ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ˹KNY˼ ❀古代の血 | เลือดบรรพกาล ⊳ giyuu t. x oc.

    ลำดับตอนที่ #3 : ❀ เ ลื อ ด ห ย ด ที่ ส อ ง.

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.พ. 65


    เ ลื    ด ห ย ด ที่ ส อ ง

     

     


           ลมหายใจที่พ่นออกมาจับเป็นควันขาวขณะที่ร่างบางในชุดกิโมโนคลุมฮาโอริบางๆวิ่งผ่านระเบียงไม้ออกไปที่สวนสีขาวเต็มไปด้วยหิมะ

     

           “มุซัน!!” รอยยิ้มที่มักจะถูกคนผู้หนึ่งเรียกว่ายิ้มบ้าใบ้ประดับบนใบหน้าอ่อนเยาว์

     

           ร่างสูงโปร่งในยูกาตะสีดำสนิทหันมา

     

           “แหกปากโวยวายอะไรแต่เช้า?” ดวงตาสีแดงราวกับทับทิมเปื้อนเลือดนั้นวูบวาบเมื่อต้องแสงอาทิตย์เหมันต์

     

           “อรุณสวัสดิ์” ฮิซาเอะหยุดยืน รอยยิ้มขยายกว้างกว่าเดิม

           “ขึ้นไปทำอะไรข้างบนนั้น?”

     

           เด็กหนุ่มที่บัดนี้ย่างเข้าสู่วัยฉกรรจ์เลิกคิ้ว

           “หา?”

     

           “ไม่ยักรู้ว่าเจ้าปีนต้นไม้เก่ง” ดวงตาสีเขียวฟ้าสดใสกวาดมองคู่สนทนาที่ตอนนี้กำลังนอนเอกเขนกอยู่บนกิ่งไม้หนาแข็งแรงสีเข้มของต้นซากุระ

           “ไม่หนาวเหรอ มุซัน?”

     

           “เจ้านั่นแหละ” เขาเลื่อนมือที่หนุนหัวแทนหมอนลงมากอดอก

           “ฮาโอริบางเท่ากระดาษ เดี๋ยวก็แข็งตาย”

     

           เด็กสาวหัวเราะ

           “ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่เป็นไร”

     

           นับจากวันแรกที่รู้จักกันก็ล่วงมาเกือบปีแล้ว

     

           รู้สึก...เหมือนจะสนิทกันมากขึ้นหน่อยนึง

     

           อย่างน้อยเธอก็ถือว่างั้นแหละนะ

     

           “เจ้าล่ะ” เธอถามกลับ

           “ยาได้ผลบ้างไหม? ร่างกายเป็นยังไงบ้าง?”

     

           เขานิ่งไป

           “...ได้ผลบ้าอะไร ข้ายังหยุดหายใจเหมือนเดิม”

     

           “ใจเย็นๆน่า...” ร่างบางเดินไปนั่งใต้ต้นซากุระ เงยหน้ามองเขา

           “ท่านหมอก็บอกเองว่ารับยาอีกรอบสองรอบก็หายดีแล้ว”

     

           เขาขบกรามแน่น เมินหน้าหนีเธอไม่พูดอะไรอีก

     

           ฮิซาเอะยิ้มบาง ยื่นมือขึ้นไปดึงชายยูกาตะสีดำนั้นเล่น

     

           เขาแยกเขี้ยวเบาๆ

     

           “ฮิซาเอะ อย่าซน”

     

           ลืมไปเลย...

           ได้เรียกชื่อจริงกันแล้วด้วยล่ะ

     

           “เจ้ายิ้มหน่อยเถอะ...” เธอลากเสียงยาว

           “ยิ้มหน่อยเถอะนะ”

     

           “ทำไมข้าต้องทำอย่างนั้นด้วย?”

     

           “มุซันน่ะ ยิ้มสวยจะตาย...ไม่ยิ้มบ่อยๆมันเสียของนะ”

     

           คิ้วเข้มนั้นกระตุกริกๆ เขาเสสายตาหันหน้าไปอีกทางทันที

           “...บ้าบอ”

     

           ฮิซาเอะหัวเราะร่วน

     

           เธอนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น มองดูเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นลงบนปุยสีขาวนุ่ม

     

           สงบดีจังเลยนะ

     

           ทันใดนั้น ร่างบางก็งอตัวลง

     

           ความเจ็บร้าวในอกแล่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทุกลมหายใจคือความรู้สึกอึกอัดและจุก

     

           เด็กสาวไอออกมา เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดออกย้อมสีหิมะเป็นทางราวกับจิตรกรที่สาดสีลงบนผืนผ้าใบ

     

           “โอย ไม่ไหวเลย...” เธอเงยหน้าขึ้นยิ้มแห้งๆให้กับเขา หยดของเหลวข้นคาวไหลหยดลงจากมุมปาก

           “ขอโทษทีนะ ต้องมากระอักเลือดต่อหน้าเจ้าอีกจนได้”

     

           เขามองเธอนิ่งด้วยดวงตาสีแดงคู่นั้น ก่อนจะเหวี่ยงตัวลงจากกิ่งไม้

     

           เธอสะดุ้งเมื่อมือสีซีดของคนตัวสูงกว่าคว้าจับมือของเธอไว้จากการยกขึ้นเช็ดทำความสะอาด

     

           “กิโมโนเจ้าสีอ่อนแท้ๆ เช็ดแบบนี้ได้ติดเป็นคราบพอดี...ลำบากคนซักอีก” เขาจิ๊ปาก ยกชายเสื้อสีดำสนิทขึ้นเช็ดริมฝีปากเธอด้วยแรงที่ไม่น้อยนัก

           “ให้ตายสิ ไม่รู้จักดูแลตัวเองซะเลย ผ้าเช็ดหน้าก็ไม่พก”

     

           เด็กสาวหัวเราะเบาๆ

     

           “ขอโทษค่ะ...”

     

           “ลำบากข้าต้องมาคอยดูเจ้าอีก” เด็กหนุ่มพึมพำคิ้วขมวด ถูเช็ดชายเสื้อไปตามคอที่เลอะเลือดเล็กน้อย

           “...ยังเจ็บอยู่มั้ย?”

     

           “ไม่แล้วล่ะ” รอยยิ้มสดใสราวกับภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นถูกจุดขึ้นบนริมฝีปากอิ่ม

           “ขอบใจนะ”

     

           ดวงตาดูอันตรายคู่นั้นหรี่มองเธอครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะย่นริมฝีปากแล้วเขกหัวเธอ

     

           “โอ๊ย มุซัน!!” มือบางยกขึ้นกุมบริเวณที่โดนพลางร้องโอดโอย

     

           “วันหลังก็หัดพกผ้าเช็ดหน้าด้วย” เขาเอ่ยเสียงเรียบ ลุกขึ้นแล้วสะบัดชายเสื้อคลุมเดินกลับเรือน

     

           “...เข้าใจแล้วค่ะ” ได้แต่ขานรับเสียงอ่อย

     

           เมื่อเห็นเงานั้นกำลังจะลับไปจากสายตา เธอก็หลุดร้อง

           “เดี๋ยว...นี่ รอข้าด้วยสิ”

     

           “ชักช้า” เขากดเสียงต่ำอย่างรำคาญ แต่ก็หยุดยืนอยู่ที่หน้าบันไดขึ้นไปบนระเบียงไม้

     

           “มาแล้วๆ อย่าบ่นสิ” เท้าบางในรองเท้าเกี๊ยะถลาผ่านพื้นนุ่มๆสีขาวไปหาเขาอย่างรวดเร็ว

     

           “ไปกินข้าวเช้ากันเถอะ ข้าหิวแล้ว”

     

           “ใครอยากไปกินกับเจ้าไม่ทราบ?”

     

           “วันนี้มีไก่ฟ้ารมควันย่างด้วยนะ ได้ยินพวกที่ครัวเขาบอกกัน”

     

           ร่าวผอมสูงราวกับต้นไผ่สีดำทะมึนนั้นนิ่งงันไป และถ้าสังเกตุดีๆจะเห็นว่าดวงตาสีแดงวูบไหว

     

           ก็ของโปรดนี่นา...

     

           เขาแค่นเสียงเหอะ

     

           “ข้าสมเพชที่เจ้าไม่มีเพื่อนกินข้าวหรอกนะ”

     

           “มุซันสุดยอด!” ฮิซาเอะยิ้มกว้างจนตาแทบปิด ฟันขาวเรียงกันเป็นระเบียบ

     

           “เหอะ” เขาแค่นเสียงในลำคอ ยกมือขึ้นผลักใบหน้าของเธอ

           “...น่าเกลียด”

     

           เธอหัวเราะ

     

           “ขอบคุณนะ”

     

           แว่วเสียงจิ๊ปากเบาๆจากเด็กหนุ่มข้างกาย

     

           เงาร่างของเด็กวัยแรกรุ่นสองคนเดินเคียงกันไปตามทางเดินไม้ ร่างหนึ่งสูงชะลูด อีกร่างเล็กบอบบาง

     

           ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองเดินไปด้วยกัน

     

           และไม่ใช่ครั้งสุดท้าย

     

           ใครจะไปรู้...

           ว่าเส้นทางที่พวกเขาเดินไปนั้น จะทอดยาวไปอีกหลายศตวรรษ

     

     

     

     


     

     

     

     


     

           ดวงตาสีเขียวก้มลงมองมือขาวซีดที่กำลังช่วยเธอเก็บเสื้อผ้าที่ทำตกพื้น

     

           “เล็บเจ้ายาวขึ้นอีกแล้ว”

     

           “อา” มุซันก้มลงมอง

           “คงอย่างนั้น”

     

           ดวงตาสีแดงเลือดเบนมาที่เธอ

     

           “ช่วงนี้เจ้าดูอ่อนแรงแปลกๆนะ”

     

           “ไม่มีอะไรหรอก” ฮิซาเอะยิ้ม

           “สงสัยคงจะเป็นผลของยาล่ะมั้ง”

     

           เขาแค่นเสียงเหอะ

     

           “ขนาดผ้าเบาๆยังทำตก จะเอาแรงที่ไหนไปรักษาตัวเอง”

     

           “เดี๋ยวก็หายน่า” เธอหัวเราะ

     

           “คิบุทสึจิ ยามิอุตะ” หมอคนหนึ่งร้องเรียกจากในโถงใหญ่ เรียกสายตาทั้งสองคู่ไปหา

     

           “พวกเจ้าขึ้นมารับยาได้แล้ว”

     

           “ค่ะ” เด็กสาวกอบผ้าทั้งหมดขึ้นมาในอ้อมแขน

           “อีกสักครู่”

     

           เธอวางของลงในตะกร้าที่ระเบียงแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งผ่านประตูทางเดินเข้าไปพร้อมกับร่างผอมสูงของอีกคน

     

           กลิ่นยาอบอวลไปทั่วโถงขณะที่ร่างบางในยูคาตะสีฟ้าอ่อนก้าวผ่านธรณีประตู ลัดเลาะไปตามแถวเตียงสนามแล้วเดินไปหาท่านหมอใหญ่ในห้องปรุงยา

     

           “ท่านหมอคะ”

     

           “แม่หนู” ชายวัยกลางคนหันมาส่งยิ้มให้ ก่อนจะหันกลับไปที่หม้อยาซึ่งยังคงคลุ้งไปด้วยควันความร้อน

     

           “ยาเสร็จแล้วหรือครับ?” มุซันทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเธอ

     

           “ใช่แล้วล่ะ” ผู้อาวุโสกว่ายื่นจอกยาให้เธอ

           “อันนี้ของเจ้านะ แม่หนู...ส่วนอันนี้ของพ่อหนุ่ม”

     

           “ขอบคุณค่ะ”

     

           “ขอบคุณครับ”

     

           เขายิ้มกว้าง มือยกขึ้นปาดเหงื่อที่ผุดตามไรผม

     

           “รับยาอีกรอบเดียวเจ้าก็น่าจะหายแล้วล่ะนะ”

     

           “ค่ะ” เธอกระดกยาลงคอรวดเดียว กลิ่นสมุนไพรตีขึ้นมาในจมูกจนนึกอยากจะอาเจียนแต่ก็ห้ามตัวเองเอาไว้ได้

     

           “ท่านหมอครับ” เด็กหนุ่มผมดำเงยหน้าขึ้น จอกยาในมือว่างเปล่าแล้ว

     

           ...กินเร็วแฮะ

     

           “ท่านหมอปรุงยาจากอะไรหรือครับ?”

     

           “อ๋อ ฮิกังสีน้ำเงินน่ะ”

     

           ฮิกังบานะ...

           มันมีสีน้ำเงินด้วยเหรอ?

     

           “ฮิกังสีน้ำเงินงั้นเหรอคะ?”

     

           “ใช่ หายากมากเลยแหละ แต่ก็หาเจอจนได้” อีกฝ่ายหัวเราะ

           “แต่ว่า...ยามันมีผลข้างเคียงนะ”

     

           “...ร้ายแรงไหมคะ?” ฮิซาเอะวางจอกลงที่โต๊ะ

     

           “ไม่มากหรอก”

     

           “หลังจากนี้จนถึงการรับยาครั้งสุดท้าย พวกเจ้าอาจมีอาการแปลกๆน่ะ”

     

           ดวงตาสีเขียวหันไปมองข้างกายทันที

     

           มุซันก้มลงมองเล็บยาวผิดปกติของตนเอง เงยหน้าขึ้นมาช้าๆพลางเลิกคิ้ว

           “อย่างเช่น...”

     

           “ร่างกายพวกเจ้าอาจจะต้องการอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่อาหารทั่วไปในการดำรงชีพ”

     

           “ซึ่งก็คือ...” ฮิซาเอะลากเสียง สันหลังเริ่มรู้สึกเย็นวาบ

     

           “เลือดน่ะ”

     

           “คะ?”

     

           “ของแม่หนูไม่น่าจะใช่เลือดมนุษย์หรอก เจ้าได้รับยาที่ไม่แรงเท่าของพ่อหนุ่มแถมกินมากกว่าไปประมาณครึ่งจอกจากปริมาณยาทั้งหมดที่เริ่มรับมา...แต่ของพ่อหนุ่มนี่แหละ หนักหน่อยนะ” ท่านหมอใหญ่ตบบ่าของเด็กหนุ่มผิวซีดเบาๆ

     

           เธอมองเขานิ่ง ก่อนจะสูดหายใจลึก

     

           “ท่านหมอคะ นอกจากนี้ยังมีผลข้างเคียงอะไรอีกไหมคะ?”

     

           อีกฝ่ายนิ่งคิดพักหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยดวงตาที่มีแววเศร้าเล็กน้อย

     

           “อาจจะทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยากับแสงอาทิตย์”

     

           “หมายความว่า...” เด็กสาวเม้มปากช้าๆ

           “เราไม่สามารถโดนแสงอาทิตย์ได้งั้นเหรอคะ?”

     

           “...จนกว่าจะได้รับยาจอกสุดท้าย ใช่”

     

           “แล้ว...อีกนานขนาดไหนกันคะ?”

     

           “เดือนครึ่ง แล้วยาครั้งสุดท้ายจะเสร็จสมบูรณ์”

     

           มุซันถอนหายใจยาว ในเสียงถอนหายใจนั้นเธอได้ยินเสียงแห่งความสิ้นหวังและเสียงสะอื้นแห่งความกราดเกรี้ยวด้วย

     

           มือบางเอื้อมไปแตะไหล่ผอมของเขาผ่านเนื้อผ้าสีดำ พยายามส่งผ่านไออุ่นอันบางเบาให้เขารู้ว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

     

           แต่แล้วเขาก็ผุดลุกขึ้นยืน สลัดมือเธอออกราวกับไม่ได้ใส่ใจ

     

           ฮิซาเอะค่อยๆลดมือลง หัวใจจมไปอยู่ตาตุ่มเมื่อเห็นดวงตาสีแดงก่ำราวเลือดที่เรืองวาว

     

           คล้ายสัตว์ป่าที่บาดเจ็บและพร้อมจะขย้ำทุกคนที่เข้ามาใกล้

     

           “ท่านหมอจะให้ข้ากลายเป็นปีศาจกินเลือดมนุษย์เช่นนั้นหรือ?”

     

           คนเป็นหมอมองเขาด้วยสายตาปราณี

           “พ่อหนุ่ม เรื่องเลือดข้าจะจัดหามาให้...เจ้าจะไม่มีวันกลายเป็นสัตว์ร้าย”

     

           “มันควรจะดีขึ้น แต่ตอนนี้อาการของข้ามันหนักกว่าที่เคยเป็นมาเสียอีก” เขาคำรามในลำคอก่อนจะผลุนผลันออกไปราวลมกรรโชกก่อนพายุฝน

     

           เธอมองตามชายเสื้อนั้นจนสุดสายตา ก่อนจะหันกลับมาสบตากับท่านหมอใหญ่

     

           เขายกยิ้มหม่นเศร้าให้เธอ วางมือหยาบกร้านนั้นลงขยี้ผมเธอเบาๆ

     

           “ขอโทษนะแม่หนู...ข้าเองก็หวังจะให้มีทางอื่นอยู่เช่นกัน”

     

           ฮิซาเอะยิ้มกว้าง เผยฟันขาวเรียงกันเป็นระเบียบ

           “ข้าเชื่อว่าทุกสิ่งที่ท่านหมอทำล้วนเพื่อคนไข้อย่างข้ากับเขาค่ะ”

     

           ร่างบางหย่อนขาลงยืน

     

           “สำหรับมุซัน ข้าจะไปคุยเองค่ะ”

     

           “ขอบใจมากนะแม่หนู” เขาพยักหน้าให้

     

           เธอค้อมลาอีกครั้งแล้วหันหลังเดินกลับเรือน

     

           คิดถึงสีหน้าเกรี้ยวกราดของมุซันแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ

     

           ประตูห้องของเขายังคงปิดอยู่เช่นเดิม

     

           เด็กสาวทรุดตัวลงที่หน้าแผ่นกระดาษที่แปะอยู่บนโครงไม้นั้น ยกมือขึ้นเคาะเป็นจังหวะประหลาดเบาๆ

     

           “มุซัน...” เธอทำเสียงให้ร่าเริงที่สุด

           “ได้ยินแล้วตอบด้วยนะ”

     

           ผ่านไปนานทีเดียวกว่าจะได้ยินเสียงตอบกลับอันแผ่วเบา

     

           “มาทำอะไรที่นี่?” เสียงของเขาแหบแห้ง คล้ายหมดเหตุผลในการมีชีวิตอยู่

     

           “เข้าไปได้ไหม?”

     

           “กลับห้องตัวเองไป”

     

           “เจ้าคงยังไม่ลืมนะว่าเราอยู่ห้องข้างๆกันมาตั้งแต่สี่เดือนที่แล้ว”

     

           “...เจ้ามันบ้าสิ้นดี”

     

           เธอหัวเราะ

           “ไม่เอาน่า อย่างน้อยโผล่หน้ามาให้ข้าดูหน่อย”

     

           “ข้าอยากอยู่คนเดียว”

     

           “งั้นข้าก็อยู่คนเดียวอย่างนี้จนอาหารเย็นเป็นเพื่อนเจ้าแล้วกัน”

     

           เขานิ่งไป คล้ายพยายามสรรหาเหตุผลมายัดเธอกลับเข้าห้อง

     

           “...เจ้าไม่หงุดหงิดบ้างเลย?”

     

           “ข้าจะหงุดหงิดทำไม?” ฮิซาเอะหมุนตัวเปลี่ยนท่า เอนหลังพิงประตู

     

           “อาการเจ้าหนักกว่าข้าอีก แถมตอนนี้ยังต้องมากินเลือดเก็บตัวในห้องไม่ให้โดนแสงตะวัน...ไม่โกรธท่านหมอบ้างเลยหรือ?”

     

           เด็กสาวนิ่งไป ก่อนจะเผยยิ้มขื่นที่เขาจะไม่มีทางได้เห็น

     

           “...จะโกรธได้อย่างไรกัน?”

     

           จะโกรธท่านหมอผู้ที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยเพื่อคนป่วยได้อย่างไรกัน?

     

           ตั้งแต่อยู่ที่โรงหมอแห่งนี้มา ไม่มีวันไหนเลยที่เธอไม่เห็นผ้าชิ้นนั้นที่พาดอยู่บนคอท่านหมอ

     

           ผ้าที่เอาไว้ซับเหงื่อไคลอันผุดพรายขึ้นมากมายตลอดทั้งวันจากการตรากตรำรักษาบรรดาผู้อ่อนแอของท่านหมอใหญ่

     

           สีหน้าหม่นเศร้าของผู้ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนคนไข้เป็นปีศาจเพื่อรักษาชีวิตพวกเขาเอาไว้

           ...จะโกรธได้อย่างไรกัน?

     

           สุดท้าย ประตูกระดาษนั้นก็แง้มเปิดออก

     

           มือขาวซีดโผล่ออกมาจากรอยแยกเล็กๆนั้นแล้วประกบมือของเธอแผ่วเบา

     

           “ขอโทษ...” เสียงของเขาลอดผ่านออกมา แม้ว่าจะไม่เห็นใบหน้าแต่ก็รับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนและการขอโทษชัดเจน

     

           ฮิซาเอะหันหน้าเข้าไปเล็กน้อย มองชายยูคาตะสีเข้มนั้นแล้วยิ้ม

     

           “ข้าจะโกรธเจ้าได้อย่างไรกัน...”

     

           ยังไงพวกเรามันก็คนจะตายแหล่มิตายแหล่ที่ถูกเปลี่ยนเป็นปีศาจกินเลือดเหมือนกันนี่นา

     

     

     






     

     

     



     

           ผ่านไปเพียงสองสัปดาห์หลังจากที่ได้รับยา

     

           การเปลี่ยนแปลงเริ่มเห็นได้ชัดแล้ว

     

           ฮิซาเอะโก่งคออาเจียนเอาอาหารเช้าที่เพิ่งทานเข้าไปออกมาใส่หญ้าในสวนหลังห้องจนหมดไส้หมดพุง

     

           เธอไอค่อกแค่กพลางหยิบน้ำขึ้นมากลั้วปากล้างคอในตอนที่ระเบียงห้องข้างๆเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง

     

           เงาร่างผอมสูงในชุดยูคาตะสีดำพุ่งพรวดออกมาทรุดลงคุกเข่าในท่าเดียวกันกับเธอเป๊ะๆ แล้วเสียงขย้อนก็ดังขึ้น

     

           เด็กสาวหัวเราะเบาๆ ก้าวผ่านช่องกั้นห้องเข้าไปนั่งลงข้างๆ มือบางยกขึ้นช่วยลูบหลังเขา

     

           “อา...” มุซันครางในลำคอพลางรับแก้วน้ำจากเธอ

     

           “อาหารเช้าอร่อยไหม?”

     

           “กล้าดียังไง?” เสียงครางเปลี่ยนเป็นเสียงคำราม ตามด้วยเสียงหัวเราะสดใสของเธอ

     

           ดวงตาสีเขียวมองเข้าไปในห้อง

     

           ข้างๆกล่องอาหารเช้าคือจอกใส่ของเหลวสีเข้ม

     

           ประกายแสงในนั้นวูบลงเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาร่าเริงเหมือนเดิม

     

           “...สงสัยคงต้องกินไอ้ที่ท่านหมอใหญ่แอบเอามาให้แล้วล่ะมั้ง?” เธอส่งยิ้มให้เขา

     

           “พูดบ้าๆ” เด็กหนุ่มจิ๊ปาก

           “ให้ตายข้าก็ไม่กิน”

     

           เธอมองสีหน้าพร้อมฆ่าคนของเขาแล้วยกยิ้มจาง

           “ถึงขั้นนี้แล้ว ข้ายอมให้ตัวเองตายไม่ได้”

     

           “ว่าไงนะ?” เขาตวัดดวงตาสีแดงมาหา

     

           เด็กสาวจ้องกลับ มือยังคงอยู่บนหลังของเขา

     

           “ข้าไม่ยอมให้แรงใจแรงกายที่ท่านหมอใหญ่ทุ่มเทให้ข้าต้องเสียเปล่า”

     

           เขามีสีหน้างุนงง แล้วจึงค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิด

     

           “เจ้าบ้าไปแล้วจริงๆใช่ไหม?”

     

           เธอหัวเราะร่วน

     

           “ข้ามันก็บ้าแบบนี้มาตั้งแต่ที่เราเจอกันแล้วนะ มุซัน”

     

           ฮิซาเอะกวาดตามองเขาเร็วๆอีกรอบก่อนจะลุกขึ้นยืน

           “ข้าไม่กวนแล้ว ขอตัวกลับห้องก่อน”

     

           “เจ้า...” มือขาวซีดที่ประดับด้วยเล็บยาวๆยกขึ้นยึดชายแขนเสื้อสีชมพูหวานเอาไว้

           “เจ้าไม่ได้คิดจะทำจริงๆใช่ไหม?”

     

           ดวงตาสีเขียวสบกับสีแดง

     

           “...มุซัน ข้าไม่ได้อยู่เพื่อตัวข้าเอง...ข้าต้องทำให้ความช่วยเหลือของท่านหมอได้รับการตอบแทน ข้าต้องเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เขาว่าไม่ว่าจะปางตายขนาดไหนเขาก็สามารถช่วยได้” เด็กสาวสูดหายใจ ยื่นมือไปปลดมือเขาออก

     

           “ฮิซาเอะ...”

     

           “เขาเป็นผู้มีพระคุณของข้า” เธอมองเขาครั้งสุดท้ายก่อนจะกลับเข้าห้องและปิดประตู

     

           ดวงตาสีเขียวฟ้ามองโต๊ะไม้ที่วางอยู่กลางห้อง

     

           ข้างกล่องอาหารเช้าของเธอเองก็มีจอกใบหนึ่งวางอยู่เช่นเดียวกัน

     

           มือบางกำรอบภาชนะนั้น สัมผัสผิวเครื่องปั้นดินเผาที่เคลือบน้ำยาจนเรียบเงางามอันมีอุณหภูมิเย็นเยียบ

     

           เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เธอนั่งนิ่ง...ปล่อยให้ความเย็นจากผิวจอกนั้นคืบคลานเข้าสู่จิตใจ

     

           ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเล็บของมือที่กำกันแน่นอยู่นั้นกำลังจิกเข้าไปในเนื้อตนเอง

     

           มืออันสั่นเทายกจอกขึ้นมา กลิ่นคาวคลุ้งแล่นเข้าสู่โพรงจมูก

     

           เลือดของกวางป่า...เขาบอกแบบนั้น

     

           เปลือกตาบางปิดลง ปากจอกแตะที่ริมฝีปาก

     

           ทันใดนั้น เสียงประตูที่เปิดออกและปิดลงแทบในเวลาเดียวกันนั้นก็ดังขึ้น

     

           ร่างผอมสูงลอดผ่านช่องประตูเข้ามาอย่างรวดเร็วในช่วงเสี้ยววินาทีนั้น

     

           เมื่อรู้สึกตัวอีกที มุซันก็กำลังนั่งประจันหน้ากับเธออยู่ จอกแบบเดียวกันอยู่ในมือของเขา

     

           ฮิซาเอะกะพริบตาช้าๆ

     

           ดวงตาสีทับทิมของเขาหรุบลง ไม่สบตา

     

           “ถ้าจะทำก็ทำด้วยกัน” เขาว่า

           “...ยังไงเราก็ลงเรือลำเดียวกันตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่”

     

           ริมฝีปากอิ่มที่สีค่อนไปทางซีดยกยิ้มอ่อนหวาน

     

           “ขอบใจนะ มุซัน”

     

           เขาแค่นเสียงเหอะ

           “มาทำให้มันจบๆกันเถอะ”

     

           ดวงตาทั้งสองคู่สบมองกันในที่สุด ก่อนที่จอกจะถูกยกขึ้นอีกครั้ง

     

           “พร้อมนะ?” เธอสูดหายใจเข้า

     

           เขาพ่นลมหายใจออกทางจมูกทีหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า

     

           เลือดสีเข้มในจอกทั้งสองใบถูกเทลงในคอของพวกเขาอย่างรวดเร็ว

     

           ฮิซาเอะกลั้นใจกลืนของเหลวข้นคาวลงคอไปจนหมด ก่อนจะไอออกมาในที่สุด

     

           จอกที่ว่างเปล่าถูกวางลงบนโต๊ะ ร่างบางค้อมตัวลงกล้ำกลืนความพะอืดพะอมในลำคอ

     

           แม้จะรสชาติไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่นัก แต่ร่างกายกลับตอบสนองเป็นอย่างดี

           จู่ๆก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมา

     

           เธอเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าซีดขาวของมุซันที่เพิ่งกลืนเลือดลงไปจนหมดเช่นเดียวกัน

     

           เขาขบกรามแน่นจนขึ้นเป็นสัน ดวงตาสีแดงเปิดขึ้นในที่สุด

     

           “...เป็นอย่างไร?” เด็กสาวถามด้วยเสียงแห้งๆ

     

           “ไม่เลว...” เขาปาดคราบเลือดที่ติดอยู่บนริมฝีปากแล้วเลีย

           “ไม่เลวเลยทีเดียว”

     

           ดวงตาคู่นั้นก้มลงมองชายยูคาตะสีอ่อนที่เปรอะเปื้อนคราบสีแดงก่ำ

     

           “...มือเจ้าเป็นอะไร?”

     

           “เอ๋?” คิ้วเรียวเลิกขึ้น มือบางที่กำแน่นคลายออกแล้วยกขึ้นดู

           “ตายจริง...”

     

           เขามองฝ่ามือที่เปรอะด้วยคราบเลือด

     

           ทันใดนั้น นิ้วยาวๆสีซีดก็พุ่งมากำรอบข้อมือของเธอ

     

           เด็กสาวอุทานเบาๆ

           “มุซัน”

     

           แรงกดรอบกระดูกบางๆนั้นเพิ่มมากขึ้นขณะที่เขาดึงมือเธอเข้าไปใกล้

     

           “มุซัน เจ็บนะ”

     

           ดวงตาสีทับทิมนั้นดูแปลกไป มันเรืองวาวในห้องที่มีแต่แสงเทียนอย่างน่ากลัว

     

           “จะทำอะไรน่ะ?”

     

           ฮิซาเอะสะดุ้งโหยงเมื่อสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่กลางฝ่ามือ

     

           นี่เขา...เลียเลือดเธอ?

     

           “...อร่อย” อีกฝ่ายพึมพำในลำคอ

     

           เธอพยายามฝืนดึงมือของตนเองออกจากอุ้งมือแข็งแรงราวคีมเหล็กนั้นก่อนจะหลุดร้องเมื่อความเจ็บแปลบแล่นขึ้นมา

     

           “โอ๊ย!

     

           เขี้ยวขาวที่เมื่อสองอาทิตย์ก่อนหน้านี้เขาไม่มีเจาะเข้าไปในผิวของเธอ เลือดแดงฉานที่ทะลักออกมาจากปากแผลเริ่มไหลลงมาตามแขน หยดลงจากข้อศอกและสร้างแอ่งเลือดขนาดเล็กบนเสื่อทาทามิ

     

           “มุซัน เจ้า...” ความอ่อนเพลียเริ่มเข้าครอบคลุมสติ เปลือกตาเริ่มรู้สึกหนักอึ้ง

     

           นี่มันอะไรกัน?

     

           เธอพยายามดันไหล่เขาออก แต่อีกฝ่ายก็ปัดมือเธอทิ้งแล้วก้มหน้าก้มตาดูดเลือดเธอต่อไป

     

           “ปล่อย...ข้า...”

     

           รู้สึกเหมือนจะตาย...

     

           มืออันสิ้นหวังยื่นเหยียดออกไป คว้าจอกที่วางอยู่ใกล้ที่สุดขึ้นมาฟาดใส่หัวของเขาเต็มแรง

     

           มุซันร้องออกมาคำหนึ่ง เขี้ยวของเขาละออกจากมือเธอไปเพียงชั่วอึดใจ

     

           แต่ก็เป็นชั่วอึดใจที่มากพอจะทำให้เธอดึงฝ่ามือกลับมาแล้วกระถดหนึไปอยู่มุมห้อง

     

           ความกลัวแล่นเข้าไปในหัวใจ ความอ่อนเพลียเมื่อครู่ทวีคูณมากขึ้นเมื่อเลือดที่มือไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหล

     

           เขาดูมึนงงไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเธอ

     

           แววตาหน้ากลัวหายไปแล้ว มีเพียงความสับสนในดวงตาสัทับทิมคู่นั้น

     

           “ฮิซาเอะ...” เสียงทั้งหมดถูกกลืนลงไปในลำคอเมื่อเขาเห็นสภาพของห้องและสีแดงฉานที่กำลังย้อมยูคาตะของเธอ

     

           มุซันสบถ ร่างผอมสูงขยับคลานเข้ามาใกล้แต่ก็หยุดลงเมื่อเธอบีบตัวเองเข้าไปในมุมมากขึ้น

     

           “อย่าเข้ามา...”

     

           “...ข้าขอโทษ”

     

           มือเปื้อนเลือดที่ประดับด้วยเล็บยาวๆข้างนั้นยื่นออกมาคล้ายกำลังพยายามขอการอภัย

     

           “ขอข้าดูแผลเจ้าหน่อย”

     

           “ไม่...” เธอคราง

           “ไม่เอา”

     

           “ได้โปรด...” ปลายเสียงนั้นทอดแผ่ว อ้อนวอนร้องขออย่างไร้ทิศทาง

     

           “อย่าเข้ามานะ...” ลมหายใจของเธอติดขัดเมื่อเขาขยับเข้ามาใกล้ พยายามดันแผ่นอกใต้สาบเสื้อสีดำออกให้พ้นตัว

     

           แต่ฉับพลัน ร่างกายของเธอก็ไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาซะดื้อๆราวกับกลั่นแกล้งกัน

     

           เปลือกตาอันหนักอึ้งปิดลง

     

           รู้สึกได้ถึงแรงที่มือตกลงสัมผัสพื้นเสื่อขณะที่ทั้งร่างอ่อนปวกเปียก ร่วงหล่นลงในอ้อมแขนของอีกฝ่าย

     

           “บ้าเอ๊ย ฮิซาเอะ!” มุซันเขย่าตัวเธอ

           “ตื่นสิ!

     

           เสียงของเขาค่อยๆแผ่วลง แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นสีดำ

     

     

     




     

    TALK WITH FM

    เรากลับมาแล้วค่ะทุกคน!!!

    ขอโทษด้วยนะคะที่หายไปนานเลย ไม่มีเวลามาอัพเรื่องนี้จริงๆเลยค่ะ//ไหว้ท่วมหัว

    ปมแต่ละอย่าง พล็อตแต่ละอย่างมันค่อนข้างซับซ้อนจนต้องใช้เวลาปรับจูนความคิดของเราให้เข้ากับตัวละครแต่ละตัวสักพักเลยล่ะค่ะ

    ชอบไม่ชอบ เชิญคอมเม้นท์ได้เลยนะคะ

    ส่วนพระเอกอย่างกิยูนั้น...

    เอาจริงๆจังหวะนี้เฮียไม่ต้องมาแล้วก็ได้นะถ้าจะค่าตัวแพงขนาดนี้ 55555//หลบปราณวารีอย่างรวดเร็ว

    เจอกันตอนหน้าเน้อ

    ด้วยรักและดาบนิจิริน

    เฟิงมี่ค่ะ>3<

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×