูท่าทางนายจะอายุน้อยกว่า”
“ไม่ค่อยน่าเชื่อเลยนะครับ” แล้วเขาก็เบะปากใส่ผม
ไอเด็กนี่
“ฉันน่ะ24แล้ว ถ้านายจะบอกว่านายอายุเท่าฉัน ..หน้านายมันไม่ใช่นะ” หน้าเขาดูเด็กมาก แต่ก็ดูมีความเป็นผู้ใหญ่อยู่พอสมควรเหมือนกัน “ให้เดานายคงอายุประมาณ21”
“โหห..”
“ทายถูกใช่ไหมล่ะ”
“ครับ ผม21 แต่คุณไม่น่าจะใช่ หน้าดูเด็กกว่าผมอีกรู้ตัวไหม”
“ไม่เชื่อก็ตามใจเถอะ เอ้อ!ฉันยังไม่รู้ชื่อนายเลยนะ”
“ผมชื่อ เซฮุนครับ โอ เซฮุน น่ะ”
T A L K I E
ตอนหน้าจะได้เจอกันแบบตัวต่อตัวแล้วนะ
ช่วยเม้นเป็นกำลังใจกันด้วยน้า
ความคิดเห็น