ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โรงเรียนกาลเวลา:อหังการข้ามเวลา

    ลำดับตอนที่ #1 : stage 1(100%?)

    • อัปเดตล่าสุด 27 ธ.ค. 53



    เช้าอันแสนสดใสหลังจากที่ฝนตกมานาน มีเด็กชายผู้นึงได้วิ่งหน้าตั้งบนขอบทางถนน ตัวเปียกโชกไปทั้งตัว เสื้อผ้าที่ใส่เป็นเสื้อมีฮู้ดสีดำแถบแดง กางเกงยีนสีน้ำเงิน เขาวิ่งมาถึงหน้าโรงเรียนแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก

    เขาเดินเข้าไปในโรงเรียน เดินลัดเลาะไปตามทางจนมาถึงห้องหนึ่ง ประตูห้องทำจากไม้ฮอกกานีทาด้วยสีแดง ลูกบิดประตูสีทอง ป้ายข้างบนเขียนว่า 3/2

    แอด~

    "เธอใช่ไหมจ้ะ ที่เป็นนักเรียนใหม่"ผู้หญิงที่อายุน่าจะยี่สิบต้นๆทักเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาเดินเข้ามาในห้องทำให้นักเรียนในห้องทั้งหมดหันมามองเขา

    "ครับ"

    "มาแนะนำตัวหน้าชั้นเรียนหน่อยจ้ะ"เขาเดินมาที่หน้าชั้นเรียน

    "สวัสดีครับ ผมชื่อเชอร์ลิ่ง ฟรอด  ยินดีที่ได้รู้จักครับ"เขาเปิดฮู้ดออก เป็นเด็กชายอายุประมาณสิบปี ผมสั่นสีน้ำเงินดำ ดวงตาสีทองที่เหมือนสะกดทุกสิ่งไว้อยู่กับเขา ใบหน้าเยาว์ยิ้มบางๆให้แก่คนทั้งห้อง

    "สวัสดีจ้ะ ครูชื่อวาเลเรีย เกรซ ยินดีที่ได้รู้จักนะ ครูว่าเธอเปียกมากนะเดี๋ยวครูพาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องพยาบาลก่อนดีกว่า นักเรียนทุกคนนั่งเงียบๆอย่าส่งเสียงกันละ"

    "ครับ/ค่ะ"

    "ไปกันเถอะจ้ะ"

    "ครับ"แล้วทั้งสองก็ออกจากห้องไป


    - 1 - 2 - 3 - 4 - 5 -


    "เธอมาจากไหนเหรอจ้ะ?"ครูสาวถาม

    "ผมมาจากอังกฤษครับ"

    "เหรอจ้ะ ครูก็เคยไปเที่ยวที่นั้นเหมือนกันนะ"

    "เหรอครับ"น้ำเสียงเบื่อๆพูดออกไป

    ตอนนี้ทั้งสองได้ออกจากห้องและกำลังเดินทางไปห้องพยาบาล ระหว่างทางจึงชวนคุยกับนักเรียนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาวันนี้

    ทั้งสองก็ได้มาถึงห้องพยาบาล ครูสาวเปิดห้องเข้าไปแล้วให้ฟรอดไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ก่อนส่วนเธอก็ไปเปิดตู้ที่อยู่ในห้องพยาบาลก่อนหาเสื้อผ้าให้เด็กที่เปียกโชกเหมือนลูกหมาตกน้ำใส่ก่อนที่เขาจะเป็นหวัดไปเสียก่อนที่จะได้เริ่มเรียน

    "เสื้อตัวนี้ใส่ได้ไหมจ้ะ?"

    "ครับ"ฟรอดรับเสื้อที่ครูวาเลเรียส่งมาให้ มันเป็นเสื้อมีฮู้ดเหมือนกันแต่สีของมันแค่เป็นสีน้ำเงินเข้มแถบขาวกับกางเกงสีดำ เขาก็รับมาแล้วจะใส่แต่ก็หน้าแดงขึ้นมา"ไม่ต้องหน้าแดงก็ได้ ครูไม่แอบดูเธอหรอก เดี๋ยวครูจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ"ว่าแล้วครูสาวก็รีบเดินออกไปพร้อมปิดประตูให้

    "เฮ้อ~"เสียงถอนหายใจครั้งสุดท้ายก่อนเปลี่ยนเสื้อผ้า



    "เสร็จยัง~"ครูสาวถามหน้าห้อง

    "เสร็จแล้วครับ"ก่อนเปิดประตูห้องออกมา

    "ดูดีนะ"

    "ขอบคุณครับ"

    ทั้งสองเดินมาถึงหน้าห้องเรียนก่อนที่จะเข้าไป นักเรียนที่จับกลุ่มคุยกันสะดุ้งก่อนรีบแยกย้ายกันไปนั่งที่เมื่อเจอครูสาวที่เริ่มทำตาดุใส่ ฟรอดเริ่มสำรวจห้องเรียนว่าเป็นยังไง ภายในห้องแสงแดดส่องทั่วถึงเพราะหน้าต่างอีกฝั่งมีหลายบานเรียงติดกัน โต๊ะนักเรียนกับเก้าอี้ทำมาจากไม้และเหล็กด้วยเรียงแบบสอง สาม สอง แถวละหก นักเรียนทั้งหมดมีสี่สิบแปดคน ซึ่งแต่ละคนดูจะไม่ชอบใจฟรอดเอาเสียเลย

    "ฟรอดจ๊ะ เธอไปนั่งตรงนั้นแล้วกันนะ"

    "ครับ"ผมมองตามที่ครูสาวชี้ไปพบ

    เด็กชายมาดเข้มดูเย็นชา มองด้วยหางตาด้วยสายตาอันแสนรังเกียจ จนฟรอดต้องถามตัวเองว่าเขาไปทำอะไรให้อย่างงั้นเหรอ เด็กชายไม่ค่อยสนใจเท่าไรนักแต่ก็ตรงไปนั่งข้างๆเขา แล้วก็รู้ได้ว่า เขาชื่อ มาร์ก เบาว์ริ่ง เพราะอะไรนะเหรอ ก็เพราะเห็นชื่อบนกล่องดินสอนะสิ
    มาร์กหันไปอีกด้าน ผมจึงลองมองเขา เขาเป็นเด็กชายหน้าตาดีคนนึง ผมสีบรอนซ์จัดทรงได้อย่าง...เท่มากละมั่ง ตาของเขาสีลาเวนเดอร์ที่ดูเงียบแต่เจ้าเลห์ ผมเลิกสังเกตและกลับไปมองครูเกรซใหม่

    "เอาละจ๊ะ วันนี้ ไมสิ ชั่วโมงนี้เป็นชั่วโมงประวัติศาสตร์ ในเมื่อมีเด็กใหม่มาจากอังกฤษ เราก็จะมาเรียนเรื่องนี้กัน เริ่มต้นด้วยสิ่งที่มีตำนานก่อนละกัน มันก็คือ สโตน เฮนจ์ นั้นเอง"หลังจากพูดจบ นักเรียนทั้งห้องก็โห่ร้องกัน แต่ไม่ใช่โห่ด้วยความน่าสนุก มันคือเสียงอันเบื่อหน่ายนั้นเองแหละ

    "ครูขออธิบาย ไม่สิมันยาวไป ครูจะจดบนกระดาษ แล้วนักเรียนจดตามเอานะ" ครูสาวก็เริ่มเขียน



    กลุ่มหินประหลาด สโตนเฮนจ์ ( Stonehenge )

            สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) เป็นกลุ่มแท่งหินขนาดใหญ่ ตั้งอยู่กลางทุ่งราบว้างใหญ่ในบริเวณที่เรียกว่า ที่ราบซัลลิสเบอร์รี่ ในบริเวณตอนใต้ของอังกฤษ ประกอบไปด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง แท่งหินบางอันตั้งขึ้น บางอันอยู่ในแนวนอน และบางอันก็ถูกวางซ้อนขึ้นไปข้างบน
     สโตนเฮนจ์มีชื่อเสียงอย่างมากในฐานะที่เป็นกลุ่มหินประหลาดซึ่งไม่มีใครทราบวัตถุประสงค์ในการสร้างอย่างชัดเจน และเมื่อพิจารณาถึงอายุของมันแล้ว คาดว่ากลุ่มกองหินประหลาดนี้ ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว ทำให้นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ต่างสงสัยว่า คนในสมัยก่อนสามารถยกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน ขึ้นไปวางเรียงกันได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ปราศจากเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน และที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ ในบริเวณที่ราบดังกล่าว ไม่ใช่บริเวณที่จะมีก้อนหินขนาดมหึมานี้ ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าผู้สร้างต้องทำการชักลากแท่งหินยักษ์ทั้งหมด มาจากที่อื่น ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากบริเวณที่เรียกว่า "ทุ่งมาล์โบโร" ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตรเลยทีเดียว

            การก่อสร้างสโตนเฮนจจ์นั้นทำสืบเนื่องกันมาถึง 3-4 ระยะในช่วงเวลาประมาณ 1,500 ปี จากยุคหินตอนปลายจนถึงยุคสำริดตอนต้นแต่ส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 1,800-1,400 ปีก่อนคริสต์กาล ซากปรักหักพังที่หลงเหลืออยู่เป็นเพียงเงาของอีตาลอันรุ่นโรจน์ แนวหินกว่าครึ่งได้หักลงบ้าง หายไปบ้าง บางส่วนก็ทับถมกันอยู่ใต้ดิน การก่อสร้างเริ่มขึ้นในราว 2,8000 ปีก่อนคริสต์กาล (ผู้เชี่ยวชาญบางท่านก็ว่าเมื่อ 3,800 ปี) โดยเริ่มจากการขุดร่องวงกลมขนาดใหญ่ 56 หลุมเรียงเป็นวงกลมภายในวงดินนั้น หลุมเหล่านี้เรียกกันว่า หลุมออบรีย์ ตามชื่อจอห์น ออบรีย์ผู้ค้นพบในคริสต์ศตวรรษ 17 ปัจุบันหลุมดังกล่าวลาดทับด้วยปูบซีเมนต์ แต่หินแท่งแรกซึ่งเรียกกันว่าหินฮีล (Heel Stone) ที่ประจำอยู่ปากทางเข้าวงดินยังคงตั้งอยู่ในตำแหน่งเดิม หลุมซึ่งขุดเรียงกันเป็นวงกลมอีกสองวงถัดเข้าไปเรียกกันว่าหลุม Y และหลุม Z


            วงหลุมทั้งสองนี้คั่นอยู่ระหว่างวงหลุมออบรีย์ที่เป็นวงนอกและวงแท่งหินขนาดมหึมาตรงใจกลางวงดินสันนิษฐานว่าวงหลุม Y และ Z อาจมีความสำคัญในเชิงดาราศาสตร์ ในราว 2,100 ปีก่อนคริสต์กาล มีการนำหินสีน้ำเงิน (bluestone) 80 ก้อนจากแคว้นเวลส์มาเรียงเป็นวงกลมสองวงซ้อนกันแต่ต่อมามีการนำแท่งหินทรายขนาดใหญ่ 30 แท่ง ที่เรียว่าหินซาร์เซน(sarsen) มาเรียงเป็นวงกลมวงเดียวแทนที่วงหินสี่น้ำเงิน

           
    สองวงวงเดิมภายในวงหินทรายมีหมู่ หินเรียงเป็นรูปกึ่ง ๆ รูปเกือกม้าอีกสองหมู่หมู่ที่อยู่ด้านนอกประกอบด้วยหินทรายก่อเป็นรูปไตรลิธอนห้ากลุ่ม(Trilithon คือกลุ่มหินที่ประกอบด้วยหินสามแท่ง สองแท่งตั้งขึ้นคู่กันและแท่งที่สามวางพาดเป็นคานในแนวนอน) ส่วนเกือกม้าด้านในประกอบด้วยหินสีน้ำเงินขัดแต่ง 19แท่งสถาปัตยกรรมนี้เป็นความสำเร็จอันน่าทึ่งเมื่อคิดดูว่าเครื่องมือขุดดินที่ผู้สร้างในยุคหินใหม่ใช้เป็นเพียงเสียมที่ทำจากเขากวางแดงเท่านั้น ชาวแซกซันเป็นผู้ขนาดนามวงหินเหล่านี้ว่า สโตนเฮนจ์ซึ่งเแปลตรงตัวว่า หินที่แขวนอยู่ (Hanging Stone) ส่วนบันทึกจากสมัยกลางตั้งชื่อวงหินนี้อย่างไพเราะว่า กลุ่มยักษ์เริงระบำ (The Giants Dance)

            แม้ว่านักวิชาการส่วนใหญ่จะเห็นพ้องต้องกันว่าสโตนเฮนจ์เป็นสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลึกลับ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วมันมีไว้เพื่ออะไร มีการเสนอความคิดเห็นต่าง ๆ นานา เช่น อินิโก โจนส์ สถาปนิกในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เชื่อว่าสโตนเฮนจ์เป็นซากปรักหักพังของวิหารโรมัน แต่คนในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19ยืนยันว่าเป็นวิหารซึ่งพวกลัทธิดรูอิดใช้ประกอบพิธีบูชาพระอาทิตย์และบูชายัญมนุษย์ ความคิดนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ เราะสโตนเฮนจ์นั้นสร้างเสร็จอย่างน้อย 1,000 ปีก่อนลัทธิดังกล่าวจะเฟื่องฟู กระทั่งเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 20 นี้เองที่เราเริ่มได้ข้อเท็จจริงบ้าง นักโบราณคดี สามารถคำนวณหาอายุ และสรุปเกี่ยวกับจุดประสงค์ในการก่อสร้างสโตนเฮนจ์ได้อย่างสมเหตุสมผลยิ่งขึ้น


    แต่ข้อมูลซึ่งเป็นข้อเท็จจริงก็ยังนับว่าน้อยอยู่มาก หินซาร์เซนที่เรียงเป็นวงด้านนอกแต่ละก้อนสูง 5 ม และหนักประมาณ26 ตัน หินเหล่านี้ชักลากมาจากทุ่งโล่งมาร์ลโบโร ดาวน์ส (Marlborough Downs)ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 32 กม. แล้วนำมาขัดแต่งและประดิษฐ์ให้มีสลักและเดือยอย่างดี ทำหใแท่งหินคู่ที่ตั้งและคานหินที่ใช้พาดเกาะเกี่ยวกันอย่างมั่นคง ส่วนหินสีน้ำเงินก้อนใหญ่ที่สุดซึ่งหนักถึงสี่ตันนำมาจากภูเขาพรีเซลีทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเวลส์นั้น สันนิษฐานว่าใช้แพลำเลียงล่องมาตามชายฝั่งเวลส์และแม่น้ำเอวอน แล้วชักลากต่อมาทางบก นักโบราณคดีส่วนใหญ่เชื่อว่า สโตนเฮนจ์เป็นสถานที่ประกอบพิธีฝั่งศพ โดยพิจารณาจากหลักฐานว่านอกเหนือจากสโตนเฮนจ์แล้ว มีการสร้างสุสานมูนดินในหลุมออบรีย์หลายหลุม แต่ก็มีหลักฐานหักล้างว่าหลุมดังกล่าวขุดขึ้นนานก่อนที่จะมีการเผาศพในบริเวณนี้ บ้างก็สันนิษฐานว่าหลุมออบรีย์อาจใช้เป็นส่วนหนึ่งใน พิธีไหว้ด้วยสุรา เช่น ชาวนาอาจเทเหล้าองุ่นลงในหลุมเพื่อบวงสรวงเทพเจ้าเปห่งธรรมชาติทั้งหลาย

            วงหินสโตนเฮนจ์ก็อาจจะเป็นวิหารสำหรับทำพิธีบวงสรวงดังกล่าว ไม่นานมานี้ มีนักดาราศาสตร์คนหนึ่งได้อ้างว่าสามารถถอดรหัสแนวหินได้เขาเสนอว่าสโตนเฮนจจ์ คือ เครื่องคำนวญยุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งใช้เป็นปฏิทินดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ เพราะแนวของหินกลุ่มก้องต่าง ๆ ล้วนมีความสัมพันธ์กับแนวการเคลื่อนของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวพระเคราะห์ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทฤษฏีทั้งหลายในปัจจจุบันจะมีตัวเลขและสถิติสนับเสนุนว่าเป็นจริง แต่ก็ยังไม่มีแนวคิดใดไขปริศนาลึกลับแห่งออีตของสโตนเฮนจ์ได้อย่างสมบูรณ์










    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×