ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The triple memory บันทึกเรื่องราวแห่งเพื่อนทั้งสาม

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 15 ต.ค. 54


                     “เหวอ!”

                    ว้าย!”

                    “…” พวกเราสามคนถูกปล่อยลงมาจากที่สูงระดับต้นไม้สู้พื้นหญ้าในป่าแห่งหนึ่ง ผมอึ้งเล็กน้อยแล้วปัดเศษใบไม้บนหัวออกพร้อมมองสังเกตสมาชิกอีกสองคนข้างๆผม

                    “เฮ้! ฉันทำสำเร็จด้วยล่ะ!”

                    “…นายทำบ้าอะไรของนายกัน!” ฮาเซลเข้ามาคว้าคอเสื้อผมแล้วตะโกนถามอีกรอบ “นายทำแบบนี้ทำไม!”

                    “…หา? นายหมายความว่ายังไงน่ะ”

                    “กลุ่มไง... นายแหกกฎทำแบบนี้ทำไม ฉันเตือนนายแล้วนะ!”

                    “…เข้าใจล่ะ ฮาเซล... เรื่องสอบนี่เป็นแค่ฉากบังหน้า แต่แท้จริงแล้วนายมีภารกิจอื่นที่ต้องทำใช่ไหม”

                    ฮาเซลชะงัก ผมยิ้มบางๆ แล้วอธิบายช้าๆ “ฮี่ๆ ฉันรู้นะว่านายน่ะ เป็นสายลับของมหาลัยนี้”

                    “...รู้จากไหน” ฮาเซลทำหน้าตาเคร่งเครียด

                    “...นายเป็นคนบอกฉันเองนะ”

                    “ตอนไหนกัน” ฮาเซลเบิกตากว้าง

                    “ตอนที่...นายเมา” ผมพูดจบฮาเซลก็อ้าปากค้าง

                    ตอนนั้นฮาเซลกลับห้องดึกมาก... ประมาณตีสี่ครึ่ง ผม? แน่นอนว่าผมหลับไปแล้วล่ะแต่ถ้าฮาเซลไม่ทำเสียงดังตอนกลับมา...ผมก็คงหลับยาวถึงเช้าน่ะนะ

                    เพล้ง! ตุบครืด...ครืด...

                อือ... ใครน่ะ’ ผมลุกขึ้นมองทางหน้าต่างที่ถูกทุบแตกเบลอๆ

                ใคร? ก็ฉันไงเล่า! ท่านฮาเซลผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ไง! เป็นแค่คนธรรมดาแต่ไม่รู้จักฉัน... สามหาวที่สุด!’

                ‘…นายเมา

                เมาอะไรหา ฉันกินน้ำองุ่นมานะ จะเมาได้ยังไงกันหา…’

                ไปทำอะไรมาน่ะ กลับดึกชะมัด

                ฉันเป็นสายลับ เพราะนั้นการกลับดึกเป็นเรื่องธรรมดา ฉันไม่เหมือนคนอย่างนายหรอกนะ ฉันมีภาระหน้าที่อันหญ่ายหลวงง...

                ‘…เอาเป็นว่าหน้าที่นายตอนนี้คือกลับไปนอนซะละกัน

                    แล้วฮาเซลก็หลับไป ตอนนั้นผมถึงได้เห็นเอกสารประวัติของคนๆหนึ่ง ซึ่งมีตั้งแต่แรกเกิดยันการตายอย่างปริศนาพร้อมกับใบอะไรสักอย่างที่ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่

                    ต่อมาผมเผลอเอาน้ำผลไม้ผสมแอลกอฮอล์ห้าเปอร์เซ็นต์ให้เขากิน เขาก็เมาแอ๋ไปทำงานล้วงข้อมูลของชาวบ้านชาวเมืองในแผนกเนไมท์พร้อมกับผมโดยไม่รู้ตัว...

                    “...ฉันจำไม่ได้”

                    “ก็แน่ล่ะ”

                    ยูน่าทนฟังเงียบๆ ไม่ไหวจึงสอดขึ้น “เฮอะ กระจอกจริงๆ แค่เหล้าอ่อนๆก็ทนไม่ได้”

                    “...เธอว่ายังไงนะ” ฮาเซลปล่อยมือจากคอเสื้อผมแล้วหันไปทางหญิงสาว

                    “กระจอกแล้วยังจะหูไม่ดีด้วยรึไง?”

                    “หยุดๆๆ อย่าเพิ่งทะเลาะกันเซ่” ผมเอาตัวไปขวางไว้ระหว่างหญิงสาวกับฮาเซล

                    “ทิล ยัยนี่ใครกัน”

                    จริงสิ... ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกผมก็ยังไม่ได้ถามชื่อเลยนี่... “เธอชื่ออะไรเหรอ”

                    “...เสียมารยาท! ฉันไม่ใช่ผู้หญิงใจง่ายถึงขนาดบอกชื่อกับชายที่ไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามหรอกนะ”

                    “อ้อ...” หมายความว่าพวกผมต้องบอกชื่อไปก่อนสินะ “ฉันทิล ส่วนนี่ฮาเซล แล้วเธอชื่ออะไรเหรอ”

                    “ยูน่า”

                    ผมยิ้ม บางครั้งผมก็รู้สึกว่าเธอน่ารักดีเหมือนกัน... เห็นที ท่าทางหยิ่งๆ นั่นคงเป็นแค่หน้ากากภายนอกที่สร้างขึ้นมาเองสินะ... “ยูน่า ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

                    “เชอะ!”

                    พวกนาย... อยู่ตรงนี้เฉยๆ อย่าสร้างเรื่องล่ะ”

                    ผมมองฮาเซลอย่างสงสัย เห็นเจ้านั่นเดินเข้าป่าไปผมจึงรีบตะโกนถาม “นายจะไปไหนน่ะ!”

                    “…รอเฉยๆเถอะ”

                    “...”

                    “...” ผมเงียบ จริงสิ... ผมเป็นคนทำให้ ‘แผน ของฮาเซลพังยับเยินนี่นา... ผมคิดว่าเขาคงจะไปจัดการบางสิ่งบางอย่างที่ผิดแผนของเขาให้เรียบร้อยล่ะมั้ง

                    “นาย” ยูน่าโพล่งขึ้น

                    “อะไรเหรอ”

                    “นาย...เป็นเพื่อนกับเจ้านั่นหรือเปล่า” คำถามนี้ทำเอาผมสะอึกเล็กน้อย เป็นเพื่อนหรือเปล่า งั้นหรือ...ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะ

                    “...เป็นสิ”

                    ยูน่าหัวเราะเบาๆ แล้วถามต่อ “เหรอ... ไม่ใช่ว่านายคิดว่าเจ้านั่นเป็นเพื่อนนายอยู่ฝ่ายเดียวหรอกเหรอ?”

                    “...ฉันไม่เข้าใจ”

                    “หึๆ น่าขันจริงๆ นายนี่มันซื่อบื้อจนหาคำบรรยายไม่ถูกเลย”

                    “...” ผมเงียบไปพักใหญ่ ไม่เข้าใจความหมายที่ยูน่ากล่าวมาเลยแม้แต่น้อย ส่วนใหญ่คนในแผนกของผมก็มักจะพูดว่าผมสนิทกับฮาเซลที่สุดนี่...

                    ผมคิดจะอ้าปากถามยูน่าให้กระจ่างแต่ยังไม่ทันที่จะได้ถามจู่ๆ ลมก็พัดว่อนจนต้นไม้ใหญ่หลายต้นเอนตามแรงลมทำท่าคล้ายจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่

                    “ยูน่า!

                    “ไม่เป็นไร!” ยูน่าตอบผมพลางก้มลงจิกพื้นหญ้าโดยกางพลังเวทไว้ที่ฝ่ามือ

                    ส่วนผมสามารถยืนต้านเฉยๆไว้ได้ เพราะผมกางพลังเวทไว้ตรงหน้าผมบางๆไว้แล้ว ว่าแต่แรงลมนี่มันอะไรกัน... ราวกับพายุขนาดย่อมเลย...

                    “ก๊าซ!!”

                    “ปิศาจถอยออกมาเร็วเข้า!” ผมกระโดดถอยหลังออกมาตามที่ยูน่าบอกแล้วหันไปถามเธอ

                    “เอายังไงต่อ”

                    “บ้าหรือไง หนีสิ!”

                    เอ่อ... ก็ได้ หนีก็หนี” เพราะไม่ทันคิดว่ายูน่าจะสั่งหนี ผมจึงเผลอยืนอึ้งอยู่กับที่สักพักแล้วค่อยออกตัววิ่ง... เอาเถอะ การหนีเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการปกปิด ความลับ ของผมนี่นะ...

                    ยูน่ากระโดดลอยตัวกลางอากาศร่ายกระบอกปืนแห่งความมืดออกมากราดยิงใส่ปิศาจตนนั้นรัวไม่ยั้ง พลางกระโดดขึ้นกิ่งไม้ใหญ่ท่องคาถายาวเหยียดออกมาเสกลูกบอลแห่งความมืดไว้บนฝ่ามือ

                    เมื่อเธอยืดแขนออกไปลูกบอลแห่งความมืดก็พุ่งเหยียดออกด้วยความเร็วสูงแล้วแตกกระจายออกเป็นสายๆเข้ารวบรัดปิศาจตนนั้นราวกับเชือกที่แข็งแกร่งส่งผลให้ปิศาจตนนั้นขยับไม่ได้ไปชั่วครู่

                    “เดี๋ยวสิ ปิศาจตนนั้นมันไม่ดีเหรอ”

                    “...เปล่าหรอก แต่มันแค่เห็นพวกเราเป็นอาหารเท่านั้นแหละ”

                    “เธอหมายความว่ามันกำลังหิวสินะ”

                    “ปิศาจตนนั้นน่ะไม่ใช่แค่หิวหรอกนะ แต่มันกำลังคลั่งด้วย เพราะงั้นมันถึงทำลายเขตที่อยู่อาศัยของตัวมันไงล่ะ ขอแค่มันสลัดเชือกที่ฉันเสกไม่หลุด เวทของฉันก็จะดูดกลืนพลังของมันทีละเล็กทีละน้อยจนตายไปเอง”

                    “เฮ้! ไหนเธอบอกว่ามันไม่ได้เป็นปิศาจที่ไม่ดีไง!”

                    ใช่ แต่ตอนนี้มันคลั่ง ปิศาจสายพันธุ์นั้นถ้าคลั่งก็เท่ากับตายทั้งเป็นนั่นแหละ...”

                    “...มันขนาดนั้นเลยเหรอ... เชือกหลุดแล้ว!”

                    ตูม! เสียงดังของต้นไม้โค่นเป็นแถบๆดังสนั่นหวั่นไหวทั่วทั้งผืนป่า และแน่นอนว่าต้นไม้ต้นที่ผมและยูน่าอยู่ ณ.ขณะนี้ก็กำลังจะโค่นล้มลงด้วยเช่นเดียวกัน

                    เห็นท่าสถานการณ์เริ่มเลวร้าย ผมว่าผมร่ายเวทลมที่ฝ่าเท้าแล้วกระโดดพายูน่าหนีไปก่อนดีกว่า... เหวอ!

                    กรี๊ด!” ยูน่าล่วงหล่นลงจากต้นไม้พร้อมกับจับมือผมหล่นลงตามเธอไปด้วยแย่ล่ะสิ ทำแบบนี้ผมก็ตั้งสมาธิร่ายเวทไม่ได้น่ะสิ!

                    ซวยแล้วไง ปิศาจตนนั้นเห็นพวกเราแล้ว!

                    ฉัวะ!

                    ก๊าซซ!!

                    ครืน... ปิศาจตนนั้นล้มลงกับพื้นหญ้า น้ำสีแดงสดสาดกระจายทั่วสารทิต ผมยังคงอึ้งอยู่... เมื่อครู่ที่ผมกระพริบตามันเกิดอะไรขึ้น... กันแน่

                    “พวกนายทำบ้าอะไรกันน่ะ”

                    “...ฮาเซล!” ผมเห็นฮาเซลเดินออกมาจากซากต้นไม้ที่หักโค่น ตัวของเขามีเลือดสดๆ ของปิศาจทั่วลำตัวและใบหน้า ฮาเซลเป็นคนฆ่ามันเหรอ...

                    “นายไปไหนมาน่ะ!” ยูน่าตะโกนถาม

                    “ก็ไปจัดการธุระนิดหน่อยน่ะ ว่าแต่พวกนายเถอะ ไปทำอะไรเข้าถึงมีปิศาจมาอยู่แถวนี้ได้ล่ะ”

                    “...ฮาเซล นายฆ่ามันแล้วเหรอ”

                    “...อืม” ฮาเซลระบายยิ้มบางๆแล้วใช้นิ้วปาดเลือดที่แก้มออก แต่การกระทำนั้นทำให้เขามีคราบเลือดติดที่ใบหน้าหนักกว่าเก่าเสียอีก

                    “...งั้นเหรอ”

                    “อะไรของนายน่ะ” ยูน่าขมวดคิ้วสงสัยก้มหน้ามองผมที่นั่งอยู่แล้วเอ่ยถามอีกรอบ “เศร้าที่ปิศาจตนนั้นถูกกำจัดงั้นเหรอ?”

                    “...เปล่า ฉันแค่ไม่เคยเห็น... สิ่งมีชีวิตตายต่อหน้าต่อตาแค่นั้นเอง”

                    “เอ๋!? จริงอ่ะ ไม่เคยฆ่าอะไรเลยเหรอ?”

                    “เธอเคยเหรอ”

                    ยูน่าเกาแก้มกล่าวอย่างจนใจ “อ่า... ก็อย่างเผลอบี้มด ตบยุง... กระทืบแมลงสาบแล้วยัง...เอ่อ”

                    “พอเถอะ เจ้านี่มันบริสุทธิ์เกินไป ให้เห็นความเป็นจริงบนโลกมนุษย์ซะบ้างก็ดีเหมือนกัน” ฮาเซลเดินมาทางผมแล้วเอ่ยขึ้น

                    “อะไรกัน ก็ฉันไม่เคยนี่” เมื่อหลุดประโยคนี้ออกไปฮาเซลก็หัวเราะเบาๆ แล้วล้มตัวลงนั่งตรงข้ามกับผม

                    “...ฉันล่ะสงสัยจริงๆว่านายตอนเด็กๆจะเป็นยังไง... บ้านในอยู่ในปราสาทหรือไงกันนะ” ยูน่าถามอึ้งๆ

                    “...ฮะๆ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

                    “หมายความว่ายังไงกันฮะ นายไม่รู้ตอนเด็กของตัวเองหรือไง”

                    “ก็ฉัน...” จะบอกดีมั๊ยนะ... ผมมองไปทางฮาเซลเห็นเขาทำหน้าเฉยๆ ผมคิดว่านั่นคงเป็นสัญญาณว่าจะเล่าหรือไม่เล่าก็ไม่เป็นอะไรสินะ

                    “ฉัน... ความจำเสื่อมน่ะ”

                    “เอ๋? จริงเหรอ” ยูน่าเบิกตากว้าง นัยน์ตาสีทองคู่สวยสั่นระริก เธอคงไม่เคยเห็นใครสูญเสียความทรงจำมาก่อนสินะ... ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตละกันนะ

                    “...อืม”

                    น่าอิจฉาจริงๆเลย! นายนี่มันโชคดีชะมัด!”

                    “…หา?” ผมอึ้ง

                    “การที่ไม่รู้อดีตตัวเองก็เท่ากับการเริ่มชีวิตใหม่อีกครั้งและแม้ว่าเราจะไม่เข้าใจสิ่งใดเลยเมื่อสูญเสียความทรงจำ แต่สิ่งนั้นเราก็สามารถเริ่มเรียนรู้ใหม่ได้อย่างไม่จำกัด... แต่ฉันไม่ชอบตรงที่ว่าเราจะลืมบุคคลสำคัญหรือคนรักไปนี่สิ... การลืมคนที่รักเป็นเรื่องที่แย่มาก”

                    “...” ตกลงมันดีหรือไม่ดีกันล่ะ

                    “เฮ้ยพวกนาย” ฮาเซลพูดขึ้น “ภารกิจออกมาแล้ว”

                    “ไหนๆ” ยูน่าผลักผมออกแล้วคุกเข่าตรงหน้าฮาเซลราวกับสุนัขขอของกิน ฮาเซลเองก็ยกมือขึ้นกลางอากาศรับสิ่งที่คล้ายๆ กับเมล็ดถั่วเขียวจากนกที่โฉบมาเมื่อครู่

                    “เอ้า” ฮาเซลแบมือจากเมล็ดถั่วเขียวนั่น ทันใดนั้นแสงข้อความตัวอักษรก็โผล่วาบขึ้นปรากฏสู่หน้าของพวกเรา ข้อความสีขาวฟ้าเรืองแสงถ่ายทอดออกมาเป็นข้อความที่มีเนื้อหาว่า

                    ภารกิจกลุ่มพิเศษกลุ่มที่สิบ

    ระดับความยากระดับ SS

    ระยะเวลาที่กำหนด ภายในสองเดือน

    เนื้อหาภารกิจ   จงสร้างบันทึกแห่งความทรงจำออกมาในรูปของอะไรก็ได้

    การสร้างบันทึกแห่งความทรงจำมีองค์ประกอบดังนี้

    1. รอยยิ้มแห่งพงไพร

    2. น้ำตาทะเลสาบ

    3. ความเศร้าของนางฟ้า

    4. เปลวเพลิงแห่งความโกรธ

    5. จุมพิตแห่งสหาย

                    “…” เราสามคนเงียบกริบไปกับเนื้อความของภารกิจ ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้มีคนกรีดร้องออกมาว่า

                    “อะไรกันเนี่ยนี่มันภารกิจระดับตำนานเชียวนะยะนี่คิดจะให้แค่สองเดือนเสร็จงั้นเหรอ บ้าไปแล้ว ใครเป็นคนออกภารกิจฟะ!”

                    “…ใจเย็นก่อนยูน่า” ผมหัวเราะแห้งๆปลอบใจตัวเอง นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยนะ ขนาดผมที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไรกับโลกนี้ยังรับรู้ได้ว่ามันคืออะไร...

                    สิ่งของชิ้นนี้เป็นสิ่งของวิเศษ ตำนานว่ากันว่าใครที่ประดิษฐ์สิ่งวิเศษชิ้นนี้ออกมาแล้วใส่ร่วมกับคนสำคัญ พวกเราก็จะเป็นคนสำคัญแก่กันตลอดไป แถมเมื่อมีสิ่งผิดปกติที่อันตรายถึงชีวิตเกิดแก่คนสำคัญคนใดคนหนึ่งที่สวมใส่ บันทึกแห่งความทรงจำจะเรืองแสงออกมาบอกเราให้ไปช่วย

                    ใช่... ของชิ้นนี้มันดีมาก แต่... ไม่มีใครสามารถสร้างมันขึ้นมาได้เลย! เพราะไม่มีใครเข้าใจปริศนาห้าอย่างที่เป็นส่วนประกอบในการสร้างบันทึกแห่งความทรงจำนี่ได้เลย!

                    “…นี่มัน... ต่างจากที่ตกลงกันไว้นี่” ฮาเซลหน้าซีดเผือกแต่หลังจากนั้นเขาก็ทำหน้าแค้นเคืองอะไรบางอย่างปานจะฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง

                    “...เวร”

                    “...ใจเย็นกันก่อนน่าพวกนาย พวกเรามาไขปริศนาห้าอย่างนี่กันก่อนเถอะ” ผมพยายามยิ้มปลอบทุกคน แต่กลับไม่สามารถควบคุมรอยยิ้มให้เป็นธรรมชาติได้... เพราะผมรู้ดีว่าไม่มีทางไขปริศนาพวกนี้ออกแน่ๆ

                    ยูน่าได้สติมองตัวอักษรเรืองแสงแล้วพูดขึ้น “รอยยิ้มแห่งพงไพร? นี่พูดถึงรอยยิ้มแห่งป่าอย่างนั้นเหรอ แล้วป่ามันหน้าตายังไงกันยะ! …ต้องทำให้ทะเลสาบร้องไห้ขี้มูกโป่ง ต้องเป็นที่ปรึกษาของนางฟ้าที่เศร้าสร้อย ต้องหาไฟโกรธบ้าอะไรนั่นด้วย แล้วมันจะเอาจากไหนกัน ใส่อารมณ์ตัวเองลงไปในบันทึกความทรงจำเรอะ! แล้วจังต้องจูบ... ฮะ?”

                    “ฮะ?” ผมกับฮาเซลครางออกมาตามยูน่า สายตาของเราทั้งคู่เลื่อนลงไปมองตัวหนังสือบรรทัดสุดท้าย...

                    จุมพิตแห่งสหาย...

                จุมพิต = จูบ

                    “กรี๊ดจะให้ผู้หญิงบอบบางอย่างฉันจูบกับไอ้หน้าหนอนพวกนี้น่ะเหรอ! ไม่เอาๆๆๆ!”

                    ใครเป็นไอ้หน้าหนอนฟะ! ทำอย่างกับว่าฉันอยากจูบกับเธอนักเหรอไงหา!” ฮาเซลกำเมล็ดถั่วในมือแน่นจนปริแตกแล้วโวยวายขึ้นอะไรวะเนี่ยต้องจูบด้วยเรอะ!”

                    “…ฮาเซล นายลืมอะไรไปหรือเปล่า...” ผมหัวเราะแห้งๆ แล้วพูดต่อ “กับยูน่าน่ะ... เป็นเรื่องปกติ แล้วพวกเราล่ะ”

                    เมื่อผมพูดจบ ฮาเซลก็อ้าปากค้างแล้วหันมาทางผมช้าๆ พวกเราจ้องกันเป็นระยะเวลานานจนฮาเซลสะดุ้งโยงโวยวายขึ้นต่อ

                    “ไม่เอานะเฟ้ยใครจะไปยอมจูบกับพวกนายกันเล่า! ไม่ๆๆๆ ยังไงก็ไม่เอา! แบบนี้ขอยอมตกดีกว่า!”

                    ฉันด้วย!”

                    “…อย่าบ้าน่ะ ถ้าตกก็เท่ากับซ้ำชั้น ซ้ำชั้นเสร็จยังไงๆ ก็ต้องทำภารกิจนี้ใหม่ให้ผ่านอยู่ดี” ผมพูดกฎของมหาวิทยาลัยเตือนสติคนทั้งสองแล้วพูดต่อ

                    “...เอาน่า เรื่องนั้นไว้ค่อยตัดสินใจกันทีหลัง เอาเป็นว่าคลายปริศนาสี่อย่างที่เหลือนี้ก่อนดีกว่า”

                    ยูน่าถอนหายใจแรงๆ แล้วอ้าขานั่งไขว่ห้างไม่เหลือเค้าของความเป็นผู้ดี “ฉันว่าเราเดินสำรวจป่าแห่งนี้กันก่อนไม่ดีรึไง ต้องสำรวจสถานที่ก่อนปฏิบัติงานวางแผนอะไรเสมอนะ”

                    “...นั่นสินะ” ผมครุ่นคิด “เอาเป็นว่าแยกกันสำรวจ...”

                    “ไม่ได้” ฮาเซลพูดขัดผมด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ นัยน์ตาสีแดงฉานฉายแววอันตรายแลดูเยือกเย็นอย่างน่าหวาดผวา บรรยากาศรอบตัวจากที่สบายๆ รื่นรมจากสายลมของธรรมชาติพลันแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอึดอัดหนาวเย็นอย่างไม่มีสาเหตุขึ้น

                    “...” ผมกับยูน่ารู้สึกจุกที่ลำคอพูดไม่ออกร้องไม่ได้ การที่ฮาเซลโกรธไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยนะ!

                    “ถึงแม้ว่าการแยกสำรวจจะรวดเร็วกว่า แต่พวกนายเข้าใจความสำคัญของการจำกลุ่มบ้างหรือเปล่า” ฮาเซลยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “และฝีมือของพวกนายก็ยังไม่ถึงขั้นออกปฏิบัติงานระดับ SS ได้ด้วยตัวคนเดียว ขืนพวกนายออกไปเดินเพ่นพ่านในป่านี่แล้วตายขึ้นมาจะทำยังไง หากพวกนายคนใดคนหนึ่งมีอันตรายรับมือไม่ไหวขึ้นมาแล้วใครจะเป็นคนช่วยกัน”

                    “อย่ามาดูถูกกันนะ! คิดว่าตัวเองเจ๋งนักหรือไงกัน กับแค่ได้เป็นนักเรียนพิเศษแค่นี้อย่ามาได้ใจกันหน่อยเลยน่า!”

                    “…” ผมไม่คิดว่ายูน่าพูดถูกทั้งหมด น้ำเสียงเมื่อครู่... ฮาเซลดูเป็นห่วงพวกเรามาก มากจนผมอึ้งนิ่งอยู่กับที่

                    แต่ดูเหมือนว่าฮาเซลจะลืมเรื่องอะไรไปบางอย่าง ผมจึงเอ่ยปากพูดเตือนสติฮาเซลว่า “พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ เราควรจะเชื่อใจกันสิ...”

                    “...ฉันรู้น่า ไม่ต้องมาย้ำฉันก็รู้”

                    “งั้นพวกเราก็ต้องแยกกันหา ถ้านายไม่ยอมให้ทำแบบนี้ฉันจะถือว่านายไม่ไว้ใจพวกเรานะ!” ยูน่ายืนขึ้นท้าวเอวตวาดใส่ฮาเซล

                    “…”

                    อย่าเงียบสิ!”

                    ฮาเซลนิ่งไปชั่วครู่ สักพักเขาก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมาแล้วล้วงต่างหูลวดลายเถาวัลย์สีดำสลับเทาขึ้นมาสองคู่

                    เอ้า... เธอเอาไปใส่มันซะ”

                    “...อะไรน่ะ” ยูน่ารับไปดูอย่างงงๆ

                    “ต่างหูสื่อสาร... ถ้าพบอะไรผิดปกติเธอก็บอกฉัน” ฮาเซลว่าพลางหนีบต่างหูอีกข้างไว้ที่ใบหูตัวเอง

                    อ้อ... แล้วจะใช้งานยังไงล่ะ” ยูน่าถามขึ้น

                    “กดปุ่มที่ก้นต่างหู”

                    “ว้าว... ยอดเลย” ยูน่าสำรวจอึ้งๆ ผมหันไปหาฮาเซลแล้วถามคำถามที่สงสัยมาตั้งแต่เมื่อครู่

                    “ฮาเซล... ของฉันอ่ะ”

                    “นาย? ไม่มีหรอก” ฮาเซลตอบส่งๆ แล้วลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมออกลุย แต่ผมยังไม่พร้อมหรอกนะ! ทำไมถึงไม่มีส่วนของผมล่ะ!

                    ได้ยังไงกัน! ทำไมมีแต่ฉันที่ไม่มีมันล่ะ!”

                    หึ! เพราะนายไม่มีค่าแก่การที่จะได้มันมาไง” ยูน่าแค่นหัวเราะดูถูก ...จำไว้เลยนะ ถ้าถึงทีผมเมื่อไหร่เธอไม่รอดแน่!

                    “…คนเรามีหูสองข้างก็ต้องทำต่างหูสองข้างสิ นายจะให้ฉันทำสามข้าง สี่ข้างหรือไง?” ฮาเซลว่าจบก็ไม่สนใจผมอีกแล้วหันมาพูดกับผมและยูน่าเรื่องการวางแผนต่างๆ

                    “วางสัมภาระทุกอย่างไว้นี่ หยิบแต่ของที่จำเป็นไว้ใช้ ฉันให้เวลาทุกคนสามชั่วโมงต้องกลับมาถึงที่นี่ ถ้าใครคนใดคนหนึ่งมาช้าเกินกำหนด ฉันจะออกหาทันที และถ้าใครเกิดเจอกับอสูรแล้วรับมือไม่ไหวให้รีบติดต่อใครก็ได้ให้ไปช่วย”

                    “อ้าว?” ยูน่าร้องขึ้น “แล้วทิลที่ไม่มีเครื่องมือติดต่อจะทำยังไงล่ะ”

                    “...ทิล นายใช้เวทสื่อสาร นายใช้มันติดต่อกับฉันหรือยัยนี่เวลารับมือกับตัวอะไรไม่ได้ก็แล้วกัน”

                    อ๋อ เพราะอย่างนี้สินะฮาเซลถึงไม่ให้ต่างหูนั่นกับผม “รู้แล้ว”

                    “แยกออกเป็นสามทาง... ไปได้” จบคำฮาเซลก็ดีดตัวขึ้นกระโดดเดินทางบนต้นไม้ไปอย่างรวดเร็ว ผมหัวเราะเบาๆ แล้วหันไปทางยูน่า

                    “ฮาเซลนี่รีบจังเนอะ... อ้าว ไปแล้ว?” ผมอึ้ง เธอไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่...

                    ที่นี่คงเหลือแต่ผมสินะ... งั้นผมไปสำรวจบ้างดีกว่า

                    หวังว่าจะไม่มีใครบาดเจ็บสาหัตกลับมานะ...

                    ไม่นั้นผมคงจะต้องรู้สึกเสียใจแน่ๆ เลย

    ความรู้สึกเสียใจ... นั่นคือความรู้สึกที่ผมชิงชังมากที่สุด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×