คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #43 : Broken Throne S3 || Ch 2
|| B
R O K E N T H R O N E ||
s e a
s o n 3
----------------------------
CHAPTER 2
หญิงสาวมองลงไปที่ลานกว้างด้านล่าง
หิมะที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนในถ้ำร่วงลงมาจากด้านบน
ปกคลุมพื้นหินและดินจนเป็นสีขาวสะอาด
มือเรียวทั้งสองข้างประสานเข้าหากัน
ดวงตาสีฟ้าเทาหรุบลงในขณะที่ปอยผมสีเข้มซึ่งหลุดออกมาจากเปียเดี่ยวด้านหลังร่วงลงระใบหน้า
ร่างเพรียวเอนตัวไปด้านข้างเล็กน้อย พิงลงกับราวระเบียงสีขาวมุก
“คิดอะไรอยู่?”
เสียงของใครบางคนดังขึ้น
สคาดิเงยหน้าขึ้นมา
แต่ไม่ได้หันไปทางต้นเสียง
“ปราสาทนี่...คล้ายกับที่อยู่ในอาณาจักรเก่าทีเดียว”
“แล้วทำไมท่านถึงมีสีหน้าแบบนั้น?”
ร่างในชุดสีขาวเงินสาวเท้าเข้ามาใกล้
เทพีเหมันต์กระตุกยิ้ม
“เหมือน...แต่ไม่ใช่บ้านเก่าของข้า”
คู่สนทนานิ่งไปครู่หนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้น...พอจะช่วยสงเคราะห์บอกข้าทีได้หรือไม่ว่าปราสาทเก่าเป็นอย่างไร?”
“เจ้าจะอยากรู้ไปทำไมกัน
เบรดิ?” สคาดิถอนหายใจ หันหน้ามาหาน้องชายต่างสายเลือด
“เจ้ามีทุกอย่างที่ควรจะใส่ใจอยู่แล้วที่นี่
ปล่อยคนแก่อย่างข้าให้จมอยู่กับวันเก่าๆไปเถอะ”
เบรดิหัวเราะในลำคอแล้วสาวเท้าเข้ามาใกล้
หญิงสาวมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
พอใส่ชุดโอ่อ่าอลังการอย่างราชาแล้วเขาดูโตขึ้นมาก
ไม่ต้องพูดถึงส่วนสูงที่คงจะได้ท่านพ่อมาเต็มๆ(เหมือนกับเธอ)
อายุยังไม่ถึงพันหนึ่งร้อยปีดีก็สูงเกือบเลยไหล่เธอแล้ว
“อายุพันห้า...ไม่ถือว่าแก่หรอกนะ”
เธอกระตุกยิ้ม
“มาหาข้าทำไมกัน
น้องชาย?”
เด็กชาย(ที่ดูแล้วกำลังย่างเข้าสู่การเป็นเด็กหนุ่ม)ยิ้มบางๆ
“ข้าจะมาหาพี่สาวไม่ได้เชียวหรือ?”
“ไม่ต้องอ้อมค้อม”
มือเรียวยกขึ้นกอดอก
“ต้องการอะไร?”
ราชาแห่งอาณาจักรน้ำแข็งนิ่งไปราวกับไม่แน่ใจว่าควรจะพูดดีไหม
“ลงไปที่ลานข้างล่างกับข้า”
คิ้วเข้มกดลง
“เพื่อ?”
“เผื่อข้าพลาดหกล้มตอนซ้อมดาบ
จะได้มีคนช่วยดูให้”
หญิงสาวเลิกคิ้ว
“เอางั้นก็ได้”
เขาพยักหน้าแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเธอ
ใช่...ห้องนอนของเธอที่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ถึงให้อยู่แถวห้องบรรทมของเจ้าน้องชาย
แถมยังเข้ามาโดยไม่ขออนุญาตอีกต่างหาก
“อ้อ”
ใบหน้าที่มีเค้าโครงละม้ายบิดาอยู่หลายส่วนหันมาก่อนจะแตะมือลงที่บานประตู
“รอข้าที่โถงกลางข้างหน้า
เราจะทานอะไรกันก่อนนิดหน่อย”
“เออ
รีบไปเหอะ”
ไม่รู้ว่าตาฝาดไปรึเปล่า
แต่เห็นมุมปากของมันกระตุกเป็นรอยยิ้มก่อนจะดึงประตูแล้วออกจากห้องไป
สคาดิถอนหายใจ
แหงนมองหิมะที่โปรยปรายลงมาอีกครั้งก่อนจะกลับเข้าไปด้านใน
เธอนั่งลงตรงปลายเตียง
มือเรียวหยิบจี้สีเข้มทำเป็นลายจักรวาลของตนขึ้นมากำไว้หลวมๆครู่หนึ่ง
ซึมซับความอุ่นของมันจากการแนบอยู่กับร่างกายของเธอทั้งคืนขณะที่ปล่อยให้ใจล่องลอยไป
นี่เป็นวันแรกนับจากที่เธอเข้ามาในอาณาจักร
อยู่ในถ้ำนี่ก็อุดอู้ไม่น้อย
แม้ว่าขนาดมันจะกว้างใหญ่ไพศาลก็เถอะ
ถึงจะเพิ่งมาถึง
แต่ข่าวการกลับมาของเธอก็แพร่กระจายไปทั่วอย่างน่าอัศจรรย์
ขุนนางมากหน้าหลายตาเข้ามาขอพบเธอและมอบของขวัญต้อนรับ
อย่างน้อยเธอก็ยังมีผู้สนับสนุน
และน้องชายต่างแม่ของเธอก็ไม่ได้มีทีท่ารังเกียจอะไรเธอมากนัก
จะน่ากลัวก็ตรงหญิงผมทองที่ชื่ออิดุนน์นั่นแหละ
เมื่อคืน
ในขณะที่กำลังทานอาหารค่ำกันอยู่ เธอรู้สึกได้ถึงสายตาของสนมคนนั้นที่มักจะจ้องมาที่เธอราวกับพยายามจะทะลุเข้าไปดูในหัว
และเธอก็ไม่ชอบเลย
ทั้งสายตา
ทั้งเจ้าของสายตานั่นแหละ
เธอไม่ได้จงเกลียดจงชังอิดุนน์มากขนาดที่จะสามารถหักกระดูกหญิงคนนั้นโดยทันทีได้
เมื่อก่อนนั้น
สคาดิออกจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเธอด้วยซ้ำ
แต่มันเปลี่ยนไปเมื่อเทพีเหมันต์เติบโตขึ้น
ความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
เธอรู้ในที่สุดว่าความจริงแล้วนั้น
อิดุนน์คือหญิงที่ทำให้ท่านแม่รู้สึกแย่ รู้สึกผิดหวังและไร้ค่าที่ตนเองไม่สามารถให้บุตรชายแก่ท่านพ่อได้
แม้ว่ากฎโบราณที่ตราไว้จะบอกว่าบุตรคนโต
ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง มีสิทธิในบัลลังก์อย่างชอบธรรม
...แต่ว่าลูกชายก็เป็นอะไรที่ฟังดูดีกว่าลูกสาวจริงๆนั่นแหละ
อันนี้สคาดิไม่ขอเถียง
บางครั้งตอนยังเล็ก
ท่านแม่จะลูบหัวเธอขณะที่เธอนอนบนตัก
โธ่สคาดิ...ถ้าเพียงแต่ลูกเป็นชาย
นั่นคือสิ่งที่มารดามักจะพึมพำ
รัชทายาทมีอำนาจมากก็จริง
แต่เจ้าชายนั้นก็จะมีแรงสนับสนุนจากหลายฝ่ายพอๆกัน
ยิ่งถ้ารัชทายาทเป็นหญิงแล้ว
ขุนนางกว่าครึ่งจะกรูกันไปกองอยู่ที่บุตรชายคนอื่นๆของกษัตริย์
นิ้วเรียวไล้ไปมาบนพื้นผิวเกลี้ยงเกลาขณะที่ดวงตาหรุบลงมองลวดลายดวงดาวเล็กๆเรืองแสงสว่างนับพันดวงในจี้
รู้สึกโดดเดี่ยวยังไงไม่รู้...
ตั้งแต่ออกจากแอสการ์ดมา
เธอก็ไม่ได้ติดต่อกับวีดาร์อีกเลย
ทั้งทางจดหมาย,
ข่าวคราว, หรือทางจิต
จะให้พูดตรงๆก็คือ
เธอแวะไปที่ไนดาเวลเลียร์ก่อนที่จะมาที่อัลฟ์ไฮม์เพื่อเอายาปิดกั้นจิตมาจากเทสเซเมียร์
โอเคๆ
เธอรู้
มันเป็นการตัดสินใจที่โง่มาก
แต่เธอมีความตงิดใจว่ามานี่แล้วมันต้องมีอะไรบางอย่างที่ไม่ดีเกิดขึ้น
และเธอไม่สามารถปล่อยให้โซลเมตของตัวเองมาเสี่ยงกับเธอได้
มันอันตรายเกินไป
ยาของเอลฟ์สาวแห่งบาร์คนแคระใช้ได้ผลดีทีเดียว
เพียงไม่กี่หยด
เธอก็ไม่สามารถรับรู้ความคิดความรู้สึกของเขาได้อีก
ไว้เธอรอดกลับไปคงต้องไปง้อเขาซักหน่อย
สคาดิถอนหายใจเมื่อประตูถูกเปิดอีกครั้ง
ร่างบอบบางของเอลฟ์สาวน้อยในชุดข้ารับใช้เลื่อนตัวเข้ามาระหว่างช่องนั้น
“องค์หญิง
ให้หม่อมฉันเอาอ่างน้ำเข้ามาไหมเพคะ?”
“อืม”
เธอพยักหน้า มองกระโปรงพลิ้วยาวสีขาวของตนเอง
“เอาเป็นน้ำอุณหภูมิธรรมดานะ
ข้าไม่ชอบน้ำอุ่น”
ดวงตาสีฟ้าเทาสองคู่มองกันและกันขณะที่เจ้าของทั้งสองกำลังยืนอยู่บนลานหิมะขาวๆ
“ข้าไปหาที่นั่งแถวนี้แล้วกัน”
หญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นพี่สาวพยักเพยิดไปทางม้านั่งหินอ่อนสีขาวตรงมุมลานติดกับสวนหลวง
พุ่มไม้สีเข้มถูกปกคลุมด้วยปุยนุ่มเย็นจนแทบมิด
เมื่อปัดหิมะออกและนั่งลงแล้ว
สคาดิก็สะบัดมือครั้งหนึ่ง
แสงสีฟ้าอ่อนเรืองลอยวนอยู่รอบนิ้วก่อนที่หนังสือปกหนังเล่มหนาจะตกลงมาในมืออย่างเหมาะเจาะ
เบรดิเลิกคิ้ว
“ท่านทำได้ไง?”
“เวทย์มนตร์”
เทพีเหมันต์ตอบเนิบๆราวกับไม่ใช่เรื่องแปลก
ยกขาที่อยู่ใต้กระโปรงยาวขึ้นมาไขว้แล้วเปิดหน้ากระดาษ
“แค่เรียกของ
ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่”
“ท่านคงจะลืมไปว่าพวกเราสามารถควบคุมได้แค่น้ำแข็ง”
เจ้าน้องชายทำหน้าหมั่นไส้เบาๆแล้วควงดาบไม้ในมือ
หันไปส่งสัญญาณให้เด็กชายวัยไล่เลี่ยกันที่ทำหน้าที่เป็นคู่ซ้อมเข้ามาประมือ
ที่เขาพูดมาก็ถูก
เอลฟ์น้ำแข็งทั่วไปมีอำนาจมากสุดแค่ทนหนาวกับเดินบนหิมะหนาได้เท่านั้น
ถ้าเป็นชั้นสูงขึ้นมาหน่อย(สำหรับคำว่าชั้นสูง
เธอหมายถึงพวกเอลฟ์ชั้นเจ้าที่มีเชื้อสายค่อนข้างเข้มข้นและบริสุทธิ์)ก็สามารถสร้างน้ำแข็งขึ้นมาจากอากาศเปล่าได้
แต่พวกที่เก่งหน่อยอย่างบิดาเธอกับเธอ(อาจรวมเบรดิด้วยก็ได้เพราะเขาสืบเชื้อสายเดียวกับเธอมา)สามารถควบคุมน้ำแข็งให้เปลี่ยนรูปร่างหรือขยับตามใจได้...ซึ่งพวกนี้มีน้อยมาก
การที่เธอสามารถใช้เวทย์มนตร์ได้คล่องราวกับเป็นความสามารถอีกอย่างขนาดนี้ก็เพราะฝึกล้วนๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะลี้ภัยอยู่ที่แอสการ์ดนานจนรู้สึกว่าความสามารถแบบเอลฟ์น้ำแข็งไม่ได้ใช้บ่อยจนต้องหาอะไรมาทดแทนเผื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
เธอก็คงไม่ไปเข้าเรียนเวทย์จากฟริกก้าพร้อมกับโลกิหรอก
สคาดินั่งอ่านหนังสือเคล้าเสียงไม้กระทบกันของร่างทั้งสองตรงลานด้านหน้าเธอเงียบๆ
บางครั้งก็เหลือบขึ้นมามองน้องชายเป็นระยะๆเผื่อว่าเขาจะโดนเล่นจนเจ็บตัวจะได้เตรียมพาไปทำแผลทัน
แต่กลายเป็นว่าเจ้าน้องคนนี้ก็เก่งกว่าที่เธอคิดพอตัว
ดูแค่ไม่กี่กระบวนท่าเธอก็รู้แล้วว่าเขาได้รับการฝึกมาอย่างค่อนข้างดีทีเดียว
รู้สึกได้ถึงมุมปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
โอเค
นี่มันคือความรู้สึกภูมิใจใช่มั้ย?
ทันใดนั้น
ดวงตาสีฟ้าเทาก็นิ่งเรียบลงเมื่อได้ยินเสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นหินที่คลุมด้วยหิมะบางแล้วหยุดลงข้างกายเธอ
หญิงสาวปัดปอยผมสีน้ำตาลไปด้านข้างแล้วปรายตามองจากด้านข้าง
“องค์หญิง”
เสียงเข้มดังขึ้นจากด้านบนหัว
ร่างเพรียวเงยหน้าขึ้น
เขาเป็นเอลฟ์หนุ่มร่างสูงใหญ่
ผมสีทรายเข้มยาวระบ่า ไหล่กว้างสง่าชนิดที่ว่ามองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นนักรบ
มือข้างหนึ่งพาดอยู่ที่ด้านหลังซึ่งยืดขึ้นอย่างผ่าเผย ใบหน้าของเขาหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา...อันเป็นสิ่งที่มักจะพบเห็นในบรรดาเอลฟ์ชายที่ยังหนุ่มแน่น
รอยยิ้มบางๆที่ประดับบนเรียวปากนั้นทำให้เธอนึกถึงแสงจันทร์ที่สาดส่องนุ่มนวลในยามราตรี
แต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกสะดุดตาคือปานสีน้ำตาลขนาดใหญ่ที่พาดผ่านต้นคอด้านซ้ายของเขา
กินพื้นที่ขึ้นมาถึงบริเวณปลายคาง
ปานที่ดูคุ้นเคยมากๆราวกับเธอเห็นมาเป็นร้อยๆครั้งในห้วงความทรงจำ
คิ้วเรียวขมวด
“...อิกอร์?”
เขาค้อมหัวลง
รอยยิ้มขยายกว้างขึ้นกว่าเดิม
“ดีใจที่พระองค์ยังจำกระหม่อมได้”
หญิงสาวยิ้มกว้างแล้วอ้าแขนสวมกอดเขาอย่างรวดเร็ว
“ข้านึกว่า...”
“นึกว่ากระหม่อมตายไปแล้ว?”
เอลฟ์หนุ่มต่อด้วยรอยยิ้ม
สคาดิหัวเราะในลำคอ
“พูดแบบปกติเถอะ
ข้าไม่ชิน”
“เอางั้นก็ได้”
อิกอร์ตอบพลางหมุนแหวนเงินบนนิ้วของตน
“ท่านแม่ทัพล่ะ?”
“ท่านพ่อข้า...”
เขาถอนหายใจ
“รอดชีวิตจากวันมหาวิปโยคมาได้
แต่พวกมันก็เล่นงานท่านซะหนักจนทุกวันนี้สุขภาพของท่านยังไม่สามารถฟื้นคืนขึ้นมาได้ตามที่ท่านเคยเป็น”
“งั้นตอนนี้ใครเป็นแม่ทัพใหญ่ล่ะ?
เจ้าเหรอ?”
เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลซีดชักสีหน้าตกใจ
“จะบ้ารึไง?
ข้าเนี่ยนะ?”
“ก็เจ้าเก่งออก”
สคาดิเลิกคิ้ว ชกแขนร่างสูงใหญ่เบาๆ
“เป็นงั้นมาตั้งแต่เรายังเด็กแล้ว”
“ข้าไม่ได้รับตำแหน่งนั้น”
สหายเก่าของเธอส่ายหัว
“ท่านพ่อต้องการคนดูแล
ถ้าข้ารับจะไม่มีเวลาอยู่กับเขา”
มือใหญ่สากของเขาผายไปที่ทางเดินในสวน
“เดินกับข้าซักนิดไหม
องค์หญิง?”
สคาดิยิ้ม
“แหม
เชิญซะขนาดนี้”
ทั้งสองก้าวไปด้วยกันบนหินสีเข้มท่ามกลางต้นไม้ที่ถูกกลบจนเป็นสีขาวด้วยหิมะ
“พันปีมานี้เจ้าเป็นยังไงบ้าง?”
เธอถาม
“ก็ดี...”
อิกอร์ไพล่มือทั้งสองไปที่ด้านหลัง
“ลำบากอยู่บ้างช่วงที่สร้างอาณาจักรขึ้นมาอีกครั้ง
แต่จนถึงตอนนี้ก็สุขสบายไม่มีอะไรน่าห่วง”
หญิงสาวพยักหน้าช้าๆ
“เราเหลือกันอยู่เท่าไหร่?”
คนข้างกายนิ่งไป
“อิกอร์?”
“เราเสียขุนนางไปหลายคน
สคาดิ” ใบหน้ามีปานของเขาหันมา
“ตอนนั้นเหลือกันอยู่แค่พวกเด็กๆกับคนแก่
แล้วก็พวกผู้หญิงบางส่วน
ผู้ชายเกือบทั้งหมดในอาณาจักรออกไปรบและกลับมากันในสภาพที่ไม่ปางตายก็พิกลพิการ...เหมือนท่านพ่อของข้า”
เธอหรุบตาลง
ความนิ่งสงบแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ
ในที่สุด
เธอก็สูดหายใจลึก
“...ข้าดีใจที่ได้เจอเจ้า
อิกอร์”
เขามองเธอกลับ
รอยยิ้มมุมปากที่ปรากฎขึ้นดูจริงใจมากกว่าครั้งก่อน
“เช่นกัน”
หลังจากคุยเรื่องวันเก่าๆแล้วก็เดินไปรอบๆสวนจนกลับมาถึงลานหิมะ
เธอก็พบเบรดิที่กำลังเอาดาบไม้ชี้คอของเด็กชายอีกคนอยู่
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาชนะ
“ใช้ได้นี่”
หญิงสาวกอดอก
“ฝ่าบาท”
อิกอร์ที่อยู่ข้างเธอก้มหัวทำความเคารพ เด็กชายผมทองเข้มพยักหน้ารับทีหนึ่ง
“ท่านจะลองหน่อยมั้ย?”
ดวงตาสีฟ้าเทาแบบเดียวกับเธอหันมาหา
คิ้วเรียวขมวด
“ว่าไงนะ?”
ราชาแห่งอาณาจักรน้ำแข็งพยักเพยิดไปที่ราววางดาบไม้
“แน่ใจ?”
สคาดิเอียงคอ
เจ้าน้องชายเลิกคิ้ว
ยืนยันคำขอ
เธอพ่นลมหายใจออกทางจมูก
ก็ดีเหมือนกัน
เธอไม่ได้ฝึกซ้อมฝีมือดาบมานานแล้ว
“จะออมมือให้แล้วกันนะ”
มือเรียวดึงวัสดุแข็งเบาที่สลักเป็นรูปอาวุธออกมาแกว่งสองสามทีเพื่อลองน้ำหนัก
ก่อนจะใช้มันชี้ไปทางร่างของผู้เป็นน้องด้วยท่าทีไม่จริงจังนัก
“ถ้าเจ็บตัวก็อย่าโวยวายแล้วกัน”
เบรดิยิ้ม
แล้วเธอก็แทบจะกรอกตาเพราะความหมั่นไส้
...ไอ้เด็กนี่
ร่างเพรียวกระโจนตรงเข้าหาเด็กชายพร้อมกับดาบไม้ที่พุ่งเข้าไปหาซี่โครงของเขา
ราชาวัยเยาว์ปัดมันออกได้ทันก่อนที่มันจะตีเข้าที่ลำตัวและทำเขาช้ำ อย่างไรก็ตาม
การโจมตีอย่างกระทันหันทำให้เขาไม่ทันตั้งตัวและไม่สามารถป้องกันได้เต็มที่
“อย่างน้อยบอกกันก่อนก็ได้”
เขาโอดครวญ
“ในสนามรบเขาไม่ให้สัญญาณกันหรอกนะ”
เธอเอียงคอยิ้ม
“อย่าประมาทคู่ต่อสู้เด็ดขาด”
สคาดิลงมืออีกครั้ง
คราวนี้เงื้อดาบขึ้นสูงแล้วกระโดดหมุนตัวเพื่อเพิ่มแรงปะทะ
เด็กชายตาสีเดียวกับเธอหลบทัน
เขาตอบโต้ด้วยการแทงมาที่ไหล่ของเธอ
หญิงสาวชักดาบไม้ขึ้นมาสกัด
ก่อนจะฟาดมันลงไปตรงหน้า บีบให้เขาต้องยกดาบขึ้นรับ
เธอกดอาวุธในมือลงไป
รับรู้ได้ถึงกล้ามเนื้อที่สั่นอย่างคุมไม่อยู่ของน้อง
“แก้ปัญหาซิ”
เธอบอกเขา
“ดูรอบๆตัว...ทำอะไรได้บ้าง”
เบรดิเหลือกตาไปมา
ก่อนที่จะตัดสินใจพุ่งตัวลอดผ่านเธอไปแล้วหันกลับมาทำท่าจะฟาดดาบใส่อกเธอ
แย่หน่อยที่ลูกไม้นี้สคาดิเคยเห็นจนชินตั้งแต่เด็กๆแล้ว
เธอยกดาบขึ้นสกัดมันแล้วไสดาบไปห่างตัว
ทำให้แขนข้างหนึ่งของเขาถูกเธอควบคุมโดยสมบูรณ์
ร่างเพรียวดันแขนน้องชายข้ามหัวเขาไปพร้อมกับหมุนตัวไปอยู่ด้านหลัง
มือซ้ายที่ถือดาบโยนด้ามส่งให้มือขวาอย่างแม่นยำ
ไม่เสียจังหวะและไม่เปิดช่องให้เขาหลุดออกจากพันธนาการ
เธอเสือกดาบของเขาไปอยู่บนคอของตนเองโดยที่มีดาบของเธอพาดทับอยู่อีกชั้นให้ส่วนปลายชี้กดที่ต้นคอขาวๆชื้นเหงือของเด็กชาย
มือซ้ายที่ตอนนี้ว่างแล้วพุ่งไปกุมรอบข้อมือของอีกคนแล้วดึงมันเข้ามาหาตัวจนพาดผ่านเอวไปเพื่อบังคับให้ร่างของเขาเข้ามาใกล้อีก
“วันหลังหาลูกไม้ดีๆกว่านี้หน่อยนะน้องชาย”
เธอแสยะยิ้มมุมปาก
เบรดิหอบ
ก่อนจะพยักหน้าให้เธอปล่อยเขา
เจ้าของเรือนผมเปียสีเข้มหมุนมือขวา
แทงปลายดาบไม้ลงไปในช่องว่างระหว่างร่างของน้องกับดาบอีกเล่ม
แล้วกระชากมือลงทำให้เขาตกใจจนปล่อยมัน
ดาบของราชาตกลงสู่พื้นขณะที่เธอผลักเขาออกไกลจากอาวุธ
มือเรียวควงดาบเล่นขณะที่เขาทรงตัวและปรับจังหวะการหายใจ
อิกอร์ยังยืนอยู่ตรงนั้น
ด้วยรอยยิ้มและมือข้างหนึ่งที่ไพล่ไปด้านหลังเหมือนเดิม
ทันใด
กลุ่มคนในชุดเกราะเงินสลับดำก็กรูกันเข้ามาในลานแล้วล้อมรอบเธอเอาไว้
เอ้า
ใครอีกล่ะคราวนี้?
เทพีเหมันต์หรี่ตา
เตรียมระเบิดพลังถ้าสถานการณ์มันแย่จริงๆ
ร่างสูงใหญ่ในเกราะแบบเดียวกันเดินออกมาจากแถว
ใบหน้าของเขาที่ไม่ได้ถูกปิดด้วยเกราะเหมือนกับคนอื่นมีไรหนวดขึ้นตามริมฝีปากบางๆซึ่งสวนทางกับเครื่องหน้าที่แลดูอ่อนเยาว์ของเขาอย่างสิ้นเชิง
โอเค คนนี้เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
“องค์หญิงสคาดิ
หม่อมฉันขอจับกุมพระองค์ข้อหามีเจตนาจะทำร้ายพระราชา”
เฮ้ย
ไม่ใช่แล้ว
ดวงตาสีฟ้าเทาเบิกกว้าง
สคาดิหันขวับไปมองหน้าน้องชายที่ดูสับสนตื่นตระหนกเช่นเดียวกัน
...อะไรวะเนี่ย?
TALK WITH FM
เอ้า
มีเรื่องอีกแล้วดิเอ้ยยยยย
ไปไหนๆก็มีแต่เรื่อง
เปลี่ยนชื่อเป็นตัวซวยดีมั้ยเนี่ย 5555
ช่วงนี้โควิดระบาดหนัก
ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าออกไปไหนเลยนะคะ
อยากจะล้อมวงกินเหล้าก็เพลาๆก่อน
เราไม่รู้ว่าใครเป็นยังไงมา ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองไว้ก่อนนะคะ
อย่างน้อย
ทำเพื่อคนที่เรารักนะทุกคน
สู้ๆค่ะ
เราจะผ่านมันไปด้วยกัน
เจอกันตอนหน้าเน้อ
ด้วยรักและถุงกาว
เฟิงมี่ค่ะ>3<
ความคิดเห็น