ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Marvel || Broken Throne (OC feat. Thorki, Stony, Spideypool, etc.)

    ลำดับตอนที่ #22 : Broken Throne S2 || Ch 7

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 386
      28
      18 ธ.ค. 62

    || B R O K E N T H R O N E ||

    s e a s o n 2

    ----------------------------

    CHAPTER 7

     

     

     

    เจ็บชะมัด

    เจ็บร้าวไปทั้งร่าง

     

    เปลือกตาขยับเล็กน้อย แล้วจึงค่อยๆลืมขึ้น

     

    สคาดิหายใจออก มองไปรอบกาย

    เธออยู่ที่ไหน?

     

    ดวงตาสีฟ้าหรี่ลงเมื่อพบว่ากำลังนั่งคุกเข่าอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ดำมืดและน่ากลัว

     

    อย่าบอกนะว่า...

     

    กลิ่นอายของเอเธอร์แผ่ออกไปรอบๆ ส่งผลให้เธอรู้สึกวิงเวียนและอ่อนเพลีย ความเจ็บแปลบที่ช่องท้องทำให้หญิงสาวนิ่วหน้าเมื่อพยายามออกแรงขยับตัว

     

    มีดเวร

     

    ยังดีที่พวกมันยังดึงมีดออกและหาผ้ามาพันให้

     

    หลับสบายดีไหม?” เสียงแหบแห้งชวนขนลุกดังขึ้นจากมุมมืด

     

    ไม่ใช่ภาษาสากล

    อา...เธอเกือบลืมภาษานี้ไปแล้ว

     

    แย่จริงๆ

     

    “เอาข้ามาทำไม?” ถามกลับเสียงแห้งพอๆกัน ดวงตาจ้องไปที่มุมนั้นขณะที่ร่างของเขาปรากฎขึ้น

     

    ดวงตาสีดำสนิทราวกับหินอ๊อบซิเดียนขัดมันมองลึกเข้ามา

     

    มันกำลังจะเข้าไปในหัวเธอ

     

    ไวเท่าความคิด สคาดิสร้างกำแพงขึ้นมาในจิต ป้องกันทุกความคิดและทุกความทรงจำจากการถูกพินิจ

     

    ปฏิกิริยาเจ้าดี...” มาเลคิธชม

    ธยาสซีสอนได้เยี่ยม ธิดาของเขานั้นแข็งแกร่งจริงๆ

     

    “อย่าได้บังอาจกล่าวถึงเขา” หญิงสาวคำราม

     

    เสียงอันเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธนั้นแผ่วลงอย่างกะทันหันเมื่อความเจ็บปวดทั่วร่างแล่นขึ้นมาอีกครั้ง

     

    มือขาวซีดของจอมเอลฟ์มืดยื่นมาข้างหน้า ใบหน้านิ่งเรียบนั้นแฝงความรื่นรมย์อย่างปิดไม่มิด ไอสีแดงลอยออกมาจากปากแผลของเธอและวนไปรอบกาย ส่งผลให้สะเก็ดที่เริ่มก่อตัวขึ้นแตกกระจายออก เลือดสีแดงสดไหลซึมผ่านผ้าขาวขึ้นมาจนเห็นได้ชัดเป็นวงกว้าง

     

    เธออ้าปาก พยายามสูดหายใจช้าๆเพื่อระงับความเจ็บปวดขณะที่ร่างกายบิดไปมาอย่างทรมาน ข้อมือทั้งสองข้างที่ถูกตรึงอยู่กับผนังโดยตรวนเหล็กกำสลับคลาย พยายามไขว่คว้าหาที่ยึดอย่างไร้ประโยชน์

     

    ในที่สุด เขาก็หยุด

     

    ร่างเพรียวทิ้งตัวลงอย่างปวกเปียกอ่อนแรง

    หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เธอค่อยๆผงกหัวขึ้นมามองร่างที่ถือว่าสูงใหญ่ในเกราะสีดำอีกครั้ง

     

    เส้นผมที่หลุดลุ่ยปรกลงมาซ่อนใบหน้า ปิดทัศนวิสัยไปบางส่วน

     

    “...ต้องการอะไร?”

     

    อะไรกัน ได้คุยกับเอลฟ์ด้วยกันทั้งทีแต่กลับไม่ยอมพูดด้วยภาษาเดียวกัน...โอดินล้างสมองเจ้าจนจำไม่ได้แล้วรึไงว่าต้องกล่าวอย่างไร?” มาเลคิธกอดอก

     

    ดวงตาสีฟ้าเทาทอประกายคมปลาบ

     

    “ไม่...ได้...ลืม”

     

    เขายิ้ม

    “งั้นสิ?” ผิวซีดๆของมาเลคิธทำให้สามารถเห็นมุมปากที่กดลึกอย่างชัดเจน เขากลับมาพูดภาษาสากลดังเดิม

    น่าถีบที่สุด

     

    “พูดให้ข้าได้ชื่นใจหน่อยซิ...องค์หญิง”

     

    เทพีแห่งเหมันต์เม้มปาก ไม่ยอมเอ่ยคำใดออกมา

     

    เขาเอียงคอ มือยังไม่คลายออกจากกัน

    “เอางั้นก็ได้”

     

    เอลฟ์มืดตัวหนึ่งที่มีขนาดพอๆกับไอ้ตัวที่แทงเธอก้าวออกมา ตะครุบเข้าที่หัวของเธอและจิกนิ้วหยาบๆเข้าไปในผม

    ใบหน้าถูกกระชากให้แหงนหงายขึ้นมาสบกับดวงตาน่าขนลุกนั้น

     

    สคาดิไอออกมาอย่างเจ็บปวดและกล้ำกลืนเลือดคาวๆที่แล่นขึ้นมาจุกที่ในลำคอลงไป

     

    “เรามาคุยเรื่องอื่นกันดีกว่า” เขาว่า

     

    เธอเม้มปากแน่น พยายามซ่อนความกลัวในดวงตาลงไปในขณะที่มือขนาดมหึมาด้านหลังดึงผมลงจนใบหน้าแหงนขึ้นมากกว่าเดิม ป้องกันไม่ให้เธอก้มหน้าลง

     

    ปลายนิ้วขาวซีดของมาเลคิธแตะลงบนแก้มเนียนทำให้ร่างทั้งร่างของเธอสั่นเทิ้ม

     

    “ข้าคิดออกแล้ว” เขาทำหน้าแจ้งกระจ่างอย่างน่าหมั่นไส้

    “เรามาคุยกันเรื่อง...อาณาจักรของเจ้าดีไหมล่ะ?”

     

    “อาณาจักรข้า...ถูกเจ้าทำลายจนพินาศกลายเป็นดินแดนรกร้างที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง ประชาชนของข้าบ้านแตกสาแหรกขาด พลัดพรากจากกันไปไม่รู้อยู่ตรงไหนบ้างแล้ว...ถ้านั่นคือคำตอบที่เจ้ากำลังตามหาอยู่” ประโยคที่ยาวที่สุดนับจากที่ตื่นมาถูกเปล่งเค้นลอดไรฟัน

     

    เอลฟ์มืดยิ้มและหัวเราะน่ากลัว

     

    “โอ้...ไม่ ไม่ทั้งหมดหรอก”

     

    ดวงตาสีฟ้าเทาราวเมฆฝนหรี่ลง

    “หมายความว่ายังไง?”

     

    ปลายนิ้วที่ตอนแรกกดอยู่กับแก้มค่อยๆลากไล้ไปตามโครงหน้า

     

    “ข่าวนี้มาถึงข้าเมื่อไม่นานมานี้...ยังคงมีเอลฟ์น้ำแข็งบางส่วนอยู่ในดินแดนรกร้างที่เจ้าว่านั้น และกำลังจะหาทางกอบกู้บัลลังก์เยือกแข็งขึ้นมาใหม่”

     

    คิ้วเรียวขมวดเป็นปม

    “เป็นไปไม่ได้”

     

    “มันเป็นไปแล้ว สคาดิที่รัก...” ดวงตาสีดำสนิทจ้องเข้ามา

    รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่พยายามแทรกเข้ามาในความคิดของเธอ ทรงพลังขึ้นเรื่อยๆจนเธอต้องกัดฟัน

     

    “และเจ้าต้องบอกข้าว่าที่ซ่องสุมกำลังของพวกมันคือที่ไหน”

     

    เธอหรี่ตา

    “ถ้าไม่...” ใบหน้างดงามขยับขึ้นไปจนแทบชิดเขา

     

    “แล้วจะทำไม?”

     

    ความเจ็บปวดแทรกเข้ามาในร่างฉับพลันจนร่างเพรียวลงไปกองกับพื้น เสียงกรีดร้องถูกกักไว้ภายใต้ฟันที่ขบกัดกันแน่น ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวด้วยความทรมาน

     

    มาเลคิธมีสีหน้าเรียบนิ่ง เขาดึงกริชเคลือบเอเธอร์ออกมาจากร่างของเธอและยื่นมือออกมาอีกครั้ง ทำให้สสารแดงลอยออกมามากกว่าเดิม

     

    สคาดิยึดตรวนข้อมือเอาไว้เพื่อกันไม่ให้ตนลงไปดิ้นเร่าๆอยู่กับพื้น

     

    เส้นสีแดงสดเริ่มปรากฏขึ้นชัดที่แขน ขา และต้นคอ

    มันลามไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็วจนแตะใต้ตาทั้งสองของเธอ

     

    “บอกมา แล้วข้าจะหยุดมัน” เอลฟ์ที่เธอเกลียดสุดชีวิตสั่งนิ่งๆ

     

    หญิงสาวหยัดกายขึ้นอย่างอ่อนแรง

     

    “...ข้าไม่รู้”

     

    ความจริงคือเธอไม่รู้

     

    มีคนเหลือรอดจากสงครามนั้นด้วยเหรอ?

     

    “เจ้าโกหก” มือขาวซีดในสนับสีดำค่อยๆกำ ทำให้ความทรมานเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี

     

    สคาดิกัดปากตนเองจนเลือดออก

     

    “ข้า...ไม่รู้จริงๆ”

     

    ข้าไม่เชื่อ!!!!” เขาร้องอย่างเดือดดาลด้วยภาษาเอลฟ์มืด มือที่กำอยู่เริ่มฟาดไปมา ส่งให้เธอถูกเหวี่ยงตามด้วยพลังของเอเธอร์ที่อยู่ในกาย

     

    ผนังห้องนั้นแข็งและเย็น มันทำให้ผิวของเธอฟกช้ำเป็นจ้ำทุกครั้งที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างปะทะกับมัน

     

    ตรวนทำหน้าที่ของมันได้ดี มันตรึงเธอไม่ให้ปลิวข้ามห้องไปไหนจนเธอรู้สึกเหมือนเป็นบานประตูที่ถูกลมพายุซัดแต่ยังไม่หลุดออกจากวงกบ

     

    “เจ้าทำได้ยังไง...?” เธอหอบเมื่อเขาพักเหนื่อย

     

    “กริชนี่น่ะนะ?” ราชาห้วงมืดยกอาวุธสีดำสนิทขึ้นมา

    “อภินันทนาการจากสมัยทำสงครามกับบอร์ บิดาของโอดินไง”

     

    “เป็นหนึ่งในอาวุธที่ไม่เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ต้องขอขอบคุณบิดาบุญธรรมเจ้านะที่เก็บมันไว้ในคลังแสง อัลกริมเห็นเลยเอาพวกมันทั้งหมดมาคืนให้ข้า”

     

    ร่างในเกราะสีดำด้านๆจนดูเผินๆเหมือนกระดาษย่างไปทั่วห้อง

     

    “เจ้าจะไม่บอกข้าจริงๆสินะว่าพวกนั้นอยู่ที่ไหน?”

     

    “ก็บอกไปแล้วไง...” สคาดิทรงตัวขึ้นนั่งขัดขา

    “ข้าไม่รู้”

     

    เลือดสีสดชโลมไปทั่วบริเวณที่เธอนั่งอยู่ เปรอะเปื้อนหน้าแข้ง เส้นผม และใบหน้า มีบางส่วนที่ติดอยู่กับผนังไม่ไกลออกไปนักจากการที่เธอถูกเหวี่ยง

     

    “ถ้าเช่นนั้น...” มาเลคิธเล่นกับปลายมีด ดวงตาไร้แววนั้นส่งผ่านความเกรี้ยวกราดอย่างฉับพลันมาที่เธอ

     

    ข้าจะให้เจ้าได้มองมิดการ์ดถล่มลงด้วยตาตนเอง และขอสาบานกับบรรพชนว่าความตายของพี่ชายเจ้าจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เจ้าเห็น...ก่อนที่ข้าจะควักลูกตาเจ้า และตัดอวัยวะเจ้าทีละชิ้น และหย่อนเจ้าลงไปในห้วงเอเธอร์ และทิ้งเจ้าให้ร้องขอความตายที่น่าอภิรมย์กว่าสิ่งที่เจ้ากำลังประสบพบเจอ” เขี้ยวของเขาขาวเหมือนฟันหมาป่า เสียงของเขาเหี้ยมเกรียมขึ้นไปอีกเมื่อพูดด้วยภาษาแม่

     

    และรู้อะไรมั้ย? ข้าจะทำมันขณะที่หัวเราะไปด้วย"

     

    ดวงตาสีฟ้าไร้วี่แววความหวาดกลัวมีประกายบางอย่างพัดผ่าน ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว

     

    หญิงสาวประคองตนขึ้นไปใกล้ใบหน้าของมันและเอียงหน้าไปใกล้หูแหลมๆข้างนั้น

     

    เธอกระซิบลอดไรฟันอย่างหนักแน่น

     

    ดี...ข้าไม่กลัวเจ้าดอก เอลฟ์มืด

     

    มาเลคิธนิ่งไปสักครู่ เขาขยับกายออกห่างจากเธอและแหงนหน้าหัวเราะอย่างพึงพอใจ

     

    “ฮ่าๆๆๆๆ ข้าดีใจนะ ในที่สุดเจ้าก็พูดภาษาบ้านเกิดให้ข้าฟังสักครั้งก่อนจะไม่ได้พูดอีกต่อไป”

     

    มุมปากหญิงสาวกดลึกเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ย

     

    เขามองลงมาที่เธอเหมือนกับยักษ์ที่กำลังมองมดตัวจ้อยที่อยู่ตรงปลายเท้า

     

    “ข้าก็หวังอยากอยู่เล่นกับเจ้าต่อนะ องค์หญิง แต่เรามาถึงมิดการ์ดแล้ว และข้าก็มีธุระที่นี่”

     

    เขายื่นหน้ามาใกล้อีกครั้ง

    “เมื่อข้าบดขยี้โลกนี้แล้ว สคาดิที่รัก...”

    “เราจะมีเวลาว่างกันอีกเยอะเลยล่ะก่อนที่ข้าจะไปพิชิตที่อื่นต่อ”

     

     



     

     

           สคาดิเผลอหลับไป

     

           แค่ชั่วขณะที่มาเลคิธเดินออกจากยานเพื่อลงไปจัดการมิดการ์ด

           เพียงตื่นเดียวเท่านั้น

     

           เธอถูกปลุกด้วยความรู้สึกบางอย่าง

     

           ความโกรธเกรี้ยวของใครบางคน และความหวังของคนคนเดียวกัน

     

           ...โซลเมต?

     

           เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นยานดังกังวานไปทั่ว

     

           ไอหน้าซีดนั่นกลับมาแล้วเหรอ?

     

           ก็ดี...จะได้เจอกับท่านพ่อท่านแม่อีกครั้ง

           หวังว่าเมื่อทุกอย่างจบลง เธอจะได้ตื่นขึ้นที่ฟอล์กแวนเกอร์*นะ

     

           เลือดที่แห้งกรังยังคงอยู่บนร่างและปรากฏเป็นปื้นเต็มพื้นสีเงินเข้ม แต่งแต้มให้ห้องนี้ดูคล้ายกับฉากฆาตกรรมในหนังเข้าไปใหญ่

     

           หญิงสาวผ่อนลมหายใจและค้อมหัวลงเพื่อยอมรับโชคชะตา

     

           สติกำลังจะดับวูบไปอีกครั้งในตอนที่รู้สึกถึงการมีอยู่ของอีกอย่างที่ไม่ใช่เอลฟ์มืด ดวงตาสีฟ้าเทาค่อยๆปรือลงอย่างอ่อนแรง

     

           ทันใดนั้น มืออุ่นๆก็เข้ามากอบกุมใบหน้าของเธอ ประคองมันอย่างอ่อนโยนและค่อยๆยกหัวเธอขึ้น

     

           “...สคาดิ” เสียงทุ้มนุ่นอันคุ้นเคย...

     

           วีดาร์

     

           “สคาดิ ได้โปรดตอบข้าหากเจ้าได้ยิน” เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น แล้วมือเรียวก็เป็นอิสระจากตรวน ร่างทั้งร่างร่วงไปข้างหน้าเมื่อปราศจากสิ่งยึดเหนี่ยว

     

           เขารับเธอไว้ในอ้อมแขนแข็งแกร่งนั้น

     

           “...วีดาร์” หญิงสาวเปล่งเสียงแหบแห้งออกมาเป็นการตอบรับ

     

           สูดกลิ่นหอมของต้นซีดาร์และแสงแดดฤดูใบไม้ผลิที่คุ้นเคย เธอค่อยๆซุกหน้าลงไปกับบ่าของเขา

     

           “ออกไปจากที่นี่กันเถอะ” มือแกร่งสอดเข้ามาใต้ข้อพับขาและยกตัวเธอขึ้นแนบอก

     

           ร่างเพรียวสะดุ้งน้อยๆเมื่อการขยับเมื่อกี้กระทบกระเทือนถึงแผลลึกในช่องท้องทั้งสอง

     

           วีดาร์ชะงักอย่างกะทันหัน เขารีบวางเธอลงให้พิงกับขอบอะไรบางอย่างและสำรวจร่างกายที่เต็มไปด้วยเลือดแห้งกรัง

     

           ทันทีที่เขาเลิกชายเสื้อสีเทาที่ถูกย้อมด้วยของเหลวสีแดงสดขึ้นและเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใต้ เสียงคำรามก็ดังขึ้นภายในลำคอ

     

           “ข้าจะไปฆ่ามัน”

     

           เธอแตะหลังมือเขาอย่างอ่อนเพลีย

           “อย่า...”

     

           เทพแห่งการล้างแค้นขมวดคิ้ว

     

           “เขาอันตรายเกินไปหากเจ้ามีเลือดเอลฟ์อยู่ในกาย เอเธอร์นั่น...แค่กๆๆ” เลือดสดๆกระเซ็นออกมาเล็กน้อยๆเมื่อหญิงสาวไอ

     

           “ข้าจะพาเจ้าไปรักษา ทนก่อนนะ”

     

           ริมฝีปากน่าสัมผัสนั้นประทับลงที่หน้าผากเนียน

     

           เขายกเธอขึ้นอีกครั้งและเดินอย่างรวดเร็วออกไปจากห้องนั้น เทพีแห่งสายลมสัมผัสได้ถึงอากาศที่พัดผ่านไป เธอค่อยๆจมลงในห้วงนิทราอีกครั้งโดยที่หัวยังซบอยู่กับอกแกร่ง

     

     

     

     

     

           ดวงตาสีฟ้าเทาค่อยๆปรือขึ้นอีกครั้งและพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนยานสีทองที่พาเธอไปถูกกะซวกที่สวาร์ตอัลฟ์ไฮม์

     

           หญิงสาวหันไปมองรอบๆ

     

           สิ่งที่เธอเห็นมีเพียงวีดาร์ที่อยู่ใกล้ที่สุดเพียงเท่านั้น

     

           ดวงตาสีฟ้าของเขายังคงไม่ละไปจากใบหน้าของเธอ ราวกับว่าเขานั่งมองมันมาตั้งแต่ที่เธอหลับไปแล้ว

     

           “เจ้าหาข้าเจอได้อย่างไร?” เธอถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ

     

           ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง

     

           “ไม่รู้ว่าเจ้าจะหาว่าข้าบ้าไหม...”

     

           “ลองเล่ามาก่อนสิ” เธอยิ้มอย่างอ่อนแรงให้เขา

     

           วีดาร์เม้มปาก

           “เคยได้ยินเรื่องโซลเมตมาบ้างมั้ย?”

     

           ลมหายใจสะดุด หญิงสาวค่อยๆเบนสายตาไปสบกับดวงตาคู่นั้นของเขา

     

           “เจ้า? ข้า?” อยู่ๆเธอก็รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก

     

           “เรา...”

     

           ชายหนุ่มหลับตาลงและพยักหน้าช้าๆ

           “ใช่”

     

           ...เขาและเธอเป็นโซลเมตกัน...

     

           “แล้ว...มาเลคิธ?” เธอกลืนน้ำลาย พยายามหลบสายตาของเขาที่ดูชวนให้หน้าเห่อร้อนขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

    ลฃ

           “ตาย” เขาตอบสั้นๆก่อนจะวางมือลงบนหลังมือของเธอ

     

           “มันจบแล้ว สคาดิ”

     

           หญิงสาวหลับตาลง สูดหายใจสั่นๆ

           “ขอบคุณนะ”

     

           เขายกยิ้มและทาบริมฝีปากลงกับหน้าผากเธออีกครั้ง

     

           “ด้วยความยินดี โซลเมตของข้า”













     

    TALK WITH FM

                  สวัสดีค่ะทุกคนนนนนนน

    ตอนหน้าซีซั่นฟินาเล่แล้วน้าาาา

    ช่วงนี้ไรท์ว่างมาก แถมเอาคอมมาโรงเรียนได้ด้วย เลยมีเวลาปั่นช่วงคาบว่าง

    ขอขอบคุณสำหรับทุกแรงสนับสนุนนะคะ

    ด้วยรักและถุงกาว

    เฟิงมี่ค่ะ>3<

         
    Z y c l o n
       
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×