ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Marvel || Broken Throne (OC feat. Thorki, Stony, Spideypool, etc.)

    ลำดับตอนที่ #19 : Broken Throne S2 || Ch 4

    • อัปเดตล่าสุด 18 ธ.ค. 62


    || B R O K E N T H R O N E ||

    s e a s o n 2

    ----------------------------

    CHAPTER 4

     

     

           โลกิจ้องมองเอลฟ์มืดตัวใหญ่ที่มาปลดปล่อยพวกที่เหลือออกไปด้วยดวงตาสีเขียวเย็นชา

     

           ...หากภายในกลับร้อนรุ่ม...

     

           ขออย่าให้มันไปทำอะไรสคาดิหรือท่านแม่เลย

     

           ส่วนธอร์น่ะเหรอ?

     

           อืม...ธอร์

           ถ้าทบทวนดูดีๆก็จัดว่าเป็นพี่ชายที่ดีคนหนึ่ง ติดที่ใจร้อนและบ้าพลังไปหน่อย

     

           แต่จริงๆแล้วก็รักเขาไม่น้อย

     

           เอาน่า

           เขาเชื่อว่าธอร์สามารถจัดการมดปลวกระดับล่างพวกนี้ได้

     

           ...ยังไงก็คิดล่วงหน้าไปก่อนละกัน

           ขออย่าให้พวกมันทำอะไรธอร์เลย

     

           รู้สึกคันไม้คันมือชะมัด ไม่มีมีดสั้นมาให้ปาเล่น

           ความจริงน่ะเขาแหกคุกออกไปเอาได้อยู่แล้ว

     

           แต่ถ้าทำแบบนั้น ท่านแม่,ธอร์กับน้องคงโดนโอดินหัวร้อนใส่มิใช่น้อย

           นับเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่ไม่ควรทำ

     

           เห็นมั้ยธอร์?

     

           ที่เขายอมอยู่ในกรงขาวๆนี่ ไม่ออกไปเล่นข้างนอก ก็เพราะเห็นแก่พี่ชายโง่คนนี้เลยนะ

           สำนึกไว้ซะด้วย

     

           ชายหนุ่มผมดำถอนหายใจยาวและหันกลับไปนอนเล่นบนเตียง มือเรียวสวยพอๆกับน้องสาวนอกไส้สะบัดเรียกหนังสือที่อ่านค้างไว้มาเปิดต่อ

     

           เบื่อจริง...

     

           ทำไมวันนี้ลางสังหรณ์เขาบอกว่าจะมีเรื่องบางอย่างไม่ดีเกิดขึ้นนะ?

     

           คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน

           ดวงตาสีเขียวไล่กวาดตามบรรทัดตัวอักษรไปเรื่อยๆ

     

           หนังสือที่เขาอ่านไปเป็นรอบที่ล้านแล้วมั้งหลังจากวันที่เข้ามาอยู่ในคุก

     

           โลกิ” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นในหัวเมื่อผ่านไปประมาณสองสามชั่วโมง

     

           มีอะไร น้องข้า?” โลกิสูดหายใจ ตอบกระแสจิตไปและวางหนังสือลงข้างกาย

     

           สคาดิมาคุยพอดี

           ไม่งั้นเขาได้เอาข้อความในหนังสือนี่ไปละเมอแน่ๆ

     

           อีกซักพักข้าจะไปหา แต่งตัวด้วยล่ะ” เธอว่า

     

           อะไรกัน คิดว่าข้าจะแก้ผ้าเดินโทงเทงให้คนอื่นดูในกรงขังเหมือนตอนอยู่ในห้องข้ารึไง...ข้าก็มียางอายนะสคาดิ

     

           เจอกันพี่ข้า” แปลก...

           เสียงของน้องสาวเรียบๆแปลกๆ

     

           เกิดอะไรขึ้น?

     

           ประมาณสิบห้านาทีต่อมา ร่างเพรียวของหญิงสาวผมสีเข้มก็เดินเข้ามา ดาบและธนูไม่อยู่กับตัว

     

           มีเพียงชุดสีเทาที่เธอชอบใส่เท่านั้น

     

           “พวกเอลฟ์มืด...” เสียงน้องสาวเริ่มประโยค

     

           “...มันมาปล่อยพวกที่อยู่ในนี้ใช่หรือไม่?”

     

           โลกิก้มลงมองเท้าตนเอง มือไพล่หลัง เขาขยับโคลงหัวตอบรับเบาๆ

     

           “ตัวที่ใหญ่ที่สุดมาเปิดกรงให้ตัวอื่นหนี”

     

           สคาดิสูดลมหายใจลึก

           “มันขึ้นไปสมทบกับพวกที่ยกมาตีแอสการ์ดข้างบน”

     

           เขาเม้มปากเป็นเส้นตรง

     

           “เล่ามาอีก”

     

           “มันต้องการตัวเจน นางมนุษย์นั่นมีเอเธอร์อยู่ในตัว”

     

           มิน่าล่ะถึงยอมโผล่หัวออกมา

     

           “ธอร์ดันเอานางไปให้ท่านแม่ดูแล”

     

           ...ว่าไงนะ?...

     

           นี่ธอร์ไม่รู้เลยจริงๆสิว่าท่านแม่สู้ไม่เก่ง

     

           อุตส่าห์พาชาวมิดการ์ดสุดสวาทขาดใจมาที่นี่ได้ แต่ดันไม่จัดเวรยามแน่นหนาให้นาง

     

           โถๆๆ พี่ข้า...

           ความรักนี่มันทำให้พี่อ่อนแอลงจริงๆ

     

           และเขาก็ชอบตอนที่ธอร์อ่อนแอ

           มันเหมือน...เขาชนะ

     

           “มันบุกเข้าไปในห้อง...ตอนที่มีแค่ท่านแม่กับหญิงไร้ประโยชน์คนนั้นอยู่”

     

           นี่มันชักจะแหม่งๆซะแล้วสิ

           ขออย่าให้เป็นอย่างที่เขาคิดเลย

     

           “โลกิ” ดวงตาสีฟ้าเทาที่ดูฉ่ำวาวผิดปกติเงยขึ้นมาสบกับเขา ร่างเพรียวขยับเดินเข้ามาจนแทบจะชิดม่านพลังสีทอง

     

     

           “ท่านแม่สิ้นแล้ว”

     

     

           ราวกับความทะนงตนทั้งหมดที่เคยมีพังทลายลง เทพมุสาร่างแข็งค้าง ดวงตาเจือด้วยความตระหนกและโศกเศร้า ทั้งบริเวณเงียบไปพักใหญ่

     

           น้ำเสียงที่เคยรื่นหูเปล่งออกมาจากลำคออย่างยากลำบากราวมีก้อนอะไรแข็งๆจุกอยู่

     

           “ตัวที่ใหญ่ที่สุด?”

           “มันทำใช่ไหม สคาดิ?”

     

           เทพีฤดูหนาวก้มหน้าลง

     

           “ตอบข้า!!!” มือเรียวสีซีดกระแทกกระจกเสียงดังก้อง ไม่ต่างจากเสียงที่เต็มไปด้วยความรวดร้าวของเขา

     

           น้องสาวตอบมาด้วยเสียงที่เบาราวกับกระซิบ แต่ด้วยความเงียบสงัดนั้นจึงทำให้ฟังออกได้ไม่ยาก

     

           “...เป็นมัน...”

     

           “สารเลวเอลฟ์มืดนั่นฆ่าท่านแม่”

     

           เขาไม่น่าปล่อยมันให้เดินสบายใจเฉิบออกไปเลย

     

           น่าจะออกไปเอามีดปักคอมันซะ...

     

           “โลกิ...” สคาดิเรียกเบาๆ

     

           “งานศพนางจะจัดขึ้นในอีกไม่นานนี้...ข้าจะพยายามขอให้โอดิ-”

     

           “ห้ามไปขอร้องโอดิน” ชายหนุ่มผมดำตัดบท

           “ข้าไม่ต้องการการอภัยโทษเพียงเพราะมารดาเราสิ้น”

     

           เธอนิ่งไป แล้วก็พยักหน้า

     

           “ถ้าท่านว่าเช่นนั้น พี่ข้า”

     

           แล้วนางก็ไป...

           ทิ้งเขาไว้กับความเงียบของคุกใต้ดิน

     



     




     

     

           สคาดิทนดูร่างของฟริกก้าถูกส่งออกไปนอกแอสการ์ดไม่ได้

     

           ร่างเพรียวในชุดสีดำสนิทค่อยๆเร้นกายหายไปกับฝูงชน(เทพ)ที่มาออกันส่งมารดาที่ริมแม่น้ำ

     

           ดวงดาวส่องแสงเต็มท้องฟ้า ราวกับโคมขนาดเล็กๆที่แต่งแต้มห้องสีมืด

     

           หญิงสาวพยายามพาตนออกไปให้ไกลจากสถานที่ส่งศพราชินีแห่งแอสการ์ดมากที่สุด ดวงตาสีฟ้าเทาสอดส่องหามุมเสาที่เหมาะจะให้เธอได้อยู่คนเดียวมากที่สุด

     

           คิดถึงท่านแม่...

     

           แค่คิดน้ำตาก็รื้นคลอหน่วยขึ้นมา

     

           ตลอดพันกว่าปี ฟริกก้าคือแม่คนที่สองของเธอ

           พระนางชอบสอนเรื่องเวทย์มนตร์กับลูกเล่นในการต่อสู้ต่างๆให้เธอและโลกิ

     

           ทั้งยังชอบเล่านิทานก่อนนอนให้พวกเธอสองพี่น้องด้วย

     

           ถ้าโลกิจะมีด้านดี มันก็จะมีเพราะฟริกก้านี่แหละ

     

           แม่เชื่อว่าเจ้าคู่ควรกับบัลลังก์น้ำแข็ง

           ประโยคท้ายๆที่ท่านแม่พูดกับเธอทำให้ทั้งร่างรู้สึกไร้เรี่ยวแรงจนต้องโผเข้าเกาะเสาต้นหนึ่งในทางเดินที่ปลอดเทพ

     

           ทุกคำพูดที่กล่าวแก่กันถูกเล่นวนซ้ำอยู่ในหัวราวกับกดรีเพลย์ในมือถือไอโฟนของโทนี่ สตาร์ค

     

           เจ็บปวดเหลือเกิน

     

     

    ร่างเพรียวยกมือที่สั่นเทาขึ้นอุดปากของตนเองแน่นเพื่อกลั้นไม่ให้ตนกรีดร้องออกมาด้วยความทุกข์ระทม เสียงสะอื้นไห้ถูกกักอยู่ภายในลำคอที่ตีบตัน น้ำตาไหลอาบแก้มลงมาจนหยดเข้าระหว่างร่องนิ้วและไหลเข้าสู่ริมฝีปากจนเธอได้รสเค็มจากมัน

     

           ดวงตาแดงก่ำพยายามแหงนเงยขึ้นสู่ด้านบนเพื่อหยุดของเหลวอุ่นๆใสๆที่ซึมออกมาจากมุมของมันอย่างไม่หยุดหย่อน

     

           เธอแนบแผ่นหลังเข้ากับกำแพงและค่อยๆไถลตัวลงไปกองกับพื้น หมดสิ้นเรี่ยวแรง

     

           เสียงร่ำไห้อันเงียบงันนั้นก้องอยู่ภายในโถงทางเดินที่ร้างไร้ผู้คน

     

           ...แต่เธอก็เพิ่งตระหนักว่าไม่ได้อยู่ตามลำพังอีกต่อไปเมื่อได้ยินเสียงผ้าคลุมและรองเท้าที่ขยับเข้ามาข้างกาย

     

           ผ้าเช็ดหน้าสีเทาอ่อนเนื้อละเอียดบ่งบอกราคาถูกยื่นมาให้จากด้านข้างเมื่อความเงียบระหว่างทั้งคู่ดำเนินไปสักพัก

     

           ดวงตาสีเทาที่แดงช้ำค่อยๆไล่ตามมือแกร่งที่ถือมันเอาไว้ขณะที่ค่อยๆหยิบผ้าออกมาซับน้ำตา

     

           คนที่เธอเคยมองอยู่ในท้องพระโรงนั่นเอง

     

           ยังคงไร้คำพูดให้กัน

     

           ชายหนุ่มผมสีสว่างสูดหายใจเข้า

           “ท่านไม่ควรหนีออกมาแบบนี้”

     

           เสียงของเขาทุ้มและนุ่มน่าหลงใหล

           ไม่แหบไป ไม่สูงไม่ต่ำเกิน

     

           เธอหรุบตาลง

     

           “ท่านก็ไม่ควรหนีออกมาแบบนี้เช่นกัน”

     

           ดวงตาสีฟ้าอ่อนเลื่อนมาสบกับเธอ

     

           “ท่านควรไปส่งพระมารดาเป็นครั้งสุดท้าย”

     

           ส่งไปก็เจ็บหัวใจเปล่าๆ

           มานั่งเงียบๆอยู่แบบนี้ไม่ดีว่ารึไง?

     

           “ข้าคิดว่านั่นมันเป็นเรื่องของข้า...” สคาดิเม้มปาก

           “และอีกอย่าง นางไม่ใช่มารดาแท้ๆของข้า”

     

           เขากอดอก

           เกราะสีทองบนตัวและผ้าคลุมที่ยาวเลยเข่านั้นทำให้ร่างสูงยิ่งดูดีไปอีก ประกอบกับวงหน้าคมคายและดวงตาสีฟ้าบาดใจนั่น...

     

           หญิงสาวคิดว่าเขาหล่อเหลาเอาการทีเดียว

     

           “ต้องขอโทษด้วย” คนผมทองพึมพำพลางมองลงไปที่ปลายรองเท้าหนังของตน เอนหลังไปพิงกับผนังเคียงข้างร่างเพรียวที่กอดเข่าอยู่

     

           “เรื่องมันนานมาแล้วน่ะ” เธอหลับตา พิงหัวเข้ากับกำแพงแผ่นเดียวกับเขา

     

           เขาขมวดคิ้ว

     

           “ท่านควรไปเดินเล่นให้หายเครียด”

     

           ไม่รู้อะไรดลใจให้ตอบออกไป

           “ก็ดีเหมือนกัน”

     

           มือเรียวยื่นออกไปเกาะมือแกร่งที่ยื่นมาให้พยุงและดึงตนเองขึ้นมา

     

     

     

           ร่างเพรียวค่อยๆสาวเท้าเดินไปเคียงข้างร่างสูงตัดเข้าสู่สวนหย่อม เสียงหริ่งๆดังกังวาน

     

           ทั้งสองยังคงเงียบ

     

           ดวงตาสีฟ้าเทาเหลือบมองคนข้างกายแล้วหันกลับไปมองทางเหมือนเดิม

     

           ...โดยที่ไม่รู้ว่าเจ้าของเกราะสีทองก็ทำเช่นเดียวกันโดยที่แต่ละคนไม่ได้รู้ตัว...

     

           “ข้า...”

     

           “ข้า...”

     

           แถมยังพูดประโยคเดียวกันออกมาพร้อมกันอีกต่างหาก

     

           “ท่านก่อน” เธอยิ้มบางๆ

     

           “ข้าคิดว่า...รัดเกล้านี่เหมาะกับท่านนะ” ชายหนุ่มแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากล่าง

     

           “ขอบใจ”

     

           มือเรียวทัดปอยผมสีเข้มของตนกลับไปไว้หลังหูอย่างใจลอย

     

           “เกราะสีทองก็เข้ากับท่านเช่นกัน”

     

           รอยยิ้มถูกจุดขึ้นมาบนมุมปากของเขา ดวงตาสีฟ้าเปล่งประกายราวกับผืนน้ำ ส่งให้ใบหน้าดูน่ามองยิ่งขึ้นไปอีก

     

           “ท่านเป็นคนแรกที่ชมเกราะข้า”

     

           “คนอื่นชมอะไรล่ะ?” สคาดิเอียงใบหน้า มองรอยยิ้มนั่น

     

           “ใบหน้าข้า บอกว่าข้างดงามราวกับรูปสลัก”

     

           “เช่นนั้นก็ไม่ผิดนัก”

           เขาเหมือนกับรูปสลักหินอ่อนของเทพบุตรที่เธอเคยเห็นในพิพิธภัณฑ์ในมิดการ์ด(โทนี่พาไปเที่ยวน่ะ)จริงๆ

     

           เขาหัวเราะในลำคอ

     

           ดูมีเสน่ห์จนเธอต้องยิ้มตามไปด้วย

     

           “ถึงห้องข้าแล้ว” หญิงสาวหันไปทางประตูห้องที่อยู่ไกลจากพวกเขาไม่กี่ก้าว

     

           ทำไมเวลามันเดินเร็วจังนะ?

     

           “โอ้” เขาห่อปากเป็นรูปตัวโอ

           “ราตรีสวัสดิ์นะ”

     

           ร่างสูงพาเธอมาส่งหน้าห้องชุดและยิ้มให้

     

           “แล้วเจอกัน”

     

           “ผ้าเช็ดหน้าท่าน...” หญิงสาวยื่นมันคืนให้

     

           “ไม่เป็นไร ท่านเก็บไว้ก่อน...ซักให้ด้วยล่ะ” ดวงตาสีฟ้าอ่อนทอประกายหยอกล้อและดันมันกลับไป

     

           ขณะที่เขากำลังหันหลังเดินกลับนั่นเอง เธอก็เรียกไว้

     

           “ข้าจะหาท่านได้ที่ไหน?”

     

           ร่างสูงนิ่งไปสักพัก แล้วจึงค่อยๆผินหน้ามา เผยให้เห็นจมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากหน้าสัมผัส

     

           “วีดาร์แห่งวานาไฮม์...มีผู้เดียวเท่านั้นแหละ”

     

           รอยยิ้มชวนใจละลายถูกส่งมาอีกครั้ง

     

           “แล้วข้าจะรอนะ...องค์หญิงสคาดิ”

     

           วีดาร์...

           เขาชื่อวีดาร์







    Vidar of Vanaheim

    God of Revenge

     

     

    TALK WITH FM

    และแล้วเราก็เปิดตัวพระเอกแล้วนะค้าาาา

    ช่วงอาทิตย์นี้ไรท์มางานศพยายที่ต่างจังหวัดค่ะ ยายฝังวันพฤหัส

    กว่าจะหาไวไฟได้ เหนื่อยเลยค่ะ 5555

    ขอบคุณสำหรับทุกแรงสนับสนุนและแรงเชียร์นะคะ

    ด้วยรักและถุงกาว

    เฟิงมี่ค่ะ>3<


    ? cactus
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×