ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Marvel || Broken Throne (OC feat. Thorki, Stony, Spideypool, etc.)

    ลำดับตอนที่ #41 : Broken Throne S3 || Ch 0

    • อัปเดตล่าสุด 19 มี.ค. 63


    || B R O K E N T H R O N E ||

    s e a s o n 3

    ----------------------------

    CHAPTER 0

     

     

           เมื่อหนึ่งพันปีก่อน อาณาจักรของสคาดิได้ถูกทำลายลงโดยพวกเอลฟ์มืด

     

           ใช่...มาเลคิธ ไอ้เอลฟ์ผิวกระดาษเฮงซวยนั่นแหละ

     

           โชคดีหน่อยที่มันแค่ต้องการแสดงแสนยานุภาพ จึงเอาแค่พอให้กองทัพเอลฟ์น้ำแข็งเหลือเพียงแค่หยิบมือจากทั้งหมดหลายแสนที่เข้าสู่สงคราม

     

           อาณาจักรอันบอบช้ำถูกทิ้งให้รักษาตนเองอย่างเงียบๆในขณะที่มาเลคิธมุ่งหน้าไปทุบเผ่าอื่นในอัลฟ์ไฮม์

     

           ทว่าเวลาแห่งความสงบสุขมักไม่ยั่งยืน

     

           หลังเหตุการณ์นั้นเพียงครึ่งปี จู่ๆพวกชิทอรีก็บุกเข้ามาในอัลฟ์ไฮม์

     

           อันนี้เธอก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน

           คงจะกำลังอยู่ในช่วงปรับปรุงสายพันธุ์ล่ะมั้ง สมองสั่งการถึงยังไม่เสถียรนัก แล้วก็เลยเกิดคลั่งขึ้นมา

     

           การโจมตีครั้งนี้หนักหนานัก

     

           หนักหนาจนกระทั่งสามารถทำให้อาณาจักรน้ำแข็ง หนึ่งในมหาอารยธรรมแห่งอัลฟ์ไฮม์พินาศจนเหลือเพียงซากปรักหักพัง

     

           ประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ถูกฆ่าไปมากมาย พวกที่เหลือรอดก็หอบผ้าหอบผ่อน จูงลูกจูงหลานหนีหายไป

           ...ส่วนเชื้อพระวงศ์นั้นถูกสังหารจนแทบเหี้ยน

     

           ในวันมหาวิปโยคนั้น สคาดิก็ได้อยู่ดูเป็นบุญตาด้วย

     

           เธอกอดตุ๊กตาวิ่งหนีไปในโถงเปื้อนเลือด ตามหลังองครักษ์คนสุดท้ายที่เหลือจากทั้งหมดเกือบสิบนายไปติดๆ

     

           ภาพร่างไร้วิญญาณของบิดาและมารดาในโถงบัลลังก์ยังคงติดตา

     

           ปากของเธอถูกกัดจนห้อเลือดเพื่อข่มกลั้นเสียงใดๆในขณะที่มือจิกตุ๊กตาผ้าเสียแน่น

     

           จนกระทั่งเอลฟ์คนนั้นถูกเสียบทะลุด้วยฝีมือชิทอรีตัวหนึ่งนั่นแหละ เธอถึงยอมเปิดปากกรีดร้องออกมาสุดเสียง

     

           ตอนนั้นคิดจริงๆว่าคงต้องตายอยู่ที่นี่แล้ว

     

           แต่ก่อนที่มันจะได้ทิ่มดาบปลายปืนลงมาบนร่างของเธอนั้นเอง โอดินก็ปรากฎตัวขึ้น

     

           ถ้าจะมาช้าขนาดนี้...ไม่มาเลยก็ได้เนอะ

     

           เขามาถึงบนหลังของเสลปเนียร์ ม้าแปดขาสุดที่เลิฟและถือหอกกุงเนียร์ที่ในปัจจุบันคงจะสนิมเกาะแล้วพร้อมกับแสงสว่างจ้าบาดตาของไบฟรอสต์

     

           จากวันนั้น สคาดิก็ถูกนำตัวกลับไปที่แอสการ์ดในฐานะธิดาบุญธรรมของเทพบิดร

     

           ในช่วงปีแรกๆ เธอพยายามหาทางติดต่อกับชาวเอลฟ์น้ำแข็งที่เหลือรอด

     

           น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะส่งสารไปอย่างไร ก็ไม่มีการตอบรับมาสักฉบับ

     

           ไม่รู้ว่าไม่ได้รับ หรือรับแล้วไม่ส่งกลับ

     

           อย่างไรก็ตาม หลังผ่านไปเกือบหนึ่งทศวรรษ เธอก็ล้มเลิกความตั้งใจแล้วใช้ชีวิตต่อไปบนแดนเทพโดยพยายามลืมว่าสิทธิ์ในบัลลังก์เยือกแข็งเป็นของเธอโดยชอบธรรม

     

           เชื่อว่าถ้าตัวเธอเมื่อร้อยปีก่อนมาเห็นสภาพของเธอในปัจจุบันคงจะนั่งขำ

     

           สคาดิ เจ้ามันโง่

     

           เธอคงว่าอย่างนั้น

     

           และเธอก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง

     

           เปลือกตาของสคาดิหรี่ลงเพื่อป้องกันดวงตาสีฟ้าเทาคู่นั้นจากเกล็ดหิมะและลมหนาวที่เสียดแทงอย่างไม่ปราณี

     

           กระชับห่อผ้าที่ผูกอยู่กับหลัง หญิงสาวผมเข้มหันไปมองรอบตัว

     

           หิมะ...

           หิมะล้วนๆสุดลูกหูลูกตา

     

           มันอยู่ตรงไหนเนี่ย?

     

           เธอลอบหัวเราะในใจ

     

           ไม่คิดเลยว่าหลังจากที่วิ่งหนีมันมานานเป็นเวลาหลายศตวรรษ ในที่สุดเธอก็ต้องกลับมาตามหามัน

     

           ฐานันดรศักดิ์บ้าๆที่ทำเธอเกือบถูกฆ่านั่นราวกับดึงดูดเธอเข้าสู่อันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า และครั้งนี้ก็คงจะไม่ต่างกัน

     

           สคาดิ เจ้ามันไม่รู้จักจำ

     

           หลังจากที่ขอให้ไฮม์ดัลวาร์ปเธอมาที่อัลฟ์ไฮม์ เธอก็ได้แต่ตามเส้นทางจากความทรงจำเพื่อหาทางขึ้นแดนเหนือ สถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งบ้านของเธอเคยตั้งอยู่

     

           ผลน่ะหรือ...

     

           หลงทางไง

     

           เธอถอนหายใจ

           รู้งี้น่าจะเอาแผนที่มาด้วย

     

           เทพีแห่งเหมันต์สูดหายใจลึก มือเรียวยกขึ้นขยับเล็กน้อย กระแสเรืองวาบสีฟ้าห้อมล้อมนิ้วทั้งห้าของเธอเอาไว้

     

           ท่ามกลางพื้นหิมะที่ขาวโพลนนั้น ปรากฏทางน้ำแข็งสีเข้มขึ้นมา

     

           เยี่ยม เธอยังจำคาถาตามรอยสิ่งมีชีวิตในรัศมีสองกิโลได้

           แค่หวังว่ามันจะไม่พาเธอไปเจอถ้ำเสือหรือฝูงกวางแล้วกัน

     

           ร่างเพรียวย่ำไปตามทิศทางที่น้ำแข็งพาไป

     

           ทำไมแม้หิมะหนาขนาดนี้เธอก็ไม่จมน่ะเหรอ?

           ความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งของเอลฟ์น้ำแข็งน่ะ

     

           เผ่าพันธุ์ของเธอไม่จมลงไปในหิมะที่ทับถมกันหนาๆ แถมยังตัวเบาอย่าบอกใคร

     

           ไม่ได้จะอวดนะ แต่เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเนี่ย ถ้าวัดกันตัวต่อตัวแล้วเอลฟ์น้ำแข็งสามารถเคลื่อนไหวได้เบาและรวดเร็วกว่าเอลฟ์ไพรที่ขึ้นชื่อเรื่องความว่องไวเลยแหละ

     

           ส่วนเธอ...

           ไม่ได้ฝึกนานจนชักไม่แน่ใจแล้วสิว่าสัญชาตญาณนี่มันยังอยู่ในตัวเธอไหม

     

           คิ้วเรียวกดลงเป็นรอยขมวดเมื่อหยุดการเคลื่อนไหวเหนือเนินหิมะ

     

           ข้างล่างคือปากถ้ำขนาดใหญ่ที่ไม่น่าจะมีสัตว์อะไรเข้าไปอาศัยได้

     

           ที่นี่น่ะหรือ?

     

           หญิงสาวหรุบตาลงนิ่ง ทบทวนเหตุผลของการมาที่นี่อีกครั้ง

     

           หลังจากที่มาเลคิธพ่นเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับเอลฟ์น้ำแข็งที่เหลืออยู่และกำลังหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในแดนเหนือของอัลฟ์ไฮม์ เธอก็รู้สึกสะกิดใจขึ้นมา

     

           ธยาสซี บิดาผู้ล่วงลับมักจะอุ้มเธอขึ้นมานั่งบนไหล่ขณะที่กำลังยืนอยู่บนระเบียงเหนือปราสาท ให้เธอมองวิวทิวทัศน์ของอาณาจักรน้ำแข็งอันกว้างใหญ่

     

           วันหนึ่งทั้งหมดนี่จะต้องเป็นของลูก สคาดิ เขาบอกแบบนั้น

           เจ้าต้องจำไว้เสมอ...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่าทอดทิ้งประชาชน

     

           ท่านพ่อ ข้าขอโทษ

     

           เธออยากพูดประโยคนั้นออกมา ติดที่ว่าผู้ที่เธอตั้งใจจะให้ฟังนั้นไม่อยู่บนโลกคนเป็นอีกแล้ว

     

           ...เขาจะผิดหวังในตัวเธอไหมถ้ารู้ว่าเธอทอดทิ้งชาวเอลฟ์น้ำแข็งที่อยู่ในปกครองมาเป็นพันปี

     

           ดวงตาสีฟ้าเทาเหม่อมองถ้ำนั้นอยู่นาน จนกระทั่งความหนาวเย็นเริ่มกัดกินเข้าไปในขา

     

           เอลฟ์น้ำแข็งทนหนาวก็จริง แต่ใช่ว่าจะหนาวไม่เป็นนะ

     

           เธอกัดปากจนเลือดซิบ แล้วตัดสินใจกระโดดลงไปด้านล่างเนิน

     

           อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดล่ะวะ...

     

           ขาเรียวในรองเท้าบู๊ตสีเข้มพาเธอเข้าไปในนั้น

     

     

     

     




     

     

     


     

           หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองทัศนียภาพในถ้ำ

     

           ในโถงกว้างที่ดูคะเนแล้วไม่น่าจะน้อยกว่าสิบกิโลเมตร บ้านที่ก่อสร้างในแบบของเอลฟ์น้ำแข็งเรียงรายอยู่เต็มไปหมด มีถนนทำจากหินสีเทาแทรกอยู่อย่างเป็นระเบียบ

     

           และที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงสุดโถงนั้นก็คือปราสาทขนาดใหญ่สีขาวสะอาดที่ดูสง่างามปราณีตราวกับงอกขึ้นมาจากผนังถ้ำที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง

     

           ...คล้ายกับผังเมืองของอาณาจักรเธอเมื่อพันปีก่อน

     

           สคาดิหรี่ตาลง

     

           ไม่ผิดแล้วล่ะ

     

           เธอรู้สึกเหมือนจะขาดอากาศหายใจทุกครั้งที่เหลือบขึ้นไปบนยอดปราสาทนั้น

     

           คงเป็นความรู้สึกผิดล่ะมั้ง

     

           ดวงตาสีฟ้าเทาก้มลงมองถนน แล้วตัดสินใจก้าวย่ำลงไปบนนั้น

     

           คำถามในหัวดูจะมากมายเหลือเกิน

     

           ทุกคนจะจำเธอได้ไหม?

     

           ประชาชนของเธอจะยังยอมรับเธออยู่ไหม?

     

           ผู้จงรักภักดีกับราชวงศ์ทั้งหลายจะยังมีชีวิตอยู่ไหม?

     

           ใครกันที่อยู่ในปราสาทนั้น และนั่งบนบัลลังก์ของบิดาเธอ?

     

           และอีกสารพัดที่คอยบั่นทอนความมั่นคงในจิตใจของเธอ

     

           เทพีแห่งเหมันต์สูดหายใจสั่นๆแล้วเชิดหน้าขึ้น

     

           เธอเดินไปเรื่อยๆ ดวงตาจับจ้องที่ประตูปราสาทที่ทำจากซี่น้ำแข็ง

     

           เอลฟ์บางตนที่กำลังทำกิจกรรมอยู่ด้านนอกเห็นเธอ บางตนกระซิบกระซาบกันพลางมองเธอ บางตนมีสีหน้าตื่นตกใจ

     

           ไม่นานนัก ด้านหลังเธอก็มีขบวนติดตามห้อยท้ายมาห่างๆ

     

           ดูท่าที่นี่คงจะไม่ค่อยมีแขก พอคนแปลกหน้าโผล่มาก็เลยรุมดูกันแบบนี้

     

           “นางดูคุ้นๆนะ...” เสียงของเอลฟ์สาวตนหนึ่งด้านหลังแว่วมาเข้าหู

           “เหมือนข้าเคยเห็นในรูปวาด”

     

           “นางหน้าคล้ายๆกับ...ราชาธยาสซียังไงไม่รู้”

     

           “จะบ้ารึไง” ผู้เป็นเพื่อนที่อยู่ข้างๆแหว

     

           “องค์หญิงน้อยหายสาบสูญไปเป็นพันปีแล้ว”

     

           “แต่นางเหมือนจริงๆนะ” เธออ้อมแอ้ม เสียงเบาหวิว

     

           ไม่มีใครรู้เลยเหรอว่าเธอถูกโอดินรับตัวไป?

     

           รู้ตัวอีกที รองเท้าบู๊ตของเธอก็หยุดลงตรงหน้าประตูวังแล้ว

     

           ทหารยามทำท่าจะห้าม แต่เมื่อเธอโบกมือ ประตูน้ำแข็งนั่นก็ค่อยๆขยับคลายออกราวกับต้นไม้จนมันเปิดเป็นช่องให้เธอเดินได้

     

           “ประตูนั่น...” เสียงฮือฮาดังขึ้นในหมู่เอลฟ์มุง

     

           “พลังนางแข็งกล้าจริงๆ”

     

           “ถ้าทหารข้างในไม่เปิดให้ งัดให้ตายมันก็ไม่เคยเปิด แต่นี่...นางตัวบางแค่นี้ โบกมือทีเดียวก็ถึงกับ...”

     

           “นางต้องเป็นองค์หญิงน้อยแน่ๆ พลังแบบนี้เอลฟ์น้ำแข็งธรรมดาไม่มีวันทำได้”

     

           “องค์หญิงน้อย...”

     

           แล้วในทันใดนั้น เสียงเอลฟ์ตนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมา

     

           “องค์หญิงสคาดิกลับมาแล้ว!!

     

           แล้วฝูงชนก็เริ่มส่งเสียงอย่างพร้อมเพรียง

     

           “องค์หญิงสคาดิ! องค์หญิงสคาดิ!

     

           เอาล่ะสิ...

     

           หญิงสาวอุตส่าห์ว่าจะมาแบบไม่เอิกเกริกแท้ๆ

     

           ใบหน้างดงามหันกลับไปมองชาวอาณาจักรน้ำแข็งเป็นครั้งแรก

     

           “ขอบใจพวกเจ้ามาก” นั่นคือสิ่งเดียวที่เธอเค้นออกมาได้

     

           “องค์หญิงจริงๆด้วย” เสียงกระซิบกระซาบกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง

     

           “องค์หญิงทรงพระเจริญ...”

     

           เธอสูดหายใจลึก แล้วหันหลังเดินเข้าไปในบริเวณปราสาท

     

           แปลกๆยังไงก็ไม่รู้เวลามีคนส่งเสียงเชียร์ขนาดนี้

     

           แต่ก็อย่างที่เคยว่าไว้...มันเป็นสิทธิของเธอที่จะถูกเรียกแบบนั้น

     

           และมันก็เป็นสิทธิของเธอที่จะนั่งบนบัลลังก์เยือกแข็งเหมือนกัน

     

           เมื่อถึงประตูชั้นใน ทหารที่อยู่ตรงหน้าก็ยื่นหอกออกมากันเธอเอาไว้

     

           “ข้าไม่ได้มาร้าย” เจ้าของดวงตาสีฟ้าเทาว่าพลางแตะหอกเหล็กเล่มนั้น ไล้นิ้วเบาๆให้นายเอลฟ์ตนนั้นใจหายเล่นๆ

     

           “แค่จะมาเยี่ยมเจ้าของปราสาทสักหน่อย”

     

           “ฝ่า...ฝ่าบาททรงประชุมกับขุนนางอยู่” เขาตอบ ตาไม่มองเธอและลมหายใจติดขัด

     

           น่าแกล้งจริงๆ

     

           “หน้าน่ะให้มันนิ่งๆหน่อย” เสียงเฉียบขึ้นมาเล็กน้อย เธอตบลงที่หอกนั้น

           “แล้วก็ควบคุมจังหวะการหายใจด้วย มันดูออก”

     

           เขากะพริบตาปริบๆ ดูตกใจอย่างเห็นได้ชัด

     

           สคาดิหัวเราะหึๆ

           “เอางี้ละกันเจ้าหนู เข้าไปบอกคนข้างในนั้นหน่อยว่ามีใครมาหา”

     

           ทหารหนุ่มมีสีหน้าปั้นยาก เขารีบหันกายในชุดเกราะแล้วเดินย่ำเข้าไปด้านในทันที

     

           ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็กลับออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมกว่าเดิม

     

           “เข้าไปได้”

     

           “ขอบใจเจ้าหนู” เธอใช้หลังมือตบเกราะบ่าหนาๆสองทีก่อนจะเดินเข้าไปในช่องประตูที่ยามทั้งสองผลักให้แง้มออก

     

           อยากรู้จริงๆว่าหลังจากราชวงศ์ย่อยยับไปแล้ว ใครกันที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์เยือกแข็ง

     

     

     

     

     

     

    TALK WITH FM

    ในที่สุด เด็จน้องเล็กก็ได้กลับบ้าน เฮฮฮฮฮ

    ใครกันนะที่เป็นกษัตริย์ของอาณาจักรน้ำแข็ง

    ขอโทษจริงๆสำหรับความล่าช้านะคะ เลยกำหนดมานานมากเพราะว่าใจจริงเริ่มรู้สึกเอ็นดูน้องมังกรโลกิกับพี่พรานธอร์เข้าให้แล้ว

    ซีซั่นสามนี้จะอยู่ในช่วงอเวนเจอร์สภาคสองนะคะ

    เจอกันตอนหน้าเน้ออออ

    ด้วยรักและถุงกาว

    เฟิงมี่ค่ะ>3<

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×