ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Marvel || Broken Throne (OC feat. Thorki, Stony, Spideypool, etc.)

    ลำดับตอนที่ #56 : 💀DAY OF THE DEAD SPECIAL💐

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ย. 63


    DAY OF THE DEAD SPECIAL

    Lost in Mexico

     (aztec mythology crossover)

     

     




     


           “เยี่ยมไปเลย” ร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีดำเรียบร้อยจนไม่เข้ากับแสงแดดของเม็กซิโกซิตี้ยกนาฬิกาหรูที่แค่เห็นราคาก็ถึงกับต้องสูดปากบนข้อมือขึ้นดู

     

           “ใกล้เที่ยงแล้ว และเรายังหาทางออกจากโรงแรมนี่แบบอยู่ในรถแอร์เย็นๆไม่ได้สักที”

     

           “เปิดประสบการณ์ไง น้องข้า” ชายหนุ่มร่างบึกบึนที่ยืนอยู่ข้างๆล้วงมือลงไปในแจ็คเกตยีนส์สมบุกสมบันของตน ปอยผมสีบลอนด์ทองที่หลุดออกมากจากหางม้ายุ่งเหยิงด้านหลังนั่นระลงถึงไหปลาร้าของเจ้าตัว

     

           ผู้เป็นน้องกระตุกปาก

           “ประสบการณ์อันเลวร้ายนะสิไม่ว่า”

     

           “โลกิ! ธอร์!” หญิงสาวในแจ็คเกตหนังสีดำเดินบนรองเท้าบู๊ทเสริมส้นหุ้มข้อมาหาจากอีกฟากหนึ่งของล็อบบี้ ที่เดินตามมาติดๆคือชายหนุ่มผมไถข้างซึ่งมีหนวดประดับอยู่บนริมฝีปาก

     

           “ตกลงมีรถแท็กซี่มั้ย สคาดิ?” โลกิเลิกคิ้วถาม ดวงตาสีเขียวของเขาหรี่ลงเมื่อเห็นสีหน้ายิ้มแย้มเป็นทองไม่รู้ร้อนของน้องสาวบุญธรรม

     

           “ไม่มี”

     

           แล้วยังจะยิ้มอยู่อีก...

     

           “เดินไปไง” ธอร์เสนอ

           “เห็นว่าแถวนี้มีร้านอาหารอร่อยๆ ไปกินข้าวเที่ยงที่โน่นกัน”

     

           “เข้าท่านะ” ชายหนุ่มข้างกายเทพีเหมันต์กอดอก

     

           “หิวรึยังล่ะ?”

     

           “เริ่มรู้สึกโหวงๆนิดๆแล้ว” เธอยัดไอโฟนใส่กระเป๋ากางเกง

           “เจ้าล่ะ เสตรนจ์?”

     

           “ก็ถึงเวลากินแล้ว” สตีเฟ่น เสตรนจ์โคลงหัว

     

           ฝ่ายคนใส่สูทมาคนเดียวในกลุ่มก็ได้แต่งึมงำคำด่าไม่ได้ศัพท์

     

           “ข้าใส่สูทมานะ จะให้ออกไปเดินร้อนๆแบบนั้นผมได้เสียทรงพอดี”

     

           “ก็เปลี่ยนชุดซะสิ” น้องสาวสวน

     

           “มีที่ไหนกัน มาเม็กซิโกแต่เอาสูทติดกระเป๋ามาอย่างเดียว?”

     

           “ก็เจ้าว่ามันมีพิพิธภัณฑ์” เขาพ่นลมหายใจออกทางจมูกดังพรืด

           “พิพิธภัณฑ์ก็ต้องมีแอร์มั้ย”

     

           “โถ พี่ชาย” สคาดิเบะปาก

           “ใจคอจะไปที่นั่นแค่ที่เดียวเลยรึ?”

     

           “มีที่อื่นให้ไปอีกรึไง?”

     

           “ก็...” ร่างเพรียวบุ้ยใบ้ไปข้างนอกประตูกระจกของโรงแรม

     

           สีหน้าของเทพคำลวงซีดลง

           “ไม่เอาน่า”

     

           “ลองดูสักนิดเถอะ” เธอคะยั้นคะยอ

           “เทศกาลวันแห่งความตายเป็นสิ่งที่ปีนึงมีครั้งเดียว แถมยังเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวด้วยนะ”

     

           ดวงตาสีเขียวมรกตสบกับคู่สีฟ้าเทาอยู่พักใหญ่ ก่อนที่คนเป็นพี่จะยกธงขาวยอมแพ้

     

           “เอาก็เอา” ชายหนุ่มผมดำนวดหว่างคิ้ว

           “ยังไงก็ต้องหาอะไรทำระหว่างที่เจ้ากับไอ้จอมเวทย์นี่ไปจัดการธุระอยู่แล้ว”

     

           “ดีมาก” สคาดิยิ้มหวาน

     

           “อย่างแรกเลย พี่ข้า...เจ้าไปเปลี่ยนชุดก่อน เดินออกไปสภาพนี้ได้ถูกแดดเม็กซิโกอบตายแน่”

     

           เรื่องทั้งหมดมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อสองสามวันก่อน

     

           มันเป็นหน้าร้อนย่างเข้าใบไม้ร่วงในปี 2025

     

           เธอที่ทนเห็นพี่ชายทั้งสอง(คนหนึ่งฟิตหุ่นจนกลับมาเป็นเหมือนเดิม ส่วนอีกคนก็กลับมาจากความตายได้อย่างปาฏิหาริย์...เรื่องมันยาวมาก ไว้ค่อยเล่าทีหลัง)เอาแต่ขลุกอยู่ในนิวแอสการ์ดไม่ได้กำลังคิดหาทางลากพวกเขาออกมาในตอนที่มีจดหมายมาส่งถึงหน้าบ้านพัก

     

           เมื่ออ่านมันจบ แผนการก็เกิดขึ้นในหัวทันที

     

           สคาดิชวนพี่ๆนอกไส้ไปเที่ยวด้วยกันขณะที่เธอต้องไปทำธุระในเม็กซิโกซิตี้

           และไม่รู้ว่าบังเอิญยังไง จู่ๆเธอก็ได้หนีบเสตรนจ์ที่ต้องไปคุยงานกับมาสเตอร์แห่งแซงทั่มเมืองเดียวกันเป๊ะๆไปด้วยเฉย

     

           ได้ไปเที่ยว ได้ไปคุยงาน...ครบเครื่องจริงๆ ทริปนี้

     

           ไม่นานนัก ทั้งสี่ก็เดินออกมาจากโรงแรม ลัดเลาะไปตามถนนจนหยุดที่ร้านอาหารสไตล์โมเดิร์นสตรีทฟู้ด

     

           สคาดิปล่อยให้พี่ๆและเพื่อนร่วมทีมดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบข้างในขณะที่เธอรัวสั่งอาหารอย่างไม่คิดจะยั้ง

     

           “ไก่อบปาปริก้า นาโช่ชีส อะโวคาโดสลัด ทามาเลส ทาโก้เนื้อ ขาแกะ-”

     

           มือเรียวสวยแต่ยังคงความเป็นผู้ชายของคุณหมอที่นั่งเยื้องไปทางขวาเอื้อมมาคว้ามือไว้

     

           “เฮ้ย เพลาๆหน่อย” ดวงตาสีฟ้าเขียวกรอกไปมา

           “อย่าลืมนะว่าฉันจ่าย”

     

           “นายรวยจะตาย” เธอแค่นเสียงเหอะ

     

           “เดี๋ยวนี้ก็ใช้เวทย์ได้แล้วด้วย เสกเงินออกมาจากอากาศยังได้เลยมั้ง”

     

           “นั่นมันวิธีเธอ เรื่องผิดกฎหมายฉันไม่แตะ”

     

           สคาดิบิดปากไปมา

           “...ก็ได้ เอาเท่านี้ก่อน”

     

           ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ เธอก็เท้าคางลงกับโต๊ะแสตนเลส ดวงตาสีฟ้าเทากวาดมองไปรอบๆ

     

           “ดูครื้นเครงจังเลยเนอะ” หญิงสาวเอียงคอ สังเกตชายกระโปรงสีขาวของเหล่าหญิงสาวที่ออกมารื่นเริงตามท้องถนนพลิ้วไหวไปมา

     

           “ทำไมเขาต้องทาหน้าขาวๆ แล้วเพ้นท์เป็นลายกะโหลกด้วย?” โลกิขมวดคิ้ว

     

           “ในวันนี้ตามปฏิทินเก่าแก่ของอาณาจักรแอซเท็ค ชาวเม็กซิโกเชื่อว่ามันคือวันที่ดวงวิญญาณซึ่งล่วงไปอยู่ปรโลกแล้วจะกลับมาเยี่ยมบ้าน” หมอเสตรนจ์เคาะนิ้วลงกับราวไม้ริมร้านเล่น

     

           “ไปปรโลกแล้วกลับมาเยี่ยมบ้านได้ด้วยเหรอ?” ชายหนุ่มผมดำทำตาโต

     

           “ได้สิ” น้องสาวบุญธรรมกอดอก เอนหลังลงพิงพนัก

           “สำหรับพวกเขา ความตายและการไปสู่ดินแดนหลังจากนั้นก็แค่การเดินทางครั้งหนึ่ง...เหมือนย้ายบ้านไปอยู่อีกที่นั่นแหละ”

     

           “แล้วเขาทำอะไรกันบ้าง?” เทพสายฟ้าถาม

     

           “ก็...” เธอลากเสียง

           “สร้างแท่นบูชา จัดขนมนมเนยที่เป็นของโปรดเมื่อคนตายยังอยู่ หลังจากนั้นก็เฉลิมฉลองแล้วไปจุดเทียนวางพวงมาลัย สังสรรค์กันที่สุสาน”

     

           พี่ชายคนกลางทำเสียงอืมในลำคอ ดวงตามีประกายบางอย่างที่แม้จะเบาบาง แต่ก็ไม่สามารถลอดสายตาสคาดิไปได้พาดผ่าน

     

           หญิงสาวลอบยิ้ม ยกแก้วน้ำเย็นๆขึ้นดื่ม

     

           มีคนติดกับแล้วซี

     

     

     

     

     

     

           “อร่อยจัง” ธอร์ลูบพุงตนเอง

           “ขอบใจนะ สเตรนจ์”

     

           “อืม...” คนจ่ายตังค์ตอบเบาๆ แต่สันกรามนั้นถูกขบแน่นจนขึ้นเป็นรอยแล้ว

     

           สคาดิขำในใจ

           เจอสามพี่น้องตระกูลโอดินสันเข้าไป ยังจ่ายไหวอยู่ก็มีแค่มิสเตอร์สตาร์คคนเดียวนี่แหละ

     

           “เจอกันที่ล็อบบี้โรงแรมตอนหกโมงแล้วกันนะ” เธอยกโทรศัพท์ขึ้นดูเวลา

     

           “ใครจะกลับไปนอนก่อนก็โทรมาบอกด้วย”

     

           “ไม่ต้องห่วง” เจ้าของแจ็คเกตยีนส์เก่าคร่ำยิ้มแฉ่ง

           “เดี๋ยวข้าไปกับโลกิเอง อยู่ด้วยกันไว้จะได้ไม่หลง”

     

           “ใครมันอยากไปกับเจ้ากัน” คนถูกพูดถึงแสยะปาก

     

           สคาดิกรอกตาเบาๆ

           ลึกๆก็แอบดีใจล่ะสิที่พี่ชายอยากไปด้วย เธอดูออกแหละ

     

           “งั้นไปก่อนนะ” พูดเท่านั้น ธอร์ก็ลากพี่คนกลางของเธอหายไปในฝูงชน

     

           สคาดิยืนคู่กับร่างสูงโปร่งของคุณหมอนักเวทย์ท่ามกลางฝูงชนที่เพ้นท์หน้าเป็นหัวกะโหลกแบบอาร์ตๆและใส่เสื้อผ้าสีสันสดใสตามสไตล์เม็กซิโกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดหายใจเข้าแล้วล้วงมือลงกระเป๋าแจ็คเก็ตของตนเอง

     

           “เอาล่ะ...” ดวงตาสีฟ้าเทาเหลือบไปมองคนข้างๆ

     

           “แซงทั่มเม็กซิโกซิตี้อยู่ตรงไหนนะ?”

     

           “เธอจะไปแถวนั้นทำไม?” อีกคนขมวดคิ้ว

     

           หญิงสาวเม้มปาก

           “ส่งนาย เดินเที่ยวแล้วก็ไปคุยกับคนที่นัดฉันไว้”

     

           “เขาไม่รอเก้อเหรอ?” สเตรนจ์มีสีหน้าแปลกใจ แต่ก็ยอมพาเดินไปแต่โดยดี

     

           มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มที่ไม่ถึงดวงตาเท่าไหร่นัก

     

           “ไม่หรอก...”

           “ปล่อยให้รอนานๆน่ะดีแล้ว” ท้ายประโยคเสียงแผ่วเบาคล้ายพึมพำกับตนเอง

     

     



     

     



     

     

           หลังจากส่งมหาจอมเวทย์คนปัจจุบันที่หน้าแซงทั่มแล้ว สคาดิก็เดินทอดน่องไปเรื่อยๆตามถนน ได้ขนมจากข้างทางติดมือมาสองสามอย่างก่อนจะค่อยๆหยุดลงที่หน้าตึกแถวแห่งหนึ่ง

     

           มันเป็นอาคารแบบโปรตุเกส ดูเก่าแต่ไม่โทรม ประตูไม้บานใหญ่เรียบหรูปิดกั้นโลกภายนอกเอาไว้ แต่เธอก็ยังสามารถมองลอดหน้าต่างเข้าไปเห็นแสงสีวินเทจภายในร้านได้อยู่ดี

     

           บนวงกบประตูมีป้ายแขวนอยู่ หลอดนีออนสีม่วงบาดตาบนนั้นเขียนเป็นคำ

     

           เดอะ มิเรอร์

     

           หญิงสาวแหงนมองมันแว้บเดียว แล้วผลักประตูเข้าไปอย่างไม่ลังเล

     

           ท่ามกลางหมู่โต๊ะว่างเปล่าที่เรียงรายกันอยู่นั้น ร่างหนึ่งในเสื้อกล้ามสีขาวตัดกับผิวสีแทนและกางเกงเอวสูงทำจากผ้าหนาๆสีเขียวขี้ม้ายืนเด่นอยู่พร้อมกับแก้วบรรจุเครื่องดื่มสีม่วงในมือ

     

           ดวงตาหรี่ๆดูกวนส้นเหลือเกินของเขามองมาที่เธอ แล้วเสียงแหบทุ้มก็ดังขึ้น

     

           “มาสายนะ”

     

           “โทษที” เธอหยิบขนมทอดชิ้นหนึ่งเข้าปากเคี้ยวหงับๆ

           “ของข้างถนนมันล่อตาล่อใจ”

     

           ร่างเพรียวก้าวไปยืนหน้าเคาน์เตอร์ไม้ข้างๆเขา วางถุงใส่ขนมลงบนนั้นแล้วยักไหล่เชื้อเชิญ

     

           “สักหน่อยไหม เทซคัตลิโปคา?”

     

           เจ้าของชื่อกระตุกเครื่องหน้าคมหล่อแต่กวนประสาทนั่น

           “โอ๊ย ชื่ออื่นเท่กว่านี้ก็มี ทำไมต้องเป็นชื่อนี้ด้วย?”

     

           “ก็ชื่อเจ้ามันเยอะ” สคาดิกัดขนมอีกคำ

           “จะให้เรียกว่าอะไร? โอเมอาคาตล์? หรือว่าฮูราคานดี?”

     

           “ชื่อ-”

     

           “รู้แล้ว” เธอขยิบตา

           “เทซซี่ดีกว่า น่ารักขี้เล่นเหมือนเจ้าเลย”

     

           “ข้าไม่ได้น่ารักขี้เล่น” เทซคัตลิโปคาแยกเขี้ยว ยกมือขึ้นยีผมหยิกๆสีดำของตน

     

           เทซคัตลิโปคา หรือโอเมอาคาตล์ หรือฮูราคาน หรืออีกหลายชื่อคือเทพแห่งความตาย สงครามและการกันดารอาหาร เขาเป็นหนึ่งในเทพที่ได้รับความเคารพแพร่หลายในหมู่ชาวแอซเท็คโบราณ มีสัญลักษณ์ประจำตัวคือเสือจากัวร์กับกระจกอ็อบซิเดียน และวีรกรรมที่แสบสันที่สุดอย่างหนึ่งคือการมอมเหล้าน้องชายแท้ๆของตัวเองที่ชื่อเควตซัลโคอาตล์(บางคนก็เรียกเควตซัลโคอาเทิล)จนเมาแอ๋แล้วเผลอเปลี่ยนร่างกลับเป็นงูยักษ์น่ากลัวให้มนุษย์ได้เห็น...รวมถึงทำเรื่องระยำตำบอนอีกหลายอย่างที่แม้แต่เธอก็ยังไม่กล้าพูดออกมาเต็มเสียงได้

     

           ใช่ พี่ชายแห่งปีเลยแหละ แซงหน้าธอร์กับโลกิได้สบายๆ

     

           “ข้าดีใจนะที่เจ้าปิดบาร์เพื่อข้าเลย” เธอเอามือทาบอก

     

           อีกฝ่ายมองจิกด้วยหางตา

     

           “อย่ามโน วันนี้ชาวมนุษย์เฉลิมฉลองกัน โอกาสทำเงินมาถึง เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยไปง่ายๆรึไง?”

     

           เธอโคลงหัวแล้วยักไหล่

           “จ้าๆ ไม่มโนแล้ว”

     

           ประตูไม้เปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เด็กหนุ่มหน่วยก้านดีคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าเป้

     

           “เอ็นริเก้” เทซคัตลิโปคาส่งยิ้มให้แล้วทักทาย

           “วันนี้ก็ฝากนายด้วยนะ เดี๋ยวฉันจะออกไปทำธุระกับ...” เขาหันมามองแล้วทำหน้าเหมือนไม่รู้จะอธิบายยังไงดี

     

           ไอ้นี่อ้อนตีนจริง เดี๋ยวปั๊ด...

     

           “แขกคนนี้หน่อย” เทพหนุ่มต่อประโยคจนจบ แล้วยิ้มง่วงๆ

     

           “คงจะกลับมาค่ำๆโน่น อย่าลืมนะว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นให้โทรบอกฉัน”

     

           “ครับ คุณริโค่” หนุ่มน้อยยิ้มแฉ่ง

           “ไปดีมาดีนะครับ”

     

           “ขอบใจ พ่อหนุ่ม”

     

           ร่างสูงที่แม้จะดูบางแต่เธอก็รู้ว่าใต้เสื้อยืดนั่นมีแต่ความล่ำสันเต็มไปหมดพาเธอออกมาจากร้านนั่งดริ๊งก์ของตนเอง

     

           “แล้วจะไปไหน?” เทพีเหมันต์กอดอก

     

           คู่สนทนายกยิ้ม

           “มีเรื่องให้ช่วย”

     

           พวกเธอออกเดินไปตามฟุตบาท แล้วเทซคัตลิโปคาก็เริ่มเล่า

     

           เมื่อเขาเสร็จ หญิงสาวก็แทบก่ายหน้าผาก

     

           ...ไอ้บ้านี่เรียกเธอมาจากนิวแอสการ์ดเพื่อช่วยปรุงยาแก้ปวดกล้ามเนื้อ...

     

           “ร้านยาแถวเดอะ มิเรอร์ก็มี” เธอทำเสียงฮึ่มฮั่มในลำคอ

           “คิดบ้าอะไรถึงเรียกตัวข้า”

     

           “สคาดิ...” เทพความตายทอดเสียงอ่อน

     

           “เจ้าเป็นนักปรุงยาที่ดีที่สุดที่ข้ารู้จัก...ช่วยหน่อยเถอะ ข้าไม่รู้จะพึ่งใครดีแล้ว”

     

           เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามช้าๆ

     

           “...เจ้าไม่ได้จะทำให้ตัวเองใช้หรอก ใช่ไหม?”

     

           อย่างไอ้เทพนี่ มันต้องซื้อของถูกๆ ยิ่งถูกยิ่งดี

     

           ขนาดยาปลอมมันยังหลงกลซื้อ ดีนะที่เธอเห็นก่อนแล้วบอก

     

           เจ้าของใบหน้ากวนส้นที่ดูง่วงงุนเป็นนิตย์พยักหน้า

     

           ดวงตาสีฟ้าเทาหรี่ลง

     

           “...เควตซัลโคอาตล์?”

     

           ร่างสูงชะงักเล็กน้อย

     

           เธอถอนหายใจ

     

           ...ใช่จริงๆด้วย

     

           “ทางโน้นก็มีหมอของเขาอยู่ จะไปสะเออะยุ่งอะไร?”

     

           อีกฝ่ายจิ๊ปาก

           “เขาเป็นน้องชายข้า”

     

           “โห...” หญิงสาวขมวดคิ้ว

           “ทำกับเขาไว้ขนาดนั้นเขาคงจะนับเป็นพี่หรอก”

     

           เทซคัตลิโปคาร้องโอ๊ย ยกมือขึ้นกุมอกด้วยสีหน้าเจ็บปวดที่เฟคสุดๆจนกล้ามเนื้อเท้าสคาดิกระตุกยิกๆ

     

           “รุนแรงจัง”

     

           “ปลอม”

     

           “เถอะน่า...” เขาล้วงมือลงกระเป๋ากางเกงวินเทจสไตล์ปี 80 ของตนเอง

           “แค่บอกว่าตัวยามีอะไรบ้าง เดี๋ยวเรื่องเงินๆทองๆข้าจัดการเอง...ดีล?”

     

           เธอห่อปากเบาๆ

     

           สายเปย์นะเนี่ย

     

           โอกาสมีไม่มากหรอกที่เจ้าเทพกวนส้นนี่จะยอมจ่ายเงินค่าของแพงๆ

     

           สถานการณ์แรร์จัดขนาดนี้...

           จะปล่อยไปได้ไงล่ะ จริงไหม?

     

           ยกยิ้มที่มุมปาก เธอกอดอก

     

           “ดีล”

     

     

     

     

     

     

           “ทำไมมันแพงอย่างนี้” เทพสงครามฝั่งแอซเท็คโอดครวญ เดินระโหยโรยแรงตามหลังเธอออกมาจากร้านขายสมุนไพร

     

           “อย่าเพิ่งบ่นสิ” เธอแยกเขี้ยว

           “เหลืออีกสองสามอย่างก็จะครบแล้ว คงต้องเดินไปดูที่อีกฝั่งของเมืองแล้วล่ะ”

     

           “สคาดิ” เทซคัตลิโปคาแทบกรีดร้องเหมือนภาพของเอ็ดเวิร์ด มุ

    งก์ที่เธอเคยเห็นในพิพิฒภัณฑ์

           “ฝั่งโน้นของแพงโคตรๆ...เจ้าเห็นใจข้าหน่อยเถอะ นี่ไม่ได้จงใจแกล้งซื้อของแพงขนาดนี้แน่นะ?”

     

           “ก็เจ้าบอกอยากได้ยาแก้ปวดกล้ามเนื้อให้น้องเจ้านี่” หญิงสาวสวน

     

           “ยาดีก็เพราะวัตถุดิบมันคุณภาพดี...อะไรกัน ไหนบอกอยากทำเพื่อเขา?”

     

           คู่สนทนาขบฟันดังกรอด

     

           “ก็ได้ ไปฝั่งโน้นกัน”

     

           พวกเขาเดินเลียบถนนฝ่าฝูงชนไปเรื่อยๆ

     

           รู้ตัวอีกที เธอก็กำลังถือไอศกรีมโคนรสช็อกโกแลตเข้มข้นอยู่ในขณะที่สหายต่างปกรณัมได้คอร์นด็อกชีสมาแทะ

     

           “ร้านอยู่ตรงหัวมุมโน่นน่ะ” เธอชี้ไปที่ป้ายซึ่งยื่นเลยออกมาเหนือฟุตบาท

     

           “โอเค” อีกคนพยักหน้าหงึกๆทั้งที่ขนมยังเต็มปาก

     

           แต่เมื่อเหลือแค่ไม่กี่ก้าวก็จะถึงหน้าประตูบานนั้น เทซคัตลิโปคาก็สะดุ้งสุดตัว

     

           เธอเลิกคิ้วเบาๆและแทบจะหลุดร้องเสียงดังออกมาเมื่อเขากระชากเธอเข้าไปหลบตรงตรอกใกล้ๆอย่างรวดเร็ว

     

           “ฮูราคาน!!” สคาดิเกือบจะด่ากราดใส่หน้าเขาไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายตะครุบมือใหญ่ๆนั่นปิดปากเธอเอาไว้

     

           ไอ้เด็กอีโมพ่อไม่รัก คิดจะลากเธอมาฆ่าหั่นศพเรอะ?

     

           เทซคัตลิโปคาพ่นคำสบถยาวเป็นชุด ทั้งภาษาอังกฤษ, สเปนและแอซเท็คโบราณด้วยเสียงที่ถูกกดอยู่ในลำคอ

     

           เทพีเหมันต์แกะมือเขาออกจนได้

     

           “ไอ้หัวหย็อย เป็นบ้าอะไรวะ?!”

     

           ดวงตาสีดำเหมือนอ๊อบซิเดียนของเขาทำให้ใจเธอดิ่งวูบ

     

           “เทซคัตลิโปคา เกิดอะไรขึ้น?”

     

           อีกฝ่ายหอบหายใจลึกๆ มองหน้าเธออย่างตื่นๆ

     

           “เขาอยู่ที่นี่...”

     

           สคาดินิ่งไป

     

           “เอ่อ...คงไม่ใช่เขานั้นหรอกเนาะ?”

     

           เทพสงครามหลบตา

     

           เขานั้นนั่นแหละ”

     

           หญิงสาวกลั้นลมหายใจในตอนที่เทซคัตลิโปคาต่อประโยคจนจบ

     

           “เควตซัลโคอาตล์อยู่ที่นี่”

     

     

     

     

     

     

     

     

    “อะไรเนี่ย?” โลกิหรี่ตา

     

    “มาสุสานเพื่อ?”

     

    ร่างสูงใหญ่ของพี่ชายหันมาด้วยสีหน้าเหรอหรา

     

    “ก็...นั่งกินขนมไง”

     

    “เก้าอี้ยาวแถวสวนสาธารณะก็มี”

     

    “แบบนั้นมันจะเป็นวันแห่งความตายเหรอ?” ธอร์กัดสายไหมอีกคำ

    “สคาดิก็บอกว่าเขาจะไปนั่งสังสรรค์กันที่สุสาน”

     

    โลกิทำท่าจะเถียงต่อ แต่อีกฝ่ายหยุดไว้อย่างรวดเร็ว

     

    “สวนที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างไปเกือบกิโล มันร้อน แล้วพระอาทิตย์ก็เริ่มตกดินแล้วด้วย”

     

    ชายหนุ่มผมสีดำเลิกคิ้ว อ้าปากค้างพลางมองไปรอบๆ

     

    ...จริงว่ะ...

     

    สุดท้ายเขาก็หุบปากฉับแล้วเดินตามเทพสายฟ้าต้อยๆเข้าไปในสุสานท้องถิ่น

     

    ภายในไม่ได้เงียบสงบ ตามเนินหญ้าและหน้าป้ายหินเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาที่บ้างก็นั่งล้อมวงเล่าเรื่องตลก บ้างก็แบ่งอาหารกันกิน และบ้างก็นั่งฟังเพลงคุยเรื่องสัพเพเหระ

     

    พี่ชายเดินผ่านพวกเขาไป ลัดเลาะตามรั้วเหล็กสีดำของสุสานและหาเนินที่ไม่ได้ถูกจับจองจนเจอในที่สุด

     

    สองพี่น้องทิ้งตัวลงนั่งบนนั้น โลกิปล่อยให้ขายาวๆของตนทอดลงไปตามความโค้งของเนินเตี้ยๆขณะที่อีกคนดึงขาเข้ามาขัดสมาธิแล้วหยิบถุงไก่ทอดกับเบอร์เกอร์โชริโซ่ออกมายื่นให้

     

    “นานแล้วนะที่เราสองพี่น้องไม่ได้นั่งดูอาทิตย์ตกดินแบบนี้” ธอร์เอ่ยขึ้นเบาๆท่ามกลางสายลมเงียบสงบ ตัดขาดพวกเขาจากความรื่นเริงสนุกสนานรอบข้าง

     

    ดวงตาสีเขียวมรกตจ้องมองไปที่ขอบฟ้า ปล่อยให้แสงสีทองส้มย้อมอาบไล้ทั่วใบหน้า

     

    “นั่นสิ...”

     

    เทพคำลวงกัดเบอร์เกอร์ของตน ซึมซับรสชาติหอมนุ่มของขนมปังผสมผสานกับความกรอบของผักสดและความเผ็ดร้อนแรงปนกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของไส้กรอกแบบเม็กซิโกที่ถูกเคล้ารวมกับเนื้อหมูจนกลายเป็นก้อนเนื้อรสโชริโซ่

     

    เขาครางอือในลำคอ หลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะกลืนพวกมันลงไป

     

    เมื่อหันกลับมา เขาก็พบดวงตาสีฟ้าเข้มของพี่ชายจ้องอยู่

     

    คิ้วเข้มเลิกขึ้น

     

    เทพสายฟ้ายิ้ม

    เป็นยิ้มที่โลกิรู้สึกราวกับทุกอย่างถูกย้อนเวลากลับไปอีกครั้ง

     

    “ตอนเด็กๆเจ้าก็ชอบทำแบบนี้” ธอร์อธิบาย

    “ทำเสียงในลำคอเวลาได้กินของอร่อยน่ะ”

     

    คนฟังบิดปาก

     

    “ข้าเคยทำที่ไหนกัน?”

     

    “ก็...” อีกฝ่ายแตะคางที่รกครึ้มไปด้วยเครา

    “บ่อยออก อย่างตอนที่เราโดดเรียนไปด้วยกันเมื่ออายุได้ประมาณเก้าร้อยปี ข้าจำได้แม่นว่าพาเจ้าไปกินขนมคลุกของท่านป้าอิงก์ฮิลด์ในตลาดสด...เจ้าทำเสียงแบบนั้นตลอดเลยพอได้กินแล้ว”

     

    เขานิ่วหน้า ก้มลงมองเบอร์เกอร์ในมือ

     

    “ไอ้นี่ไม่เห็นจะอร่อยเลย เผ็ดก็เผ็ด เค็มก็เค็ม”

     

    พี่ชายกระตุกยิ้มมุมปาก

     

    โลกิเกลียดมันจริงๆ

     

           เขาต้องทำหน้าเหวออีกครั้งเมื่อเบอร์เกอร์อีกชิ้นถูกยื่นมาตรงหน้า

     

           “อะไรเนี่ย?”

     

           ธอร์ปรายตามองมือขาวๆของเขา แล้วพูดประโยคหนึ่งออกมาด้วยเสียงนิ่งๆเรียบๆแต่ทำให้เขาแทบอยากลงไปทุบพื้น

     

           “เห็นเจ้ากินชิ้นนั้นใกล้หมดแล้ว กลัวว่าพอตกดึกจะหิวเลยเอาอีกชิ้นให้กินไปก่อน”

     

           ไอ้บ้าธอร์!

     

           ชายหนุ่มผมดำคว้ามันมาแล้วนั่งเคี้ยวหงับๆต่อไปโดยไม่พูดไม่จา ทำเป็นมองไม่เห็นรอยยิ้มเหมือนคนบ้าของพี่ชาย

     

           ยิ้มอะไรอยู่ได้ กะอีแค่น้องยอมรับของที่ยื่นให้มากิน

     

           ดวงตาสีฟ้าเข้มคู่นั้นหยีลงจนเป็นรูปจันทร์เสี้ยว

     

           นานเท่าไหร่แล้วนะที่ธอร์ไม่ได้มีเวลามานั่งกินข้าวคุยสัพเพเหระตามประสาพี่น้องกับโลกิ?

     

           เทพสายฟ้ากลั้นขำในใจเมื่อเห็นสีหน้าบูดบึ้งของน้องชายที่ยังคงเคี้ยวเบอร์เกอร์ตุ้ยๆ

     

           ...เหมือนหนูแฮมสเตอร์แทะถั่วจนแก้มป่องชะมัด

     

           ตอนที่ร่างโปร่งในเสื้อยืดที่ยังไม่วายเป็นสีดำคุมโทนหม่นมืดตามสไตล์ของเจ้าตัวยื่นมือมารับห่อกระดาษนั้นไป หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น

     

           ตั้งแต่พวกเขาเริ่มโต โลกิไม่เคยรับอาหารที่เขายื่นให้ ทุกครั้งที่หยิบจานอาหารบนโต๊ะส่งไปตรงหน้าจะได้รับเพียงรอยยิ้มสุภาพแต่เหินห่างและคำปฏิเสธอย่างนุ่มนวลแต่เย็นชา

     

           ไม่เป็นไร ท่านพี่ ข้ายังไม่อยากกินอันนี้เท่าไหร่

     

           ครั้งแรกในรอบหลายร้อยปี...ที่เขารู้สึกใกล้ชิดกับน้องชายมากกว่าเดิม

     

           เขาเบนสายตาออกไป ชมพระอาทิตย์ที่กำลังตกดินเงียบๆ

     

           “หากท่านแม่ได้มาด้วยคงจะดีไม่น้อย”

     

           เสียงเคี้ยวอาหารของโลกิเงียบลงทันควัน

     

           เทพคำลวงถอนหายใจ ก้มหน้าลง

     

           “...นั่นสินะ”

     

           บ้าจริง เขาทำเสียบรรยากาศอีกแล้ว

     

           ดวงตาสีฟ้าเข้มกรอกไปมาอย่างต้องการหาทางออกจนในที่สุดก็พยายามแก้สถานการณ์ออกไป

     

           “นางคงประทับใจรสนิยมแฟชั่นเจ้าไม่น้อย”

     

           โลกิทำตาโต แล้วบิดคิ้วลงมองเสื้อยืดแขนสั้นสกรีนรูปกะโหลกสีขาวประดับด้วยควันและลวดลายสีเขียวนีออนแสบตาเข้าคู่กับกางเกงแสล็คสีเดียวกันและรองเท้าคอนเวิร์สสีเขียว

     

           “ของสคาดิทั้งชุดต่างหากเล่า”

     

           ...ดีแค่ไหนแล้วที่ไซส์ตัวเขากับน้องสาวบุญธรรมต่างกันไม่มากเท่าของเขากับธอร์ มีแค่ความสูงที่ทำให้กางเกงเต่อจนต้องพับขึ้นมากองไว้ครึ่งแข้งเท่านั้น ส่วนรองเท้าก็อาศัยตังค์เสตรนจ์ซื้อจากร้านในโรงแรมเอา

     

           “ยังไงก็ดีกว่าชุดสูทนั่น” พี่ชายหยิบไก่ทอดขึ้นมาแทะ

     

           “สูทไหน?”

     

           “ก็เห็นเจ้าใส่อยู่แค่สูทเดียว”

     

           เขาทำหน้าสยอง

     

           “ไม่ใช่สูทเดียวกันซะหน่อย มีตัวที่ข้าใส่ตอนมามิดการ์ดครั้งแรก...อันนั้นเป็นแบบกึ่งโค้ท แล้วก็ใส่คู่กับผ้าพันคอ อ้อใช่...มันเป็นสีเทาเข้ม ไม่ใช่สีดำแบบตัวที่ข้าใส่ตอนมาตามหาโอดินกับเจ้าเมื่อหลายปีก่อน ชุดนั้นมีเสื้อเชิ้ตสีดำข้างใน แต่ไอ้ชุดแรกเป็นเชิ้ตขาว จะพูดอะไรก็หัดสังเกตบ้างสิ-” คนพูดน้ำไหลไฟดับชะงักไปเมื่อหันกลับมามองเขา

     

           “ขำบ้าอะไร?”

     

           “เปล่าๆ” ธอร์โบกมือไปมา

     

           “ข้าแค่คิดว่าเจ้าน่ารักดี”

     

           โลกิตาเหลือก เอียงคอมองหน้าพี่ชายสายเซอร์ด้วยสายตาไม่เชื่อหูตนเอง

     

           “เมื่อกี้บอกว่าน่ารักงั้นเหรอ?”

     

           “เปล่าซักหน่อย” อีกฝ่ายปฏิเสธพัลวัน สีหน้าซีดลงเมื่อเห็นสายตาแทบจะฆ่าเขาได้จากน้อง

           “บอกว่าเจ้าน่ะเท่ต่างหาก”

     

           “ข้าเป็นหลายอย่าง” เทพคำลวงวางเบอร์เกอร์ลง

           “แต่ไม่ใช่คนหูตึงแน่นอน”

     

           ธอร์ผุดลุกขึ้นมาจากที่และเริ่มหนีในตอนที่ร่างโปร่งในเสื้อยืดสีดำชี้หน้าเขา

     

           “ธอร์ ถ้าคิดว่าข้าน่ารักนักล่ะก็ลองหมัดข้าสักหน่อยมั้ย?!”

     

           แล้วท่ามกลางความรื่นเริงในสุสานเม็กซิกันนั้น สองพี่น้องจากแอสการ์ดก็วิ่งไล่กันไปมา

     

     



     

           “คือยังไงนะ?” สคาดิขมวดคิ้ว

           “เควตซัลโคอาตล์ที่แทบไม่ได้ออกไปงานสังสรรค์ที่ไหนมาหลายสิบปีแล้วกำลังเดินเอนจอยบรรยากาศงานวันแห่งความตายอยู่ที่นิวเม็กซิโก?”

     

           “ไม่ใช่ สคาดิ” เทซคัตลิโปคาสูดหายใจลึก

           “น้องชายข้า อสรพิษมีขนเควตซัลโคอาตล์ เทพที่แทบไม่ได้ออกไปงานสังสรรค์ที่ไหนมาหลายปีแล้วกำลังเดินแกร่วชมงานแห่งความตายอยู่บนถนนข้างหน้าเรา และถ้าเขาเจอข้าล่ะก็ได้มีเรื่องคุยยาวแน่ๆ”

     

           “ก็ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน!”

     

           “ต่างสิ ที่รัก”

     

           “อย่ามาเรียกข้าแบบนั้นนะ ฮูราคาน”

     

           “ทำไมต้องชอบเล่นปมคนอื่นด้วยอ่ะ?” เทพสงครามเบ้ปาก

           “ขาเดียวแล้วมันผิดตรงไหน?”

     

           ใช่...ขาเดียว

     

           ไอ้หัวหย็อยนี่ความจริงมันเป็นผู้พิการประเภทหนึ่ง

     

           หลายพันปีที่แล้ว เทซคัตลิโปคาและเควตซัลโคอาตล์เคยต่อสู้และกำจัดพญาจระเข้เพื่อทำให้โลกปราศจากอันตรายมาครั้งหนึ่ง วิธีที่สองพี่น้องนั่นใช้ในการล่อมันมาก็คือ...

     

           การใช้ขาขวาของเทซคัตลิโปคา

     

           ไม่ใช่การตัดแล้วจุ่มแบบตอนตกปลาหรอก แค่นั่งลงแล้วหย่อนขาลงไปในน้ำ

     

           อย่างไรก็ตาม ในการต่อสู้ครั้งนั้น เทซคัตลิโปคาได้เสียขาตนเองไป

     

           ไม่รู้ทำอีท่าไหนเหมือนกัน

     

           นั่นทำให้เขาได้อีกชื่อหนึ่งว่าฮูราคาน ซึ่งเป็นภาษานาวัตล์(nahuatl)แปลว่าขาเดียว

     

           ที่เห็นเดินเหินคล่องทุกวันนี้ก็เป็นเพราะการฝึกเดินใหม่กับเสื้อผ้าที่ปกปิดขาจนมองแทบไม่เห็นเลยว่ามีกระดูกขาวๆท่อนไหนอยู่ข้างใต้บ้าง

           อีกส่วนหนึ่งก็คือคาถาลวงตา

     

           “จะให้เขารู้ไม่ได้ว่าเราอยู่ที่นี่” เขากดเสียงต่ำ

           “รีบไปกันเถอะ”

     

           ดวงตาสีฟ้าเทากวาดไปมาทั่วตรอก ก่อนจะหยุดลงที่ร้านแผงลอยแห่งหนึ่ง บนแท่นหน้าร้านนั่นคือหน้ากากหลากหลายรูปแบบลายกะโหลกและดอกไม้

     

           ใบหน้าหล่อเหลากวนส้นของเทซคัตลิโปคาซีดขาวลงจนเห็นได้ชัดแม้ว่าจะมีผิวแทนเมื่อเห็นสีหน้าของเธอ

     

           “...รอน้องข้าผ่านไปก่อนแล้วกันเนอะ?”

     

           “เจ้าบอกเองนี่ว่าจะรีบๆ”

     

           “ข้าขอถอนคำพูด” ร่างสูงแทบจะดิ้นพล่านหนีจากอุ้งมือที่แข็งราวคีมเหล็กของเธอ

           “ปล่อยข้าเถอะ”

     

           “ไม่ได้” หญิงสาวออกแรงฉุดกระชากลากถูสหายต่างปกรณัมไปซื้อหน้ากากมาสองอันจนได้

           “ยิ่งรอก็จะได้ยาช้าลงเรื่อยๆ”

     

           “ให้ตายเถอะ” เขากรอกตาขณะที่เธอผลักหน้ากากสีม่วงใส่อกกว้างๆนั่นแล้วสวมสีขาวลงบนใบหน้าตนเอง

           “เชยชะมัด”

     

           “ใส่ๆไปเถอะน่า”

     

           เทพสงครามสบถยาวเหยียดพลางดึงมันลงปกคลุมใบหน้า

     

           เธอคว้าเขามาแล้วพาออกจากตรอกนั่นไปยังถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงสีส้ม ค่อยๆเลาะไปเรื่อยๆ

     

           สคาดิหันหัวกลับไปเมื่อพบว่าจู่ๆร่างสูงข้างกายก็นิ่ง

     

           “ฮูราคาน?”

     

           ดวงตาสีเข้มของเทซคัตลิโปคามองเหม่อไกลออกไป

     

           “เทซ?” เธอกระตุกขากางเกงเขา

           เจ้าตัวไม่ตอบ

     

           ดวงตาสีฟ้าเทาเบนไปมองตาม

     

           บนฟุตบาทอีกฝั่งของถนนนั้นคือร่างที่สูงเกือบจะเท่าๆกันกับเทซคัตลิโปคาของเด็กหนุ่มคนหนึ่งในชุดสูทและกางเกงขายาวสีแดงเข้มราวกับไวน์ชั้นดี เสื้อเชิ้ตสีดำด้านในตัดกับสร้อยสีเงินแวววาวบนอกได้เป็นอย่างดี เส้นผมสีเข้มหยักศกกองอยู่ด้านบนหัวคล้ายกับก้อนเมฆฟูๆ ใบหน้าที่แม้จะอ่อนเยาว์แต่ก็ดูน่าเกรงขามนั้นก้มลงพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นจุดไฟแช็คที่ปลายบุหรี่ซึ่งกำลังคาบอยู่ ส่วนอีกข้างยกขึ้นบังแสงสีส้มแดงจนกระทั่งควันสีเทาลอยล่องขึ้นไปในอากาศ

     

           “นั่นใช่...” เธอบิดคิ้ว

     

           “ใช่” คนข้างกายตอบ

           “นั่นแหละ น้องชายข้าที่ชื่อเควตซัลโคอาตล์”

     

           “ดูเด็กกว่าที่ข้าคิดไว้”

     

           “นั่นรูปลักษณ์ตอนเขายังเป็นวัยรุ่น” ชายหนุ่มหน้าง่วงอธิบาย

           “ให้ตาย...ตอนอยู่บ้านไม่เห็นจะใช้รูปนี้”

     

           เหมือนว่าพวกเธอจะจ้องเขานานไป

    เพราะทันใดนั้น ดวงตาสีเข้มล้ำลึกคู่นั้นก็เลื่อนขึ้นมาสบกันพอดี

     

    เธอและเทซคัตลิโปคารีบหันหลบไปคนละทิศแทบไม่ทัน

     

    ก่อนจะได้สร้างพิรุธต่อนั่นเอง มือแกร่งอย่างนักรบของคนข้างๆก็คว้าข้อมือเธอแล้วพาลากผ่านฝูงชนไปอย่างรวดเร็ว การก้าวยาวๆเพียงไม่กี่ก้าวส่งพวกเขาลงที่หน้าร้านยาก่อนที่เทพสงครามจะรีบผลุบหายเข้าไปในนั้นพร้อมกับเธอ

     

    “เขาเห็นเราแล้ว” เขาพูดลอดไรฟันขณะที่ถอดหน้ากากออก

     

    “ยังหรอก เรามีหน้ากาก”

     

    “ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่” ร่างสูงใหญ่ยกมือขึ้นยีผมฟูๆของตนเองให้ฟูยิ่งขึ้นไปอีก

    “ถ้าข้าสัมผัสถึงเขาได้ เขาก็น่าจะสัมผัสถึงข้าได้เช่นกัน”

     

    “เราบริสุทธิ์ใจ...ใช่ไหมล่ะ?” สคาดิเริ่มเดินไปตามทางเดิน กวาดตามองสมุนไพรที่เรียงรายอยู่บนชั้นพร้อมกับนิ้วที่เล่นกันไปมา

     

    แว่วเสียงเขาถอนหายใจยาว

    “ช่างมันเถอะ...ข้าต้องจ่ายเท่าไหร่?”

     

    “อืม” คู่สนทนาเอียงคอ

     

    “ไม่มากหรอกน่า”

     

    “ไอ้ไม่มากนี่แหละน่ากลัว” เทพหนุ่มแยกเขี้ยว

     

    “ใจเย็นๆ ฮูราคาน” เธอหันหัวกลับไป ขยิบตาให้เขา

    “ไว้ใจข้าก็พอ”

     

    “แค่ดูหน้าเจ้าข้าก็ไม่เชื่อแล้ว”

     

    ไอ้บ้านี่...

     

    หญิงสาวกรอกตาแล้วหยิบห่อส่วนผสมต่างๆไปที่เค้าน์เตอร์

     

    “ทั้งหมดนี่เท่าไหร่คะ?”

     

    ชายร่างผอมชะลูดด้านหลังแท่นไม้นั่นก้มลงมองเร็วๆ ก่อนจะกดเครื่องคิดเลข

    “ห้าร้อยสี่สิบสี่เปโซครับ”

     

    ได้ยินเสียงลมหายใจเฮือกของคนจ่ายเงิน สคาดิแทบจะสะกดรอยยิ้มไว้ไม่อยู่

     

    ก็นะ...อยากได้ของดีก็ต้องจ่ายแพงเป็นธรรมดา

     

    “จะไปทำได้ยัง?” เทซคัตลิโปคาใบหน้าหงิกง้ำ ยื่นถุงใส่สมุนไพรที่เพิ่งรับมาจากเค้าน์เตอร์ให้แบบงอนๆ

     

    “ได้เลยค่ะคุณลูกค้า” หญิงสาวยิ้มธุรกิจกลับแล้วดึงหน้ากากลงเหมือนเดิม

    “รีบกลับกันเถอะ”

     

     

     

     

     

     

     

     


     

    “อื้อออ” โลกิส่งเสียงร้องประท้วงเมื่อขวดแก้วในมือถูกดึงไป

     

           “เจ้าเมาแล้ว” ธอร์จิ๊ปาก

     

           “ยางงงง” คู่สนทนาส่ายหน้าดิก

           “ไม่มาววว เอามาาา”

     

           เทพสายฟ้าชูขวดเหล้าในมือออกไปไกลพลางยืดตัวขึ้นเพื่อไม่ให้คนเมาคว้ามันกลับไปดื่มได้

     

           “ธอออออร์” คนเป็นน้องตะกายตามของที่อยู่ในมืออีกคนจนไม่ได้สนใจเลยว่าตอนนี้ตัวเองปีนขึ้นมาบนตักกว้างๆเรียบร้อยแล้ว

     

           “โลกิ...” ใบหน้ารกครึ้มด้วยหนวดเคราของธอร์หลุดเหวอออกมารอบหนึ่ง

           “ให้ตาย...”

     

           ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าน้องชายจะคออ่อนแถมเมาแล้วเรื้อนไปทั่วแบบนี้

     

           มันเริ่มขึ้นเมื่อเขาอยากมีเวลาคุยกันแบบลูกผู้ชายกับโลกิอย่างที่นานๆจะมีทีบ้าง ก็เลยพาอีกคนมานั่งดื่มที่บาร์

     

           ชื่ออะไรนะ...

           เดอะ มิเรอร์...มั้ง?

     

           “อืมมมม พี่ชายยย” ใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีของคนผมดำส่งยิ้มเมาๆมาให้

           “ทำไมท่านหายไปนานจังงง”

     

           ธอร์เพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้ร่างโปร่งกำลังนั่งคร่อมตักเขาอยู่ ลมหายใจอุ่นร้อนที่มีกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆเป่ารดเส้นผมสีทองเข้มที่ถูกตัดให้เกรียนจนเขาขนลุก

     

           ล่อแหลมไปแล้ว...

     

           เทพคำลวงแนบมือขาวๆลงกับซีกหน้าทั้งสองของคนใต้ร่าง

     

           “ข้ารอนานขนาดไหน...ท่านรู้บ้างไหม?”

     

           หัวคิ้วของร่างสูงใหญ่ขมวดเข้าหากัน

     

           ดวงตาสีมรกตหรี่ลง ดูเศร้าสร้อยมากขึ้น

     

           “ท่านเอาความรักของท่านพ่อไปจนหมด...เอาความรักของแอสการ์ดไปจนหมด...ข้าอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครเลยนอกจากท่านแม่กับสคาดิ...ท่านรู้บ้างไหม?”

     

           เสียงของโลกิแผ่วเบา แต่ได้ยินชัดเจน

           “มันเหงานะเวลาที่คิดว่าข้าควรจะได้อยู่เคียงข้างท่าน เสมอกับท่านในทุกด้าน”

     

           “โลกิ...”

     

           “ให้ข้าพูดจบก่อนสิ” คนด้านบนแยกเขี้ยวขู่ฟ่อในแบบที่ไม่ว่าจะดูมุมไหนก็เหมือนกับแมวตัวน้อย

     

           “ครับๆ” ธอร์หยักยิ้ม ค่อยๆวางมือลงบนเอวของชายหนุ่มผมดำเพื่อประคองไม่ให้น้องไหลตกเก้าอี้

     

           “ข้าสงสัยมาตลอดว่าทำไมท่านพ่อไม่เคยสนใจในตัวข้ามากเท่ากับที่สนใจในตัวท่าน” เขาเอียงคอมองแล้วยิ้ม

     

           “ที่แท้...” ริมฝีปากคู่นั้นเผยอยิ้ม เผยให้เห็นฟันขาวๆที่เรียงตัวกันเป็นระเบียบ

           “เป็นเพราะว่าข้าคือลูกยักษ์น้ำแข็งที่ถูกเก็บมาเลี้ยงนี่เอง”

     

           โลกิเงยหน้าขึ้นหัวเราะ...

           เป็นเสียงหัวเราะที่กังวานไปทั่วบาร์

     

           “หึ...ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ”

     

           แล้วหยดน้ำตาก็กลิ้งลงมาตามแก้มสีซีด

     

           ธอร์มองมันร่วงลงบนใบหน้าของตนเอง

     

           อุ่นจัง...

     

           “ที่แท้...ที่แท้ก็เป็นข้าที่หลงงมงายในภาพลวงตามาตลอด” เสียงหัวเราะเริ่มแตกพร่า

           “ที่แท้ข้าก็เป็นส่วนเกินในครอบครัวแสนสุขที่ไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก”

     

           มือที่แนบอยู่บนแก้มหล่นลงมาคล้องคอหลวมๆแทน ร่างโปร่งค่อยๆโน้มลงมาซบอยู่ที่ไหล่กว้างด้านล่าง

     

           แล้วโลกิก็สะอื้น

     

           “ข้าผิดนักหรือ...ผิดนักหรือที่ต้องการเป็นแบบท่าน ธอร์?”

     

           ธอร์ยกมือขึ้นกอดน้องชาย ในใจรู้สึกเจ็บแปลบ

     

           “ข้าขอโทษ ธอร์” เจ้าของดวงตาสีเขียวร้องไห้

           “ข้ามันโง่...โง่ที่สุดเลย”

     

           “ใช่ เจ้าเด็กโง่” เขาตบไหล่ของเทพคำลวงเบาๆ

     

           “เจ้ามันโง่จริงๆแหละ”

     

           โง่ที่ไม่เคยเห็นว่าเขาอยากสนิทด้วยขนาดไหน

     

           โง่ที่ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่เคยคิดจะบอกกัน

     

           โลกิ...น้องชายคนโง่...

     

           เขาตบไหล่กล่อมร่างสูงโปร่งที่สะอึกสะอื้นอยู่แบบนั้นจนเจ้าตัวหลับปุ๋ยไป

     

           ธอร์ถอนหายใจยาว จัดท่าให้เขานอนสบายขึ้นแล้วหันไปสั่งเบียร์เพิ่ม

     

           มือใหญ่เกลี่ยปอยผมสีเข้มออกจากใบหน้าแดงก่ำที่หลับใหลเพราะฤทธิ์เหล้าแล้วจุมพิตที่หน้าผากเนียนแผ่วเบา

     

           “ข้าเองก็ขอโทษเหมือนกัน โลกิ”

     

     

     

     

     

     

           สคาดิหย่อนจวักเงินลงไปในหม้อยาที่ควันฉุยก่อนจะคนให้เข้ากัน

     

           มือเรียวโบกควันเหนือหม้อนั้นเข้ามาดม ก่อนจะเผยยิ้มบางๆแสดงความพึงพอใจ

     

           “ได้แล้วล่ะ” เธอหันไปบอกเทซคัตลิโปคาที่นั่งกอดอกอยู่ตรงมุมห้อง

     

           “เยี่ยม” เขาลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย

     

           หญิงสาวตักยาเหล่านั้นลงในขวดแก้วขนาดประมาณหนึ่งฝ่ามือแล้วปิดมัน

     

           “มันจะช่วยให้กล้ามเนื้อของน้องเจ้าไม่ปวดบ่อยเท่าเดิม ช่วยให้หลับง่ายและแก้อาการช้ำในได้ด้วย”

     

           คู่สนทนารับยามาถือไว้

           “วีธีการใช้?”

     

           “อยากให้เขารู้รึเปล่าล่ะว่าเจ้าเอายาให้กิน?”

     

           “รู้ก็ได้ไม่รู้ก็ได้” ดวงตาสีอ็อบซิเดียนหรี่ลง

           “ข้าไม่สน”

     

           “ถ้าจะกินก็ครั้งละช้อนชาพอ วันละครั้งน่าจะได้แหละ” เธอเก็บเศษสมุนไพรแล้วหยิบหม้อไปล้าง มือเรียวสะบัดเพื่อดับไฟที่จุดอยู่ใต้ที่ที่เคยเป็นหม้อยา

     

           ใบหน้าง่วงๆนั้นพยักหน้าช้าๆ

     

           “ขอบใจ สคาดิ”

     

           เธอโคลงหัว

           “อย่าลืมหากำยานมาใส่ที่นี่นะถ้ากลิ่นยามันอวลนานเกินจนเจ้ารำคาญ ไม่งั้นห้องนอนเจ้ามันจะไม่น่าเข้าเลย”

     

           ใช่...เขาพาเธอมาต้มยาที่ห้องนอนตรงชั้นบนของเดอะ มิเรอร์

     

           ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน

           ในครัวก็มีเตา เรื่องอะไรเธอต้องมานั่งเสกไฟต้มยาในห้องนอนเขาด้วยฟะ?

     

           “เจอกัน เทซ” เทพีเหมันต์ยกยิ้มบางๆแล้วแตะไหล่ของเขา

     

           “เจอกัน” เขายิ้มกลับ

     

           “อ้อ...แล้วก็” เสียงของเขาดึงเธอที่กำลังจะเดินลงบันไดไปด้านล่าง

           “เอ็นริเก้บอกว่ามีผู้ชายสองคนอยู่ข้างล่าง คนหนึ่งผมทอง อีกคนผมดำตาเขียว...เห็นว่าคนผมดำเรียกอีกคนว่าพี่ชายด้วย”

     

           เธอหันขวับกลับ เลิกคิ้ว

     

           “ธอร์กับโลกิ?”

     

           “น่าจะเป็นงั้นแหละ”

     

           “ทำไมข้าไม่เห็นพวกเขาตอนเข้ามาล่ะ?”

     

           “สองคนนั้นมาหลังเรานิดหน่อย”

     

           สคาดิยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว

           ...มันต้องมีอย่างน้อยคนหนึ่งเมาแน่ๆ

     

           ตั้งหลายชั่วโมงอยู่ในบาร์ เธอไม่เชื่อว่าธอร์จะไม่แตะเหล้าเบียร์

     

           “ข้าไปก่อนนะ” ร่างเพรียวหันหลังแล้วรีบซอยเท้าลงบันได มีเสียงของเทซคัตลิโปคาไล่หลัง

     

           “โชคดีนะ”

     

           เธอกรอกตา

           โชคดีกับการแบกพี่ชายตัวเท่าหมี(และถ้าโลกิเมาอีกคน...ก็คงต้องหนีบไปด้วย)น่ะสิ

     

           ...หลังเธอได้เดี้ยงแน่ๆ

     

     






    (แปะรูปพี่เทซกับน้องเควตซัล)

     

     





    TALK WITH FM

    ตอนนี้ยาวจัดมากๆๆๆเลยทุกคน5555

    เขียนไปเขียนมา ดันได้เยอะขนาดนี้เฉย

    จะบอกว่า...

    ปิดเทอมแล้วจย้าาาาาา

    (ปิดสองอาทิตย์ก็ไม่ค่อยจะนับหรอกนะ แต่เอางั้นก็ได้)

    ส่วนเทศกาลวันแห่งความตาย(dia de los muertos/day of the dead)เนี่ยเป็นเทศกาลที่จัดขึ้นในเม็กซิโกและบริเวณที่มีผู้สืบเชื้อสายเม็กซิกันอยู่กันค่ะ

    ตามความเชื่อของชาวแอซเท็คโบราณ คนตายเนี่ยไม่ได้ไปไหนหรอกค่ะ

    แค่ล่วงหน้าไปอยู่ในดินแดนหลังความตายเท่านั้น แล้วก็จะได้รับอนุญาตจากเทพเจ้าให้กลับมาเยี่ยมบ้านได้ปีละครั้ง

    วันที่ 1 พฤศจิกายน(เมื่อวาน) คือวันที่วิญญาณเด็กๆจะกลับมาก่อนค่ะ

    ส่วนวันนี้คือวันที่วิญญาณของผู้ใหญ่จะมาบ้าง

    ทุกๆบ้านจะมีการจัดโต๊ะบูชา มีขนมและของว่างที่พวกผู้ตายชอบเพื่อเป็นอาหารต้อนรับให้แก่วิญญาณ

    ในเทศกาลนี้จะมีการใช้ดอกดาวเรืองเป็นเครื่องประดับตกแต่งเยอะมากค่ะ แล้วก็ยังมีการเพ้นท์หน้าตาเป็นหัวกะโหลกเพื่อออกมาเต้นรำกันในถนนเป็นการต้อนรับคนตายด้วยค่ะ

    นี่เป็นการอธิบายว่าทำไมบ้านเม็กซิกันหลายบ้านถึงฝังศพคนในครอบครัวไว้ใกล้บ้าน(บางคนอยู่หลังบ้านเลยค่ะ-เท่เนอะ555)

    แล้วก็จะมีการนั่งกินข้าวสังสรรค์กันที่สุสาน เป็นการกระชับสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวค่ะ

    ปล. เอ็นดูพี่เทซกับน้องเควตซัลด้วยนะคะ

    เจอกันตอนหน้าเน้อ

    ด้วยรักและถุงกาว

    เฟิงมี่ค่ะ>3<

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×