ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เขาและเธอ
                ร่างนั้นดูผอมและค่อนข้างสูงแม้จะนอนเหยียดยาวคว่ำหน้าบนเตียง มีผ้าห่มบางๆสีเขียวอ่อนคลุมไหล่กว้างไว้หมด หน้าตะแคงไปทางหนึ่งตาทั้งคู่ยังหลับพริ้มเห็นแผงขนตายาว ศีรษะถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลสีขาว เห็นผมสีดำสนิทโผล่ออกมาเล็กน้อย ผิวสีแทนคะเนอายุไม่น่าจะเกินสามสิบ ชายหนุ่มนอนนิ่งแบบนี้มาเกือบอาทิตย์แล้ว
    ร่างสมส่วนในเครื่องแบบพยาบาลสีขาวนั่งอยู่บนโซฟามุมห้อง เป็นมุมที่หากผู้ป่วยฟื้นจะมองเห็นได้ทันที ผิวขาวเหลืองนวลทำให้ดวงหน้าดูสว่าง ผมสีน้ำตาลเข้มยาวตรงถึงกลางหลังถูกรวบไว้ตรงท้ายทอย ตาโตสีน้ำตาลเข้มในกรอบขนตายาวงอนเหม่อมองไปที่คนป่วยบนเตียง บางครั้งหัวคิ้วขมวดน้อยๆสลับกับเม้มปากอิ่มเต็มเข้าหากัน
    แสงแดดอ่อนลงมากแล้วเธอมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ออกเวร เป็นที่แปลกใจของทุกคน ด้วยความที่เป็นคนไม่ค่อยพูดใครถามอะไรเธอจะบอกยิ้มๆว่า ไม่มีอะไร เท่านี้ใครๆก็ถามจนเลิกถามไปเอง แต่ลับหลังเธอไม่รู้
    “ยังอยู่อีกเหรอนัน พักนี้ขยันมาแถวนี้จัง” พรนภาพยาบาลรุ่นพี่มาเข้าเวรแล้วตรวจผู้ป่วยทักนี่ก็หนึ่งในคนที่ถามแล้วไม่เคยได้คำตอบและยังถามเรื่อยๆเหมือนจะล้อ
    “มีเวลาว่างนี่คะ สงสารเขาด้วยไม่เห็นมีใครมาเยี่ยมเลย” นันทพรตอบยาวกว่าที่เคยนิดนึง
    “อืม จริงด้วย พี่เคยติดต่อไปตามบัตรประชาชนเขาแล้วนะ โทรไปน่ะ มีคนรับแต่ไม่เห็นจะกระตือรือร้นอะไรเลย ไม่มีใครติดต่อมาด้วย รู้แค่ชื่อนามสกุลและก็เป็นคนเหนือ หรือว่าที่มาเฝ้าทุกวันเพราะเป็นคนเหนือเหมือนกันล่ะสิ” พรนภาพูดยิ้มๆ เธอน่าจะเดาได้ใกล้เคียงที่สุดเพราะที่ภูเก็ตนี้ถึงจะมีนักท่องเที่ยวทางเหนือมาบ่อยแต่ไม่ได้มีใครบาดเจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆเธอเข้าใจว่าพยาบาลรุ่นน้องคงเห็นใจที่ไกลบ้านเหมือน กันเลยมาเฝ้าคนป่วยให้
    “ก็ใช่นั่นแหละคะ” นันทพรยิ้มบางๆ แต่เหตุผลจริงๆลึกกว่านั้นมากนัก!
    “ขอให้เป็นแบบนี้เถอะจ้ะ หนุ่มๆแถวนี้จะได้ไม่ต้องอกหัก พี่ไปดูคนไข้ห้องข้างก่อนนะ” พรนภาว่าก่อนออกไป นันทพรนั่งอยู่อีกพักหนึ่งก็ลุกขึ้นจะกลับบ้านพักซึ่งอยู่ในเขตโรงพยาบาล คนป่วยก็ครางเบาๆ เธอหันไปทันที
    ร่างนั้นเริ่มขยับตัวและแผงขนตาหนายาวไหวระริกก่อนเปิดขึ้น
    “น้ำ หิวน้ำ” หญิงสาวเปิดตู้เย็นหยิบน้ำแก้วพลาสติกสำเร็จรูปเอาหลอดเจาะส่งหลอดดูดเข้าปากให้
    “ค่อยๆดูดนะคะ” ชายหนุ่มดื่มน้ำจนพอนันทพรจึงวางแก้วน้ำไว้ที่โต๊ะเล็กข้างๆ
    “เจ็บหัวจัง ผมอยู่ที่ไหนทำไม มันมืดไปหมด นี่เป็นตอนกลางคืนหรือคุณทำไมไม่เปิดไฟ” นันทพรชะงัก ตอนนี้ยังไม่มืดแสงสว่างสุดท้ายของวันยังเหลืออยู่ ลองเอามือโบกผ่านหน้าเขา
    ไม่มีปฎิกิริยาใดใด...
    “เดี๋ยวดิฉันตามหมอให้นะคะ” ร่างสูงขาวแบบคนมีเชื้อจีนของนายแพทย์ศิรศิลป์มาถึงในเวลาไม่กี่นาที ตรวจและฉีดยาแก้ปวดเสร็จสีหน้าหมอตี๋ค่อนข้างหนักใจ
    “ผมตาบอดใช่ไหมครับ หมอ” เสียงคนไข้ไม่ค่อยจะดีนัก
    “แค่ชั่วคราวเท่านั้นครับ รักษาดีๆก็จะหาย แผลที่ศีรษะค่อนข้างหนักเหมือนกันนะครับ คุณสลบไปหลายวัน ไม่ทราบว่าคุณพอจะจำเหตุการณ์วันนั้นได้ไหมครับ”
    “ผมถูกปล้นครับ มันตีหัวผมจากข้างหลัง”
    “คุณ...สรรพวิทย์ใช่มั้ยครับ ทางโรงพยาบาลแจ้งตำรวจไว้แล้วนะครับ คุณโชคดีที่มีคนไปเห็นเหตุการณ์และช่วยคุณไว้ก่อนที่พวกมันจะทำร้ายคุณมากกว่านี้ ทรัพย์สินของคุณยังอยู่ครบนะครับ พรุ่งนี้ถ้าคุณอยากให้การเราจะเชิญตำรวจมา ”
    “ขอบคุณครับ ผมแจ้งความแน่ครับ แล้วผมสลบไปนานแค่ไหน”
    “วันที่หกแล้วครับ ไม่รู้ว่ามีใครบอกหรือยังว่าคุณอยู่ที่ภูเก็ต”หมอหนุ่มตอบ
    “หกวันแล้วเหรอ” หางเสียงสรรพวิทย์ฟังเศร้าๆ
    “คุณทำใจให้สบายเถอะนะครับ ไม่ต้องกังวลเรื่องตาคุณ อาจใช้เวลาสักนิดแต่มีโอกาสหายนะครับ ผมขอตัว” นายแพทย์และพยาบาลสาวสวยที่ตามมาออกไปแล้ว นันทพรที่ยืนฟังอยู่ตั้งแต่แรกมองสรรพวิทย์อย่างเห็นใจ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
    ชายหนุ่มทำท่าจะลุกจากเตียง หากอาการปวดที่ศีรษะทำให้เขาต้องชะงัก
    “ทำไมมันปวดหัวอย่างนี้วะ” เขาพึมพำเบาๆ หญิงสาวรีบปราดเข้าไป
    “คุณอย่าเพิ่งลุกนะ นอนพักก่อน”
    “ผมนอนมาตั้งหกวันแล้วไม่ใช่เหรอคุณ” สรรพวิทย์เถียง
    “หมอให้ยาแก้ปวดคุณ อีกเดี๋ยวคุณก็จะง่วง” ชายหนุ่มเงียบไปนิดก่อนถาม
    “พวกคุณติดต่อไปบ้านผมมั้ย”
        “โทรไปแล้ว คนทางบ้านคุณคงรู้แล้วล่ะ”
    “แล้วมีใครมารึเปล่า” คราวนี้นันทพรไม่รู้ว่าควรตอบหรือไม่ คนป่วยเลยตอบเอง
    “ไม่มีซินะ คุณช่วยโทรไปหาคนๆหนึ่งให้ผมได้มั้ย”
    “ได้สิ ตอนนี้เลยก็ได้ คุณคงอยากคุยกับเขามาก” สรรพวิทย์พยักหน้าแล้วบอกเลขเก้าตัวให้ พยาบาลสาวหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอมาต่อสายให้
    “ฮัลโหล” เสียงผู้หญิงรับสาย
    “รอสักครู่นะคะ” เธอบอกปลายสายก่อนจับโทรศัพท์ใส่มือใหญ่ของคนไข้ แล้วเลี่ยงไปที่ระเบียงด้วยหัวใจที่เจ็บแปลบ ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเขาโทรหาใคร ทำไมกันนะ เรื่องตอนนั้นมันก็นานมากแล้ว นานจนเขาจำเสียงเธอไม่ได้ นานจนเธอคิดว่าลบเขาออกจากความทรงจำได้หมด ทำไมเธอยังต้องเจ็บอีก
    เสียงเขาแว่วมาเป็นระยะ และประโยคสุดท้ายเกือบจะเป็นตะโกน
    “เธอมันก็เหมือนคนอื่นนั้นแหละไม่เคยจริงใจกับพี่เลย พอทีเราจบกันแค่นี้ ถ้าเธอเห็นหมอนั่นดีกว่า”
    โชคดีที่นันทพรกลับเข้าทันก่อนเจ้าโทรศัพท์มือถือในถือชายหนุ่มจะถูกเขวี้ยงลงพื้น เธอแย่งกลับมาทันที
    “นี่คุณ มือถือฉันนะ” เธอตวาดแว้ดทันที ของๆใครก็หวงทั้งนั้นไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น
    “ขอโทษ คุณบอกให้เขารู้ทีเถอะว่าสภาพผมตอนนี้ทุเรศแค่ไหน” เขากำลังโมโหมาก และเธอก็เพิ่งรู้ว่าเขายังไม่ได้ตัดสาย ความอยากรู้มีมากพอที่จะทำให้เธอกรอกเสียงลงไป
    “ฮัลโหล”
    “เธอเป็นใครน่ะ”
    “ดิฉันเป็นพยาบาลค่ะ”
    “อ๋อ ที่แท้พี่แซมก็มีแฟนใหม่เป็นพยาบาล งั้นฉันมีคนอื่นฉันก็ไม่ผิดสินะ” นันทพรไม่อยากเชื่อเลยว่าคำพูดแบบนี้จะหลุดมาจากคนที่เธอเคยรู้จักเคยรักแบบน้องสาว เคยเสียสละสิ่งสำคัญบางอย่างให้ เด็กผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนไปมากจนนึกภาพเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักใสซื่อไม่ออก เธอเลยไม่คิดจะบอกว่าเธอ ‘เคย’ เป็นใคร
    “คุณสรรพวิทย์ไม่สบายนะคะ เขาประสบอุบัติเหตุทำให้มองไม่เห็น”
    “ตาบอดเหรอ แหวะ ไม่เอาด้วยหรอก ฉันยกให้เธอแค่นี้นะไม่ต้องโทรมากวนใจอีก บอกเขาด้วย” อีกฝ่ายวางสายไปเลย ทำเอานันทพรไม่รู้จะบอกชายหนุ่มยังไง แต่เขาพูดขึ้นก่อน
    “โดนเขาด่าใช่ไหม ผู้หญิงอะไรนิสัยเสีย เมื่อก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย เขาว่าไงบ้างตอนรู้ว่าผมตาบอด สาปส่งใช่มั้ย ผมไม่น่าเลือกเขาเลย”
    “แต่คุณก็รักเขา”
    “คงรักมั้ง ผมไม่มีใคร ตั้งแต่มีเขาผมไม่มีใครอีก”
    “คุณอาจแค่เหงาก็ได้ คุณเพิ่งฟื้นนอนต่อดีกว่า คุณนี่แข็งแรงนะ ปกติคนป่วยแบบนี้โวยวายไม่ได้หรอก”
    “ผมแค่หัวแตกกับตาบอดแต่หลับนานไปหน่อยเท่านั้น”
    “หลับเถอะค่ะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
    “พรุ่งนี้คุณจะมาอีกไหมครับ ผมว่าผมรู้สึกคุ้นเสียงคุณจัง คุณชื่ออะไร”
    “คนที่นี่เรียกฉันว่า นัน ค่ะ พรุ่งนี้ฉันมาเข้าวอร์ดนี้อยู่แล้ว ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะคะ” ร่างสมส่วนออกจากห้องคนป่วยก็ตรงกลับบ้านพัก เธอไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอเป็นใคร เพราะครั้งที่จากกันเป็นอะไรที่ไม่ค่อยดีนัก
    บ้านพักของพยาบาลเป็นตึกสูงสองชั้นยาวไปตามรั้วโรงพยาบาลซอยแบ่งเป็นห้องๆ ไม่กว้างและไม่แคบเกินไปนักพอที่จะอยู่คนเดียวได้อย่างสบายๆ มีห้องน้ำห้องครัวในตัว แยกส่วนกันชัดเจน ข้าวของในบ้านก็มีเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆที่จำเป็น จัดไว้อย่างมีระเบียบ มีชั้นหนังสือที่มีหนังสือหลากประเภทเรียงอยู่เต็มชั้นแสดงถึงความเป็นหนอนหนังสือของเจ้าของบ้าน แต่ห้องนี้ไม่มีชุดรับแขก มีแต่โต๊ะญี่ปุ่นสี่เหลี่ยมกับเบาะวางกลางห้อง และมีเก้าอี้ผ้าใบพับพิงผนังไว้
    นันทพรตรงขึ้นไปบนห้องนอน เปิดลิ้นชักโต๊ะตัวเล็กข้างเตียง ค้นอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบเอากล่องไม้สีเข้มขนาดไม่ใหญ่นักออกมาเปิด ภายในเต็มไปด้วยกระดาษหลากสี สมุดบันทึกเก่าๆและดินสอกดสีเหลืองมุก แหวนรุ่นสมัยมัธยมต้นและมัธยมปลาย ทุกอย่างยังอยู่ในสถาพดี แม้แต่สมุดบันทึกที่ลงวันที่ที่เริ่มเขียนเมื่อสิบปีที่แล้ว...
    เธอหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาพลิกดู รูปถ่ายสองใบหล่นลงมาจากสมุด หญิงสาวมองภาพนั้นอย่างเหม่อลอย รูปหนึ่งเป็นภาพเด็กหนุ่มผิวคล้ำในชุดนักเรียนมัธยม แนวคิ้วเข้ม ตาคมในกรอบขนตายาวหนามีประกายร่าเริง ยิ้มร่าให้กล้อง อีกรูปเป็นรูปของเด็กหนุ่มคนเดิมถ่ายคู่กับเด็กสาวหน้าใสตาโตสีน้ำตาลเข้มหวาน ผิวเหลืองนวลค่อนข้างขาวตัดกับสีผิวอีกคนอย่างชัดเจน ศีรษะเธอสูงเลยบ่าเด็กหนุ่มมาครึ่งศีรษะ พวกเขายิ้มอย่างมีความสุขแต่ก็มีร่องรอยของความขัดเขินอยู่บ้าง
    ด้านหลังรูปเขียนด้วยปากกาหมึกซึม เป็นวันที่ถ่ายและชื่อของทั้งคู่ ‘พลอย-แซม’ อีกบรรทัดเป็นชื่อจริง ‘นันทพร-สรรพวิทย์’!!
+++++++++++++++++*************************************************+++++++++++++++++++++++
**ชื้แจงเล็กน้อย**
        เนื่องจากว่าเรื่องนี้เทียนนกแก้วแต่งขึ้นมาจากจินตนาการ ตัวละครในเรื่องอายุมากกว่าเทียนนกแก้วเป็นสิบปีเลยล่ะค่ะ อีกอย่างคือในเรื่องนี้เหตุการณ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ภูเก็ตซึ่งก็ไม่ใช่บ้านเกิดหรือที่อยู่อาศัยในปัจจุบันเลย เพราะฉะนั้นแน่นอนอยู่แล้วว่าต้องมีข้อผิดพลาดมาก ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย และขอให้ช่วยแนะนำติชมด้วยนะคะ
   
    ร่างสมส่วนในเครื่องแบบพยาบาลสีขาวนั่งอยู่บนโซฟามุมห้อง เป็นมุมที่หากผู้ป่วยฟื้นจะมองเห็นได้ทันที ผิวขาวเหลืองนวลทำให้ดวงหน้าดูสว่าง ผมสีน้ำตาลเข้มยาวตรงถึงกลางหลังถูกรวบไว้ตรงท้ายทอย ตาโตสีน้ำตาลเข้มในกรอบขนตายาวงอนเหม่อมองไปที่คนป่วยบนเตียง บางครั้งหัวคิ้วขมวดน้อยๆสลับกับเม้มปากอิ่มเต็มเข้าหากัน
    แสงแดดอ่อนลงมากแล้วเธอมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ออกเวร เป็นที่แปลกใจของทุกคน ด้วยความที่เป็นคนไม่ค่อยพูดใครถามอะไรเธอจะบอกยิ้มๆว่า ไม่มีอะไร เท่านี้ใครๆก็ถามจนเลิกถามไปเอง แต่ลับหลังเธอไม่รู้
    “ยังอยู่อีกเหรอนัน พักนี้ขยันมาแถวนี้จัง” พรนภาพยาบาลรุ่นพี่มาเข้าเวรแล้วตรวจผู้ป่วยทักนี่ก็หนึ่งในคนที่ถามแล้วไม่เคยได้คำตอบและยังถามเรื่อยๆเหมือนจะล้อ
    “มีเวลาว่างนี่คะ สงสารเขาด้วยไม่เห็นมีใครมาเยี่ยมเลย” นันทพรตอบยาวกว่าที่เคยนิดนึง
    “อืม จริงด้วย พี่เคยติดต่อไปตามบัตรประชาชนเขาแล้วนะ โทรไปน่ะ มีคนรับแต่ไม่เห็นจะกระตือรือร้นอะไรเลย ไม่มีใครติดต่อมาด้วย รู้แค่ชื่อนามสกุลและก็เป็นคนเหนือ หรือว่าที่มาเฝ้าทุกวันเพราะเป็นคนเหนือเหมือนกันล่ะสิ” พรนภาพูดยิ้มๆ เธอน่าจะเดาได้ใกล้เคียงที่สุดเพราะที่ภูเก็ตนี้ถึงจะมีนักท่องเที่ยวทางเหนือมาบ่อยแต่ไม่ได้มีใครบาดเจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆเธอเข้าใจว่าพยาบาลรุ่นน้องคงเห็นใจที่ไกลบ้านเหมือน กันเลยมาเฝ้าคนป่วยให้
    “ก็ใช่นั่นแหละคะ” นันทพรยิ้มบางๆ แต่เหตุผลจริงๆลึกกว่านั้นมากนัก!
    “ขอให้เป็นแบบนี้เถอะจ้ะ หนุ่มๆแถวนี้จะได้ไม่ต้องอกหัก พี่ไปดูคนไข้ห้องข้างก่อนนะ” พรนภาว่าก่อนออกไป นันทพรนั่งอยู่อีกพักหนึ่งก็ลุกขึ้นจะกลับบ้านพักซึ่งอยู่ในเขตโรงพยาบาล คนป่วยก็ครางเบาๆ เธอหันไปทันที
    ร่างนั้นเริ่มขยับตัวและแผงขนตาหนายาวไหวระริกก่อนเปิดขึ้น
    “น้ำ หิวน้ำ” หญิงสาวเปิดตู้เย็นหยิบน้ำแก้วพลาสติกสำเร็จรูปเอาหลอดเจาะส่งหลอดดูดเข้าปากให้
    “ค่อยๆดูดนะคะ” ชายหนุ่มดื่มน้ำจนพอนันทพรจึงวางแก้วน้ำไว้ที่โต๊ะเล็กข้างๆ
    “เจ็บหัวจัง ผมอยู่ที่ไหนทำไม มันมืดไปหมด นี่เป็นตอนกลางคืนหรือคุณทำไมไม่เปิดไฟ” นันทพรชะงัก ตอนนี้ยังไม่มืดแสงสว่างสุดท้ายของวันยังเหลืออยู่ ลองเอามือโบกผ่านหน้าเขา
    ไม่มีปฎิกิริยาใดใด...
    “เดี๋ยวดิฉันตามหมอให้นะคะ” ร่างสูงขาวแบบคนมีเชื้อจีนของนายแพทย์ศิรศิลป์มาถึงในเวลาไม่กี่นาที ตรวจและฉีดยาแก้ปวดเสร็จสีหน้าหมอตี๋ค่อนข้างหนักใจ
    “ผมตาบอดใช่ไหมครับ หมอ” เสียงคนไข้ไม่ค่อยจะดีนัก
    “แค่ชั่วคราวเท่านั้นครับ รักษาดีๆก็จะหาย แผลที่ศีรษะค่อนข้างหนักเหมือนกันนะครับ คุณสลบไปหลายวัน ไม่ทราบว่าคุณพอจะจำเหตุการณ์วันนั้นได้ไหมครับ”
    “ผมถูกปล้นครับ มันตีหัวผมจากข้างหลัง”
    “คุณ...สรรพวิทย์ใช่มั้ยครับ ทางโรงพยาบาลแจ้งตำรวจไว้แล้วนะครับ คุณโชคดีที่มีคนไปเห็นเหตุการณ์และช่วยคุณไว้ก่อนที่พวกมันจะทำร้ายคุณมากกว่านี้ ทรัพย์สินของคุณยังอยู่ครบนะครับ พรุ่งนี้ถ้าคุณอยากให้การเราจะเชิญตำรวจมา ”
    “ขอบคุณครับ ผมแจ้งความแน่ครับ แล้วผมสลบไปนานแค่ไหน”
    “วันที่หกแล้วครับ ไม่รู้ว่ามีใครบอกหรือยังว่าคุณอยู่ที่ภูเก็ต”หมอหนุ่มตอบ
    “หกวันแล้วเหรอ” หางเสียงสรรพวิทย์ฟังเศร้าๆ
    “คุณทำใจให้สบายเถอะนะครับ ไม่ต้องกังวลเรื่องตาคุณ อาจใช้เวลาสักนิดแต่มีโอกาสหายนะครับ ผมขอตัว” นายแพทย์และพยาบาลสาวสวยที่ตามมาออกไปแล้ว นันทพรที่ยืนฟังอยู่ตั้งแต่แรกมองสรรพวิทย์อย่างเห็นใจ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
    ชายหนุ่มทำท่าจะลุกจากเตียง หากอาการปวดที่ศีรษะทำให้เขาต้องชะงัก
    “ทำไมมันปวดหัวอย่างนี้วะ” เขาพึมพำเบาๆ หญิงสาวรีบปราดเข้าไป
    “คุณอย่าเพิ่งลุกนะ นอนพักก่อน”
    “ผมนอนมาตั้งหกวันแล้วไม่ใช่เหรอคุณ” สรรพวิทย์เถียง
    “หมอให้ยาแก้ปวดคุณ อีกเดี๋ยวคุณก็จะง่วง” ชายหนุ่มเงียบไปนิดก่อนถาม
    “พวกคุณติดต่อไปบ้านผมมั้ย”
        “โทรไปแล้ว คนทางบ้านคุณคงรู้แล้วล่ะ”
    “แล้วมีใครมารึเปล่า” คราวนี้นันทพรไม่รู้ว่าควรตอบหรือไม่ คนป่วยเลยตอบเอง
    “ไม่มีซินะ คุณช่วยโทรไปหาคนๆหนึ่งให้ผมได้มั้ย”
    “ได้สิ ตอนนี้เลยก็ได้ คุณคงอยากคุยกับเขามาก” สรรพวิทย์พยักหน้าแล้วบอกเลขเก้าตัวให้ พยาบาลสาวหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอมาต่อสายให้
    “ฮัลโหล” เสียงผู้หญิงรับสาย
    “รอสักครู่นะคะ” เธอบอกปลายสายก่อนจับโทรศัพท์ใส่มือใหญ่ของคนไข้ แล้วเลี่ยงไปที่ระเบียงด้วยหัวใจที่เจ็บแปลบ ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเขาโทรหาใคร ทำไมกันนะ เรื่องตอนนั้นมันก็นานมากแล้ว นานจนเขาจำเสียงเธอไม่ได้ นานจนเธอคิดว่าลบเขาออกจากความทรงจำได้หมด ทำไมเธอยังต้องเจ็บอีก
    เสียงเขาแว่วมาเป็นระยะ และประโยคสุดท้ายเกือบจะเป็นตะโกน
    “เธอมันก็เหมือนคนอื่นนั้นแหละไม่เคยจริงใจกับพี่เลย พอทีเราจบกันแค่นี้ ถ้าเธอเห็นหมอนั่นดีกว่า”
    โชคดีที่นันทพรกลับเข้าทันก่อนเจ้าโทรศัพท์มือถือในถือชายหนุ่มจะถูกเขวี้ยงลงพื้น เธอแย่งกลับมาทันที
    “นี่คุณ มือถือฉันนะ” เธอตวาดแว้ดทันที ของๆใครก็หวงทั้งนั้นไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น
    “ขอโทษ คุณบอกให้เขารู้ทีเถอะว่าสภาพผมตอนนี้ทุเรศแค่ไหน” เขากำลังโมโหมาก และเธอก็เพิ่งรู้ว่าเขายังไม่ได้ตัดสาย ความอยากรู้มีมากพอที่จะทำให้เธอกรอกเสียงลงไป
    “ฮัลโหล”
    “เธอเป็นใครน่ะ”
    “ดิฉันเป็นพยาบาลค่ะ”
    “อ๋อ ที่แท้พี่แซมก็มีแฟนใหม่เป็นพยาบาล งั้นฉันมีคนอื่นฉันก็ไม่ผิดสินะ” นันทพรไม่อยากเชื่อเลยว่าคำพูดแบบนี้จะหลุดมาจากคนที่เธอเคยรู้จักเคยรักแบบน้องสาว เคยเสียสละสิ่งสำคัญบางอย่างให้ เด็กผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนไปมากจนนึกภาพเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักใสซื่อไม่ออก เธอเลยไม่คิดจะบอกว่าเธอ ‘เคย’ เป็นใคร
    “คุณสรรพวิทย์ไม่สบายนะคะ เขาประสบอุบัติเหตุทำให้มองไม่เห็น”
    “ตาบอดเหรอ แหวะ ไม่เอาด้วยหรอก ฉันยกให้เธอแค่นี้นะไม่ต้องโทรมากวนใจอีก บอกเขาด้วย” อีกฝ่ายวางสายไปเลย ทำเอานันทพรไม่รู้จะบอกชายหนุ่มยังไง แต่เขาพูดขึ้นก่อน
    “โดนเขาด่าใช่ไหม ผู้หญิงอะไรนิสัยเสีย เมื่อก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย เขาว่าไงบ้างตอนรู้ว่าผมตาบอด สาปส่งใช่มั้ย ผมไม่น่าเลือกเขาเลย”
    “แต่คุณก็รักเขา”
    “คงรักมั้ง ผมไม่มีใคร ตั้งแต่มีเขาผมไม่มีใครอีก”
    “คุณอาจแค่เหงาก็ได้ คุณเพิ่งฟื้นนอนต่อดีกว่า คุณนี่แข็งแรงนะ ปกติคนป่วยแบบนี้โวยวายไม่ได้หรอก”
    “ผมแค่หัวแตกกับตาบอดแต่หลับนานไปหน่อยเท่านั้น”
    “หลับเถอะค่ะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
    “พรุ่งนี้คุณจะมาอีกไหมครับ ผมว่าผมรู้สึกคุ้นเสียงคุณจัง คุณชื่ออะไร”
    “คนที่นี่เรียกฉันว่า นัน ค่ะ พรุ่งนี้ฉันมาเข้าวอร์ดนี้อยู่แล้ว ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะคะ” ร่างสมส่วนออกจากห้องคนป่วยก็ตรงกลับบ้านพัก เธอไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอเป็นใคร เพราะครั้งที่จากกันเป็นอะไรที่ไม่ค่อยดีนัก
    บ้านพักของพยาบาลเป็นตึกสูงสองชั้นยาวไปตามรั้วโรงพยาบาลซอยแบ่งเป็นห้องๆ ไม่กว้างและไม่แคบเกินไปนักพอที่จะอยู่คนเดียวได้อย่างสบายๆ มีห้องน้ำห้องครัวในตัว แยกส่วนกันชัดเจน ข้าวของในบ้านก็มีเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆที่จำเป็น จัดไว้อย่างมีระเบียบ มีชั้นหนังสือที่มีหนังสือหลากประเภทเรียงอยู่เต็มชั้นแสดงถึงความเป็นหนอนหนังสือของเจ้าของบ้าน แต่ห้องนี้ไม่มีชุดรับแขก มีแต่โต๊ะญี่ปุ่นสี่เหลี่ยมกับเบาะวางกลางห้อง และมีเก้าอี้ผ้าใบพับพิงผนังไว้
    นันทพรตรงขึ้นไปบนห้องนอน เปิดลิ้นชักโต๊ะตัวเล็กข้างเตียง ค้นอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบเอากล่องไม้สีเข้มขนาดไม่ใหญ่นักออกมาเปิด ภายในเต็มไปด้วยกระดาษหลากสี สมุดบันทึกเก่าๆและดินสอกดสีเหลืองมุก แหวนรุ่นสมัยมัธยมต้นและมัธยมปลาย ทุกอย่างยังอยู่ในสถาพดี แม้แต่สมุดบันทึกที่ลงวันที่ที่เริ่มเขียนเมื่อสิบปีที่แล้ว...
    เธอหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาพลิกดู รูปถ่ายสองใบหล่นลงมาจากสมุด หญิงสาวมองภาพนั้นอย่างเหม่อลอย รูปหนึ่งเป็นภาพเด็กหนุ่มผิวคล้ำในชุดนักเรียนมัธยม แนวคิ้วเข้ม ตาคมในกรอบขนตายาวหนามีประกายร่าเริง ยิ้มร่าให้กล้อง อีกรูปเป็นรูปของเด็กหนุ่มคนเดิมถ่ายคู่กับเด็กสาวหน้าใสตาโตสีน้ำตาลเข้มหวาน ผิวเหลืองนวลค่อนข้างขาวตัดกับสีผิวอีกคนอย่างชัดเจน ศีรษะเธอสูงเลยบ่าเด็กหนุ่มมาครึ่งศีรษะ พวกเขายิ้มอย่างมีความสุขแต่ก็มีร่องรอยของความขัดเขินอยู่บ้าง
    ด้านหลังรูปเขียนด้วยปากกาหมึกซึม เป็นวันที่ถ่ายและชื่อของทั้งคู่ ‘พลอย-แซม’ อีกบรรทัดเป็นชื่อจริง ‘นันทพร-สรรพวิทย์’!!
+++++++++++++++++*************************************************+++++++++++++++++++++++
**ชื้แจงเล็กน้อย**
        เนื่องจากว่าเรื่องนี้เทียนนกแก้วแต่งขึ้นมาจากจินตนาการ ตัวละครในเรื่องอายุมากกว่าเทียนนกแก้วเป็นสิบปีเลยล่ะค่ะ อีกอย่างคือในเรื่องนี้เหตุการณ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ภูเก็ตซึ่งก็ไม่ใช่บ้านเกิดหรือที่อยู่อาศัยในปัจจุบันเลย เพราะฉะนั้นแน่นอนอยู่แล้วว่าต้องมีข้อผิดพลาดมาก ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย และขอให้ช่วยแนะนำติชมด้วยนะคะ
   
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น