ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ย้อนเวลากลับไปรัก

    ลำดับตอนที่ #2 : 17 อีกครั้ง

    • อัปเดตล่าสุด 10 พ.ค. 61


    "เมษา เธอเป็นยังไงบ้าง"
    นาเดียเด็กสาวลูกครึ่งเพียงคนเดียวของชั้นเรียนมีบ้านอยู่ใกล้ๆกับเธอ และเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่อนุบาล จนถึงมัธยมต้น หย่อนก้นลงนั่งข้างๆเธอที่เตียงพยาบาล เมษายนในร่างเด็กสาววัย 17 เหลือบตามองเพื่อนสนิทในตอนนี้ ที่ในอนาคตจะกลายเป็นพี่สะใภ้เธอในอนาคตยิ้มน้อยๆแล้วถอนใจ เพื่อนคนนี้เป็นห่วงเธอที่สุด คอยบอกคอยเตือน คอยพยายามดึงเธอเข้าลู่เข้าทางเสมอ แต่เธอต่างหากที่มองว่าเพื่อนคนนี้ช่างน่าเบื่อ ถึงได้ห่างเหินไปคบกับเพื่อนอีกกลุ่ม จนชีวิตต้องตกอับ 

    "ไม่เป็นไรหรอก ขอบใจนะ"
    เมื่อเห็นเพื่อนสาวที่เคยสนิทในวัยเด็กยิ้มให้ เด็กสาวลูกครึ่งก็ออกอาการงงไปเล็กน้อย ตั้งแต่เปิดเทอมขึ้นม.ปลายมา เพื่อนสมัยอนุบาลคนนี้ไม่เคยยิ้มแบบนี้ให้เธอเลย เหตุผลที่ได้ ก็จนใจจะหาทางแก้ไข 
    'ก็เธอน่าเบื่อ เลิกเรียนก็เรียนพิเศษ เสาร์อาทิตย์ก็เรียนพิเศษ  ฉันไปอยู่กับพวกกติกาดีกว่า พวกนั้นมีเรื่องสนุกๆให้ลองทำเยอะแยะ'

    เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามา ทำให้เด็กสาวสองคนหันไปที่ประตู สิ้นเสียงตึงตัง ก็ปรากฏร่างเด็กชายร่างสูงคนหนึ่ง ยืนหอบเอามือเท้าประตู เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดพรายอยู่ทั่วใบหน้าที่เต็มไปด้วยสิวฮอร์โมน

    "เมษา แกตกลงมาได้ยังไง"
    สิงหาคมพี่ชายของเธอ ก้าวยาวๆเข้ามาที่เตียงพยาบาล เมษายนที่อยู่ในร่างเด็กอายุ 17 ปี ปรายตามองไปที่เด็กสาววัยรุ่นที่นั่งอยู่ด้านข้าง โดยไม่ได้ตอบคำถามพี่ชายในทันที 
    'หน้าแดงเป็นลูกตำลึงเชียว ยายนาเดีย เธอนี่มองขาดตาดีชะมัด ว่าพี่ชายสิวเขลอะของเธอในตอนนี้นั้น ในวัยผู้ใหญ่จะแปลงร่างกลายเป็นหนุ่มฮอตคนหนึ่งของวงการบันเทิง' 

    "ก็ไม่รู้สิ ก็ตกลงมาแล้วเนี่ย"
    หญิงสาวทำเพียงยักไหล่ตามความเคยชิน ดวงตากลมโตจ้องมองพี่ชายคนเดียว แล้วอมยิ้มความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของเธอกับพี่ชาย ที่ตอนเด็กๆก็สนิทสนมกันดี แต่พอโตมา ก็ไม่ได้สนิทกันมากเท่าที่ควร เธอโทษว่าอาจเป็นเพราะความเป็นเด็กผู้ชาย และเด็กผู้หญิง ที่มีความชื่นชอบในช่วงวัยรุ่นที่ค่อนข้างจะแตกต่างกัน 

    "แล้วแกเป็นอะไรมากไหมเนี่ย แม่ด่าฉันใหญ่ ว่าไม่ดูแลแก บอกว่าให้มารับแกกลับบ้านพร้อมกัน แต่นี่ฉันยังทำคัทเอาท์ไม่เสร็จเลยนะ"
    พี่ชายร่ายยาว ทั้งถาม ทั้งบ่น ในประโยคเดียวกัน เมษายนทำเพียงยิ้มรับหน้าแฉล้ม


    "พี่สิงห์จะให้เมษากลับก่อนคนเดียวใช่ไหม"
    น้องสาวยิ้มในหน้าพูดดักคออย่างคนรู้ทัน 

    "เออ ก็ประมาณนั้นแหล่ะ ได้ไหมละ มันเหลืออีกไม่กี่วันแล้ว ฉันกลัวไม่ทัน"
    พี่ชายยอมรับแบบไม่ปฏิเสธ ก่อนจะเบิกตาโพลงอ้าปากค้าง เมื่อนึกย้อนประโยคที่น้องสาวพูดกับตัวเอง

    "แกเรียกฉันว่าพี่หรือเมษา"
    เมษายนที่นั่งอยู่บนเตียงหัวเราะกับอาการของพี่ชาย ที่แสดงออกมาได้เกินเบอร์สุดๆ

    "ก็พี่เป็นพี่ฉัน ไม่ให้ฉันเรียกพี่จะให้เรียกว่าอะไร" 
    คราวนี้ไม่ใช่เด็กหนุ่มหน้าสิวคนเดียวแล้วที่ออกอาการตกตะลึง เด็กสาวลูกครึ่งที่นั่งอยู่ก็ออกอาการอึ้งเช่นกัน เมษายนเรียกพี่ชายตัวเองว่าพี่ ครั้งสุดท้ายเมื่อไรเธอก็เกือบจะจำไม่ได้แล้ว ถ้าหากว่าเด็กสาวตีตัวออกห่างเพื่อนวัยเด็กอย่างเธอเมื่อเกือบ 2 ปีก่อน เมษายนก็คงหยุดเรียกสิงหาคมว่าพี่ ตั้งแต่เรียนจบมัธยมต้น แล้วนี่ตกอัฒจันทร์ลงมาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้ เพื่อนเธอไม่เป็นไรแน่หรือ

    "แกต้องเช็คสมองแล้วเมษา กลับบ้านไปฉันจะบอกแม่"
    สิงหาคมจ้องมองน้องสาวด้วยแววตาสงสาร 

    "ไม่เห็นต้องเช็ค ฉันก็ปกติดี ไม่เจ็บไม่ปวด หัวฉันก็ไม่ได้โนไม่ได้ปูด จะเจ็บบ้างก็แขนกับสะโพก ฉันกลับบ้านเองได้ เดี๋ยวบอกแม่ให้ ว่าพี่ยังทำงานไม่เสร็จ"
    น้องสาวเขาอธิบายอาการตัวเอง บอกว่าจะกลับบ้านเอง แถมยังออกปากว่าจะบอกแม่ให้ด้วย ไม่ปกติไม่ปกติแน่ๆ กลับบ้านเขาต้องบอกเรื่องนี้กับแม่ เด็กชายหมุนตัวกลับไป แต่ก่อนที่ตัวจะพ้นประตู ร่างสูงหยุดหมุนตัวกลับมาก่อนเอ่ยปากสัมทับ 

    "กลับบ้านนะเมษา ไม่ใช่ไปเถลไถลอยู่กับกลุ่มของยายกติกานะ"
    คำสั่งของพี่ชายถึงแม้จะสั้นห้วน แต่ก็เต็มไปด้วยความห่วงใย เมษายนส่งเสียงในลำคอตอบรับ

    "หรือจะกลับพร้อมนาเดีย กลับพร้อมนาเดียก็ได้"
    รุ่นพี่ที่เธอแอบชอบหายลับไปจากบานประตูแล้ว หลังเอ่ยประโยคสุดท้าย เด็กสาวลูกครึ่งหน้าแดงไปถึงใบหู เขาเรียกชื่อเธอ ตอนที่ยังเด็กนั่งรถรับ-ส่ง นักเรียนด้วยกันนานทีปีหนเขาจะเอ่ยชื่อเธอสักครั้ง เวลาที่เธอมาขึ้นรถสาย แล้วตั้งแต่ที่เมษายน ตีตัวห่างออกไปเธอก็ไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุยกับหนุ่มรุ่นพี่คนนี้อีกเลย การที่เมษายนตกลงมาจากอัฒจันทร์คราวนี้เธอจะมีโอกาสได้อยู่ใกล้รุ่นพี่ที่แอบชอบอีกไหมนะ

    "ช่วงกีฬาสีแบบนี้เท่าที่จำได้ พวกเราออกจากโรงเรียนเร็วได้ใช่ไหม" เมษายนเอ่ยปากเรียกสติเพื่อนสาวกลับมา 'ใช้ข้ออ้างตกอัฒจันทร์กลับบ้านเร็วไปอยู่กับแม่ดีกว่า'

    "ได้สิ บางทีพวกเราก็ต้องออกไปซื้ออุปกรณ์ทำเชียร์ ทำคัทเอาท์ข้างนอก จะเลยกลับบ้านเลยก็ได้" 
    หญิงสาวพยักหน้าอ่อนวัยของตัวเองขึ้นลงทำนองว่ารับรู้ 

    "งั้นพวกเรากลับบ้านกันเถอะ" 
    ร่างบางตวัดขาลงจากเตียงก่อนลุกขึ้นยืนคล่องแคล่ว ไร้ซึ่งอาการของคนที่เพิ่งตกลงมาจากที่สูงโดยสิ้นเชิง ออกเดินนำหน้า 'เอ ว่าแต่ว่า ฉันต้องเดินไปทางไหนนะ' 

    "เธอเดินนำได้ไหม พอดีฉันมึนๆหัว ลืมว่าเอากระเป๋านักเรียนไว้ที่ไหน" 
    เพื่อนสาวยิ้มรับก่อนเดินนำหน้าเธอไป เมษายนเดินตามเพื่อนไป ขาก็ก้าวไปเรื่อยๆ ตาก็สอดส่ายซ้ายขวา ภาพที่เพื่อน รุ่นน้อง รุ่นพี่ บ้างก็ช่วยกันทำป้ายเชียร์ คัทเอาท์ บ้างก็ซ้อมกีฬาเพื่อเตรียมตัวลงแข่ง เธอผ่านเวลาช่วงนี้มา 12 ปีแล้วสินะ ต้นไม้ริมสนามฟุตบอล ขนาดใหญ่ดูร่มรื่น ดอกชมพูพันธ์ทิพย์ออกดอกชูช่อสวยงาม มองแล้วเหมือนภาพถ่ายดอกซากุระที่ญี่ปุ่นอย่างไรอย่างนั้น แต่เธอไม่เคยไปหรอก ไม่รู้ด้วยว่าของจริงมันเป็นอย่างไร 

    "เมษา กระเป๋าเธออยู่ตรงนั้น"
    เสียงของเพื่อนเธอทำให้เธอตื่นจากพวังค์ สายตามองยังจุดที่เพื่อนเธอชี้ ภาพที่เห็นคือกองกระเป๋านักเรียน แบบหูหิ้วสีดำเจ็ดแปดใบ วางสุมๆรวมกันอยู่ ทุกใบแบนเรียบจากการเอาตัวหนีบมาหนีบไว้ที่ด้านล่าง นึกแล้วยังสงสัยว่าจะเอาไปหนีบทำไม ใส่สมุดเล่มบางๆได้แค่2-3เล่มก็พองแล้ว ลำบากให้ต้องหากระเป๋าเคียงมาถือ ก่อให้เกิดแฟชั่นกระเป๋าเคียง ยี่ห้อแฮร์รอดด์ บางคนสาวกญี่ปุ่น ก็ต้องซานเนริโอ้ ใครไม่ถือเรียกได้ว่าตกเทรนด์ ว่าแต่มันใบไหนละที่เป็นของเธอ ร่างบางสาวเท้าเข้าไปที่กองกระเป๋า ก่อนจะถอนหายใจ ให้มันรู้ไปสิว่าเธอจะไม่รู้ว่าใบไหนเป็นของเธอ สติ๊กเกอร์ที่แปะเป็นชื่อแก๊งพร้อมชื่อเล่นสีชมพูสะท้อนแสงเด่นหราเสียขนาดนั้น กลอกตามองบนก่อนจะคว้ามาถือไว้ในมือแล้วหันหลังเดินออกมาจากกลุ่ม

    "เมษา แกจะไปไหนวะ"
    เสียงเรียกด้านหลังทำให้เธอหยุดเท้าหันกลับไปดู เสียงนี้เธอจำได้ไม่ลืมเลย เสียงที่ทำให้เธอหลงเดินผิดทาง จนสุดท้ายเธอต้องไปนอนจมกองเลือดในสภาพเมายาอยู่กลางแยกอโศก-เพชรบุรี 'ยายกติกา ยายหัวหน้าแก๊งเด็กสก๊อย' ความทรงจำที่หลั่งเข้ามาทำให้เธออดโมโหเด็กสาววัยรุ่นตรงหน้าไม่ได้ 'จะชวนฉันไปเสียคนอะไรอีกละ'

    "กลับบ้าน ฉันเพิ่งตกลงมาจากอัฒจันทร์"
    เมษายนตอบรับคำถามด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย เด็กสาวหัวโจกเดินมาดักด้านหน้า 

    "แกลืมหรือไง ว่าเรามีนัดพี่โจ้กับเพื่อนๆ เด็กช่างกลไว้เย็นนี้ ว่าจะไปดูหนังด้วยกัน"
    เด็กสาวแสดงท่าทางโตเกินวัย เอ่ยเสียงกร้าวข่มเพื่อนร่วมรุ่นที่ปกติก็ยอมยกให้เธอเป็นลูกพี่สาวมาตลอด เมษายนถอนหายใจกลอกตามองฟ้า 'ยายบ้าเอ้ย เมื่อก่อนฉันอาจจะกลัวเธอ และยอมตามเธอไปเจอเด็กช่างพวกนั้น จนอะไรๆก็เลยเถิดไปตามแรงยุยง ผู้ชายที่ชื่อโจ้นี่แหล่ะที่เธอจำได้ไม่รู้ลืม ใครจะไปลืมผู้ชายที่มีอะไรด้วยคนแรกในชีวิตได้ลง ถึงแม้จะไม่ได้รักใคร่กันนานก็เถอะ แต่ตอนนี้ฉันเป็นผู้หญิงอายุ 30 ย่ะ ไม่ยอมให้เด็กอย่างเธอมาข่มหรอก นี่ถ้าเป็นเธอในวัย 30 คนเก่ารับรองได้ว่าถ้ามีเด็ก17มายืนลอยหน้าลอยตาพูดจาแบบนี้ด้วยรับรองได้ว่าเธอคงลงไม้ลงมือไปแล้ว แต่เธอตั้งใจแล้วจะเป็นเธอคนใหม่ ดังนั้นครั้งนี้เธอจะรับมือแบบมีสติ

    "แม่บ่นมาหลายวันแล้วว่าฉันกลับบ้านช้า แล้ววันนี้ยังมาตกอัฒจันทร์อีก  ถ้าไม่กลับบ้านรับรองได้ว่าฉันโดนบ่นหูชาแน่ๆ ไม่เอาละ ขี้เกียจฟังแม่บ่น"
    เมษายนทำเพียงยักไหล่ ยืนยันว่าอย่างไรก็ไม่ไป กติกามีสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เด็กสาวยืนเท้าสะเอวจ้องหน้าเธออย่างหาเรื่อง และทันทีที่หัวหน้ากลุ่มไม่พอใจสมาชิกที่เหลือก็ลุกขึ้นยืนล้อมเธอเช่นกัน

    "แกไม่ได้เป็นอะไรมากนี่เมษา แค่ไปเจอพี่เขาแปปเดียวไม่นานหรอก โทรบอกแม่แกสิว่าแกขอกลับช้าหน่อยงานไม่เสร็จ แกไม่เป็นอะไรมากนี่นา ฉันให้ยืมโทรศัพท์ก็ได้"
    หัวโจกของกลุ่มยื่นมือถือ Nokia 8310 เครื่องเล็กแต่ราคาแพงพอๆกับไอโฟนในยุคปัจจุบันมาให้จนเกือบกระแทกกับหน้า เมษายนทำเพียงยิ้มรับ แล้วเบี่ยงหน้าหนีเล็กน้อย


    "ไม่เป็นไรขอบใจมาก แต่ฉันกลับบ้านดีกว่า เห็นเธอมีมือถือแบบนี้แล้ว ฉันอิจฉา กลับไปทำตัวดีดีที่บ้านกับแม่ บางทีฉันอาจจะได้มือถือมาไว้ใช้สักเครื่องเหมือนเธอก็ได้"
    เมษายนตอบเพื่อน ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง จนเด็กสาวหัวโจกถึงกับอึ้งไปด้วยเหตุผลของเธอ 'รู้จักฉันน้อยไป ตอนอายุฉัน 30 ฉันตีมึนขอให้คนอื่นเลี้ยงเหล้าเลี้ยงยาเก่งจนได้รับฉายายายขี้ยาหน้ามึนจอมงกมาแล้ว เด็กน้อยอย่างเธอไม่ทันกินฉันหรอก กติกา'

    "มายืนมุงอะไรกันตรงนี้ เพื่อนเขาช่วยกันทำงาน พวกเธอมายืนจับกลุ่มคุยอะไรกัน แหมพอช่วงกีฬาสี ตอนบ่ายเขาไม่บังคับเข้าเรียนก็เอาใหญ่เลยนะ เรียนก็ไม่เรียน แล้วยังไม่ช่วยเพื่อนทำกิจกรรมอีก เด็กพวกนี้"
    เสียงบ่นที่เธอยังจำได้ไม่รู้ลืมคือ ครูเสาวนี ครูฝ่ายปกครองสุดเฮี้ยบนั่นเอง เมษายนหันไปยิ้มให้คุณครูจอมดุ ก่อนจะรู้สึกหนาวๆสันหลัง เมื่อเจอสายตายิ้มเย็นของครูที่มองตอบกลับมาหลังจากที่กวาดสายตาขึ้นลงสำรวจพวกเธอเสร็จแล้ว

    "กระโปรงทำไมมันสั้นเลยหัวเข่า"
    เสียงตวาดดังปานฟ้าผ่า กลุ่มเด็กสาวต่างสะดุ้งโหย่ง หญิงสาวยิ้มหน้าเจื่อนก่อนเลื่อนสายตาลงมองที่กระโปรงตัวเอง

    'ตายละเมษา เธอลืมไปว่าสมัยนั้น กระโปรงที่สั้นเลยหัวเข่าถือเป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหน'




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×