ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วิวาห์ร้ายพ่ายรัก [สนพ.ชูการ์บีท]

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ ๔ เจรจา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 181
      0
      10 ก.พ. 61

    เจรจา

     

    ทนายฝั่งโน้นบอกว่าพรุ่งนี้เช้าคุณมินตราจะเข้ามาพบคุณใหญ่ที่นี่ครับ” ขจรรายงานด้วยเสียงราบเรียบ ไม่บ่งบอกอารมณ์

    เก้าอี้ทำงานตัวใหญ่หมุนกลับมาในทิศทางที่ควรเป็น ตาคมพราวระยับด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ หากไม่มีแววประหลาดใจให้เห็น

    ขอบคุณครับ ผมรู้อยู่แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง

    ขจรถอนใจแผ่วเบาก่อนเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คุณใหญ่แน่ใจนะครับว่าจะทำแบบนี้จริงๆ ชีวิตแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ยังมีผู้หญิงอีกมากมายที่เหมาะสมและคู่ควรกับคุณใหญ่มากกว่าลูกสาวเจ้าสัวมานเมฆ บ้านนั้นไม่เหลืออะไรแล้ว

    ริมฝีปากหยักได้รูปกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มเดียวที่เปลี่ยนให้เทพบุตรกลายร่างเป็นซาตานในชั่วพริบตา ก็แค่สมบัติภายนอกเท่านั้นครับ อย่าห่วงเลย สิ่งที่ผมต้องการจากวรเสนาไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง แต่เป็นสิ่งที่มีค่ากว่านั้นมาก

    ทนายวัยกลางคนมองใบหน้างดงามไร้ที่ติราวเทพบุตรหากแฝงไว้ด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวที่แม้แต่เขายังตามไม่ทันด้วยความฉงนฉงาย เค้นสมองขบคิดอย่างหนักว่าอะไรที่มีค่ามากกว่าทรัพย์สินเงินทอง และสิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่อัครเกียรติมีได้ไม่เท่าเทียมวรเสนาด้วย สักพักดวงตาฉลาดเฉลียวของขจรก็เบิกกว้าง ก่อนจะปรากฏรอยยิ้มชื่นชมออกมา

    ชื่อเสียงและเกียรติยศที่วรเสนาสั่งสมมาจากรุ่นสู่รุ่น

    อชิระเผยรอยยิ้มเยือกเย็นแทนคำตอบ เพียงเท่านั้นขจรก็เสียววูบไปทั่วสันหลัง

    นักล่ารอเวลาตะครุบเหยื่ออย่างใจจดใจจ่อเช่นนี้ ไม่มีทางเสียละ ที่อีกฝ่ายจะรอดพ้นเงื้อมมือไปได้!

     

    พี่เม!”

    น้ำเสียงเข้มข้นที่ดังขึ้นเบื้องหลังทำให้เมขลาถึงกับสะดุ้งเฮือก หันขวับไปยังต้นเสียงด้วยความแปลกใจ

    มินตราแต่งตัวสวยเฉียบตามสไตล์สาวนักเรียนนอก สีหน้าเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น เดินเข้ามาแย่งสายยางรดน้ำต้นไม้ในมืออีกฝ่ายแล้วโยนทิ้งอย่างไม่ไยดี

    ไปกับมิ้น

    เมขลาขมวดคิ้ว ไปไหนคะ?

    มินตราไม่ตอบคำถาม หากฉวยข้อมือเมขลาลากหลุนๆ ไปขึ้นรถคู่ใจของตัวเองหน้าตาเฉย

    เดี๋ยวๆ คุณมิ้น นี่เรากำลังจะไปไหนกันน่ะ

    เมขลาโวยวายขณะถูกอีกฝ่ายดันเข้าไปนั่งแหมะในรถสปอร์ตคันหรูที่เธอไม่คิดว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้นั่ง

    เจรจา!” มินตราตอบเพียงเท่านั้น ก่อนจะก้าวฉับๆ ไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับด้วยท่าทีมาดมั่น

    เมขลาเบิกตาโตขณะจ้องเสี้ยวหน้าด้านข้างของมินตราอย่างกับโดนผีหลอกตอนกลางวันแสกๆ

    เธอคิดว่ามินตราน่าจะยังนอนร้องไห้ฟูมฟายเสียสติอยู่ในห้องสักสองสามวันให้พอทำใจได้ ก่อนจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อวรเสนา ไม่คิดว่าหญิงสาวจะรวบรวมสติแล้วคิดอะไรได้ภายในเวลาชั่วข้ามคืน 

    ที่คุณมิ้นบอกว่า เจรจาหมายความว่ายังไงคะ

    เธอจำได้ว่ามินตราใช้คำนี้จึงอดถามไม่ได้ ด้วยคิดว่าทางออกเดียวที่มีคือการตอบ ตกลงเท่านั้น หรือว่าจะฟังผิด

    ไม่เข้าใจภาษาไทยรึไง มิ้นต้องแปลไทยเป็นไทยด้วยเหรอ อีกฝ่ายตอบด้วยสีหน้าบึ้งตึงโดยไม่ยอมละสายตาจากถนน

    โดนเข้าแล้วไง!

    เมขลาถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะถอนสายตาจากคนขับแล้วจับจ้องไปยังถนนเบื้องหน้าแทน แต่การจราจรติดขัดไม่ทันใจทำให้นึกเบื่อจนต้องเบือนหน้าหนีจากภาพนั้น มองโน่นมองนั่นจนไม่รู้จะมองอะไรจึงลดสายตาลงมองหน้าตักตัวเอง

    กางเกงขาสั้นสีทึมๆ กับเสื้อยืดคอกลมตัวหลวมโพรกที่สวมอยู่ทำให้เธอเบิกตากว้าง มองสารรูปตัวเองเทียบกับคนข้างๆ แล้วก็อยากร้องไห้ออกมาเดี๋ยวนั้น

    ก็จะหัวเราะออกได้ยังไง ในเมื่อเธอดูไม่ต่างจากคนใช้ในบ้านเลยสักนิด!

    คุณมิ้น... เมขลาเรียกเสียงอ่อย

    มินตราเหลือบมองคนข้างๆ ด้วยสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย มีอะไร

    ทำไมพี่ต้องไปกับคุณมิ้นด้วยล่ะ

    ในฐานะวรเสนาคนสุดท้าย พี่เมบอกให้มิ้นทำอะไรซักอย่างไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นพี่เมก็ควรต้องทำด้วยเหมือนกัน เพราะคุณพ่อเป็นคนส่งเสียพี่เมให้ร่ำเรียนจนจบและมีงานทำอยู่ทุกวันนี้ มิ้นพูดผิดรึเปล่า

    เจอดอกนี้เมขลาจึงอึ้งกิมกี่ไปพักใหญ่ ที่มินตราพูดมาไม่ผิดเลยสักคำ หากเจ้าสัวมานเมฆไม่ส่งเสียให้เธอร่ำเรียนจนจบปริญญาตรี เธอก็อาจต้องเหนื่อยหางานพิเศษทำเพื่อเก็บเงินไว้เรียนภาคค่ำหรือไม่ก็การศึกษานอกโรงเรียน

    ต้องยอมรับว่าการที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังด้วยเกรดค่อนข้างดีทำให้เธอไม่ต้องลำบากเดินหางานให้เมื่อยตุ้ม และคงยากที่จะได้งานเงินเดือนดีๆ อย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้

    อะไรนะ งานใช่แล้ว วันนี้เธอต้องไปทำงานนี่!

    คุณมิ้นวันนี้พี่ต้องไปทำงานนะ

    ในนาทีที่นึกได้ก็สายไปแล้วเพราะรถของมินตรามาถึงหน้าตึก อัครเกียรติเป็นที่เรียบร้อย

    ก็โทร. ไปลาสิ จะยากอะไร คนเอาแต่ใจตอบเพียงเท่านั้นก็ดับเครื่องยนต์แล้วก้าวลงไปยืนรอข้างรถหน้าตาเฉย

    เมขลาย่นคิ้ว ทำหน้าเบ้ ไม่อยากตามมินตราลงไปเลยสักนิด แต่ขัดสายตาบังคับแกมข่มขู่ที่อีกฝ่ายเขม้นมองไม่ได้ ทำให้เธอค่อยๆ เปิดประตูรถออกไปอย่างเชื่องช้า

    มินตราหยิบแว่นกันแดดสีชามาสวม แล้วก้าวนำเข้าไปในตัวตึกด้วยมาดเนี้ยบ

    เฉียบขาดที่ปั้นแต่งมาอย่างดี ในขณะที่เมขลาก้มหน้าก้มตาเดินตามต้อยๆ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าต่อให้ไม่มองใครก็ย่อมต้องมีคนมองเธอเป็นแน่แท้ แต่หญิงสาวก็ยังไม่กล้าสบตาใครสักคน เพราะเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายขัดกับสถานที่เป็นอย่างมาก กอปรกับคนเดินนำก็สวยเฉี่ยวระดับนางเอกละครหลังข่าว ทั้งหมดนั่นสามารถเรียกความสนใจจากสายตาได้ทุกคู่เลยทีเดียว

     

    ฉันมาพบคุณอชิระตามที่นัดไว้ มินตราเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสะท้อนความเอาแต่ใจในตัวเอง

    เลขานุการวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายนิด การแต่งกายของมินตราทำให้พอจะคาดเดาได้ว่าสาวสวยคนนี้น่าจะมาคุยธุระตามนัดจริง หากเมื่อมองเลยไปยังหญิงสาวร่างโปร่งระหงในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดคอกลมที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังแขกสาวก็ชักไม่แน่ใจ จึงต้องเอ่ยถามตามหน้าที่

    ไม่ทราบว่านัดไว้ในชื่อไหนคะ

    มินตรา วรเสนา น้ำเสียงที่ตอบกลับติดแววรำคาญไม่ซ่อนเร้น

    พรรษาชะงักเล็กน้อย ใช้สายตาคมลอบสำรวจ ว่าที่นายหญิงของอัครเกียรติที่กำลังเป็นทอร์กออฟเดอะทาวน์ในขณะนี้อย่างพิจารณา สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า สวย หยิ่ง เอาแต่ใจ!

    กรุณานั่งรอสักครู่นะคะคุณมินตรา ตอนนี้คุณอชิระมีแขกค่ะ เลขานุการสาวผายมือไปยังชุดรับแขกด้านหน้า

    มินตราชักสีหน้าเล็กน้อย แต่ก็ยอมนั่งรออย่างสงบ ด้วยตั้งใจว่าวันนี้จะมาขอ เจรจาโดยไม่ตกลงสิ่งใดทั้งสิ้น และเธอไม่อยากทำให้คู่กรณีเกิดความไม่พอใจก่อนจะตกลงกันได้

    เมขลาลอบถอนใจเมื่อมินตราใจเย็นพอที่จะเป็นผู้รอคอยได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ใจเธอเต้นโครมครามไม่เป็นส่ำ กลัวว่าคุณเลขานุการหน้าห้องจะถูกมินตราวีนเข้าให้ ขืนเป็นอย่างนั้นมีหวังการเจรจาล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่มเป็นแน่

    พักใหญ่กว่าที่ประตูหน้าห้องข้างเลขานุการสาวจะขยับแล้วร่างสูงโดดเด่นของใครบางคนก็ปรากฏให้เห็นเต็มตา เมขลาเผลอมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง ไม่นึกว่านอกจากดารานายแบบแล้วบนโลกใบนี้จะมีมนุษย์ผู้ชายที่หล่อเหลาปานเทพบุตรมาจุติ

    ขณะที่มินตราก็มีอาการไม่ต่างกันนัก ร่างสูงที่หยุดชะงักอยู่ระหว่างช่องประตูทำให้เธอต้องลนลานถอดแว่นกันแดดเพื่อจะได้เขม้นมองอีกฝ่ายให้ชัดเจนพร้อมกันนั้นอุณหภูมิในร่างกายก็ค่อยๆ สูงขึ้นตามระดับอารมณ์ที่ปะทุอยู่ในอก

    ไม่ผิดแล้ว รูปร่างอย่างนี้ หน้าตาแบบนี้ ไอ้หัวขโมย!

    อติยะตื่นตะลึงจนแทบลืมหายใจ เมื่อสาวสวยที่นั่งบนโซฟารับแขกสีดำเหวี่ยงแว่นกันแดดทิ้งอย่างไม่แยแสแล้วพรวดพราดเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าถมึงทึงคล้ายหมีขั้วโลกที่อยู่ในภาวะโกรธจัด

    แก...ไอ้หัวขโมย!”

    มินตรากัดฟัน จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง

    ท่ามกลางความตกตะลึงของพรรษาและเมขลา กระเป๋าสะพายใบหรูในมือของมินตราก็ถูกเขวี้ยงไปสุดแรงอย่างลืมราคาพร้อมเสียงตะโกนก้อง

    อย่าอยู่เลยแก!”

    เฮ้ย!!!” อติยะร้องเสียงหลง คว้าอาวุธของหญิงสาวไว้ได้อย่างทันท่วงที แต่พอลดมือลงเพื่อมองคู่กรณีก็เห็นเธอกัดฟันแยกเขี้ยวอยู่ในท่าพร้อมรบเต็มกำลัง เมื่อร่างบางพุ่งเข้ามา เขาก็โยนกระเป๋าทิ้งแล้วโกยอ้าวแบบไม่คิดชีวิต

    จะหนีไปไหน หยุดเดี๋ยวนี้นะ วันนี้คือวันตายของแก!”

    มินตราแผดเสียงขู่อย่างลืมตัว ถลาตามร่างสูงที่เผ่นไปทางบันไดหนีไฟโดยลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง ด้วยขณะนี้สติสัมปชัญญะถูกครอบงำด้วยโทสะจนมิด 

    เดี๋ยวก่อนคุณมิ้น จะไปไหน เมขลาร้องตามเมื่อนึกได้ว่าควรจะทำอะไร หญิงสาวขยับจะออกวิ่ง

    นี่มันเรื่องอะไรกัน!”

    เสียงทรงพลังและมีอำนาจราวกับจะสามารถสะกดทุกสิ่งทุกอย่างให้ตกอยู่ภายใต้อาณัติแห่งความเฉียบขาดนั้นได้ทำให้เมขลาชะงักกึก รีบติดเบรกที่เท้าจนหัวแทบคะมำ ค่อยๆ หันกลับมายังต้นเสียงอย่างไม่มีทางเลี่ยง หัวใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ด้วยความตื่นเต้นแกมวิตก ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย

    ผมถามว่านี่มันเรื่องอะไรกัน? เสียงห้าวดุของอชิระดังขึ้นอีกครั้ง ร่างสูงสง่ายืนกอดอก จ้องคนแปลกหน้าด้วยสายตาขุ่นเคือง แกมหงุดหงิด ยิ่งเห็นการแต่ง

    ตัวง่ายๆ ขัดกับสถานที่เหมือนคนไม่รู้กาลเทศะของเธอก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้น

    เมขลาสะดุ้งเฮือก ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของเสียงอย่างขลาดกลัว แต่เมื่อดวงตากลมใสสบกับนัยน์ตาสีเข้มขุ่นของเขาอย่างจัง เธอก็ถึงกับเบิกตา อ้าปากค้างไปสามวินาที ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ เขม้นมองเขาใหม่อีกที คิ้วเรียวย่นจนแทบชิดกัน เหลือบมองไปทางบันไดหนีไฟสลับกับใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรที่ยืนถมึงทึงอยู่ตรงช่องประตูด้วยความมึนงง

    อชิระขมวดคิ้ว เขม้นมองหญิงสาวแปลกหน้าด้วยสายตาคุกคามปนตำหนิ ยิ่งเธอไม่ตอบ เขาก็ยิ่งหงุดหงิดรำคาญใจ หันไปสอบถามเอากับเลขานุการสาวใหญ่ที่ยืนอึ้งอยู่หลังโต๊ะทำงานแทน ว่าไงครับคุณพรรษา นี่มันเรื่องอะไรกัน

    พรรษาได้สติในจังหวะนั้น มองเจ้านายสลับกับหญิงสาวแปลกหน้าที่เธอเองก็ไม่รู้จักอย่างงุนงง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงนัก เธอมากับคุณมินตราค่ะ

    คิ้วเข้มขมวดมุ่น สีหน้าเรียบดุผ่อนคลายลงเล็กน้อย เอ่ยถามเสียงเรียบ แล้วมินตราไปไหน

    สองสาวหันมามองตากันปริบๆ ก่อนที่เลขานุการสาวจะเป็นฝ่ายตอบ

    วิ่งตามคุณเล็กไปแล้วค่ะ

    ว่าไงนะ? เสียงถามสะท้อนความแปลกใจ สีหน้าฉายรอยฉงน จ้องคนตอบเขม็ง

    อีกฝ่ายอึกอัก หันไปขอความช่วยเหลือจากหญิงสาวอีกคน

    เมขลากะพริบตาปริบๆ เม้มปากแน่น ขณะมองหน้าคนโน้นทีคนนี้ทีอย่างจนปัญญา

    ก็จะให้เธอตอบว่าอย่างไรล่ะ ในเมื่อเธอเองก็ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง

    อชิระเงียบงันไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบห้วน เข้ามาคุยกันข้างใน

    พูดจบเขาก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานอย่างรวดเร็ว

    เมขลายังไม่หายงง ยืนหันซ้ายหันขวาด้วยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี

    รีบตามคุณอชิระเข้าไปสิคะ

    เมขลาขมวดคิ้ว พรรษาจึงย้ำอีกครั้งอย่างใจเย็น หากแฝงไว้ด้วยความเฉียบขาด

    รีบไปสิคะ คุณอชิระไม่ชอบเป็นฝ่ายรอคอย

    เมขลาเบิกตากว้าง จิ้มนิ้วที่หน้าอกตัวเองอย่างหวาดหวั่น อีกฝ่ายพยักหน้าจริงจัง บอกให้รู้ว่าเธอเข้าใจถูกต้องแล้ว

    หญิงสาวใจแป้ว หน้าแหย เอ่ยถามเสียงละห้อย ทำไมฉันต้องเข้าไปด้วยคะ

    พรรษาย่นคิ้ว สีหน้าประหลาดใจ คุณไม่ได้มาคุยธุระกับคุณอชิระหรอกเหรอคะ

    เมขลากะพริบตางงอีกรอบ สมองทบทวนคำพูดของเลขานุการสาวใหญ่อย่างหนัก สักพักก็เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเป็นคำรบที่สอง ก่อนจะหลุดคำพูดแผ่วเบาออกมาจากริมฝีปากอย่างไม่แน่ใจ

    อชิระ อัครเกียรติ?

    สาวใหญ่กอดอก ถอนใจอย่างเบื่อหน่าย พยักหน้า แววตาจริงจังสุดฤทธิ์ ก่อนจะผายมือไปยังบานประตูที่ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาปานเทพบุตรหายลับไป

    เมขลาจ้องมองประตูบานนั้นอย่างพรั่นพรึง ลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ นึกสงสัยว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามินตราต้องการเจรจาอะไรกับเจ้าหนี้ ตอนนี้คนที่อยากเจรจาก็ดันมาหายตัวไปเสียอีก

    เธอควรจะกลับไปก่อนดีกว่าไหม?

    เข้าไปเถอะค่ะ คุณอชิระไม่ได้มีเวลาให้ใครทั้งวันนะคะ

    พรรษาเตือนด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดติดแววรำคาญ เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมขยับเขยื้อนเธอจึงหมดความอดทนเสียเอง เดินไปรุนหลังแขกสาวให้ก้าวไปข้างหน้า

    มัวชักช้าอยู่นั่น เดี๋ยวระเบิดได้ลงกันพอดี!

    เมขลาหน้าเหวอ จ้องคุณเลขาฯ ด้วยดวงตาเบิกกว้าง ยกไม้ยกมือขึ้นปัดไหวๆ พลางส่ายหน้าดิกแทนคำปฏิเสธที่ติดอยู่แค่ปลายลิ้นหากไม่สามารถพูดออกมาได้ นาทีที่เสียงกำลังจะเปล่งผ่านลำคอ ประตูก็เปิดออกแล้วร่างของเธอก็ถูกส่งเข้ามายืนด้านในอย่างเรียบร้อย

    มาแล้วค่ะคุณใหญ่ พรรษาเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อมตามด้วยเสียงประตูปิดอย่างรวดเร็ว

    เธออ้าปากค้าง เอื้อมจะเปิดประตูแล้วถือโอกาสชิ่งให้เร็วที่สุด แต่มือแตะอยู่เพียงลูกบิดเท่านั้นก็ต้องชะงักกึกเหมือนคนโดนสาป เมื่อเสียงทรงพลังดังขึ้น

    มินตราไปไหน?

    หญิงสาวได้แต่หดคอ ค่อยๆ หันมาเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงกระชากขวัญอย่างไม่มีทางเลี่ยง

    เจ้าของห้องยืนอวดร่างสูงสง่างาม หันข้างให้แขก มองผ่านบานกระจกใสออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอก ดูผิวเผินเหมือนจะสงบเงียบและเยือกเย็นราวผืนน้ำไร้คลื่นรบกวน แต่หากมองให้ลึกอีกนิดจะรู้ว่ามีคลื่นใต้น้ำซ่อนอยู่อย่างเงียบเชียบ

    เมขลายืนเคว้งอยู่หน้าประตู ความเรียบหรูในการตกแต่งภายในกอปรกับความสง่างามในตัวของผู้เป็นเจ้าของ ทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าเธอเป็นเพียงสิ่งเดียวในห้องนี้ที่ดูไม่เข้าพวกเอาเสียเลย นั่นยิ่งก่อให้เกิดความอึดอัดลำบากใจทบทวี เมื่อสำนึกได้ว่าตอนนี้เธอกำลังเผชิญหน้ากับผู้พิพากษาที่มีสิทธิ์ตัดสินชะตาชีวิตทุกคนในบ้านวรเสนา และเธอก็เปรียบเสมือนตัวแทนของพวกเขา

    แต่เอาเถอะ ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว เธอควรต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อวรเสนาบ้าง!

    คิดได้ดังนั้นก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึก เริ่มการเจรจาด้วยน้ำเสียงเป็นทางการ เรื่องหนี้สินของวรเสนา...

    ร่างสูงหันกลับมาเผชิญหน้ากับหญิงสาว เสียงห้วน ห้าว แฝงความไม่พอใจขัดแทรก ก่อนที่เมขลาจะพูดจบประโยค

    กลับไปบอกคนที่บ้านวรเสนาว่างานแต่งระหว่างฉันกับมินตราจะจัดขึ้นในวันที่หนึ่งเดือนหน้า หากไม่ตกลงตามนี้ พวกเขามีเวลาเก็บของสองสัปดาห์ จากนั้นก็ไสหัวออกไปให้หมด!”

    หญิงสาวผงะ หน้าเหวอ อ้าปากค้างด้วยนึกไม่ถึงว่าเขาจะตัดสินใจรวดเร็ว ไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งที่เธอยังพูดไม่จบด้วยซ้ำ

    ยังไม่ทันได้เจรจาก็ตัดสินซะแล้ว แบบนี้มันเกินไปหน่อยมั้ง!

    คุณไม่มีเหตุผลเลยนะคะ ไม่ว่าจะเก็บของแล้วไสหัวออกไปจากวรเสนา หรือแม้แต่การเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวก็เถอะ เวลาแค่สองอาทิตย์ใครจะไปเตรียมตัวทัน จะพูดอะไรก็นึกถึงความเป็นจริงบ้าง รู้จักเห็นใจคนอื่นหน่อยสิ ฉันนึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่าคุณเป็นนักธุรกิจชั้นแนวหน้าได้ยังไง นิสัยกร่าง เที่ยววางอำนาจ ไร้เหตุผล รังแกคนไม่มีทางสู้แบบนี้ หญิงสาวเชิดหน้า ยอกย้อนอย่างไร้ความหวั่นเกรง นาทีนี้ความโมโหชนะเหตุผลขาดลอย ลืมนึกถึงฐานะและสถานการณ์เลวร้ายที่จะตามมาโดยสิ้นเชิง

    พวกคนรวย ชอบวางอำนาจ รังแกคนไม่มีทางสู้ เกลียดนัก!  

    อชิระเลิกคิ้ว ริมฝีปากได้รูปกระตุกยิ้มเหี้ยม นัยน์ตาคมฉายแววดูหมิ่น เขม้นมองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจดเท้าโดยไม่สงวนท่าทีแม้แต่น้อย สีหน้าบอกชัด เธอกับเขามันคนละชั้น!

    กลับไปบอกคนที่นั่นตามนี้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบแล้วหันหลังให้หญิงสาว เดินไปนั่งเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานด้วยท่าทียโสทว่าสง่างาม ไม่ใส่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจ หรือรู้สึกเช่นใดต่อการกระทำและคำพูดของเขา

    ในเมื่อวรเสนาช่างอวดดี หยามอัครเกียรติด้วยการให้เด็กในบ้านมาเจรจาแทนมินตรา หากเขาจะสั่งสอนให้พวกผู้ดีเก่าตระหนักรู้ถึงฐานะของตัวเองเสียบ้าง แล้วมันผิดตรงไหน?

    เมขลาเม้มปาก กำหมัดแน่น เดินกระแทกส้นเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว สองมือตบโต๊ะทำงานปังใหญ่ ไม่สนใจจะรักษามารยาทอีกต่อไป ในเมื่อเขาเองก็ไม่มีมารยาทกับเธอ หากเธอทำบ้าง ผิดด้วยหรือ?

    ทำแบบนี้ไม่โหดร้ายไปหน่อยรึไง เรายังไม่ได้เริ่มเจรจากันเลยแต่คุณกลับตัดสินใจเองคนเดียว

    ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งจัด ตาคมขุ่นคลั่กด้วยโทสะตวัดขึ้นจ้องอีกฝ่ายทันควัน ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครว่าเขาฉอดๆ แบบนี้มาก่อน และโดยเฉพาะคนที่เป็นเพียง เด็กรับใช้ด้วยแล้ว ยิ่งไม่น่าให้อภัย!

    เจ้าหนี้คงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรกับเด็กรับใช้ของลูกหนี้ รีบกลับไปซะ น้ำเสียงเรียบเข้มเอ่ยผ่านริมฝีปากได้รูป

    หญิงสาวเชิดหน้าอย่างดื้อรั้น ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น เรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง

    นิ้วเรียวสวยราวอิสตรีกดอินเตอร์คอมในขณะที่ดวงตาคมยังคงจับจ้องหญิงสาวด้วยแววดูถูกไม่ซ่อนเร้น

    คุณพรรษาครับ ช่วยเรียกยามมาจับผู้หญิงคนนี้ออกไปจากห้องผมเดี๋ยวนี้เลย!”

    เมขลาถึงกับหน้าม้าน อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงนานนับนาที ดวงตาที่เคยสดใสอยู่เป็นนิจบัดนี้ขุ่นมัวด้วยโทสะยากระงับ

    คุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้กับฉันนะ!”

    เขากล้าดียังไงมาตัดสินว่าเธอ เป็นหรือ ไม่เป็นอะไร ทั้งที่ไม่รู้จักกัน หรือหากเธอเป็นเด็กรับใช้จริงแล้วยังไง เขามีสิทธิหยาบคายกับคนที่มีฐานะต่ำต้อยกว่าทุกคนงั้นหรือ?

    ชายหนุ่มไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ สีหน้าบอกชัด

    เธอต่ำต้อยเกินกว่าที่เขาจะเสียเวลาใส่ใจ!

    เมขลาฉุนขาด จ้องหน้าเขาอย่างโมโห รู้สึกคับแค้นใจสุดบรรยาย นึกอยากท้าทายอีกฝ่ายขึ้นมาดื้อๆ เธอกอดอก ปักหลักต่อต้านคำสั่งด้วยการนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเขานั่นแหละ

    อชิระหรี่ตามองหญิงสาวอย่างดูถูก ในขณะที่เธอจ้องตอบอย่างไม่ยอมแพ้ ต่างคนต่างก็ไม่มีใครยอมใคร สงครามสายตาดำเนินไปสักพัก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมการปรากฏตัวของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคน

    พวกเขาก้มศีรษะทำความเคารพเจ้านาย แล้วจ้องมอง วัตถุแปลกประหลาดเพียงหนึ่งเดียวภายในห้องด้วยสีหน้างุนงง

    หญิงสาวใจหายวาบ แต่ยังสาดแสงวาวโรจน์ในดวงตาใส่มนุษย์ใจดำที่นั่งเต๊ะท่าอยู่หลังโต๊ะทำงานอย่างแค้นเคือง

    คุณทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะ!”

    ลากตัวผู้หญิงคนนี้ออกไปจากตึกอัครเกียรติ...เดี๋ยวนี้!” คำสั่งเฉียบขาดดังขึ้นอย่างไม่แยแส

    เมขลามองเจ้าหน้าที่ทั้งสองคนด้วยสายตาวิงวอนแต่ไม่เป็นผล พวกเขาสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะก้มศีรษะน้อมรับบัญชาเจ้านายแล้วเข้ามาหิ้วปีกหญิงสาวขึ้นจากเก้าอี้คนละข้าง

    ปล่อยนะ ปล่อยฉัน!” หญิงสาวโวยวายพร้อมดิ้นรนขัดขืนแต่สู้กำลังของชายฉกรรจ์ทั้งสองคนไม่ได้จึงถูกหิ้วปีกออกจากห้องทำงานของอชิระอย่างง่ายดาย

    เธอจ้องหน้าคนใจดำอย่างอาฆาต กัดฟันด่าเขาด้วยความคับแค้นที่อัดแน่นในใจไปตลอดทางจนกระทั่งถูกหิ้วออกมาทิ้งที่หน้าตึกอัครเกียรติท่ามกลางสายตาผู้คนนับร้อยคู่

    รีบกลับไปเถอะคุณ อย่าคิดต่อกรกับคุณอชิระเลย เสียเวลาเปล่า แถมยังจะเจ็บตัวฟรีอีกด้วย

    หนึ่งในเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่จับเมขลาโยนออกมาบอกด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ

    เมขลากัดฟันกรอด เงยหน้ามองขึ้นไปบนยอดของตึกสูงเสียดฟ้า หรี่ตาด้วยความเจ็บใจแกมแค้นเคืองที่คิดว่าชาตินี้ทั้งชาติก็คงไม่มีวันลืม

    คนใจร้าย ใจดำ หน้าเลือด น่ารังเกียจที่สุด จำไว้เลยนะ ฉันเกลียดคุณ!”

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×