ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Marvel || Broken Throne (OC feat. Thorki, Stony, Spideypool, etc.)

    ลำดับตอนที่ #27 : Short Fic. || H O M E (Odinson Family feat. Thorki)→ ᴘᴀʀᴛ 1

    • อัปเดตล่าสุด 27 มี.ค. 62


    Title : H O M E

    Auther : Fengmii

    Pairing : None (Odinson Family)...with a little bit of (Thorki)??

    Genre : Short Fiction (1/?)

    Note : After Asgard was burnt and Thanos snapped his fingers…

     

     

     

    H O M E

    o d i n s o n . f a m i l y

    [i]

     

    home, the place where i can go

    to  take  this  off  my  shoulders

    someone     take     me     home

    yeah  someone  take  me  home

     

     





     

     

           สงครามคือความสูญเสีย

     

           ใครที่บอกว่าสงครามคือชัยชนะ...

           คนผู้นั้นไม่เคยรู้ซึ้งถึงสงครามเลย

     

           สคาดิมองร่างของพี่ชายคนโตที่ทรุดอยู่บนพื้นหญ้าแห่งดินแดนวากานด้าด้วยดวงตาสีฟ้าเทาคู่นั้น

     

           เธอไม่ได้เข้าไปลูบหลังเขาหรือปลอบใจเขาหลังจากรู้ข่าวพี่ชายคนรองแต่อย่างใด

     

           กลับกัน เธอยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เดินผ่านประตูมิติจากอาณาจักรเอลฟ์น้ำแข็งเข้ามาแล้ว

     

           ร่างโปร่งตัดสินใจถอนหายใจยาวและพูดออกมาเป็นประโยคแรกนับตั้งแต่กลับมามิดการ์ด

           “ลุกขึ้น ธอร์”

     

           สตีฟที่ยืนอยู่ใกล้ๆเลียริมฝีปาก

     

           “สคาดิ ฉันว่า--”

     

           “ลุกขึ้น” หญิงสาวไม่สนใจเสียงค้านจากเพื่อนร่วมทีม เธอยกแขนขึ้นกอดอกและกล่าวย้ำด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นกว่าเดิม

           เขาจะมานั่งหมดอาลัยตายอยากแบบนี้ไม่ได้

           เธอไม่ยอม

     

           พี่ชายผมสั้นกุดที่ได้ข่าวว่าเป็นฝีมือของแกรนด์มาสเตอร์แห่งดาวซาคาร์ยังคงนั่งนิ่ง หันหลังให้กับทั้งกลุ่ม ไหล่กว้างสั่นนิดๆขณะที่เสียงสะอื้นเบาๆดังขึ้นชัดเจนเนื่องจากความเงียบงันรอบด้าน

     

           “ลุกขึ้น” หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้ขึ้นอีกก้าวหนึ่ง

           “ร้องไห้ไปโลกิก็ไม่ฟื้นหรอกนะ”

     

           นั่นทำให้พี่ชายตัวโตผุดลุกขึ้นมาอย่างเดือดดาล ดวงตาสีฟ้าเข้มวาวโรจน์ขณะที่เขาชี้หน้าเธอด้วยความโมโห

     

           “เจ้าจะไปรู้อะไร?!!!

     

           “...เหรอ?” สคาดิเชิดหน้าขึ้นและถามย้ำ ธอร์นิ่งงันไป

     

           ขายาวก้าวข้าไปอีกจนแทบชิดร่างของเขา

           “...พูดอีกทีซิ?”

     

           นาตาชาเม้มปากละกลืนน้ำลายเบาๆ

           เอาล่ะสิ

     

           ข้า...จะไปรู้อะไร...งั้นเหรอ?” หญิงสาวแค่นเสียงเหอะ

     

           “เจ้าลืมไปรึเปล่า พี่ข้า?”

           “ว่าข้าน่ะ...สนิทกับโลกิมากกว่าท่านอีกหลายเท่า?”

     

           เทพสายฟ้าสะอึก

     

           “ลืมไปแล้วรึไงว่าข้าน่ะรู้จักเขามาเกือบทั้งชีวิตของข้า?”

     

           “สคาดิ--”

     

           “เคยคิดบ้างไหม...” เมื่อเห็นเขาพยายามก้าวถอยหลัง เธอก็ก้าวตาม ดวงตาสีฟ้าเทานิ่งเรียบราวกับบ่อน้ำลึกที่ยากหยั่งถึง

     

           “เคยคิดบ้างไหมว่าข้าก็รู้สึกไม่ต่างกับท่านตอนได้รู้ว่าพี่ชายคนเดียวที่ข้าสนิทได้ตายลง...เพียงเพราะพยายามปกป้องท่าน!!!” เทพีเหมันต์แทบจะตะโกนใส่หน้าเขา

     

           รอบด้านเงียบสงัด

     

           อเวนเจอร์สที่เหลืออยู่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก

     

           “ทีนี้...” สคาดิสูดหายใจลึก

           “จะเข้าไปข้างในได้รึยัง?”

     

     

     

           “เป็นไงบ้าง?” กัปตันอเมริกาถามเมื่อเธอออกมาจากห้องหลังจากการพาพี่ชายไปนอนพักเหนื่อย

     

           สคาดิส่ายหน้าเบาๆ

           “...ดูเหมือนจะดีขึ้น แต่ก็ไม่”

     

           “เขาไม่ค่อยจิตตกแล้วนี่?” หญิงสาวในชุดรัดรูปสีดำกอดอก

     

           “ถ้าโตมากับเขาแล้วจะรู้ว่ามันไม่ใช่เลย” เธอถอนหายใจ

           “เขามักจะพยายามปกปิดความเจ็บปวดไว้เบื้องหลังความบ้าบอเสมอ มันเป็นนิสัยที่แก้ไม่เคยหายของเขา”

     

           ทั้งสามเดินไปด้วยกันในทางเดินวังของวากานด้า

     

           “หายไปไหนมาตั้งหลายปี?” ชายหนุ่มผมทองถามขึ้นในที่สุด

     

           “เหมือนกับนายนั่นแหละ โรเจอร์ส หายหัวไปไหนมา? หนวดขึ้นจนแทบจะไม่เหลือเค้าเดิมอยู่แล้ว”

     

           สตีฟสะอึกเมื่อเจอสกิลการตอกหน้าของเธอเข้าไป

     

           “มีหลายเรื่องเกิดขึ้นเลยล่ะ” หญิงสาวผมสีเข้มขบริมฝีปาก

           “ตอนนี้ฉันเป็นราชินีของอาณาจักรน้ำแข็งในอัลฟ์ไฮม์”

     

           “ฉันต้องเรียกเธอว่าฝ่าบาทอีกคนมั้ยเนี่ย?” นาตาชาขมวดคิ้ว

           “แค่นี้ก็เกร็งจะแย่อยู่แล้ว”

     

           สคาดิหัวเราะเบาๆในลำคอ

           “ไม่หรอก”

           “ฉันครองราชย์ไม่กี่ปี รอน้องชายต่างแม่โตก่อนแล้วค่อยสละบัลลังก์”

     

           “จะว่าไป ผมใหม่เธอเฟี้ยวดีนะนาตาชา”

     

           สายลับสาวเลิกคิ้ว

           “จริงดิ? ขอบใจนะ”

     

           พวกเขาเดินมาถึงแล็บขององค์หญิงแห่งวากานด้าและพบว่าเด็กสาวผิวเข้มกำลังนั่งหันหลังให้พวกเขาอยู่ ไหล่บางๆของเธอสั่นน้อยๆอย่างพยายามอดกลั้นเสียงสะอื้น

     

           ความสูญเสียมีให้เห็นทุกที่

     

           แม้แต่ในตาของกัปตันอเมริกาคนเก่ง

           ได้ข่าวว่าเขาเสียบัคกี้ บาร์นส์ไป

     

           แถมโทนี่ก็ไม่ได้ติดต่อมาเลย

     

           “องค์หญิงชูรี” ชายหนุ่มเรียกเบาๆ ส่งผลให้เธอหันขวับมาอย่างตกใจ ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

     

           “อ...พวกคุณนี่เอง” เช็ดน้ำตาออกไปลวกๆ ชูรีรีบเลื่อนตัวลงมาจากโต๊ะสีขาวที่กำลังนั่งห้อยขาอยู่และวางของที่อยู่บนตักลง

     

           ดวงตาสีฟ้าเทามองตามและพบว่ามันคือรองเท้าแตะหนังสีดำคู่หนึ่ง

     

           “แล้ว...คุณคือ...”

     

           “สคาดิ เทพีแห่งเหมันต์” หญิงสาวผมสีเข้มยื่นมือออกไปข้างหนึ่งและยิ้มบางๆให้

           “ยินดีที่ได้รู้จัก องค์หญิง”

     

           “ชูรี อูดาคู” เจ้าหญิงน้อยนักวิทย์จับมือตอบและเขย่าเบาๆ

           “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ”

     

           “นั่นของแฟนคุณเหรอ?” สคาดิเลิกคิ้ว มองรองเท้าคู่นั้น

     

           “ของ...” ชูรีอึ้งไปครู่หนึ่ง

           “ของพี่ชายฉันน่ะ ทีชัลล่า กษัตริย์แห่งวากานด้า...อย่างน้อยก็เคยเป็น” เธอถอนหายใจ

           “เขาเรียกมันว่ารองพระบาทราชประแตะ” ดวงตาสีดำกลมโตมีน้ำตารื้นคลอหน่วยขณะที่เธอพูดประโยคนั้นออกมาอย่างยากลำบาก

     

           “เสียใจด้วย” เทพีเม้มปาก

     

           รู้มาว่าทีชัลล่าเองก็สลายไปเหมือนกัน

     

     

     

           หญิงสาวพรูลมหายใจออกและเอนตัวพิงกับระเบียง จ้องมองท้องฟ้าสีเข้มที่ประดับด้วยดวงดาวด้านนอก

     

           ดวงตาของเธอกวาดมองความเสียหายตรงสนามหญ้าด้านล่าง

     

           ธานอสก็หายหัวไปไหนก็ไม่รู้

           เท่าที่เธอฟังข้อมูลมา ถุงมือนั่นพังไปแล้วและเขาก็คงต้องหาภาชนะใหม่ที่จะรองรับพลังของอินฟินิตี้สโตนทั้งหกเม็ดให้ได้

     

           โดยเร็วด้วย

     

           ก่อนที่เธอจะบุกไปฟัดเขาถึงที่

     

           สคาดิเล่นกับนิ้วตัวเอง คิดถึงแววตาโศกเศร้าปนคั่งแค้นของพี่ชายคนโตก่อนที่เขาจะหลับไปด้วยเวทย์ของเธอ

     

           ขาเรียวในรองเท้าบู๊ทหนังพาร่างโปร่งเข้าไปในทางเดินอีกครั้ง เธอเข้าไปในห้องนอนของพี่ชายและคงจะหาฟูกมาปูรองนอนเฝ้ากันไม่ให้เขาทำอะไรบ้าๆ(เช่น ฆ่าตัวตาย...โอเค ฟังดูงี่เง่าจริง แต่มันก็เกิดขึ้นได้)แล้วถ้าร่างบนเตียงไม่พลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่ายและพึมพำชื่อของใครคนหนึ่งออกมา

     

           “...โลกิ...”

     

           คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน มือชะงักค้างอยู่ในท่าวางฟูกหนานุ่มลงบนพื้น อดไม่ได้ที่จะปล่อยให้ความหม่นเศร้าแล่นผ่านดวงตา

     

           พี่ชายผมดำ...

           ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ?

     

           เขาจะอยู่ที่วัลฮัลลาหรือเฮลไฮม์?

     

           ฟอล์กแวนเกอร์*น่ะเหรอ? ไม่อยู่แล้ว

           นั่นมันที่สำหรับพวกวาเนียร์

     

           หญิงสาวล้มตัวลงนอน หัวหนุนหมอนที่คว้ามารองไว้ทัน

           เปลือกตาปิดลง กล่อมตนเองให้เข้าสู่นิทรา

     

     

     



     

     

     

     

     

           แอสการ์ด...หรืออีกคำหนึ่งคือเศษซากของอาณาจักรแอสการ์ดลอยละล่องอยู่ในห้วงอวกาศ แต่ส่วนใหญ่ยังกระจัดกระจายอยู่ที่เดิมที่มันเคยตั้งตระหง่านอยู่

     

           นครแห่งทวยเทพที่ทั้งยิ่งใหญ่และสวยงาม เป็นเลิศด้านวิทยาการและวิวัฒนาการ

     

           ...สุดท้ายก็ยังเหลืออยู่แค่นี้...

     

           สคาดิพบร่างของคนที่ไม่สามารถเรียกได้เต็มปากว่ามิตร และไม่สามารถเรียกได้เต็มปากว่าศัตรูเช่นกันนั่งอยู่ตรงซากที่ยังคงมีลายของพื้นหินและเสาโค้งชัดเจนอยู่

     

           เป็นเศษซากที่มีชิ้นใหญ่ที่สุดแล้ว

     

           หญิงสาวผมสีเข้มที่กำลังลอยตัวอยู่ใช้พลังดันหินที่ขวางทางร่อนลงออกไปและลงจอดบนพื้นหินอย่างนุ่มนวลเงียบเชียบ

     

           “ข้าชอบมานั่งตรงนี้” ผู้นั่งอยู่มาก่อนแล้วว่า

           “ตั้งแต่ข้ายังเด็ก...และยังไร้เดียงสา”

     

           สคาดิสืบเท้าเข้าไปใกล้

     

           “ตรงนี้เคยมีต้นแอปเปิ้ลอยู่” มือขาวซีดตบปุๆลงตรงพื้นที่ว่างเปล่าใกล้ตัว

     

           “ข้าเคยเด็ดผลของมันมานั่งกินและมองขึ้นไปยังหอคอยนั้น...” คนผู้นั้นชี้ไปบนท้องฟ้าที่เวิ้งว้าง

           “...จินตนาการว่าข้าบินได้และสามารถมองเห็นแอสการ์ดได้ทั้งหมดบนยอดนั่น”

     

           “แล้วเจ้าเคยไหม...พี่ข้า?” ราชินีเอลฟ์น้ำแข็งถามขึ้นในที่สุด

           “เคยได้...บินไปเหนือเมืองนี้ไหม?”

     

           คู่สนทนาหัวเราะเสียงขึ้นจมูก

           “ไม่...ข้าไม่เคย”

     

           “มีธุระอะไรถึงมาที่นี่ สคาดิ?” เจ้าของดวงตาสีฟ้าซีดและเส้นผมยาวดำสนิทหันหน้ามาเล็กน้อยให้เห็นเพียงซีกหน้า

     

           “นอนไม่หลับ เลยมาบินเล่นที่บ้านเก่า เผื่อจะเจอเจ้า” หญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้มตอบกลับ

     

           ผู้นั้นทำเสียงอืมเบาๆในลำคอ

     

           “ข้าอยากให้เจ้าช่วย เฮล่า”

     

           เฮล่าหรี่ตาลง

           “ว่ามา”

     

           “ในอาณาจักรของเจ้า เจ้าเห็น...โลกิบ้างไหม?”

     

           ราชินีแห่งแดนคนตายหันหน้ากลับไปถอนหายใจขึ้นเบื้องบน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน

     

           “ข้าจำคนไม่เก่งด้วยสิ”

     

           “แล้วเจ้าจำเขาได้ไหม?” ผู้เป็นน้องเดินมาใกล้

     

           “แน่อยู่แล้ว” แทบไม่เสียเวลาคิด ธิดาแห่งโอดินกระตุกยิ้มมุมปาก

           “ใครเล่าจะมีดวงตาสีเขียวมรกตและหล่อเหลาเจ้าเล่ห์เช่นพี่ชายคนรองของเจ้า?”

     

           “แต่เจ้าไม่เห็นเขาที่เฮลไฮม์?” สคาดิกลั้นใจถามออกไป

           ขอล่ะ ขอแค่ให้ได้รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนกันแน่

     

           “อืม...” นิ้วเรียวผอมๆของพี่สาวแตะลงที่คางอย่างครุ่นคิด

     

           “ไม่ ข้าว่าเขาไม่อยู่ เพราะถ้าเจอกันอีกทีเขาคงหยอดมุกใส่ข้าอย่างที่มักทำ”

           “เขาตายแล้ว?”

     

           น้องสาวคนเล็กเม้มปากและพยักหน้าเบาๆ

           “ใช่ ต่อหน้าต่อตาธอร์”

     

           “เจ้าน้องแรงควายนั่นคงจิตตกไม่น้อย” หญิงสาวผมดำกระตุกยิ้ม

     

           “แล้วตอนเขาตาย มือยังแตะอาวุธอยู่ไหม?”

     

           “เท่าที่เห็นจากในหัวธอร์ เขาโดนธานอสบีบคอจนตาย...กริชที่เขาจะใช้แทงมันคงกระเด็นหายไปไหนต่อไหนแล้ว”

     

           “ผู้ที่วางวายอย่างมีเกียรติในการต่อสู้และยังถืออาวุธอยู่ในมือขณะที่ตายจะไปที่วัลฮัลลาหรือฟอล์กแวนเกอร์ และผู้ที่ไม่จะไปที่เฮลไฮม์” เฮล่าเอียงใบหน้าที่งดงามปนน่ากลัวนั้นอย่างครุ่นคิด

     

           “...เจ้าแน่ใจนะว่าเขาตาย น้องข้า?”

     

           “เจ้าหมายความว่า?” ดวงตาสีฟ้าเทาสบกับสีฟ้าซีด หญิงสาวผู้น้องอ้าปากค้าง

     

           “โลกิเป็นเลิศด้านมายาและการลวงตา” เทพีแห่งความตายย่นหัวคิ้วและมองหน้าน้องสาว ร่างเพรียวในชุดสีดำและเขียวค่อยๆหันตามจนทั้งสองประจันหน้ากัน

           “แถมยังเคยหลอกทั้งแอสการ์ดถึงสองครั้งสองคราว่าตายไปแล้ว”

     

           “นอร์นช่วย” สคาดิเบิกตากว้าง

     

           “เป็นไปได้ไหม...” คู่สนทนาลูบคางและเม้มปากอย่างชั่งใจ

     

           “เป็นไปได้ไหมที่โลกิยังไม่ตาย?”

     

     

     










     

     

     



    TALK WITH FM

    ฟิคสั้นใหม่อันเป็นศูนย์รวมครอบครัวเทพสุดแปลกประหลาดเฟี้ยวฟ้าวมะพร้าวแก้วไฮเปอร์ไบโพล่าร์ยิ่งกว่าในเรื่องดิอัมเบรลล่าอะคาเดมี

    (ในเน็ตฟลิกซ์นะทุกคน สนุกมากบอกเลย)

    น้องกิตายจริงรึเปล่าน้าาาา??

    ทางมาร์เวลออกมาพูดทำนองว่ากิได้จากเราไปแล้ว แต่ อย่างที่ทุกคนรู้...ค่ายนี้ชอบสับขาหลอกค่ะทุกคน

    ฉะนั้น ถ้าหนังยังไม่ออกเป็นตัวเป็นตน เราจะไม่เชื่อเด็ดขาดว่าน้องม่องด้วยสกิลการโช้คคอของนังหัวมันม่วงธานอสนะะะะ

    เรามาลุ้นไปด้วยกันว่าตกลงมาร์เวลจะกระทำการอะไรกับโลกิของเรากันเถอะ

    #กิต้องไม่ตาย

    #กิตายไม่ได้

    #ถ้ากิตายแล้วพี่ท้อจะคู่กับคร๊ายยยย

    เจอกันตอนหน้าค่าาาา

    ด้วยรักและถุงกาว

    เฟิงมี่ค่ะ>3<

           
    Z Y C L O N
       
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×