ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Marvel || Broken Throne (OC feat. Thorki, Stony, Spideypool, etc.)

    ลำดับตอนที่ #50 : Broken Throne S3 || Ch 9

    • อัปเดตล่าสุด 26 พ.ค. 63


    || B R O K E N T H R O N E ||

    s e a s o n 3

    ----------------------------

    CHAPTER 9

     

     

           ดวงตาสีฟ้าเทากวาดไปมองรอบๆที่มีบรรยากาศเงียบกริบ

     

           ใบหน้าเหวอๆของเหล่าอเวนเจอร์สที่อยู่ในห้องนั้นเอาแต่จ้องมาราวกับเห็นผี

     

           “เอ้า” เธอขมวดคิ้ว

           “พูดต่อสิ หยุดทำไมล่ะ?”

     

           “นี่เธอ...” โทนี่ สตาร์คเงิบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยายามๆเริ่ม

     

           “อะไร? ไม่เจอหน้ากันแป๊บเดียวจำไม่ได้แล้วเหรอ?” หญิงสาวกอดอก

     

           “มาได้ไงอ่ะ?” เสียงของศาสตราจารย์เจ้าของใบปริญญาที่เยอะจนเธอขี้เกียจนับดังขึ้น

     

           ดวงหน้างดงามหันไป

           “ประตูมิติไง เห็นฉันขึ้นลิฟต์มาเหรอ?”

     

           เธอเอนตัวลงพิงกับราวเหล็กแถวนั้น บิดปากเบาๆ

     

           “ยินดีที่ได้เจออีกครั้งแล้วกันนะ”

     

           นาตาชาเป็นคนแรกที่เข้ามาแตะเนื้อแตะตัวเธอ ก่อนจะยิ้มแล้วกอดเธอเข้าไปเต็มรัก

     

           “สคาดิ”

     

           “ไงแนท” เธอตบหลังหญิงสาวผมแดงกลับเบาๆ

     

           “แคป” เทพีแห่งเหมันต์หันไปหาร่างสูงๆของกัปตันอเมริกา

           “ดูเครียดๆนะ มีอะไรรึเปล่า?”

     

           “ไม่มีหรอก” เขายิ้มแล้วแตะบ่าเธอ

           “ดีใจที่เธอมานะ”

     

           “ฉันได้ยินว่ามี...” ดวงตาสีฟ้าเทาเป็นประกายคมปลาบขณะตวัดไปมองเจ้าของตึก

           “เรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่ เลยลงมาดู”

     

           โทนี่กลืนน้ำลายเอื๊อก

     

           “ไหน มีอะไรที่ฉันต้องรู้บ้าง?”

     

           ทันทีที่ฟังเรื่องจบ เธอก็ถึงกับยกมือขึ้นตบหน้าผาก

     

           นอร์นช่วย...

     

           “คือ...” สคาดิถอนหายใจ

           “ฉันก็รู้มาบ้างแล้วอ่ะนะว่านายมันสติเฟื่อง แต่นี่มันจะเกินไปหน่อยมั้ย?”

     

           คนโดนว่ายกมือทั้งสองข้างขึ้นในอากาศเป็นเชิงยอมแพ้

     

           “โอเค อันนี้ผิดจริงไม่เถียง”

     

           “แล้วจะแก้ยังไง?” เธอยิงคำถาม

     

           “ก็หามัน...แล้วก็ทำลายซะ”

     

           “คิดว่าจะง่ายแบบนั้นเหรอ?” หญิงสาวแค่นเสียงเหอะ

           “ถ้าไอ้หุ่นนั่นถูกทำลายง่ายๆ มันก็คงไม่ใช่ผลงานของนายหรอก”

     

           “รู้” มหาเศรษฐีหรุบตาลงมองพื้น

     

           “ฉันก็เลยจะพาพวกเธอทั้งหมดไปตามตัวมันกัน”

     

           เธอปรายตามองเขา

           “ที่ไหน?”

     

           “ซักแห่งในยุโรปเหนือ...อาจเป็นโซโกเวียไม่ก็รัสเซีย”

     

           “อา...” หญิงสาวพยักหน้า

           “งั้นไปกันก่อนเลย”

     

           “มีธุระอะไรรึเปล่า?” สายลับสาวถาม

     

           “ก็...” เธอทำหน้าปั้นยาก

           “ไม่รู้จะเรียกว่าธุระได้มั้ย...แต่เดี๋ยวฉันตามไปทีหลัง ส่งพิกัดมาแล้วกัน”

     

           ชะงักไปหน่อยหนึ่ง แล้วเอ่ยต่อ

           “ว่าแต่ ธอร์มามั้ย?”

     

           “ไปหาเบอร์เกอร์กินอยู่” สตีฟตอบ

     

           “ให้เขาลุยด้วยก็น่าจะพอไหว” เธอหันไปหาเจ้าของตึก

           “อย่าลืมกระเตงพี่ฉันไปล่ะ”

     

           ไอรอนแมนทำเสียงอืมในลำคอเป็นการตอบรับ แล้วชี้นิ้วโป้งไปที่ลิฟต์

     

           “ห้องเธอยังอยู่ชั้นเดิมนะ ตามสบาย”

     

           “ของฉันยังอยู่ดีใช่มั้ย?” เธอมองตาม

     

           “ไอโฟน ไรพวกนี้?”

     

           “นั่นล่ะ”

     

           “อยู่ที่ห้องทำงานฉัน ในกล่องสีฟ้าๆมีลายเกล็ดหิมะ...ถ้าจัดของเสร็จแล้วก็แวะลงไปเอาได้”

     

           “ขอบใจ” หญิงสาวยิ้มบางๆ

           “แล้วเจอกันนะ”

     

           “ตามมาเร็วๆล่ะ สคาดิ” เสียงเขาแว่วมาขณะที่เธอเดินเข้าลิฟต์แล้วกดเลขไปชั้นที่ต้องการ

     

           “เออ”

     

           สคาดิยืนนิ่งอยู่ในกล่องเหล็กทรงสี่เหลี่ยมนั้น ปล่อยให้ความคิดต่างๆไหลผ่านหัวไป

     

           อินฟินิตี้สโตนเม็ดหนึ่งปรากฎที่มิดการ์ด

     

           อีกเม็ดหนึ่งอยู่ที่แอสการ์ด

     

           สองในหกโผล่ออกมาให้เห็นแล้ว

     

           และถ้าจำไม่ผิด เอเธอร์ก็เป็นรูปหนึ่งของมณีนั่นด้วย

     

           ก็...สามในหก

     

           ครึ่งหนึ่งแล้วนะเนี่ย

           แค่ครึ่-

     

           ไม่แค่สิ

     

           ตั้งครึ่งหนึ่ง

     

           หญิงสาวขบริมฝีปาก ขยับนิ้วตนเองไปมาแล้วหมุนธนูเล่น

           สังหรณ์ใจยังไงก็ไม่รู้

     

           เสียงติ๊งดังขึ้นเมื่อถึงที่หมาย เรียกความสนใจเธอกลับมา

     

           ขาเรียวในรองเท้าบู๊ทหนังสีน้ำตาลก้าวออกมา ดวงตาสีฟ้าเทามองห้องโถงตรงหน้า

     

           อา...ไม่ได้มานาน

     

           สคาดิเดินไปที่โซฟา วางมือลงบนนั้นเบาๆ

     

    ถึงปากจะบอกว่ารำคาญเจ้าของตึกขนาดไหน แต่ลึกๆเธอก็คิดถึงที่นี่อยู่เสมอนั่นแหละ

     




     

     

     

     



           เทพีแห่งเหมันต์กลิ้งตัวหลบกระสุนที่สาดมาอย่างรวดเร็ว

     

           “ธอร์!!” เธอสะบัดมือ สาดกระแสเวทย์ออกไปเพื่อกระแทกร่างของหุ่นยนต์เหล่านั้นให้แหลกติดกำแพง

     

           ร่างของพี่ชายนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ดวงตาดูเลื่อนลอย

     

           สคาดิก้มตัวลงแตะเนื้อแตะตัวเขา

     

           ไม่มีแผลภายนอก สัญญาณชีพปกติ ลมหายใจสม่ำเสมอ

     

           เขาไม่ได้ถูกทำร้ายร่างกาย

     

           “ธอร์ ตื่นสิ”

     

           หลังจากที่พยายามค้นหาสถานที่ซึ่งโลกิอาจเอาโอดินไปทิ้งไว้ตลอดสองสามชั่วโมง เธอก็ตัดสินใจพักเรื่องนั้นไว้ก่อนแล้วตามเหล่าอเวนเจอร์สมาทุบหุ่นยนต์เล่นเพื่อพักสมอง

     

           ทันทีที่ถึง เธอก็เห็นความเละเทะในผืนหิมะเบื้องหน้าและแทบจะสร้างเกราะกันกระสุนไม่ทัน

     

           วุ่นวายจริง

     

           หญิงสาวรีบรุดเข้าไปในอาคาร ค้นไปทั่วก่อนจะพบเทพแห่งสายฟ้านอนสลบเหมือดอยู่ที่พื้นในชั้นใดชั้นหนึ่งของตึกมืดๆ

     

           เขาแทบไม่ตอบสนอง มีเพียงเสียงหัวใจที่บ่งบอกว่าพี่ชายยังมีชีวิตอยู่

     

           สคาดิใจกระตุก ยื่นมือออกไปแตะหัวของเขา

     

           ขออย่าให้เป็นอย่างที่เธอคิดเลย

     

           ร่างเพรียวรู้สึกตัวชาไปครู่หนึ่งเมื่อรับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่วนเวียนอยู่ในบริเวณนั้น

     

           พลังจิต

     

           แข็งแกร่งซะด้วย

     

           ธอร์ถูกขังอยู่ในจิตตัวเองด้วยพลังนั้น...ซึ่งเธอขอสาบานกับเหล่านอร์นว่ามันไม่ใช่เวทย์มนตร์

     

           และเนื่องจากมันเป็นผลกระทบที่ไม่ได้เกิดจากเวทย์มนตร์ เธอเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากจะต้องรอให้คนที่สลบอยู่ฟื้นขึ้นมาเอง

     

           ยังดีที่ใครก็ตามที่ใช้มันยังไม่มีประสบการณ์ที่มากพอ

     

           สคาดิเคยเห็นสภาพของคนซึ่งถูกขังอยู่ในความทรงจำของตนเองเป็นเวลานานนับเดือนนับปีโดยผู้เชี่ยวชาญด้านนี้

           และมันก็ไม่ได้ดีนักหรอก

     

           เจ้าของดวงตาสีฟ้าเทาผุดลุกขึ้นจากเขาแล้วมุ่งหน้าต่อไป

     

           เธอเจอนาตาชา คลินท์และสตีฟที่ต่างก็โดนเหมือนพี่ชายผมทองไม่นานนักหลังจากนั้น

     

           มีเพียงกัปตันอเมริกาที่ยังพอคุยรู้เรื่องและมีสติอยู่ แม้จะน้อยนิดก็ตาม

     

           “ไหวมั้ย?” เธอสอดมือเข้าไปใต้แขนแล้วพยุงเขาขึ้นมาจากราวเหล็กที่ชายหนุ่มเกาะอยู่

     

           คุณปู่อายุปาเข้าไปเกือบร้อยในร่างล่ำบึ้กสูดหายใจเข้าออกช้าๆลึกๆแล้วพยักหน้า

     

           “โทนี่?”

     

           “ไม่รู้บินหายไปไหนแล้ว” เขาหอบเบาๆ

           “เรากำลังสู้กับอัลตรอน ตอนที่...ตอนที่...” สตีฟหยุดพูดเพื่อเอนตัวลงพิงที่กำแพงพักเหนื่อย

     

           ตกลงไอ้หุ่นนั่นโผล่หัวออกมาแล้วงั้นสิ?

     

           “ว่าแต่...” เธอขมวดคิ้ว

           “ไอ้พวกที่มาแจมนี่สังกัดไหนกันล่ะ?”

     

           “คู่รักคู่แค้นของชิลด์...และพวกเราบางคน” คนผมทองเหลือบมองไปมา

     

           หญิงสาวถอนหายใจ

           “ไฮดรา?”

     

           คู่สนทนายักคิ้วเป็นคำตอบ

     

           “ใช่ สตรัคเกอร์”

     

           ตายกันยากจริงๆ

     

           เธอเงยหน้ามองขึ้นด้านบน กรอกตาไปมา

     

           “แล้วเจ้าคนที่มีพลังจิตนั่นล่ะ?”

     

           “ไม่รู้เหมือนกัน” อีกคนบิดปาก

           “มีกันสองคนพี่น้อง คงจะเป็นการทดลองของพวกไฮดรามั้ง”

     

           สคาดิทำปากเป็นรูปตัวโอ

     

           ได้ข่าวมาว่าคทาของโลกิที่ทิ้งไว้กับพวกชิลด์ตั้งแต่เมื่อปีก่อนนู่นถูกทางองค์กรหลายหัวนั่นโขมยไป

           คงจะใช้มันในการสร้างพลังให้มนุษย์สองคนนั้นสินะ

     

           เธอลากเพื่อนผมทองออกมาข้างนอกเพื่อมาเจอกับเดอะฮัลค์ซึ่งคืนร่างแล้ว

     

           “ตกลงเกิดอะไรขึ้นอ่ะ?” เขาถามพลางรับสตีฟมาพยุงอย่างงงๆ

     

           “โดนเล่นซะยับเลยน่ะสิ” เธอเท้าสะเอวแล้วสูดหายใจลึกๆ

           “เอาล่ะ เรารอตรงนี้ให้ที่เหลือฟื้นแล้วออกมาก่อนค่อยกลับฐานแล้วกัน”

     

           นาตาชาเป็นคนแรกที่กระย่องกระแย่งออกมาจากตึก สีหน้าของสายลับสาวไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

     

           “ไงบ้าง?” เธอจับหญิงสาวผมแดงมานั่งพักข้างๆ

     

           อีกคนส่ายหน้า

           “แย่มาก”

     

           ร่างสูงใหญ่ของเทพสายฟ้าเดินออกมาเป็นคนสุดท้าย เมื่อเห็นหน้าเธอชัดๆเขาก็ถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่ง

     

           “พี่ข้า” สคาดิค้อมหัวให้เขาน้อยๆ มือยังคงกอดอยู่ที่อก

     

           “สคาดิ” เขาพึมพำตอบราวกับทำตามสัญชาตญาณ ก่อนจะโซเซมาหาเธอ

     

           หญิงสาวหลุดร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆเขาก็ทิ้งน้ำหนักลงมาบนเธอเกือบหมด ขาเรียวเกร็งขึ้นยันร่างตัวเองไว้แทบไม่ทันขณะที่เทพหนุ่มผมทองก้มลงกอดเธอเสียแน่นจนคิดว่าซี่โครงอาจร้าวไปแล้วก็ได้

     

           “ข้า...ข้าเห็นเจ้า พวกเจ้า...ไฮม์ดัล ชาวแอสการ์ด...ทุกคน...”

     

           มือเรียวยกขึ้นตบลงบนบ่าที่เต็มแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อนั้นเก้ๆกังๆ

     

           “มันเป็นแค่ภาพลวงตา” เธอว่ากับพี่ชายที่ตอนนี้ดูอ่อนล้ายิ่งกว่าครั้งไหนๆ

           “ข้ายังอยู่ตรงนี้ อยู่กับท่าน”

     

           “ข้ากลัว” เขาพูดเสียงเบา

           “ถ้าวันหนึ่ง...ถ้าวันหนึ่งมันเป็นจริงขึ้นมาล่ะ?”

     

           “ก็ให้มันเป็นเรื่องของสกูลด์” เจ้าของเส้นผมสีเข้มวางมือลงที่ต้นคอหนาๆของเขา

     

           ธอร์ทิ้งตัวทับเธออยู่แบบนั้นเกือบสิบนาที จนกระทั่งในที่สุดเขาก็ผละออก มองเธอด้วยดวงตาสีฟ้าเข้มนั้น

     

           “ข้าดีใจที่เจอเจ้าอีก น้องข้า”

     

           หญิงสาวกระตุกยิ้ม

           “เช่นกัน ธอร์”

     

     

     



     

     

     



           สคาดิกระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วซิ่งไปหน้าตาตื่นทันทีที่ได้ข่าวว่าเจ้าหนุ่มเจคิลที่พออารมณ์หลุดแล้วจะกลายเป็นมิสเตอร์ไฮด์อย่างแบนเนอร์เกิดคลั่งขึ้นมา หนักกว่านั้น เขาลุยเดี่ยวลงไปที่เมืองแถวนั้น(ชื่ออะไรเธอก็ไม่มีเวลาจำ)และกำลังไล่ทุบตึกทุบรถอยู่ตอนนี้

     

           “เกิดบ้าอะไรขึ้น?!” เธอเค้นเสียงผ่านสปีกเกอร์พกพาที่ติดอยู่ในหู

     

           “ยัยเด็กพลังจิตนั่น...” เสียงของโทนี่ตอบมาแค่นั้น แต่เธอก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

     

           ฉิบแล้วไง

     

           หญิงสาวสบถ ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปตามถนน

     

           ไอรอนแมนตามไล่ล่าอัลตรอนมาจนถึงที่นี่ และไอ้หุ่นนั่นก็ดันมีแบ็คอัพเป็นพี่น้องหนูทดลองจากไฮดรา(ซึ่งเธอเพิ่งมารู้ว่าพวกเขาเป็นแฝดนามสกุลแม็กซิมอฟฟ์) งานมันก็เลยไม่ง่ายเท่าไหร่

           ไม่ใช่แค่ไม่ง่าย...ยากโหดหินเลยล่ะ

     

           มันเหมือนพยายามไล่จับหมาตัวหนึ่งโดยที่มีนกสองตัวคอยโฉบไปโฉบมา จิกผมจิกตาเรียกร้องความสนใจขณะที่กำลังวิ่งตามหมานั่นอยู่อย่างนั้นแหละ

     

           เธอไม่น่าปล่อยให้ด็อกเตอร์ปริญญาสิบกว่าใบอยู่คนเดียวเลย

     

           แรงสั่นสะเทือนจากพลังมหาศาลของเดอะฮัลค์ที่ขนาดอยู่ไกลเป็นกิโลยังรู้สึกได้ทำให้เธอขบริมฝีปาก

     

           เธอต้องทำอะไรสักอย่าง

     

           ร่างเพรียวกดพาหนะที่ขี่อยู่ลงไปด้านหนึ่งเพื่อหลบรถที่ถูกเหวี่ยงมา

     

           เธอกลิ้งลงจากมันแล้วรีบวิ่งไปร่ายเวทย์สร้างเกราะกันเศษหินเศษปูนชิ้นเขื่องออกจากพลเรือนตาดำๆอย่างรวดเร็วก่อนจะชี้ให้พวกเขาหลบไปอยู่ที่ปลอดภัย

     

           ดวงตาสีฟ้าเทามองร่างสีเขียวที่กำลังห้ำหั่นกับไอรอนแมนในเกราะอัพเกรดที่รู้สึกจะชื่อเวโรนิก้าอย่างดุเดือด

     

           ดูท่าคราวนี้จะหนักจริง

           บรูซจำไม่ได้แม้แต่เพื่อนร่วมทีม

     

           สคาดิได้แต่ปัดเอาวัตถุต่างๆออกจากทิศทางที่มุ่งตรงไปหาชาวเมืองพร้อมกับสร้างเกราะเป็นระยะๆ

     

           ทันใดนั้น เธอได้ยินเสียงของมหาเศรษฐีสตาร์คว่าเขาจะจับฮัลค์ทุ่มลงไปบนตึกร้างแถวนั้น

     

           หญิงสาวกรอกตาเมื่อเห็นร่างของจอมพลังกำลังจะถูกหอบขึ้นไปโดยเกราะเวโรนิก้า

     

           “อย่างน้อยบอกก่อนสักสองสามนาทีก็ได้นะ”

     

           “โทษที” เสียงของเขาดังผ่านลำโพงในหู

           “แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าน่ะ”

     

           เธอเม้มปากแล้วร่ายเวทย์เคลื่อนย้ายตนเองไปที่ตึกนั้น

     

           หลังจากประมาณสิบวินาทีที่เธอไปถึง ฝุ่นก็คลุ้งตลบไปทั่วขณะที่โครงเหล็กจากอาคารนั่นถล่มลงมา

     

           หญิงสาวหันหน้าหนีจากมัน มือเรียวยื่นออกไปเพื่อสร้างเกราะเวทย์สีฟ้าใสกันตัวเองและคนรอบข้างจากความเสียหายต่างๆ

     

           เธอหรี่ตามองผ่านม่านสีขุ่นๆนั่น เห็นแบนเนอร์ที่ตอนนี้ยังคงอยู่ในร่างเดอะฮัลค์นอนมึนอยู่ในรูลึกบนพื้นรางๆ

     

           หญิงสาวดึงเด็กหญิงคนหนึ่งออกมาจากใต้ซากรถแล้วตรวจเธอคร่าวๆ

     

           สคาดิส่งร่างเล็กที่กำลังร้องไห้เพราะเสียขวัญนั้นให้กับผู้หญิงซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้ปกครองหรือแม่ของเธอ

           “ถ้าหน่วยกู้ภัยมา บอกเขาให้เช็คสมองเธอด้วย”

     

           อีกคนรับเด็กไปพลางพึมพำขอบคุณทั้งน้ำตา

     

           ดวงหน้างดงามหันกลับมาทันเห็นจอมพลังตัวเขียวที่ค่อยๆก้าวออกมา

     

           ได้สติแล้วสินะ

     

           “บรูซ” เธอเรียก ทำเอาเขาหันขวับ

     

           สีหน้าของเขาดูสับสนจนน่าสงสาร มองมือตนเองสลับกับสภาพเมืองที่ยับเยินรอบๆมากกว่าสามครั้ง

     

           “ยินดีต้อนรับกลับมานะ”

     

           เดอะฮัลค์อ้าปากพะงาบๆ พยายามจะเค้นคำถามออกมา

     

           เธอเลียริมฝีปากที่แห้งผาก

           “กลับนิวยอร์กก่อนค่อยว่ากัน”

     

           ตลอดทางที่นั่งควินเจ็ทกลับ แบนเนอร์ที่กลับมาเป็นมนุษย์ตัวเล็กๆเหมือนเดิมเอาแต่นั่งเงียบจนเธอเผลอคิดไปว่าเขาเป็นใบ้

     

           “ไม่ใช่ความผิดนาย” เธอพูดเบาๆ

     

           ดวงตาคู่นั้นเงยขึ้นมา

           “ถ้ามันไม่มีความคิดพวกนั้นอยู่ในหัวฉันแต่แรก เด็กคนนั้นจะทำให้เดอะฮัลค์หลุดออกมาหลังจากแค่กระดิกนิ้วได้เหรอ?”

     

           หญิงสาวหรุบตาลง หมดคำพูด

     

           แม้แต่โทนี่ที่ปกติจะสรรหาเรื่องมาเม้าท์ได้ตลอดเวลายังได้แต่ขับเครื่องบินสีดำนั่นต่อไปเงียบๆ

     

           เธอลอบสบตากับนาตาชาที่ย้ายมานั่งฝั่งตรงข้าม

     

           อีกคนถอนหายใจเบาๆแล้วส่ายหน้า

     

           ให้ตาย

           นี่มันตึงเครียดยิ่งกว่าสองสามวันหลังจากตอนที่โลกิแกล้งตายครั้งแรกด้วยการร่วงลงจากสะพานไบฟรอสต์ซะอีก

     

           เมื่อถึงตึกอเวนเจอร์ส บรูซก็ลงไปไม่พูดไม่จาแล้วตรงเข้าห้องแล็บเพื่อขังตัวเองอย่างรวดเร็ว

     

           หญิงสาวมองประตูนั้นนิ่ง

     

           “เบอร์เกอร์สักชิ้นสองชิ้นน่าจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น” เธอพึมพำแล้วไปเปลี่ยนเสื้อ

     

           ดวงตาสีฟ้าเทากวาดมองไปทั่วขณะเดินออกจากตึกสูงแล้วไปตามถนนของนิวยอร์ก

     

           ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่เธอเคยกินเมื่อครั้งก่อนที่มามิดการ์ดและพบว่ามันอร่อยมากตั้งอยู่ที่เดิม เธอเข้าไปในนั้นแล้วสั่งอาหารที่เคาน์เตอร์ด้วยความคล่องแคล่ว

     

           “เบอร์เกอร์เนื้อ เพิ่มชีสสาม อันหนึ่งเพิ่มหัวหอมค่ะ”

     

           เงินดอลลาร์ถูกวางลงไปแล้วเปลี่ยนด้วยถุงพลาสติกใส่ห่อขนมปังเบอร์เกอร์ร้อนๆ

     

           สคาดิเดินทอดน่องกลับตึก ชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆขณะที่คิดถึงเรื่องของทั้งคทาโลกิและอัลตรอน

     

           ทันใดนั้น สายตาก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างที่อีกฟากของถนน

     

           ชายผมขาวๆคนนั้นดูคุ้นๆแปลกๆนะ...

     

           แถมเขายังมีตาข้างเดียวอีกด้วย

     

           เดี๋ยว...

     

           ตาข้างเดียว?

     

           เธออ้าปากค้าง ตัวแข็งยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

     

           เขาหันมาเห็นเธอพอดี

     

           “โอ--” เธอละล่ำละลัก รู้สึกเหมือนคำพูดติดอยู่ในลำคอ

     

           แล้วชายคนนั้นก็ขยิบตา

     

           รถคันหนึ่งแล่นผ่านมา ขวางกั้นระหว่างพวกเขาเพียงช่วงสั้นๆ

     

           เมื่อมันเลยผ่านไป ร่างของบิดาบุญธรรมก็อันตรธานหายไปแล้ว

     

           สคาดิรีบวิ่งข้ามถนนไป ไล่หลังด้วยเสียงบีบแตรของรถคันอื่นๆให้เธอหันกลับมาจิกตาใส่เป็นระยะ

     

           เมื่อไปถึงตรงที่โอดินเคยยืนอยู่ เธอก็พบเพียงวัตถุบางอย่างนอนแน่นิ่งบนพื้นปูนของฟุตบาท

     

           หญิงสาวก้มลงหยิบมันขึ้นมา

     

           ปิ่นปักผมเหรอ?

     

           ปิ่นที่อยู่ในมือเธอทำมาจากเงิน เดินลายประดับด้วยทองสีซีด จุดโฟกัสของมันคือหยกสีขาวตรงปลายด้านหนึ่งที่ถูกสลักอย่างประณีตเป็นรูปเกล็ดหิมะและช่อดอกไม้ สายโซ่เส้นเล็กบางสีเงินยวงทั้งสามเส้นที่ห้อยลงมาติดไว้ด้วยทองคำชิ้นเล็กๆเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวและดวงดาวนับสิบ

     

           คิ้วเรียวกดลง

     

           แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรต่อ เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

     

           สคาดิสูดหายใจลึกแล้วล้วงเอาไอโฟนเครื่องเก่าของเธอมากดรับแล้วแนบหู

     

           [กลับมาได้แล้ว สคาดิ] เสียงของแนตดังขึ้น เคร่งเครียดกว่าปกติ

           [เกิดเรื่องแล้ว]

     

           และเมื่อเสียงของแบล็ควิโดว์ฟังดูเครียด แสดงว่ามันเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ






     - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -










    TWO YEARS ANNIVERSARY

    “FIRST TWO YEARS IN ASGARD”

     

     

     

     

    ( p t . 1)

     

     

           สคาดิยังคงขังตัวเองอยู่ในห้องตั้งแต่เมื่อเจ็ดวันที่แล้วที่โอดินไปที่อัลฟ์ไฮม์เพื่อช่วยเธอมา

     

           “นางยังไม่กินเหรอ?” ร่างสง่าในชุดกรุยกรายของราชินีแห่งแดนเทพหยุดข้ารับใช้ที่กำลังยกถาดใส่อาหารซึ่งแทบไม่มีร่องรอยการเปลี่ยนแปลงออกมา

     

           “องค์หญิงไม่ได้แตะต้องมันเลยเพคะ”

     

           ฟริกก้าถอนหายใจ

     

           “เอามาให้ข้า”

     

           “แต่...”

     

           “เอามา” มือของเทพีแห่งมวลเมฆยื่นออกไปเอาถาดนั้นมาถือเองก่อนที่เหล่านางกำนัลจะได้พูดอะไรต่อ

     

           เธอหมุนตัวไปที่ห้องของลูกบุญธรรมหมาดๆอย่างคล่องแคล่วแล้วปิดประตูตามหลัง กันไม่ให้เสียงอะไรก็ตามในนั้นเล็ดลอดออกมา

     

           ร่างเล็กของเด็กหญิงจากอาณาจักรน้ำแข็งนั่งอยู่บนเตียง งอเข่าเข้าหาตัวและมองออกนอกหน้าต่างไปที่ไบฟรอสต์ซึ่งส่องแสงระยิบระยับท่ามกลางม่านสีเทาเข้มของเมฆฝน

     

           ฟริกก้ายืนมอง ก่อนจะเรียกด้วยเสียงนุ่มนวล

     

           “สคาดิ...”

     

           อีกคนค่อยๆหันมา เผยให้เห็นดวงตาที่บวมแดงและใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าลึกล้ำ

     

           แต่บนแก้มของเธอก็ไม่ได้มีรอยน้ำตา

     

           เทพีรู้สึกเห็นใจเด็กน้อยขึ้นมาในทันทีเมื่อนึกถึงวันที่ผู้เป็นสวามีกลับวังพร้อมกับร่างเล็กๆในชุดกระโปรงสีซีดประดับด้วยลายดอกไม้สีแดงบนหลังของเสลปเนียร์

     

           และเมื่อแตะตัวเธอ ฟริกก้าก็พบว่าลายดอกไม้เหล่านั้นแท้จริงแล้วคือเลือดสีแดงสดที่สาดมาเปื้อนบนเนื้อผ้า

     

           สคาดิไม่พูดกับใครแม้สักคำ ได้แต่ยืนเงียบๆให้ราชินีเทพและเหล่านางกำนัลจับเธออาบน้ำแต่งตัว พาเข้าห้องใหม่แล้วแนะนำแอสการ์ดกับสถานะของเธอที่นี่

           หลังจากนั้นก็เก็บตัวเงียบ

     

           เทพสวามีเคยถอนหายใจกับเธอวันแรกๆหลังจากเหตุการณ์ที่ทำให้เด็กคนนั้นกลายเป็นแบบนี้

     

           นางเห็นองครักษ์และนางกำนัลหลายคนถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา เขาว่า

           เห็นสภาพศพที่ดูน่าสังเวชของพ่อแม่ แล้วยังเกือบถูกฆ่าอีก...ทั้งหมดนี้ตอนที่นางอายุยังไม่ถึงห้าร้อยปีดีด้วยซ้ำ

     

           โชคชะตาโหดร้ายกับเจ้าหญิงรัชทายาทแห่งอาณาจักรน้ำแข็งจริงๆ

     

           “เจ้ากินสักคำเถอะนะ”

     

           เจ้าตัวรับฟังคำขออย่างเย็นชาแล้วเบือนหน้าหนี

     

           ฟริกก้านั่งลงข้างเธอ ยกถ้วยซุปที่เย็นชืดไปนานแล้วขึ้นมาคนพลางท่องมนตร์สั้นๆบทหนึ่ง

     

           ดวงตาสีฟ้าเทานั้นเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นประกายเวทย์สีทองวนรอบภาชนะกระเบื้องก่อนที่น้ำซุปจะมีควันลอยออกมา

     

           “นี่ไง อุ่นเหมือนเก่า” หญิงวัยกลางคนยิ้ม ตักมันขึ้นมาแล้วยื่นไปที่เด็กหญิง

           “ลองชิมซักคำสิ”

     

           สคาดิมองมันนิ่ง แล้วความสดใสบางอย่างในใบหน้าที่ฉายแววความงามตั้งแต่ยังอายุน้อยนั้นก็ค่อยๆจางหายไป

     

           เธอกินแค่น้ำกับซุปเล็กน้อย ก่อนจะทำท่าทางว่าอิ่มแล้ว

     

           อย่างน้อยวันนี้ก็กินแล้ว

     

           ฟริกก้าถอนหายใจยาวเหยียด

     

     

     

    [ปีที่หนึ่ง]

     

           สคาดิยอมออกมาจากห้องในที่สุดหลังจากใช้ชีวิตในห้องมากว่าหนึ่งเดือน

     

           เธอมักจะหมกตัวเองอยู่ในห้องสมุด ไม่ก็ฝึกเวทย์มนตร์อยู่คนเดียว

     

           เจอหน้าพี่ชายครั้งแรกและครั้งเดียวคือตอนออกมาดูแอสการ์ดให้ทั่วๆแล้วไปนั่งกินข้าวเช้ากับครอบครัวของเทพบิดร

     

           ธอร์ตอนนั้นไม่สนใจอะไรนอกจากการแกล้งโลกิ ฉะนั้นในสายตาของเขาจึงแทบไม่มีเธออยู่ในนั้น

           ...อย่างน้อยก็ยังดีที่จำได้ว่าในครอบครัวมีสมาชิกเพิ่มคือน้องสาวบุญธรรมที่ชื่อสคาดิ

     

           โลกิมัวยุ่งอยู่แต่กับการป้องกันตัวเองจากพี่ชาย เขาเลยไม่มีเวลามาใส่ใจเธอ

     

           ส่วนโอดินก็เอาแต่นั่งคุยกับลูกชายคนโตหัวแก้วหัวแหวนเกี่ยวกับเรื่องการเรียน นู่นนี่นั่นบลาๆๆ จะมีครั้งไหนบ้างที่เขาจะหันมาคุยกับเธอ ยกเว้นถ้าธอร์หมดเรื่องคุย

     

           มีเพียงฟริกก้าคนเดียวที่คอยตักอาหารให้เธอ คะยั้นคะยอให้กินเพิ่มเรื่อยๆแล้วชวนไปนั่งเล่นที่สวน

     

           เด็กหญิงถอนหายใจ มองครอบครัวแสนวุ่นวายตรงหน้า

     

           นี่มันไม่เหมือนกับตอนที่เธอยังอยู่กับท่านพ่อท่านแม่เลยสักนิดเดียว

     

           ตอนนั้น มันช่างอบอุ่นและทำให้ใจสงบ

     

           อย่างนี้สินะที่เขาว่าไม่มีที่ไหนเหมือนบ้าน

     

           แต่เธอคงไม่มีวันได้กลับไปเป็นแบบนั้นแล้วล่ะ

     

           ดวงตาสีฟ้าเทาหรุบลงต่ำ ความอยากอาหารทั้งหมดหายไปทันทีที่คิดถึงเสียงกรีดร้องด้วยความสิ้นหวังของผู้เป็นมารดา

     

           พาลูกข้าหนีไป!! ท่านแม่ว่าอย่างนั้น แล้วเหล่าราชองครักษ์ก็พากันหอบเธอที่ทั้งเตะทั้งถีบ ดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อไปอยู่กับราชาและราชินีของพวกเขาออกจากโถงบัลลังก์ทันที

     

           “สคาดิ?” สัมผัสบนหลังมือทำให้เธอเงยหน้าขึ้นมองเทพีแห่งมวลเมฆที่กำลังมองมาด้วยความเป็นห่วง

     

           “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” เธอได้ยินเสียงตัวเองตอบไป

           “แค่รู้สึกเวียนหัวหน่อยๆ”

     

           ยังไงที่นี่ก็ไม่มีวันเหมือนบ้าน

     

     

     

     ( p t . 2)

     

     

    [ปีที่สอง]

     

           เด็กสาวสะดุ้งเมื่อถูกอะไรบางอย่างเข้าที่หัว

     

           เธอหรี่ตาขณะที่ของเหลวบางอย่างค่อยๆไหลหยดลงจากเส้นผมสีเข้มและเปรอะเปื้อนใบหน้ารวมถึงเสื้อของเธอ

     

           หันมองไปรอบๆ แต่ไม่พบใครที่ยืนดูผลงานอยู่เลย

     

           สคาดิค่อยๆเช็ดมันออกจากแก้มแล้วยกนิ้วขึ้นมาสำรวจสารเหลวนั่นใกล้ๆ

     

           ...น้ำหวาน?

     

           ดวงตาสีฟ้าเทาหรี่ลงขณะที่กำมือเข้าหากัน

     

           ผลก็คือ วันนั้นเธอไปเข้าเรียนเวทย์กับฟริกก้าสาย

     

           “สคาดิ เกิดอะไรขึ้น?” เทพีแห่งมวลเมฆเขม้นมองร่างของลูกสาวบุญธรรมที่ก้าวเข้ามาในห้องเรียนด้วยสภาพแปลกตา

     

           คนถูกถามนิ่งไปราวกับพยายามหาคำตอบที่ดีพอ แล้วเหลือบไปมองเด็กหนุ่มผมทองด้านหลังก่อนจะหันกลับมาตอบ

     

           “มีอุบัติเหตุนิดหน่อยเจ้าค่ะ”

     

           และนั่นก็พอจะทำให้คนอายุมากกว่าเดาได้ว่าจริงๆแล้วเกิดเรื่องแบบไหนกันแน่

     

           เด็กสาวแก้ปมผ้าขนหนูที่พันอยู่รอบหัวอย่างอลังการแล้วปล่อยให้มันพาดลงที่บ่าทั้งสองข้าง เผยให้เห็นเรือนผมที่เปียกโชกแล้วนั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะของตนเอง

     

           “ธอร์!!” ราชินีแห่งแอสการ์ดเดินไปตบที่โต๊ะเรียนเสียงดัง ทำให้บุตรชายคนโตที่กำลังนั่งฟุบหลับฝันหวานอยู่สะดุ้งโหยง ผงกหัวขึ้นมาทันที

           “ทำไมแกล้งน้อง?”

     

           “หืม?” เขาเกาหัวแกรกๆ

     

           “ท่านแม่พูดเรื่องอะไร?”

     

           “อย่ามาทำไขสือ” ฟริกก้าจิ๊ปาก

           “ก่อนอาหารเย็นคัดเรื่องการกำเนิดของจักรวาลร้อยจบมาให้แม่...ห้ามให้โลกิช่วย

     

           “ท่านแม่!” ธอร์ท้วง

           “ข้าไม่ได้ทำนาง ทำไมข้าต้องคัดด้วย?”

     

           “ถ้าไม่ใช่เจ้า...” ผู้เป็นแม่ถอนหายใจ กอดอก

           “แล้วจะเป็นใคร?”

     

           เด็กหนุ่มผมทองกะพริบตาปริบๆ นิ่งงันไป ก่อนจะนึกได้

     

           “โลกิ”

     

           “เหลวไหล” เธอดูเกรี้ยวกราดกว่าเดิม

           “คัดเพิ่มอีกร้อยจบ ข้อหาทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด แถมยังโบ้ยให้น้อง”

     

           ธอร์โอดครวญ แต่ก็กลัวจะต้องคัดมากกว่าสองร้อยรอบเลยไม่แย้งอะไรอีก

     

           สคาดิมองพี่ชายคนโตเงียบๆ แล้วหันหัวกลับไปด้านหน้าเพื่อมองฟริกก้าที่กำลังจะสอนต่อ

     

           นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอโดนแบบนี้

     

           แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่ามันมีอะไรตงิดๆ

     

           บางอย่างในหัวกำลังบอกเธอว่าใครก็ตามที่ทำอย่างนี้ไม่ใช่ธอร์

     

           เด็กสาวนั่งเรียนจนจบแล้วเดินออกจากห้องทันทีที่ฟริกก้าบอกให้พวกเธอไปพักได้

     

           “สคาดิ มานี่มา” เสียงของเทพมารดาเรียกเธอเอาไว้

           “เดี๋ยวแม่จะดูผมให้”

     

           เธอเดินกลับไปนั่งตรงหน้าแม่บุญธรรมอย่างว่าง่าย ทันเห็นประกายบางอย่างในตาของโลกิตอนที่เขากำลังหมุนตัวเดินออกไป

     

           เจ้าของเรือนผมสีเข้มหลับตาลงขณะที่เทพีซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังเริ่มใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมให้หมาด

     

           อืม...

           ไม่ใช่ธอร์จริงๆแหละ

     

     

     

           ไม่กี่วันต่อมา สคาดิก็โดนแกล้งอีก

     

           คราวนี้เป็นยางไม้เหนียวๆบนหวี

     

           เธอต้องตัดผมส่วนนั้นออก เพราะยังไงยางไม้นั่นมันก็ติดแน่นอยู่กับหัวเธอไปแล้ว

           ดีหน่อยที่ไม่ได้ติดหนังหัว แค่พันอยู่บนผมส่วนที่ยาวเลยคอลงไป

     

           ก็หนักอยู่...แต่ก็ยังไม่ได้ล้ำเส้น

     

           ฟริกก้าโมโหใหญ่โต เกือบจะเอาไปลงที่ธอร์อีกรอบแล้วถ้าไม่ใช่เพราะเธอบอกว่าไม่ใช่เขา

     

           เธอไม่ได้บอกเทพมารดรหรอกว่าลูกชายคนโปรดเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง

     

           เด็กสาวแค่เดินไปที่สวน มองโลกิที่กำลังอ่านหนังสือแถวต้นไม้อยู่แล้วพูดลอยๆ

     

           “ทรงผมใหม่ก็สวยดี ขอบใจนะ”

     

           เขาชะงักไปครู่หนึ่ง

     

           ดวงตาสีฟ้าเทาปรายมอง

           “...แต่อย่าล้ำเส้นแล้วกัน”

     

           ดวงตาสีเขียวมรกตเสยขึ้นมาแว้บหนึ่ง

     

           สคาดิไม่รู้หรอกนะว่าทำไมจู่ๆพี่ชายที่เงียบขรึมถึงหันมาแกล้งเธอ หลังจากที่ทำตัวเฉยๆกับเธอมาตลอดหนึ่งปี

           และเธอก็ไม่ได้อยากรู้ด้วย

     

           ขอแค่เขาไม่ไปไกลเกินขอบเขตของเธอ สคาดิก็จะไม่ตอบโต้

     

           เด็กสาวม้วนปลายผมที่ตอนนี้ยาวเลยติ่งหูมาสองนิ้วเล่นขณะเดินกลับไปที่ห้องตัวเอง เตรียมตัวไปทานอาหารค่ำแล้วจะได้กลับมาอ่านตำราต่อ

     

     

     

     

           เธอคิดว่าบอกชัดแล้วนี่ว่าห้ามล้ำเส้น

     

           สามวันหลังจากได้ทรงผมใหม่ สคาดิเปิดประตูห้องหลังจากไปเดินเล่นมาและพบว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง

     

           หนังสือบนโต๊ะตอนแรกมีแค่สองเล่มนี่?

           ทำไมตอนนี้เพิ่มมาอีกเล่มหนึ่งล่ะ?

     

           คิ้วเรียวขมวดลง รีบก้าวยาวๆเข้าไปที่เตียง

     

           ใจหายวาบเมื่อเห็นว่าหีบเล็กๆข้างเตียงซึ่งเป็นที่ใส่สิ่งของที่มีคุณค่าทางใจของเธอเปลี่ยนที่จากมุมหนึ่งมาอีกมุมหนึ่ง

     

           มือเรียวกำแน่นเพื่อหยุดอาการสั่นสะท้านแล้วยื่นออกไปหยิบมันมาเปิด

     

           สคาดิเข่าอ่อน แทบทรุดลงไปกับพื้นเมื่อสร้อยที่บิดาทำให้ซึ่งเคยอยู่ในนั้นหายไป เหลือเพียงกล่องไม้ว่างเปล่า

     

           มันเป็นสิ่งเดียวที่ติดตัวเธอมาจากปราสาทน้ำแข็งที่เต็มไปด้วยเลือดนั่น

     

           เด็กสาวยกมือขึ้นกุมอก สะกดกลั้นเสียงใดก็ตามที่ทำท่าจะเล็ดลอดออกมาจากปากด้วยการขบฟันลงบนริมฝีปากเต็มแรงจนมันเกือบจะห้อเลือด

     

           ทันทีที่ทรงตัวได้ เธอก็พุ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วราวกับพายุเฮอริเคน

     

           เสียงรองเท้ากระทบพื้นหินอ่อนที่ปกติจะนิ่งและเป็นจังหวะเท่ากัน บัดนี้กลับเร็วแต่ไม่มั่นคง เต็มไปด้วยพายุอารมณ์อันแสนรุนแรง

     

           สคาดิเข้าไปในสวน เห็นธอร์ที่กำลังซ้อมดาบอยู่กับซิฟ แฟนดรัลกับโฮกันน์ที่นั่งลับกริชพลางคุยกันและร่างของเด็กหนุ่มผมดำซึ่งเอนหลังอยู่ที่ใต้ต้นโอ๊คพร้อมหนังสือในมือประมาณห้าหกเมตรห่างออกไป

     

           “อ้าว สคาดิ” เพื่อนชายผมน้ำตาลของธอร์เป็นคนแรกที่สังเกตเห็น

           “มาสิ โฮกันน์กำลังจะเล่าเรื่องตลกที่เขาเพิ่งไปเจอมาให้ฟัง”

     

           เธอเมินคำพูดแฟนดรัลอย่างสิ้นเชิง ไม่พูดพร่ำทำเพลง ร่างเพรียวที่ถึงไม่สูงเท่าซิฟแต่ก็ถือว่ายังอยู่ในระดับมาตรฐานเดินดุ่มๆไปจับคอเสื้อโลกิและยกเขากระแทกกับต้นไม้ทันที

     

           เขาไอค่อกแค่กขณะพยายามทรงตัวในท่านั้น ก่อนจะหอบแล้วมองเธอด้วยสายตาสงสัย

     

           หึ

           ปลอมสิ้นดี

     

           “...กล้าดียังไง?” เสียงของเธอเค้นออกมาลอดไรฟัน

     

           เสียงหอบนั้นเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ ค่อยๆดังขึ้นจนในที่สุดเขาก็กำลังขำลั่นสวนอยู่

     

           “ว้าว ข้าเจอจุดอ่อนเจ้าจนได้สินะ”

     

           “ทำไม?” เธอเขม้นมองใบหน้าอ่อนเยาว์ใต้เส้นผมที่ยาวระต้นคอสีปีกกานั่น

           “ข้าไปทำอะไรให้เจ้า?”

     

           เขานิ่งไป ก่อนจะผ่อนลมหายใจสั้นๆ

     

           “รู้มั้ย ก่อนเจ้าจะมา...ข้าเป็นลูกคนโปรดของท่านแม่ ข้าไม่เคยห่างกายนาง และนางเป็นผู้ที่อยู่กับข้ามากที่สุดเสมอ”

     

           “เกี่ยวกับข้าตรงไหนไม่ทราบ?”

     

           “ตั้งแต่มีเจ้า” เขาขบกราม

           “ท่านแม่ก็ไม่ได้มาหาข้าเพื่อส่งข้าเข้านอนอีก...นางไม่แม้แต่จะเรียกข้าให้อยู่ต่อหลังสอนเวทย์เสร็จเพื่อทบทวนบทเรียน ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า”

     

           “ข้าไม่ได้ทำบ้าอะไรเลย” ใบหน้าของสคาดิเต็มไปด้วยความโมโห

           “ทำไมโทษข้าเฉย”

     

           “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าแล้วทำไมนางไม่สนใจข้าแล้วล่ะ?” เสียงของโลกิดังขึ้นตามแรงโทสะ

     

           และเธอก็ตอบโต้ด้วยแรงแบบเดียวกัน

     

           “เจ้าทำตัวเองล่ะสิไม่ว่า”

     

           เขานิ่งไปราวกับถูกต่อยท้อง

     

           “รู้มั้ยข้าคิดว่ายังไง?” เธอเม้มปากแน่น โน้มหน้าเข้าไปใกล้

           “ฟริกก้าจะรู้สึกยังไงเมื่อรู้ว่าลูกชายที่ตัวเองไว้ใจที่สุดเป็นคนแกล้งน้อง?”

     

           เป็นบ้าอะไรถึงเอาสร้อยเธอไปซ่อน?

     

           อย่างน้อยก็ขอเหตุผลที่ดีกว่าแค่เพราะว่าฟริกก้าดูแลเธอบ่อยกว่าเขาได้ไหม?

     

           เขาคำราม ผลักเธอออกจากตัวจนเซถอยไป เปิดระยะห่างระหว่างพวกเขา

     

           โลกิมองเธอด้วยสายตาทิ่มแทง ก่อนจะสะบัดเนื้อตัวราวกับรังเกียจเธอเสียเต็มประดา

     

           “รู้มั้ยข้าคิดยังไง?” เสียงของเขาเต็มไปด้วยพิษที่แทรกซึมเข้าสู่หัวใจของเธอ

     

           “เด็กกำพร้าจากอาณาจักรที่ล่มสลายอาจหาญเรียกตัวเองว่าน้องของข้า เจ้าชายแห่งแอสการ์ดได้ยังไง?”

     

           ว่าจบเขาก็ทำหน้ารังเกียจ

     

           “ไม่เจียมกะลาหัวจริงๆ”

     

           สคาดิได้ยินเสียงอะไรบางอย่างขาดผึงในหัว

     

           ก่อนจะทันได้รู้ตัว เสียงเนื้อกระทบเนื้อก็ดังกังวานไปทั่ว

     

           ธอร์และซิฟหยุดมือทันที แม้แต่โฮกันน์ก็หันมามองอย่างตกใจ

     

           เด็กสาวหอบ มองซีกหน้าขาวๆของโลกิที่ตอนนี้มีรอยมือของเธอประทับอยู่เป็นปื้นแดง

     

           สูดลมหายใจสั่นๆ เธอถามออกไป

           “สร้อยข้าอยู่ที่ไหน?”

     

           เขายกมือขึ้นแตะแผล แล้วเลียมุมปากที่เริ่มบวม

     

           “ป่านนี้คงถูกคนเก็บเอาไปแล้วล่ะมั้ง...ถนนแถวลานน้ำพุมีพวกชอบสะสมของเยอะซะด้วย”

     

           เธอใจดิ่งไปอยู่ตาตุ่ม รู้สึกตัวชาไปครู่หนึ่ง

     

           ในที่สุด เด็กสาวก็ดึงสติกลับมาแล้วหมุนตัววิ่งออกไปทันที

     

           “เจ้าทำอะไรนาง?” เสียงของธอร์ทำให้คนเป็นน้องหันไป

     

           “ไม่เห็นรึไง นางทำข้าก่อน”

     

           “สคาดิไม่มีวันทำร้ายใครก่อน” ซิฟก้าวเข้ามา

           “เกิดอะไรขึ้น?”

     

           เขาถอนหายใจ เสหลบตาพี่ชายและกลุ่มเทพวัยรุ่นนั้น

     

           เด็กสาวผมสีดำมีสีหน้าซีดเผือดในทันใด

     

           “โลกิ เจ้าทำอะไรลงไป?”

     

     

     

           หยดน้ำที่ตกลงมาจากฟ้าปรอยๆไม่ได้ทำให้สคาดิหยุดชะงักขาที่กำลังก้าวไปรอบๆ

     

           เธอหรี่ตา มองหาอย่างสิ้นหวังขณะที่ผู้คนในลานน้ำพุของแอสการ์ดค่อยๆซาลงเพราะฝน

     

           เด็กสาวจำวันที่บิดายื่นกล่องที่ใส่สร้อยเส้นนั้นให้เธอได้ดี

     

           มันเป็นวันเกิดปีที่สี่ร้อยห้าสิบของเธอ

     

           พ่อสั่งทำพิเศษเพื่อเจ้าเลยนะ สคาดิ ท่านพ่อบอกขณะสวมมันลงบนคอของเธอ ดวงดาวนับพันที่กระจายเป็นเกล็ดเล็กๆอยู่ทั่วจี้ทรงกลมนั้นเป็นประกายเด่นออกมาจากพื้นหลังโทนสีมืด

     

           ลูกจะใส่ติดตัวไว้ตลอดเพคะ ท่านพ่อ

     

           เธอผิดสัญญา

     

           คิดถึงตรงนี้ น้ำตาเจ้ากรรมก็ดันร่วงลงมาหยดหนึ่ง กลิ้งไปตามสันจมูกของเธอและลงสู่พื้นอิฐที่เรียงตัวเป็นลายใต้ฝ่าเท้า

     

           เธอปาดมันออกลวกๆแล้วเดินหาต่อไป ปากขบเม้มกันแน่น

     

           รู้ตัวอีกครั้งเมื่อมือของใครบางคนแตะลงที่บ่า

     

           ดวงตาสีฟ้าเทาตวัดกลับมา ร่างสะดุ้งโหยงก่อนจะผ่อนคลายลงและถอนหายใจ

     

           “ซิฟ”

     

           เด็กสาวผมดำจ้องกลับมาแล้วค่อยๆโอบมือรอบไหล่เธอ

     

           “พอเถอะสคาดิ”

     

           ราวกับถูกตบหัวอย่างจังจนมึนงง เธอเซถอยออกไปแล้วส่ายหน้าช้าๆ

     

           “ไม่...”

     

           “ฝนตกแล้ว ถ้าเจ้าไม่เข้าร่มจะป่วย” ซิฟกระชับร่มในมือ

     

           “ข้าไม่สน”

     

           อีกฝ่ายทำสีหน้าปั้นยาก

           “ได้โปรด สคาดิ”

     

           “ข้า...” เธอกะพริบตาถี่ๆ

           “สร้อย...”

     

           “มันก็แค่สร้อย เดี๋ยวพอฝนหยุดเราค่อยออกไปซื้อกันใหม่ ดีมั้ย? เอาให้สวยกว่าเดิมเลย”

     

           คิ้วเรียวกดลง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วขณะที่ยื่นมือออกไปผลักแขนของเพื่อนพี่ชายที่ทำท่าจะเข้ามาพาเธอกลับวัง

     

           “เจ้าไม่เข้าใจ”

     

           “เฮ้ สคาดิ”

     

           “ไม่...เจ้าไม่เข้าใจ” เสียงของเธอสั่นพร่า พยายามกลั้นน้ำตาสุดความสามารถ

           “ไม่มีใครเข้าใจ

     

           ห่าฝนและแรงลมที่สาดกระทบลงบนตัวของสคาดิทำให้เธอรู้สึกหนาวเยือก

           แต่นั่นก็เทียบไม่ได้กับความเหน็บหนาวในใจ

     

           ที่นี่ไม่มีใครเข้าใจเธอ

     

           เด็กสาวผมสีเข้มพยายามค้นหาต่อ แต่ความชาตรงท่อนขาทำให้เธอก้าวไม่ออกและทรุดลงไปตรงนั้น

     

           ซิฟปรี่เข้ามาหิ้วปีกแล้วลากเธอกลับ

     

           นั่นเป็นตอนที่เธอร้องไห้เงียบๆท่ามกลางสายน้ำจากฟ้า

     

           สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ของบิดามารดา...

           หมดสิ้นแล้ว

     

           ทันทีที่มาถึงวังทองคำ เธอก็เข้าห้องไปไม่พูดไม่จา ไม่ลืมลงกลอนแน่นหนา

     

           แม้แต่ฟริกก้าที่มาเคาะประตูขอคุยด้วย เธอก็ไม่ลุกไปเปิด

     

           ตลอดทั้งสามวันที่พายุจากวานาไฮม์พัดพาฝนเข้าสู่แอสการ์ด เด็กสาวนอนนิ่งอยู่บนเตียงด้วยดวงตาแดงก่ำ มือกอดกล่องไม้ที่ว่างเปล่าไว้

     

           จนในที่สุด เทพีแห่งมวลเมฆหมดความอดทนในวันที่สี่และใช้เวทย์ดันกลอนออกก่อนจะเข้ามาหาเธอจนได้

     

           “สคาดิ เกิดอะไรขึ้น?” ร่างในชุดกรุยกรายทรุดลงข้างตัวขณะที่เธอยังคงนอนซุกอยู่ในผ้าห่มหนาๆ

     

           ดวงตาสีฟ้าเทาที่ดูไร้ชีวิตนั้นลืมขึ้นมาสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของแม่บุญธรรม

     

           สคาดิไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่มองกล่องไม้ในมือนิ่ง

     

           ฟริกก้าแตะตัวเธอ ก่อนจะร้องสั่งนางกำนัล

     

           “ไปเอาอ่างน้ำอุ่นกับผ้ามาให้ข้า ยาแก้ไข้ด้วยจะดีมาก”

     

           เป็นเวลาเกือบหนึ่งวันกว่าที่ไข้เธอจะลดลง

     

           แต่หลังจากวันนั้น เธอก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

     

           จากที่ปกติเป็นเด็กขรึมๆเงียบๆอยู่แล้ว ยิ่งพูดน้อยลงจนแทบนับคำต่อวันได้

           ข้าวปลาก็แทบไม่แตะ จนนางกำนัลหลายคนบอกว่าหนักกว่าช่วงที่เพิ่งมาอยู่ใหม่ๆเสียอีก

     

           “ข้าว่าองค์หญิงดูซึมลง” คนหนึ่งกระซิบคุยกับเพื่อนหน้าห้อง

           “เหมือน...สูญเสียวิญญาณไปอย่างไรอย่างนั้น”

     

           “เกิดอะไรขึ้นกันนะ?” อีกคนหนึ่งมีเสียงเป็นกังวล

     

           “ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป” คนที่สามถอนหายใจ

           “พระองค์คงอยู่ได้อีกไม่นาน”

     

           ทั้งสามก้มหน้าลง จมไปในความคิดตนเองเงียบๆ

     

           ...โดยที่ไม่รู้เลยว่าในเงามืดหลังเสาข้างๆพวกเขานั้น เด็กหนุ่มผมสีปีกกาอีกคนก็กำลังจมไปในความคิดตนเองเหมือนกัน

     

           คืนนั้น สคาดิหลับๆตื่นๆ

     

           แสงจันทร์ยังคงสาดกระทบกล่องไม้ที่ว่างเปล่าของเธอ อย่างที่มันเป็นมากว่าห้าวันแล้ว

     

           เด็กสาวหลับตาลง เกือบจะเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้งในตอนที่ได้ยินเสียงกุกกักและเงาบางอย่างที่เคลื่อนมาบดบังแสงจันทร์ในเวลาสั้นๆ

     

           เธอเลิกม่านเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย ทันเห็นชายเสื้อสีเขียวที่ขยับอยู่ข้างๆเตียง

     

           เม้มปากเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงออกไปตอนที่ร่างนั้นทำท่าจะปีนระเบียงด้านนอกกลับออกไป

     

           “...ใจคอจะย่องเข้าห้องคนอื่นตอนกลางดึกแล้วยังจะไม่ทิ้งโน้ตอะไรไว้เลยเหรอ?”

     

           เจ้าของเสื้อเขียวชะงักกึก แล้วถอนหายใจยาวพลางก้าวขาออกจากระเบียง

     

           “ข้ากะจะ...รีบไปรีบกลับ” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความเก้อกระดากขณะค่อยๆหมุนตัวมาประจันหน้า มือข้างหนึ่งยกขึ้นเกาท้ายทอยเบาๆ

           “เผื่อเจ้าจะลุกขึ้นมาตบหน้าข้าอีกรอบ”

     

           “ข้าจะไม่ทำถ้าเจ้าไม่ล้ำเส้น” เธอย้ำ พลิกตัวขึ้นมาให้นอนคุยถนัดๆ

     

           โลกินิ่งไป

     

           ดวงตาสีเทาหรี่ปรือขณะที่เขาเดินมานั่งข้างๆ

     

           แล้วมันก็เบิกกว้างเมื่อเห็นว่าเขาหยิบกล่องไม้มายื่นให้ อะไรบางอย่างที่เป็นประกายนอนนิ่งอยู่ในนั้น

     

           “นั่น...”

     

           มือเรียวรีบรับมันมาถือ หยิบสร้อยสีเงินด้วยมือที่สั่นเทาแล้วเงยหน้ามองพี่ชายคนรองอีกครั้ง

     

           “แต่...”

     

           เขาจ้องกลับมาด้วยดวงตาสีเขียวมรกต

           “เจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะกล้าเอาของดูแพงขนาดนี้ไปทิ้งให้เสียเปล่าหรอกใช่มั้ย?”

     

           “แสดงว่าคิดจะแอบเก็บไว้แล้วเอาไปขายต่อตลาดมืด?”

     

           เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว แล้วหัวเราะเบาๆ

     

           “เออ คิดอยู่แวบหนึ่ง”

     

           เขามองดูจี้ลายจักรวาลในมือเธอแล้วถามขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ

     

           “ทำไมเจ้าถึงรักมันนัก?”

     

           ดวงตาสีฟ้าเทายังไม่ละจากสร้อย เธอไล้มันไปมาพลางเม้มปาก

           “...มันเป็นของขวัญวันเกิดที่พ่อข้าทำให้ และเป็นสิ่งสุดท้ายจากบ้านเก่าข้าที่เหลืออยู่”

     

           เขานิ่งไป

     

           “ล้ำเส้น...อย่างนี้เองสินะ”

     

           “เจ้าทำข้าเข้าเรียนสาย ข้ายอม...เจ้าเอายางไม้มาติดหวีข้าจนข้าต้องตัดออก ข้ายอม...แต่เจ้าขโมยสร้อยข้าไปซ่อน ข้ายอมไม่ได้” เธอหยุดมือ มองหน้าพี่ชาย

     

           ดวงตาสีเขียวหรุบลง แล้วเธอก็แทบได้ยินเสียงฟันเฟืองในหัวเขาขยับไปมา

     

           ในที่สุด เด็กหนุ่มก็สูดหายใจลึก

           “เจ้าต้องการอะไร?”

     

           มุมปากเธอยกยิ้ม

     

           “ข้ามีให้สองทางเลือก หนึ่ง; ไปสารภาพกับท่านพ่อและท่านแม่ ไม่อย่างนั้นข้าจะทำเอง บอกพวกท่านให้หมดว่าทำอะไรไปบ้าง ห้ามโบ้ยธอร์ ห้ามเอาชื่ออื่นมาเกี่ยว” มือเรียววางสร้อยลงไปในกล่อง ลอบมองสีหน้าซีดเซียวของเขา

           “หรือสอง; ทำคุณไถ่โทษ”

     

           เจ้าของเรือนผมสีปีกกากะพริบตาในทันทีที่เธอจบประโยคที่สอง

     

           แล้วเธอก็รู้แน่ชัดว่าเขาจะเลือกทางไหน

     

           เด็กสาวผมสีเข้มเอนหลังลง พยักเพยิดไปทางระเบียง

           “ดึกแล้ว เจ้าควรไปนอน...พรุ่งนี้มาเจอข้าที่สวนแล้วเราค่อยว่ากัน”

     

           เขาทำเสียงอืมในลำคอเป็นการตอบรับแล้วลุกออกไป

     

           สคาดิมองจนเขากำลังจะเหวี่ยงตัวเองออกจากระเบียง

     

           “โลกิ”

     

           เด็กหนุ่มสะดุ้ง หันหน้ามาราวกับกลัวเธอจะเปลี่ยนใจไปบอกโอดินว่าเขาทำอะไรไว้

     

           “เจ้าเป็นลูกคนโปรดของท่านแม่...เป็นแบบนั้นเสมอมา”

     

           เขาหยุด นิ่งงันไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเลียริมฝีปากที่แห้งผากแล้วกระโดดลงไปข้างล่าง

     

           และสคาดิคิดว่าเขากำลังยิ้มบางๆ

     

     

     

     

     

     

     

     

           ฟริกก้ากำลังสงสัย

     

           หลังจากเหตุการณ์ที่สคาดิป่วยเพราะตากฝนในลานน้ำพุนานเกินไปนั้น ทุกอย่างก็ดูไม่เหมือนเดิม

     

           โลกิที่ปกติจะเมินเฉยและเย็นชากับน้องสาวบุญธรรม กลับไปหาเธอในวันแรกที่เธอออกจากห้อง

     

           และราชินีแห่งแอสการ์ดก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตั้งแต่ท่าทีที่เปลี่ยนไปของลูกชายคนเล็ก หรือที่จู่ๆเขาวิ่งไปรอบวัง ตะโกนว่าผิดไปแล้วซ้ำๆ

     

           บางที...เธอก็เผลอคิดไปว่าคงจะเป็นโลกินี่แหละที่อยู่เบื้องหลังการแกล้งสคาดิสองสามครั้งหลัง

     

           ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองลงไปที่สวน มองเห็นธอร์กับแก๊งเพื่อนของเขากำลังซ้อมอาวุธกันอยู่

     

           และถ้ามองไปด้านหลังอีกนิด ตรงใต้ต้นโอ๊คที่แผ่กิ่งก้านสาขาร่มเย็นนั้น

           ร่างของเด็กสาวผมสีเข้มกำลังนอนอยู่ระหว่างรากไม้พวกนั้น มีหนังสือเล่มหนึ่งที่เปิดอ้าวางคว่ำพาดบนตัก ข้างๆนั้นคือเด็กหนุ่มในชุดสีเขียวที่เอนหลังพิงพื้นที่ข้างๆน้องอยู่ด้วยมือที่ยกขึ้นมากอดอก หัวของเขาซบอยู่แถวๆไหล่ของเธอ ดวงตาทั้งสองคู่ปิดสนิท

     

           ช่างดูสงบสุขเหลือเกิน...

     

           เทพีแห่งมวลเมฆถอนหายใจยาว รอยยิ้มบางๆปรากฎขึ้นที่มุมปาก

     

           แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

     

     

     

     

     

     

     

    TALK WITH FM

    เผลอแป๊บเดียวก็ครบ 2  ปีแล้วนะคะหลังจากวันที่เราเปิดกล่องฟิคเรื่องนี้ขึ้นมา

    เวลานี่เดินเร็วจังเลยเนอะ 555

    ก่อนอื่นเลย เราอยากจะขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่อยู่กับเรามาตลอดเจ็ดร้อยสามสิบกว่าวันนี้

    เราจะไม่มีวันนี้เลยถ้าเราไม่ได้รับกำลังใจจากพวกคุณทุกคน

    ฉะนั้น ขอบคุณจริงๆนะคะที่ยังไม่ทิ้งกันไปไหน แม้ว่ากระแสกาลเวลามันจะเปลี่ยนไปบ้าง เหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้น แต่ทุกคนก็ยังอยู่เป็นกำลังใจให้เรา

    ความจริงเราเคยท้อหนักมาก คือช่วงที่ลงซีซั่นสามนี่แหละ(ฮา)

    คือวิวมันก็น้อย คนให้กำลังใจก็น้อย ช่องคอมเม้นท์นี่แห้งเลย 555

    ตอนนั้นคือคิดเลยนะว่า เออ หยุดเขียนดีมั้ย

    แต่นึกขึ้นได้ว่ายังมีนักอ่านอีกเป็นสิบๆคนที่ยังติดตามอ่านของเราอยู่ ก็เลยฮึดขึ้นมา

    สำหรับทุกคนที่อ่าน เรารู้สึกเป็นเกียรติจริงๆนะคะที่ยังคงอ่านอยู่

    อยากให้อยู่เป็นกำลังใจให้เราแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่เม้นท์ก็ไม่เป็นไรค่ะ ขอแค่ยังเข้ามาอ่านก็พอ

    (แต่ความจริงเม้นท์หน่อยก็ดีนะคะ จะได้ชื่นใจขึ้นมาสักหน่อย//กระซิบเสียงเบามาก)

    สำหรับตอนพิเศษนี้มี 2 พาร์ทนะคะ เอาพาร์ทแรกมาลงก่อนเพราะกลัวไม่ทัน อีกพาร์ทจะลงให้หลังจากนี้ภายใน 1 อาทิตย์ค่ะ

    จะรีบปั่น สัญญาเลยยย

    ไปก่อนนะคะ

     

    19/05/2020

     

     

    มาแล้วค่ะทุกคนนนน อัพให้ครบแล้วนะ

    เราอยากจะบอกทุกคนว่า ขอบคุณสำหรับเก้าพันกว่าวิวและห้าร้อยกว่าเฟบนี้มากๆเลยนะคะ

    อยู่กับเราแบบนี้ไปนานๆน้าาาา
    ด้วยรักและถุงกาว
    เฟิงมี่ค่ะ>3<

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×