ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Marvel || Broken Throne (OC feat. Thorki, Stony, Spideypool, etc.)

    ลำดับตอนที่ #29 : 🃏APRIL FOOL'S DAY SPECIAL🎭

    • อัปเดตล่าสุด 1 เม.ย. 62


    APRIL FOOLS DAY SPECIAL

    Im Pregnant

    (wizarding world au)

     

     











     

           สคาดิ แม็คธยาสซีรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก

     

           อะไรคือการต้อนรับเช้าวันใหม่ด้วยเสียงแหกปากของเพื่อนข้างห้องที่ไม่รู้ฟ้าส่งเสริมหรือกลั่นแกล้งให้มาอยู่ร่วมแฟลทฟะ?

     

           ดีนะเนี่ยที่เทสเซเมียร์ แฟลทเมตของเธอที่อยู่แฟลทเดียวกัน แต่อยู่คนละชั้นไปเคลียร์ธุระเกี่ยวกับเรื่องมรดกผู้วิเศษที่เนเธอร์แลนด์ ไม่งั้นเธอได้อารมณ์เสียอาละวาดจนวายวอดไปทั้งชั้นแน่ๆ

     

           เธอไม่ได้มีเงินที่จะเอามาจ่ายชดเชยค่าเสียหายเยอะขนาดนั้นอยู่ในกริงกอตส์นาโว้ย

     

           หญิงสาวตรงดิ่งไปกระชากประตูเชื่อมระหว่างห้องแฟลทของเธอกับของพวกเขาออก

     

           ทั้งแฟลทมีสามชั้น ชั้นล่างสุดเป็นของมิสไวลี่ย์แม่มดวัยย่างชรา เจ้าของสถานที่ และชั้นสามเป็นของเทสเซเมียร์

     

           ทำไมนะทำไม ทำไมเธอถึงไม่มีชั้นเป็นของตนเอง ต้องมาแชร์ชั้นกับสองคนนี้?

     

           ...อย่างน้อยแฟลทก็มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ทำให้ห้องเธอใหญ่ตามไปด้วย

     

           “เกิดบ้าอะไรขึ้นวะ ปิเอโตร?!!!”

     

           ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ซีดที่กำลังหลบคาถาที่สาดมาอย่างไม่หยุดหย่อนหันมาหาเธอราวกับเธอเป็นที่พึ่งสุดท้าย

           “เมอร์ลิน! สคาดิ ช่วยฉันด้วย เธอต้องช่วยฉันนะ”

     

           “เรื่องอะไร?” ตวัดแขนขึ้นกอดอก แม่มดผมสีเข้มกระดกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

     

           “วานด้าน่ะสิ” เขาหอบเหนื่อยและกระโดดหลบลำแสงจากปลายไม้กายสิทธิ์ของน้องสาวฝาแฝดที่ตอนนี้มีสีหน้าคันไม้คันมืออยากฆ่าคนเต็มที ผมสีซีดเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงตามความร้อนรนของเมตามอร์ฟเมกัสหนุ่ม

     

           “วานด้า...แฮ่กๆ...วานด้าจะฆ่าฉันแล้ว สคาดิ ช่วยด้วย!!!”

     

           ร่างสูงของเขาวิ่งปรู๊ดมาหลบอยู่หลังเธอ

           ปิเอโตร แม็กซิมอฟแทรกตัวครึ่งหนึ่งเข้าไปในห้องแฟลทของเพื่อนสาวและยึดชายชุดนอนเธอไว้แน่น

     

           “สคาดิ ถอย” วานด้าย่างสามขุมมาหาเธอและหอบแฮ่กๆ มือยังกำแท่งไม้กายสิทธิ์ไว้

     

           “ใจเย็นๆก่อน” สคาดิแตะไหล่เธอ เสียงอ่อนลงจากตอนเปิดประตูเชื่อมเข้ามาครั้งแรกมาก

           “ไหนลองเล่ามาซิว่าเกิดอะไรขึ้น?”

     

           “ปิเอโตรน่ะสิ” หญิงสาวผมสีแดงชี้ไม้ไปที่พี่ชาย ทำเอาเขาสะดุ้งเฮือก

           “เล่นพิเรนทร์ไม่เข้าเรื่อง อยู่ๆตื่นมาก็หยิบโทรศัพท์ฉันมาพิมพ์บอกวิสว่าฉันท้องเฉย”

     

           คราวนี้ดวงตาสีฟ้าเทาเบนไปทางพ่อมดด้านหลัง และพบว่าเขากำลังค่อยๆย่องหนีไป

     

           “คิดจะไปไหนเหรอจ๊ะ?” เธอถามเสียงหวาน

     

           ปิเอโตรสะดุ้งโหยงเมื่อไม้กายสิทธิ์ในมือของสคาดิตวัด ส่งให้ร่างของเขาลอยหวือกลับมาตรงหน้าน้องสาว

     

           “ไหนอธิบายมาซิ”

     

           “ก...ก็...” พ่อมดหนุ่มทำปากขมุบขมิบ ก่อนจะยื่นริมฝีปากออกมาอย่างกระเง้ากระงอด

     

           “ก็มันน่าหมั่นไส้นี่ อะไรกันเมื่อก่อนยัง‘พี่ชายคะ พี่ชายขา’อยู่เลย เดี๋ยวนี้ขลุกอยู่แต่กับเครื่องมือมักเกิ้ล คุยแชสกับไอ้หนุ่มอเมริกันนั่นอยู่ทุกเช้า-เย็น ถามจริงฉันยังสำคัญอยู่มั้ย?”

     

           “หนึ่ง; นั่นมันตอนเราเด็กๆ...สมัยเพิ่งเข้าฮอกวอตส์ปีสองปีแรกมั้ง สอง; เครื่องมือมักเกิ้ลนั่นเรียกว่าไอโฟน สาม; แชทไม่ใช่แชส และสี่; แฟนฉันเป็นคนอเมริกันแล้วมันหนักหัวพี่ตรงไหนไม่ทราบ?!”

     

           “ไม่ต้องมาสอนฉันน่า! เธอนี่มันน่าหงุดหงิดชะมัดวานด้า เดี๋ยวนี้หายใจเข้าหายใจออกเป็นนายวิชั่นนั่นแล้ว ฉันเสียใจนะ”

     

           “แต่พี่ก็ไม่ควรพิมพ์ไปแบบนั้นมั้ย?” หญิงสาวผู้เป็นแฝดน้องยกไอโฟนขึ้นมา ข้อความเด่นหราอยู่บนหน้าจอ

     

           วิส ฉันท้อง

     

           มันจะไม่เป็นปัญหาเลยถ้าแชทนั้นไม่ขึ้นตัวอักษรว่าผู้ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของบทสนทนาอ่านแล้ว

     

           “เขาอ่านแล้วด้วย!! บ้าเอ๊ย!!”

     

           “เอาไงดีล่ะ?” หญิงสาวผมสีเข้มอดทำหน้ากังวลไม่ได้

           “นี่แวน เธอทำเรื่องอย่างว่านั่นกับแฟนเธอรึเปล่าล่ะ?”

     

           “สคาดิ!!” วานด้าหน้าแดงก่ำ

     

           “ก็เผื่อพวกเธอยังไม่ได้...เอ่อ...อย่างนั้นกัน มันก็จะได้กลายเป็นมุขตลกไปไง”

     

           แม่มดผมแดงเม้มปาก

     

           “ฉันทำแล้วอ่ะสิ...”

     

           “งั้นก็ยากหน่อยนะ” ร่างเพรียวหรี่ตาและลูบคาง

           “ได้ป้องกันมั้ย?”

     

           “นี่เธอคิดดีจริงๆเหรอ มาถามอะไรแบบนี้ในที่โจ่งแจ้งอ่ะ?”

     

           “เออ ตอบมาแหอะน่า”

     

           คราวนี้เพื่อนสาวหน้าแดงกว่าเดิมจนแข่งกับสีผม

           “ก็...ก็ป้องกันนะ”

     

           “งั้นก็มีเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้น้อยลงหน่อย แต่เท่าที่ฉันอ่านมา ถุงยางไรเงี้ยป้องกันได้แค่เก้าสิบเปอร์เซ็นต์”

     

           “ฮืออออ” แวนด้าแทบกรี๊ด

           “ฉันจะทำไงดี สคาดิ ทำไงดีๆๆ”

     

           “พวกเธอจะเครียดอะไรกันขนาดนั้นวะ?” พ่อมดหนุ่มถามขึ้น เรียกสายตาขุ่นเขียวของทั้งเพื่อนและฝาแฝดให้หันมาจิกเขา

     

           “เครียดอะไรงั้นเหรอ? นี่นายรู้ตัวไหมว่าทำอะไรลงไปน่ะ? ห๊ะ?” หญิงสาวร่างเพรียวในชุดนอนสีฟ้าก้มลงมองเขา

     

           ถ้าสายตาฆ่าคน(หรือผู้วิเศษ)ได้ เมตามอร์ฟเมกัสตัวดีคนนี้คงตายไปแล้วเป็นร้อยรอบ

     

           “นี่” ปิเอโตรเริ่มหมดสนุก

           “ถึงฉันจะชอบแกล้ง แต่ฉันก็รู้นะว่าเวลาไหนควรทำ”

     

           คิ้วเรียวสีเข้มของเพื่อนสาวกระดกขึ้นเป็นเชิงต่อซิ?

     

           “นู่น” เขาบุ้ยปากไปที่ปฏิทิน

           “ดูซะก่อนว่าวันนี้น่ะวันอะไร”

     

           วันอะไรวะ?

     

           ร่างเพรียวเดินตรงไปที่ปฏิทินนั้นและก้มลงมอง

           “ก็ 1 เมษายนไง ทำไมวะ?”

     

           “โอ๊ยยยย” ชายหนุ่มผมซีดยกมือขึ้นกุมขมับ

     

           “นี่พวกเธอไม่รู้กันจริงดิ?”

     

           “เออ” น้องสาวผมแดงเลิกคิ้ว

           “ตกลงวันนี้เป็นวันอะไร?”

     

            ปิเอโตรถอนหายใจ

     

           “เอพริลฟูลส์เดย์”

     

           “...ห๊ะ?” สองสาวนิ่วหน้าพร้อมกัน

     

           “เมษาหน้าโง่ไง ไม่รู้จักเหรอ?”

     

           “อ่า...ไม่”

     

           “พวกเธอมาจากศตวรรษไหนกันเนี่ย?” ปิเอโตรคว้าไอโฟนของวานด้ามาจิ้มๆๆสักพัก

     

           “เครื่องนี่ใช้ยากชิบ”

     

           เขากดโทรออกและเปิดลำโพงเสียง

           เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา เสียงแจ๋วๆของรุ่นพี่คนโปรด(แค่ของปิเอโตรคนเดียวน่ะ)ก็ดังขึ้น ก้องไปทั่วห้อง

     

           [ฮาโหลลลลล]

     

           “รุ่นพี่บาร์ตันฮะ!!” พ่อมดหนุ่มผมบลอนด์ซีดกรอกเสียงลงไป

           “ทำไงดี สคาดิกับวานด้าไม่รู้ว่าเมษาหน้าโง่คืออะไรอ่ะฮะ”

     

           [เหยยยย จริงดิ?] คลินท์ บาร์ตันทำเสียงประหลาดใจ

           [พวกเธอมาจากศตวรรษไหนกันแน่เนี่ย?]

     

           สถานการณ์แบบนี้พวกมักเกิ้ลเรียกกันว่าเดจาวูใช่ไหมนะ?

     

           “เราได้ยินนะคะรุ่นพี่ และประโยคเมื่อกี้ปิเอโตรก็พูดไปแล้วค่ะ”

     

           [หวา แย่จัง] รุ่นพี่ผมแดงทำเสียงผิดหวัง

           [พีท นายกล้าดียังไงมาแย่งบทฉัน ห๊ะ?]

     

           “โอ๊ะ กลัวแล้วฮะ กลัวจังเลย”

     

           ความจริงทั้งสามเข้าเรียนในฮอกวอตส์ในช่วงปีที่แก๊งที่ถูกเรียกว่าดิ อเวนเจอร์สเพิ่งเรียนจบพอดี ปิเอโตรที่ได้อยู่บ้านกริฟฟินดอร์คลั่งไคล้ตำนานของทั้งหกมากและยิ่งคลั่งไคล้ไปอีกเมื่อได้เข้าร่วมสงครามผู้วิเศษครั้งที่ 2 และได้พบกับคลินท์ บาร์ตันตัวเป็นๆ

           ทั้งคู่พบว่าสามารถคุยเข้าขากันได้ดี แถมยังมีรสนิยมคล้ายกันอีก ทำให้ในเวลาไม่นาน ปิเอโตรและคลินท์ก็กลายเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกันจนลอร่า แฟนของเขาถือว่าเขาเป็นเหมือนน้องชายคนหนึ่ง

     

           ต่างจากวานด้าที่หมวกคัดสรรส่งไปบ้านฮัฟเฟิลพัฟ เจ้าหล่อนประทับใจในวีรกรรมของมาเรีย ฮิลล์มาก ติดอย่างเดียวคือไอดอลของเธอนั้นทำงานเป็นมือปราบมารที่ต้องเดินทางไปไหนมาไหนแทบตลอดเวลา และสามารถเฟดตัวเองไปเงียบๆทันทีที่เสร็จธุระ ทำให้หลังสงครามกับดาร์กลอร์ดอัลตรอนเธอไม่สามารถหามาเรียเจอ

     

           ส่วนสคาดิกลายเป็นเด็กสลิธีริน เธอได้อยู่บ้านเดียวกันกับโลกิ พี่ชายบุญธรรมและโทนี่ สตาร์ค ผู้ซึ่งเรียกเธอว่ายัยเด็กกระเพาะมารสืบเนื่องมาจากช่วงที่เธออยู่ปีหนึ่ง และเขาอยู่ปีสี่ แก๊งของรุ่นพี่สตาร์คเคยแกล้งเธอด้วยพิธีรับน้องแบบสลิธีริน...ซึ่งหลักๆก็คือการเอาของกินที่ไม่ค่อยมีใครชอบมากองไว้ตรงหน้าและบอกให้เธอกินให้หมดนั่นแหละ

           ด้วยความที่ทั้งโมโหหิวเพราะเมื่อคืนก่อนกินได้ไม่เต็มที่และหงุดหงิดที่มีคนล้อเธอว่าเป็นเด็กตัวเล็กเกินไปจนมองไม่เห็น(น่าจะเป็นรุ่นพี่ซาบินี่) สคาดิที่อยู่ในอารมณ์บ่จอยอย่างแรงจึงฟาดอาหารทั้งหมดเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นอาหารรสเผ็ดจี๊ด ผักรสขม เธอจัดการทั้งหมดได้ด้วยสีหน้างอง้ำ ทำเอาแก๊งสามหน่อสลิธีริน(สตาร์ค, จาร์วิสและรุ่นพี่ปีเจ็ด นิค ฟิวรี่)ในตำนานสตั๊นท์ไปหลายวิ

     

           [พวกเธอต้องไปทำงานกันมั้ยเนี่ย?]

     

           “ผมโดดงานได้” ปิเอโตรที่ทำงานเป็นนักข่าวเดลี่ พรอเฟ็ตตอบ

     

           “วันนี้หนูเปิดร้านสายได้ ไม่เป็นไรหรอก” เจ้าของร้านหนังสืออย่างวานด้าว่าเสียงใส

     

           [สคาดิ? ว่าไงเรา?]

     

           “หนูต้องไปทำงานค่ะ” เธอยิ้ม

           “คุยกันไปสามคนนะ เดี๋ยวกลับมาเมื่อไหร่พวกเธอค่อยเล่าให้ฉันฟัง”

     

           “โอเค” พ่อมดหนุ่มชูมือขึ้นมาข้างหนึ่งและงอนิ้วชี้กับนิ้วโป้งเข้าหากัน

     

           [เตะก้นพวกคนร้ายให้สนุกนะ สคาดิ]

     

           “ขอบคุณค่ะรุ่นพี่”

     

     










     

     

     

     

           หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว สคาดิก็เดินออกจากแฟลทอย่างสบายใจเฉิบ เธอตรงไปที่ตู้โทรศัพท์สีแดงแปร๊ดตรงมุมตึกแห่งหนึ่งในลอนดอนและเข้าไปในนั้น มือเรียวกดรหัสลับบนแป้นตัวเลข

     

           เพียงไม่นาน ลิฟต์ก็พาเธอลงมาที่กระทรวงเวทย์มนตร์ของอังกฤษ

     

           ร่างเพรียวในเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวและเสื้อโค้ตยาวถึงเข่าที่มองมุมไหนก็ดูเท่มากกว่าสวยเดินตรงไปที่ห้องทำงานของเธอ

     

           แต่ก่อนที่จะได้ทันเปิดประตูนั่นเอง บานไม้หนาหนักนั้นก็กระแทกออกมาเกือบโดนจมูกเธอ

     

           สคาดิสบถและขยับถอยห่างจากรัศมีประตูอย่างรวดเร็ว

     

           “โอ๊ย!”

     

           “โอ๊ะ!” เสียงห้วนๆร้อง

           “แย่แล้ว ประตูห้ามพังนะ”

     

           ดวงตาสีฟ้าเทาตวัดมองอย่างไม่สบอารมณ์

           “รุ่นพี่สตาร์คคะ!!”

     

           “อะไรกัน” โทนี่ สตาร์คนิ่วหน้า

           “ถ้าเธอชนประตูห้องพังเนี่ยเราไม่มีงบมาเปลี่ยนมันใหม่นะ”

     

           “นี่ห่วงฉันหรือห่วงประตูบ้าๆนี่กันแน่คะ?!!”

     

           “ไม่โกรธน่า...” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลยื่นเอกสารให้เธอ

           “นี่ ช่วยกันทำมาหากินหน่อย ฉันต้องเอารายงานไปเก็บในหอจดหมายเหตุ”

     

           แม่มดสาวขยับปากมุบมิบด่าเขาในใจพลางรับแฟ้มเอกสารหนักๆมา และได้รับมะเหงกแถมเข้าที่หลังหัว

     

           “รุ่นพี่!!”

     

           “เธอนั่นแหละ ด่าเจ้านายอยู่ในใจ สมควรโดนแล้ว”

     

           มือหนึ่งลูบหัวป้อยๆ อีกมือหนึ่งโอบประคองงานไว้ ร่างเพรียวที่ไม่ว่าจะพยายามยืดยังไงก็ไม่เคยสูงเกินต้นคอของรุ่นพี่เดินตามเขาไป

     

           “นี่...” มิสเตอร์สตาร์คหันมาทำเสียงเนือยๆเมื่อเห็นเธอยังคงทำแก้มป่องอย่างงอนๆอยู่

           “ฉันไม่ง้อนะ”

     

           “...”

     

           “เอาน่า ยังไงวันนี้ก็ไม่เห็นต้องโกรธรุนแรงเลยนี่ ฉันอาจจะแค่แกล้งทำเป็นไม่อยากขอโทษเธอก็ได้”

     

           “...” ดวงตาสีฟ้าเทาเหลือบมามองซีกหน้าของรุ่นพี่เพียงเล็กน้อย

     

           “เธอไม่อยากรู้รึไงทำไมวันนี้ฉันถึงแกล้งเธอ?”

     

           “...”

     

           “ตอบหน่อยน่า...”

     

           “...อยากรู้...ก็ได้”

     

           “ดี นี่วันเอพริลฟูลส์เดย์ไง” เขาฉีกยิ้มราวกับได้ทำการเซอร์ไพรส์เธอ แต่รอยยิ้มนั้นก็หดหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นสีหน้าของเธอที่ดูงุนงงว่าเดิม

     

           “อ้าว ไม่ขำเหรอ?”

     

           “แล้วไง”

     

           “ห๊ะ?”

     

           “แล้วเกี่ยวกับการที่รุ่นพี่แกล้งฉันแล้วทำเป็นไม่ขอโทษตรงไหน?”

     

           โทนี่ยกมือขึ้นตบหน้า

           “กางเกงบ็อกเซอร์ของเมอร์ลิน นี่เธอไม่รู้จักวันเอพริลฟูลส์เดย์เหรอ?”

     

           “...อือ”

     

           ใบหน้าหล่อเหลาที่มีเคราขึ้นเล็กน้อยอ้าปากค้าง มือขาวยกขึ้นจับไหล่ของเธอจนสคาดิเกร็งตัวขึ้นโดยอัตโนมัติ

     

           “ยัยเด็กกระเพาะมาร เธอไปอยู่ที่ไหนมาเนี่ย?”

     

           “รีบๆบอกมาเหอะน่าว่าทำไมวันนี้ถึงสำคัญนัก” หญิงสาวตวัดเสียงและเดินจ้ำอ้าวไปที่หอจดหมายเหตุ ร่างสูงของอดีตผู้เสพความตายที่อยู่ฝั่งเดียวกับอัลตรอนในช่วงแรกของสงครามผู้วิเศษครั้งที่สองตามไปติดๆ

     

           “เฮ้อ สคาดิ ฉันล่ะไม่อยากจะเชื่อ” เขาบ่นพึมพำ

     

           “ตกลงจะบอกไม่บอก?” ดวงตาสีฟ้าเทาเชือดเฉือนเมื่อมองรุ่นพี่ร่วมบ้านของตนเอง

     

           ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกรอกไปมา

           “ฟังก่อนสิเฮ้ย”

     

           “คืองี้นะกระเพาะมาร ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่สิบห้านู่น คิงชาร์ลส์ที่เก้าแห่งฝรั่งเศษประกาศเลื่อนวันเฉลิมฉลองปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายนเป็นวันที่ 1 มกราคม ทีนี้...ชาวบ้านร้านตลาดบางคนดันไม่รู้เรื่องไง การเฉลิมฉลองปีใหม่ในเดือนเมษาจึงยังคงมีอยู่ คนที่ไม่ยอมรับข่าวนั้นและออกมาแฮปปี้นิวเยียร์ในวันนั้นจึงมักถูกเรียกว่าคนโง่(fools)

           ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีวันแห่งการโกหกขึ้น มีการแกล้งส่งบัตรเชิญเฉลิมฉลองปีใหม่ให้คนที่หลงเชื่อไปร่วมเทศกาลที่ไม่มีจริง คนพวกนั้นถูกเรียกว่าปลาเมษา เรียกด้วยภาษาฝรั่งเศษว่า Poisson dAvril เพราะว่าหลอกง่ายเหมือนปลา

           ในช่วงศตรรษที่ 18 มีการสถาปนาให้วันที่ 1 เมษาของทุกปีถูกเรียกว่าเมษาหน้าโง่(april fools day) ในวันนี้ทุกคนสามารถแกล้งกันได้ทั้งวันโดยไม่ถือโทษกันไง”

     

           นิ้วเรียวของชายหนุ่มผมสีเข้มเลื่อนมาจิ้มหน้าผากเธอแรงๆ

           “รู้แล้วก็จำไว้ซะด้วยนะ”

     

           สคาดิร้องจ๊ากเมื่อหัวคลอนไปข้างหลังจนกระทบกับชั้นวางจดหมายเหตุ เสียงวัตถุสัมผัสกันในทางที่ค่อนข้างรุนแรงกังวานไปทั่วห้องใหญ่โตนั้น เรียกสายตาขุ่นเขียวจากบรรณารักษ์หญิงแก่อย่างมิสซิสมิลเลอร์ได้เป็นอย่างดี

     

           “มือปราบมารทั้งสองคนตรงนั้นคะ กรุณารักษาความสงบด้วยค่ะ”

     

           เธอเกาหัวและส่งยิ้มเจื่อนๆขณะที่รุ่นพี่เปิดแฟ้มงานออกและนำจดหมายและบันทึกทั้งหลายในนั้นใส่ลงไปในตู้ที่ตรงกับหมวดหมู่ของพวกมัน

     

           “อ๋อ มิน่าล่ะวันนี้ปิเอโตรมันถึงเล่นแรง”

     

           “เด็กนั่นเล่นพิเรนทร์อะไรอีกล่ะ” โทนี่ก้าวเท้านำเธอไปในชั้นวางที่เต็มไปด้วยตู้ใส่บันทึกชั้นแล้วชั้นเล่า

     

           “ก็...ไม่มีอะไรมากหรอก แค่ใช้เครื่องมือมักเกิ้ลที่เรียกว่าไอโฟนของวานด้าพิมพ์แชทไปหาวิชั่นให้เขาเข้าใจว่าแฟนท้อง”

     

           “ห๊ะ?” ชายหนุ่มหลุดร้อง เสียงของเขาก้องไปทั่วเมื่อเพดานของหอจดหมายเหตุเป็นโดม รูปแบบสถาปัตยกรรมสะท้อนเสียงชั้นดี

     

           “มิสเตอร์สตาร์คคะ!!!”

     

           “โทษทีครับมิสซิสมิลเลอร์ ต่อไปจะไม่ทำอีก” เขากล่าวอย่างลวกๆและขอไปที

     

           “เธอจะบอกว่า ปิเอโตรสวมรอยเป็นวานด้าแล้วแชทไปหาวิชั่นว่าน้องสาวมันท้องใช่มั้ย?” รุ่นพี่ร่วมบ้านหันมากระซิบเสียงแผ่วกับเธอ

     

           “ใช่”

     

           “หืม...เดี๋ยวฉันขอกลับไปบ้านเธอหลังเลิกงานนะ อยากดูอะไรสนุกๆแล้วสิ” โทนี่แสยะยิ้มอย่างไม่น่าไว้วางใจ แถมยังหัวเราะเสียงน่าขนลุกในลำคออีกด้วย

     

           ชักไม่อยากไว้วางใจรุ่นพี่คนนี้แล้วแฮะ...

     

     

     

     

           หลังจากงานตรวจเช็คร้านขายวัตถุดิบปรุงยาเพื่อหาส่วนประกอบยาที่ผิดกฎหมายและเล่นวื่งไล่จับกับพวกผู้วิเศษที่ขายยาเถื่อนให้กับตลอดบ่ายแล้ว สคาดิและโทนี่ก็ลากสังขารที่เหนื่อยอ่อนกลับมาที่กระทรวงฯ

     

           “มอร์กาน่าและอาร์เธอร์” ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างไม่ออมแรง

     

           ไม่ต้องห่วง  เขาชอบคิดคำอุทานแปลกๆใหม่ๆมาได้ตลอดเวลาแหละ

     

           “ฉันอยากกินครัมเป็ตส์ทาเนยชุ่มๆกรอบนอกนุ่มในจัง...สคาดิ รีบไปกันเถอะ ขืนช้าฉันจะอดของอร่อย”

     

           หญิงสาวผมสีเข้มลอบกรอกตาและเก็บของลงจากโต๊ะ มือเรียวไม่ลืมหยิบไม้กายสิทธิ์ที่ทำมาจากไม้แอปเปิ้ล แกนกลางขนหางเพกาซัสใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อโค้ตด้วย

     

           “ฉันเหลือเงินไม่มากนะ ถ้ารุ่นพี่จะไถก็อย่าให้มันแพงมากละกัน”

     

           “เออน่า” โทนี่เด้งตัวขึ้นและโบกไม้กายสิทธิ์ เก็บกวาดกองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะให้ไปวางเป็นตั้งอย่างเรียบร้อยตรงมุมหนึ่ง

     

           เขาเดินออกไปจากห้องก่อนที่หญิงสาวจะได้ทันขยับตัว ร่างเพรียวกรอกตาและเดินตามออกไป

     

           “ปิดประตูด้วยนะ”

     

           สคาดิพ่นลมหายใจแรงๆทีหนึ่งและขยับมือดึงลูกบิดประตูให้มันปิดสนิทเข้ากับวงกบไม้

     

     

     







     

     

     

     

     

           หลังจากที่แวะร้านเบเกอรี่พ่อมดของรุ่นพี่แบนเนอร์ หนึ่งในอเวนเจอร์สรุ่นแรกๆ(ในขณะที่เธอ, ปิเอโตร, วานด้าและอีกสองสามคนเป็นรุ่นสอง)และซิ้อบูเกต์ครัมเป็ตส์ที่เป็นซิกเนเจอร์ของร้านมาแล้ว เธอและชายหนุ่มผมสีเข้มก็หยุดลงที่หน้าตึกแถวแห่งหนึ่งที่ดูเรียบๆและเต็มไปด้วยมักเกิ้ล

     

           หญิงสาวโบกไม้กายสิทธิ์และเอ่ยรหัสผ่าน

     

           ตึกค่อยๆเลื่อนออกจากกัน ตึกแถวอีกตึกหนึ่งโผล่ออกมาจากช่องว่างทั้งสองข้างและเลื่อนตัวมาด้านหน้าจนดูกลมกลืนไปกับบ้านอื่นๆ

     

           หญิงสาวมองซ้ายมองขวา ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อและเดินชิลๆเข้าไปในแฟลท โทนี่กอดถุงพลาสติกขนาดใหญ่ที่มีถุงกระดาษสีน้ำตาลขนาดเล็กลงมาใส่ครัมเป็ตส์ที่แต่งกลิ่นดอกไม้หลากชนิดหลายใบไว้และก้าวยาวๆตามรุ่นน้องสาวไปทันที

     

           “โอ้ สคาดิ กลับมาแล้วเหรอ? ปิเอโตรมีเรื่องอยากให้ช่วยน่ะ” มิสไวลี่ย์ที่กำลังนั่งถักไหมพรมอยู่หันมาบอกเธอและขยับแว่นตา

           “ตายจริง โทนี่ ไม่เจอกันนานเลยนะเรา”

     

           “สวัสดีครับมิสไวลี่ย์” รุ่นพี่ยิ้มแป้นและตรงเข้าไปกอดหญิงชรา

           “ผมซื้อบูเกต์ครัมเป็ตส์มาให้ด้วย ชอบไหมครับ?”

     

           แต่เงินน่ะเงินน้องโว้ยยย!!

           สคาดิโวยวายในใจขณะที่เขาเอาถุงกระดาษสีน้ำตาลบรรจุขนมหวานออกมาใบหนึ่งและยื่นมันให้กับเจ้าของแฟลท

     

           ร้าน‘เดอะฮัลค์สเบเกอรี่’ของรุ่นพี่แบนเนอร์ทำครัมเป็ตส์กลิ่นดอกไม้ออกมาวางขายเมื่อฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว มีทั้งกลิ่นกุหลาบ กลิ่นดอกไลแลค กลิ่นดอกสายน้ำผึ้ง กลิ่นดอกส้ม และอีกสองสามกลิ่นรสซึ่งขายดีเป็นเทน้ำเทท่าชนิดที่ว่าถ้าไม่ใช่รุ่นน้องและเพื่อนร่วมแก๊งอาจไม่ได้กินและต้องสั่งขนมแป้งอุ่นๆ กรอบนอกนุ่มในและชุ่มไปด้วยเนยหรือน้ำเชื่อมกลิ่นดอกไม้พวกนี้ไว้ล่วงหน้าเป็นเดือน

           ครัมเป็ตส์กลิ่นดอกไม้เรียกรวมๆกันว่าบูเกต์ครัมเป็ตส์ มาจากคำว่าบูเกต์ที่แปลว่าช่อดอกไม้ และครัมเป็ตซึ่งก็คือชื่อของขนม

     

           ก่อนที่จะได้ทันคุยชิทแชทอะไรกันต่อนั้นเอง

     

           “เธอว่าไงนะ?” เสียงของวิชั่น แอนเดอร์สันดังก้องลงมาผ่านทางบันได

     

           โทนี่และหญิงสาวกรอกตาพร้อมกัน เขายื่นครัมเป็ตชิ้นหนึ่งมาให้และหยิบอีกชิ้นขึ้นมาแทะ

     

           “เอาไปกินย้อมใจก่อน”

     

           “อือ” สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเหนื่อย ดวงตาสีฟ้ามองบนและงับขนมเข้าไปชิ้นใหญ่

     

           ทั้งสองเดินขึ้นไปที่ห้องของแฝดแม็กซิมอฟ และพบกับใบหน้าที่ตื่นตระหนกของเมตามอร์ฟเมกัสหนุ่ม

     

           “ขอบคุณเมอร์ลิน เธอกลับมาแล้ว!” เขากระซิบรัวเร็วและลากสคาดิกับรุ่นพี่เข้าไปในห้องของเขาผ่านทางประตูเชื่อมของห้องเธออย่างเงียบเชียบ

           “หวัดดีฮะรุ่นพี่สตาร์ค”

     

           “เกิดอะไรขึ้น?” เธอขมวดคิ้ว

     

           “ทุกอย่างมันผิดพลาดไปหมด” ปิเอโตรดูลนลานจนหน้าสงสาร

           “เฮคาที นี่มันไม่ควรจะไปในทางนี้เลย”

     

           มือของโทนี่ตะปบลงบนคอเสื้อของชายหนุ่มผมสีซีดและคว้าตัวเขาเข้ามาใกล้ๆ

           “ใจเย็น ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อให้ถึงปีหน้าก็คุยกันไม่รู้เรื่อง”

     

           รุ่นน้องพยายามสูดหายใจลึกๆจนเธอเผลอขยับตัวตาม มือเรียววางลงบนมือแกร่งที่กำแน่นและตบเบาๆ

     

           “คืองี้...” พ่อมดผมซีดค่อยๆพูด

           “ฉันตั้งใจว่าจะแกล้งวานด้ากับวิสเฉยๆ ยังไงวันนี้ก็เมษาหน้าโง่นี่ พวกเขาคงไม่ถือหรอก แต่...แต่...”

     

           “แต่อะไร?” ดวงตาสีฟ้าเทาหันไปมองร่างทั้งสองที่กำลังยืนคุยกันอยู่ ใบหน้าของวานด้าดูคล้ายจะร้องไห้ปนกับความมุ่งมั่นบางอย่าง ส่วนวิชั่นหันหลังให้พวกเขาจึงไม่เห็นสีหน้าชัดเจน

     

           “เมื่อตอนบ่ายๆนี้ อยู่ๆน้องฉันก็วิ่งไปอ้วกใยห้องน้ำ แถมถามหาอะไรเปรี้ยวๆ ฉันเอะใจเลยบอกให้เธอลองไปซื้อเครื่องตรวจครรภ์...”

     

           มือปราบมารสาวอ้าปากค้างและสบตากับรุ่นพี่ มือเอื้อมไปโอบไหล่เพื่อนหนุ่มเข้ามาใกล้และหันไปมองหญิงสาวผมแดงที่กำลังเม้มปาก ดวงตาสั่นไหวอยู่เบื้องหน้า

     

           “เธอ...”

     

           “...ใช่” ปิเอโตรพยักหน้าช้าๆ

     

     

     

           “เธอท้อง”

     

     

     












     

     

     

           ทำยังไงดี...

     

           วานด้าขบริมฝีปากล่างอย่างแรงจนเธอคิดว่ามันอาจห้อเลือด หญิงสาวพยายามหรุบตาลงมองพื้นเพื่อกันตนเองไม่ให้มองเข้าไปในตาของวิชั่น

     

           ...เธอควรจะก้มหน้าเอาไว้ เพราะเธอทนไม่ได้ถ้าจะเห็นความรักต่อเธอในดวงตาสีน้ำเงินของเขาเหือดหายไปทันทีที่เธอบอกความจริงกับเขา...

     

           เมื่อตอนบ่ายเธอรู้สึกคลื่นเหียนขึ้นมาอย่างรุนแรง และอยากกินของเปรี้ยวอย่างห้ามไม่ได้

           ปิเอโตรลองให้เธอไปซื้อแท่งตรวจการตั้งครรภ์ของมักเกิ้ลจากร้านขายยาแถวแฟลท พี่ชายฝาแฝดรู้สึกสังหรณ์ณ์ใจอย่างไรชอบกล และเธอเองก็กลัว

     

           ทันทีที่ขีดที่สองปรากฏขึ้น ร่างทั้งร่างก็คล้ายกับว่าจะไม่มีแรง

     

           พี่อยู่กับเธอในตอนที่เธอทรุดตัวลงร่ำไห้ เขากอดเธอเอาไว้...อย่างที่พวกเขาเคยทำตอนเด็กๆเวลาที่เธอนอนไม่หลับเพราะฝันร้าย ปิเอโตรลูบหัวของเธอ ปลอบว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร

     

           เมื่อแฟนหนุ่มของเธอมาถึง วานด้าก็รู้ว่าไม่มีทางที่เธอจะสามารถปิดเขาได้ หรือถึงแม้จะปิดได้ ยังไงวันหนึ่งเขาก็ต้องรู้เรื่องนี้

     

           “วานด้า...” มือแกร่งแตะไหล่เธอเบาๆ

           “เธอท้องจริงๆ?”

     

           สูดลมหายใจที่สั่นไหวลึกๆ แม่มดสาวตัดสินใจเอ่ยประโยคที่คิดไว้ออกมาอย่างรัวเร็ว

           “ใช่...”

     

           “นายไม่ต้องรับผิดชอบก็ได้นะ”

     

           ร่างสูงนิ่งขึงไป และหัวใจของเธอก็บีบรัดด้วยความเจ็บปวดจนเธออดนิ่วหน้าไม่ได้

     

           นี่เธอกำลังจะร้องไห้เหรอ?

     

           ไม่นะ

     

           ไหล่บางสั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อเขาค่อยๆเลื่อนมือมาประคองแก้มของเธอไว้

     

           อย่าให้เธอได้สัมผัสความรุนแรงของเขาเลย

     

           อย่างน้อย...ขอให้เธอได้จดจำเขาในด้านที่ดีที่สุดก็พอ

     

           วานด้าเบี่ยงใบหน้าไปทางอื่น

     

           “วานด้า...”

     

           ได้โปรด...

     

           ฝ่ามืออุ่นๆของเขาประคองใบหน้าของเธอไว้อย่างทะนุถนอมราวกับกลัวว่าเธอจะแหลกสลายไป และในวินาทีนั้น เธอก็ทำพลาดโดยการเงยหน้าขึ้นและสบตากับเขา

     

           ดวงตาสีน้ำเงินของเขาสะท้อนภาพของเธอ ชายหนุ่มก้มลงมาจุมพิตริมฝีปากเธออย่างแผ่วเบา ค่อยๆไล่เล็มกลีบปากของหญิงสาวขณะที่นิ้วมือเรียวของเขาสอดเข้าไปในกลุ่มผมสีแดงของเธอ

     

           พวกเขาหอบขณะที่ผละออกมาจากกันและกัน

     

           วานด้ามองหน้าของคนรักอีกครั้ง

           “วิชั่น นาย...”

     

           “วานด้า แม็กซิมอฟ...” เสียงทุ้มของวิชั่นหยุดเธอเอาไว้

     

     

     

           “ได้โปรดแต่งงานกับผมนะ” เขาเกลี่ยนิ้วโป้งไปกับแก้มของเธอเบาๆ

           “ให้ผมได้ทำหน้าที่ลูกผู้ชาย และให้ผมได้ดูแลลูกของเรา...กับเธอ”

     

           ภาพตรงหน้าพร่ามัวจนเธอแทบมองไม่เห็นอะไร หญิงสาวพยักหน้าช้าๆ ปล่อยให้หยดน้ำตากลิ้งลงมา

     

     

     

           “ค่ะ ฉันแต่ง”

     

           วานด้าหัวเราะทั้งน้ำตาขณะที่ชายหนุ่มผมสีทองฉีกยิ้มกว้างและรวบตัวเธอเข้าไปกอดแนบแน่น

     

           “ผมรักเธอ...เมอร์ลิน...ผมรักเธอจนแทบจะบ้าอยู่แล้ว” เขาพึมพำซ้ำแล้วซ้ำเล่าขณะที่พรมจูบไปทั่วใบหน้าของหญิงสาวผมสีแดง

     

           เธอยิ้มและเหวี่ยงมือขึ้นโอบรอบคอเขา

           “ฉันก็รักนาย”

     

           “โอ้ เกือบลืม” เขาดันร่างบางออกและล้วงวัตถุบางอย่างในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา

     

           “ผมซื้อไว้ตั้งแต่ตอนที่เราคบกันใหม่ๆ...ไม่รู้ว่าเธอจะชอบไหม?”

           แหวนโรสโกลด์ที่กำลังสวมลงมาบนนิ้วนางข้างซ้ายของเธอนั้นไม่หนามากไป และไม่บางเกิน ลายผีเสื้อที่เคลื่อนไหวไปมาช้าๆเนิบๆตลอดทั้งวงทำให้เธอนึงถึงภาพขยับได้ในหนังสือพิมพ์เดลี่พรอเฟ็ต เพชรสีขาวใสเม็ดเล็กประดับอยู่บนนั้น

           แหวนแบบที่เธอชอบและเคยบ่นกับเขาตอนเริ่มคบกันใหม่ๆว่าอยากได้แต่ไม่มีเงิน

     

           มือบางพุ่งขึ้นปิดปากไว้ขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลปริ่มไปด้วยความยินดี

     

           “ชอบสิ ชอบมากเลย”

     

           แฟนเธอโรแมนติกสุดๆ

     

     










     

     

     

           “ฉันพอรู้จักเจ้าของร้านอาหารผู้วิเศษที่รับจัดเลี้ยงงานแต่งอยู่นะ...” โทนี่ยื่นหน้ามาป้องปากกระซิบ

     

           ปิเอโตรกรอกตามาเล็กน้อย

     

           “อะไร เป็นมือปราบมารก็งี้”

     

           “แล้วก็...” สคาดิหันไปกระซิบชิดหูของเพื่อนหนุ่ม

           “ฉันต้องได้เป็นแม่ทูนหัวนะยะ”

     

           “เออ” เขาสะบัดเสียง

           “ฉันเป็นพ่อทูนหัวละกัน”

     

           “แกเป็นลุง”

     

           “ลุงก็เป็นพ่อทูนหัวได้”

     

           “...ตามใจแกเลย”

     

     








     

     

    TALK WITH FM

                            ฮาโหลปลาเมษาทุกท่านนนนนนนนน

    วันนี้ลัดคิว The Ocean เอาเมษาหน้าโง่special มาเสิร์ฟให้กับรีดเดอร์ของเราก่อน(แฟนคลับทางฝั่ง The Ocean อย่าเพิ่งโกรธกันเน้อออ เดี๋ยวไรท์ลงชดเชยให้ อิอิอิอิอิ)

    ขอให้ในวันแห่งการโกหกนี้ ทุกท่านจะมีความสุขกับการแกล้งกันนะจ๊ะ

    ใครที่โกรธกันก็อย่าถือนาน ถือมันไว้นานเดี๋ยวจะเมื่อย(อรรถรสสสสสส 55555555)

    ใครอยากให้ไรท์ทำ crossover จักรวาลไหน หรือทำฟิคคู่ไหนก็รีเควสสมาได้เลยนะคะ ยินดีค่ะ

    เจอกันตอนหน้าเน้อออออออ

    ด้วยรักและถุงกาว

    เฟิงมี่ค่ะ>3<

    Matcha
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×