ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Marvel || Broken Throne (OC feat. Thorki, Stony, Spideypool, etc.)

    ลำดับตอนที่ #43 : Broken Throne S3 || Ch 2

    • อัปเดตล่าสุด 30 มี.ค. 63


    || B R O K E N T H R O N E ||

    s e a s o n 3

    ----------------------------

    CHAPTER 2

     

     

           หญิงสาวมองลงไปที่ลานกว้างด้านล่าง

     

           หิมะที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนในถ้ำร่วงลงมาจากด้านบน ปกคลุมพื้นหินและดินจนเป็นสีขาวสะอาด

     

           มือเรียวทั้งสองข้างประสานเข้าหากัน ดวงตาสีฟ้าเทาหรุบลงในขณะที่ปอยผมสีเข้มซึ่งหลุดออกมาจากเปียเดี่ยวด้านหลังร่วงลงระใบหน้า ร่างเพรียวเอนตัวไปด้านข้างเล็กน้อย พิงลงกับราวระเบียงสีขาวมุก

     

           “คิดอะไรอยู่?” เสียงของใครบางคนดังขึ้น

     

           สคาดิเงยหน้าขึ้นมา แต่ไม่ได้หันไปทางต้นเสียง

     

           “ปราสาทนี่...คล้ายกับที่อยู่ในอาณาจักรเก่าทีเดียว”

     

           “แล้วทำไมท่านถึงมีสีหน้าแบบนั้น?” ร่างในชุดสีขาวเงินสาวเท้าเข้ามาใกล้

     

           เทพีเหมันต์กระตุกยิ้ม

           “เหมือน...แต่ไม่ใช่บ้านเก่าของข้า”

     

           คู่สนทนานิ่งไปครู่หนึ่ง

     

           “ถ้าอย่างนั้น...พอจะช่วยสงเคราะห์บอกข้าทีได้หรือไม่ว่าปราสาทเก่าเป็นอย่างไร?”

     

           “เจ้าจะอยากรู้ไปทำไมกัน เบรดิ?” สคาดิถอนหายใจ หันหน้ามาหาน้องชายต่างสายเลือด

           “เจ้ามีทุกอย่างที่ควรจะใส่ใจอยู่แล้วที่นี่ ปล่อยคนแก่อย่างข้าให้จมอยู่กับวันเก่าๆไปเถอะ”

     

           เบรดิหัวเราะในลำคอแล้วสาวเท้าเข้ามาใกล้

     

           หญิงสาวมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า

     

           พอใส่ชุดโอ่อ่าอลังการอย่างราชาแล้วเขาดูโตขึ้นมาก

           ไม่ต้องพูดถึงส่วนสูงที่คงจะได้ท่านพ่อมาเต็มๆ(เหมือนกับเธอ) อายุยังไม่ถึงพันหนึ่งร้อยปีดีก็สูงเกือบเลยไหล่เธอแล้ว

     

           “อายุพันห้า...ไม่ถือว่าแก่หรอกนะ”

     

           เธอกระตุกยิ้ม

     

           “มาหาข้าทำไมกัน น้องชาย?”

     

           เด็กชาย(ที่ดูแล้วกำลังย่างเข้าสู่การเป็นเด็กหนุ่ม)ยิ้มบางๆ

           “ข้าจะมาหาพี่สาวไม่ได้เชียวหรือ?”

     

           “ไม่ต้องอ้อมค้อม” มือเรียวยกขึ้นกอดอก

     

           “ต้องการอะไร?”

     

           ราชาแห่งอาณาจักรน้ำแข็งนิ่งไปราวกับไม่แน่ใจว่าควรจะพูดดีไหม

     

           “ลงไปที่ลานข้างล่างกับข้า”

     

           คิ้วเข้มกดลง

           “เพื่อ?”

     

           “เผื่อข้าพลาดหกล้มตอนซ้อมดาบ จะได้มีคนช่วยดูให้”

     

           หญิงสาวเลิกคิ้ว

     

           “เอางั้นก็ได้”

     

           เขาพยักหน้าแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเธอ

     

           ใช่...ห้องนอนของเธอที่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ถึงให้อยู่แถวห้องบรรทมของเจ้าน้องชาย

           แถมยังเข้ามาโดยไม่ขออนุญาตอีกต่างหาก

     

           “อ้อ” ใบหน้าที่มีเค้าโครงละม้ายบิดาอยู่หลายส่วนหันมาก่อนจะแตะมือลงที่บานประตู

           “รอข้าที่โถงกลางข้างหน้า เราจะทานอะไรกันก่อนนิดหน่อย”

     

           “เออ รีบไปเหอะ”

     

           ไม่รู้ว่าตาฝาดไปรึเปล่า แต่เห็นมุมปากของมันกระตุกเป็นรอยยิ้มก่อนจะดึงประตูแล้วออกจากห้องไป

     

           สคาดิถอนหายใจ แหงนมองหิมะที่โปรยปรายลงมาอีกครั้งก่อนจะกลับเข้าไปด้านใน

     

           เธอนั่งลงตรงปลายเตียง

     

           มือเรียวหยิบจี้สีเข้มทำเป็นลายจักรวาลของตนขึ้นมากำไว้หลวมๆครู่หนึ่ง ซึมซับความอุ่นของมันจากการแนบอยู่กับร่างกายของเธอทั้งคืนขณะที่ปล่อยให้ใจล่องลอยไป

     

           นี่เป็นวันแรกนับจากที่เธอเข้ามาในอาณาจักร

     

           อยู่ในถ้ำนี่ก็อุดอู้ไม่น้อย แม้ว่าขนาดมันจะกว้างใหญ่ไพศาลก็เถอะ

     

           ถึงจะเพิ่งมาถึง แต่ข่าวการกลับมาของเธอก็แพร่กระจายไปทั่วอย่างน่าอัศจรรย์

     

           ขุนนางมากหน้าหลายตาเข้ามาขอพบเธอและมอบของขวัญต้อนรับ

           อย่างน้อยเธอก็ยังมีผู้สนับสนุน

     

           และน้องชายต่างแม่ของเธอก็ไม่ได้มีทีท่ารังเกียจอะไรเธอมากนัก

     

           จะน่ากลัวก็ตรงหญิงผมทองที่ชื่ออิดุนน์นั่นแหละ

     

           เมื่อคืน ในขณะที่กำลังทานอาหารค่ำกันอยู่ เธอรู้สึกได้ถึงสายตาของสนมคนนั้นที่มักจะจ้องมาที่เธอราวกับพยายามจะทะลุเข้าไปดูในหัว

           และเธอก็ไม่ชอบเลย

     

           ทั้งสายตา ทั้งเจ้าของสายตานั่นแหละ

     

           เธอไม่ได้จงเกลียดจงชังอิดุนน์มากขนาดที่จะสามารถหักกระดูกหญิงคนนั้นโดยทันทีได้

     

           เมื่อก่อนนั้น สคาดิออกจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเธอด้วยซ้ำ

     

           แต่มันเปลี่ยนไปเมื่อเทพีเหมันต์เติบโตขึ้น ความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

     

           เธอรู้ในที่สุดว่าความจริงแล้วนั้น อิดุนน์คือหญิงที่ทำให้ท่านแม่รู้สึกแย่ รู้สึกผิดหวังและไร้ค่าที่ตนเองไม่สามารถให้บุตรชายแก่ท่านพ่อได้

     

           แม้ว่ากฎโบราณที่ตราไว้จะบอกว่าบุตรคนโต ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง มีสิทธิในบัลลังก์อย่างชอบธรรม

     

    ...แต่ว่าลูกชายก็เป็นอะไรที่ฟังดูดีกว่าลูกสาวจริงๆนั่นแหละ

           อันนี้สคาดิไม่ขอเถียง

     

           บางครั้งตอนยังเล็ก ท่านแม่จะลูบหัวเธอขณะที่เธอนอนบนตัก

     

           โธ่สคาดิ...ถ้าเพียงแต่ลูกเป็นชาย

           นั่นคือสิ่งที่มารดามักจะพึมพำ

     

           รัชทายาทมีอำนาจมากก็จริง แต่เจ้าชายนั้นก็จะมีแรงสนับสนุนจากหลายฝ่ายพอๆกัน

     

    ยิ่งถ้ารัชทายาทเป็นหญิงแล้ว ขุนนางกว่าครึ่งจะกรูกันไปกองอยู่ที่บุตรชายคนอื่นๆของกษัตริย์

     

           นิ้วเรียวไล้ไปมาบนพื้นผิวเกลี้ยงเกลาขณะที่ดวงตาหรุบลงมองลวดลายดวงดาวเล็กๆเรืองแสงสว่างนับพันดวงในจี้

     

           รู้สึกโดดเดี่ยวยังไงไม่รู้...

     

           ตั้งแต่ออกจากแอสการ์ดมา เธอก็ไม่ได้ติดต่อกับวีดาร์อีกเลย

     

           ทั้งทางจดหมาย, ข่าวคราว, หรือทางจิต

     

           จะให้พูดตรงๆก็คือ เธอแวะไปที่ไนดาเวลเลียร์ก่อนที่จะมาที่อัลฟ์ไฮม์เพื่อเอายาปิดกั้นจิตมาจากเทสเซเมียร์

     

           โอเคๆ เธอรู้

           มันเป็นการตัดสินใจที่โง่มาก

     

           แต่เธอมีความตงิดใจว่ามานี่แล้วมันต้องมีอะไรบางอย่างที่ไม่ดีเกิดขึ้น

           และเธอไม่สามารถปล่อยให้โซลเมตของตัวเองมาเสี่ยงกับเธอได้

     

           มันอันตรายเกินไป

     

           ยาของเอลฟ์สาวแห่งบาร์คนแคระใช้ได้ผลดีทีเดียว

           เพียงไม่กี่หยด เธอก็ไม่สามารถรับรู้ความคิดความรู้สึกของเขาได้อีก

     

           ไว้เธอรอดกลับไปคงต้องไปง้อเขาซักหน่อย

     

           สคาดิถอนหายใจเมื่อประตูถูกเปิดอีกครั้ง ร่างบอบบางของเอลฟ์สาวน้อยในชุดข้ารับใช้เลื่อนตัวเข้ามาระหว่างช่องนั้น

     

           “องค์หญิง ให้หม่อมฉันเอาอ่างน้ำเข้ามาไหมเพคะ?”

     

           “อืม” เธอพยักหน้า มองกระโปรงพลิ้วยาวสีขาวของตนเอง

           “เอาเป็นน้ำอุณหภูมิธรรมดานะ ข้าไม่ชอบน้ำอุ่น”

     

     

     



     



     

     

     


     

           ดวงตาสีฟ้าเทาสองคู่มองกันและกันขณะที่เจ้าของทั้งสองกำลังยืนอยู่บนลานหิมะขาวๆ

     

           “ข้าไปหาที่นั่งแถวนี้แล้วกัน” หญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นพี่สาวพยักเพยิดไปทางม้านั่งหินอ่อนสีขาวตรงมุมลานติดกับสวนหลวง พุ่มไม้สีเข้มถูกปกคลุมด้วยปุยนุ่มเย็นจนแทบมิด

     

           เมื่อปัดหิมะออกและนั่งลงแล้ว สคาดิก็สะบัดมือครั้งหนึ่ง แสงสีฟ้าอ่อนเรืองลอยวนอยู่รอบนิ้วก่อนที่หนังสือปกหนังเล่มหนาจะตกลงมาในมืออย่างเหมาะเจาะ

     

           เบรดิเลิกคิ้ว

           “ท่านทำได้ไง?”

     

           “เวทย์มนตร์” เทพีเหมันต์ตอบเนิบๆราวกับไม่ใช่เรื่องแปลก ยกขาที่อยู่ใต้กระโปรงยาวขึ้นมาไขว้แล้วเปิดหน้ากระดาษ

           “แค่เรียกของ ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่”

     

           “ท่านคงจะลืมไปว่าพวกเราสามารถควบคุมได้แค่น้ำแข็ง” เจ้าน้องชายทำหน้าหมั่นไส้เบาๆแล้วควงดาบไม้ในมือ หันไปส่งสัญญาณให้เด็กชายวัยไล่เลี่ยกันที่ทำหน้าที่เป็นคู่ซ้อมเข้ามาประมือ

     

           ที่เขาพูดมาก็ถูก

           เอลฟ์น้ำแข็งทั่วไปมีอำนาจมากสุดแค่ทนหนาวกับเดินบนหิมะหนาได้เท่านั้น ถ้าเป็นชั้นสูงขึ้นมาหน่อย(สำหรับคำว่าชั้นสูง เธอหมายถึงพวกเอลฟ์ชั้นเจ้าที่มีเชื้อสายค่อนข้างเข้มข้นและบริสุทธิ์)ก็สามารถสร้างน้ำแข็งขึ้นมาจากอากาศเปล่าได้ แต่พวกที่เก่งหน่อยอย่างบิดาเธอกับเธอ(อาจรวมเบรดิด้วยก็ได้เพราะเขาสืบเชื้อสายเดียวกับเธอมา)สามารถควบคุมน้ำแข็งให้เปลี่ยนรูปร่างหรือขยับตามใจได้...ซึ่งพวกนี้มีน้อยมาก

     

           การที่เธอสามารถใช้เวทย์มนตร์ได้คล่องราวกับเป็นความสามารถอีกอย่างขนาดนี้ก็เพราะฝึกล้วนๆ

     

           ถ้าไม่ใช่เพราะลี้ภัยอยู่ที่แอสการ์ดนานจนรู้สึกว่าความสามารถแบบเอลฟ์น้ำแข็งไม่ได้ใช้บ่อยจนต้องหาอะไรมาทดแทนเผื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เธอก็คงไม่ไปเข้าเรียนเวทย์จากฟริกก้าพร้อมกับโลกิหรอก

     

           สคาดินั่งอ่านหนังสือเคล้าเสียงไม้กระทบกันของร่างทั้งสองตรงลานด้านหน้าเธอเงียบๆ บางครั้งก็เหลือบขึ้นมามองน้องชายเป็นระยะๆเผื่อว่าเขาจะโดนเล่นจนเจ็บตัวจะได้เตรียมพาไปทำแผลทัน

     

           แต่กลายเป็นว่าเจ้าน้องคนนี้ก็เก่งกว่าที่เธอคิดพอตัว

           ดูแค่ไม่กี่กระบวนท่าเธอก็รู้แล้วว่าเขาได้รับการฝึกมาอย่างค่อนข้างดีทีเดียว

     

           รู้สึกได้ถึงมุมปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

     

           โอเค

     

           นี่มันคือความรู้สึกภูมิใจใช่มั้ย?

     

           ทันใดนั้น ดวงตาสีฟ้าเทาก็นิ่งเรียบลงเมื่อได้ยินเสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นหินที่คลุมด้วยหิมะบางแล้วหยุดลงข้างกายเธอ

     

           หญิงสาวปัดปอยผมสีน้ำตาลไปด้านข้างแล้วปรายตามองจากด้านข้าง

     

           “องค์หญิง” เสียงเข้มดังขึ้นจากด้านบนหัว

     

           ร่างเพรียวเงยหน้าขึ้น

     

           เขาเป็นเอลฟ์หนุ่มร่างสูงใหญ่ ผมสีทรายเข้มยาวระบ่า ไหล่กว้างสง่าชนิดที่ว่ามองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นนักรบ มือข้างหนึ่งพาดอยู่ที่ด้านหลังซึ่งยืดขึ้นอย่างผ่าเผย ใบหน้าของเขาหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา...อันเป็นสิ่งที่มักจะพบเห็นในบรรดาเอลฟ์ชายที่ยังหนุ่มแน่น รอยยิ้มบางๆที่ประดับบนเรียวปากนั้นทำให้เธอนึกถึงแสงจันทร์ที่สาดส่องนุ่มนวลในยามราตรี

     

           แต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกสะดุดตาคือปานสีน้ำตาลขนาดใหญ่ที่พาดผ่านต้นคอด้านซ้ายของเขา กินพื้นที่ขึ้นมาถึงบริเวณปลายคาง

     

           ปานที่ดูคุ้นเคยมากๆราวกับเธอเห็นมาเป็นร้อยๆครั้งในห้วงความทรงจำ

     

           คิ้วเรียวขมวด

     

           “...อิกอร์?”

     

           เขาค้อมหัวลง รอยยิ้มขยายกว้างขึ้นกว่าเดิม

           “ดีใจที่พระองค์ยังจำกระหม่อมได้”

     

           หญิงสาวยิ้มกว้างแล้วอ้าแขนสวมกอดเขาอย่างรวดเร็ว

     

           “ข้านึกว่า...”

     

           “นึกว่ากระหม่อมตายไปแล้ว?” เอลฟ์หนุ่มต่อด้วยรอยยิ้ม

     

           สคาดิหัวเราะในลำคอ

           “พูดแบบปกติเถอะ ข้าไม่ชิน”

     

           “เอางั้นก็ได้” อิกอร์ตอบพลางหมุนแหวนเงินบนนิ้วของตน

     

           “ท่านแม่ทัพล่ะ?”

     

           “ท่านพ่อข้า...” เขาถอนหายใจ

           “รอดชีวิตจากวันมหาวิปโยคมาได้ แต่พวกมันก็เล่นงานท่านซะหนักจนทุกวันนี้สุขภาพของท่านยังไม่สามารถฟื้นคืนขึ้นมาได้ตามที่ท่านเคยเป็น”

     

           “งั้นตอนนี้ใครเป็นแม่ทัพใหญ่ล่ะ? เจ้าเหรอ?”

     

           เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลซีดชักสีหน้าตกใจ

           “จะบ้ารึไง? ข้าเนี่ยนะ?”

     

           “ก็เจ้าเก่งออก” สคาดิเลิกคิ้ว ชกแขนร่างสูงใหญ่เบาๆ

     

           “เป็นงั้นมาตั้งแต่เรายังเด็กแล้ว”

     

           “ข้าไม่ได้รับตำแหน่งนั้น” สหายเก่าของเธอส่ายหัว

           “ท่านพ่อต้องการคนดูแล ถ้าข้ารับจะไม่มีเวลาอยู่กับเขา”

     

           มือใหญ่สากของเขาผายไปที่ทางเดินในสวน

     

           “เดินกับข้าซักนิดไหม องค์หญิง?”

     

           สคาดิยิ้ม

           “แหม เชิญซะขนาดนี้”

     

           ทั้งสองก้าวไปด้วยกันบนหินสีเข้มท่ามกลางต้นไม้ที่ถูกกลบจนเป็นสีขาวด้วยหิมะ

     

           “พันปีมานี้เจ้าเป็นยังไงบ้าง?” เธอถาม

          

           “ก็ดี...” อิกอร์ไพล่มือทั้งสองไปที่ด้านหลัง

           “ลำบากอยู่บ้างช่วงที่สร้างอาณาจักรขึ้นมาอีกครั้ง แต่จนถึงตอนนี้ก็สุขสบายไม่มีอะไรน่าห่วง”

     

           หญิงสาวพยักหน้าช้าๆ

     

           “เราเหลือกันอยู่เท่าไหร่?”

     

           คนข้างกายนิ่งไป

     

           “อิกอร์?”

     

           “เราเสียขุนนางไปหลายคน สคาดิ” ใบหน้ามีปานของเขาหันมา

           “ตอนนั้นเหลือกันอยู่แค่พวกเด็กๆกับคนแก่ แล้วก็พวกผู้หญิงบางส่วน ผู้ชายเกือบทั้งหมดในอาณาจักรออกไปรบและกลับมากันในสภาพที่ไม่ปางตายก็พิกลพิการ...เหมือนท่านพ่อของข้า”

     

           เธอหรุบตาลง

     

           ความนิ่งสงบแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ

     

           ในที่สุด เธอก็สูดหายใจลึก

     

           “...ข้าดีใจที่ได้เจอเจ้า อิกอร์”

     

           เขามองเธอกลับ รอยยิ้มมุมปากที่ปรากฎขึ้นดูจริงใจมากกว่าครั้งก่อน

     

           “เช่นกัน”

     

     

     







     

     

     

           หลังจากคุยเรื่องวันเก่าๆแล้วก็เดินไปรอบๆสวนจนกลับมาถึงลานหิมะ เธอก็พบเบรดิที่กำลังเอาดาบไม้ชี้คอของเด็กชายอีกคนอยู่

     

           ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาชนะ

     

           “ใช้ได้นี่” หญิงสาวกอดอก

     

           “ฝ่าบาท” อิกอร์ที่อยู่ข้างเธอก้มหัวทำความเคารพ เด็กชายผมทองเข้มพยักหน้ารับทีหนึ่ง

     

           “ท่านจะลองหน่อยมั้ย?” ดวงตาสีฟ้าเทาแบบเดียวกับเธอหันมาหา

     

           คิ้วเรียวขมวด

           “ว่าไงนะ?”

     

           ราชาแห่งอาณาจักรน้ำแข็งพยักเพยิดไปที่ราววางดาบไม้

     

           “แน่ใจ?” สคาดิเอียงคอ

     

           เจ้าน้องชายเลิกคิ้ว ยืนยันคำขอ

     

           เธอพ่นลมหายใจออกทางจมูก

           ก็ดีเหมือนกัน เธอไม่ได้ฝึกซ้อมฝีมือดาบมานานแล้ว

     

           “จะออมมือให้แล้วกันนะ” มือเรียวดึงวัสดุแข็งเบาที่สลักเป็นรูปอาวุธออกมาแกว่งสองสามทีเพื่อลองน้ำหนัก ก่อนจะใช้มันชี้ไปทางร่างของผู้เป็นน้องด้วยท่าทีไม่จริงจังนัก

     

           “ถ้าเจ็บตัวก็อย่าโวยวายแล้วกัน”

     

           เบรดิยิ้ม

     

           แล้วเธอก็แทบจะกรอกตาเพราะความหมั่นไส้

           ...ไอ้เด็กนี่

     

           ร่างเพรียวกระโจนตรงเข้าหาเด็กชายพร้อมกับดาบไม้ที่พุ่งเข้าไปหาซี่โครงของเขา ราชาวัยเยาว์ปัดมันออกได้ทันก่อนที่มันจะตีเข้าที่ลำตัวและทำเขาช้ำ อย่างไรก็ตาม การโจมตีอย่างกระทันหันทำให้เขาไม่ทันตั้งตัวและไม่สามารถป้องกันได้เต็มที่

     

           “อย่างน้อยบอกกันก่อนก็ได้” เขาโอดครวญ

     

           “ในสนามรบเขาไม่ให้สัญญาณกันหรอกนะ” เธอเอียงคอยิ้ม

           “อย่าประมาทคู่ต่อสู้เด็ดขาด”

     

           สคาดิลงมืออีกครั้ง คราวนี้เงื้อดาบขึ้นสูงแล้วกระโดดหมุนตัวเพื่อเพิ่มแรงปะทะ

     

           เด็กชายตาสีเดียวกับเธอหลบทัน เขาตอบโต้ด้วยการแทงมาที่ไหล่ของเธอ

     

           หญิงสาวชักดาบไม้ขึ้นมาสกัด ก่อนจะฟาดมันลงไปตรงหน้า บีบให้เขาต้องยกดาบขึ้นรับ

     

           เธอกดอาวุธในมือลงไป รับรู้ได้ถึงกล้ามเนื้อที่สั่นอย่างคุมไม่อยู่ของน้อง

     

           “แก้ปัญหาซิ” เธอบอกเขา

           “ดูรอบๆตัว...ทำอะไรได้บ้าง”

     

           เบรดิเหลือกตาไปมา ก่อนที่จะตัดสินใจพุ่งตัวลอดผ่านเธอไปแล้วหันกลับมาทำท่าจะฟาดดาบใส่อกเธอ

     

           แย่หน่อยที่ลูกไม้นี้สคาดิเคยเห็นจนชินตั้งแต่เด็กๆแล้ว เธอยกดาบขึ้นสกัดมันแล้วไสดาบไปห่างตัว ทำให้แขนข้างหนึ่งของเขาถูกเธอควบคุมโดยสมบูรณ์

     

           ร่างเพรียวดันแขนน้องชายข้ามหัวเขาไปพร้อมกับหมุนตัวไปอยู่ด้านหลัง มือซ้ายที่ถือดาบโยนด้ามส่งให้มือขวาอย่างแม่นยำ ไม่เสียจังหวะและไม่เปิดช่องให้เขาหลุดออกจากพันธนาการ

     

           เธอเสือกดาบของเขาไปอยู่บนคอของตนเองโดยที่มีดาบของเธอพาดทับอยู่อีกชั้นให้ส่วนปลายชี้กดที่ต้นคอขาวๆชื้นเหงือของเด็กชาย มือซ้ายที่ตอนนี้ว่างแล้วพุ่งไปกุมรอบข้อมือของอีกคนแล้วดึงมันเข้ามาหาตัวจนพาดผ่านเอวไปเพื่อบังคับให้ร่างของเขาเข้ามาใกล้อีก

     

           “วันหลังหาลูกไม้ดีๆกว่านี้หน่อยนะน้องชาย” เธอแสยะยิ้มมุมปาก

     

           เบรดิหอบ ก่อนจะพยักหน้าให้เธอปล่อยเขา

     

           เจ้าของเรือนผมเปียสีเข้มหมุนมือขวา แทงปลายดาบไม้ลงไปในช่องว่างระหว่างร่างของน้องกับดาบอีกเล่ม แล้วกระชากมือลงทำให้เขาตกใจจนปล่อยมัน

     

           ดาบของราชาตกลงสู่พื้นขณะที่เธอผลักเขาออกไกลจากอาวุธ

     

           มือเรียวควงดาบเล่นขณะที่เขาทรงตัวและปรับจังหวะการหายใจ

     

           อิกอร์ยังยืนอยู่ตรงนั้น ด้วยรอยยิ้มและมือข้างหนึ่งที่ไพล่ไปด้านหลังเหมือนเดิม

     

           ทันใด กลุ่มคนในชุดเกราะเงินสลับดำก็กรูกันเข้ามาในลานแล้วล้อมรอบเธอเอาไว้

     

           เอ้า ใครอีกล่ะคราวนี้?

     

           เทพีเหมันต์หรี่ตา เตรียมระเบิดพลังถ้าสถานการณ์มันแย่จริงๆ

     

           ร่างสูงใหญ่ในเกราะแบบเดียวกันเดินออกมาจากแถว ใบหน้าของเขาที่ไม่ได้ถูกปิดด้วยเกราะเหมือนกับคนอื่นมีไรหนวดขึ้นตามริมฝีปากบางๆซึ่งสวนทางกับเครื่องหน้าที่แลดูอ่อนเยาว์ของเขาอย่างสิ้นเชิง

     

           โอเค คนนี้เธอไม่เคยเห็นมาก่อน

     

           “องค์หญิงสคาดิ หม่อมฉันขอจับกุมพระองค์ข้อหามีเจตนาจะทำร้ายพระราชา”

     

           เฮ้ย

           ไม่ใช่แล้ว

     

           ดวงตาสีฟ้าเทาเบิกกว้าง สคาดิหันขวับไปมองหน้าน้องชายที่ดูสับสนตื่นตระหนกเช่นเดียวกัน

     

           ...อะไรวะเนี่ย?

     

     

     






     

     

    TALK WITH FM

    เอ้า มีเรื่องอีกแล้วดิเอ้ยยยยย

    ไปไหนๆก็มีแต่เรื่อง เปลี่ยนชื่อเป็นตัวซวยดีมั้ยเนี่ย 5555

    ช่วงนี้โควิดระบาดหนัก ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าออกไปไหนเลยนะคะ

    อยากจะล้อมวงกินเหล้าก็เพลาๆก่อน เราไม่รู้ว่าใครเป็นยังไงมา ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองไว้ก่อนนะคะ

    อย่างน้อย ทำเพื่อคนที่เรารักนะทุกคน

    สู้ๆค่ะ เราจะผ่านมันไปด้วยกัน

    เจอกันตอนหน้าเน้อ

    ด้วยรักและถุงกาว

    เฟิงมี่ค่ะ>3<

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×