ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Hired to Love จ้างร้อยรักล้าน [Fic. KrisYeol]

    ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 5 จุดเริ่มต้น[2]

    • อัปเดตล่าสุด 25 พ.ย. 57


     

    Chapter 05 จุดเริ่มต้น[2]


    หลังจากที่ผมตัดสินใจว่าผมจะตัดใจจากไอ้เด็กนั่น ผมก็เลิกใส่ใจว่ามันหายไปไหน ผมไม่เจอมันเป็นเดือน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมไม่สนใจเอง หรือว่าไอ้เด็กนั่นมันไม่เรียนที่นี่แล้วกันแน่  แต่ในวันที่ผมแทบไม่ได้นึกถึงมันเลย มันกลับโผล่มาให้ผมเห็นหน้า เจอมันคราวนี้ไอ้เด็กนั่นมันมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป บางอย่างที่มันแสดงออกมาแตกต่างออกไป แววตาที่ราวกับยิ้มอยู่ตลอดเวลานั่นหม่นแสงลง บรรยากาศรอบตัวมันดูเศร้าหมอง ถึงแม้มันจะยังยิ้มเหมือนเดิมก็เถอะ

    ผมไม่รู้ว่ามันมีปัญหาอะไร ผมห่วง แต่นั่นคือสิ่งที่ผมไม่ควรเป็น ผมหันเหความสนใจกลับมาที่สาวๆในชุดนักศึกษารัดติ้ว พยายามปัดเรื่องราวของมันออกจากหัวเท่าที่จะทำได้

    ผมไม่ควรสนใจมันอีก....

     

    “วันนี้ไปกินข้างนอกกันมั้ยมึง กูเบื่อข้าวมหาลัยแล้วว่ะ” อยู่ๆไอ้เลย์ก็พูดขึ้น  ขณะที่ไอ้ลู่หานกับไอ้หมินเดินถือจานข้าวกลับมา

    “แต่รถมันติดนะมึง เดี๋ยวตอนบ่ายก็ขึ้นเรียนต่ออีก กินๆไปเหอะ” ไอ้เทาที่กำลังจะลุกไปซื้อข้าวขัดขึ้น มันเป็นคนขี้รำคาญ เรื่องรถติดเป็นอะไรที่มันหงุดหงิดที่สุดสำหรับมันเลยล่ะ

    “เออน่า กูเลี้ยงมึงจะไปมั้ยไอ้แมวเซา” ไอ้เลย์ยื่นข้อเสนอที่ไม่ค่อยมีใครปฏิเสธ

    “จริงนะ มึงเลี้ยงจริงนะ ดีกูจะได้เอาตังค์ไว้กินเหล้าเคล้านารี”

    ไอ้เลย์ทำหน้าเอือม ส่ายหัวปลงๆพอเป็นพิธีก่อนมันจะหิ้วแขนผมเดินตามมันออกมา ตามด้วยไอ้เทา ลู่หานกับซิ่วหมินดูจะเข้าใจง่าย ยอมวางจานข้าวที่เพิ่งซื้อมาแล้วเดินตามมา พร้อมกับซูโฮที่ไม่ปฏิเสธอะไรทั้งนั้น

     

    และวันนั้นก็จบลงด้วยการที่ผมเป็นฝ่ายหนี... ก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้าอยู่ต่อ ผมคงห้ามสายตาให้ไม่มองมันไม่ได้...

     

     

     
     

     

    ที่เขาว่ายิ่งหนียิ่งเจอคงจะจริง... ผมหนีมันมาตลอด แต่วันนี้เจอแบบชิดติดจอเลยทีเดียว

    ผมนั่งอ่านหนังสือนิยายสืบสวนอยู่ใต้ตึกคณะ รอไอ้ห้าตัวที่ยังไม่ยอมโผล่หัวมาสักที นั่งอ่านไปเพลินๆก็มีคนเดินสะโหลสะเหลมาที่โต๊ะที่ผมนั่งอยู่ ร่างคุ้นเคยเดินตาปรือจนผมคิดว่ามันน่าจะมองไม่เห็นทางด้วยซ้ำ แต่มันก็เดินมาแบบไม่ชนอะไรจนมาหยุดที่โต๊ะที่ผมนั่ง

    ผมมองร่างโปร่งที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโต๊ะกำลังทรุดตัวนั่งอย่างงัวเงียจนผมกลัวว่าร่างโปร่งบางนั่นจะหล่นลงไปกองกับพื้นซะก่อน ทว่ามันกลับทรงตัวได้ดีและนั่งลงได้สำเร็จ เสร็จแล้วเจ้าตัวก็ฟุบหน้าลงไปบนโต๊ะ แขนทั้งสองข้างปล่อยห้อยลงข้างตัวราวกับเจ้าของร่างหมดแรงจะยกขึ้นมา มันหลับไปทันทีที่จัดท่าทางให้ตัวเองเสร็จ

    พอได้เห็นมันใกล้ๆแบบนี้ผมถึงได้เห็นว่ามันโทรมลงไปมาก เหมือนจะผอมลงด้วยรึเปล่า? แล้วไปทำอะไรมาสภาพถึงเป็นแบบนี้กัน?

    แล้วผมจะมัวจ้องมันอยู่ทำไม ผมต้องลุกหนีมันสิ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากนั่งเฝ้ามันไปอย่างนี้ ความรู้หนึ่งประทุขึ้นมาอีกครา...

    คิดถึง...

     

    “ทำอะไรอยู่วะคริส รอนานเลยสิมะ...”

    “ชู่ว”

    “อะไร?” ผมพยักเพยิดให้ไอ้เลย์มองคนที่นอนอยู่ มันพยักหน้าเบาๆแล้วเดินเข้าไปจ้องไอ้เด็กนั่นใกล้ๆ “คนนี้หรอวะ?”

    “อืม”

    “น่ารักดีว่ะ แต่ไหนมึงบอกจะตัดใจ ไหงมานั่งอยู่ด้วยกัน?” ไอ้เลย์ถามพลางยกยิ้มแซว

    “กูมานั่งก่อน” ผมทำหน้าเบื่อใส่มัน

    “มึงมาอ่อย?” ยัง ยังกวนตีนกูไม่เลิก

    “สัด บังเอิญเว้ย” ผมตวัดตาดุใส่มัน ตึคนที่อยู่กับผมมาทั้งชีวิตอย่างมัน มีหรอจะกลัว

    “แล้วมึงไม่ลุกหนี?”

    “กำลังจะลุก แต่มึงมาก่อน” ผมบอกไปอย่างนั้น ทั้งๆที่จริงๆแล้วถ้ามันไม่มาผมก็คงนั่งมองมันอยู่อย่างนี้แหละ

    “หึหึ” ไอ้เลย์หัวเราะในลำคอ

    “หัวเราะกวนตีนแบบนี้มึงต้องการอะไร?”

    “ไม่มีอะไร๊ ไปเรียนเหอะ ปล่อยน้องเขานอนไป” ไอ้เพื่อนปากดียักไหล่ ก่อนจะปฏิเสธเสียงสูงน่าถีบ

    “อืม” ผมรับคำมันแล้วหันไปหยิบหนังสือที่วางอยู่ข้างตัว

     

    RRRRRRRRR

     

    ไม่ทันได้ไปไหนเสียงโทรศัพท์ของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น ผมกับไอ้เลย์มองหน้ากัน แล้วก็ส่ายหน้าออกมาเมื่อไม่ใช่ทั้งเสียงโทรศัพท์ผมและโทรศัพท์มัน แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็เงียบลง ผมหันไปมองเจ้าของโทรศัพท์ตัวจริงที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับผมกรอกเสียงพูดคุยกับปลายสาย

    “อือ กูอยู่ใต้ตึกคณะบริหารแล้ว เอางั้นหรอ โอเค รีบมานะมึง” ผมนั่งมองไอ้เด็กนั่นคุยโทรศัพท์ทั้งๆที่ไม่ลืมตาด้วยซ้ำ ท่าทางมันจะง่วงมาก สภาพแม่งไม่น่าเดินได้ด้วยซ้ำ แล้วนี่ผมมานั่งมองมันอย่างนี้ทำไมวะเนี่ย ผมหันหน้าหนีแล้วลุกออกจากโต๊ะ ก้าวขาออกเดินแล้วดึงแขนไอ้เลย์ให้เดินตาม

    “มึงจะรีบไปไหนเนี่ย ไม่ดูน้องเขาหน่อยหรอวะ ดูท่าทางเหมือนไม่สบา...เหี้ย! ไอ้คริส!” ไอ้เลย์ลีลาหันหน้าหันหลังไปมองไอ้เด็กนั่น ปากก็พร่ำยาว แต่ไม่ทันที่จะพูดจบประโยคสุดท้าย มันก็อุทานลั่นแล้วกระตุกแขนผมแรงๆ จนผมยอมหันไปหามัน

    แล้วผมก็ต้องตกใจตามมันไปอีกคน

    ไอ้เด็กคนนั้นมันล้มลงไปนอนกับพื้นในสภาพหน้าคว่ำ เร็วกว่าความคิดขาผมก็วิ่งกลับไปทางเดิม รีบเข้าไปพลิกตัวไอ้เด็กนั่นขึ้นมา

    “เฮ้ยมึง ตื่นสิวะ” ผมตบแก้มมันเบาๆแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้สึกตัวแล้ว สัมผัสร้อนผ่าวจากแก้มของมันผิดปกติจนผมต้องคลำตามลำคอเพื่อวัดอุณหภูมิร่างกาย “เชี่ย! ไม่สบายดีนี่หว่า” ผมสบถลั่น อยากจะตบหัวไอ้เด็กนี่สักทีโทษฐานป่วยแล้วไม่เจียมสังขาร แต่ติดที่มันหมดสติอยู่นี่แหละ เวรเอ้ย!

    “เป็นงะ...”

    “เลย์! รถมึงอยู่ไหน พาเด็กนี่ไปหาหมอ!” ผมบอกไอ้เลย์เสียงเข้ม ก่อนจะให้มันช่วยพยุงเด็กนี่ขึ้นหลังผมแล้วพาไปที่รถไอ้เลย์ที่จอดอยู่หลังตึก

    .

    .

    .

    .

    .

    “มึงจะเอาไงต่อ?” ไอ้เลย์ถามถึงเรื่องไอ้เด็กนั่นอีกครั้ง ตอนนี้มันมานั่งฆ่าเวลาเล่นที่บ้านผม ส่วนเด็กนั่น ส่งถึงมือหมอ ถามอาการ จ่ายค่ารักษาเสร็จ ผมก็หนีกลับมา

    “อะไร?” ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้แล้วก้มอ่านหนังสือในมือ

    “ก็เรื่องน้องคนนั้นไง มึงไม่ห่วงเขาหรอ?”

    แน่นอนว่าเป็นห่วง มันเป็นอย่างนี้มาช่วงหนึ่งแล้ว เท่าที่ผมรับรู้ผ่านๆ แล้วคงไม่มีใครบ้าปล่อยให้ตัวเองอยู่ในสภาพนั้นหรอก ไอ้เด็กนั่นมันต้องมีปัญหาอะไรสักอย่าง...

    “มันไม่ใช่เรื่องของกู” ผมบอกมัน ตาก็ยังมองที่หนังสือ ทั้งที่สมองผมไม่ได้รับรู้ถึงข้อความในหนังสือเลย

    “มึงตัดใจอยู่นี่นะ กูพอเข้าใจ”

    ทันทีที่มันพูดจบผมก็ปิดหนังสือฉับ เงยหน้าจ้องตามัน  “เลิกย้ำเรื่องนั้นสักทีได้มั้ย” ผมบอกเสียงเข้ม

    “อกหักแค่นี้อายหรอมึง ฮ่าๆๆ” แทนที่มันจะกลัวสายตาผมเสือกหัวเราะร่าซะงั้น

    “อกหักพ่อง กูต่างหากที่เป็นคนปฏิเสธมัน” ผมบอกมัน จริงมั้ยล่ะครับ ผมเป็นคนปฏิเสธ จะมาเรียกว่าผมถูกหักอกได้ไง

    “คำพูดมึงนี่ ประโยคอนุบาลมาก ฮ่าๆๆๆ”

    “สัด!” ไม่รู้จะหาคำไหนมาแย้งมัน

    หลังจากนั้นมันก็ยิ้มของมันไปเรื่อย มือมันก็เปิดพลิกดูหนังสือของผมที่วางเกลื่อนอยู่ไป ผมก็ก้มอ่านหนังสือในมือต่อ เราเงียบกันไปสักพัก ก่อนไอ้เลย์มันจะพูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

     

    “มึงตัดใจ แต่กูสนใจว่ะ” ผมเงยหน้ามองมัน ไอ้เลย์ยกยิ้มมุมปากทั้งๆที่สายตายังคงจดจ้องหน้าหนังสือในมือ

    “เชี่ยเลย์...” ผมกัดฟันเรียกมันเบาๆ จริงๆไม่ใช่เรื่องแปลกถ้ามันจะสนใจเด็กนั่น ผมกับมันชอบอะไรคล้ายๆกัน เคยแย่งของกันจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ก็มี แต่บางทีมันอาจจะไม่ได้สนใจจริงๆก็ได้  เพราะบางทีไอ้ลูกพี่ลูกน้องมาดคุณชายแสนดีมันก็ชอบคิดทำอะไรแผลงๆ ซึ่งผมก็เดาไม่ออกว่ามันคิดอะไรอยู่

    “หึหึ”

     

     

     

    ผมไม่รู้ว่าหลังจากวันนั้นไอ้เด็กนั่นเป็นไงต่อ ไอ้เลย์ก็ไม่ได้พูดอะไรถึงเด็กนั่นด้วย ถ้าอย่างนั้น...เรื่องที่มันสนใจเด็กนั่นมันก็แค่พูดเล่นสินะ...

    “มึงยิ้มอะไรวะคริส?”  ไอ้ลู่หันมาถาม

    “กู?”

    “เออ มึงนั่นแหละ ยิ้มอะไร? อาจารย์ป้าแม่งวิเคราะห์ตลาดซะเครียดขนาดนั้นมึงยิ้มอะไรห๊ะ”

    “กูก็นึกอะไรไปเรื่อยเปื่อย”

    “กูก็นึกว่าเข้าใจ จะได้ให้สอนกูหน่อย อาจารย์แม่งสอนเชี่ยไรเนี่ย กูไม่เห็นเข้าใจอะไรเลย”

    “มึงก็เลิกมองก้นสาวข้างหน้าสิ แค่นี้มึงก็เข้าใจแล้ว” ซิ่วหมินพูดแทรกขึ้นมาว่าไอ้ลู่ ทั้งๆที่มือยังจดยิกๆตามคำพูดอาจารย์

    “ไอ้หมิน!” เด็กเรียนหาได้สะทกสะท้านกับเสียงตะคอกไม่... แล้วมันสองคนก็หันไปฟาดฟันกันเบาๆอยู่สองคน

    “มึงคิดถึงชานยอลอยู่หรอ?” ไอ้เลย์ที่นั่งถัดจากไอ้เทาไปเอียงตัวมาถามผมเบาๆ  

    ผมขมวดคิ้วงุนงงกับชื่อที่มันเอ่ยถึง “ใครคือชานยอล?” ผมส่งคำถามข้ามหัวไอ้เทาไป

    “ก็เด็กที่มึงอุ้มไปส่งโรงพยาบาลไง” ไอ้เลย์บอกแล้วยิ้มตาใส

    ชานยอล...ชื่อไอ้เด็กนั่นงั้นหรอ

    “เด็กนั่น?” ผมถามข้ามหัวไอ้เทาไปอีกครั้ง มันไม่ว่าอะไรหรอกครับ ไอ้แมวเซามันฟุบหน้าหลับไปตั้งแต่ 10 นาทีแรกที่เข้าเรียนแล้วล่ะ

    “ใช่ ปาร์คชานยอล นิเทศฯ ปีสอง” ไอ้เลย์พูดไปยิ้มไป

    “งั้นหรอ...” ในที่สุดผมก็รู้ชื่อมันสินะ หึ ปาร์คชานยอล

    “ไม่ถามอะไรหน่อยหรอวะ เด็กคนนี้ประวัติน่าสนใจมากนะเว้ย” ผมคิ้วกระตุกทันทีที่ไอ้เลย์พูดจบ

    รู้ว่ากูอยากรู้ยังเสือกมาล่ออีกนะมึง!

    “ไม่...” ผมตอบสั้นๆแล้วทำท่าสนใจกับการสอนของอาจารย์

    “ไม่หรอ...” ไอ้เลย์ทวนคำผมเบาๆก่อนจะก้มไปกดยุกยิกกับโทรศัพท์มัน สักพักก็มีเสียงเตือนเมล์เข้าในโทรศัพท์ผม “กูส่งเมล์ไปให้ อย่าลืมอ่านนะมึง” ไอ้เลย์บอกพร้อมยิ้มอ่อนโยนอย่างที่มันชอบทำ สัด ไม่ต้องมาทำยิ้มใส่!

     

    ผมไม่ได้สนใจอะไรไอ้เลย์อีก ตั้งใจเรียนอีกไม่เท่าไหร่อาจารย์ก็สั่งงานแล้วเลิกคลาส ผมแยกย้ายกับพวกมันแล้วกลับมาบ้าน วันนี้ยังคงงดเที่ยวกลางคืนเช่นเคย

    กลับมาบ้านผมก็กินข้าวเย็น อาบน้ำ อ่านหนังสือตามปกติ พอใกล้จะนอนผมก็หยิบโทรศัพท์มาตั้งนาฬิกาปลุกแต่สายตาดันสะดุดเข้ากับแจ้งเตือนเมล์ที่ไอ้เลย์ส่งมาให้

    ผมจะเปิดดูดีมั้ย? หรือควรจะปล่อยผ่านดี?

    สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเปิดดู บางทีอาจจะมีอะไรที่บอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมัน...

    .

    .

    .

    .

    .

     ผมนอนไม่หลับ...

    หลังจากที่อ่านประวัติของเด็กนั่นจบ ผมก็ไม่สามารถข่มตานอนได้ ในสมองเต็มไปด้วยข้อความในเมล์

    ปาร์ค ชานยอล อายุ 20 ปี ไม่มีแม่ ส่วนพ่อเสียชีวิตไปได้เดือนกว่าๆ บ้านติดจำนอง คนที่เหลือตัวคนเดียวจึงทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะหาเงินมาจ่ายค่าบ้าน...

    ให้ตาย!! บอกผมทีว่านี่มันละคร มันเป็นไปได้ยังไงที่ชีวิตเด็กอายุ20จะเลวร้ายขนาดนี้!?

    แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะไอ้เลย์มันเล่นแนบไฟล์เอกสารต่างๆมาให้เพียบ นี่มันไปสืบยังไงละเอียดขนาดนี้วะ แต่เรื่องนั้นช่างมัน สิ่งที่ต้องคิดคือเรื่องของอีกคน...

    ผมคงไม่หลอกตัวเองว่าผมไม่ห่วงมัน... เพราะตอนนี้ผมห่วงมันมาก!

     

     

     

     

     

     

    “ไงมึง หน้าตาเหมือนคนไม่ได้นอนนะ” ไอ้เลย์ทักผมหลังจากที่อาจารย์เดินออกจากห้องไปแล้ว วันนี้อาจารย์สอนเร็วก็เลยต้องตั้งใจหน่อย กว่าจะเลิกคลาสเล่นเอาหูอื้อตาลาย พวกผมเพิ่งมีโอกาสได้คุยกันก็ตอนนี้แหละ

    ไอ้เลย์ส่งยิ้มมาให้ผม ตาวาวเหมือนสนุกสนานกับสภาพผมซะเหลือเกิน

    “กูหลับสบายดี...” ผมกัดฟันตอบมันไป สนุกมันล่ะที่เห็นผมเดินตามเกมของมันเนี่ย

    “งั้นหรอ” ไอ้เลย์โคลงหัวเบาๆ และในสายตาผมท่าทางนั่นมันกวนตีนมาก

    “มึงจะช่วยเด็กนั่นรึเปล่า?” ไหนๆมันก็ดูออกว่าผมอ่านเมล์มันแล้วก็ถามมันไปซะเลย มันสืบขนาดนั้นแล้ว มันจะช่วยเด็กนั่นต่อรึเปล่า

    “ช่วย? ช่วยอะไร?” ไอ้เลย์ทำหน้าหมางง แบบงงจนดูโง่น่ะครับ (หลอกด่าเพื่อนคือความสุขของผมนะ หึหึ)

    “ก็เรื่องบ้านไง เด็กนั่นมันจะหาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าบ้านไหว” ผมบอกเสียงเครียด เห็นไฟล์เอกสารที่มันแนบมากับเมล์แล้วบอกได้คำเดียวว่าลำพังทำงานเล็กๆน้อยๆหาเงินมาจ่ายค่าบ้านไม่ทันกำหนดแน่ๆ

    “แล้วทำไมกูต้องช่วย? กูไม่ได้เป็นอะไรกับน้องเขานะ” มันตอบผมกลับมาหน้าซื่อ

    “ก็มึงสนใจมันไม่ใช่รึไง มึงก็ต้องช่วยสิวะ” ผมเริ่มใช้น้ำเสียงกระชาก กูเริ่มหงุดหงิดแล้วนะสัด มึงเข้าใจยากรึไงเนี่ย

    “ไอ้คริส กูแค่สนใจ กูไม่ได้ตัดสินใจจะจีบน้องเขานะมึง กูจำเป็นต้องทำขนาดนั้นหรอ?” มันถอนหายใจแล้วหันมาอธิบายให้ผมฟังช้าๆ แต่ขอโทษครับเพื่อน กูไม่เย็นแล้วสัด!

    “แล้วเด็กนั่นจะทำยังไงห๊ะ!?” ผมถามมันเสียงดัง ตั้งท่าจะเข้าไปตบกะบาลมันซักทีโทษฐานทำตัวขัดใจผม แต่ผมก็ต้องชะงักเมื่อมันพุดประโยคต่อมา...

    “มึงห่วงเขามากทำไมไม่ช่วยเองวะ?” ไอ้เลย์ถามพลางยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ทันที่ผมจะตอบอะไรก็มีคนเข้ามาขัดซะก่อน

    “มึงสองคนไม่หิวกันรึไง กูหิวจนจะงาบสาวบัญชีสองคนพร้อมกันแล้วนะโว้ย ลุกๆๆ ไปกินข้าวได้แล้วสัด” ไอ้เทาเดินมาลากผมสองคนให้เดินออกจากห้องตามลู่หานกับซิ่วหมินที่เดินนำลิ่วไปก่อนแล้ว มึงมาถูกจังหวะมากเพื่อน

     

    #KYจ้างรัก 
     

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ยัง ยังไม่หมด ที่มาที่ไปมันยังไม่หมด 555555
    อยากรู้ว่าเป็นยังไงต้องติดตามตอนต่อไปนะะ
    ขออนุญาตหายไปเป็นพักๆนะคะ ช่วงนี้งานเยอะจริงอะไรจริง 
    ใกล้จบแล้ว เข้าใจหัวอกปี4หน่อยนะะ #รู้สึกแก่
    ขอบคุณที่ยังไม่ลืมกันน้าาา
    ฝากคอมเม้น กับ สกรีม #KYจ้างรัก ด้วยน้าา
    เพื่อกำลังใจของไรท์เตอร์ 5555555
    วันนี้พูดมากไปหน่อย แต่ขอบคุณที่อ่านค่าาา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×