คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #50 : Broken Throne S3 || Ch 9
|| B
R O K E N T H R O N E ||
s e a
s o n 3
----------------------------
CHAPTER 9
ดวงตาสีฟ้าเทากวาดไปมองรอบๆที่มีบรรยากาศเงียบกริบ
ใบหน้าเหวอๆของเหล่าอเวนเจอร์สที่อยู่ในห้องนั้นเอาแต่จ้องมาราวกับเห็นผี
“เอ้า”
เธอขมวดคิ้ว
“พูดต่อสิ
หยุดทำไมล่ะ?”
“นี่เธอ...”
โทนี่ สตาร์คเงิบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยายามๆเริ่ม
“อะไร?
ไม่เจอหน้ากันแป๊บเดียวจำไม่ได้แล้วเหรอ?” หญิงสาวกอดอก
“มาได้ไงอ่ะ?”
เสียงของศาสตราจารย์เจ้าของใบปริญญาที่เยอะจนเธอขี้เกียจนับดังขึ้น
ดวงหน้างดงามหันไป
“ประตูมิติไง
เห็นฉันขึ้นลิฟต์มาเหรอ?”
เธอเอนตัวลงพิงกับราวเหล็กแถวนั้น
บิดปากเบาๆ
“ยินดีที่ได้เจออีกครั้งแล้วกันนะ”
นาตาชาเป็นคนแรกที่เข้ามาแตะเนื้อแตะตัวเธอ
ก่อนจะยิ้มแล้วกอดเธอเข้าไปเต็มรัก
“สคาดิ”
“ไงแนท”
เธอตบหลังหญิงสาวผมแดงกลับเบาๆ
“แคป”
เทพีแห่งเหมันต์หันไปหาร่างสูงๆของกัปตันอเมริกา
“ดูเครียดๆนะ
มีอะไรรึเปล่า?”
“ไม่มีหรอก”
เขายิ้มแล้วแตะบ่าเธอ
“ดีใจที่เธอมานะ”
“ฉันได้ยินว่ามี...”
ดวงตาสีฟ้าเทาเป็นประกายคมปลาบขณะตวัดไปมองเจ้าของตึก
“เรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่
เลยลงมาดู”
โทนี่กลืนน้ำลายเอื๊อก
“ไหน
มีอะไรที่ฉันต้องรู้บ้าง?”
ทันทีที่ฟังเรื่องจบ
เธอก็ถึงกับยกมือขึ้นตบหน้าผาก
นอร์นช่วย...
“คือ...”
สคาดิถอนหายใจ
“ฉันก็รู้มาบ้างแล้วอ่ะนะว่านายมันสติเฟื่อง
แต่นี่มันจะเกินไปหน่อยมั้ย?”
คนโดนว่ายกมือทั้งสองข้างขึ้นในอากาศเป็นเชิงยอมแพ้
“โอเค
อันนี้ผิดจริงไม่เถียง”
“แล้วจะแก้ยังไง?”
เธอยิงคำถาม
“ก็หามัน...แล้วก็ทำลายซะ”
“คิดว่าจะง่ายแบบนั้นเหรอ?”
หญิงสาวแค่นเสียงเหอะ
“ถ้าไอ้หุ่นนั่นถูกทำลายง่ายๆ
มันก็คงไม่ใช่ผลงานของนายหรอก”
“รู้”
มหาเศรษฐีหรุบตาลงมองพื้น
“ฉันก็เลยจะพาพวกเธอทั้งหมดไปตามตัวมันกัน”
เธอปรายตามองเขา
“ที่ไหน?”
“ซักแห่งในยุโรปเหนือ...อาจเป็นโซโกเวียไม่ก็รัสเซีย”
“อา...”
หญิงสาวพยักหน้า
“งั้นไปกันก่อนเลย”
“มีธุระอะไรรึเปล่า?”
สายลับสาวถาม
“ก็...”
เธอทำหน้าปั้นยาก
“ไม่รู้จะเรียกว่าธุระได้มั้ย...แต่เดี๋ยวฉันตามไปทีหลัง
ส่งพิกัดมาแล้วกัน”
ชะงักไปหน่อยหนึ่ง
แล้วเอ่ยต่อ
“ว่าแต่
ธอร์มามั้ย?”
“ไปหาเบอร์เกอร์กินอยู่”
สตีฟตอบ
“ให้เขาลุยด้วยก็น่าจะพอไหว”
เธอหันไปหาเจ้าของตึก
“อย่าลืมกระเตงพี่ฉันไปล่ะ”
ไอรอนแมนทำเสียงอืมในลำคอเป็นการตอบรับ
แล้วชี้นิ้วโป้งไปที่ลิฟต์
“ห้องเธอยังอยู่ชั้นเดิมนะ
ตามสบาย”
“ของฉันยังอยู่ดีใช่มั้ย?”
เธอมองตาม
“ไอโฟน
ไรพวกนี้?”
“นั่นล่ะ”
“อยู่ที่ห้องทำงานฉัน
ในกล่องสีฟ้าๆมีลายเกล็ดหิมะ...ถ้าจัดของเสร็จแล้วก็แวะลงไปเอาได้”
“ขอบใจ”
หญิงสาวยิ้มบางๆ
“แล้วเจอกันนะ”
“ตามมาเร็วๆล่ะ
สคาดิ” เสียงเขาแว่วมาขณะที่เธอเดินเข้าลิฟต์แล้วกดเลขไปชั้นที่ต้องการ
“เออ”
สคาดิยืนนิ่งอยู่ในกล่องเหล็กทรงสี่เหลี่ยมนั้น
ปล่อยให้ความคิดต่างๆไหลผ่านหัวไป
อินฟินิตี้สโตนเม็ดหนึ่งปรากฎที่มิดการ์ด
อีกเม็ดหนึ่งอยู่ที่แอสการ์ด
สองในหกโผล่ออกมาให้เห็นแล้ว
และถ้าจำไม่ผิด
เอเธอร์ก็เป็นรูปหนึ่งของมณีนั่นด้วย
ก็...สามในหก
ครึ่งหนึ่งแล้วนะเนี่ย
แค่ครึ่-
ไม่แค่สิ
ตั้งครึ่งหนึ่ง
หญิงสาวขบริมฝีปาก
ขยับนิ้วตนเองไปมาแล้วหมุนธนูเล่น
สังหรณ์ใจยังไงก็ไม่รู้
เสียงติ๊งดังขึ้นเมื่อถึงที่หมาย
เรียกความสนใจเธอกลับมา
ขาเรียวในรองเท้าบู๊ทหนังสีน้ำตาลก้าวออกมา
ดวงตาสีฟ้าเทามองห้องโถงตรงหน้า
อา...ไม่ได้มานาน
สคาดิเดินไปที่โซฟา
วางมือลงบนนั้นเบาๆ
ถึงปากจะบอกว่ารำคาญเจ้าของตึกขนาดไหน
แต่ลึกๆเธอก็คิดถึงที่นี่อยู่เสมอนั่นแหละ
เทพีแห่งเหมันต์กลิ้งตัวหลบกระสุนที่สาดมาอย่างรวดเร็ว
“ธอร์!!”
เธอสะบัดมือ สาดกระแสเวทย์ออกไปเพื่อกระแทกร่างของหุ่นยนต์เหล่านั้นให้แหลกติดกำแพง
ร่างของพี่ชายนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
ดวงตาดูเลื่อนลอย
สคาดิก้มตัวลงแตะเนื้อแตะตัวเขา
ไม่มีแผลภายนอก
สัญญาณชีพปกติ ลมหายใจสม่ำเสมอ
เขาไม่ได้ถูกทำร้ายร่างกาย
“ธอร์
ตื่นสิ”
หลังจากที่พยายามค้นหาสถานที่ซึ่งโลกิอาจเอาโอดินไปทิ้งไว้ตลอดสองสามชั่วโมง
เธอก็ตัดสินใจพักเรื่องนั้นไว้ก่อนแล้วตามเหล่าอเวนเจอร์สมาทุบหุ่นยนต์เล่นเพื่อพักสมอง
ทันทีที่ถึง
เธอก็เห็นความเละเทะในผืนหิมะเบื้องหน้าและแทบจะสร้างเกราะกันกระสุนไม่ทัน
วุ่นวายจริง
หญิงสาวรีบรุดเข้าไปในอาคาร
ค้นไปทั่วก่อนจะพบเทพแห่งสายฟ้านอนสลบเหมือดอยู่ที่พื้นในชั้นใดชั้นหนึ่งของตึกมืดๆ
เขาแทบไม่ตอบสนอง
มีเพียงเสียงหัวใจที่บ่งบอกว่าพี่ชายยังมีชีวิตอยู่
สคาดิใจกระตุก
ยื่นมือออกไปแตะหัวของเขา
ขออย่าให้เป็นอย่างที่เธอคิดเลย
ร่างเพรียวรู้สึกตัวชาไปครู่หนึ่งเมื่อรับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่วนเวียนอยู่ในบริเวณนั้น
พลังจิต
แข็งแกร่งซะด้วย
ธอร์ถูกขังอยู่ในจิตตัวเองด้วยพลังนั้น...ซึ่งเธอขอสาบานกับเหล่านอร์นว่ามันไม่ใช่เวทย์มนตร์
และเนื่องจากมันเป็นผลกระทบที่ไม่ได้เกิดจากเวทย์มนตร์
เธอเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากจะต้องรอให้คนที่สลบอยู่ฟื้นขึ้นมาเอง
ยังดีที่ใครก็ตามที่ใช้มันยังไม่มีประสบการณ์ที่มากพอ
สคาดิเคยเห็นสภาพของคนซึ่งถูกขังอยู่ในความทรงจำของตนเองเป็นเวลานานนับเดือนนับปีโดยผู้เชี่ยวชาญด้านนี้
และมันก็ไม่ได้ดีนักหรอก
เจ้าของดวงตาสีฟ้าเทาผุดลุกขึ้นจากเขาแล้วมุ่งหน้าต่อไป
เธอเจอนาตาชา
คลินท์และสตีฟที่ต่างก็โดนเหมือนพี่ชายผมทองไม่นานนักหลังจากนั้น
มีเพียงกัปตันอเมริกาที่ยังพอคุยรู้เรื่องและมีสติอยู่
แม้จะน้อยนิดก็ตาม
“ไหวมั้ย?”
เธอสอดมือเข้าไปใต้แขนแล้วพยุงเขาขึ้นมาจากราวเหล็กที่ชายหนุ่มเกาะอยู่
คุณปู่อายุปาเข้าไปเกือบร้อยในร่างล่ำบึ้กสูดหายใจเข้าออกช้าๆลึกๆแล้วพยักหน้า
“โทนี่?”
“ไม่รู้บินหายไปไหนแล้ว”
เขาหอบเบาๆ
“เรากำลังสู้กับอัลตรอน
ตอนที่...ตอนที่...” สตีฟหยุดพูดเพื่อเอนตัวลงพิงที่กำแพงพักเหนื่อย
ตกลงไอ้หุ่นนั่นโผล่หัวออกมาแล้วงั้นสิ?
“ว่าแต่...”
เธอขมวดคิ้ว
“ไอ้พวกที่มาแจมนี่สังกัดไหนกันล่ะ?”
“คู่รักคู่แค้นของชิลด์...และพวกเราบางคน”
คนผมทองเหลือบมองไปมา
หญิงสาวถอนหายใจ
“ไฮดรา?”
คู่สนทนายักคิ้วเป็นคำตอบ
“ใช่
สตรัคเกอร์”
ตายกันยากจริงๆ
เธอเงยหน้ามองขึ้นด้านบน
กรอกตาไปมา
“แล้วเจ้าคนที่มีพลังจิตนั่นล่ะ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
อีกคนบิดปาก
“มีกันสองคนพี่น้อง
คงจะเป็นการทดลองของพวกไฮดรามั้ง”
สคาดิทำปากเป็นรูปตัวโอ
ได้ข่าวมาว่าคทาของโลกิที่ทิ้งไว้กับพวกชิลด์ตั้งแต่เมื่อปีก่อนนู่นถูกทางองค์กรหลายหัวนั่นโขมยไป
คงจะใช้มันในการสร้างพลังให้มนุษย์สองคนนั้นสินะ
เธอลากเพื่อนผมทองออกมาข้างนอกเพื่อมาเจอกับเดอะฮัลค์ซึ่งคืนร่างแล้ว
“ตกลงเกิดอะไรขึ้นอ่ะ?”
เขาถามพลางรับสตีฟมาพยุงอย่างงงๆ
“โดนเล่นซะยับเลยน่ะสิ”
เธอเท้าสะเอวแล้วสูดหายใจลึกๆ
“เอาล่ะ
เรารอตรงนี้ให้ที่เหลือฟื้นแล้วออกมาก่อนค่อยกลับฐานแล้วกัน”
นาตาชาเป็นคนแรกที่กระย่องกระแย่งออกมาจากตึก
สีหน้าของสายลับสาวไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
“ไงบ้าง?”
เธอจับหญิงสาวผมแดงมานั่งพักข้างๆ
อีกคนส่ายหน้า
“แย่มาก”
ร่างสูงใหญ่ของเทพสายฟ้าเดินออกมาเป็นคนสุดท้าย
เมื่อเห็นหน้าเธอชัดๆเขาก็ถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่ง
“พี่ข้า”
สคาดิค้อมหัวให้เขาน้อยๆ มือยังคงกอดอยู่ที่อก
“สคาดิ”
เขาพึมพำตอบราวกับทำตามสัญชาตญาณ ก่อนจะโซเซมาหาเธอ
หญิงสาวหลุดร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆเขาก็ทิ้งน้ำหนักลงมาบนเธอเกือบหมด
ขาเรียวเกร็งขึ้นยันร่างตัวเองไว้แทบไม่ทันขณะที่เทพหนุ่มผมทองก้มลงกอดเธอเสียแน่นจนคิดว่าซี่โครงอาจร้าวไปแล้วก็ได้
“ข้า...ข้าเห็นเจ้า
พวกเจ้า...ไฮม์ดัล ชาวแอสการ์ด...ทุกคน...”
มือเรียวยกขึ้นตบลงบนบ่าที่เต็มแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อนั้นเก้ๆกังๆ
“มันเป็นแค่ภาพลวงตา”
เธอว่ากับพี่ชายที่ตอนนี้ดูอ่อนล้ายิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“ข้ายังอยู่ตรงนี้
อยู่กับท่าน”
“ข้ากลัว”
เขาพูดเสียงเบา
“ถ้าวันหนึ่ง...ถ้าวันหนึ่งมันเป็นจริงขึ้นมาล่ะ?”
“ก็ให้มันเป็นเรื่องของสกูลด์”
เจ้าของเส้นผมสีเข้มวางมือลงที่ต้นคอหนาๆของเขา
ธอร์ทิ้งตัวทับเธออยู่แบบนั้นเกือบสิบนาที
จนกระทั่งในที่สุดเขาก็ผละออก มองเธอด้วยดวงตาสีฟ้าเข้มนั้น
“ข้าดีใจที่เจอเจ้าอีก
น้องข้า”
หญิงสาวกระตุกยิ้ม
“เช่นกัน
ธอร์”
สคาดิกระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วซิ่งไปหน้าตาตื่นทันทีที่ได้ข่าวว่าเจ้าหนุ่มเจคิลที่พออารมณ์หลุดแล้วจะกลายเป็นมิสเตอร์ไฮด์อย่างแบนเนอร์เกิดคลั่งขึ้นมา
หนักกว่านั้น เขาลุยเดี่ยวลงไปที่เมืองแถวนั้น(ชื่ออะไรเธอก็ไม่มีเวลาจำ)และกำลังไล่ทุบตึกทุบรถอยู่ตอนนี้
“เกิดบ้าอะไรขึ้น?!”
เธอเค้นเสียงผ่านสปีกเกอร์พกพาที่ติดอยู่ในหู
“ยัยเด็กพลังจิตนั่น...”
เสียงของโทนี่ตอบมาแค่นั้น แต่เธอก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ฉิบแล้วไง
หญิงสาวสบถ
ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปตามถนน
ไอรอนแมนตามไล่ล่าอัลตรอนมาจนถึงที่นี่
และไอ้หุ่นนั่นก็ดันมีแบ็คอัพเป็นพี่น้องหนูทดลองจากไฮดรา(ซึ่งเธอเพิ่งมารู้ว่าพวกเขาเป็นแฝดนามสกุลแม็กซิมอฟฟ์)
งานมันก็เลยไม่ง่ายเท่าไหร่
ไม่ใช่แค่ไม่ง่าย...ยากโหดหินเลยล่ะ
มันเหมือนพยายามไล่จับหมาตัวหนึ่งโดยที่มีนกสองตัวคอยโฉบไปโฉบมา
จิกผมจิกตาเรียกร้องความสนใจขณะที่กำลังวิ่งตามหมานั่นอยู่อย่างนั้นแหละ
เธอไม่น่าปล่อยให้ด็อกเตอร์ปริญญาสิบกว่าใบอยู่คนเดียวเลย
แรงสั่นสะเทือนจากพลังมหาศาลของเดอะฮัลค์ที่ขนาดอยู่ไกลเป็นกิโลยังรู้สึกได้ทำให้เธอขบริมฝีปาก
เธอต้องทำอะไรสักอย่าง
ร่างเพรียวกดพาหนะที่ขี่อยู่ลงไปด้านหนึ่งเพื่อหลบรถที่ถูกเหวี่ยงมา
เธอกลิ้งลงจากมันแล้วรีบวิ่งไปร่ายเวทย์สร้างเกราะกันเศษหินเศษปูนชิ้นเขื่องออกจากพลเรือนตาดำๆอย่างรวดเร็วก่อนจะชี้ให้พวกเขาหลบไปอยู่ที่ปลอดภัย
ดวงตาสีฟ้าเทามองร่างสีเขียวที่กำลังห้ำหั่นกับไอรอนแมนในเกราะอัพเกรดที่รู้สึกจะชื่อเวโรนิก้าอย่างดุเดือด
ดูท่าคราวนี้จะหนักจริง
บรูซจำไม่ได้แม้แต่เพื่อนร่วมทีม
สคาดิได้แต่ปัดเอาวัตถุต่างๆออกจากทิศทางที่มุ่งตรงไปหาชาวเมืองพร้อมกับสร้างเกราะเป็นระยะๆ
ทันใดนั้น
เธอได้ยินเสียงของมหาเศรษฐีสตาร์คว่าเขาจะจับฮัลค์ทุ่มลงไปบนตึกร้างแถวนั้น
หญิงสาวกรอกตาเมื่อเห็นร่างของจอมพลังกำลังจะถูกหอบขึ้นไปโดยเกราะเวโรนิก้า
“อย่างน้อยบอกก่อนสักสองสามนาทีก็ได้นะ”
“โทษที”
เสียงของเขาดังผ่านลำโพงในหู
“แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าน่ะ”
เธอเม้มปากแล้วร่ายเวทย์เคลื่อนย้ายตนเองไปที่ตึกนั้น
หลังจากประมาณสิบวินาทีที่เธอไปถึง
ฝุ่นก็คลุ้งตลบไปทั่วขณะที่โครงเหล็กจากอาคารนั่นถล่มลงมา
หญิงสาวหันหน้าหนีจากมัน
มือเรียวยื่นออกไปเพื่อสร้างเกราะเวทย์สีฟ้าใสกันตัวเองและคนรอบข้างจากความเสียหายต่างๆ
เธอหรี่ตามองผ่านม่านสีขุ่นๆนั่น
เห็นแบนเนอร์ที่ตอนนี้ยังคงอยู่ในร่างเดอะฮัลค์นอนมึนอยู่ในรูลึกบนพื้นรางๆ
หญิงสาวดึงเด็กหญิงคนหนึ่งออกมาจากใต้ซากรถแล้วตรวจเธอคร่าวๆ
สคาดิส่งร่างเล็กที่กำลังร้องไห้เพราะเสียขวัญนั้นให้กับผู้หญิงซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้ปกครองหรือแม่ของเธอ
“ถ้าหน่วยกู้ภัยมา
บอกเขาให้เช็คสมองเธอด้วย”
อีกคนรับเด็กไปพลางพึมพำขอบคุณทั้งน้ำตา
ดวงหน้างดงามหันกลับมาทันเห็นจอมพลังตัวเขียวที่ค่อยๆก้าวออกมา
ได้สติแล้วสินะ
“บรูซ”
เธอเรียก ทำเอาเขาหันขวับ
สีหน้าของเขาดูสับสนจนน่าสงสาร
มองมือตนเองสลับกับสภาพเมืองที่ยับเยินรอบๆมากกว่าสามครั้ง
“ยินดีต้อนรับกลับมานะ”
เดอะฮัลค์อ้าปากพะงาบๆ
พยายามจะเค้นคำถามออกมา
เธอเลียริมฝีปากที่แห้งผาก
“กลับนิวยอร์กก่อนค่อยว่ากัน”
ตลอดทางที่นั่งควินเจ็ทกลับ
แบนเนอร์ที่กลับมาเป็นมนุษย์ตัวเล็กๆเหมือนเดิมเอาแต่นั่งเงียบจนเธอเผลอคิดไปว่าเขาเป็นใบ้
“ไม่ใช่ความผิดนาย”
เธอพูดเบาๆ
ดวงตาคู่นั้นเงยขึ้นมา
“ถ้ามันไม่มีความคิดพวกนั้นอยู่ในหัวฉันแต่แรก
เด็กคนนั้นจะทำให้เดอะฮัลค์หลุดออกมาหลังจากแค่กระดิกนิ้วได้เหรอ?”
หญิงสาวหรุบตาลง
หมดคำพูด
แม้แต่โทนี่ที่ปกติจะสรรหาเรื่องมาเม้าท์ได้ตลอดเวลายังได้แต่ขับเครื่องบินสีดำนั่นต่อไปเงียบๆ
เธอลอบสบตากับนาตาชาที่ย้ายมานั่งฝั่งตรงข้าม
อีกคนถอนหายใจเบาๆแล้วส่ายหน้า
ให้ตาย
นี่มันตึงเครียดยิ่งกว่าสองสามวันหลังจากตอนที่โลกิแกล้งตายครั้งแรกด้วยการร่วงลงจากสะพานไบฟรอสต์ซะอีก
เมื่อถึงตึกอเวนเจอร์ส
บรูซก็ลงไปไม่พูดไม่จาแล้วตรงเข้าห้องแล็บเพื่อขังตัวเองอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวมองประตูนั้นนิ่ง
“เบอร์เกอร์สักชิ้นสองชิ้นน่าจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น”
เธอพึมพำแล้วไปเปลี่ยนเสื้อ
ดวงตาสีฟ้าเทากวาดมองไปทั่วขณะเดินออกจากตึกสูงแล้วไปตามถนนของนิวยอร์ก
ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่เธอเคยกินเมื่อครั้งก่อนที่มามิดการ์ดและพบว่ามันอร่อยมากตั้งอยู่ที่เดิม
เธอเข้าไปในนั้นแล้วสั่งอาหารที่เคาน์เตอร์ด้วยความคล่องแคล่ว
“เบอร์เกอร์เนื้อ
เพิ่มชีสสาม อันหนึ่งเพิ่มหัวหอมค่ะ”
เงินดอลลาร์ถูกวางลงไปแล้วเปลี่ยนด้วยถุงพลาสติกใส่ห่อขนมปังเบอร์เกอร์ร้อนๆ
สคาดิเดินทอดน่องกลับตึก
ชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆขณะที่คิดถึงเรื่องของทั้งคทาโลกิและอัลตรอน
ทันใดนั้น
สายตาก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างที่อีกฟากของถนน
ชายผมขาวๆคนนั้นดูคุ้นๆแปลกๆนะ...
แถมเขายังมีตาข้างเดียวอีกด้วย
เดี๋ยว...
ตาข้างเดียว?
เธออ้าปากค้าง
ตัวแข็งยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
เขาหันมาเห็นเธอพอดี
“โอ--”
เธอละล่ำละลัก รู้สึกเหมือนคำพูดติดอยู่ในลำคอ
แล้วชายคนนั้นก็ขยิบตา
รถคันหนึ่งแล่นผ่านมา
ขวางกั้นระหว่างพวกเขาเพียงช่วงสั้นๆ
เมื่อมันเลยผ่านไป
ร่างของบิดาบุญธรรมก็อันตรธานหายไปแล้ว
สคาดิรีบวิ่งข้ามถนนไป
ไล่หลังด้วยเสียงบีบแตรของรถคันอื่นๆให้เธอหันกลับมาจิกตาใส่เป็นระยะ
เมื่อไปถึงตรงที่โอดินเคยยืนอยู่
เธอก็พบเพียงวัตถุบางอย่างนอนแน่นิ่งบนพื้นปูนของฟุตบาท
หญิงสาวก้มลงหยิบมันขึ้นมา
ปิ่นปักผมเหรอ?
ปิ่นที่อยู่ในมือเธอทำมาจากเงิน
เดินลายประดับด้วยทองสีซีด
จุดโฟกัสของมันคือหยกสีขาวตรงปลายด้านหนึ่งที่ถูกสลักอย่างประณีตเป็นรูปเกล็ดหิมะและช่อดอกไม้
สายโซ่เส้นเล็กบางสีเงินยวงทั้งสามเส้นที่ห้อยลงมาติดไว้ด้วยทองคำชิ้นเล็กๆเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวและดวงดาวนับสิบ
คิ้วเรียวกดลง
แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรต่อ
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
สคาดิสูดหายใจลึกแล้วล้วงเอาไอโฟนเครื่องเก่าของเธอมากดรับแล้วแนบหู
[กลับมาได้แล้ว
สคาดิ] เสียงของแนตดังขึ้น เคร่งเครียดกว่าปกติ
[เกิดเรื่องแล้ว]
และเมื่อเสียงของแบล็ควิโดว์ฟังดูเครียด
แสดงว่ามันเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
TWO YEARS
ANNIVERSARY
“FIRST TWO YEARS IN ASGARD”
( p t . 1)
สคาดิยังคงขังตัวเองอยู่ในห้องตั้งแต่เมื่อเจ็ดวันที่แล้วที่โอดินไปที่อัลฟ์ไฮม์เพื่อช่วยเธอมา
“นางยังไม่กินเหรอ?”
ร่างสง่าในชุดกรุยกรายของราชินีแห่งแดนเทพหยุดข้ารับใช้ที่กำลังยกถาดใส่อาหารซึ่งแทบไม่มีร่องรอยการเปลี่ยนแปลงออกมา
“องค์หญิงไม่ได้แตะต้องมันเลยเพคะ”
ฟริกก้าถอนหายใจ
“เอามาให้ข้า”
“แต่...”
“เอามา”
มือของเทพีแห่งมวลเมฆยื่นออกไปเอาถาดนั้นมาถือเองก่อนที่เหล่านางกำนัลจะได้พูดอะไรต่อ
เธอหมุนตัวไปที่ห้องของลูกบุญธรรมหมาดๆอย่างคล่องแคล่วแล้วปิดประตูตามหลัง
กันไม่ให้เสียงอะไรก็ตามในนั้นเล็ดลอดออกมา
ร่างเล็กของเด็กหญิงจากอาณาจักรน้ำแข็งนั่งอยู่บนเตียง
งอเข่าเข้าหาตัวและมองออกนอกหน้าต่างไปที่ไบฟรอสต์ซึ่งส่องแสงระยิบระยับท่ามกลางม่านสีเทาเข้มของเมฆฝน
ฟริกก้ายืนมอง ก่อนจะเรียกด้วยเสียงนุ่มนวล
“สคาดิ...”
อีกคนค่อยๆหันมา
เผยให้เห็นดวงตาที่บวมแดงและใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าลึกล้ำ
แต่บนแก้มของเธอก็ไม่ได้มีรอยน้ำตา
เทพีรู้สึกเห็นใจเด็กน้อยขึ้นมาในทันทีเมื่อนึกถึงวันที่ผู้เป็นสวามีกลับวังพร้อมกับร่างเล็กๆในชุดกระโปรงสีซีดประดับด้วยลายดอกไม้สีแดงบนหลังของเสลปเนียร์
และเมื่อแตะตัวเธอ ฟริกก้าก็พบว่าลายดอกไม้เหล่านั้นแท้จริงแล้วคือเลือดสีแดงสดที่สาดมาเปื้อนบนเนื้อผ้า
สคาดิไม่พูดกับใครแม้สักคำ
ได้แต่ยืนเงียบๆให้ราชินีเทพและเหล่านางกำนัลจับเธออาบน้ำแต่งตัว
พาเข้าห้องใหม่แล้วแนะนำแอสการ์ดกับสถานะของเธอที่นี่
หลังจากนั้นก็เก็บตัวเงียบ
เทพสวามีเคยถอนหายใจกับเธอวันแรกๆหลังจากเหตุการณ์ที่ทำให้เด็กคนนั้นกลายเป็นแบบนี้
นางเห็นองครักษ์และนางกำนัลหลายคนถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา
เขาว่า
เห็นสภาพศพที่ดูน่าสังเวชของพ่อแม่
แล้วยังเกือบถูกฆ่าอีก...ทั้งหมดนี้ตอนที่นางอายุยังไม่ถึงห้าร้อยปีดีด้วยซ้ำ
โชคชะตาโหดร้ายกับเจ้าหญิงรัชทายาทแห่งอาณาจักรน้ำแข็งจริงๆ
“เจ้ากินสักคำเถอะนะ”
เจ้าตัวรับฟังคำขออย่างเย็นชาแล้วเบือนหน้าหนี
ฟริกก้านั่งลงข้างเธอ
ยกถ้วยซุปที่เย็นชืดไปนานแล้วขึ้นมาคนพลางท่องมนตร์สั้นๆบทหนึ่ง
ดวงตาสีฟ้าเทานั้นเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นประกายเวทย์สีทองวนรอบภาชนะกระเบื้องก่อนที่น้ำซุปจะมีควันลอยออกมา
“นี่ไง อุ่นเหมือนเก่า” หญิงวัยกลางคนยิ้ม
ตักมันขึ้นมาแล้วยื่นไปที่เด็กหญิง
“ลองชิมซักคำสิ”
สคาดิมองมันนิ่ง แล้วความสดใสบางอย่างในใบหน้าที่ฉายแววความงามตั้งแต่ยังอายุน้อยนั้นก็ค่อยๆจางหายไป
เธอกินแค่น้ำกับซุปเล็กน้อย
ก่อนจะทำท่าทางว่าอิ่มแล้ว
อย่างน้อยวันนี้ก็กินแล้ว
ฟริกก้าถอนหายใจยาวเหยียด
[ปีที่หนึ่ง]
สคาดิยอมออกมาจากห้องในที่สุดหลังจากใช้ชีวิตในห้องมากว่าหนึ่งเดือน
เธอมักจะหมกตัวเองอยู่ในห้องสมุด
ไม่ก็ฝึกเวทย์มนตร์อยู่คนเดียว
เจอหน้าพี่ชายครั้งแรกและครั้งเดียวคือตอนออกมาดูแอสการ์ดให้ทั่วๆแล้วไปนั่งกินข้าวเช้ากับครอบครัวของเทพบิดร
ธอร์ตอนนั้นไม่สนใจอะไรนอกจากการแกล้งโลกิ
ฉะนั้นในสายตาของเขาจึงแทบไม่มีเธออยู่ในนั้น
...อย่างน้อยก็ยังดีที่จำได้ว่าในครอบครัวมีสมาชิกเพิ่มคือน้องสาวบุญธรรมที่ชื่อสคาดิ
โลกิมัวยุ่งอยู่แต่กับการป้องกันตัวเองจากพี่ชาย
เขาเลยไม่มีเวลามาใส่ใจเธอ
ส่วนโอดินก็เอาแต่นั่งคุยกับลูกชายคนโตหัวแก้วหัวแหวนเกี่ยวกับเรื่องการเรียน
นู่นนี่นั่นบลาๆๆ จะมีครั้งไหนบ้างที่เขาจะหันมาคุยกับเธอ
ยกเว้นถ้าธอร์หมดเรื่องคุย
มีเพียงฟริกก้าคนเดียวที่คอยตักอาหารให้เธอ
คะยั้นคะยอให้กินเพิ่มเรื่อยๆแล้วชวนไปนั่งเล่นที่สวน
เด็กหญิงถอนหายใจ
มองครอบครัวแสนวุ่นวายตรงหน้า
นี่มันไม่เหมือนกับตอนที่เธอยังอยู่กับท่านพ่อท่านแม่เลยสักนิดเดียว
ตอนนั้น มันช่างอบอุ่นและทำให้ใจสงบ
อย่างนี้สินะที่เขาว่าไม่มีที่ไหนเหมือนบ้าน
แต่เธอคงไม่มีวันได้กลับไปเป็นแบบนั้นแล้วล่ะ
ดวงตาสีฟ้าเทาหรุบลงต่ำ
ความอยากอาหารทั้งหมดหายไปทันทีที่คิดถึงเสียงกรีดร้องด้วยความสิ้นหวังของผู้เป็นมารดา
พาลูกข้าหนีไป!! ท่านแม่ว่าอย่างนั้น
แล้วเหล่าราชองครักษ์ก็พากันหอบเธอที่ทั้งเตะทั้งถีบ ดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อไปอยู่กับราชาและราชินีของพวกเขาออกจากโถงบัลลังก์ทันที
“สคาดิ?”
สัมผัสบนหลังมือทำให้เธอเงยหน้าขึ้นมองเทพีแห่งมวลเมฆที่กำลังมองมาด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
เธอได้ยินเสียงตัวเองตอบไป
“แค่รู้สึกเวียนหัวหน่อยๆ”
ยังไงที่นี่ก็ไม่มีวันเหมือนบ้าน
( p t . 2)
[ปีที่สอง]
เด็กสาวสะดุ้งเมื่อถูกอะไรบางอย่างเข้าที่หัว
เธอหรี่ตาขณะที่ของเหลวบางอย่างค่อยๆไหลหยดลงจากเส้นผมสีเข้มและเปรอะเปื้อนใบหน้ารวมถึงเสื้อของเธอ
หันมองไปรอบๆ แต่ไม่พบใครที่ยืนดูผลงานอยู่เลย
สคาดิค่อยๆเช็ดมันออกจากแก้มแล้วยกนิ้วขึ้นมาสำรวจสารเหลวนั่นใกล้ๆ
...น้ำหวาน?
ดวงตาสีฟ้าเทาหรี่ลงขณะที่กำมือเข้าหากัน
ผลก็คือ
วันนั้นเธอไปเข้าเรียนเวทย์กับฟริกก้าสาย
“สคาดิ เกิดอะไรขึ้น?”
เทพีแห่งมวลเมฆเขม้นมองร่างของลูกสาวบุญธรรมที่ก้าวเข้ามาในห้องเรียนด้วยสภาพแปลกตา
คนถูกถามนิ่งไปราวกับพยายามหาคำตอบที่ดีพอ
แล้วเหลือบไปมองเด็กหนุ่มผมทองด้านหลังก่อนจะหันกลับมาตอบ
“มีอุบัติเหตุนิดหน่อยเจ้าค่ะ”
และนั่นก็พอจะทำให้คนอายุมากกว่าเดาได้ว่าจริงๆแล้วเกิดเรื่องแบบไหนกันแน่
เด็กสาวแก้ปมผ้าขนหนูที่พันอยู่รอบหัวอย่างอลังการแล้วปล่อยให้มันพาดลงที่บ่าทั้งสองข้าง
เผยให้เห็นเรือนผมที่เปียกโชกแล้วนั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะของตนเอง
“ธอร์!!”
ราชินีแห่งแอสการ์ดเดินไปตบที่โต๊ะเรียนเสียงดัง
ทำให้บุตรชายคนโตที่กำลังนั่งฟุบหลับฝันหวานอยู่สะดุ้งโหยง ผงกหัวขึ้นมาทันที
“ทำไมแกล้งน้อง?”
“หืม?” เขาเกาหัวแกรกๆ
“ท่านแม่พูดเรื่องอะไร?”
“อย่ามาทำไขสือ” ฟริกก้าจิ๊ปาก
“ก่อนอาหารเย็นคัดเรื่องการกำเนิดของจักรวาลร้อยจบมาให้แม่...ห้ามให้โลกิช่วย”
“ท่านแม่!” ธอร์ท้วง
“ข้าไม่ได้ทำนาง ทำไมข้าต้องคัดด้วย?”
“ถ้าไม่ใช่เจ้า...” ผู้เป็นแม่ถอนหายใจ
กอดอก
“แล้วจะเป็นใคร?”
เด็กหนุ่มผมทองกะพริบตาปริบๆ นิ่งงันไป
ก่อนจะนึกได้
“โลกิ”
“เหลวไหล” เธอดูเกรี้ยวกราดกว่าเดิม
“คัดเพิ่มอีกร้อยจบ
ข้อหาทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด แถมยังโบ้ยให้น้อง”
ธอร์โอดครวญ แต่ก็กลัวจะต้องคัดมากกว่าสองร้อยรอบเลยไม่แย้งอะไรอีก
สคาดิมองพี่ชายคนโตเงียบๆ แล้วหันหัวกลับไปด้านหน้าเพื่อมองฟริกก้าที่กำลังจะสอนต่อ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอโดนแบบนี้
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่ามันมีอะไรตงิดๆ
บางอย่างในหัวกำลังบอกเธอว่าใครก็ตามที่ทำอย่างนี้ไม่ใช่ธอร์
เด็กสาวนั่งเรียนจนจบแล้วเดินออกจากห้องทันทีที่ฟริกก้าบอกให้พวกเธอไปพักได้
“สคาดิ มานี่มา”
เสียงของเทพมารดาเรียกเธอเอาไว้
“เดี๋ยวแม่จะดูผมให้”
เธอเดินกลับไปนั่งตรงหน้าแม่บุญธรรมอย่างว่าง่าย
ทันเห็นประกายบางอย่างในตาของโลกิตอนที่เขากำลังหมุนตัวเดินออกไป
เจ้าของเรือนผมสีเข้มหลับตาลงขณะที่เทพีซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังเริ่มใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมให้หมาด
อืม...
ไม่ใช่ธอร์จริงๆแหละ
ไม่กี่วันต่อมา สคาดิก็โดนแกล้งอีก
คราวนี้เป็นยางไม้เหนียวๆบนหวี
เธอต้องตัดผมส่วนนั้นออก
เพราะยังไงยางไม้นั่นมันก็ติดแน่นอยู่กับหัวเธอไปแล้ว
ดีหน่อยที่ไม่ได้ติดหนังหัว
แค่พันอยู่บนผมส่วนที่ยาวเลยคอลงไป
ก็หนักอยู่...แต่ก็ยังไม่ได้ล้ำเส้น
ฟริกก้าโมโหใหญ่โต
เกือบจะเอาไปลงที่ธอร์อีกรอบแล้วถ้าไม่ใช่เพราะเธอบอกว่าไม่ใช่เขา
เธอไม่ได้บอกเทพมารดรหรอกว่าลูกชายคนโปรดเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
เด็กสาวแค่เดินไปที่สวน
มองโลกิที่กำลังอ่านหนังสือแถวต้นไม้อยู่แล้วพูดลอยๆ
“ทรงผมใหม่ก็สวยดี ขอบใจนะ”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง
ดวงตาสีฟ้าเทาปรายมอง
“...แต่อย่าล้ำเส้นแล้วกัน”
ดวงตาสีเขียวมรกตเสยขึ้นมาแว้บหนึ่ง
สคาดิไม่รู้หรอกนะว่าทำไมจู่ๆพี่ชายที่เงียบขรึมถึงหันมาแกล้งเธอ
หลังจากที่ทำตัวเฉยๆกับเธอมาตลอดหนึ่งปี
และเธอก็ไม่ได้อยากรู้ด้วย
ขอแค่เขาไม่ไปไกลเกินขอบเขตของเธอ
สคาดิก็จะไม่ตอบโต้
เด็กสาวม้วนปลายผมที่ตอนนี้ยาวเลยติ่งหูมาสองนิ้วเล่นขณะเดินกลับไปที่ห้องตัวเอง
เตรียมตัวไปทานอาหารค่ำแล้วจะได้กลับมาอ่านตำราต่อ
เธอคิดว่าบอกชัดแล้วนี่ว่าห้ามล้ำเส้น
สามวันหลังจากได้ทรงผมใหม่
สคาดิเปิดประตูห้องหลังจากไปเดินเล่นมาและพบว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง
หนังสือบนโต๊ะตอนแรกมีแค่สองเล่มนี่?
ทำไมตอนนี้เพิ่มมาอีกเล่มหนึ่งล่ะ?
คิ้วเรียวขมวดลง รีบก้าวยาวๆเข้าไปที่เตียง
ใจหายวาบเมื่อเห็นว่าหีบเล็กๆข้างเตียงซึ่งเป็นที่ใส่สิ่งของที่มีคุณค่าทางใจของเธอเปลี่ยนที่จากมุมหนึ่งมาอีกมุมหนึ่ง
มือเรียวกำแน่นเพื่อหยุดอาการสั่นสะท้านแล้วยื่นออกไปหยิบมันมาเปิด
สคาดิเข่าอ่อน แทบทรุดลงไปกับพื้นเมื่อสร้อยที่บิดาทำให้ซึ่งเคยอยู่ในนั้นหายไป
เหลือเพียงกล่องไม้ว่างเปล่า
มันเป็นสิ่งเดียวที่ติดตัวเธอมาจากปราสาทน้ำแข็งที่เต็มไปด้วยเลือดนั่น
เด็กสาวยกมือขึ้นกุมอก
สะกดกลั้นเสียงใดก็ตามที่ทำท่าจะเล็ดลอดออกมาจากปากด้วยการขบฟันลงบนริมฝีปากเต็มแรงจนมันเกือบจะห้อเลือด
ทันทีที่ทรงตัวได้
เธอก็พุ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วราวกับพายุเฮอริเคน
เสียงรองเท้ากระทบพื้นหินอ่อนที่ปกติจะนิ่งและเป็นจังหวะเท่ากัน
บัดนี้กลับเร็วแต่ไม่มั่นคง เต็มไปด้วยพายุอารมณ์อันแสนรุนแรง
สคาดิเข้าไปในสวน
เห็นธอร์ที่กำลังซ้อมดาบอยู่กับซิฟ
แฟนดรัลกับโฮกันน์ที่นั่งลับกริชพลางคุยกันและร่างของเด็กหนุ่มผมดำซึ่งเอนหลังอยู่ที่ใต้ต้นโอ๊คพร้อมหนังสือในมือประมาณห้าหกเมตรห่างออกไป
“อ้าว สคาดิ”
เพื่อนชายผมน้ำตาลของธอร์เป็นคนแรกที่สังเกตเห็น
“มาสิ
โฮกันน์กำลังจะเล่าเรื่องตลกที่เขาเพิ่งไปเจอมาให้ฟัง”
เธอเมินคำพูดแฟนดรัลอย่างสิ้นเชิง
ไม่พูดพร่ำทำเพลง
ร่างเพรียวที่ถึงไม่สูงเท่าซิฟแต่ก็ถือว่ายังอยู่ในระดับมาตรฐานเดินดุ่มๆไปจับคอเสื้อโลกิและยกเขากระแทกกับต้นไม้ทันที
เขาไอค่อกแค่กขณะพยายามทรงตัวในท่านั้น
ก่อนจะหอบแล้วมองเธอด้วยสายตาสงสัย
หึ
ปลอมสิ้นดี
“...กล้าดียังไง?”
เสียงของเธอเค้นออกมาลอดไรฟัน
เสียงหอบนั้นเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ
ค่อยๆดังขึ้นจนในที่สุดเขาก็กำลังขำลั่นสวนอยู่
“ว้าว ข้าเจอจุดอ่อนเจ้าจนได้สินะ”
“ทำไม?”
เธอเขม้นมองใบหน้าอ่อนเยาว์ใต้เส้นผมที่ยาวระต้นคอสีปีกกานั่น
“ข้าไปทำอะไรให้เจ้า?”
เขานิ่งไป ก่อนจะผ่อนลมหายใจสั้นๆ
“รู้มั้ย ก่อนเจ้าจะมา...ข้าเป็นลูกคนโปรดของท่านแม่
ข้าไม่เคยห่างกายนาง และนางเป็นผู้ที่อยู่กับข้ามากที่สุดเสมอ”
“เกี่ยวกับข้าตรงไหนไม่ทราบ?”
“ตั้งแต่มีเจ้า” เขาขบกราม
“ท่านแม่ก็ไม่ได้มาหาข้าเพื่อส่งข้าเข้านอนอีก...นางไม่แม้แต่จะเรียกข้าให้อยู่ต่อหลังสอนเวทย์เสร็จเพื่อทบทวนบทเรียน
ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า”
“ข้าไม่ได้ทำบ้าอะไรเลย” ใบหน้าของสคาดิเต็มไปด้วยความโมโห
“ทำไมโทษข้าเฉย”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าแล้วทำไมนางไม่สนใจข้าแล้วล่ะ?”
เสียงของโลกิดังขึ้นตามแรงโทสะ
และเธอก็ตอบโต้ด้วยแรงแบบเดียวกัน
“เจ้าทำตัวเองล่ะสิไม่ว่า”
เขานิ่งไปราวกับถูกต่อยท้อง
“รู้มั้ยข้าคิดว่ายังไง?” เธอเม้มปากแน่น
โน้มหน้าเข้าไปใกล้
“ฟริกก้าจะรู้สึกยังไงเมื่อรู้ว่าลูกชายที่ตัวเองไว้ใจที่สุดเป็นคนแกล้งน้อง?”
เป็นบ้าอะไรถึงเอาสร้อยเธอไปซ่อน?
อย่างน้อยก็ขอเหตุผลที่ดีกว่าแค่เพราะว่าฟริกก้าดูแลเธอบ่อยกว่าเขาได้ไหม?
เขาคำราม ผลักเธอออกจากตัวจนเซถอยไป
เปิดระยะห่างระหว่างพวกเขา
โลกิมองเธอด้วยสายตาทิ่มแทง
ก่อนจะสะบัดเนื้อตัวราวกับรังเกียจเธอเสียเต็มประดา
“รู้มั้ยข้าคิดยังไง?” เสียงของเขาเต็มไปด้วยพิษที่แทรกซึมเข้าสู่หัวใจของเธอ
“เด็กกำพร้าจากอาณาจักรที่ล่มสลายอาจหาญเรียกตัวเองว่าน้องของข้า
เจ้าชายแห่งแอสการ์ดได้ยังไง?”
ว่าจบเขาก็ทำหน้ารังเกียจ
“ไม่เจียมกะลาหัวจริงๆ”
สคาดิได้ยินเสียงอะไรบางอย่างขาดผึงในหัว
ก่อนจะทันได้รู้ตัว
เสียงเนื้อกระทบเนื้อก็ดังกังวานไปทั่ว
ธอร์และซิฟหยุดมือทันที แม้แต่โฮกันน์ก็หันมามองอย่างตกใจ
เด็กสาวหอบ มองซีกหน้าขาวๆของโลกิที่ตอนนี้มีรอยมือของเธอประทับอยู่เป็นปื้นแดง
สูดลมหายใจสั่นๆ เธอถามออกไป
“สร้อยข้าอยู่ที่ไหน?”
เขายกมือขึ้นแตะแผล
แล้วเลียมุมปากที่เริ่มบวม
“ป่านนี้คงถูกคนเก็บเอาไปแล้วล่ะมั้ง...ถนนแถวลานน้ำพุมีพวกชอบสะสมของเยอะซะด้วย”
เธอใจดิ่งไปอยู่ตาตุ่ม
รู้สึกตัวชาไปครู่หนึ่ง
ในที่สุด เด็กสาวก็ดึงสติกลับมาแล้วหมุนตัววิ่งออกไปทันที
“เจ้าทำอะไรนาง?”
เสียงของธอร์ทำให้คนเป็นน้องหันไป
“ไม่เห็นรึไง นางทำข้าก่อน”
“สคาดิไม่มีวันทำร้ายใครก่อน”
ซิฟก้าวเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น?”
เขาถอนหายใจ
เสหลบตาพี่ชายและกลุ่มเทพวัยรุ่นนั้น
เด็กสาวผมสีดำมีสีหน้าซีดเผือดในทันใด
“โลกิ เจ้าทำอะไรลงไป?”
หยดน้ำที่ตกลงมาจากฟ้าปรอยๆไม่ได้ทำให้สคาดิหยุดชะงักขาที่กำลังก้าวไปรอบๆ
เธอหรี่ตา
มองหาอย่างสิ้นหวังขณะที่ผู้คนในลานน้ำพุของแอสการ์ดค่อยๆซาลงเพราะฝน
เด็กสาวจำวันที่บิดายื่นกล่องที่ใส่สร้อยเส้นนั้นให้เธอได้ดี
มันเป็นวันเกิดปีที่สี่ร้อยห้าสิบของเธอ
พ่อสั่งทำพิเศษเพื่อเจ้าเลยนะ สคาดิ
ท่านพ่อบอกขณะสวมมันลงบนคอของเธอ ดวงดาวนับพันที่กระจายเป็นเกล็ดเล็กๆอยู่ทั่วจี้ทรงกลมนั้นเป็นประกายเด่นออกมาจากพื้นหลังโทนสีมืด
ลูกจะใส่ติดตัวไว้ตลอดเพคะ ท่านพ่อ
เธอผิดสัญญา
คิดถึงตรงนี้
น้ำตาเจ้ากรรมก็ดันร่วงลงมาหยดหนึ่ง
กลิ้งไปตามสันจมูกของเธอและลงสู่พื้นอิฐที่เรียงตัวเป็นลายใต้ฝ่าเท้า
เธอปาดมันออกลวกๆแล้วเดินหาต่อไป
ปากขบเม้มกันแน่น
รู้ตัวอีกครั้งเมื่อมือของใครบางคนแตะลงที่บ่า
ดวงตาสีฟ้าเทาตวัดกลับมา
ร่างสะดุ้งโหยงก่อนจะผ่อนคลายลงและถอนหายใจ
“ซิฟ”
เด็กสาวผมดำจ้องกลับมาแล้วค่อยๆโอบมือรอบไหล่เธอ
“พอเถอะสคาดิ”
ราวกับถูกตบหัวอย่างจังจนมึนงง
เธอเซถอยออกไปแล้วส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่...”
“ฝนตกแล้ว ถ้าเจ้าไม่เข้าร่มจะป่วย”
ซิฟกระชับร่มในมือ
“ข้าไม่สน”
อีกฝ่ายทำสีหน้าปั้นยาก
“ได้โปรด สคาดิ”
“ข้า...” เธอกะพริบตาถี่ๆ
“สร้อย...”
“มันก็แค่สร้อย
เดี๋ยวพอฝนหยุดเราค่อยออกไปซื้อกันใหม่ ดีมั้ย? เอาให้สวยกว่าเดิมเลย”
คิ้วเรียวกดลง
สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วขณะที่ยื่นมือออกไปผลักแขนของเพื่อนพี่ชายที่ทำท่าจะเข้ามาพาเธอกลับวัง
“เจ้าไม่เข้าใจ”
“เฮ้ สคาดิ”
“ไม่...เจ้าไม่เข้าใจ”
เสียงของเธอสั่นพร่า พยายามกลั้นน้ำตาสุดความสามารถ
“ไม่มีใครเข้าใจ”
ห่าฝนและแรงลมที่สาดกระทบลงบนตัวของสคาดิทำให้เธอรู้สึกหนาวเยือก
แต่นั่นก็เทียบไม่ได้กับความเหน็บหนาวในใจ
ที่นี่ไม่มีใครเข้าใจเธอ
เด็กสาวผมสีเข้มพยายามค้นหาต่อ แต่ความชาตรงท่อนขาทำให้เธอก้าวไม่ออกและทรุดลงไปตรงนั้น
ซิฟปรี่เข้ามาหิ้วปีกแล้วลากเธอกลับ
นั่นเป็นตอนที่เธอร้องไห้เงียบๆท่ามกลางสายน้ำจากฟ้า
สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ของบิดามารดา...
หมดสิ้นแล้ว
ทันทีที่มาถึงวังทองคำ
เธอก็เข้าห้องไปไม่พูดไม่จา ไม่ลืมลงกลอนแน่นหนา
แม้แต่ฟริกก้าที่มาเคาะประตูขอคุยด้วย
เธอก็ไม่ลุกไปเปิด
ตลอดทั้งสามวันที่พายุจากวานาไฮม์พัดพาฝนเข้าสู่แอสการ์ด
เด็กสาวนอนนิ่งอยู่บนเตียงด้วยดวงตาแดงก่ำ มือกอดกล่องไม้ที่ว่างเปล่าไว้
จนในที่สุด
เทพีแห่งมวลเมฆหมดความอดทนในวันที่สี่และใช้เวทย์ดันกลอนออกก่อนจะเข้ามาหาเธอจนได้
“สคาดิ เกิดอะไรขึ้น?”
ร่างในชุดกรุยกรายทรุดลงข้างตัวขณะที่เธอยังคงนอนซุกอยู่ในผ้าห่มหนาๆ
ดวงตาสีฟ้าเทาที่ดูไร้ชีวิตนั้นลืมขึ้นมาสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของแม่บุญธรรม
สคาดิไม่ได้ตอบอะไร
ได้แต่มองกล่องไม้ในมือนิ่ง
ฟริกก้าแตะตัวเธอ ก่อนจะร้องสั่งนางกำนัล
“ไปเอาอ่างน้ำอุ่นกับผ้ามาให้ข้า
ยาแก้ไข้ด้วยจะดีมาก”
เป็นเวลาเกือบหนึ่งวันกว่าที่ไข้เธอจะลดลง
แต่หลังจากวันนั้น เธอก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
จากที่ปกติเป็นเด็กขรึมๆเงียบๆอยู่แล้ว
ยิ่งพูดน้อยลงจนแทบนับคำต่อวันได้
ข้าวปลาก็แทบไม่แตะ
จนนางกำนัลหลายคนบอกว่าหนักกว่าช่วงที่เพิ่งมาอยู่ใหม่ๆเสียอีก
“ข้าว่าองค์หญิงดูซึมลง”
คนหนึ่งกระซิบคุยกับเพื่อนหน้าห้อง
“เหมือน...สูญเสียวิญญาณไปอย่างไรอย่างนั้น”
“เกิดอะไรขึ้นกันนะ?”
อีกคนหนึ่งมีเสียงเป็นกังวล
“ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป” คนที่สามถอนหายใจ
“พระองค์คงอยู่ได้อีกไม่นาน”
ทั้งสามก้มหน้าลง จมไปในความคิดตนเองเงียบๆ
...โดยที่ไม่รู้เลยว่าในเงามืดหลังเสาข้างๆพวกเขานั้น
เด็กหนุ่มผมสีปีกกาอีกคนก็กำลังจมไปในความคิดตนเองเหมือนกัน
คืนนั้น สคาดิหลับๆตื่นๆ
แสงจันทร์ยังคงสาดกระทบกล่องไม้ที่ว่างเปล่าของเธอ
อย่างที่มันเป็นมากว่าห้าวันแล้ว
เด็กสาวหลับตาลง
เกือบจะเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้งในตอนที่ได้ยินเสียงกุกกักและเงาบางอย่างที่เคลื่อนมาบดบังแสงจันทร์ในเวลาสั้นๆ
เธอเลิกม่านเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย
ทันเห็นชายเสื้อสีเขียวที่ขยับอยู่ข้างๆเตียง
เม้มปากเล็กน้อย
ก่อนจะส่งเสียงออกไปตอนที่ร่างนั้นทำท่าจะปีนระเบียงด้านนอกกลับออกไป
“...ใจคอจะย่องเข้าห้องคนอื่นตอนกลางดึกแล้วยังจะไม่ทิ้งโน้ตอะไรไว้เลยเหรอ?”
เจ้าของเสื้อเขียวชะงักกึก
แล้วถอนหายใจยาวพลางก้าวขาออกจากระเบียง
“ข้ากะจะ...รีบไปรีบกลับ”
เสียงของเขาเต็มไปด้วยความเก้อกระดากขณะค่อยๆหมุนตัวมาประจันหน้า
มือข้างหนึ่งยกขึ้นเกาท้ายทอยเบาๆ
“เผื่อเจ้าจะลุกขึ้นมาตบหน้าข้าอีกรอบ”
“ข้าจะไม่ทำถ้าเจ้าไม่ล้ำเส้น”
เธอย้ำ พลิกตัวขึ้นมาให้นอนคุยถนัดๆ
โลกินิ่งไป
ดวงตาสีเทาหรี่ปรือขณะที่เขาเดินมานั่งข้างๆ
แล้วมันก็เบิกกว้างเมื่อเห็นว่าเขาหยิบกล่องไม้มายื่นให้
อะไรบางอย่างที่เป็นประกายนอนนิ่งอยู่ในนั้น
“นั่น...”
มือเรียวรีบรับมันมาถือ หยิบสร้อยสีเงินด้วยมือที่สั่นเทาแล้วเงยหน้ามองพี่ชายคนรองอีกครั้ง
“แต่...”
เขาจ้องกลับมาด้วยดวงตาสีเขียวมรกต
“เจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะกล้าเอาของดูแพงขนาดนี้ไปทิ้งให้เสียเปล่าหรอกใช่มั้ย?”
“แสดงว่าคิดจะแอบเก็บไว้แล้วเอาไปขายต่อตลาดมืด?”
เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว แล้วหัวเราะเบาๆ
“เออ คิดอยู่แวบหนึ่ง”
เขามองดูจี้ลายจักรวาลในมือเธอแล้วถามขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
“ทำไมเจ้าถึงรักมันนัก?”
ดวงตาสีฟ้าเทายังไม่ละจากสร้อย
เธอไล้มันไปมาพลางเม้มปาก
“...มันเป็นของขวัญวันเกิดที่พ่อข้าทำให้
และเป็นสิ่งสุดท้ายจากบ้านเก่าข้าที่เหลืออยู่”
เขานิ่งไป
“ล้ำเส้น...อย่างนี้เองสินะ”
“เจ้าทำข้าเข้าเรียนสาย
ข้ายอม...เจ้าเอายางไม้มาติดหวีข้าจนข้าต้องตัดออก ข้ายอม...แต่เจ้าขโมยสร้อยข้าไปซ่อน
ข้ายอมไม่ได้” เธอหยุดมือ มองหน้าพี่ชาย
ดวงตาสีเขียวหรุบลง
แล้วเธอก็แทบได้ยินเสียงฟันเฟืองในหัวเขาขยับไปมา
ในที่สุด เด็กหนุ่มก็สูดหายใจลึก
“เจ้าต้องการอะไร?”
มุมปากเธอยกยิ้ม
“ข้ามีให้สองทางเลือก หนึ่ง; ไปสารภาพกับท่านพ่อและท่านแม่ ไม่อย่างนั้นข้าจะทำเอง
บอกพวกท่านให้หมดว่าทำอะไรไปบ้าง ห้ามโบ้ยธอร์ ห้ามเอาชื่ออื่นมาเกี่ยว”
มือเรียววางสร้อยลงไปในกล่อง ลอบมองสีหน้าซีดเซียวของเขา
“หรือสอง;
ทำคุณไถ่โทษ”
เจ้าของเรือนผมสีปีกกากะพริบตาในทันทีที่เธอจบประโยคที่สอง
แล้วเธอก็รู้แน่ชัดว่าเขาจะเลือกทางไหน
เด็กสาวผมสีเข้มเอนหลังลง พยักเพยิดไปทางระเบียง
“ดึกแล้ว
เจ้าควรไปนอน...พรุ่งนี้มาเจอข้าที่สวนแล้วเราค่อยว่ากัน”
เขาทำเสียงอืมในลำคอเป็นการตอบรับแล้วลุกออกไป
สคาดิมองจนเขากำลังจะเหวี่ยงตัวเองออกจากระเบียง
“โลกิ”
เด็กหนุ่มสะดุ้ง
หันหน้ามาราวกับกลัวเธอจะเปลี่ยนใจไปบอกโอดินว่าเขาทำอะไรไว้
“เจ้าเป็นลูกคนโปรดของท่านแม่...เป็นแบบนั้นเสมอมา”
เขาหยุด นิ่งงันไปครู่ใหญ่
ก่อนจะเลียริมฝีปากที่แห้งผากแล้วกระโดดลงไปข้างล่าง
และสคาดิคิดว่าเขากำลังยิ้มบางๆ
ฟริกก้ากำลังสงสัย
หลังจากเหตุการณ์ที่สคาดิป่วยเพราะตากฝนในลานน้ำพุนานเกินไปนั้น
ทุกอย่างก็ดูไม่เหมือนเดิม
โลกิที่ปกติจะเมินเฉยและเย็นชากับน้องสาวบุญธรรม
กลับไปหาเธอในวันแรกที่เธอออกจากห้อง
และราชินีแห่งแอสการ์ดก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ตั้งแต่ท่าทีที่เปลี่ยนไปของลูกชายคนเล็ก หรือที่จู่ๆเขาวิ่งไปรอบวัง ตะโกนว่าผิดไปแล้วซ้ำๆ
บางที...เธอก็เผลอคิดไปว่าคงจะเป็นโลกินี่แหละที่อยู่เบื้องหลังการแกล้งสคาดิสองสามครั้งหลัง
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองลงไปที่สวน
มองเห็นธอร์กับแก๊งเพื่อนของเขากำลังซ้อมอาวุธกันอยู่
และถ้ามองไปด้านหลังอีกนิด
ตรงใต้ต้นโอ๊คที่แผ่กิ่งก้านสาขาร่มเย็นนั้น
ร่างของเด็กสาวผมสีเข้มกำลังนอนอยู่ระหว่างรากไม้พวกนั้น
มีหนังสือเล่มหนึ่งที่เปิดอ้าวางคว่ำพาดบนตัก
ข้างๆนั้นคือเด็กหนุ่มในชุดสีเขียวที่เอนหลังพิงพื้นที่ข้างๆน้องอยู่ด้วยมือที่ยกขึ้นมากอดอก
หัวของเขาซบอยู่แถวๆไหล่ของเธอ ดวงตาทั้งสองคู่ปิดสนิท
ช่างดูสงบสุขเหลือเกิน...
เทพีแห่งมวลเมฆถอนหายใจยาว
รอยยิ้มบางๆปรากฎขึ้นที่มุมปาก
แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
TALK WITH FM
เผลอแป๊บเดียวก็ครบ
2
ปีแล้วนะคะหลังจากวันที่เราเปิดกล่องฟิคเรื่องนี้ขึ้นมา
เวลานี่เดินเร็วจังเลยเนอะ
555
ก่อนอื่นเลย
เราอยากจะขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่อยู่กับเรามาตลอดเจ็ดร้อยสามสิบกว่าวันนี้
เราจะไม่มีวันนี้เลยถ้าเราไม่ได้รับกำลังใจจากพวกคุณทุกคน
ฉะนั้น
ขอบคุณจริงๆนะคะที่ยังไม่ทิ้งกันไปไหน แม้ว่ากระแสกาลเวลามันจะเปลี่ยนไปบ้าง
เหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้น แต่ทุกคนก็ยังอยู่เป็นกำลังใจให้เรา
ความจริงเราเคยท้อหนักมาก
คือช่วงที่ลงซีซั่นสามนี่แหละ(ฮา)
คือวิวมันก็น้อย
คนให้กำลังใจก็น้อย ช่องคอมเม้นท์นี่แห้งเลย 555
ตอนนั้นคือคิดเลยนะว่า
เออ หยุดเขียนดีมั้ย
แต่นึกขึ้นได้ว่ายังมีนักอ่านอีกเป็นสิบๆคนที่ยังติดตามอ่านของเราอยู่
ก็เลยฮึดขึ้นมา
สำหรับทุกคนที่อ่าน
เรารู้สึกเป็นเกียรติจริงๆนะคะที่ยังคงอ่านอยู่
อยากให้อยู่เป็นกำลังใจให้เราแบบนี้ไปเรื่อยๆ
ไม่เม้นท์ก็ไม่เป็นไรค่ะ ขอแค่ยังเข้ามาอ่านก็พอ
(แต่ความจริงเม้นท์หน่อยก็ดีนะคะ
จะได้ชื่นใจขึ้นมาสักหน่อย//กระซิบเสียงเบามาก)
สำหรับตอนพิเศษนี้มี
2 พาร์ทนะคะ เอาพาร์ทแรกมาลงก่อนเพราะกลัวไม่ทัน
อีกพาร์ทจะลงให้หลังจากนี้ภายใน 1 อาทิตย์ค่ะ
จะรีบปั่น
สัญญาเลยยย
ไปก่อนนะคะ
19/05/2020
มาแล้วค่ะทุกคนนนน
อัพให้ครบแล้วนะ
เราอยากจะบอกทุกคนว่า
ขอบคุณสำหรับเก้าพันกว่าวิวและห้าร้อยกว่าเฟบนี้มากๆเลยนะคะ
ความคิดเห็น