คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #48 : Broken Throne S3 || Ch 7
|| B
R O K E N T H R O N E ||
s e a
s o n 3
----------------------------
CHAPTER 7
ดวงตาสีฟ้าเทาขยับไปมาหลังม่านเปลือกตา ก่อนที่ในที่สุดมันจะค่อยๆเลิกออก
สคาดิมองไปรอบๆ
นี่เธอตายแล้วใช่มั้ยเนี่ย?
แต่ในนาทีต่อมา
เธอก็พบว่าไม่ใช่
เพราะสิ่งที่เธอกำลังจ้องอยู่คือเพดานเตียงสี่เสาในห้องนอน
ใครกันที่พาเธอมา?
หญิงสาวขมวดคิ้ว
หายใจเข้าออกช้าๆเพื่อลดการเกร็งของร่างกายเมื่อคิดว่าบางที...ตอนนี้คนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์อาจไม่ใช่น้องชายของเธอแล้วก็ได้
ร่างเพรียวเหวี่ยงขาออกจากเตียง
พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว
แสงของมันลอดเข้ามาในถ้ำ
สาดส่องลงบนอาณาจักรที่เงียบสงบราวกับเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เสียงอะไรบางอย่างที่ประตูทำให้เธอสะดุ้งโหยง
ดวงหน้างดงามหันกลับไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนจะชะงักค้างเมื่อเห็นร่างสูงซึ่งเดินเข้ามา
ดวงตาสีฟ้าใสของเขาจ้องมา
เธอหยุดหายใจไปชั่วขณะ
ชายหนุ่มเม้มปากครู่หนึ่ง
ก่อนจะเรียกชื่อเธอด้วยเสียงนุ่มทุ้มอันอ่อนโยน
“สคาดิ...”
หญิงสาวอ้าปากพะงาบๆ
สำรวจเขาด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ
“วีดาร์?”
“ข้าเอง”
เขายื่นมือมาข้างหน้า
เธอผ่อนลมหายใจสั่นๆออกแล้วพุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของเขาในทันที
“ข้า...ข้า...”
สคาดิพบว่าตัวเองกำลังสะอื้น
“ข้าอยู่นี่”
วีดาร์ลูบผมของเธอเบาๆพลางกระชับวงแขนแกร่ง
ลมหายใจอุ่นๆของเขาระอยู่ที่ต้นคอร่างเพรียว
“แต่ว่า”
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา วางมือลงกับสันกรามคมคายนั้นขณะที่เขาซุกหน้าลงบนมัน
“ได้ยังไง?”
“ดูท่าว่าเวทย์ลวงตาของข้าจะยังใช้ได้อยู่น่ะ”
ดวงตาสีฟ้าเทาหรุบลงมองเกราะของเขา
เกราะสีเทาเข้มแบบพวกราชองครักษ์ฝึกหัด
ภาพในหัวย้อนกลับไปตอนที่เจอกับฮอลดันที่หน้าทางเข้าโถงปราสาท
“เจ้าคือทหารในกองของลอร์ดฮอลดัน?”
เขายิ้มเป็นการยืนยัน
เธออ้าปากค้าง
“นานเท่าไหร่แล้ว?”
“ประมาณสองสามวันก่อน”
“มิน่าล่ะ...”
ถึงว่าดูลนๆแปลกๆ
“ใช่”
เขาหัวเราะเบาๆ
“เกือบถูกจับได้ตั้งหลายรอบ”
“ไม่เนียนเลยจริงๆแหละ”
เธอพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ทั้งสองทรุดลงนั่งที่ปลายเตียง
“ข้า...”
เธอยอมให้เขาแทรกนิ้วเข้ามาระหว่างนิ้วของเธอ
“ข้าขอโทษจริงๆนะ”
เขาเลิกคิ้วเบาๆ
“เรื่องผนึกจิตน่ะนะ?”
หญิงสาวทำเสียงอืมในลำคอเบาๆ
“ข้าเคยเห็นเกมการเมืองในแอสการ์ดมาแล้ว
และที่นี่ก็คงไม่ต่างกัน...ข้าไม่อยากให้เจ้าเสี่ยงชีวิตไปพร้อมกับข้า
มันอันตรายเกินไป”
ร่างสูงนิ่ง
“เจ้าไม่กลัวตัวเองเป็นอะไรไปแล้วไม่มีใครรู้?”
“ไม่เท่ากับการที่เจ้าจะบาดเจ็บไปพร้อมกับข้า”
เธอก้มลงมองมืออีกข้างที่อยู่บนตัก
วีดาร์ไม่ได้ตอบ
เขานิ่งไปอีกนานจนเธอหวั่นใจ
“วีดาร์
ข้า...”
“ข้าเข้าใจ”
เขาไล้นิ้วลงบนแก้มเธอ
“แต่ข้าอยากให้เจ้ารู้
สคาดิ...ข้าพร้อมจะแบกรับอะไรก็ตามพร้อมกับเจ้า
ไม่ว่ามันจะเป็นความสุขหรือความทุกข์ ข้ายินดีเผชิญมันหมด”
สคาดิมองเขา
รู้สึกราวหัวใจเต้นแรงขึ้น
“อย่ากลัวที่จะบอกอะไรข้า”
ชายหนุ่มยิ้ม แล้วขยิบตา
“เจ้าก็เห็นแล้วนี่ว่าข้าเก่งขนาดไหน
ไม่มีใครทำอะไรข้าได้หรอก”
หญิงสาวขำพรืด
คลอไปกับเสียงหัวเราะของเขา
แล้วทันใดนั้น
เธอก็โถมเข้าใส่เขา
วีดาร์หลุดร้องตกใจขณะที่ล้มหงายหลังลงไปกับเตียง
มือเรียวของเธอรวบข้อมือของเขาขึ้นไปไว้เหนือหัวแล้วกดมันไว้อย่างนั้น
รอยยิ้มมุมปากกดลึกลงเมื่อเห็นสีหน้าเหวอๆของเขา
“ไหนบอกใครก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้ไง?”
ชายหนุ่มยิ้ม
ประกายบางอย่างพาดผ่านดวงตาของเขา
“กับเจ้าข้ายอมให้คนเดียวเท่านั้นแหละ”
แล้วโลกของสคาดิก็หมุนหวือ
รู้ตัวอีกที
ร่างของเธอก็กลับเป็นฝ่ายมานอนหงายหลังบนเตียงโดยที่มีเขาคร่อมอยู่ด้านบน
ข้อมือทั้งสองข้างถูกกดลงไปในตำแหน่งข้างๆหัว
พวกเขามองตากัน
ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
มันค่อยๆเงียบหายไปเมื่อสังเกตได้แล้วว่าตอนนี้ร่างกายของทั้งคู่อยู่ใกล้ชิดกันขนาดไหน
หญิงสาวแทบจะรู้สึกได้ถึงเส้นผมสีทองของเขาที่ระอยู่แถวๆหน้าผากเธอ
คิดไปเองรึเปล่านะว่าเขาโน้มหน้าลงมาใกล้กว่าเดิม?
ดวงตาสีฟ้าเทาไล่ไปตามดวงหน้าหล่อเหลาคมคายนั้นขณะที่ปลายจมูกของเขาแตะกับของเธอ
ทิ้งสัมผัสบางเบาให้ตกค้างอยู่บนผิว
สคาดิหลับตาลงขณะที่วีดาร์ทาบริมฝีปากน่าหลงใหลนั่นลงบนริมฝีปากของเธอ
มันไม่ใช่จูบที่เร่าร้อนหรือดูดดื่ม...หรืออะไรก็ตามที่พวกผู้ใหญ่มักจะว่ากัน
แต่มันเต็มไปด้วยความโหยหา
ความนุ่มนวลและความทะนุถนอมซึ่งทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
หญิงสาวพบว่าเขาไม่ได้กดมือเธอลงกับเตียงอีกแล้ว
เขาคลายมือออกไปตอนไหนก็ไม่รู้
แล้วก็กลายเป็นว่าแค่กำข้อมือเธอไว้หลวมๆเป็นที่ค้ำเท่านั้น
ในที่สุด
ชายหนุ่มก็ผละออกไป
“ข้าคิดถึงเจ้า
สคาดิ” เสียงนุ่มทุ้มของเขายิ่งทำให้หัวใจเธอเต้นเร็วกว่าเดิม
และถ้ามองไม่ผิด
หน้าเขาก็กำลังขึ้นสีด้วย
“ข้าก็คิดถึงเจ้า
วีดาร์” หญิงสาวยิ้ม ยกมือขึ้นแนบไปกับแก้มของเขา
ร่างสูงกดริมฝีปากลงบนมันแผ่วเบาแล้วก้มลงมาอีกครั้ง
ทันใดนั้น
ประตูก็เปิดขึ้นอีกครั้ง
ทั้งสองเด้งตัวขึ้นมาจากเตียงแล้วเขยิบออกจากกันทันที
คาร์เดนยืนอยู่ตรงนั้น
ตาโตเท่าไข่ห่าน
แต่เมื่อนึกขึ้นได้ก็รีบก้มลงมองพื้น
อ้อมแอ้มเสียงเบา
“องค์หญิง...”
“มีอะไร?”
สคาดิพยายามทำเสียงให้ดูปกติที่สุด
“ฝ่าบาทให้กระหม่อมมาดูว่า...เอ่อ...ว่าพระองค์ฟื้นคืนสติหรือยัง”
“เขาอยู่ไหนล่ะ?”
“ในห้องบรรทมพ่ะย่ะค่ะ”
เอลฟ์หนุ่มผมซีดรีบต่อ
“จะให้กระหม่อมไปแจ้งไหมว่าพระองค์ติดธุระ?”
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มนั่นเหลือบมาทางวีดาร์แวบหนึ่ง
สคาดิได้ยินเสียงโซลเมตของเธอกลั้นขำในลำคอ
“ขอบใจสำหรับความเป็นห่วง
ลอร์ดคาร์เดน แต่ไม่เป็นไร” เธอเม้มปาก
“บอกฝ่าบาทของเจ้าว่าอีกเดี๋ยวข้าจะตามไป”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ราชองครักษ์ค้อมหัวรับแล้วรีบร้อนออกไป
“ความจริง...”
ร่างสูงในเกราะสีเทาเข้มข้างกายอมยิ้ม
“ขอเวลาอีกสักสองสามชั่วโมงก็ดีนะ”
เธอค้อนใส่เขา
ทำเอาชายหนุ่มหัวเราะ
“ไปรอข้างนอกห้องไป”
ร่างเพรียวลุกขึ้นจากเตียง แต่ข้อมือกลับถูกดึงเอาไว้
“อยู่นี่ไม่ได้เหรอ?”
เขาเอียงคอ ดวงตาสีฟ้าใสเป็นประกายน่าหลงใหลจนเธอเกือบใจอ่อนไปแล้ว
“ข้าจะเปลี่ยนชุด
วีดาร์”
“ไม่ดูหรอก”
เขาทำหน้าใสซื่อ
“สัญญาเลย”
เธอกรอกตาแล้วผลักอกเขาเบาๆจนเจ้าตัวหงายหลังลงไปกับเตียงอีกครั้ง
“โธ่”
เขาโอดครวญ
“ทีเจ้าเห็นข้าตอนไม่ใส่เสื้อ
ข้ายังไม่ว่าอะไร”
“คนละบริบทกัน”
“สคาดิ...”
เสียงนุ่มทุ้มแผ่วลงอย่างออดอ้อน
แล้วเธอก็ถอนหายใจ
“ห้ามลุกจากเตียงนะ”
เขายิ้มกว้าง
“ไว้ใจข้าได้”
“ไว้ใจน่ะได้แน่”
มือเรียวตวัด แล้ววีดาร์ก็ขมวดคิ้ว
“นี่ใช้เวทย์กับข้าเหรอ?”
“แค่ไม่ให้ขยับตัวได้
ไม่ต้องห่วงน่า” เธอเดินไปที่ห้องแต่งตัวแล้วกางฉากกั้นออกมา
“อยู่ไม่นาน
แถมตากับปากก็ยังขยับได้”
เขาถอนหายใจหนักๆ
เธออมยิ้มที่หลังฉาก
หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อยเมื่อแตะลงที่เอวของตนซึ่งมีผ้าพันอยู่
กลับไปนี่คงต้องหาเครื่องรางซะแล้วมั้ง
ช่วงสองสามปีมานี้เธอถูกแทงบ่อยไปแล้ว
ประตูห้องของน้องชายถูกเปิดออก
สคาดิก้าวเข้าไปด้านในพร้อมกับโซลเมตของเธอที่เดินตามมาไม่ห่าง
“เบรดิ”
หญิงสาวมองไปที่เตียง
ร่างของเด็กชายนอนอยู่บนนั้น
บนไหล่มีผ้าสีขาวพันอยู่คล้ายจะมีแผลบางอย่าง
เลือดสีแดงซึมออกมาผ่านแผลนั้นเล็กน้อยแต่ก็มากพอที่จะทำให้เธอรู้ว่ามันหนักหนาขนาดไหน
“ดีใจที่ท่านไม่เป็นไร”
เขายิ้มให้เธอ
“ไปโดนอะไรมาล่ะ?”
กระตุกยิ้มตอบ เธอทรุดนั่งลงข้างเตียงแล้วกอดอก
“ธนูน่ะ”
ราชาวัยเยาว์ขยับกายขึ้นมาเล็กน้อย
“ไม่ค่อยลึกเท่าไหร่”
“ดีแล้ว”
มือเรียวเอื้อมไปตบบนผ้าพันแผลด้วยแรงไม่หนักนัก
ทำเอาคนเป็นน้องร้องซี้ดแล้วกระตุกร่างขึ้นมาค้างในท่างอตัวทันที
“จำความเจ็บแบบนี้เอาไว้
พอเจ้าโตขึ้นแล้วต้องเข้าสงครามมันจะหนักกว่านี้อีก ทำตัวให้ชินกับมันซะ”
เบรดิหอบเบาๆพลางกุมแผล
กระแทกหลังกลับลงไปบนหมอน
ดวงตาสีฟ้าเทาที่เหมือนเธอราวกับแกะมองเลยไปด้านหลัง
แล้วขมวดคิ้ว
“แล้วนั่น...”
“วีดาร์
ฝ่าบาท” ร่างสูงในเกราะสีเทาเข้มค้อมหัวลงทำความเคารพ
“วีดาร์แห่งวานาไฮม์”
เจ้าน้องชายมองหน้าเธอสลับกับเขาสองสามที
คิ้วเข้มเลิกขึ้นขณะที่เขาทำปากเป็นรูปตัวโออย่างเข้าใจในอะไรบางอย่าง
“...คนนี้ใช่มั้ย?”
สคาดิขมวดคิ้วครู่หนึ่ง
เมื่อสมองประมวลผลสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อเสร็จก็เสตาหลบโดยอัตโนมัติ
สูดหายใจเข้าลึกๆพลางพยักหน้าช้าๆ
“โซลเมตข้าเอง”
“ในที่สุดก็ได้เจอกันนะ”
เขายิ้มกรุ้มกริ่ม
ก่อนจะร้องโอ๊ยออกมาอีกทีเมื่อพี่สาวต่างมารดาตบเข้าไปที่แผลรอบสอง
“จะฆ่าข้ารึไง
ท่านพี่?”
“อาจจะ”
เธอย่นจมูก
“แต่คิดไปคิดมา
ลิ้นเจ้าก็ดูน่าสนใจกว่า”
“อย่าแตะลิ้นข้าเชียวนะ”
หญิงสาวหัวเราะในลำคอ
มือเรียวยื่นออกไปลูบกลุ่มผมสีทองเข้มของเขา
“ตกลงมันจบยังไง?”
“กองทหารของฟินนิคมาทันเวลาพอดี”
คู่สนทนามีสีหน้านิ่งเรียบเมื่อพูดถึงแม่ทัพแห่งอาณาจักร
“ช้าไปอีกนาทีเดียวเราอาจตายกันหมด”
เธอพยักหน้า
ก่อนจะเค้นชื่อของคนคนหนึ่งผ่านริมฝีปากออกมา
“อิกอร์?”
“ในคุกใต้ดิน”
เบรดิไอเสียงแห้งๆ
ร่างเพรียวหันไปรินน้ำมายื่นให้แล้วถามคำถามต่อไป
“เราเสียไปกี่คน?”
“ต้องถามฮอลดันดู”
เด็กชายพึมพำขอบคุณแล้วกระดกของเหลวในแก้วจนหมด
ดวงหน้างดงามพินิจสภาพน้องชายครู่หนึ่ง
แล้ววางมือลงบนกระหม่อมเขา
“เจ้าพักเถอะ
เอาไว้ถึงเวลาอาหารเมื่อไหร่ข้าจะมาปลุก”
“แล้วการประชุมประจำเดือนวันนี้ล่ะ?”
เออนั่นสิ...
“ประชุมตอนไหน?”
“สายๆ”
เบรดิมองมงกุฎเงินของตนที่ตั้งอยู่บนเบาะไม่ไกลนักอย่างกังวล
“สภาพข้าอย่างนี้ไม่น่านั่งบนบัลลังก์สองชั่วโมงรวดรอด”
เธอเม้มปาก
“เอาเถอะ
เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
“ขอบใจ
ท่านพี่”
“เออ”
สคาดิจับไหล่เขาเบาๆแล้วลุกจากเตียง
“นอนซะ”
ก่อนออกไปนอกห้อง
เธอดึงแขนของหมอหลวงแล้วกระตุกเขามาใกล้พอจะพูดคุยกัน
ดวงตาสีฟ้าเทามองเอลฟ์เฒ่านิ่ง
“ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงกับเขา
ข้าต้องรู้เป็นคนแรก...เข้าใจไหม?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หญิงสาวมุ่งหน้าไปที่โถงปราสาทด้านล่างโดยที่ยังคงมีวีดาร์ตามติดอยู่ด้านหลัง
“เขามีตาเหมือนเจ้า”
ชายหนุ่มบอกเบาๆ
“เบรดิน่ะเหรอ?”
เขาพยักหน้า
“ข้าก็ว่างั้น”
เธอถอนหายใจ
“น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสได้รู้จักท่านพ่อนานพอ”
ร่างเพรียวหยุดลงกลางทางเดินเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ในเกราะสีเงินของราชองครักษ์คนหนึ่ง
“...ลอร์ดการ์แลนด์?”
“องค์หญิง”
เขาค้อมหัวให้
“มีอะไร?”
เธอเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
“ท่านดูรีบๆ”
เอลฟ์หนุ่มเหลียวซ้ายแลขวา
ก่อนจะตัดสินใจบอกเธอ
“พระพันปีหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
สคาดิสีหน้าขรึมลง
“นางเป็นอะไร?”
ไม่นานหลังจากนั้น
หมอหลวงก็พาเบรดิลงมาแล้วตรงไปที่ห้องของอิดุนน์อย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นพี่สาวของตนยืนอยู่ข้างใน
ราชาแห่งอาณาจักรน้ำแข็งก็รีบถลาออกมาจากเก้าอี้เข็นเพื่อคว้าแขนเธอไว้แล้วถามทันที
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ได้ข่าวว่านางรับดาบแทนเจ้านี่”
ดวงตาสีฟ้าเทาหรุบลงมองเขาพลางยื่นมือข้างที่ว่างออกช่วยประคอง
“ไม่หนักหนาไม่ใช่รึไง?”
เด็กชายขมวดคิ้ว
“เจ้าก็เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้า
น้องชาย” เธอดันตัวเขาแล้วพาเดินไปในห้องนอนของสนมในรัชกาลก่อน
“อาวุธของพวกมันเคลือบยาพิษนะ
อย่าลืมสิ”
กลิ่นยาสมุนไพรต่างๆคลุ้งเต็มไปหมดจนเธอย่นหน้า
แทบจะยกมือขึ้นปิดจมูกไปแล้วตอนที่เดินฝ่าฝูงหมอหลวงพ้นจนมาถึงเตียง
อิดุนน์นอนอยู่บนนั้น
ใบหน้าซีดเซียวและกลิ่นไอของชีวิตที่จางลงจนเธอรู้สึกชัดเจนทำให้หญิงสาวถอนหายใจ
ดวงตาสีอ่อนลึกโหลลืมขึ้น
แล้วหันไปหาลูกชายคนเดียว
“เบรดิ...”
เจ้าตัวทรุดลงนั่งบนพื้นข้างเตียงทันที
สคาดิปล่อยให้แม่ลูกคุยกันไป
ร่างเพรียวหมุนตัวมาหาหมอที่อยู่ใกล้สุดและดูจะมีตำแหน่งใหญ่กว่าคนอื่นๆในห้อง
“หมดหวังแล้ว”
เขาพูดแค่นั้นเมื่อเห็นสายตาคาดคั้นของเธอ
เธอเม้มปาก
“อีกนานเท่าไหร่?”
“ถ้าหยุดใช้กำยานพวกนี้
ก็คงจะไม่กี่นาทีพ่ะย่ะค่ะ”
หญิงสาวมองไปรอบๆ
อิดุนน์ถูกฟันเข้าที่สีข้าง
ยาพิษจากคมดาบนั้นซึมเข้าไปในกระแสเลือดเรียบร้อย
รุนแรงจนทำได้แค่ปรุงยาสองสามตัวและนำกำยานบรรจุผงยามาจุดไว้ทั่วห้องเพื่อกันไม่ให้อาการทรุดหนักลงกว่าเดิมเร็วขึ้นเท่านั้น
ถ้าไม่ได้กำยานพวกนี้
ผู้หญิงคนนั้นคงจะไม่มีโอกาสได้เห็นตะวันขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนแน่นอน
เทพีแห่งเหมันต์มองใบหน้าที่แย่ลงเรื่อยๆของคนเจ็บ
เธอเดินไปหยุดยืนข้างๆน้องชาย
มือเรียววางลงบนไหล่เขาเบาๆ
“ไม่ได้ผลหรอก”
หญิงสาวหรุบตาลงเมื่อเห็นเขาพยายามถอดหินอาร์ทรัมที่ข้อมือออก
“มันเพิ่งดูดพิษจากร่างเจ้าออก
จะใช้ได้อีกรอบต้องแช่น้ำอย่างน้อยห้าชั่วโมง”
เบรดิพลิกหินขัดมันที่กลายเป็นสีดำไปมา
“มันต้องมีสักทางสิ”
เสียงของน้องสั่น
เธอถอนหายใจ
โอบเขาเข้ามาซุกที่หน้าท้องแล้วลูบหลังหัวเบาๆ
อิดุนน์มองหน้าเธอนิ่ง
ก่อนจะพูดเสียงแหบแห้ง
“เอากำยานพวกนั้นออกไปเถอะ
สคาดิ” หญิงผมทองกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
“ข้าไม่อยากทรมานอีกแล้ว”
เด็กชายที่มีศักดิ์เป็นราชาแห่งอาณาจักรน้ำแข็งกระตุกหัวขึ้นมามองเธอทันที
สายตานั้นพยายามค้านเธอไม่ให้ทำสุดชีวิต
สคาดิสูดหายใจลึก
“...ท่านหมอ”
ดวงตาสีฟ้าเทาหรุบลง
ไม่ได้มองหน้าหมอแต่ก็ได้ยินเสียงผ้าขยับสวบสาบเมื่อเขาขยับเข้ามารับคำสั่ง
“ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ท่านทำมาตลอดคืนนี้”
“ท่านพี่!”
คนในอ้อมกอดร้อง
“ไม่มีอะไรที่เราจะทำได้อีกแล้ว”
เธอกดหัวคิ้ว
“หรือเจ้าอยากจะเห็นแม่ตัวเองทรมานไปอีกสองชั่วโมงเต็มๆก่อนจะขาดใจตาย?”
เงียบ...
วีดาร์เปิดประตูให้ขณะที่เหล่าหมอหลวงลำเลียงอุปกรณ์ต่างๆออกไป
อิดุนน์หอบหายใจ
“ข้ารู้ว่าตลอดเวลามานี่
เจ้ากับข้าไม่ค่อยลงเอยกันเท่าไหร่...” ดวงตาสีอ่อนจ้องเข้ามา
“เมื่อก่อน...ตอนข้าเด็กๆ”
หญิงสาวขบริมฝีปากล่างเล็กน้อย
“เจ้ามักจะแกะเกาลัดให้ข้าเวลาอากาศหนาว
แล้วก็พาข้าไปนั่งเล่นที่สวนตอนหน้าร้อน”
“ข้าจำได้”
คู่สนทนาหัวเราะเบาๆ และเธอก็สาบานว่าเห็นดวงตาคู่นั้นรื้นไปด้วยหยาดน้ำ
มือเรียวแตะลงที่นิ้วมือของทั้งแม่และลูกซึ่งกุมกันไม่ปล่อย
กลิ่นกำยานจางหายไปแล้ว
“ข้าคงอยู่ได้อีกไม่นาน”
พระพันปีหลวงกล่าว
เธอก้มลงมองหน้าน้องชาย
เห็นเขาน้ำตาไหลพรากและพยายามกดปากเข้าหากันเพื่อกลั้นสะอื้น
“แม่ขอโทษนะลูก”
“ท่านไม่ไปได้ไหม
ท่านแม่?” เขาอ้อนวอนเสียงอู้อี้
“ข้าต้องการท่าน”
“แม่อยู่กับเจ้าเสมอ
เบรดิ” อิดุนน์แตะหน้าอกของลูกชายแผ่วเบา
“อยู่ตรงนี้
ในหัวใจของเจ้า”
“ข้าผิดไปแล้ว”
เบรดิกุมมือเธอแน่น
“ข้าไม่ควรก้าวร้าวใส่ท่าน”
“ไม่เป็นไร
แม่เข้าใจ” คนเจ็บยิ้ม ริมฝีปากที่สั่นไหวทำให้สคาดิแน่ใจว่าอีกคนก็กำลังกลั้นสะอื้นอย่างหนักไม่ต่างกัน
“แม่รักลูก
เบรดิ...ลูกก็รู้”
“ข้าก็รักท่าน”
หญิงสาวสบตากับอดีตสนมที่มีส่วนความทรงจำวัยเด็กของเธอไม่มากก็น้อย
“ข้าฝากเขาไว้กับเจ้าได้มั้ย?”
มือเรียวกระชับร่างของน้องชายต่างมารดา
“วางใจเถอะ
อิดุนน์” สคาดิรู้สึกถึงขอบตาที่ร้อนผ่าวขึ้นมาเมื่อคิดว่าต้องบอกลากันจริงๆแล้ว
ถึงปากจะบอกไม่ชอบ
แต่ยังไงตอนเด็กๆ สนมคนนี้ก็ดีกับเธอไม่น้อย
“ลูกเจ้า
ข้าดูแลต่อเอง”
คนฟังยิ้ม
หยดน้ำกลิ้งออกจากหางตา
“...ขอบคุณนะ
สคาดิ...สำหรับทุกอย่าง”
เธอไม่รู้จะตอบออกไปว่าอย่างไร
ได้แต่พยักหน้ารับ
กลืนก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ในคอลงไปแล้วแผ่นิ้วออกประสานรอบมือที่กุมกันของน้องชายและแม่ของเขา
อิดุนน์หลับตาลง สูดหายใจครั้งสุดท้าย
น้ำตาหยดหนึ่งร่วงผ่านแก้มของสคาดิลงไป
เบรดิส่งเสียงสะอื้นออกมา
หญิงสาวกดหัวเขาลงกับอกของเธอพลางลูบหลังลูบไหล่น้องขณะที่เขาร้องไห้
ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
เด็กชายร้องแล้วร้องอีก
ร้องจนน้ำตาเหือดแห้งและหมดแรง
สุดท้ายเขาก็หลับไป
“พาฝ่าบาทกลับไปบรรทมที่ห้อง”
เธอสั่งหมอหลวงประจำตัวเขาแล้วส่งร่างที่มีความสูงถึงหูของเธอแล้วให้
ความจริง
ตามจรรยาบรรณพี่ที่ดี...เธอควรจะต้องอุ้มเขาไปเอง
แต่ดูขนาดตัวเจ้าน้องชายแล้วเนี่ย...
ไม่เป็นไร
ขอบคุณ
เธอยังรักกระดูกสันหลังของตัวเองอยู่
สคาดิแอบปาดคราบน้ำตาตรงแก้มทิ้งแล้วเดินออกมา
ไม่วายบอกพวกหมอที่ยังออกันอยู่หน้าห้องชุด
“จัดการศพของพระพันปีให้สมพระเกียรติ
เราจะเผาพระนางหลังการประชุมประจำเดือนเสร็จสิ้น”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาสีฟ้าเทาเหลียวกลับไปมองใบหน้าของร่างที่นอนอยู่บนเตียงเป็นครั้งสุดท้าย
อดใจหายไม่ได้
มือแกร่งของใครบางคนเอื้อมมาหา
สอดนิ้วเข้ามาระหว่างนิ้วของเธออย่างนุ่มนวล
เธอถอนหายใจแล้วยิ้มบางๆให้โซลเมตของตน
เอนหัวไปด้านข้างเพื่ออิงไหล่เขาเบาๆ
“แล้ว...”
วีดาร์เอียงหัวมาแตะหัวเธอกลับ
“จะเอายังไงต่อ?”
“ทำสิ่งที่รัชทายาทต้องทำเวลากษัตริย์ไม่สามารถมาได้”
เขากระชับมือ
“...ข้าอยู่ข้างเดียวกับเจ้าตลอดเวลา
เจ้าก็รู้”
“ข้ารู้”
ร่างเพรียวขยับกายเพื่อไปที่ห้องชุดของตน
“มาเถอะ
เราต้องไปบอกราชองครักษ์”
หลังจากแจ้งพวกลอร์ดเกราะเงินทั้งหลายว่ามีแผนยังไงแล้ว
เธอก็มุ่งหน้าไปเปลี่ยนชุดที่ห้องเพื่อหาอะไรที่เป็นทางการกว่าชุดเดรสเรียบๆนี่ใส่
“เบาจริง”
วีดาร์บ่นขณะสวมเกราะสีเข้มแบบเอลฟ์น้ำแข็งลงบนตัว
เธอหัวเราะเบาๆจากหลังฉากเปลี่ยนชุด
เนื่องจากไม่มีใครที่เธอเชื่อใจได้มากกว่าโซลเมตของตนเอง
เธอจึงขอ(บังคับ)ให้คาร์เดนยอมอนุญาตให้เขาเข้าไปยืนอยู่ข้างๆเธอในโถงบัลลังก์
และนำเกราะใหม่ที่ดูมีระดับกว่าของพวกทหารฝึกหัดมาให้เข้าด้วย
“มันทำจากวัสดุพิเศษ
ถึงจะเบาแต่ก็ทนทานพอๆกับเกราะเหล็กของวานาไฮม์นั่นแหละ”
คู่สนทนาทำเสียงอ้อ
เธอจัดกระโปรงให้เรียบเสมอกันแล้วก้าวออกจากฉากแต่งตัว
ดวงตาสีฟ้าใสของชายหนุ่มผมทองมองเธอนิ่ง
“ดูตลกล่ะสิ?”
เธอหัวเราะคิก เดินไปยืนตรงหน้ากระจกแล้วหยิบมงกุฎสีเงินที่มีลวดลายคล้ายเกล็ดหิมะและดอกไม้ขึ้นมาสวมลงบนหัว
มองสำรวจตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า
สคาดิก็ว่ามันไม่แปลกที่เขาจะคิดแบบนั้น
ชุดของเธอเป็นสีดำเพื่อไว้ทุกข์ให้แก่พระพันปีหลวงและทหารอีกหลายนายผู้ล่วงลับในเหตุการณ์ปะทะเมื่อคืน
ปักด้วยดิ้นสีเงินและประดับตรงส่วนไหล่ด้วยเงินซึ่งทำเป็นรูปดอกไม้ ชายกระโปรงที่เป็นเนื้อผ้าบางเบาซ้อนทับกับผ้าที่เนื้อแน่นลงมาหน่อยและเป็นมันลื่นยาวจนลากพื้น
แขนเสื้อเองก็ยาวไม่แพ้กันจนเธออดแอบหวั่นไม่ได้ว่าเดินไปเดินมาแล้วจะสะดุดมันล้มหน้าคว่ำรึเปล่า
ภาพของร่างสูงปรากฎขึ้นในกระจกตรงด้านหลังเธอ
เขาโอบเอวเธอไว้แล้วยิ้ม ส่งสายตาชวนใจสั่นนั้นผ่านเงาสะท้อน
“ไม่เลย”
เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นข้างหู
“เจ้าสวยมากต่างหาก”
สคาดิยิ้ม
แตะลงที่หลังมือของเขา
“เจ้าก็ดูดีมากเหมือนกันนะ”
และเธอไม่ได้โกหก
เขาหล่อมากจริงๆ
เคยมีเวลาไหนที่ผู้ชายคนนี้ไม่หล่อบ้างเหรอ?
ไม่กี่นาทีต่อมา
หญิงสาวก็ย่างเท้าเข้าสู่โถงบัลลังก์
เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นหินอ่อนดังเป็นจังหวะ
เธอเหลือบไปมองรอบด้าน
ขุนนางทุกคนใส่ชุดดำ
ดูเหมือนว่าข่าวจะไปไวกว่าที่คิด
บัลลังก์เยือกแข็งสีขาวสะอาดตั้งเด่นอยู่ตรงหน้าเมื่อเธอเดินขึ้นบันไดไปถึง
เทพีเหมันต์สะบัดชายแขนเสื้อไปด้านหลังขณะที่หันหน้าเข้าสู่ที่ประชุมแล้วนั่งลง
...ไม่เห็นจะสบายเลย
นิ้วเรียวขูดกับหัวมังกรที่พนักแขนเล่นขณะที่เสียงของเธอก้องสะท้อนไปทั่วโถง
“อย่างที่พวกท่านทราบ...เมื่อคืนนี้
ลอร์ดอิกอร์ได้นำกองกำลังกบฎที่ซ่องสุมมาเป็นเวลานานในตรอกน้ำทิ้งบุกเข้าวังหลวงเพื่อปลงพระชนม์ราชาเบรดิแล้วขึ้นครองบัลลังก์เยือกแข็งแทน
แต่ด้วยความสามารถของกองทหารราชองครักษ์, เหล่าทหารฝึกหัด และทหารจากกองทัพหลวง
ทำให้พวกเราสามารถจับกุมเขาและผู้ทรยศได้ในที่สุด”
ดวงตาสีฟ้าเทาหันไปหากลุ่มคนในเกราะสีเงินด้านล่าง
“ด้วยเหตุนี้
ข้า...ในฐานะองค์หญิงรัชทายาทแห่งอาณาจักร
จึงต้องขอขอบคุณเหล่าราชองครักษ์และทหารทุกคนที่มีส่วนในการร่วมต่อสู้เคียงข้างข้าและฝ่าบาท
พวกเราเป็นหนี้ชีวิตเจ้าไม่มากก็น้อย”
“หามิได้”
พวกเขาค้อมหัวลง กล่าวเสียงดังพร้อมเพรียง
“เพื่อราชวงศ์และอาณาจักร
พวกกระหม่อมยอมสละได้แม้กระทั่งชีวิต”
เธอพยักหน้ารับ
แล้วหันหัวกลับมาจ้องมองตามแถวขุนนางอีกครั้ง
“อย่างไรก็ตาม
การปะทะเมื่อคืนทำให้เราได้สูญเสียหลายคนไป..รวมถึงพระพันปีหลวงอิดุนน์
และลูกหลงจากการต่อสู้ก็ได้ทำให้ฝ่าบาทบาดเจ็บ ฉะนั้น ในช่วงเวลาที่พระองค์ต้องพักรักษาพระวรกายอยู่นี้
ข้าจะทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนชั่วคราว”
หญิงสาวเลียริมฝีปากที่แห้งผากเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ
“และคำสั่งแรกของข้าก็คือ...ปลดลอร์ดฟินนิคออกจากตำแหน่งแม่ทัพแห่งอาณาจักรนี้”
ใบหน้าของผู้คนในนั้นมีหลายอารมณ์
ทั้งตกใจ สะใจ ไม่เห็นด้วยและเฉยชา
“องค์หญิง...”
คนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้า
เธอเอียงคอ
“ท่านลอร์ด...?”
“แร็กการ์ดพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าเขาเจื่อนลงเล็กน้อยเมื่อเธอลากเสียงยาวคล้ายพยายามคิดชื่อของเขาอยู่
และเธอก็ไม่รู้ชื่อเขาจริงๆนั่นแหละ
เธอไม่รู้ชื่อใครในโถงนี่เลยด้วยซ้ำยกเว้นราชองครักษ์บางคนและวีดาร์ที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอ
“เชิญ
ลอร์ดแร็กการ์ด”
“กระหม่อมไม่เห็นด้วยที่พระองค์จะปลดท่านฟินนิคออกจากตำแหน่งพ่ะย่ะค่ะ
ขอองค์หญิงพิจารณาใหม่ด้วย”
ดวงตาของเธอเยียบเย็นลง
“ในการปะทะเมื่อคืน
นอกจากฟินนิคจะมาถึงช้าแล้วยังไม่สามารถติดต่อกองทัพของตนเองได้ทันเวลาเพื่อมาตั้งรับก่อนที่จะออกรบอีกด้วย
แสดงถึงความไม่เตรียมพร้อม ข้าจึงคิดว่าเขาไม่เหมาะสมกับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้อีกต่อไป”
“แต่กระหม่อมคิดว่า...”
“สมมุติว่าท่านกำลังตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต...อย่างเช่นห้อยอยู่ที่ปากเหว
คนผู้เดียวที่ช่วยท่านได้ดันลืมเอาเชือกมาด้วย สุดท้ายแล้ว หากท่านรอดชีวิตขึ้นไป
ท่านจะยังไว้ใจคนผู้นั้นด้วยชีวิตของท่านอยู่หรือไม่?”
“ก็...ไม่พ่ะย่ะค่ะ
แต่--”
“อืม
นั่นแหละที่ข้าต้องการจะสื่อ” เธอรัวนิ้วลงบนหัวมังกรสลักเป็นจังหวะ
สีหน้าเบื่อหน่ายเต็มทน
“ถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้งตอนที่มีสงคราม
หรืออันตรายใดๆที่มุ่งไปที่ฝ่าบาท แล้วพระองค์ถึงแก่ชีวิตล่ะ?
เจ้าจะยังแก้ต่างให้ฟินนิคอีกไหม?”
แร็กการ์ดกลืนน้ำลาย
แล้วรีบค้อมหัวกลับไปนั่งในตำแหน่งเดิมอย่างอับจนคำพูด
“เอาล่ะ
ใครจะแย้งอะไรอีกไหม?”
เงียบ...
“ดี”
สคาดิถอนหายใจ
“พิธีเผาพระศพของพระพันปีจะเริ่มหลังจากการประชุมเสร็จที่ลานหินด้านนอก
ฉะนั้นเรามารีบคุยให้จบกันเถอะ”
(แปะเมจชุดของ'เด็จน้องเล็กค่ะ)
TALK WITH FM
บ่าววีมาแล้ววววววว
ในที่สุดเฮียก็ปรากฎตัวววววว
เอ้าจุดพลุฉลองงงง
555
คู่นี้หวานกันจนมดขึ้นเลยค่ะ
ไม่เกรงใจคนโสดอย่างไรท์บ้างเลย//ซับน้ำตาเงียบๆอยู่ที่มุมห้อง
เจอแฟนแล้ว
จุดหมายต่อไปของนุ้งดิก็คือ...
หาอิพิท้อค่ะ!!
อย่างที่ได้เคยบอกไปแล้วนะคะ
ซีซั่นนี้อยู่ในช่วงหลังเหตุการณ์ใน thor: the dark world
ลากยาวไปจนถึงเหตุการณ์ใน avengers: age of ultron เลยค่ะ
ฉะนั้นมันก็จะยาวหน่อยๆ
55555
อยู่กับเราก่อนนะคะ
อย่าเพิ่งทิ้งเราไปไหนน้าาา
เจอกันตอนหน้าเน้อ
ด้วยรักและถุงกาว
เฟิงมี่ค่ะ>3<
ความคิดเห็น