ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วิวาห์ร้ายพ่ายรัก [สนพ.ชูการ์บีท]

    ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ ๗ ผู้หญิงของใคร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 216
      0
      10 ก.พ. 61

    ผู้หญิงของใคร

     

    มินตราก้าวออกมาจากตึกอัครเกียรติด้วยสีหน้าบึ้งจัดภายใต้แว่นกันแดดสีชาที่มีขนาดใหญ่กินพื้นที่บนใบหน้าไปเกือบครึ่ง นิ้วเรียวกดหาเบอร์โทรศัพท์ของบ้านวรเสนาแล้วโทร. ออก รอเพียงไม่กี่อึดใจก็มีคนรับสาย

    พี่เมถึงบ้านรึยัง หญิงสาวเอ่ยถามก่อนที่ปลายสายจะทันได้พูดสิ่งใด

    ถึงพักนึงแล้วค่ะ น้ำเสียงนอบน้อมคุ้นหูของเมรีดังขึ้น

    เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก

    แล้วไป นึกว่าเป็นอะไรไปซะอีก

    คุณมิ้นรีบกลับมาที่บ้านเดี๋ยวนี้เลยนะคะ เสียงสั่งฟังดูแข็ง หากยังคงแฝงไว้ด้วยความเกรงอกเกรงใจไม่เปลี่ยนแปลง

    มินตราย่นคิ้ว นิ่วหน้า ยอกย้อนฉุนๆ เพิ่งรู้นะคะ เดี๋ยวนี้มิ้นต้องฟังคำสั่งจากคุณน้าด้วย ขอโทษเถอะค่ะ อย่าก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวกันให้มากนัก

    น้ามีเรื่องบางอย่างต้องพูดกับคุณมิ้นในทันที คุณมิ้นจำเป็นต้องรับรู้แล้วปฏิบัติตาม คุยทางโทรศัพท์คงไม่สะดวก กลับบ้านก่อนเถอะค่ะ อีกฝ่ายให้เหตุผลเพิ่มเติม น้ำเสียงแข็งขืนผิดวิสัย

    หญิงสาวกลอกตา สีหน้าสุดเซ็ง มิ้นจะกลับก็ต่อเมื่ออยากกลับ จะทำอะไรก็เมื่ออยากทำเท่านั้น แค่นี้นะคะ

    คุณมิ้นต้องแต่งงานกับคุณอชิระในอีกสองอาทิตย์ ไม่อย่างนั้นเราทุกคนก็เตรียมถูกเฉดหัวได้เลย!”

    เมรีโพล่งขึ้นเสียงเฉียบก่อนที่มินตราจะทันได้กดตัดสาย

    ยายเมเข้าไปคุยกับคุณอชิระ เขายื่นคำขาดมาแล้ว ถ้าคุณมิ้นไม่เสียสละ วรเสนาคงสิ้นชื่อกันคราวนี้

    แต่งงาน...สองอาทิตย์...

    เสียงครางงุนงงแกมตระหนกหลุดลอดจากเรียวปากอิ่มอย่างแผ่วเบาแทบไม่ต่างจากเสียงกระซิบของสายลม

    มินตราไม่รับรู้ว่าทางนั้นพูดสิ่งใดอีกบ้าง รู้เพียงตอนนี้แข้งขาไร้เรี่ยวแรงจนแทบจะทานน้ำหนักตัวไม่ไหว โทรศัพท์หล่นลงบนพื้นซีเมนต์อย่างไร้การดูดาย จากนั้นก็ควานมือเปะปะหาที่ยึดเหนี่ยวเหมือนเด็กหลงทางเอื้อมมือหาใครสักคน หากสิ่งที่สัมผัสได้มีเพียงความแข็งแกร่งของกำแพงหนา ไม่มีใครยื่นมือมาให้เกาะเกี่ยวเป็นหลักยึดได้เลย

     

    เมรีเดินไปเดินมา สีหน้าร้อนรน ดวงตาชำเลืองไปยังประตูรั้วที่ห่างออกไปประมาณสิบห้าเมตรจากหน้ามุขของบ้านเป็นระยะ รอคอยว่าเมื่อไรรถสปอร์ตสีบรอนซ์เงินคันคุ้นตาจะโผล่มาให้เห็นเสียที

    เมขลามองท่าทางกระวนกระวายของมารดาด้วยดวงตาเศร้าสร้อย เดินไปแตะแขนของอีกฝ่ายอย่างปลอบประโลม

    ใจเย็นๆ ก่อนนะคะแม่ คุณมิ้นคงไม่เป็นอะไรหรอก คงแค่ตกใจเท่านั้น เดี๋ยวหายช็อกเมื่อไหร่ก็กลับมาอาละวาดเหมือนทุกครั้งนั่นแหละ

    เมรีฟังแล้วน้ำตาคลอ ต่อว่าตัวเองด้วยความรู้สึกผิดกัดกินใจ

    แม่ไม่น่าใจร้อนเลยเม ไม่น่าบอกคุณมิ้นทางโทรศัพท์ น่าจะรอให้คุณมิ้นกลับถึงบ้านก่อน ถ้าเป็นอะไรไปจะได้ดูแลกัน แต่นี่คุณมิ้นอยู่คนเดียว เสียใจ ช้ำใจ ใครจะเห็นใจเธอ

    โธ่...แม่คะ แม่คิดมากเกินไปแล้วนะ อย่างมากคุณมิ้นก็แค่ช็อกประเดี๋ยวประด๋าว แต่อีกไม่กี่นาทีก็สามารถลุกขึ้นวีนแตกได้แล้ว แม่อย่าทำเหมือนไม่รู้จักคุณมิ้นหน่อยเลยค่ะ

    หญิงสาวยังพยายามปลอบมารดาให้คลายเศร้า ทั้งที่ตัวเองก็อดเป็นห่วงมินตราไม่ได้เหมือนกัน

    แม่เสียใจจริงๆ เม แม่อยากขอโทษคุณมิ้น...

    สิ้นเสียงนั้นเมรีก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นยกใหญ่

    เมขลาถอนใจยาว สีหน้าเศร้าหมองไม่ต่างกันนัก โอบร่างมารดาเข้ามากอดปลอบ ขอบตาร้อนผ่าว แต่ก็สู้ข่มกลั้นมันไว้ ไม่ให้น้ำตาไหลออกมาในตอนที่แม่กำลังอ่อนแอและต้องการกำลังใจมากที่สุด

    เธอต้องเป็นหลักหากใครสักคนกำลังล้ม...

     

    มินตรากดกระหน่ำที่ปุ่มโทร. ออกซ้ำไปซ้ำมานับครั้งไม่ถ้วน ใบหน้าสวยจัดบึ้งตึงบ่งบอกอารมณ์ที่ระอุอยู่ในอก หลังจากเพียรกดโทร. ออกมากว่าสิบครั้งแล้วแต่ปลายสายก็ไม่ยอมรับเสียที ความอดทนซึ่งปกติมีอยู่น้อยนิดก็หมดลงในที่สุด

    โทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กโดนเหวี่ยงลงไปนอนแอ้งแม้งบนเบาะหลังอย่างไม่แยแส จากนั้นรถสปอร์ตคู่ใจก็ทะยานออกไปจากลานจอดรถของตึกอัครเกียรติอย่างรวดเร็วปานพายุ

    ดวงตาคู่สวยภายใต้แว่นกันแดดสีชากวาดมองหาที่ว่างภายในลานจอดรถของคอนโดมิเนียมหรูใจกลางกรุง เมื่อจอดรถได้ก็พาตัวเองเข้าไปด้านในอย่างเร่งรีบ แม้สถานที่แห่งนี้จะมีระบบรักษาความปลอดภัยชั้นเยี่ยมและมีความเป็นส่วนตัวสูง แต่มินตราสามารถเข้าออกได้ทุกเมื่อ เนื่องจากเธอมีทุกอย่างที่ผู้เป็นเจ้าของห้องชุดที่นี่พึงมี

    ก่อนนี้หญิงสาวไม่เคยใส่ใจและไม่คิดจะพาตัวเองมาเหยียบที่นี่แม้สักครั้ง หากคราวนี้มีความจำเป็นจึงต้องเป็นฝ่ายตามจิกตัวแฟนหนุ่มถึงที่พักผ่อนอันเป็นส่วนตัว ซึ่งเขาเป็นคนมอบสิทธิพิเศษในการเข้าออกได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงให้กับเธอเมื่อสองเดือนที่แล้ว

    แม้จะสามารถเปิดประตูเข้าไปเองได้ แต่เธอคิดว่าอย่างน้อยควรให้เขารู้ตัวและเป็นคนมาเปิดประตูเชิญด้วยตัวเองจึงเลือกที่จะกดกริ่งหน้าห้องแทน เพียงไม่กี่อึดใจบานประตูก็ขยับ แต่ยังไม่ทันได้วีนใส่แฟนหนุ่มในข้อหา ไม่ยอมรับโทรศัพท์หญิงสาวกลับต้องอ้าปากค้าง นิ่งงันจนวีนไม่ออก

    หญิงสาวรูปร่างอวบอัด ผิวขาว ใบหน้าสวยใสในสภาพเกือบกึ่งเปลือยยืนยิ้มยั่วอยู่หน้าห้อง โชว์มือถือที่มินตราเห็นแล้วรู้ได้ทันทีว่าเป็นของ อนิรุธขึ้น พร้อมเอ่ยเสียงหวาน รุธหลับอยู่ ฉันไม่อยากกวนก็เลยปิดเสียงโทรศัพท์ คุณอยากให้ฉันปลุกเขาหรือเปล่าคะ

    มินตรานิ่วหน้า ถอดแว่นกันแดดทิ้งอย่างไม่ไยดี ผลักไหล่อีกฝ่ายให้กระเด็นพ้นทางพร้อมกัดฟันบอกเสียงต่ำ ไม่ต้อง ฉันปลุกเอง!”

    เธอก้าวฉับๆ เข้าไปในห้องที่บานประตูเปิดแง้มอยู่เล็กน้อย สิ่งที่มองเห็นคือร่างสูงคุ้นตาในสภาพเปลือยท่อนบน มีผ้าห่มคลุมไว้ตั้งแต่เอวลงไปถึงช่วงล่างนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงยับยู่ยี่ ตอกย้ำให้รู้ว่าก่อนหน้านี้มันถูกใช้ให้เป็นสนามรัก

    มินตรากลืนน้ำลายเหนียวๆ ผ่านลำคอด้วยความยากลำบาก ขอบตาร้อนผ่าวร้าวรานเข้าไปถึงขั้วหัวใจ แต่เธอไม่ต้องการให้น้ำตาไหลออกมาด้วยเหตุผลงี่เง่าจึงกล้ำกลืนความรู้สึกทั้งหมดกลับเข้าไปข้างใน กระชากผ้าห่มจากร่างของชายที่ได้ชื่อว่าเป็น คนรักด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล ต้องการกระชากให้คนฝันหวานสะดุ้งตื่นในทันที

    อนิรุธงัวเงียพลิกกายอย่างขี้เกียจ วาดแขนไขว่คว้าหาร่างนุ่มนิ่มที่เคยกกกอดก่อนจะหลับใหลไปพร้อมกันด้วยความอ่อนเพลีย เมื่อพบเพียงความว่างเปล่าเขาจึงค่อยกะพริบตาขึ้นมองหาทั้งที่ยังง่วงงุน เมื่อเห็นเป้าหมายยืนพันกายด้วยผ้าเช็ดตัวผืนเดียวที่ช่องประตู ริมฝีปากจึงกระตุกยิ้ม นัยต์ตาหวานฉ่ำสื่อความหมาย

    รีบตื่นทำไมคะ เมื่อคืนก็แทบไม่ได้นอน ไม่ง่วงเหรอ

    ถามคนโน้นสิคะ เจ้าหล่อนว่าพลางยิ้มยั่ว ก่อนจะหันหลังเดินไปจากตรงนั้น เพื่อให้ทั้งสองคนตกลงกันเอง

    คิ้วเข้มขมวดมุ่น ใจหายแปลกๆ ก่อนหันกลับมามองว่ามีใครอยู่ในห้องนี้ด้วยหรือไม่ เมื่อเห็นแฟนสาวยืนกอดอก ดวงตาคู่สวยวาววามจับจ้องมาที่เขาอย่างน่ากลัว อนิรุธก็ตัวแข็ง ตาค้างด้วยความตกตะลึง ตะกุกตะกักถามแทบไม่เป็นภาษา

    มะ...มิ้น คะ...คุณมาตะ...ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ

    ไม่สำคัญว่าฉันจะมาตั้งแต่เมื่อไหร่ หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบผิดวิสัยคนขี้วีน โยนคีย์การ์ดใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างไร้ความลังเล

    จากวินาทีนี้เป็นต้นไป เราสองคนเลิกกัน!”

    ว่าแล้วฝ่ามือเล็กก็ฟาดใบหน้าคมสันของอดีตคนรักสุดแรงเกิดจนอีกฝ่ายหน้าหัน

    ค่าที่คุณสวมเขาให้ฉัน นี่ยังน้อยไป แต่ฉันไม่ชอบเสียเวลากับคนไร้ค่า เท่าที่เสียไปก็เสียดายจะแย่แล้ว

    พูดเพียงเท่านั้นหญิงสาวก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างทระนง

    อนิรุธได้สติ ผวาตามหญิงสาวอย่างร้อนรน แต่เมื่อรู้สึกเย็นๆ จึงก้มลงสำรวจตัวเอง พบว่าตอนนี้ไม่เปลือยก็เกือบเปลือยเนื่องจากมีอันเดอร์แวร์ชิ้นเดียวสวมอยู่บนร่างกายจึงรีบคว้ากางเกงที่วางระเกะระกะอยู่บนพื้นขึ้นมาสวมลวกๆ พร้อมตะโกนรั้งแฟนสาวสุดเสียง

    เดี๋ยวมิ้น ฟังผมก่อน ผมอธิบายได้นะครับ มิ้น!”

    มินตราไม่แม้แต่จะชะงักในการก้าวเดินไปข้างหน้า จะลังเลอยู่ก็เพียงก้าวเดียวในตอนที่หยุดเพื่อก้มลงเก็บแว่นกันแดดของตัวเองที่หน้าห้องขึ้นมาสวมอีกครั้ง หมายจะปิดบังร่องรอยของความชอกช้ำเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้

    อนิรุธตามมาทันหญิงสาวที่หน้าลิฟต์ เอื้อมมือรั้งเรียวแขนกลมกลึงเอาไว้ อ้อนวอนขอโทษด้วยความรู้สึกผิดจากหัวใจ

    มิ้นฟังผมก่อนนะ ผมอธิบายได้นะครับ ได้โปรดเถอะ ฟังผม ผม

    รักคุณจริงๆ นะ รักคุณคนเดียว ผู้หญิงคนนั้นก็แค่คนที่เดินผ่านเข้ามาในชีวิตผมแล้วก็เดินผ่านไป ไม่มีใครเทียบเท่าคุณได้ คุณเป็นที่หนึ่งในใจผมเสมอ

    หญิงสาวเม้มปากแน่น รู้สึกสะอิดสะเอียนกับข้อแก้ตัวของอดีตคนรักจนแทบจะเก็บกดโทสะเอาไว้ไม่อยู่ แต่เพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายคิดว่าเธอใส่ใจกับเรื่องที่เขาจะมีใครไว้ผ่านทางหรือจะมีใครไว้เพื่อเป็นตัวจริง จึงไม่ได้แสดงอาการเกรี้ยวกราดตอบกลับไป เพียงย้อนเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบโดยไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน

    ฉันไม่สนว่าคุณจะมีใครๆ อีกเป็นโหลไว้ผ่านทาง แต่ผู้หญิงอย่างมินตรา วรเสนาไม่เคยต้องการเป็นที่หนึ่งของใคร

    เสียงประตูลิฟต์เปิดออก หญิงสาวก้าวเข้าไปด้านในครึ่งตัว หันกลับมามองหน้าอนิรุธภายใต้แว่นกันแดดอย่างเย็นชา

    ฉันไม่ต้องการเป็นที่หนึ่งของใคร เพราะถ้าฉันเป็นที่หนึ่งก็แปลว่าต้องมีลำดับที่สอง สาม สี่ ตามมาเรื่อยๆ ถ้าเป็นแบบนั้นจะที่หนึ่งหรือที่ร้อยก็ไม่เห็นต่างกันตรงไหน คนอย่างฉันต้องเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น เอาที่หนึ่งของคุณคืนไปเถอะ ฉันไม่ต้องการ

    เธอก้มมองมือเขาที่ยังคว้าแขนตัวเองไว้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่ม ริมฝีปากอิ่มบิดเบ้ แสดงออกถึงความรังเกียจสุดจิตสุดใจ

    มือสกปรกของคุณด้วย ฉันขยะแขยงจนบรรยายไม่ถูกแล้ว

    เรี่ยวแรงของเธอหากเทียบกับชายหนุ่มร่างกายสูงใหญ่อย่างอนิรุธแล้วคงเทียบกันไม่ติด ทว่าปฏิกิริยาของหญิงสาวจริงจัง ชัดเจน และทรงพลังยิ่งกว่าเรี่ยวแรงของช้างสารเสียอีก มือของอนิรุธจึงตกลงข้างตัว นัยน์ตาเรียวรีหม่นแสง ได้แต่มองคนรักเดินจากไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง

    เจ็บปวด และเสียใจโดยไม่รู้จะทำอย่างไร

    เขารู้จักมินตราดีเกินกว่าจะตามไปรั้งหญิงสาวเอาไว้แล้วคุกเข่าอ้อนวอนเพื่องอนง้อขอคืนดีในยามนี้ เพราะนั่นจะเป็นเพียงเรื่องงี่เง่าที่สุดในสายตาเธอ

     

    จนป่านนี้แล้วคุณมิ้นยังไม่กลับบ้านอีก แม่เป็นห่วงจริงๆ นะเม

    เมรีเดินไปเดินมาด้วยท่าทีกระวนกระวายใจ น้ำตาเหือดแห้งไปนานแล้ว หากความห่วงใยร้อนใจกลับทบทวีดั่งเข็มนาฬิกาที่หมุนไปโดยไม่เคยหยุดพัก

    เมขลาถอนใจยาวนับครั้งไม่ถ้วน กุมมือมารดาอย่างให้กำลังใจ

    อีกเดี๋ยวคงกลับมาค่ะ นี่เพิ่งจะทุ่มเอง คุณมิ้นอาจไปทานข้าวกับเพื่อนก็ได้ ปกติก็ไม่ใช่จะกลับบ้านเร็วอยู่แล้ว

    แต่แม่เป็นห่วง ถ้าไม่ได้มีเรื่องกันแม่คงสบายใจกว่านี้ จนกว่าคุณมิ้นจะกลับบ้านอย่างปลอดภัย ไม่อย่างนั้นแม่คงร้อนใจอยู่อย่างนี้แหละ ผู้เป็นแม่บอกบุตรสาวด้วยสีหน้าสำนึกผิด

    หญิงสาวคลี่ยิ้มพลางส่ายหน้า แต่ยังไม่ทันเอ่ยสิ่งใด เด็กในบ้านก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาพร้อมโทรศัพท์ไร้สาย

    คุณมิ้นโทร. มา ขอสายคุณเมรีค่ะ

    สองแม่ลูกสบตากันชั่วครู่ ก่อนที่เมรีจะคว้าโทรศัพท์มาแนบหูอย่างรวดเร็ว

    บอกอัครเกียรติว่ามิ้นตกลงตามนั้น แค่นี้นะคะ

    เมรียังไม่ทันได้พูดสิ่งใดสัญญาณก็ถูกตัดไปเสียแล้ว

    คุณมิ้นว่ายังไงคะแม่

    เมขลาถามเมื่อเห็นสีหน้ามึนงงของมารดา

    อีกฝ่ายกะพริบตาปริบๆ ยื่นโทรศัพท์คืนให้เด็กอย่างเก้ๆ กังๆ เหมือนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี

    มีอะไรคะแม่ คุณมิ้นเป็นอะไร

    หญิงสาวเขย่าแขนมารดาอย่างเร่งเร้า ด้วยท่าทางของแม่คล้ายคนอยู่ในภาวะตกใจจนช็อก

    เมรีพยายามสูดลมหายใจลึก หันไปสบตาบุตรสาวพร้อมแจ้งข่าวที่ไม่สามารถจำแนกได้ว่าเป็นข่าวดีหรือร้ายกันแน่ด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย

    คุณมิ้นบอกว่าจะแต่งงานกับคุณอชิระ

    เมขลานิ่งอึ้งไปอีกคน เข้าใจแล้วว่าเหตุใดมารดาจึงมีท่าทางเช่นนี้ หญิงสาวลอบถอนใจแผ่วเบา ดวงตากลมใสหม่นแสงลงดั่งเปลวเทียนใกล้ดับ

    ก็จะให้เธอกับแม่รู้สึกยินดีกับเรื่องนี้ได้อย่างไร ในเมื่อการแต่งงานครั้งนี้คือการแต่งงานเพื่อล้างหนี้เท่านั้น  

     

    เสียงเพลงคลอเบาๆ เคล้าแสงไฟสลัวรางกับเครื่องดื่มดีกรีร้อนแรงไม่ได้ช่วยให้ความผิดหวังในหัวใจดวงเล็กๆ บรรเทาเบาบางลงแม้สักกระผีกเดียว ตรงกันข้าม ยิ่งลำคอร้อนผ่าวจากฤทธิ์แอลกอฮอล์มากเท่าไร ความอัดอั้นในหัวใจก็ราวกับจะล้นทะลักออกมามากมายเท่านั้น

    แก้วแล้วแก้วเล่าที่ผ่านเข้าไปในร่างกายเหมือนจะกลั่นตัวเป็นสายออกมาทางดวงตา หญิงสาวเลื่อนมือกุมใบหน้า ร้องไห้สะอึกสะอื้นปานจะขาดใจโดยไม่อายใคร

    ที่นี่ไม่มีใครที่เธอรู้จัก ไม่มีใครให้พึ่งพิง ไม่มีเกียรติของวรเสนาวาง

    ไว้บนบ่าอีกสืบไป ไม่มี...

    เธอก็เป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งที่ร้องไห้ได้ เสียใจเป็น เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาที่ละวางแล้วซึ่งเกียรติยศและศักดิ์ศรีอันหนักหน่วง

    มือหนาแตะไหล่บาง เรียกสติด้วยน้ำเสียงคล้ายรำคาญใจเต็มทน คุณครับ เมาก็กลับบ้านได้แล้ว

    หญิงสาวสะบัดไหล่รวดเร็วให้พ้นจากสัมผัสของคนแปลกหน้า ยกนิ้วปาดน้ำตา หันมาตวาดแว้ดไม่สบอารมณ์ ครายเมา ฉันม่ายมาว อย่ามายู่ง...

    บาร์เทนเดอร์หนุ่มน้อยนิ่วหน้า ไม่ถึงกับอารมณ์เสียเนื่องจากเจอลูกค้าประเภทนี้อยู่ทุกวันจนชินชา

    เสียงคุณยานคางขนาดนี้เขาเรียก เมามากแล้วครับ

    อย่างที่เคยได้ยินมาไม่ผิด คนเมาที่ไหนจะยอมรับว่าตัวเองเมา หญิงสาวก็เช่นกัน

    ม่ายมาว เอามาอีก เอิ๊ก...

    เด็กหนุ่มส่ายหน้าพลางถอนใจ พูดแทบไม่เป็นภาษาอยู่แล้ว เฮ้อ!”

    หญิงสาวเกาะขอบเคาน์เตอร์โงนเงน มือไม้เปะปะ เอื้อมคว้าแก้วใบเดิมของตนที่อีกฝ่ายแย่งไปต่อหน้าต่อตา

    บอกให้อาวมางาย...

    จ่ายค่าบริการแล้วกลับไปซะเถอะคุณ มาคนเดียวหรือไง จะกลับไหวมั้ยเนี่ย เด็กหนุ่มบ่น สีหน้าติดกังวลเล็กน้อย คอเที่ยวกลางคืนส่วนใหญ่ร้อยละเก้าสิบเก้าล้วนไม่มีสิ่งใดให้น่าห่วงใยแทน แต่เขาก็อดห่วงไม่ได้

    หญิงสาวคนนี้ออกจะสวยสะดุดตา เครื่องแต่งกายกับของใช้ส่วนตัวบอกฐานะและความมีระดับ อาชญากรสมัยนี้ยิ่งแฝงกายไปทุกที่โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวกลางคืนแบบนี้ยิ่งพลุกพล่านเสียด้วย

    บอกว่าอาวมานี่ ฉันม่ายมาว...เอิ๊ก...

    คราวนี้มือเธอปัดไปโดนชายหนุ่มหน้าเข้มที่นั่งคลอเคลียอยู่กับสาวหุ่นสะบึมนางหนึ่ง เขาหันมานิ่วหน้าใส่ หากพอเห็นใบหน้าสะสวย ดวงตาหรี่ปรือใกล้หมดสภาพก็ทำให้เปลี่ยนใจ หันมากระซิบอะไรบางอย่างกับคนในอ้อมแขน สักพักเจ้าหล่อนก็ชักสีหน้ามึนตึง ก่อนสะบัดก้นเดินจากไปอย่างมีงอน

    คุณเมาแล้วนะครับ มากับใคร กลับไหวรึเปล่า ให้ผมไปส่งไหม

    เสียงห้าวทว่าฟังดูนุ่มนวลกระซิบแทบชิดแก้มอิ่มอย่างถือวิสาสะ มือไม้ไม่อยู่นิ่ง พยายามจะเกี่ยวเอวบางเข้ามากอดอย่างจวบจ้วง

    มินตราสะบัดตัวออกสุดแรงเท่าที่คนเมาจะมี สีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์สุดชีวิต ตวาดด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ ปายห้ายโพ้น อย่ามายู่งกับฉาน...

    อีกฝ่ายจะฟังก็หาไม่ ยิ่งเธอดิ้นรนหลบหนี ลำแขนแขงแรงก็ยิ่งตามเกาะเกี่ยวอย่างหยาบคาย

    จะไปไหนเล่าคนสวย ผมพูดด้วยดีๆ ทำสะดีดสะดิ้งไปได้

    วาจาหยาบคายกับรอยยิ้มแทะโลมของอีกฝ่ายทำให้มินตราของขึ้นทั้งที่เมาจนแทบทรงตัวไม่อยู่ ไอ้บ้า อย่ามาถูกตัวฉาน...

    บาร์เทนเดอร์หนุ่มน้อยเห็นท่าไม่ดี กำลังจะส่งสัญญาณบอกให้การ์ดเข้ามาช่วยดูแลความเรียบร้อยจุดนี้ หากต้องชะงักจนแทบหยุดหายใจเมื่อร่างกายสูงใหญ่ของใครบางคนเดินแหวกความแออัดของผู้คนภายในร้านเข้ามากระชากคอเสื้อของหนุ่มไร้มารยาทที่กำลังเงื้อมือขึ้นจะทำร้ายร่างกายหญิงสาว

    จากนั้นหมัดลุ่นๆ ก็ชกเปรี้ยงที่ดั้งจมูกของหนุ่มโชคร้ายเข้าให้จนเลือดสาด พร้อมกันนั้นเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจจากคนรอบข้างก็ดังขึ้น

    โอ๊ย! ไรวะ? หนุ่มคนนั้นร้องลั่นก่อนตะบึงเสียงใส่ผู้มาใหม่อย่างโมโห

    อติยะมีสีหน้าเข้มจัด ตาวาวจนแทบจุดไฟติด รั้งเอวบางเข้ามากอดไว้อย่างถือสิทธิ์ กระตุกยิ้มเหี้ยม ชี้หน้าพร้อมขู่เสียงเย็น

    ถ้าแกยังอยากมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ อย่ามายุ่งกับผู้หญิงของฉัน!”

    คนกำลังจะได้ขึ้นสวรรค์กลับถูกถีบตกนรกกะทันหัน นาทีนี้ใครไม่โกรธเห็นจะผิดปกติไปสักหน่อย พอตั้งตัวได้จึงไม่พลาดโอกาสที่จะเอาคืน ทว่าการ์ดจำนวนหนึ่งที่ตรงมายังจุดเกิดเหตุพร้อมกระจายกำลังล้อมตัวไอ้หนุ่มหมัดเมาทำให้จังหวะการเอาคืนหยุดชะงัก

    อะไรวะ ก็เห็นกันอยู่ว่าไอ้นั่นมันชกฉันก่อน เมื่อเหตุการณ์ไม่เป็นไปดังคาดจึงต้องเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่

    อติยะหรี่ตา เขม้นจ้องอีกฝ่ายอย่างข่มขู่จนคนมองสบรู้สึกเย็บวาบถึงสันหลัง

    เลือกเอาว่าแกจะเดินออกไปดีๆ ด้วยสองขา หรืออยากจะคลานสี่ขาออกไปเหมือนหมาข้างถนน

    การ์ดหน้าเข้มยืดตัวในท่าเตรียมพร้อมรับคำสั่งของอติยะได้ทุกเมื่อ

    หนุ่มหัวเดียวกระเทียมลีบจึงมีสภาพไม่ต่างอะไรกับสุนัขจนตรอก ได้แต่ทำสีหน้าฮึดฮัดขัดใจ แต่ก็ฉลาดมากพอจะเลือกทางเดินแรก

    ขอบคุณมากนะครับ

    อติยะหันไปก้มศีรษะให้บรรดาการ์ดหน้าเข้มที่ให้ความร่วมมือกับเขาเป็นอย่างดี ด้วยเขามาที่นี่ในฐานะ เพื่อนของผู้เป็นเจ้าของร้าน หรืออีกนัยคือเป็น คู่ควงของเพื่อนของเจ้าของร้านอีกที

    ชายฉกรรจ์หน้าเข้มผู้มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในร้านก้มศีรษะน้อมรับคำขอบคุณก่อนจะสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว เพียงเท่านั้นทุกอย่างก็เข้าสู่ภาวะปกติเหมือนไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นก่อนหน้านี้

    ชายหนุ่มก้มมองหญิงสาวในอ้อมแขนที่คอพับคออ่อนไปแล้วด้วยแววตาคุกรุ่น แต่ยังไม่ทันได้ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร เสียงแปร๋นๆ ของรัศมีก็ดังขึ้นท่ามกลางเสียงเพลงดังกระหึ่ม  

    อาร์ตี้ขา...คุณเป็นอะไรรึเปล่าคะอาร์ตี้...

    เขากลอกตาพลางถอนใจอย่างเบื่อหน่าย ตัดสินใจช้อนร่างบางขึ้นอุ้มแล้วเผ่นแนบออกไปจากสถานบันเทิงยามค่ำคืนแห่งนั้นโดยไม่เหลียวหลัง

    บาร์เทนเดอร์หนุ่มน้อยที่ถือกระเป๋าใบหรูของมินตราไว้ในมือตั้งแต่เกิดเรื่องเพิ่งได้สติเอาตอนที่เจ้าของกระเป๋าถูกอุ้มหายไปกับฝูงนักท่องราตรีอันแสนพลุกพล่าน จะตะโกนเรียกก็คงเหนื่อยเปล่าเนื่องจากเสียงเพลงเนิบช้าในตอนหัวค่ำเปลี่ยนจังหวะไปแล้ว

    รัศมีเบียดร่างผ่านผู้คนที่วาดลวดลายส่ายสะโพกอยู่กลางฟลอร์เต้นรำอย่างเมามันเพื่อจะไปให้ถึงจุดเกิดเหตุอย่างทุลักทุเล เมื่อไม่เห็นชายหนุ่มที่ควงกันมาจึงหันไปถามบาร์เทนเดอร์ที่ทำหน้าเซ็งอยู่หลังเคาน์เตอร์

    นี่น้อง น้องเห็นผู้ชายหล่อๆ ที่เข้ามาช่วยผู้หญิงที่มีเรื่องอยู่ตรงนี้มั้ย เขาไปไหนแล้ว

    อีกฝ่ายมีสีหน้าสดใสขึ้น คุณรู้จักพวกเขาเหรอครับ

    รัศมีนิ่วหน้าพลางส่ายหัว รู้จักแค่ผู้ชายหล่อๆ คนนั้นน่ะ แฟนพี่เอง แล้วตกลงเขาไปไหนล่ะ

    หนุ่มน้อยทำหน้างง เอ่อ...อุ้มผู้หญิงคนนั้นไปแล้วครับ แต่ไปไหนผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

    หญิงสาวขมวดคิ้วนิ่วหน้า หรี่ตาครุ่นคิด

    อุ้มผู้หญิงคนนั้นออกไป?

    ใช่ครับ แล้วนี่ก็เป็นกระเป๋าของเธอ

    เขายื่นกระเป๋าในมือให้หญิงสาวพร้อมผลักภาระให้อีกฝ่ายรับช่วงต่อ

    ฝากให้แฟนพี่เอาไปคืนผู้หญิงคนนั้นด้วยนะครับ

    รัศมีทำหน้างง คิดจะโยนกระเป๋าในมือทิ้งแล้ว หากไม่นึกขึ้นมาได้เสียก่อนว่าเธอควรจะเก็บเอาไว้เพื่อตามรอยยายผู้หญิงขี้เมาที่อติยะอุ้มหายไปในคืนนี้

    อย่าคิดว่าจะหนีพ้นเชียว!”

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×