ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ☾รามเกียรติ์☽ ❖ ป ร ะ ก า ย พ รึ ก ❖ || oc

    ลำดับตอนที่ #1 : ✴ ประกายพรึก || โหมโรง

    • อัปเดตล่าสุด 25 พ.ย. 63


    ป ร ะ ก า ย พ รึ ก

    โหมโรง

     

     

           ดวงตาสีดำถ่านมองไปเหนือเนินอย่างเรียบนิ่ง สายลมที่พัดมาปัดเอาเส้นเกศาสีนิลกาฬที่ปรกเหนือใบหน้าหมดจดออกไป

     

           ม้าสีกะเลียวที่กำลังขี่อยู่ย่ำเท้าไปมาบนพื้นพสุธา พ่นลมหายใจออกทางจมูกเสียงฟืดฟาดราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างจนผู้เป็นเจ้าของต้องกระตุกบังเหียนแล้วตบแผงคอของมันเบาๆเพื่อให้มันสงบลง

     

           กำแพงเมืองสีขาวตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ห่างออกไปไม่ไกลนัก

     

           ความทรงจำเก่าๆย้อนกลับขึ้นมา มุมปากบิดโค้งขึ้นเป็นรอยแย้มสรวลเบาบาง

     

           เก้าปีแล้วนี่นะ...

     

           มือเรียวกระตุกบังเหียนเบาๆ ส่งให้สัตว์สี่ขาที่กำลังคึกอยากออกวิ่งเผ่นแผลวลงเนิน ควบทะยานออกไปด้วยความปราดเปรียวราวลูกธนู

     

           เมื่อมาถึงประตูบานใหญ่กว้างที่เปิดอ้าออก ร่างเพรียวลมก็ชะลอม้าลงแล้วพามันย่างเหยาะผ่านเข้าไปด้วยท่วงท่างามสง่าคล้ายผู้ที่ถูกสอนวิชาเชิงเช่นนี้มาอย่างดี

     

           มือข้างหนึ่งยังคงอยู่ที่บังเหียน อีกข้างแตะด้ามกริชที่เหน็บอยู่ข้างเอว ไล้นิ้วเล่นบนนั้นขณะที่เคลื่อนผ่านท้องถนน

     

           อืม...

     

           แผงลอยยังคงเยอะเหมือนเดิม

     

           พ่อค้าแม่ขายต่างร้องโฆษณาสินค้าของตนเอง เขี้ยวที่งอกออกมาบ่งบอกถึงพงศ์พันธุ์ตระกูลอสุรา

     

           ใบหน้าหมดจดผิดกับยักษ์ทั่วไปแหงนขึ้น หลับตาลงและสูดหายใจลึก

     

           แม้แต่กลิ่นก็ยังคล้ายเดิม

     

           ร่างเพรียวบังคับม้าฝ่าฝูงชนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงบริเวณหน้าร้านแผงลอยแห่งหนึ่งที่มีลูกค้าไม่มากนัก กลิ่นหอมของเครื่องอบควันเทียนฟุ้งไปทั่วบริเวณ

     

           ความทรงจำสมัยยังเด็กแวบเข้ามาในหัว

     

           บนใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆอีกครั้ง มือเรียวตบลงกับหลังสัตว์พาหนะแล้วเลื่อนกายลงไป จูงม้าสีสวยเดินเข้าไปตรงแผงนั้น

     

           “ถ้วยฟูสามชิ้นจ้ะ” เสียงที่ใสเกินกว่าจะเป็นบุรุษเพศว่า ทำให้ยักษิณีวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมาดู ก่อนจะยิ้มรับรีบๆแล้วหยิบขนมฟูนุ่มหลากสีใส่ในห่อใบตอง แต่ทันใดนั้นก็หยุดชะงักราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ มือสากๆอย่างผู้ทำงานหนักที่สั่นเทาจากความตกใจสะกิดแขนเหี่ยวย่นของยายยักษ์แก่ซึ่งกำลังสาละวนอยู่กับการนำขนมชุดต่อไปออกมาจากหม้อนึ่งยิกๆ

     

           “ม-แม่...”

     

           “เออ มีอะไร?” ผู้โดนสะกิดไม่ได้หันมา แถมยังตอบเสียงสะบัดๆ

     

           “แม่ หัน-หันมา”

     

           “โอ๊ย” คู่สนทนาเบือนหน้ามาหาลูกในที่สุด

    “อะไรเล่านังมนสร...”

     

    ทันทีที่เห็นใบหน้าของอสุราผู้กำลังยืนอยู่ข้างแผง ดวงตาที่ฝ้าฟางก็เบิกกว้าง มือและปากค่อยๆสั่นเทาขณะที่น้ำตาไหลกลิ้งลงไปตามผิวที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลา

     

    “โอ...” เสียงของยายยักษ์สั่นสะท้าน

    “ท-ท่าน ท่าน...”

     

    ร่างเพรียวยิ้มรับบางๆ ใบหน้าสลดไปแวบหนึ่งก่อนจะยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปาก

     

    “อย่าเอ็ดไปจ้ะยาย เดี๋ยวทั้งตลาดจะตื่นกัน”

     

    มนสรและมารดาพยักหน้าหงึกๆ ส่งห่อใบตองใส่ขนมให้ด้วยมือที่ไม่มั่นคงก่อนจะรับเหรียญเงินมาใส่ลงในตะกร้าอย่างพิถีพิถัน

     

    เจ้าของม้าสีกะเลียวสง่างามยกมือขึ้นไหว้รอบหนึ่งอย่างนอบน้อม ก่อนจะตวัดกายขึ้นบนอัศดรแล้วบังคับมันเดินจากไป ทิ้งให้ยักษ์หลังแผงลอยทั้งสองตะลึงลาน

     

    “ช่างเหมือนกับท่านเจ้าขรเหลือเกิน” มนสรพึมพำ ขณะที่ผู้มีอายุมากกว่าปาดน้ำตาที่ไหลพรากด้วยความปลื้มปิติ

     

    “ข้าตายตาหลับแล้ว นังมนสรเอ้ย”

     

    “แม่ก็เกินไป” ลูกสาวกรอกตา ทั้งๆที่ในใจเต้นกระหน่ำอย่างลิงโลด อยากจะประกาศให้คนทั้งเมืองรู้ซะเดี๋ยวนั้นว่าท่านเจ้าองค์เล็กคืนนครแล้ว...หากไม่ติดที่ว่าเจ้าตัวห้ามไว้

     

           ฝ่ายท่านเจ้าองค์เล็กนั้นก็กำลังนั่งอยู่บนม้าอย่างสบายใจ นิ้วเรียวหยิบขนมขึ้นมากัดคำโต ก่อนจะหลับเนตรลงด้วยความชอบใจ

     

           “ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ”

     

           หอม นุ่ม หวานกำลังดี...อร่อยเหมือนวันวาน

     

           ประตูหินสีขาวอีกบานอยู่ด้านหน้า ลายกนกอ่อนช้อยปรานีตบนขอบถูกแกะเป็นรูปนกเกาะเถาวัลย์ ทหารยักษ์สองตัวซึ่งเฝ้าอยู่ที่ทางเข้ายื่นหอกออกมาขวางไม่ให้ม้าเดินต่อทันทีที่นางมาถึง

     

           “มีธุระอะไร?” เขาถามเสียงห้วนๆ

     

           ใบหน้าหมดจดเอียงเล็กน้อย

           “มาถึงตรงนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะเข้าไปซื้อปลารึ?”

     

           ดวงตาของทั้งสองมีแววไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเดิม

     

           “หากไม่ยอมแจ้ง ข้าจะเรียกท่านนายกอง”

     

           อสุรีสาวเลิกคิ้ว ท่าทางยียวนกว่าเดิม

     

           “ก็เอาสิ”

     

           ยักษาตนนั้นมีท่าทีกระฟัดกระเฟียดขณะที่รีบรุดเข้าไปด้านใน ทิ้งเพื่อนผู้มีสีหน้าถมึงทึงพอกันไว้กับนาง

     

           รอยยิ้มบนมุมปากดูคล้ายจะกดลึกขึ้นเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ในเสื้อสีน้ำเงินขาบเป็นมันเลื่อมเดินถือกระบี่มาทางประตูวังพร้อมกับทหารอีกส่วนหนึ่ง

     

           ร่างเพรียวชักม้าสะบัดเข้าไปหาอีกสองสามก้าวก่อนจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ราวกำลังรอคอย

     

           “เจ้าเป็นผู้ใด?” อสุราหนุ่มกายสีม่วงอ่อนร้องถามเสียงเคร่งขรึม

     

           ดวงตาสีนิลกาฬหยีลงเล็กน้อยเมื่อผู้อยู่บนหลังม้ายกยิ้มและหัวเราะหึออกมาคำหนึ่งเบาๆ

     

           “มีอะไรน่าขัน?” เขาขมวดคิ้ว ดวงตาเย็นเยียบลงกว่าเดิม

     

           รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้าหมดจด นางมองเขาขึ้นๆลงๆ

           “เจ้าเปลี่ยนไปเยอะนะ”

     

           เขาคงจำนางแทบไม่ได้แล้ว

     

           สีหน้าของยักษ์ร่างสูงแข็งค้าง ก่อนที่มันจะถมึงทึงลง ดวงตาจระเข้สีเข้มหรี่ลง

     

           “แจ้งนามของเจ้ามา อสุรี” เขาย้ำ

     

           นางกรอกตา

           “ให้ตายเถอะอนล ถามกันดีๆหน่อยไม่ได้รึไง?”

     

           ใบหน้าคมเข้มของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงเมื่อนางเอ่ยนาม

     

           “จ-เจ้า”

     

           “อะไรกัน” นางขมวดคิ้ว ปากยื่นออกมาน้อยๆเหมือนกำลังน้อยใจ

           “ไม่ได้เจอกันไม่กี่ปีก็จำข้าไม่ได้แล้วรึไง?”

     

           อนลเพ่งมองใบหน้าหมดจดของนาง

     

           ดวงตาสีดำถ่าน

           กายสีดอกเลา

           ประพิมพ์ประพายคล้ายกับท่านเจ้าขรอย่างไม่น่าเชื่อ

     

           เดี๋ยวนะ...

           คล้ายท่านเจ้าขร?

     

           ทันใดนั้น ราวกับความตระหนักอย่างหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว

     

           หรือว่า...

     

           “ท่านเจ้า...” เสียงของเขาแผ่วหวิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

     

           อีกฝ่ายเพียงพยักหน้ารับเบาๆ

           “ยินดีที่ได้เจอกันอีก อนล”

     

           ไม่กี่อึดใจต่อมา ม้าสีกะเลียวของนางก็ถูกนำไปพักที่คอกหลวงโดยหนึ่งในนายประตูที่เพิ่งแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบนางและหน้าซีดเมื่อทราบว่าอสุรีไร้ความเคารพนั้นคือผู้ใด

     

           ร่างเพรียวก้าวไปตามทางเดินหินอ่อนโดยมีนายกองหนุ่มเคียงข้าง

     

           “ข้าหายไปนาน เจ้าพี่กับเจ้าแม่เป็นอย่างไรบ้าง?”

     

           “ทั้งสามพระองค์สำราญดีขอรับ” เขาก้มหัวเล็กน้อย

     

           รอยยิ้มมุมปากปรากฎขึ้น ดวงตาสีเข้มมองตรงไปด้านหน้า

           “ลำบากเจ้าแล้ว”

     

           “หามิได้”

     

           ทั้งสองหยุดลงตรงหน้าบานประตูใหญ่ที่เปิดกว้าง ภายในคือสวนสวยขนาดใหญ่

     

           อสุรีสูดหายใจลึก แล้วเดินนำอนลเข้าไป

     

           เสียงอาวุธกระทบกันดังแว่วมา

     

           นางยิ้มบางๆเมื่อมองไปรอบกาย

           ความทรงจำตอนเด็กๆที่เคยวิ่งเล่นกับพี่ๆย้อนเข้ามาในหัว

     

           กว่าจะรู้ตัว สองขาก็หยุดลงที่ข้างศาลากลางสวนเสียแล้ว

     

           ดวงตาสีนิลมองไปตรงลานหญ้าที่อยู่ตรงหน้า

     

           ร่างสูงสง่าของผู้ที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายกำลังกรีดกรายร่ายดาบฝึกซ้อมอยู่กับทหารอีกคน แผ่นหลังเปลือยเปล่าสีเขียวอ่อนอุดมไปด้วยมัดกล้ามที่หนาแน่นขึ้นมามากจากครั้งก่อนที่เจอกัน

     

           นางเบนสายตามาสบกับยักษ์หนุ่ม

     

           เขายิ้มให้กำลังใจกลับมาเบาๆก่อนจัดสินใจเอื้อนเอ่ยเรียก

     

           “ท่านเจ้ามังกรกัณฐ์ขอรับ”

     

           อสุรากายสีเขียวหันกลับมา ดวงหน้าคมคายชุ่มเหงื่อนั้นยังคงเหมือนกับในความทรงจำของนาง

     

           เนตรสีเข้มคู่นั้นชายมาก่อนจะขมวดคิ้วน้อยๆอย่างไม่เชื่อตาตนเอง

     

           มังกรกัณฐ์ยื่นดาบให้กับคู่ซ้อมแล้วเดินตรงมาที่นาง ทุกย่างก้าวค่อยๆเร็วขึ้นเรื่อยๆราวกับกลัวนางจะหายไปเสียก่อน

     

           ในที่สุด เขาก็หยุดยืนตรงหน้าร่างเพรียวของนางที่สูงเลยระดับหูมาเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่างปนกัน ดวงตาสั่นไหว แม้แต่จังหวะลมหายใจก็ไม่มั่นคง

     

           “เนมิธา”

     

           นางยิ้ม

     

           เป็นการยิ้มที่กว้างที่สุดนับแต่เข้าโรมคัลมา

     

           “...เจ้าพี่มังกรกัณฐ์”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×