คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ✴ ประกายพรึก || โหมโรง
ป ร ะ ก า ย พ รึ ก
โหมโรง
ดวงตาสีดำถ่านมองไปเหนือเนินอย่างเรียบนิ่ง
สายลมที่พัดมาปัดเอาเส้นเกศาสีนิลกาฬที่ปรกเหนือใบหน้าหมดจดออกไป
ม้าสีกะเลียวที่กำลังขี่อยู่ย่ำเท้าไปมาบนพื้นพสุธา
พ่นลมหายใจออกทางจมูกเสียงฟืดฟาดราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างจนผู้เป็นเจ้าของต้องกระตุกบังเหียนแล้วตบแผงคอของมันเบาๆเพื่อให้มันสงบลง
กำแพงเมืองสีขาวตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
ห่างออกไปไม่ไกลนัก
ความทรงจำเก่าๆย้อนกลับขึ้นมา
มุมปากบิดโค้งขึ้นเป็นรอยแย้มสรวลเบาบาง
เก้าปีแล้วนี่นะ...
มือเรียวกระตุกบังเหียนเบาๆ
ส่งให้สัตว์สี่ขาที่กำลังคึกอยากออกวิ่งเผ่นแผลวลงเนิน
ควบทะยานออกไปด้วยความปราดเปรียวราวลูกธนู
เมื่อมาถึงประตูบานใหญ่กว้างที่เปิดอ้าออก
ร่างเพรียวลมก็ชะลอม้าลงแล้วพามันย่างเหยาะผ่านเข้าไปด้วยท่วงท่างามสง่าคล้ายผู้ที่ถูกสอนวิชาเชิงเช่นนี้มาอย่างดี
มือข้างหนึ่งยังคงอยู่ที่บังเหียน
อีกข้างแตะด้ามกริชที่เหน็บอยู่ข้างเอว ไล้นิ้วเล่นบนนั้นขณะที่เคลื่อนผ่านท้องถนน
อืม...
แผงลอยยังคงเยอะเหมือนเดิม
พ่อค้าแม่ขายต่างร้องโฆษณาสินค้าของตนเอง
เขี้ยวที่งอกออกมาบ่งบอกถึงพงศ์พันธุ์ตระกูลอสุรา
ใบหน้าหมดจดผิดกับยักษ์ทั่วไปแหงนขึ้น
หลับตาลงและสูดหายใจลึก
แม้แต่กลิ่นก็ยังคล้ายเดิม
ร่างเพรียวบังคับม้าฝ่าฝูงชนไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งถึงบริเวณหน้าร้านแผงลอยแห่งหนึ่งที่มีลูกค้าไม่มากนัก
กลิ่นหอมของเครื่องอบควันเทียนฟุ้งไปทั่วบริเวณ
ความทรงจำสมัยยังเด็กแวบเข้ามาในหัว
บนใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆอีกครั้ง
มือเรียวตบลงกับหลังสัตว์พาหนะแล้วเลื่อนกายลงไป จูงม้าสีสวยเดินเข้าไปตรงแผงนั้น
“ถ้วยฟูสามชิ้นจ้ะ”
เสียงที่ใสเกินกว่าจะเป็นบุรุษเพศว่า ทำให้ยักษิณีวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมาดู
ก่อนจะยิ้มรับรีบๆแล้วหยิบขนมฟูนุ่มหลากสีใส่ในห่อใบตอง
แต่ทันใดนั้นก็หยุดชะงักราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้
มือสากๆอย่างผู้ทำงานหนักที่สั่นเทาจากความตกใจสะกิดแขนเหี่ยวย่นของยายยักษ์แก่ซึ่งกำลังสาละวนอยู่กับการนำขนมชุดต่อไปออกมาจากหม้อนึ่งยิกๆ
“ม-แม่...”
“เออ
มีอะไร?” ผู้โดนสะกิดไม่ได้หันมา แถมยังตอบเสียงสะบัดๆ
“แม่
หัน-หันมา”
“โอ๊ย”
คู่สนทนาเบือนหน้ามาหาลูกในที่สุด
“อะไรเล่านังมนสร...”
ทันทีที่เห็นใบหน้าของอสุราผู้กำลังยืนอยู่ข้างแผง
ดวงตาที่ฝ้าฟางก็เบิกกว้าง มือและปากค่อยๆสั่นเทาขณะที่น้ำตาไหลกลิ้งลงไปตามผิวที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลา
“โอ...” เสียงของยายยักษ์สั่นสะท้าน
“ท-ท่าน ท่าน...”
ร่างเพรียวยิ้มรับบางๆ
ใบหน้าสลดไปแวบหนึ่งก่อนจะยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปาก
“อย่าเอ็ดไปจ้ะยาย
เดี๋ยวทั้งตลาดจะตื่นกัน”
มนสรและมารดาพยักหน้าหงึกๆ
ส่งห่อใบตองใส่ขนมให้ด้วยมือที่ไม่มั่นคงก่อนจะรับเหรียญเงินมาใส่ลงในตะกร้าอย่างพิถีพิถัน
เจ้าของม้าสีกะเลียวสง่างามยกมือขึ้นไหว้รอบหนึ่งอย่างนอบน้อม
ก่อนจะตวัดกายขึ้นบนอัศดรแล้วบังคับมันเดินจากไป
ทิ้งให้ยักษ์หลังแผงลอยทั้งสองตะลึงลาน
“ช่างเหมือนกับท่านเจ้าขรเหลือเกิน”
มนสรพึมพำ ขณะที่ผู้มีอายุมากกว่าปาดน้ำตาที่ไหลพรากด้วยความปลื้มปิติ
“ข้าตายตาหลับแล้ว
นังมนสรเอ้ย”
“แม่ก็เกินไป”
ลูกสาวกรอกตา ทั้งๆที่ในใจเต้นกระหน่ำอย่างลิงโลด อยากจะประกาศให้คนทั้งเมืองรู้ซะเดี๋ยวนั้นว่าท่านเจ้าองค์เล็กคืนนครแล้ว...หากไม่ติดที่ว่าเจ้าตัวห้ามไว้
ฝ่ายท่านเจ้าองค์เล็กนั้นก็กำลังนั่งอยู่บนม้าอย่างสบายใจ
นิ้วเรียวหยิบขนมขึ้นมากัดคำโต ก่อนจะหลับเนตรลงด้วยความชอบใจ
“ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ”
หอม
นุ่ม หวานกำลังดี...อร่อยเหมือนวันวาน
ประตูหินสีขาวอีกบานอยู่ด้านหน้า
ลายกนกอ่อนช้อยปรานีตบนขอบถูกแกะเป็นรูปนกเกาะเถาวัลย์
ทหารยักษ์สองตัวซึ่งเฝ้าอยู่ที่ทางเข้ายื่นหอกออกมาขวางไม่ให้ม้าเดินต่อทันทีที่นางมาถึง
“มีธุระอะไร?”
เขาถามเสียงห้วนๆ
ใบหน้าหมดจดเอียงเล็กน้อย
“มาถึงตรงนี้
เจ้าคิดว่าข้าจะเข้าไปซื้อปลารึ?”
ดวงตาของทั้งสองมีแววไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเดิม
“หากไม่ยอมแจ้ง
ข้าจะเรียกท่านนายกอง”
อสุรีสาวเลิกคิ้ว
ท่าทางยียวนกว่าเดิม
“ก็เอาสิ”
ยักษาตนนั้นมีท่าทีกระฟัดกระเฟียดขณะที่รีบรุดเข้าไปด้านใน
ทิ้งเพื่อนผู้มีสีหน้าถมึงทึงพอกันไว้กับนาง
รอยยิ้มบนมุมปากดูคล้ายจะกดลึกขึ้นเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ในเสื้อสีน้ำเงินขาบเป็นมันเลื่อมเดินถือกระบี่มาทางประตูวังพร้อมกับทหารอีกส่วนหนึ่ง
ร่างเพรียวชักม้าสะบัดเข้าไปหาอีกสองสามก้าวก่อนจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ราวกำลังรอคอย
“เจ้าเป็นผู้ใด?”
อสุราหนุ่มกายสีม่วงอ่อนร้องถามเสียงเคร่งขรึม
ดวงตาสีนิลกาฬหยีลงเล็กน้อยเมื่อผู้อยู่บนหลังม้ายกยิ้มและหัวเราะหึออกมาคำหนึ่งเบาๆ
“มีอะไรน่าขัน?”
เขาขมวดคิ้ว ดวงตาเย็นเยียบลงกว่าเดิม
รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้าหมดจด
นางมองเขาขึ้นๆลงๆ
“เจ้าเปลี่ยนไปเยอะนะ”
เขาคงจำนางแทบไม่ได้แล้ว
สีหน้าของยักษ์ร่างสูงแข็งค้าง
ก่อนที่มันจะถมึงทึงลง ดวงตาจระเข้สีเข้มหรี่ลง
“แจ้งนามของเจ้ามา
อสุรี” เขาย้ำ
นางกรอกตา
“ให้ตายเถอะอนล
ถามกันดีๆหน่อยไม่ได้รึไง?”
ใบหน้าคมเข้มของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงเมื่อนางเอ่ยนาม
“จ-เจ้า”
“อะไรกัน”
นางขมวดคิ้ว ปากยื่นออกมาน้อยๆเหมือนกำลังน้อยใจ
“ไม่ได้เจอกันไม่กี่ปีก็จำข้าไม่ได้แล้วรึไง?”
อนลเพ่งมองใบหน้าหมดจดของนาง
ดวงตาสีดำถ่าน
กายสีดอกเลา
ประพิมพ์ประพายคล้ายกับท่านเจ้าขรอย่างไม่น่าเชื่อ
เดี๋ยวนะ...
คล้ายท่านเจ้าขร?
ทันใดนั้น
ราวกับความตระหนักอย่างหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว
หรือว่า...
“ท่านเจ้า...”
เสียงของเขาแผ่วหวิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อีกฝ่ายเพียงพยักหน้ารับเบาๆ
“ยินดีที่ได้เจอกันอีก
อนล”
ไม่กี่อึดใจต่อมา
ม้าสีกะเลียวของนางก็ถูกนำไปพักที่คอกหลวงโดยหนึ่งในนายประตูที่เพิ่งแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบนางและหน้าซีดเมื่อทราบว่าอสุรีไร้ความเคารพนั้นคือผู้ใด
ร่างเพรียวก้าวไปตามทางเดินหินอ่อนโดยมีนายกองหนุ่มเคียงข้าง
“ข้าหายไปนาน
เจ้าพี่กับเจ้าแม่เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ทั้งสามพระองค์สำราญดีขอรับ”
เขาก้มหัวเล็กน้อย
รอยยิ้มมุมปากปรากฎขึ้น
ดวงตาสีเข้มมองตรงไปด้านหน้า
“ลำบากเจ้าแล้ว”
“หามิได้”
ทั้งสองหยุดลงตรงหน้าบานประตูใหญ่ที่เปิดกว้าง
ภายในคือสวนสวยขนาดใหญ่
อสุรีสูดหายใจลึก
แล้วเดินนำอนลเข้าไป
เสียงอาวุธกระทบกันดังแว่วมา
นางยิ้มบางๆเมื่อมองไปรอบกาย
ความทรงจำตอนเด็กๆที่เคยวิ่งเล่นกับพี่ๆย้อนเข้ามาในหัว
กว่าจะรู้ตัว
สองขาก็หยุดลงที่ข้างศาลากลางสวนเสียแล้ว
ดวงตาสีนิลมองไปตรงลานหญ้าที่อยู่ตรงหน้า
ร่างสูงสง่าของผู้ที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายกำลังกรีดกรายร่ายดาบฝึกซ้อมอยู่กับทหารอีกคน
แผ่นหลังเปลือยเปล่าสีเขียวอ่อนอุดมไปด้วยมัดกล้ามที่หนาแน่นขึ้นมามากจากครั้งก่อนที่เจอกัน
นางเบนสายตามาสบกับยักษ์หนุ่ม
เขายิ้มให้กำลังใจกลับมาเบาๆก่อนจัดสินใจเอื้อนเอ่ยเรียก
“ท่านเจ้ามังกรกัณฐ์ขอรับ”
อสุรากายสีเขียวหันกลับมา
ดวงหน้าคมคายชุ่มเหงื่อนั้นยังคงเหมือนกับในความทรงจำของนาง
เนตรสีเข้มคู่นั้นชายมาก่อนจะขมวดคิ้วน้อยๆอย่างไม่เชื่อตาตนเอง
มังกรกัณฐ์ยื่นดาบให้กับคู่ซ้อมแล้วเดินตรงมาที่นาง
ทุกย่างก้าวค่อยๆเร็วขึ้นเรื่อยๆราวกับกลัวนางจะหายไปเสียก่อน
ในที่สุด
เขาก็หยุดยืนตรงหน้าร่างเพรียวของนางที่สูงเลยระดับหูมาเล็กน้อย
ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่างปนกัน ดวงตาสั่นไหว
แม้แต่จังหวะลมหายใจก็ไม่มั่นคง
“เนมิธา”
นางยิ้ม
เป็นการยิ้มที่กว้างที่สุดนับแต่เข้าโรมคัลมา
“...เจ้าพี่มังกรกัณฐ์”
ความคิดเห็น