ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ฉันเลือกเธอเป็นรักครั้งแรก
ใครจะไปคิดว่าการที่ตุลาคมเดินไปส่งเธอที่บ้านเมื่อวานจะกลายเป็นเรื่องให้คนในโรงเรียนพูดกันต่อได้ขนาดนี้
"กลายเป็นคนดังเพียงแค่มีผู้ชายเดินไปส่งที่บ้านเนี่ยนะ"
เมษายนเอ่ยปากบ่นเมื่อเริ่มรำคาญกับการเดินไปไหนก็มีคนพูดลับหลัง เป็นรุ่นพี่ที่จบไปก็ตั้งสามปีเข้าไปแล้ว ยังจะฮอตอะไรได้ขนาดนี้ นอกจากเรื่องที่รุ่นพี่สุดหล่อเดินไปส่งที่บ้าน อีกประเด็นก็คือเรื่องความยาวของกระโปรงเธอเนี่ยแหล่ะ ตั้งแต่เดินออกจากบ้านแล้ว นาเดียก็มองเธอราวกับเห็นขาข้างที่สามของเธองอกมาจากชายกระโปรงอย่างนั้นแหล่ะ
"เธอก็ถูกพูดถึงอยู่ตลอดแหล่ะ เมษา"
เมษายนหันไปมองหน้าเพื่อนแล้วทำหน้าเอือม 'ฉันแค่บ่นไม่ได้ต้องการคำตอบไปเสียทุุกเรื่องหรอกยายหนู'
"วันนี้ฉันมีเรียนคาบ 3 ที่ตึก 1 เสร็จแล้วกินข้าวกันไหม"
เมษายนบอกตารางเรียนกับเพื่อนสาว เมื่อคืนเธอนอนคิดแล้วว่า เธอจะเกาะติดนาเดียนี่แหล่ะ ยายเด็กเรียนนี่น่าจะพอเป็นหลักให้เธอยึดได้บ้าง อีกอย่างเธอก็น่าจะนิสัยเสียจนคนดีดีไม่อยากจะคบเสียแล้ว นอกจากเด็กสาวลูกครึ่งคนนี้
"ปกติเธอกินข้าวกับพวกกติกานะ วันนี้ไม่ต้องไปกับพวกนั้นหรือ"
เป็นครั้งแรกที่นาเดียตอบคำถามอึกอัก เมษายนกับกลุ่มเพื่อนเด็กเรียนของเธอนั้น เรียกได้ว่าไม่กินเส้นกันเลยทีเดียว เพราะฤทธิ์ของเมษายนที่ทำไว้นั้น เธอพยายามหาข้อดีมาลบล้างยังไงก็ไม่ได้เลยทีเดียว มีอย่างที่ไหนเอาสมุดไดอารี่ส่วนตัวของเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มที่มีเรื่องราวแอบชอบเพื่อนร่วมห้องไปซีร๊อกส์ แล้วส่งต่อไปทั่วโรงเรียน เพียงเพราะว่า เพื่อนคนนั้นบอกว่าทรงผมใหม่ของเมษายนไม่สวย แถมเธอยังควงเด็กหนุ่มคนนั้นมาเย้ยอีกต่างหาก
"ทำไมล่ะ ไม่สะดวกใจหรือ"
เมษายนเอ่ยปากถามตรงๆ เธอรู้ว่าเธอแสบไม่น้อย คงมีใครหลายๆคนไม่ชอบหน้าเธอนัก เธอคงเคยทำให้ใครเจ็บช้ำน้ำใจไม่น้อย แต่ว่าเวลามันผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว จะให้เธอจำว่าเธอทำอะไรลงไปบ้าง เธอก็ไม่ได้ความจำดีขนาดนั้นหรอกนะ
"ผึ้งยังโกรธเรื่องที่เธอเอาไดอารี่เขาไปเปิดเผยอยู่เลย"
นาเดียบอกเหตุผลที่ทำให้เธออึดอัดใจหากว่าเพื่อนสาวต้องการที่จะไปด้วย เธอเลือกที่จะใช้คำว่ายังโกรธ แทนเกลียดเพราะกลัวว่าเมษายนจะโมโหขึ้นมา
"เอาไดอารี่ไปเปิดเผย ฉันหรือ"
เมษายนทวนคำตอบของเพื่อนสาว แล้วได้แต่กลอกตาทำไมสมัยนั้นเธอถึงได้เป็นเด็กเปรตขนาดนี้นะ 'เอาเถอะกินข้าวคนเดียวก็ไม่เห็นเป็นไรเลย' เมษายนยิ้มให้เพื่อนทำนองว่าเข้าใจ แล้วแยกเดินไปเข้าเรียน หญิงสาวก้าวขาเชื่องช้ามองไปรอบๆเพื่อรำลึกความหลังสมัยที่เธอยังเรียนอยู่ที่นี่ ในช่วงวัยรุ่นที่ผ่านมาเธอไม่ได้เก็บเกี่ยวเรื่องราวดีๆในวัยนี้ไว้แม้แต่น้อย คิดแล้วก็ใจหายหากวันใดที่เธอต้องกลับไปสู่โลกใบเดิม โลกที่ไม่รู้ว่าเธอมีสภาพอย่างไร
"เอาล่ะ นักเรียนวันนี้เราจะเรียน เรื่องประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในทวีปยุโรป เปิดไปที่หน้า"
เมษายนมองตรงไปที่คุณครูที่สอนวิชาสังคมศึกษาที่แต่งตัวด้วยชุดผ้าไหม และทำผมทรงตีโป่ง ยืนถือหนังสืออยู่หน้าชั้นเรียนแล้วอมยิ้ม เธอแกล้งครูคนนี้ไว้มากเชียว ตอนนั้นเธอมองว่าครูคือตัวตลกแต่งตัวแต่งหน้าทำผมโบราณ คนแบบนี้จะมาสอนเธอที่เป็นเด็กวัยรุ่นยุคใหม่ได้อย่างไร
"ไหนใครตอบได้บ้างว่า ใครทองหยิบทองหยอดที่พวกเรากินกันทุกวันนี้ มีที่มายังไง"
เด็กทุกคนนั่งนิ่งเงียบเหลือบตาซ้ายขวาทำนองว่าแกก็ตอบสิ ท่ามกลางความเงียบมีหนึ่งแขนชูขึ้นกลางอากาศ ครูสังคมวัยดึกถึงกับตาพอง 'ยายเด็กเมษายนจะก่อกวนการเรียนการสอนของเธออีกแล้วหรือ' แววตาเด็กสาวแสดงความจริงใจ ดวงหน้าอ่อนวัยยิ้มบาง ดูราวกับเด็กเรียนที่ตั้งใจตอบคำถามครูจริงๆ
"ว่าไงเมษายน เธอรู้หรือว่าใครเป็นคนที่ทำให้เกิดทองหยิบทองหยอดในยุคนี้"
เมษายนยิ้มพราว ต้องขอบคุณละครย้อนยุคในช่วงที่เธอเพิ่งจากมา ที่สอนให้รู้ว่า
"มารีกีมา หรือท้าวทองกีบม้าค่ะ"
เสียงใสตอบฉะฉานไร้วี่แววก่อกวนอย่างที่ครูผู้สอนคาดการณ์ไว้ และเพื่อนๆในห้องต่างก็ตกใจกับความเปลี่ยนแปลงนี้ เมษายนรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมาด้วยความประหลาดใจจากเพื่อนร่วมชั้น 'แปลกใจอะไร ฉันจะกลับตัวเป็นคนตั้งใจเรียนไม่ได้หรือไงละยะ'
คาบเรียนช่วงเช้าผ่านไปได้ด้วยดี ท่ามกลางความสงสัยของเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่เธอเปลี่ยนจากเด็กหลังห้องมาเป็นเด็กหน้าห้อง ตั้งใจตอบคำถาม ตั้งใจจดบันทึกย่อ ไม่คุยเล่นไม่ก่อกวนความสงบภายในชั้นเรียน ข่าวที่เห็นกันบ่อยๆว่าอุบัติเหตุทำให้วิญญาณอื่นมาเข้าร่างบางทีอาจเป็นเรื่องจริงก็ได้
"ทำไมยายนั่นมานั่งกินข้าวที่โรงอาหารคนเดียวได้ล่ะ โดนยายกติกาถีบออกมาจากกลุ่มแล้วละสิ"
สายน้ำผึ้งถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมรุ่นคู่แค้นนั่งกินข้าวคนเดียว นาเดียหันไปมองเพื่อนสาวแล้วมีสีหน้าเจื่อนๆ ตอนที่เธอบอกเหตุผลเมษายนก็ไม่ได้ดื้อดึงเพื่อที่มานั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับพวกเธอ แต่พอเธอเห็นเพื่อนสาวนั่งกินคนเดียวก็แอบรู้สึกเศร้าใจไม่ได้
"ทำไมไม่ไปกินด้วยกันที่โรงยิม"
เสียงกระด้างดังขึนข้างตัว เมษายนทำเพียงแค่เหลือบตาไปมองก่อนจะก้มหน้าตักเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากต่อไม่ได้ตอบคำถามใดใด
"ฉันถามทำไมแกไม่ตอบ เพิ่งจะได้เข้ากลุ่มอย่ามาทำเป็นอวดดีหน่อยเลย"
วัยรุ่นใจร้อนตะคอกใส่เธอเมื่อเห็นว่าสมาชิกใหม่ดูไม่สนใจธรรมเนียมปฎิบัติของกลุ่ม แถมยังมองเธอด้วยหางตาอีกต่างหาก คิดว่าหัวหน้ากลุ่มชอบแล้วจะข้ามหัวพวกเธออย่างนั้นหรือ
"ก็เธอไม่ได้เรียกชื่อฉันนี้"
เมษายนวางตะเกียบแล้วเงยหน้าขึ้นมอง เด็กสาวคนนั้นยังคงยืนค้ำหัวเธอด้วยท่าทีคุกคาม เพื่อนสาวที่มาด้วยกันก็พลอยทำตัวพองข่มขวัญเธอไปด้วย
"แกกวนตีนฉันหรอเมษา แกคิดว่ากติกาชอบแก แล้วแกจะเล่นตัววางท่าหยิ่งยังไงก็ได้งั้นหรือไง ฉันละอยากจะฟาดปากให้แกสำนึกจริงๆเลย"
ไม่พูดเปล่ามีการตบโต๊ะอาหารเสียด้วย เมษายนลุกขึ้นยืนจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง จนฝ่ายคุกคามมีท่าทีไม่มั่นใจเมื่อเห็นว่าเธอเริ่มมีปฏิกริยาตอบโต้ เดิมทีเมษายนกับเธอไม่ใช่ว่าจะถูกคออะไรกันมากมายนัก แต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยมีท่าทีตอบกลับด้วยท่าทีแบบนี้
"ฉันดูว่างและอารมณ์ดีจนอยากจะกวนตีนเธอหรือไง"
คนตรงหน้าวาดมือมากะว่าจะฟาดเข้าที่ใบหน้าของเธอ แต่ก่อนที่ฝ่ามือนั้นจะฟาดลงบนใบหน้าของเธอ ก็อีกมือหนึ่งที่มารับไว้เสียก่อน
"ทำตัวอย่างกับเป็นพวกนักเลง ที่นี่โรงเรียนนะ"
คนที่มารับฝ่ามือแทนเธอนั้น คือ สายน้ำผึ้งคนที่ไม่มีใครคาดถึงว่าจะมาออกตัวช่วยเหลือเธอ
"เด็กเรียนอย่างเธอ อย่าหาเรื่องใส่ตัวหน่อยเลยสายน้ำผึ้ง หลบไปนั่งท่องตำราของเธอไปเถอะ จะหาว่าฉันไม่เตือน"
สายน้ำผึ้งยิ้มเย็นก่อนจะบิดข้อมือเพียงเล้กน้อย เด็กสาวนักเรียนนักเลงถึงกับเบ้หน้า ร้องโอดโอย
"ขอโทษทีเด็กเรียนอย่างฉัน มีพ่อเป็นยูโดสายดำ"
สายน้ำผึ้งแสยะยิ้มก่อนจะสะบัดเหวี่ยงวัยรุ่นร่างผอมกะหร่องออกไป เมษายนและคนอื่นๆยังอยู่ในการตกใจจากความช่วยเหลือที่เกินคาดหมาย
"พวกแกระวังตัวไว้นะ ฉันเอาคืนแน่ เมษาฉันจะทำให้แกโดนเฉดหัวออกจากกลุ่มให้ได้แกคอยดู"
เด็กสาวเลือดร้อนเดินจากไปแล้ว เมษายนมองหน้าสายน้ำผึ้งที่นัยว่าเป็นคู่ปรับแล้วก้มหัวให้เล็กน้อยแทนการเอ่ยขอบคุณ และถ้าใครคาดหวังว่าจะได้เห็นภาพเหมือนในละครที่เด็กสาวสองคนจะยิ้มให้กันและกันชวนกันไปนั่งร่วมโต๊ะละก็คงจะผิดหวัง เพราะเมษายนก็หันไปหยิบถาดอาหารเดินไปเก็บ ส่วนสายน้ำผึ้งก็เดินหันหลังกลับไปนั่งที่โต๊ะ นาเดียได้แต่คิดแล้วถอนหายใจ 'พวกเขาคงไม่ดีกันง่ายหรอก'
เสียงออดบอกว่าคาบเวลาเรียนคาบสุดท้ายได้จบลงแล้ว เด็กนักเรียนบางคนก็ลุกขึ้นเก็บกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้านในขณะที่บางคนก็หันไปคว้าอุปกรณ์ทำเชียร์ขึ้นมาทำต่อ งานกีฬาสีใกล้เข้ามาทุกที เด็กๆต่างตื่นเต้นที่จะได้เข้าร่วมกิจกรรมที่หนึ่งปีมีเพียงครั้งเดียว คงมีเพียงเธอที่ไม่ได้รู้สึกว่างานนี้มันสำคัญ เดิมทีเธอก็ไม่ได้เลือกที่จะทำอะไรอยู่แล้วไม่ได้เป็นทั้งนักกีฬา เชียร์ลีดเดอร์ หรือคนที่ต้องขึ้นสแตน เธอก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลยอย่างเธอ อยู่ดีดีถึงได้ไปตกลงมาจากอัฒจันทร์เพราะติดคัทเอาท์เสียได้ คนอื่นๆเล่าว่าเธออยากเรียกร้องความสนใจจากใครสักคนเลยทำอย่างนั้น 'เรียกร้องความสนใจจากใครกันละ' หญิงสาวได้แต่คิดในใจแต่ก็ไม่ได้พยายามหาคำตอบอะไรมากมายนัก ถึงอย่างไรเธอก็ไม่มีทางรู้คำตอบหรอก มีเพียงสวรรค์เท่านั้นล่ะที่รู้ และอีกคนที่รู้คือใครน่ะหรือ ก็เด็กหนุ่มรุ่นพี่ที่ชื่อตุลาคมไงล่ะที่รู้
เมษายนในชุดนักเรียนถูกระเบียบก้าวขาลงจากรถประจำทางที่ป้ายรถเมลหน้าบ้าน ร่างเล็กเดินทอดน่องเอื่อยๆมองนกมองไม้เรื่อยๆไม่ได้เร่งฝีเท้ามากนัก พลางนึกแปลกใจว่าเหตุใดวันนี้เธอถึงไม่ได้โดนก่อกวนจากกลุ่มกติกา แล้วเธอยังไปมีเรื่องกับคนในกลุ่มอีกด้วย เป็นเรื่องน่าแปลกใจ เพราะปกติของเด็กวัยนี้หากเพื่อนในกลุ่มมีเรื่อง พวกเธอเหล่านั้นก็พร้อมจะมีเรื่องแทนเพื่อนเสมอ เรียกได้ว่าเป็นวัยรักเพื่อนรักพ้องมากที่สุดก็เป็นได้ แต่แล้วพอ 'คิดถึงเสือ เสือก็มา' เมษายนมองไปที่กลุ่มเด็กนักเรียน 7-8 คนตรงหน้าแล้วถอนใจ หนีไม่พ้นจริงๆ กติกายืนอยู่ด้านหน้า
"เมษา เมื่อตอนกลางวันแกปล่อยให้อีครีมมันโดนอีเด็กเรียนทำแบบนั้นได้ยังไง ทำไมไม่ช่วยเพื่อนในกลุ่ม"
กติกาเปิดก่อนแบบไม่ต้องรอใคร ตามประสาหัวหน้ากลุ่มที่ต้องสร้างความเชื่อมั่นในตัวลูกน้อง ในความคิดของเธอกติกาเป็นเด็กที่มีความก้าวร้าวและมีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรงสูง กติกาไม่พูดมากเมื่อเทียบกับคนอื่นๆในกลุ่ม แต่มักลงมือทำหนักเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายร่างกาย หรือเรื่องการใช้ยาเสพติด
"ฉันแค่อยากกินข้าวที่โรงอาหาร"
เมษายนให้เหตุผลถึงสาเหตุที่เธอไปปรากฏตัวอยู่ที่โรงอาหารในมือเที่ยงแทนการไปโรงยิม จนเปรมิกาต้องมาตามจนเกิดเรื่อง เด็กสาวเปรมิกาที่ยืนอยู่เยื้องไปทางด้านหลังใบหน้าเผยรอยยิ้มบิดเบี้ยว ที่ดูพยายามทำให้คล้ายๆตัวละครในละครหลังข่าวและมันดูตลกจนเมษายน อดหลุดขำกับท่าทางนั้นไม่ได้
"แกขำอะไรเมษา เอ๊ะ หรือว่าแกคิดจะทำตัวดีตีตัวออกห่างพวกเราไปเข้ากับพวกเด็กเรียน เพื่อดึงดูดผู้ชายคนนั้น"
เมษายนกลอกตามองฟ้าถอนหายใจท่าทางเบื่อหน่าย มันอะไรกันหนักกันหนาเด็กพวกนี้ เธอจะทำอะไรมันก็เรื่องของเธอไหม 'ฉันอายุ30เข้าไปแล้ว ฉันจะมานั่งทำตัวแล้วแต่หัวหน้ากลุ่มไปเพื่ออะไร'
"ฉันไม่ได้เอาใจใคร ฉันแค่ทำอะไรที่ฉันอยากจะทำ ไม่ได้กินข้าวที่โรงอาหารเพื่อให้ผู้ชายสนใจ ทำไมพวกเธอถึงคิดอะไรเด็กขนาดนี้นะ เด็กสมัยนี้มันอะไรกัน"
ท้ายประโยคเธออดบ่นแบบคนอายุ 30 ไม่ได้ กติกาขมวดคิ้วจ้องมาที่เธอเขม็ง ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมา
"เด็กหรือ พวกเราเป็นแค่เด็กในสายตาแกหรือ ได้ เมษา ได้ แกทำให้ฉันรู้สึกว่าแกกำลังท้าทายกลุ่มฉันอยู่ ฉันจัดให้ พวกแกไปจับตัวมัน ลากไปท้ายหมู่บ้าน แล้วดูต้นทางไว้ด้วย"
ยังไม่ทันขาดคำกลุ่มเด็กผู้หญิงก็ถลากรูเข้ามาจับแขนเธอซ้ายขวาแล้วลากเธอให้เดินไปตามถนนหมู่บ้าน เธอจะไม่รู้สึกตระหนกถ้าหากกติกาจะไม่ใช้มีดพับจี้สีข้างเธอไว้ ท่าทางของเด็กแต่ละคนอดทำเธอกลัวไม่ได้ เด็กพวกนี้ไม่ได้เด็กมากขนาดจะทำร้ายเธอไม่ได้ แล้วแต่ละคนก็ดูมีอาการก้าวร้าวอยากใช้ความรุนแรงอย่างเห็นได้ชัด เอายังไงดีโทรศัพท์ก็ไม่มี จะตะโกนขอความช่วยเหลือคนในละแวกบ้านก็ชังน้ำหน้าเธอเหลือเกิน แถมวันนี้ยังไม่มีใครผ่านมาอีกด้วย ถนนที่ตัดไปสนามเด็กเล่นท้ายหมู่บ้านนานๆทีจะมีคนใช้ เนื่องจากเป็ฯหมู่บ้านเก่ามากแล้ว ไม่ได้มีนิติบุคคล สถานที่ส่วนรวมจึงถูกปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้มีคนใส่ใจมากนัก และพอมันไม่สวยก็ไม่มีคนอยากเดินไปทางนั้นสักเท่าไร แต่เหมือนสวรรค์จะมีตาอีกครั้ง เธอเห็นสุนัขพันธ์โกลเดนรีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่ขนฟูนอนหมอบอยู่ใต้ต้นไม้ หน้าทาวน์เฮาส์ร้างหลังหนึ่ง 'ถ้าหมาอยู่นี่ เจ้าของก็ต้องอยู่แถวนี้สิ' เมษายนพยามสอดส่ายสายตาหารุ่นพี่ที่อาจเป็นคนเดียวในตอนนี้ที่ช่วยเธอได้
"ลนขึ้นมาเชียวนะแก ไม่มีใครช่วยแกหรอก แกหนีมือพี่โจ้มาหลายวันแล้ว คราวนี้แกหนีไม่พ้นหรอก เพราะพวกฉันจะเฝ้าต้นทางอย่างดีเชียวแหล่ะ"
เปรมิกาส่งเสียงหัวเราะน่าเกลียด ในขณะที่เมษายนพยามยามกวาดสายตาหาเจ้าของสุนัข 'หรือไอ้หมาตัวนี้มันวิ่งออกมาจากบ้านโดยที่เจ้าของไม่รู้' แต่ในขณะที่เกือบจะหมดหวังเธอก็เห็นว่า มันมีเชือกจูงร้อยอยู่ที่คอ ถ้ามีสายจูงก็ต้องมีคนจูงสิ หมาที่ไหนมันจะใส่สายจูงเองได้ล่ะ อยู่ดีดีเธอก็รู้สึกได้ว่ามีคนมองเธออยู่จากทางด้านหลัง เมษายนเอี้ยวตัวไปหาความรู้สึกนั้น และทันทีที่เห็นดวงตาสีดำใหญ่คู่นั้น ริมฝีปากอิ่มก็ยกขึ้นยิ้มพลางคิดในใจ 'วันนี้เธอรอดแล้ว' เด็กหนุ่มวัยยี่สิบไม่ได้แสดงตัวบอกให้กลุ่มเด็กนักเลงเหล่านี้หยุด แต่เขารอ รอจนกว่าพวกนี้จะเดินลับตาไปต่างหาก เขาจะได้ออกมาจากที่ซ่อนแล้วโทรแจ้งตำรวจได้ เมษายนรู้สึกชื่นชมเด็กหนุ่มในใจ 'อย่างน้อยก็ไม่ทำตัวโง่เหมือนพระเอกในละครหลายๆคนละนะ' ร่างสูงของตุลาคมหายลับตาไปแล้ว ในขณะที่ตัวเธอก็ยังคงเดินตามแรงลากของเด็กกลุ่มนี้ ปลายทางภาพที่เธอเห็น คือเด็กวัยรุ่นที่ชื่อโจ้ นั่งรออยู่ที่บ้านของเล่น ในสนามเด็กเล่นของหมู่บ้านโดยมีกลุ่มเด็กวัยรุ่นชายยืนล้อมรอบ อากาศเริ่มเย็นและฟ้าก็เริ่มมืด ถึงแม้ว่าเธอจะเห็นแล้วว่า ตุลาคมรับรู้แล้วว่าเธอเดินมาทางนี้แต่เวลาแค่เพียงเสี้ยววินาทีก็ทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนทิศได้เหมือนกัน เรื่องพวกนี้เธอรู้ดีกว่าใคร
"เมษา คราวก่อนนี้ทำเอาพี่เสียหน้าไม่น้อยเลยนะ ที่เดินตามไอ้หน้าจืดนั้นไปน่ะ"
เปิดปากได้ก็ท้าวความถึงเรื่องเมื่อวาน อะไรจะต้องตามมาคิดบัญชีกันไวขนาดนี้ก็ไม่รู้ เมษายนสูดลมหายใจลึกพยายามตั้งสติ ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามข่มให้ตัวเองนิ่งสักแค่ไหน แต่การที่มีเด็กวัยรุ่นสิบกว่าคนยืนล้อมรอบพร้อมกับมีดที่จ่อสีข้างอยู่ก็ทำให้เธอเริ่มรู้สึกกลัวไม่ได้ การกล้าทำชั่วไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัยเลยแม้แต่น้อย โจ้เดินสืบเท้าใกล้เข้ามาที่เธอช้าๆ เหมือนเสือกำลังจะตะครุบเหยื่อ และโดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว กำปั้นหนักๆของเด็กหนุ่มก็พุ่งเข้ากลางลำตัวเธอ เล่นเอาร่างเล็กบางทรุดลงไปกองที่พื้น
"ขอโทษนะเมษา พี่กลัวว่าเมษาจะหนีพี่ไปอีก คราวนี้พี่คงช้ำใจน่าดู อย่าว่ากันนะ"
กลิ่นบุหรี่ผสมกลิ่นเหงื่อบวกกับท่าทางกักขละของโจ้ ทำให้เมษายนกลัวจริงๆ นี่เธอจะโดนเด็กนี่ข่มขืนอีกครั้งอย่างนั้นหรือ เธออุตส่าห์ได้ย้อนเวลากลับมาอีกครั้ง เพื่อจะพบว่าชีวิตเธอมันแก้ไขไม่ได้จริงๆหรือ แล้วตุลาคมที่เห็นเหตุการณ์นี้จะมาช่วยเธอหรือเปล่า หรือว่าที่เขาหลบไม่แสดงตัวเพราะเขาแค่ไม่ต้องการจะเกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวายนี้ไม่ได้จะมาช่วยในภายหลังอย่างที่เธอคิด มือหยาบกระด้าง ฉุดกระชากลากถูลากเธอไปด้านหลังบ้านของเล่น ร่างบางปลิวตามแรงเหวี่ยงลงไปนอนกองอยู่กับพื้น เมษายนพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งกระถดตัวหนีสัมผัสของโจ้ น้ำตาเริ่มเอ่อคลอในหน่วยตารู้สึกหมดหวัง เธอกลัวเด็กพวกนี้จริงๆ
มือใหญ่คว้าข้อเท้าดึงร่างบางเข้าหาตัว ส่วนมืออีกข้างก็ควานเข้าไปภายใต้กระโปรงนักเรียน
"ขอร้องพี่ดีดีสิ เมษาแล้วพี่จะทำเบาๆ ถ้าทำหน้าแบบนี้พี่ไม่พอใจ เมษาอาจจะเจ็บตัวได้นะ"
เสียงแตกพร่าของโจ้ทำให้เธอต้องกัดริมฝีปากเพื่อสกัดกั้นเสียงสะอื้น เธอจะไม่ขอร้องผู้ชายคนนี้ และเธอจะไม่ยอมให้เขาได้ยินเสียงร้องไห้ของเธอด้วย มือหยาบกระด้างดึงทึ้งเสื้อนักเรียนของเธอจนกระดุมหลุดลุ่ย เปิดเผยผิวกายนวลเนียนของวัยสาว เมษายนตัดสินใจหลับตาลงยอมแพ้กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เธอพยายามแก้ไขอดีตแล้ว เธอพยายามแล้วจริงๆ ในช่วงเวลาแห่งการยอมรับ เสียงโหวกเหวกโวยวายของกลุ่มเด็กที่ดูต้นทางด้านนอกดังเข้ามาถึงหลังบ้านของเล่น เสียงไซเรนรถตำรวจที่ดังด้านนอกทำให้เด็กชายที่กำลังพยายามล่วงเกินเธอยอมปล่อยมือจากร่างของเธอ เมษายนรับรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นวางมือจากเธอไปแล้ว ริมฝีปากที่ถูกกัดจนห้อเลือดถึงได้ค่อยๆเผยอออกเปล่งเสียงสะอื้นที่เก็บไว้ออกมา หญิงสาววัย 30 ในร่างเด็กสาววัย 17 นอกตะแคงกอดตัวเอง 'เธอรอดแล้ว เธอรอดมาได้อีกครั้ง' สัมผัสเบาๆที่ต้นแขนทำให้เธอสะดุ้งสุดตัวลุกขึ้นมานั่งกอดตัวเองแน่น ดวงตาเบิกโพลงจ้องมองอะไรก็ตามที่จะทำร้ายเธอ
ภาพที่เขาเห็นคือเด็กสาววัย 17 สวมเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง น้ำตาบวมเป่งจากการร้องไห้ กำลังนั่งกอดตัวเอง ตุลาคมรู้สึกสะท้อนใจ ถ้าเมื่อครู่เขาคิดว่าเธอคงมามั่วสุมกับกลุ่มเพื่อนเกเร แล้วไม่ไปแจ้งความจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กผู้หญิงตรงหน้านี้ เขาก็ไม่อยากจะคิด ร่างสูงย่อตัวลงประคองเด็กสาวให้ลุกขึ้น แต่ร่างเล็กยังดูอ่อนแรงเกินกว่าจะยืนด้วยขาของตัวเอง มือเล็กที่ตอนแรกกอดตัวเองแน่น ตอนนี้อีกข้างตกลงมากุมที่บริเวณท้อง ใบหน้าเล็กซีดเซียว คนตัวโตมองเห็นอาการของคนตัวเล็กแล้วยิ่งรู้สึกผิดต่อเธอ และโกรธเด็กพวกนั้นมากขึ้นอีกหลายเท่า วงแขนแข็งแรงของเด็กหนุ่มที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ก้มลงช้อนคนตัวเล็กเข้าสู่อ้อมอก ในใจพลันรู้สึกแปลกไป กับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อรุ่นน้องคนนี้ ที่เขาเคยออกปากว่าไม่ชอบ แต่ตอนนี้เขากลับยอมอุ้มเธอที่ตัวเปรอะเปื้อนขึ้นมาจากพื้นหญ้า ยอมที่จะเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่อาจก่อความวุ่นวายในอนาคต ยอมทำหลายๆสิ่งที่เขาไม่คิดว่าเขาจะทำเพื่อผู้หญิงคนนี้ได้ แล้วยังโกรธคนที่มาทำร้ายเธอมากอีกด้วย
"เดี๋ยวพี่พาไปส่งที่บ้าน"
เสียงทุ้มมั่นคงของตุลาคม ช่วยให้เธอรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาอย่างประหลาด ดวงตากลมโตช้อนมองรุ่นพี่ที่เป็นรักแรกแล้วรู้สึกดีใจ 'อย่างน้อยรักแรกของเธอก็เป็นคนดี เธอไม่ได้เลือกคนผิด' ศีรษะเล็กซุกลงบนอกกว้างได้รูปแล้วหลับตาลง 'พี่ขอพักสายตาแปปหนึ่งนะ หนุ่มน้อย'
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น